Saturday, 10 May 2025
DonaldTrump

'จีน-สหรัฐฯ' ไม่ขัด หากเศรษฐีมะกันซื้อหุ้น TikTok 50% แต่ต้องพร้อมแบ่งผลประโยชน์ให้รัฐบาล

(22 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขายินดีให้อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีชื่อดังที่สนับสนุนเขา หรือแลร์รี เอลลิสัน ประธานบริษัท Oracle เข้าซื้อกิจการ TikTok โดยผ่านการร่วมทุนกับรัฐบาลสหรัฐฯ  

ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค. 68) ว่า “ผมมีสิทธิ์ที่จะทำข้อตกลงนี้ สิ่งที่ผมจะพูดคือ ซื้อเลย แล้วแบ่งผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งให้กับสหรัฐฯ เราจะอนุญาต และคุณก็จะมีพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม”  

รายงานจากบลูมเบิร์กระบุว่า TikTok ได้ระงับการให้บริการชั่วคราวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันจันทร์ (20 มกราคม) ซึ่งเป็นวันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เพื่อเลื่อนการแบน TikTok ออกไป 75 วัน  

อย่างไรก็ตาม ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ยังคงปฏิเสธที่จะขายกิจการ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากคำตัดสินของศาลฎีกาและการปิดตัวชั่วคราวของ TikTok ที่อาจทำให้บริษัทต้องพิจารณาขายใหม่  

ทรัมป์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “คุณมีทรัพย์สินที่อาจไม่มีมูลค่าเลย หรือมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ จะอนุญาตให้ดำเนินกิจการต่อหรือไม่”  

มีรายงานว่านักลงทุนชาวอเมริกันหลายกลุ่มต่อคิวรอเข้าซื้อกิจการ TikTok รวมถึงเจสซี ทินส์ลีย์ ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี, มิสเตอร์บีสต์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง, แฟรงก์ แมคคอร์ต อดีตเจ้าของทีมลอสแอนเจลิสดอดเจอร์ส และเควิน โอเลียรี นักลงทุนจากรายการ Shark Tank 

ท่าทีของทรัมป์สอดคล้องกับทางปักกิ่งโดยเว็บไซต์เซาธ์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า จีนไม่ขวางการซื้อกิจการ แต่ควรเป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆ ตัดสินใจเองอย่างอิสระ  

เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า “เรายึดมั่นว่าการดำเนินการต่างๆ ของบริษัทควรเป็นไปตามหลักการตลาดอย่างเสรี และหากบริษัทจีนมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ควรปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของจีน”  

โฆษกจีนยังชี้ให้เห็นว่า TikTok ได้ดำเนินกิจการในสหรัฐฯ มาเป็นเวลาหลายปี และได้รับความนิยมจากผู้ใช้ชาวอเมริกัน พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ จัดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปิดกว้าง ยุติธรรม และไม่เลือกปฏิบัติสำหรับธุรกิจจากทุกประเทศ  

ผุดโปรเจ็กต์ 'Stargate' ทุ่ม 5 แสนล้านดอลลาร์ ดันสหรัฐฯ สู่ศูนย์กลาง AI โลก

(22 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นเกี่ยวกับแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SoftBank จากญี่ปุ่น, Oracle ผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์ และ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT เข้าร่วมโครงการสำคัญนี้

โครงการที่มีชื่อว่า "Stargate" จะเริ่มต้นด้วยการลงทุนเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ทรัมป์กล่าวในคำแถลงที่ทำเนียบขาว “นี่เป็นการแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศของเราอย่างเต็มที่” เขากล่าวหลังจากเปิดตัวโครงการนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากเขาเริ่มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง

บุคคลสำคัญที่เข้าร่วมการประกาศนี้ได้แก่ แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI, มาซาโยชิ ซอน ประธาน SoftBank และแลร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้ง Oracle ซึ่งต่างก็มีบทบาทสำคัญในโครงการดังกล่าว โดยมาซาโยชิ ซอน ได้ระบุว่า Stargate จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยอาจสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์

การร่วมทุนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาความสามารถด้านการประมวลผลของ AI รวมถึงการจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่จำเป็นต่อการสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทรัมป์กล่าวว่า Stargate จะเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในเชิงกายภาพและดิจิทัล เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตของ AI รุ่นถัดไป

