Monday, 12 May 2025
WORLD

‘เทปโก้’ เผย ผลตัวอย่างน้ำทะเล ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ’ หลังทำการปล่อยน้ำเสียสู่ทะเล ยัน!! ยังอยู่ในระดับปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ หรือ ‘เทปโก้’ ผู้เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ในประเทศญี่ปุ่นเผยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมว่า ผลตรวจตัวอย่างน้ำทะเลหลังการเริ่มปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ที่ผ่านการบำบัดแล้วของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเลเมื่อวานนี้ (24 ส.ค.) แสดงให้เห็นว่าระดับกัมมันตภาพรังสีในน้ำยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย

นายเคสุเกะ มัตซึโอะ โฆษกของเทปโก้กล่าวในการแถลงข่าวว่า “เรายืนยันว่าค่าที่วิเคราะห์ได้นั้นต่ำกว่า 1,500 เบ็กเคอเรลต่อลิตร” โดยหน่วยวัด เบ็กเคอเรลต่อลิตร จะถูกใช้ในการวัดระดับกัมมันตภาพรังสี ซึ่งค่ามาตรฐานความปลอดภัยแห่งชาติได้ระบุไว้ที่ 60,000 เบ็กเคอเรลต่อลิตร

นายมัตซึโอะกล่าวอีกว่า การตรวจตัวอย่างน้ำดังกล่าวได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกับผลการทดสอบก่อนหน้านี้ และได้ค่าที่ต่ำกว่าระดับมาตรฐานความปลอดภัยที่ระบุไว้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นแล้ว ทางหน่วยงานจะทำการวิเคราะห์ต่อไปทุกวันตลอด 1 เดือนข้างหน้าและหลังจากนั้น รวมถึงหวังว่าการให้คำอธิบายที่เข้าใจง่ายและรวดเร็วนี้ จะช่วยคลายความกังวลของหลายคนได้ ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นก็ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลจาก 11 แห่งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เพื่อนำไปตรวจสอบและจะมีการประกาศผลที่ได้ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้

นอกจากนั้นแล้ว สืบเนื่องจากที่ประเทศจีนได้มีคำสั่งแบนการนำเข้าอาหารทะเลทั้งหมดจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ หลังเริ่มปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเล ล่าสุด รายงานของเทอิโคคุ ดาตาแบงก์ บริษัทวิจัยตลาดเผยว่า บริษัทผู้ส่งออกอาหารของประเทศญี่ปุ่นไปยังประเทศจีนจำนวน 727 แห่ง ได้รับผลกระทบจากคำสั่งแบนดังกล่าวของจีน ซึ่งคิดเป็นราว 8% ของบริษัทญี่ปุ่นทั้งหมดที่ส่งสินค้าไปยังจีน

ประเทศญี่ปุ่นส่งออกผลิตภัณฑ์ทางทะเลไปยังประเทศจีนในปี 2022 เป็นมูลค่าราว 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 21,066 ล้านบาท ถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยการส่งออกไปยังประเทศจีนและฮ่องกงคิดเป็นสัดส่วน 42%  ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางทะเลทั้งหมดของญี่ปุ่นในปี 2022

นายยาสึโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ผู้รับผิดชอบในด้านนโยบายนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ได้วิงวอนให้นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเรียกร้องให้จีนยกเลิกการแบนดังกล่าว

‘ปูติน’ เคลื่อนไหวครั้งแรก หลังเครื่องบินวากเนอร์ดิ่งตก เผย ‘พริโกซิน’ เป็นคนเก่ง-มีพรสวรรค์ แต่ทำผิดพลาดร้ายแรง

ความคืบหน้าหลังเกิดเหตุเครื่องบินส่วนตัวของ ‘นายเยฟเกนี พริโกซิน’ ผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่มวากเนอร์ กองกำลังทหารรับจ้างสัญชาติรัสเซีย ดิ่งตกใกล้หมู่บ้านคูเซนกิโนในแคว้นตเวียร์ ทางตอนเหนือของกรุงมอสโก ประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเป็นการกำจัดผู้คิดคดก่อกบฏต่อรัฐบาลรัสเซีย

