Saturday, 10 May 2025
DonaldTrump

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวหลังกลุ่มกบฏยึดเมืองหลวงซีเรียเเละโค้นรัฐบาลอัล - อัสซาด ได้สำเร็จ

(9 ธ.ค. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันเสาร์ ขณะเข้าร่วมพิธีเปิดมหาวิหารนอเทรอดามในกรุงปารีสว่า “นี่ไม่ใช่การสู้รบของสหรัฐ” พร้อมระบุว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย ไม่สมควรได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งต่อไป  

ปัจจุบัน สหรัฐมีกำลังทหารราว 900 นายประจำการในซีเรีย ส่วนใหญ่ทำงานร่วมกับพันธมิตรชาวเคิร์ดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันการฟื้นตัวของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)  

การแสดงจุดยืนนี้เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มกบฏในซีเรียเปิดปฏิบัติการโจมตีอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องตอบโต้ก่อน เนื่องจากกองทัพอากาศซีเรียและรัสเซียเพิ่มการโจมตีพลเรือนในจังหวัดอิดลิบ ฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้าน  

สงครามกลางเมืองในซีเรียดำเนินมานานกว่า 13 ปี โดยเริ่มจากการลุกฮืออย่างสันติของประชาชนเมื่อปี 2554 เพื่อต่อต้านการปกครองของตระกูลอัล-อัสซาด ความขัดแย้งนี้ทำให้ประชาชนหลายล้านคนเสียชีวิตและต้องอพยพหนีภัยไปยังต่างประเทศ

โดนัลด์ ทรัมป์ ออกน้ำหอม 2 กลิ่น ต้อนรับคริสต์มาส ราคาต่อขวดเกือบหมื่นบาท

(9 ธ.ค. 67) หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม 2025 เขาได้ประกาศเปิดตัวน้ำหอม 2 กลิ่นได้แก่ "Fight Fight Fight" และ "Victory" ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social 

โดยทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์มของตนเองว่า "นี่คือน้ำหอมและโคโลญจน์ใหม่ในไลน์ของทรัมป์ ผมตั้งชื่อมันว่า Fight Fight Fight ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะของเรา มันเป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่เหมาะสำหรับสมาชิกในครอบครัว สุขสันต์วันคริสต์มาสและสุขสันต์วันปีใหม่

ขวดน้ำหอมทั้งสองมีคำว่า "Fight" ในตัวอักษรหนาและตัวใหญ่ เพื่อเน้นย้ำถึงธีมของความแข็งแกร่งและชัยชนะของทรัมป์ โดยสื่อยังรายงานอีกว่า กลิ่น Fight Fight Fight มีโน้ตที่เข้มข้นและกระจายออกมาแสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวจากอุปสรรคต่างๆ  สนนราคาขายอยู่ระหว่าง $199 ถึง $298 หรือประมาณ 7,000 ถึง 10,430 บาท 

โดยไม่กี่วันหลังจากเปิดตัว รายงานระบุว่ามีบรรดาแฟนคลับของทรัมป์แห่ซื้อน้ำหอมดังกล่าวผ่านแพลตฟอร์มอย่างถล่มทลาย บางรายทำคลิปรีวิวโดยบอกว่า นี่เป็นกลิ่นที่ดีที่สุดเท่าที่เคยใช้มา ขณะที่บางรายบอกว่านี่คือกลิ่นของอิสรภาพและชัยชนะ

โดนัลด์ ทรัมป์ มักใช้แพลตฟอร์ม Truth Social ลงโฆษณาขายสินค้าภายใต้แบรนด์ดิ้งของตนเองอยู่เสมอ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยโฆษณานาฬิการุ่น Trump Watches” ซึ่งมีราคาสูงถึง 100,000 ดอลลาร์มาแล้ว

‘เกาหลีใต้’ เตรียม!! ถอนการลงทุน ‘โรงงานอีวี’ ในสหรัฐอเมริกา จากนโยบาย ยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(10 ธ.ค. 67) บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้อยู่ในช่วงพิจารณาแผนลงทุนเพื่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.89 แสนล้านบาท) อีกครั้ง เนื่องจากกังวลว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า