OpenAI ยังได้โพสต์ในแพลตฟอร์ม X ระบุว่าโครงการนี้จะส่งเสริมการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในสหรัฐฯ และสนับสนุนความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาและพันธมิตร โครงการ Stargate จะมีพันธมิตรสำคัญอย่าง SoftBank และ OpenAI โดย SoftBank รับผิดชอบด้านการเงิน และ OpenAI ดูแลด้านปฏิบัติการ

อีกทั้งยังมีการเปิดเผยว่า MGX ซึ่งเป็นกองทุนเทคโนโลยีจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเข้าร่วมเป็นนักลงทุนรายสำคัญ ขณะที่บริษัทชั้นนำอย่าง Arm, Microsoft, NVIDIA, Oracle และ OpenAI จะทำหน้าที่เป็นพันธมิตรเทคโนโลยีเริ่มต้นของโครงการ

โครงการนี้จะเริ่มต้นในรัฐเท็กซัส และกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาสถานที่เพิ่มเติมทั่วประเทศเพื่อขยายวิทยาเขตและโครงสร้างพื้นฐาน ตามที่ OpenAI กล่าว เท็กซัสได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยีแทนที่แคลิฟอร์เนียในหลายกรณี

ในงานประกาศดังกล่าว ผู้บริหารชั้นนำทั้งสามยังได้กล่าวขอบคุณทรัมป์ โดยแซม อัลท์แมน กล่าวว่า “เราจะไม่มีวันทำได้หากไม่มีการสนับสนุนจากคุณ” ขณะที่เอลลิสันย้ำถึงศักยภาพของ AI ในการพัฒนาด้านการแพทย์ เช่น การตรวจพบมะเร็งระยะเริ่มต้นจากการตรวจเลือด

หุ้นของ SoftBank ในตลาดโตเกียวพุ่งขึ้นกว่า 8% หลังมีการประกาศข่าวนี้

โครงการ Stargate ยังเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของทรัมป์ ซึ่งมีผู้นำในแวดวงเทคโนโลยีระดับโลกเข้าร่วม เช่น ทิม คุก ซีอีโอของ Apple, ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta และเจฟฟ์ เบโซส ซีอีโอของ Amazon

นอกจากนี้ ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ลงนามยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีจากสมัยโจ ไบเดน ซึ่งกำหนดมาตรการควบคุมการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ การเพิกถอนดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐฯ สามารถพัฒนา AI ได้โดยไม่มีข้อจำกัดในระดับประเทศ แม้ว่าบางรัฐอาจมีกฎเกณฑ์เฉพาะของตนเองก็ตาม

ทรัมป์ล้มทุกนโยบาย LGBTQ พร้อมสั่งห้ามสถานทูตใช้ธงสีรุ้ง

(22 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ไม่นานหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง โดยคำสั่งนี้กำหนดให้รัฐบาลกลางยอมรับเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง และยกเลิกตัวเลือกเพศ "X" ซึ่งได้รับการนำเสนอในช่วงที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำหนดให้ประชาชนสามารถเลือกเพศที่ไม่จำเป็นต้องตรงกับเพศกำเนิดในเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น หนังสือเดินทาง วีซา และบัตร Global Entry

คำสั่งนี้มีชื่อว่า "ปกป้องสตรีจากสุดโต่งแห่งอุดมการณ์เรื่องเพศและฟื้นฟูความจริงทางชีววิทยาในรัฐบาลกลาง" โดยระบุให้หน่วยงานรัฐทั้งหมดใช้คำว่า "sex" (เพศ) แทนคำว่า "gender" (อัตลักษณ์ทางเพศ) และยืนยันว่าสิ่งที่เป็นเพศนั้นเป็นลักษณะทางชีววิทยาที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งขัดแย้งกับการยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายที่มีผลจากนโยบายของรัฐบาลไบเดน

การบังคับใช้คำสั่งนี้จะส่งผลต่อเอกสารราชการต่างๆ เช่น หนังสือเดินทางและวีซา ที่จะต้องแสดงเพศตามกำเนิดของผู้ถือเอกสาร นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการพื้นที่แยกตามเพศ เช่น เรือนจำ ศูนย์พักพิงผู้อพยพ และสถานพักพิงสำหรับเหยื่อความรุนแรงทางเพศ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ที่อยู่ในพื้นที่แยกตามเพศ