ภายหลังนายพริโกซินนำกำลังวากเนอร์บุกยึดเมืองรัสเซีย รวมถึงมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงมอสโก เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย อดีตมิตรรักของนายพริโกซิน กล่าวเป็นครั้งแรกราว 24 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุเครื่องบินตกว่า “หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างผู้มีความสามารถคนนี้ ทำผิดพลาดร้ายแรงในชีวิต” แต่ไม่ได้มีการยืนยันอย่างชัดเจน ว่านายพริโกซินเสียชีวิต

โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (เพนตากอน) ระบุว่าสหรัฐเชื่อว่านายพริโกซินเสียชีวิตในเหตุเครื่องบินตก เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ คนหนึ่งเปิดเผยกับซีบีเอสนิวส์ว่า สาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เครื่องตก น่าจะเป็นการลักลอบนำวัตถุระเบิดซุกซ่อนขึ้นไปไว้บนเครื่องบิน

ส่วนกลุ่มวากเนอร์ระบุผ่านบัญชีเกรย์โซนบนเทเลแกรม ว่าเครื่องบินถูกระบบต่อต้านอากาศยานของรัสเซียยิงตกอย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ยังไม่มีการยืนยัน

ด้านหน่วยงานสืบสวนรัสเซียกำลังสอบปากคำเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว ซึ่งเป็นต้นทางที่เครื่องบินของนายพริโกซินขึ้นบิน เพื่อมุ่งหน้าไปนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รวมถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิด

วันเดียวกัน กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่ากองทัพสกัดกั้นโดรนของยูเครน 42 ลำที่พุ่งเป้าโจมตีในพื้นที่ไครเมีย ทางตอนใต้ของยูเครน และในจำนวนนี้ 33 ลำถูกกำจัดโดยการสงครามอิเล็กทรอนิกส์

ขณะที่สื่อนอร์เวย์รายงานว่า รัฐบาลนอร์เวย์จะสนับสนุนเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 แก่ยูเครนเพื่อยกระดับการปกป้องอธิปไตยจากการรุกรานของรัสเซีย แต่ยังไม่มีแถลงอย่างเป็นทางการ โดยความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจาก นายกรัฐมนตรีโยนาส การ์ สเตอร์ ผู้นำนอร์เวย์ เดินทางเยือนกรุงเคียฟกะทันหันในวันวันประกาศอิสรภาพยูเครน เมื่อวันที่24 ส.ค.ที่ผ่านมา

‘ทรัมป์’ เข้ามอบตัว หลังแพ้คดีล้มล้างผลการเลือกตั้ง ปี 2020 นับเป็น ปธน.สหรัฐฯ คนแรก ที่ถูกบันทึกภาพประวัติอาชญากรรม

(25 ส.ค. 66) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เข้ามอบตัวที่รัฐจอร์เจียแล้วเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น และสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกบันทึกภาพเพื่อประกอบแฟ้มคดี

ทรัมป์เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวจากรัฐนิวเจอร์ซีไปยังเรือนจำที่ฟูลตันเคาน์ตี ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เพื่อเข้ามอบตัวในข้อหาวางแผนล้มล้างผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 โดยเขาอยู่ในเรือนจำดังกล่าวราว 20 นาที ท่ามกลางผู้สนับสนุนหลายสิบคนที่รวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนจำ

ในบันทึกที่มีการโพสต์บนเว็บไซต์ของเรือนจำ ทรัมป์ถูกบรรยายว่าเป็นชายผิวขาว สูง 6 ฟุต 3 นิ้ว หนัก 97 กิโลกรัม ผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า และมีหมายเลขผู้ต้องหาคือ ‘P01135809’

ทรัมป์ได้วางเงินประกันตัว 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 7,000,000 บาท เพื่อให้เขาได้รับการปล่อยตัวขณะรอการพิจารณาคดี แม้ว่านี่จะเป็นข้อหาในคดีอาญาครั้งที่ 4 ที่ทรัมป์เจอในปีนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์ถูกถ่ายภาพเพื่อประกอบการทำแฟ้มคดีอย่างเป็นทางการ