มากไปกว่านั้น แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เผยว่า บริษัทเกาหลีบางแห่งได้ชะลอหรือหยุดการก่อสร้างโรงงานบางแห่งเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงรวมทั้งท่าทีด้านภาษีของทรัมป์ โดย Posco Future M ผู้ผลิตแคโทดให้กับ General Motors Co. ระบุในเอกสารเมื่อเดือนก.ย.ว่าอยู่ในช่วงเลื่อนการก่อสร้างโรงงานในนครควิเบก ประเทศแคนาดาออกไปเนื่องจาก ‘เหตุผลภายในท้องถิ่น’

เคนนี คิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ SNE Research บริษัทวิจัยในกรุงโซลที่มุ่งเน้นไปที่บริษัทผลิตแบตเตอรี่เกาหลี กล่าวว่า แม้บริษัทจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ แต่ผู้ประกอบการจากเกาหลีใต้จำนวนมากเริ่มกังวล "อย่างมาก" ว่าทรัมป์จะปรับลดเงินอุดหนุนสำหรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าลง

ก่อนหน้านี้ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเรื่องการอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้าผ่านพระราชบัญญัติพลังงานที่ชื่อว่า ‘Inflation Reduction Act’ มาโดยตลอด โดยรัฐบาลใหม่ของทรัมป์มีแผนลดข้อกำหนดในการประหยัดเชื้อเพลิง และตามรายงานของรอยเตอร์สเมื่อเดือนที่แล้ว คณะบริหารอาจจะยกเลิกเครดิตภาษีผู้บริโภครายละ 7,500 ดอลลาร์

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า การยกเลิกเงินอุดหนุน เครดิตภาษี และแรงจูงใจอื่นๆ จำนวนหลายร้อยพันล้านดอลลาร์มีผลเชิงลบต่อการจ้างงานในสหรัฐหลายหมื่นตำแหน่ง และทำลายความพยายามในการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าให้ห่างออกจากจีน นอกจากนี้ยังอาจกระทบรายได้ของบริษัทเกาหลีซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ จากความพยายามลดการพึ่งพาผู้ผลิตจากจีนท่ามกลางช่วงเวลาที่พวกเขากำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัว และราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง

"เราติดตามทุกคำพูดจากทรัมป์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า" บยองฮุน คิม ซีอีโอของ Ecopro Materials Co. ผู้จัดหาวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าของ Ford Motor Co. และ General Motors Co. กล่าว

"เราถือว่า Inflation Reduction Act เป็นประเด็นสำคัญมาตลอด" คิม กล่าว พร้อมเสริมว่า "หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เราอาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของเราด้วย"

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดนเสนอเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยในการร่วมทุนระหว่าง Samsung SDI Co. และ Stellantis NV ในการสร้างโรงงานผลิตเซลล์ในรัฐอินเดียนา อย่างไรก็ตาม คณะทำงานเพื่อการเปลี่ยนผ่านของทรัมป์รีบตั้งคำถามกับข้อเสนอนี้ วิเวค รามาสวามี หนึ่งในสองรายนามที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานร่วมของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (D.O.G.E) กล่าวในโพสต์บน X ว่าคณะกรรมการฯ จะตรวจสอบการช่วยเหลือของคณะทำงานของไบเดนอย่างละเอียด

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า หลังจาก Inflation Reduction Act มีผลบังคับใช้ในปี 2022 ทางการสหรัฐต่างประกาศอย่างโจ่งแจ้งต่อโรงงานในเกาหลีกว่า 50% ว่าจะมีการสร้างงานมากกว่า 20,000 ตำแหน่งบริเวณ Battery Belt’ ของสหรัฐซึ่งครอบคลุมพื้นที่จากมลรัฐมิชิแกน โอไฮโอ เคนทักกี ไปจนถึงจอร์เจีย

เกาหลีใต้ได้มีส่วนในการสร้างงาน และการลงทุนในพื้นที่ Rust Belt พัคแท ซอง รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่เกาหลี กล่าว พร้อมกล่าวเสริมว่าการมีผู้ผลิตแบตเตอรี่จากเกาหลีจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐในการแข่งขันกับห่วงโซ่อุปทานที่จีนครองตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และกลุ่มของเขาอยู่ในช่วงเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐเพื่อเจรจาล็อบบี้เพื่อรักษานโยบายจูงใจด้านยานยนต์ไฟฟ้าไว้