คำสั่งนี้ยังได้กำหนดมาตรการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินภาษีเพื่อป้องกันการสนับสนุนอุดมการณ์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศในหน่วยงานรัฐบาล ข้อกำหนดเหล่านี้จะมีผลทันทีและต้องได้รับการปฏิบัติในทุกหน่วยงานของรัฐ

การออกคำสั่งนี้ถือเป็นการย้อนกลับนโยบายของรัฐบาลไบเดนที่ได้เพิ่มตัวเลือกเพศ "X" ในเอกสารราชการ โดยไม่ต้องการเอกสารทางการแพทย์ในการเปลี่ยนแปลงเพศ และยังเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลายสามารถเลือกระบุเพศของตนเองได้

การออกคำสั่งนี้ส่งผลให้ชุมชน LGBTQI+ เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียสิทธิทางกฎหมาย โดยเฉพาะสิทธิในการแต่งงานเพศเดียวกัน ซึ่งได้รับการรับรองในคดี Obergefell v. Hodges ปี 2558 การกลับมาของทรัมป์และการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมทำให้เกิดความกลัวว่าอาจจะมีการยกเลิกคำตัดสินนี้ในอนาคต

ท่ามกลางความกังวลนี้ คู่รัก LGBTQ หลายคู่ได้เร่งจดทะเบียนสมรสเพื่อให้สิทธิทางกฎหมายก่อนที่การเปลี่ยนแปลงนโยบายจะมีผล ข้าราชการและอาสาสมัครในหลายรัฐได้ร่วมกันจัดพิธีแต่งงานฟรีให้คู่รักเหล่านี้ ขณะเดียวกัน คู่รักหลายคู่ยังได้เร่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงเอกสารสำคัญ เช่น สูติบัตรและใบขับขี่ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีการยกเลิกคำตัดสิน Obergefell หรือสิทธิการแต่งงานเพศเดียวกันโดยตรง แต่ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายได้เตือนว่าความเสี่ยงทางกฎหมายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจากท่าทีของผู้พิพากษาบางคนที่มีแนวคิดขัดแย้งกับสิทธิของ LGBTQ ขณะเดียวกันการบังคับใช้กฎหมาย Respect for Marriage Act จะยังคงบังคับให้รัฐบาลกลางยอมรับการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันที่ถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ออกนโยบาย "ธงเดียว" คือธงชาติสหรัฐเท่านั้น โดยคำสั่งของนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐคนใหม่ ได้สั่งห้ามสถานทูตสหรัฐฯ ใช้ธง LGBTQ และ BLM โดยระบุว่าจะมีการแสดงเพียงธงชาติสหรัฐฯ เท่านั้น และธงที่เคยใช้ในยุคไบเดนเช่นธง LGBTQ และ Black Lives Matter จะไม่ได้รับอนุญาตให้ชักธงดังกล่าวอีกต่อไป

คำสั่งนี้ระบุไว้ตามรายงานของ The Washington Free Beacon ซึ่งได้รับสำเนาของคำสั่งว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ธงชาติสหรัฐอเมริกาจะได้รับการอนุญาตให้ชูหรือแสดงที่สถานที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงในเนื้อหาของรัฐบาลสหรัฐฯ ธงชาติสหรัฐฯ คือสัญลักษณ์ที่รวมใจชาวอเมริกันทุกคนภายใต้หลักการพื้นฐานของความยุติธรรม เสรีภาพ และประชาธิปไตย ค่านิยมเหล่านี้ซึ่งเป็นรากฐานของประเทศที่ยิ่งใหญ่ของเราได้รับการยอมรับจากพลเมืองอเมริกันทุกคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน … ธงชาติสหรัฐฯ เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ และมันเป็นเรื่องที่เหมาะสมและให้เกียรติที่ธงชาติสหรัฐฯ เท่านั้นที่จะถูกชูหรือแสดงที่สถานที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

หากมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศละเมิดนโยบายใหม่ดังกล่าว จะได้รับการดำเนินการทางวินัย รวมถึงการยกเลิกการจ้างงานหรือสัญญา หรือการโอนไปยังหน่วยงานต้นสังกัด

ผลโพลเผยคนอเมริกันมอง 4 ปีของไบเดน ทำสหรัฐแตกแยก ทิ้งผลงานผู้อพยพทะลัก

(22 ม.ค.68) ผลสำรวจจาก Rasmussen Reports ระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าในช่วงการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ระหว่างปี 2021-2024 ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่มีความแตกแยกมากขึ้น