ก่อนเดินทางกลับบ้าน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่สนามบินว่า เขามีสิทธิ์ที่จะคัดค้านผลการเลือกตั้ง เพราะเขาคิดว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิ์ทุกประการที่จะทำเช่นนั้น และมีคนจำนวนมากที่ทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าฮิลลารี คลินตัน หรือสเตซีย์ อับรามส์ (อดีตผู้สมัครผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย) หรือคนอื่นๆ อีกมากมาย

ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า คดีที่มีการกล่าวหาเขาในครั้งนี้เป็นเพียงความยุติธรรมจอมปลอม ต่อมาเขาโพสต์บน X เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 โดยนำภาพที่เขาถูกถ่ายประกอบแฟ้มคดีมาลงพร้อมระบุว่า “การแทรกแซงการเลือกตั้ง อย่ายอมแพ้!!”

ทรัมป์แย้งว่าคดีที่เขาถูกฟ้องร้องมีแรงจูงใจทางการเมือง เพราะเขาเป็นผู้นำในการแข่งขันชิงตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เพื่อท้าสู้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปีหน้า

เมื่อสัปดาห์ก่อน ทรัมป์ถูกตั้งข้อหาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐจอร์เจียร่วมกับจำเลย 18 คน หลังจากที่เขาพ่ายแพ้แก้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยคะแนนเสียงน้อยกว่า 12,000 เสียงในรัฐดังกล่าว โดยผู้ต้องหาที่ได้ไปมอบตัวเพื่อถ่ายทำประวัติในรัฐจอร์เจียครั้งนี้ยังรวมถึงนายรูดี จูเลียนี อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก และนายมาร์ก มีโดวส์ อดีตหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว

‘BRICS’ รับสมาชิกใหม่ 6 ชาติ มี ‘ซาอุฯ-อิหร่าน’ ร่วมแจมด้วย หวังเปลี่ยนระเบียบโลก-ขึ้นแท่นมหาอำนาจใหม่ สู้โลกตะวันตก

(25 ส.ค. 66) บริกส์ (BRICS) กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เห็นพ้องกันในวันพฤหัสบดี (24 ส.ค.) อ้าแขนต้อนรับ ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, เอธิโอเปีย, อียิปต์, อาร์เจนตินา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าเป็นรัฐสมาชิก ความเคลื่อนไหวที่มีเป้าหมายเร่งรัด ความพยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ที่พวกเขามองว่าเก่าเก็บล้าสมัยไปแล้ว

ในการตัดสินใจขยายขอบเขตของกลุ่ม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี บรรดาพวกผู้นำบริกส์ยังได้เปิดประตูสำหรับการรับสมาชิกใหม่เพิ่มเติมในอนาคต ในขณะที่ยังมีอีกหลายสิบประเทศที่ส่งเสียงแสดงความสนใจเข้าร่วมกลุ่ม ที่พวกเขาหวังว่าจะสามารถทำให้เกิดการแข่งขันกันในระดับโลกอย่างเป็นธรรมกับผู้เล่นทุกราย

การขยายขอบเขตเศรษฐกิจเพิ่มเติมเข้าสู่ BRICS ซึ่งปัจจุบันชาติสมาชิกประกอบด้วย จีน ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก บราซิล รัสเซีย อินเดีย และแอฟริกาใต้ ยังเป็นการยกระดับความทะเยอทะยานอย่างเปิดเผย ของทางกลุ่มในการก้าวเป็นแชมป์เปี้ยนแห่งโลกใต้

“นี่คือการขยายจำนวนสมาชิกครั้งประวัติศาสตร์” สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนกล่าว “มันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบรรดาประเทศกลุ่มบริกส์ สำหรับความเป็นหนึ่งเดียวกันและความร่วมไม้ร่วมมือ กับบรรดาชาติกำลังพัฒนาในวงกว้าง”

6 ชาติว่าที่สมาชิกใหม่จะกลายมาเป็นรัฐสมาชิกกลุ่มบริกส์อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2024 จากการเปิดเผยของ ‘ซีริล รามาโฟซา’ ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ครั้งที่เขาเปิดเผยชื่อประเทศเหล่านี้ ระหว่างการประซัมมิตผู้นำกลุ่มบริกส์เป็นเวลา 3 วัน ที่เขาเป็นเจ้าภาพในเมืองโยฮันเนสเบิร์ก