ศูนย์วิจัย Reshoring Initiative เปิดเผยว่า แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการย้ายฐานการผลิตกลับมาในสหรัฐ ระหว่างปี 2021 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 นอกจากนี้ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการลงทุนโดยตรง และการย้ายฐานการผลิตของเกาหลีในสหรัฐสร้างงานในอเมริกาเหนือ ได้ 20,360 ตำแหน่งในปี 2023 มากกว่าประเทศอื่นใดๆ

ดังนั้นการตัดเครดิตภาษีของทรัมป์จะกระทบกับบริษัทแบตเตอรี่ของเกาหลีอย่างหนัก ในช่วงที่บริษัทเหล่านี้กำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัวลง ราคาลิเทียม ซึ่งเป็นแร่สำคัญที่เชื่อมโยงกับราคาขายของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ดิ่งลงเกือบ 90% จากจุดสูงสุดในปี 2022 เนื่องจากปริมาณการนำไปใช้ในรถไฟฟ้าน้อย และช้ากว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

LG Energy Solution พันธมิตรสำคัญของ GM ได้บันทึกเครดิต Inflation Reduction Act ประมาณ 1 ล้านล้านวอน (773 ล้านดอลลาร์) ในบัญชีของตัวเองในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขาดทุนสุทธิในปีงบประมาณ 2023 ด้าน SK On พันธมิตรของ Ford ได้รับเครดิตภาษีจากสหรัฐประมาณ 2.11 แสนล้านวอนในสามไตรมาสแรก แต่ยังคงเผชิญกับสภาวะขาดทุน

บริษัทสัญชาติเกาหลียังกังวลว่าทรัมป์อาจอนุญาตให้บริษัทแบตเตอรี่ของจีนเข้าสู่สหรัฐโดยรอยเตอร์สรายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า Contemporary Amperex Technology Co. Ltd หรือ CATL ของจีนจะพิจารณาสร้างโรงงานในสหรัฐหากทรัมป์เปิดประตู

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา Inflation Reduction Act ของไบเดนปิดกั้นการลงทุนจากจีนมาจนถึงปัจจุบัน โดยขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ค่อยๆ ลดการจัดหาแร่ธาตุสำคัญสำหรับแบตเตอรี่จาก ‘Foreign Entities of Concern’ หรือ FEOC ซึ่งหมายความถึงบริษัทต่างชาติที่ดำเนินกิจการแล้วอาจกระทบความมั่นคงของสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ

ด้าน ปาร์ค ชุลวาน ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมยานยนต์ มหาวิทยาลัยซอจอง กล่าวว่า "การเข้ามาของจีนในสหรัฐจะเป็นหายนะสำหรับเกาหลี" และ "บริษัทแบตเตอรี่ของจีนจะเสนอราคาที่ต่ำกว่ามาก"

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมีความหวังว่าทรัมป์จะไม่ตัดเครดิตสำหรับผู้ผลิตแบตเตอรี่ เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐที่บริหารโดยพรรครีพับลิกัน

คิตาเอะ คิม ซีอีโอของ SungEel Recycling Park Indiana โรงรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเมือง ไวท์สทาวน์ รัฐอินเดียน่า กล่าวว่า  "ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่ [ทรัมป์] จะลดสิทธิประโยชน์จาก Inflation Refuction Act"

ทั้งนี้ หุ้นของ LG Energy ปรับตัวขึ้น 0.3% ในวันจันทร์ ขณะที่หุ้นของ Samsung SDI ร่วงลง 2.8%

ด้าน แพท วิลสัน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน SK On สามแห่ง กล่าวในอีเมลถึงบลูมเบิร์ก นิวส์ ว่าจอร์เจียจะช่วยให้บริษัทเกาหลี "สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"

"ตลาดสหรัฐยังคงเป็นตลาดผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดในโลก" เขากล่าว พร้อมเสริมว่า "บริษัทเกาหลีรู้เรื่องนี้มาก่อนยุคของรัฐบาลไบเดน และข้อเท็จจริงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้มีรัฐบาลใหม่"