ผลสำรวจที่จัดทำขึ้นออนไลน์ในช่วงกลางเดือนมกราคมในการสำรวจผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,220 คน พบว่า 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าอเมริกาแตกแยกมากขึ้นหลังจากการดำรงตำแหน่ง 4 ปีของไบเดน ขณะอีกที่ 30% มองว่า ระดับความแตกแยกในประเทศยังคงเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่ไบเดนจะเข้ามาดำรงตำแหน่ง

มีเพียง 16% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า รู้สึกว่าประเทศมีความแตกแยกน้อยลง ในขณะที่ 2% ไม่มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว

การบริหารงานของไบเดนได้เผชิญความท้าทายกับปัญหาการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจากชายแดนใต้ของสหรัฐฯ โดยมีตัวเลขผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายทำสถิติสูงสุดติดต่อกันถึง 3 ปี มีผู้ย้ายถิ่นผิดกฎหมายมากกว่า 8 ล้านคนที่ข้ามเข้ามาในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 ตามข้อมูลจากกรมศุลกากรและการป้องกันชายแดน (CBP)

ในอีกแง่หนึ่ง ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดโดย Ipsos และ Reuters การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม โดยมีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ จำนวน 1,077 คน  ระบุว่า คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สูงถึงเกือบครึ่งของผู้สำรวจความเห็น โดยร้อยละ  47% ของผู้ตอบความเห็นแสดงจุดยืนให้การสนับสนุนทรัมป์ หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งที่สองในพิธีสาบานตนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ณ อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจดังกล่าว พบว่า 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของทรัมป์ในการอภัยโทษผู้ต้องโทษประมาณ 1,500 คนที่ถูกตัดสินลงโทษจากเหตุการณ์ประท้วงที่อาคารรัฐสภา ขณะที่ 29% สนับสนุนการจัดการของประธานาธิบดีคนที่ 47 ในเรื่องการเมืองและความยุติธรรม

ในขณะเดียวกัน 46% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยกับนโยบายของทรัมป์ในด้านการตรวจคนเข้าเมือง โดย 56% สนับสนุนข้อเสนอที่ว่า สหรัฐฯ ควร "ลดจำนวนผู้ขอลี้ภัยที่ได้รับอนุญาตให้ข้ามพรมแดนอย่างมีนัยสำคัญ"

สำหรับคะแนนความนิยมของทรัมป์ในช่วงเริ่มต้นของวาระแรกนั้นอยู่ที่ 43% และสูงสุดที่ 49% ในปี 2017 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 34% เมื่อสิ้นสุดวาระ

นักวิชาการไทยชี้ สงครามรัสเซีย-ยูเครนไร้ทางจบเร็ว แฉลึก ‘ธุรกิจอาวุธ’ สหรัฐฯ ฟันกำไรจากวิกฤติ

(23 ม.ค.68) ภายหลังที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนกลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำสหรัฐสมัยที่สองอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าทรัมป์อาจผลักดันให้ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียสิ้นสุดเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากความเห็นของ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย เชื่อว่าความขัดแย้งในยูเครนไม่น่าจะคลี่คลายอย่างรวดเร็วภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่  

ผศ.ดร.กฤษฎา ในฐานะ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า

“ภายใต้การบริหารงานของโดนัลด์ ทรัมป์ ผมไม่เชื่อว่าความขัดแย้งนี้จะคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว เรายังไม่เห็นแผนที่ชัดเจนในการยุติสงครามจากเขาหรือทีมงานของเขา การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ เงื่อนไขที่ทั้งยูเครนและรัสเซียยอมรับได้” 

เขาเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม เราสามารถเห็นได้ว่าจุดยืนปัจจุบันของทั้งสองฝ่ายยังไม่สอดคล้องกัน ซึ่งทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยาก”  

กฤษฎา ยังมองว่า กลุ่มอำนาจรัฐพันลึกในสหรัฐฯ (Deep State) อาจไม่อนุญาตให้โดนัลด์ ทรัมป์ ยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ “ปัจจุบัน เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเมืองภายในและนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ถูกกำหนดและควบคุมโดยกลุ่มอำนาจรัฐพันลึก โดยเฉพาะบริษัทอาวุธที่มองว่าสงครามเป็นผลประโยชน์ของพวกเขา โดยเฉพาะในด้านการค้าอาวุธ”  