“บริกส์ได้เริ่มต้นปฐมบทใหม่ในความพยายามสร้างโลกที่ยุติธรรม โลกที่อยู่ร่วมกันและเต็มไปด้วยความรุ่งเรือง” รามาโฟซากล่าว “เรามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในขั้นแรกของกระบวนการขยายรับสมาชิก และขั้นอื่นๆ จะตามมาหลังจากนี้”

การเชิญประเทศต่างๆ เข้ากลุ่ม สะท้อนถึงความปรารถนาของรัฐสมาชิกกลุ่มบริกส์แต่ละชาติ ที่ต้องการดึงพันธมิตรของตนเองเข้าร่วมกลุ่ม

‘ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา’ ประธานาธิบดีบราซิล ล็อบบี้ให้นับรวมอาร์เจนตินา ประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนอียิปต์นั้นมีความใกล้ชิดทางการค้ากับรัสเซียและอินเดีย

ขณะเดียวกัน การเข้าร่วมของมหาอำนาจทางน้ำมันอย่างซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เน้นย้ำว่าพวกเขากำลังปลีกตัวออกจากวงโคจรของสหรัฐฯ และมีความทะเยอทะยานก้าวมาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก ด้วยสิทธิของตนเอง

รัสเซียและอิหร่าน มีเหตุผลร่วมกันในการดิ้นรนต่อสู้กับมาตรการคว่ำบาตร และการโดดเดี่ยวทางการทูตที่นำโดยสหรัฐฯ ในขณะที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ชาติมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตามหลังมอสโกเปิดฉากรุกรานยูเครน

“บริกส์ไม่ได้แข่งขันกับใคร” จากคำกล่าวในวันพฤหัสบดี (24 ส.ค.) ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเข้าร่วมประชุมแบบทางไกล สืบเนื่องจากหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงคราม “แต่ชัดเจนว่า กระบวนการนี้ของการปรากฏขึ้นมาของระเบียบโลกใหม่ ยังคงถูกต่อต้านอย่างดุเดือด”

จีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอธิโอเปีย และการเข้าร่วมของประเทศแห่งนี้ยังเป็นการดำเนินการตามความปรารถนาของแอฟริกาใต้ ที่ประสงค์เห็นแอฟริกามีสิทธิ์มีเสียงมากยิ่งขึ้นในกิจการต่างๆ ของโลก

ด้วย ‘อันโตนิโอ กูเตอร์เรส’ เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ เข้าร่วมในการแถลงข่าวขยายจำนวนสมาชิกกลุ่มบริกส์ด้วยในวันพฤหัสบดี (24 ส.ค.) มันสะท้อนอิทธิพลที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของกลุ่มนี้ ในขณะที่กูเตอร์เรส ส่งเสียงเห็นด้วยกับเสียงเรียกร้องมาช้านานของกลุ่มบริกส์ ที่อยากให้มีการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลก

เหล่าสมาชิกกลุ่มบริกส์ มีเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างมากในแง่ของขนาด และบ่อยครั้งรัฐบาลของพวกเขามีเป้าหมายในนโยบายต่างประเทศแตกต่างกัน เหล่านี้เป็นปัจจัยแทรกซ้อนต่อโมเดลการตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ของทางกลุ่ม

บริกส์ มีประชากรรวมกันคิดเป็น 40% ของประชากรโลก และมีเศรษฐกิจรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของจีดีพีโลก อย่างไรก็ตาม ความแตกแยกภายในเป็นอุปสรรคขัดขวางความทะเยอทะยานของบริกส์มาช้านาน ที่ต้องการกลายมาเป็นผู้เล่นหลักในเวทีโลก

ยกตัวอย่างเช่น กรณีสมาชิกของกลุ่มเน้นย้ำความปรารถนาปลีกตัวเองออกจากดอลลาร์สหรัฐ แต่มันไม่เคยเป็นรูปธรรม ในขณะที่ ‘ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่’ (New Development Bank) ความสำเร็จที่เป็นรูปเป็นร่างที่สุดของพวกเขา เวลานี้กำลังประสบปัญหาในยามที่รัสเซีย ผู้ร่วมก่อตั้งกำลังเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตร

ประธานาธิบดีบราซิล ปฏิเสธความคิดที่ว่าทางกลุ่มกำลังหาทางเป็นคู่ขัดแย้งกับสหรัฐฯ และกลุ่ม 7 ชาติเศรษฐกิจชั้นนำของโลก (จี7) แต่ระหว่างออกเดินทางจากแอฟริกาใต้ในวันพฤหัสบดี (24 ส.ค.) เขาไม่เห็นจะมีประเด็นโต้เถียงใดๆ ในการดึงอิหร่าน คู่ปรับเก่าแก่ของสหรัฐฯ เข้าเป็นรัฐสมาชิก “เราไม่อาจปฏิเสธความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของอิหร่านและประเทศอื่นๆ ที่จะเข้าร่วมกลุ่มบริกส์ สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องบุคคลที่บริหาร แต่มันอยู่ที่ความสำคัญของประเทศนั้นๆ”

‘ไบเดน’ โหนกระแส ฟันธง!! ‘ปูติน’ อยู่เบื้องหลัง  ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้า Wagner เสียชีวิต

(24 ส.ค. 66) จับกระแสไว ยิ่งกว่าเจ้าของรายการโหนกระแสเสียอีก สำหรับ ‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังจากทราบข่าวเรื่องอุบัติเหตุเครื่องบินของ ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ ผู้ก่อตั้งกองกำลัง Wagner ตกในรัสเซีย ที่ทำให้ผู้โดยสาร จำนวน 10 คน รวมทั้งเยฟเกนี พริโกซิน เสียชีวิตยกลำ ก็ได้ออกมาฟันธงทันทีว่า ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างแน่นอน

สื่อรัสเซียรายงานว่า เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินเจ็ทเหมาลำโดย ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ และผู้บริหารระดับสูงของกองกำลัง Wagner ตกที่ ‘เมืองตเวียร์’ ทางภาคตะวันตกของรัสเซีย เมื่อช่วงเย็นของวันพุธที่ 23 สิงหาคม 2566 และไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ตอนนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเคลียร์พื้นแล้ว ล่าสุดพบร่างผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ศพ ส่วนทางรัฐบาลมอสโก ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้

ถึงแม้ทางเครมลินยังเงียบ แต่ทำเนียบขาวมาแล้ว โดย ‘โจ ไบเดน’ ออกมาแสดงความเห็นอย่างหนักแน่นว่า ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย เกี่ยวข้องกับการตกของเครื่องบินเหมาลำของหัวหน้าหน่วย Wagner อย่างไม่ต้องสงสัย

ไบเดนกล่าวว่า “ผมยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ผมไม่ประหลาดใจเลย เพราะไม่ค่อยมีอะไรที่เกิดขึ้นในรัสเซีย แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับปูติน”

ไบเดนยังบอกนักข่าว CNN ที่ตามไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับข่าวของพริโกซินว่า เขาเคยพูดไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้วว่า พริโกซินต้องระวังความปลอดภัยของตัวเองให้มาก หลังเหตุก่อกบฏที่ล้มเหลวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ซึ่ง โจ ไบเดน เคยพูดเช่นนั้นจริงๆ ตอนที่เขาไปเยือนกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ในครั้งนั้น ไบเดนพูดติดตลกในห้องประชุมผู้สื่อข่าวว่า “ถ้าผมเป็นพริโกซินตอนนี้ ผมจะระวังอาหารทุกจานที่ผมกิน จับตามองเมนูทุกอย่างที่จะเสิร์ฟให้ผมนับจากนี้”

ไม่ใช่เฉพาะ ‘โจ ไบเดน’ ที่เชื่อว่า ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ‘มิไคโล โปโดลแยค’ ผู้ช่วยประธานาธิบดียูเครน ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นเช่นกันว่า อุบัติเหตุของเครื่องบินโดยสารของเยฟเกนี พริโกซิน เกิดขึ้นตรงวันที่กองกำลัง Wagner ลุกฮือในรัสเซีย ครบรอบ 2 เดือนพอดี (23 มิถุนายน 2566) ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณของรัฐบาลปูติน ถึงกลุ่มนายทุนชั้นสูงของรัสเซียว่า การไม่จงรักภักดีต่อระบอบปูติน มีราคาที่ต้องจ่าย และยังเป็นการปูทางสู่การเลือกตั้งใหญ่ในรัสเซียในปี 2024 อีกด้วย