‘TikTok’ ร้อง!! ศาลสหรัฐ ให้ระงับการแบนแอป จนกว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี

(10 ธ.ค. 67) Tiktok ยื่นคำร้องเมื่อวันจันทร์ว่า ศาลอุทธรณ์สหรัฐเขตโคลัมเบียควรออกคำสั่งห้ามนับถอยหลังวันครบกำหนดขายหุ้นหรือแบนแพลตฟอร์ม (ซึ่งมีระยะเวลาให้ทำตามข้อกำหนดน้อยกว่า 6 สัปดาห์) เพื่อให้ศาลฎีกาสามารถพิจารณาคำเรียกร้องของบริษัทที่อ้างว่า การเรียกร้องของรัฐบาลสหรัฐละเมิดสิทธิในเสรีภาพของการพูดและสิทธิตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ

ติ๊กต็อกและไบท์แดนซ์ ระบุในคำร้องที่ยื่นต่อศาลว่า “การสั่งห้ามเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาพิจารณาจุดยืนของตนเอง ซึ่งอาจช่วยให้เกิดการหารือถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและความจำเป็นในการพิจารณาของศาลฎีกา”

นิกเกอิเอเชีย ระบุว่า ติ๊กต็อกสามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคำตัดสินของศาลแขวง แต่ต้องมีเสียงจากผู้พิพากษา 4 ใน 9 ที่ตกลงจะพิจารณาคดีนี้ จึงจะได้รับการพิจารณาต่อไป

ติ๊กต็อกได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ตัดสินคำร้องสั่งห้ามนับถอยหลังกำหนดขายหุ้น ภายในวันที่ 16 ธ.ค. นี้ ขณะที่กระทรวงยุติธรรมขอให้ศาลปฏิเสธคำร้องของบริษัทโดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดีเพิ่มเติม

การยื่นคำร้องขอสั่งห้ามของติ๊กต็อกมีขึ้นหลังจากศาลตัดสินเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) ยกฟ้องการท้าทายทางกฎหมายของติ๊กต็อกต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาติ (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act.)

คำสั่งของศาลที่ออกมาเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ผู้พิพากษา 3 คน บอกว่า การสั่งให้ขายหุ้นหรือแบนแอพลิเคชัน ไม่ได้ปิดกั้นเสรีภาพในการพูด และไม่ได้ละเมิดการคุ้มครองด้านความเท่าเทียม

อนึ่ง วันครบกำหนดให้ไบท์แดนซ์ขายติ๊กต็อกคือวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายที่มีขึ้นก่อนวันว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.

แม้ทรัมป์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการแบนติ๊กต็อก แต่เขาได้เปลี่ยนจุดยืนในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง โดยบอกว่าตนไม่เห็นด้วยกับความเคลื่อนไหว (การแบนติ๊กต็อก) ดังกล่าว ซึ่งการสนับสนุนของเขามีขึ้นหลังจากได้พบกับมหาเศรษฐีเจฟฟ์ แยส ที่เป็นผู้ลงทุนรายแรกในไบท์แดนซ์ และเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินทางการเมืองรายใหญ่สุดของการหาเสียงของทรัมป์

ทั้งนี้ ติ๊กต็อกอาจต้องสูญรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และบรรดาครีเอเตอร์อาจสูญเสียรายได้รวมกันเกือบ 300 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 1 เดือน ถ้าไม่ยุติการแบนแอปฯ

ติ๊กต็อกเผยเมื่อวันจันทร์ว่า แพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานชาวอเมริกันมากถึง 170 ล้านคน และว่าการโฆษณา การตลาด และการเข้าถึงแบบออร์แกนิกบนแอปฯนั้น สร้างเม็ดเงินให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ 24,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 ในขณะที่การดำเนินงานของบริษัทเองก็มีส่วนหนุนจีดีพีสหรัฐอีก 8,500 ล้านดอลลาร์

'ทรัมป์' เล็งเพิ่มขุดเจาะน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ หนุนส่งออกพลังงาน ไม่แคร์สิ่งแวดล้อม