อาจารย์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงยังให้ความเห็นอีกว่า มีแนวโน้มที่บางประเทศยุโรปที่  'เริ่มถอนการสนับสนุนจากยูเครน' โดยเขากล่าวว่า “วาทกรรมที่มุ่งต่อต้านรัสเซีย (Russophobia) ของประเทศในยุโรปทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถยอมรับได้ว่ารัสเซียจะเป็นฝ่ายชนะในสงครามรัสเซีย-ยูเครน เรามักได้ยินการโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อชาติตะวันตกว่า รัสเซียจะไม่หยุดที่ยูเครน แต่จะบุกประเทศอื่นต่อไป วาทกรรมนี้ทำให้ประเทศตะวันตกยังคงสนับสนุนยูเครนอย่างต่อเนื่อง”  

ตามรายงานของ Wall Street Journal ทรัมป์ได้มอบหมายให้ คีธ เคลล็อก ผู้แทนพิเศษด้านยูเครนของเขาเป็นผู้รับผิดชอบในการยุติความขัดแย้งในยูเครนภายใน 100 วัน อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า “การเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย อาจเป็นเรื่องยากกว่าที่ทรัมป์สัญญาไว้ระหว่างการหาเสียง โดยเขาเคยกล่าวว่าจะยุติความขัดแย้งนี้ก่อนเข้ารับตำแหน่ง” ขณะที่คีธ เคลล็อก กล่าวว่าเขาต้องการทำตามเป้าหมายภายใน 100 วัน  

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ไม่นานหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าสหรัฐฯ อาจหยุดการส่งอาวุธให้ยูเครน และย้ำถึงความพร้อมที่จะพบกับปูติน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังระบุด้วยว่าสหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย หากรัสเซียปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพ  

ด้านปูตินกล่าวก่อนหน้านี้ว่า รัสเซียพร้อมที่จะเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของวิกฤติ พร้อมยืนยันว่ารัสเซียกำลังจับตาถ้อยแถลงของทรัมป์และทีมงานที่แสดงถึงความต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ และการทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3

บัญชีเมตา 'ฟอลโลว์' ทรัมป์เอง ทั้งที่เคยอันฟอลไปแล้วหลายรอบ

เมื่อวานนี้ (22 ม.ค.68) ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียของเมตา (Meta) บางรายเปิดเผยว่า บัญชีของพวกเขาได้กลับไปติดตามโปรไฟล์ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์, รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เมลาเนีย ทรัมป์ อีกครั้ง หลังจากที่ได้เลิกติดตามไปแล้ว  

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านคณะบริหาร บัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของทำเนียบขาวจะถูกส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่ได้รับเลือก ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในปี 2560 และ 2564 เมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่งต่อจากบารัค โอบามา และโจ ไบเดนเข้ามารับตำแหน่งต่อจากทรัมป์  

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานบางรายระบุว่า แม้พวกเขาจะเลิกติดตามบัญชีของทรัมป์, รองประธานาธิบดี และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไปตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 มกราคม แต่กลับพบว่าบัญชีของตัวเองกลับไปติดตามบัญชีเหล่านั้นอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ บางคนต้องกดเลิกติดตามซ้ำหลายครั้ง หรือถึงขั้นบล็อกบัญชีเหล่านั้น  

แอนนา สปริงเกอร์ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ผ่านเธรดส์ (Threads) ของเมตาว่า “ฉันและคนอื่น ๆ ได้เลิกติดตามทรัมป์และแวนซ์เมื่อวันจันทร์ แต่ต่อมาพบว่าบัญชีของตัวเองกลับไปติดตามพวกเขาอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่ามันเป็นความผิดพลาดของระบบหรือเกิดจากความตั้งใจ แต่ที่แน่ ๆ คือมันเกิดขึ้นจริง”  

จนถึงขณะนี้ เมตายังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวก็ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ เช่นกัน  

เดมี โลวาโต นักร้องชื่อดังจากสหรัฐฯ โพสต์สตอรีบนอินสตาแกรมที่มีผู้ติดตามกว่า 150 ล้านคน เผยว่าเธอพบปัญหาเดียวกัน โดยระบุว่า “วันนี้ฉันเลิกติดตามหมอนี่มา 2 ครั้งแล้ว” พร้อมโพสต์ภาพที่บัญชีของเธอติดตามรองประธานาธิบดีแวนซ์  

ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ยังรายงานเพิ่มเติมว่า พวกเขาพบว่าบัญชีของตัวเองติดตามเมลาเนีย ทรัมป์โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้เกิดคำถามถึงความผิดพลาดของระบบหรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่โปร่งใสในระบบของเมตา

ทรัมป์สั่งพนักงานรัฐแจ้งเบาะแส หากเจอโครงการหนุนความหลากหลายทางเพศ

(23 ม.ค.68) รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้พนักงานรัฐรายงานหากพบว่ามีการซ่อนโครงการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก (Diversity, Equity, and Inclusion – DEI) โดยขู่ว่าจะดำเนินการทางวินัยหากไม่รายงานภายใน 10 วัน

คำสั่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการยกเลิกโครงการ DEI ในภาครัฐ ซึ่งถือเป็นการกลับลำนโยบายจากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ให้ความสำคัญกับ DEI

คำสั่งระบุว่ามีการปกปิดโปรแกรม DEI บางส่วนในรัฐบาลโดยใช้ภาษาที่คลุมเครือ ผู้ที่รายงานภายในเวลาที่กำหนดจะไม่ถูกลงโทษ แต่หากไม่รายงานภายใน 10 วันอาจเผชิญกับผลกระทบทางวินัย

คำสั่งนี้ได้ถูกส่งไปยังพนักงานหลายกระทรวง ซึ่งอ้างว่ามาจากรัฐมนตรีหลายคนในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ เช่น จากกระทรวงการต่างประเทศ โดยระบุว่าเป็นคำสั่งจากมาร์โก รูบิโอ และจากกระทรวงยุติธรรม โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งจากรักษาการอัยการสูงสุด เจมส์ แมคเฮนรี

ทรัมป์มองว่าโครงการ DEI เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อชาวอเมริกันบางกลุ่ม โดยมุ่งเน้นที่เชื้อชาติและเพศมากกว่าคุณสมบัติของผู้สมัคร ฝ่ายสนับสนุนสิทธิพลเมืองกลับมองว่า DEI เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและการเหยียดเชื้อชาติที่มีมายาวนาน

การกระทำของทรัมป์ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมือง โดยศาสตราจารย์ไซคี วิลเลียมส์-ฟอร์สัน มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ กล่าวว่าความไม่พอใจในหมู่ชายผิวขาวกำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ทรัมป์กลับมามีบทบาททางการเมืองได้ แม้จะเผชิญกับคดีความหลายคดี

ขณะเดียวกัน สส. แฮงค์ จอห์นสัน จากพรรคเดโมแครต กล่าวว่า ทรัมป์กำลังทำลายความก้าวหน้าที่คนผิวดำได้สร้างขึ้นในช่วงหลายทศวรรษ

นอกจากนี้ ในคืนวันอังคารที่ผ่านมา ทรัมป์ยังได้ยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารปี 2508 ของอดีตประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน ที่ห้ามผู้รับเหมาของรัฐบาลกลางเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน และยังพยายามกดดันบริษัทเอกชนที่รับงานจากรัฐบาลให้ยกเลิกโครงการ DEI โดยขู่ว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม

ล่าสุด รัฐบาลทรัมป์ได้เรียกร้องให้พนักงานรัฐรายงานข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ DEI ที่อาจถูกซ่อนไว้ โดยกำหนดให้พนักงานแผนก DEI หยุดงานโดยได้รับค่าจ้างภายในเวลา 17:00 น. ของวันพุธที่ 22 มกราคม และปิดเว็บเพจของหน่วยงาน DEI ทั้งหมดภายในเวลานี้

แคโรไลน์ ลีวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาวกล่าวว่า คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้แล้ว และหน่วยงานของรัฐบาลกลางจะต้องส่งแผนการเลิกจ้างพนักงานภายในวันที่ 31 มกราคม

ฝ่ายสนับสนุนสิทธิพลเมืองได้ออกมาต่อต้านการกระทำนี้ โดยมองว่าโครงการ DEI มีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและการเหยียดเชื้อชาติที่ยาวนาน ขณะที่ทรัมป์และผู้สนับสนุนมองว่า DEI เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อชาวอเมริกันคนอื่น