ด้าน ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ที่ถูกพาดพิงจากสื่อทุกสำนักในวันนี้ ก็ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเยฟเกนี พริโกซิน นอกจากกำหนดการที่ต้องออกมากล่าวคำปราศรัยในวันฉลองชัย วันครบรอบ 80 ปี ยุทธการที่เมืองคูสค์ ซึ่งกองกำลังโซเวียตมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดต่อกองทัพนาซีเยอรมัน ในแนวรบที่เมืองคูสค์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้ถือโอกาสนี้กล่าวปลุกใจ สร้างขวัญทหารรัสเซียที่ไปรบในยูเครนตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โดยนักวิเคราะห์มองว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะของปูตินที่ยังแข็งแกร่งเพียงพอ ที่จะรอโอกาสแก้แค้นฝ่ายที่ต่อต้านเขาได้อย่างใจเย็น

สำหรับในวันนี้ ที่หน้าสำนักงานกองกำลัง Wagner ในเมือง เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก จะมีการจุดเทียน และวางดอกไม้ไว้อาลัยให้กับ เยฟเกนี พริโกซิน เนื่องจากพริโกซิน เป็นหนึ่งในนายทุนระดับสูงที่มีฐานความนิยมในรัสเซียอยู่พอสมควร ทว่าการจากไปของพริโกซิน ทำให้ไม่อาจคาดเดาอนาคตของกองกำลัง Wagner ที่ปักหลักในยูเครน และ ทวีปแอฟริกา ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไปหลังจากนี้…

‘สี จิ้นผิง’ รับเครื่องอิสริยาภรณ์ จาก ‘ปธน.ไซริล รามาโฟซา’ ตอกย้ำความร่วมมือพันธมิตร ‘จีน-แอฟริกาใต้’ อันแน่นแฟ้น

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, พริทอเรีย รายงานว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์แห่งแอฟริกาใต้ (Order of South Africa) จากไซริล รามาโฟซา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ณ นครพริทอเรีย

พิธีมอบเครื่องอิสริยาภรณ์ดังกล่าว มีขึ้นหลังจากสี จิ้นผิงประชุมร่วมกับรามาโฟซาระหว่างการเยือนแอฟริกาใต้อย่างเป็นทางการ ซึ่งเขาจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ ครั้งที่ 15 และเป็นประธานการเสวนาคณะผู้นำจีน-แอฟริกา ร่วมกับรามาโฟซา

สี จิ้นผิงกล่าวว่า ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านจีน-แอฟริกาใต้ได้เข้าสู่ยุคทอง โดยความไว้วางใจซึ่งกันและกันทางการเมือง ระหว่างสองฝ่ายเดินหน้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น และความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่ได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ในหลากหลายด้านผลิดอกออกผลมากมาย

ทั้งสองประเทศได้รักษาการประสานงานและความร่วมมือใกล้ชิดในกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาและการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีส่วนส่งเสริมเชิงบวกต่อการคุ้มครองผลประโยชน์ร่วมของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

สี จิ้นผิงสำทับว่าไม่ว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทั้งสองฝ่ายจะยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือฉันมิตรระดับทวิภาคีให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงกล่าวว่าเขาจะสงวนรักษาเครื่องอิสริยาภรณ์นี้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศ พร้อมแสดงคำมั่นเดินหน้าผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-แอฟริกาใต้อย่างแน่วแน่

‘อินเดีย’ ส่งยาน ‘จันทรายาน-3’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ลงจอดที่ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์สำเร็จเป็นชาติแรก

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 ยานสำรวจ จันทรายาน-3 ของ อินเดีย ลงจอดบริเวณขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จแล้วเมื่อเวลาประมาณ 19.34 น.ของเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาในประเทศไทย ท่ามกลางการส่งเสียงเชียร์ด้วยความดีใจของบรรดานักวิทยาศาสตร์ขององค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) และชาวอินเดียทั่วประเทศที่ลุ้นกันตัวโก่ง