(11 ธ.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมกรุยทางให้บริษัทและนักลงทุนขนาดใหญ่สามารถขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ และส่งออกก๊าซธรรมชาติได้ โดยประกาศว่าจะเร่งอนุมัติการผ่อนปรนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ที่ลงทุนเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 33,730 ล้านบาท) ในประเทศ

ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียผ่าน Truth Social โดยระบุว่าจะเร่งอนุมัติใบอนุญาตให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่ลงทุนในสหรัฐฯ จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่า รวมถึงการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมที่จำเป็น

"บุคคลหรือบริษัทที่ลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่านั้นในสหรัฐฯ จะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตอย่างเร่งด่วนเต็มรูปแบบ รวมถึงการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมที่จำเป็น ซึ่งโดยปกติแล้วต้องใช้เวลานาน เตรียมตัวให้พร้อม!!!"

แหล่งข่าวใกล้ชิดกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ทรัมป์ต้องการผลักดันการอนุมัติการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันทั้งในดินแดนและนอกชายฝั่งสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการส่งออกพลังงาน

แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการอิสระ เช่น คณะกรรมการกำกับกิจกรรมพลังงานส่วนกลาง (FERC) ที่ต้องการทบทวนด้านสิ่งแวดล้อมในโครงการก๊าซ LNG

นอกจากนี้ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันยังมีแผนที่จะเพิกถอนข้อจำกัดและกฎหมายสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมบางประการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เช่น เครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้า และมาตรฐานโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่มุ่งยกเลิกการใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ

'โดนัลด์ ทรัมป์' ผงาด Time's Person of the Year กลับมารอบนี้เปลี่ยนบทบาทสหรัฐฯ บนเวทีโลก

(13 ธ.ค.67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับเลือกเป็น 'บุคคลแห่งปี' (Person of the Year) ประจำปี 2024 ของนิตยสารไทม์ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่เขาได้รับเกียรตินี้ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยได้รับตำแหน่งดังกล่าวในปี 2016 หลังชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก

ในแถลงการณ์ของนิตยสารไทม์ ระบุถึงเหตุผลในการเลือกนายทรัมป์ว่า "สำหรับการกลับมาครั้งประวัติศาสตร์ การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในหนึ่งชั่วอายุคน และการเปลี่ยนบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลก ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นบุคคลแห่งปี 2024"  

แซม เจคอบส์ บรรณาธิการบริหารของนิตยสารไทม์ กล่าวว่า นายทรัมป์คือผู้ที่มีอิทธิพลต่อข่าวสารทั่วโลกมากที่สุดในปี 2024 ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบก็ตาม ซึ่งทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากได้รับการประกาศตำแหน่ง นายทรัมป์ได้เดินทางไปลั่นระฆังเปิดตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อช่วงเช้าวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเติบโตมาจากจุดเริ่มต้นก่อนก้าวสู่เวทีการเมืองสหรัฐฯ โดยนายทรัมป์แสดงความรู้สึกว่า "ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับตำแหน่งนี้เป็นครั้งที่สอง และผมคิดว่าครั้งนี้ยิ่งมีความหมายมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก"

ที่ผ่านมา นิตยสารไทม์ได้มอบตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับบุคคลทรงอิทธิพลจากหลากหลายวงการ เช่น อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา, ประธานาธิบดีโจ ไบเดน, ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน, สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา ส่วนผู้ได้รับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้วคือเทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน

'โชว ชู' ซีอีโอ TikTok ดอดพบ 'ทรัมป์' สัญญาณบวกว่าที่ผู้นำสหรัฐใจอ่อนสั่งปลดแบน

(17 ธ.ค. 67) โชว ชู ซีอีโอของติ๊กต๊อก (TikTok) ได้เข้าพบโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รีสอร์ตมาร์-อา-ลาโกในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดาเมื่อวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพบปะก่อนที่ติ๊กต๊อกจะถูกแบนในสหรัฐฯ จากข้อกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ทรัมป์กล่าวว่าเขาอาจพิจารณายกเลิกคำสั่งแบนเพื่อสนับสนุนติ๊กต๊อก ซึ่งเป็นแอปที่เขาใช้เข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยหนุ่มสาวระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง "เราจะพิจารณาเรื่องติ๊กต๊อก" ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า "คุณรู้ไหม ผมมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับติ๊กต๊อก"