นักวิชาการชำแหละ ทรัมป์บอกลา WHO ถอนข้อตกลงปารีส เปิดช่องจีนครองบทบาทผู้นำโลก

(24 ม.ค.68) หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยสองเพียงไม่นาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกใน 2 องค์กรระดับโลกคือ การถอนตัวออกจากสมาชิกองค์การอนามัยโลก และการถอนตัวสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งท่าทีทั้งสองดังกล่าว นักวิชาการจากสถาบันในรัฐแคลิฟอร์เนียมองว่า เป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น 

ศาสตราจารย์โรเดอริก เคียวเวียต (Roderick Kiewiet) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (Caltech) เผยต่อสำนักข่าวสปุตนิกว่า ในกรณีการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมนั้น มีลักษณะเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น เพราะสหรัฐและประเทศอื่น ๆ แทบไม่มีทางบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ได้อยู่แล้ว

“การถอนตัวของสหรัฐเป็นเพียงการยืนยันว่าทั่วโลกยังคงใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในอัตราเดิมต่อไปอีกนาน” เคียวเวียตกล่าว ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับศาสตราจารย์คานิชกัน สถาสิวัม (Kanishkan Sathasivam) จากมหาวิทยาลัยเซเลมสเตต รัฐแมสซาชูเซตส์ เห็นด้วยว่าการถอนตัวครั้งนี้เป็นเพียง 'เชิงสัญลักษณ์' และคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว  

“หลายสิ่งที่สหรัฐทำในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นดำเนินการผ่านกฎหมายในประเทศ ทั้งระดับรัฐบาลกลางและรัฐ ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยลำพัง” สถาสิวัมกล่าว  

ด้าน ศาสตราจารย์ริชาร์ด เบนเซล (Richard Bensel) จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ กล่าวว่า การถอนตัวของสหรัฐจากข้อตกลงปารีสจะลดบทบาทของประเทศในเวทีโลก ขณะเดียวกัน จีนอาจใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มบทบาทความเป็นผู้นำของตัวเอง “ผลกระทบหลักจากการถอนตัวครั้งนี้คือการสูญเสียอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐ ขณะที่จีนจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ทรัมป์ทิ้งไว้” เบนเซลกล่าว  

ขณะที่กรณีทรัมป์สั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) สะท้อนว่าทรัมป์ละเลยความเป็นจริงของวิกฤตภูมิอากาศและผลกระทบในระดับโลก แกเร็ธ เจนกินส์ นักวิจัยอาวุโสอิสระจากโครงการศึกษาซิลค์โร้ดและศูนย์ตุรกีแห่งสถาบันนโยบายความมั่นคงและการพัฒนาในกรุงสตอกโฮล์มกล่าวว่า 

"ทุกประเทศจำเป็นต้องดำเนินมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิก เช่นเดียวกับที่เราทุกคนต้องรับผลกระทบ หากสหรัฐฯ ผลิตน้ำมันมากขึ้น ก็จะสร้างมลพิษมากขึ้น และเช่นเดียวกับที่การแพร่ระบาดของโควิดแสดงให้เห็นว่าโรคระบาดเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน แน่นอนว่า WHO จะทำงานได้อย่างแข็งแกร่งหากสหรัฐยังเป็นสมาชิกอยู่ ดังนั้นการถอนตัวจาก WHO จะจะยิ่งทำให้องค์กรนี้อ่อนแอลง" เจนกินส์กล่าว 

อย่างไรก็ตาม เจนกินส์ เห็นพ้องกับนักวิชาการคนอื่นๆ ว่า การที่สหรัฐถอนตัวจาก WHO จะเป็นโอกาสทองที่จีนจะก้าวขึ้นมามีบทบาทในองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกนี้มากขึ้น 

สส.รีพับลิกัน ผุดไอเดียแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดัน 'ทรัมป์' นั่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3

(24 ม.ค.68) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันได้ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 23 มกราคม เพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีในอนาคตสามารถดำรงตำแหน่งได้มากถึง 3 สมัย