ภารกิจในห้วงอวกาศครั้งประวัติศาสตร์นี้ ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นชาติแรกที่ส่งยานอวกาศลงจอดขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จ และเป็นประเทศที่ 4 ของโลกที่สามารถส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ได้ ต่อจากอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และ จีน ซึ่งทำให้อินเดียผงาดสู่การเป็นมหาอำนาจอวกาศอีกชาติหนึ่ง

ภายหลังจากที่ยานจันทรายาน 3 ได้ลงจอดสำเร็จนั้น หน่วยงานอวกาศรอสคอส ของรัสเซีย ได้แสดงความยินดีกับอินเดีย ที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดของยานอวกาศนี้ ผ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่า การสำรวจดวงจันทร์มีความสำคัญต่อมนุษยชาติทั้งหมด ในอนาคต มันอาจกลายเป็นเวทีสำหรับการเรียนรู้อวกาศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งร่วมชมการถ่ายทอดสดขณะยานจันทรายาน-3 ลงจอดบนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์ด้วยในระหว่างที่เขาอยู่ในระหว่างร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์อยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เขาได้โบกธงชาติอินเดียและกล่าวอย่างปลาบปลื้มในการประกาศความสำเร็จของภารกิจนี้ครั้งนี้ว่า นี่เป็นชัยชนะของอินเดีย

“แนวทางที่มีมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนี้… คือ โลกหนึ่งใบ หนึ่งครอบครัว อนาคตหนึ่งเดียวที่กำลังก้องกังวานไปทั่วโลก” เขาระบุ และยังสนับสนุนให้ประเทศอื่นๆ ได้เปิดภารกิจของตนเอง โดยกล่าวว่า ความสำเร็จของอินเดีย คือความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ

“เราทุกคนสามารถปรารถนาถึงดวงจันทร์ และที่อื่นๆเหนือไปกว่านั้นได้”

“ท้องฟ้าไม่ใช่ขีดจำกัดอีกต่อไป” นเรนทรา โมดี กล่าว

ภารกิจจันทรายาน-3 ครั้งนี้ ซึ่งเป็นความพยายามครั้งที่ 2 ของอินเดียในความพยายามส่งยานอวกาศลงบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น มีขึ้นไม่ถึงสัปดาห์หลังจากยานลูนา-25 ของรัสเซีย ประสบความล้มเหลวที่จะลงจอดบนดวงจันทร์

ทั้งนี้ คาดว่าจันทรายาน-3 จะยังคงทำงานได้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยทำการทดลองหลายชุด รวมถึงการวิเคราะห์องค์ประกอบของแร่ธาตุบนพื้นผิวดวงจันทร์

ทั้งนี้ ภารกิจนี้เปิดตัวเมื่อเกือบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีผู้ชมหลายพันคนที่ส่งเสียงให้กำลังใจเป็นสักขีพยาน โดยเคลื่อนที่ไปตามวงโคจรของโลกเป็นเวลาราว 10 วัน และเข้าไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้สำเร็จในวันที่ 6 สิงหาคม

ด่วน!! เกิดเหตุเครื่องบินตก คร่าชีวิต ‘พริโกซิน’ ผู้นำวากเนอร์ ขณะเดินทางกลับกรุงมอสโก ทางการรัสเซียเร่งสืบหาสาเหตุ

‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ผู้ก่อกบฎรัฐบาลปูติน เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตกระหว่างเดินทางไปมอสโก กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน แถลง 10 ผู้โดยสารเสียชีวิตทุกคน ขณะเทเลแกรมอ้างเครื่องบินถูกยิงตก

(24 ส.ค. 66 ) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสถานการณ์ในประเทศรัสเซียว่า มีรายงานจากสื่อในประเทศรัสเซียว่า นายเยฟกินี พริโกซิน หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ที่ก่อเหตุกบฏต่อรัฐบาลรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตก ในระหว่างเที่ยวบินจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปกรุงมอสโก

โดยเครื่องบินลำดังกล่าวมีผู้โดยสาร 10 คน ลูกเรือสามคน ซึ่งกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซียได้รายงานว่า จากเหตุเครื่องบินตกพบว่าลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด

“บนเครื่องบินมีผู้โดยสาร 10 คน รวมทั้งลูกเรือ 3 คน ตามข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดบนเครื่องบินเสียชีวิต” กระทรวงระบุ โดยเครื่องบินตกในภูมิภาคตเวียร์ ตอนเหนือของมอสโก