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยพยายามสั่งแบนติ๊กต๊อกในปี 2563 แต่ภายหลังเปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับแอปนี้

แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการหารือระหว่างทรัมป์และโชว ชู โฆษกของติ๊กต๊อกก็ไม่ได้ตอบกลับการขอความคิดเห็นจากสื่อ

การสั่งแบนติ๊กต๊อกมีผลในวันที่ 19 มกราคม 2568 ตามกฎหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนาม ยกเว้นหากบริษัท ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของติ๊กต๊อก ยอมขายแอปให้กับผู้ถือหุ้นชาวอเมริกัน

ถึงแม้ ByteDance จะพยายามต่อสู้กับกฎหมายนี้ แต่ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตันก็มีคำตัดสินให้คงคำสั่งแบนและปฏิเสธคำขอระงับคำสั่งแบนชั่วคราว โดยในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ติ๊กต๊อกได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อขอให้ทบทวนคำตัดสินดังกล่าว

โชว ชู เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เลือกเข้าพบทรัมป์ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมนี้ โดยก่อนหน้านี้มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตาแพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) และทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล (Apple) ก็เคยพบกับทรัมป์ที่มาร์-อา-ลาโกในโอกาสต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ศึกแบนติ๊กต๊อกยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ByteDance ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดเพื่อขอระงับคำสั่งแบนที่จะมีผลในวันที่ 19 มกราคม 2568 ทว่า ทรัมป์ก็ส่งสัญญาณว่าจะพิจารณายกเลิกคำสั่งแบนนี้ หากคำสั่งแบนยังคงอยู่ ทรัมป์อาจมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเรื่องนี้ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่

สภาล่างสหรัฐฯ ปัดตกร่างงบประมาณของทรัมป์ จับตา government shutdown คืนนี้

(20 ธ.ค.67) สหรัฐกำลังเสี่ยงเผชิญภาวะ 'ชัตดาวน์ทางการคลัง' รอบใหม่ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก โหวตคว่ำร่างงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวที่สนับสนุนโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและที่ปรึกษาคนสนิท ส่งผลให้รัฐบาลกลางอาจขาดงบประมาณสำหรับดำเนินงานหากไม่สามารถตกลงกันได้ก่อนเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคมนี้ (ตามเวลาสหรัฐ)

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติด้วยคะแนน 235 ต่อ 174 เสียง โดยมีสมาชิกพรรครีพับลิกัน 38 คน โหวตค้านร่างงบฯ ฉบับทรัมป์ ที่เปิดช่องให้ยกเลิกเพดานหนี้และสามารถก่อหนี้เพิ่มอย่างมหาศาล ซึ่งกลายเป็นประเด็นขัดแย้งภายในพรรค ขณะที่ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าจะมีการประชุมใหม่เพื่อหาทางออกต่อไป

แม้ว่าพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะเคยบรรลุข้อตกลงร่วมกันในร่างงบประมาณรายจ่ายที่ครอบคลุมเงินช่วยเหลือด้านภัยพิบัติและการเกษตรมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ แต่ทรัมป์และมัสก์กลับออกมาคัดค้านเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม โดยทรัมป์ขู่ว่าจะไม่สนับสนุนสมาชิกสภาที่ไม่ยอมทำตามข้อเสนอของเขา

หากร่างงบประมาณไม่ผ่านภายในกำหนด จะเกิดภาวะรัฐบาลชัตดาวน์ ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานรัฐบาลกลาง 438 แห่งทั่วสหรัฐ รวมถึงการจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง และบริการสาธารณะต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องหยุดชะงัก

ที่จริงแล้ว พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างงบประมาณรายจ่ายที่จะนำมาโหวตในสัปดาห์นี้ได้ โดยพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงื่อนไขที่ต้องการคือ การอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม 1.1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือด้านภัยพิบัติและการเกษตร อย่างไรก็ตาม ทรัมป์และมัสก์ได้ออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น