ญัตติที่เสนอขึ้นมาเพียงไม่กี่วันหลังจากที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง โดยนายแอนดี้ โอเกิลส์ สส.พรรครีพับลิกันจากรัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นผู้เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ได้กล่าวว่า นายทรัมป์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นฟูสหรัฐให้กลับมายิ่งใหญ่และควรได้รับโอกาสอีกครั้งเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปัจจุบัน มาตราที่ 22 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐกำหนดให้ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกสามารถดำรงตำแหน่งได้สูงสุดเพียง 2 สมัย โดยระบุว่า "ไม่มีบุคคลใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกินกว่า 2 ครั้ง" ในขณะที่การแก้ไขครั้งนี้จะเปลี่ยนเป็น "ไม่มีบุคคลใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกินกว่า 3 ครั้ง"

นอกจากนี้ยังมีการเสนอการแก้ไขเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่เกิน 2 ปีในระหว่างที่บุคคลอื่นดำรงตำแหน่ง ซึ่งจะสามารถลงเลือกตั้งได้อีกเพียงครั้งเดียว

นายโอเกิลส์กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะช่วยให้สหรัฐสามารถรักษาผู้นำที่กล้าหาญไว้ในประเทศได้

มาตราที่ 22 ได้รับการเสนอในปี 2490 และมีการรับรองในปี 2494 เพื่อป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีคนใดดำรงตำแหน่งยาวเกินไป โดยอ้างอิงถึงอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ ผู้เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่จำนวนที่นั่งเพียงแค่ 3 ที่นั่งทำให้การผ่านญัตตินี้ยังมีความยากลำบาก และคาดว่าแนวทางนี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต

'ทรัมป์' สั่งเปิดแฟ้มลับคดีลอบสังหาร 'เจเอฟเค' และ 'มาร์ติน ลูเธอร์ คิง'

(24 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจัดทำแผนการเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารที่สำคัญ 3 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ได้แก่ การสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี, โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 23 มกราคมว่า "หลายคนรอคอยการเปิดเผยนี้มานาน และเราจะเปิดเผยทุกอย่าง" พร้อมกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องส่งแผนการเปิดเผยเอกสารภายใน 15 วัน

การลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดีเกิดขึ้นที่ดัลลาสในปี 1963 ขณะที่โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีถูกยิงเสียชีวิตในปี 1968 ขณะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนีย และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนก็ถูกสังหารในเมมฟิส รัฐเทนเนสซี

เอกสารเกี่ยวกับการสืบสวนเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยบางส่วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังมีเอกสารอีกจำนวนมากที่ถูกเก็บเป็นความลับ โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีของเคนเนดีที่มีรายละเอียดซับซ้อน

การสืบสวนเกี่ยวกับการสังหารของเคนเนดีระบุว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว แต่ยังมีข้อสงสัยและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของกลุ่มต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐบาล มาเฟีย หรือบุคคลอื่น ๆ ซึ่งได้สร้างข้อสงสัยในหมู่ประชาชน

ในปี 1992 สหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายให้เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนภายใน 25 ปี ซึ่งมีการเปิดเผยเอกสารจำนวนมากในยุคของทรัมป์และโจ ไบเดน แม้ว่าเอกสารบางส่วนยังคงเป็นความลับ

ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะเปิดเผยเอกสารทั้งหมดในระหว่างการดำรงตำแหน่งครั้งแรก แต่ไม่ได้ทำตามสัญญา หลังจากที่หน่วยงานอย่างซีไอเอและเอฟบีไอขอให้เก็บเอกสารบางส่วนเป็นความลับ

การลงนามในคำสั่งล่าสุดของทรัมป์ระบุว่า การรักษาความลับไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสาธารณชน ซึ่งอาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการลอบสังหารและความเชื่อมโยงของออสวอลด์กับหน่วยงานต่าง ๆ

นอกจากนี้ เอกสารที่เปิดเผยเมื่อไม่นานนี้ยังมีการเพิ่มข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการติดตามออสวอลด์โดยซีไอเอ รวมถึงการให้ข้อมูลจากพยานเห็นเหตุการณ์ ซึ่งทำให้ทฤษฎีที่ว่าออสวอลด์เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียวต้องได้รับการพิจารณาใหม่

ในคดีของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีและมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ก็ยังมีความสงสัยในคำกล่าวอ้างว่า เซอร์ฮานและเจมส์ เอิร์ล เรย์ เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว เนื่องจากครอบครัวของทั้งสองได้ตั้งคำถามว่า การลอบสังหารเป็นผลจากแผนการสมคบคิดที่กว้างขวางกว่าที่เคยเชื่อกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top