แม้ว่าทรัมป์จะยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ แต่เขามักใช้อิทธิพลทางการเมืองอย่างไม่เป็นทางการเพื่อกดดันฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในครั้งนี้ เขาขู่ว่าจะไม่สนับสนุนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต่อต้านเขาในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อกดดันให้มีการปรับแก้ร่างงบประมาณ และเปิดทางให้ระงับการจำกัดเพดานหนี้เป็นเวลา 2 ปี ทรัมป์ต้องการหลีกเลี่ยงการต่อรองทางการเมืองเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะทำให้รัฐบาลของเขาก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนจากพรรครีพับลิกันไม่เห็นด้วย

ทรัมป์ต้องการให้สภาคองเกรสจัดการกับปัญหาเพดานหนี้ในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเขาคือการขยายเวลาลดหย่อนภาษี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีคาดการณ์ว่าจะทำให้หนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษหน้า จากระดับปัจจุบันที่ 36 ล้านล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์ชี้ว่าการขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากภายในพรรครีพับลิกันและการพยายามรวบอำนาจของทรัมป์ ขณะที่แผนการขยายเวลาลดหย่อนภาษีที่เขาผลักดันอาจทำให้หนี้ของรัฐบาลกลางพุ่งสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า จากปัจจุบันที่ 36 ล้านล้านดอลลาร์

'ทรัมป์' ขู่ยึดคลองปานามาคืน จวกผู้นำปานามาคิดค่าผ่านทางแพงไป

(23 ธ.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีขู่ทวงคืนคลองปานามาให้กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ พร้อมทั้งกล่าวหาปานามาว่าเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปสำหรับการใช้คลองในการเดินเรือสินค้าและเรือทหารไปยังทวีปอเมริกากลาง ขณะที่เตือนว่าจีนนั้นมีอิทธิพลเหนือคลองปานามา

ท่าทีดังกล่าวของทรัมป์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะกล่าวกับกลุ่มผู้สนับสนุนในงาน AmericaFest ซึ่งจัดโดยกลุ่มเคลื่อนไหวอนุรักษนิยม Turning Point ที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โดยทรัมป์ประกาศว่าจะไม่ยอมให้คลองปานามาตกไปอยู่ในมือของบุคคลที่ไม่สมควร

“เราโดนโกงที่คลองปานามาเหมือนกับที่โดนโกงที่อื่น ๆ ค่าธรรมเนียมที่ปานามาเรียกเก็บนั้นไร้สาระและไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง การฉ้อโกงประเทศของเราจะยุติลงทันที” ทรัมป์กล่าว โดยอ้างถึงช่วงเวลาที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนหน้า

ทรัมป์กล่าวว่า คลองปานามาเคยเป็นของสหรัฐฯ แต่ถูกส่งมอบให้ปานามาควบคุมในปี 1999 ภายใต้การลงนามของจิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า การส่งมอบในครั้งนั้นเป็นการขายในราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการกระทำที่โง่เขลา

ทรัมป์ยังย้ำว่า การมอบคลองปานามาให้ปานามาและประชาชนชาวปานามา ควรเป็นการมอบให้รัฐบาลปานามาบริหารจัดการเพียงประเทศเดียว ไม่ใช่ให้จีนหรือประเทศอื่นเข้ามามีบทบาท

“หากหลักการทั้งทางศีลธรรมและกฎหมายของการมอบของขวัญนี้ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม เราจะเรียกร้องให้คืนคลองปานามาให้กับเราโดยทันทีและไม่ลังเล” ทรัมป์กล่าว

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่าคลองปานามาเป็น ‘ทรัพย์สินสำคัญของชาติ’ สำหรับสหรัฐฯ และหลังจากร่วมงานที่รัฐแอริโซนา เขายังโพสต์ภาพธงชาติสหรัฐฯ เหนือผืนน้ำ พร้อมข้อความว่า “ยินดีต้อนรับสู่คลองสหรัฐฯ!”

ด้าน โชเซ ราอูล มูลิโน ประธานาธิบดีปานามา ตอบโต้ท่าทีของทรัมป์ โดยยืนยันว่า 'ทุกตารางเมตร' ของคลองปานามาและพื้นที่โดยรอบเป็นของประเทศปานามา และอำนาจอธิปไตยของปานามาไม่สามารถต่อรองได้

สำหรับคลองปานามามีความยาว 82 กิโลเมตร เชื่อมต่อมหาสมุทรแอตแลนติกกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางหลักสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างทวีป โดยคลองแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1900 และอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ จนถึงปี 1977 ก่อนจะมีการลงนามสนธิสัญญาตอร์ริโฮส-คาร์เตอร์ (Torrijos-Carter Treaties) ซึ่งรับประกันการส่งมอบคลองให้แก่ปานามาในปี 1999

ทุกปีมีเรือมากถึง 14,000 ลำที่เดินทางผ่านคลองปานามา รวมถึงเรือบรรทุกสินค้าและเรือรบ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ใช้งานคลองนี้มากที่สุด โดยกว่า 72% ของการขนส่งผ่านคลองปานามาเป็นการขนส่งระหว่างท่าเรือสหรัฐฯ

สื่อแฉ 'ทรัมป์' ส่งข้อความหา 'เซเลนสกี' แนะสละดินแดนยูเครนแลกหยุดยิง

(23 ธ.ค.67) El Pais สื่อของสเปนรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ส่งข้อความถึง โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ขอให้พิจารณาทบทวนเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงและยอมรับการละทิ้งดินแดนบางส่วนที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย ตามรายงานจากหนังสือพิมพ์เอลปาอิส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม

ทรัมป์ยืนยันคำสัญญาที่ว่า เขาจะยุติความขัดแย้งในยูเครนภายในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าแผนการของเขาจะสำเร็จได้อย่างไร คำประกาศของเขาทำให้เกิดความกังวลในเคียฟ โดยเฉพาะเรื่องความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ที่อาจลดลง และการตรวจสอบเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ที่ยูเครนได้รับจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

“หากคุณมองไปที่เมืองต่าง ๆ เหล่านั้น บางเมืองไม่มีอาคารหลงเหลืออยู่ในสภาพดีเลยแม้แต่สักอาคารเดียว ดังนั้น เมื่อคุณพูดถึงการฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูอะไร? การฟื้นฟูต้องใช้เวลามากกว่า 110 ปี” ทรัมป์กล่าวในข้อความที่ส่งถึงเซเลนสกี จากกอล์ฟคลับของเขาในฟลอริดา เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ทรัมป์เรียกร้องให้ทั้งยูเครนและรัสเซียบรรลุข้อตกลงหยุดยิงทันที โดยเขาโพสต์ข้อความบนทรัสต์โซเชียล แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของเขาหลังจากที่ได้พบกับเซเลนสกีและประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสในกรุงปารีส

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่าในต้นเดือนธันวาคม ทรัมป์ได้กล่าวว่า ยุโรปตะวันตกควรประจำการทหารในยูเครน เพื่อสังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิง และว่าอียูควรมีบทบาทหลักในการป้องกันและสนับสนุนยูเครน ในขณะที่สหรัฐฯ จะสนับสนุนทางการเงิน แต่ไม่ส่งกำลังพล

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้เน้นย้ำในการแถลงข่าวสิ้นปีว่า มอสโกยังคงเปิดกว้างในการเจรจากับเคียฟโดยไม่ต้องวางเงื่อนไขล่วงหน้า ยกเว้นเงื่อนไขที่เคยตกลงกันในโต๊ะเจรจาที่อิสตันบูลในปี 2022 โดยพิจารณาสถานะความเป็นกลางของยูเครนและข้อจำกัดการประจำการอาวุธต่างชาติ

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศฮังการี ปีเตอร์ ซิยาร์โต ได้กล่าวกับ RIA Novosti ของรัสเซีย ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่จำเป็นต้องการตัวกลางในการแก้ไขวิกฤตยูเครน “ถ้าจำเป็นต้องมีตัวกลาง ก็ต้องได้รับการเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย หรือทุกฝ่าย และผมไม่เห็นการเห็นชอบเช่นนั้นในตอนนี้” ซิยาร์โตกล่าว และเสริมว่า ทรัมป์สามารถติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดีของยูเครนหรือประธานาธิบดีของรัสเซียได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top