ขณะที่สํานักงานขนส่งทางอากาศแห่งสหพันธรัฐของรัสเซียกล่าวว่า ได้เริ่มการสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินตก และกล่าวต่อไปว่ามีชื่อของนายพริโกชินรวมอยู่ด้วย

“การสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินรุ่นเอ็มบราเออร์ Embraer ในภูมิภาคตเวียร์เมื่อเย็นวานนี้ได้เริ่มต้นขึ้น ตามรายชื่อผู้โดยสารชื่อและนามสกุลของนายเยฟกินี พริโกซิน รวมอยู่ในรายชื่อนี้” สำนักข่าวในรัสเซียระบุ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานจากโซเชียลมีเดียเทเลแกรมช่อง Grey Zone ซึ่งเป็นช่องของกลุ่มวากเนอร์ระบุว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงตก

‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะ IQ204 แห่งเกาหลีใต้ ผู้ถูกคาดหวังสูงจากสังคม จนเข้ากับสังคมไม่ได้

(23 ส.ค. 66) ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทีเดียว สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วแถวหน้าของโลกได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาศักยภาพเยาวชนได้อย่างมีคุณภาพ ที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ 

แต่สิ่งที่ตามมา คือความกดดันในสังคมและครอบครัว ที่คาดหวังต่อพัฒนาการของเด็กคนหนึ่ง ที่อาจทำลายพรสวรรค์ที่เขามีโดยไม่รู้ตัวก็ได้

อย่างกรณีของ ‘เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะวัย 10 ขวบ ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ในความฉลาดอย่างน่าทึ่ง ทั้งด้านคณิตศาสตร์และดนตรี จนสื่อเกาหลีเคยตั้งฉายาให้เขาเป็น ‘โมซาร์ทน้อยแห่งเกาหลี’ มาแล้ว

แต่มาวันนี้ ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลับมาอยู่ในหน้าสื่อเกาหลีใต้อีกครั้ง ในฐานะเหยื่อที่ถูกรุมรังแกโดยเพื่อนร่วมชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน จนมีอาการซึมเศร้า น้ำหนักลด ทำให้พ่อของเขาตัดสินใจพาลูกชายลาออกจากโรงเรียน 

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียน ‘Seoul Science High School’ โรงเรียนเฉพาะทางอันดับ 1 ของนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของประเทศ หรือแท้จริงแล้ว แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กธรรมดา ที่ต้องการเพียงชั้นเรียนทั่วไปเท่านั้นเอง

เมื่อย้อนกลับไปช่วง 6 ปีก่อน แพ็ค กัง-ฮยุน ถือเป็นเซเลปเด็กชื่อดังไปทั่วประเทศในฐานะ เด็กชายสมองเพชรที่มีระดับ IQ สูงถึง 204 จากการประเมินของ ‘Mensa's IQ test’ มีความฉลาดเป็นเลิศอย่างมากในด้านดนตรี และคณิตศาสตร์ 

และในปี 2017 นี้เอง ที่แพ็ค กัง-ฮยุนได้ไปออกรายการ Einstein สารคดีด้านการศึกษาของช่อง SBS และได้แสดงความสามารถในการเล่นเปียโน และประพันธ์เป็นเพลงบรรเลงได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และยังสามารถเขียนโน้ตเพลงตามที่ได้ยิน จากการบรรเลงของนักเปียโนมืออาชีพได้อย่างถูกต้อง ซึ่งความสามารถด้านดนตรีของเด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน ได้รับการประเมิน และตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ยืนยันว่าเป็นของจริง 

อีกทั้งยังมีความสามารถด้านคณิตศาสตร์เกินวัยมาก สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมต้นได้แล้ว แม้เจ้าตัวจะอยู่ในวัยประถม 1 โดยมีการทดสอบแข่งทำข้อสอบคณิตศาสตร์กับเด็กมัธยมชั้น Year 9 ซึ่งแพ็ค กัง-ฮยุน ก็สามารถทำข้อสอบเสร็จครบ และถูกต้องภายใน 20 นาทีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เด็กมัธยมทั้งช้้นที่มาแข่งด้วย ยังไม่มีใครทำเสร็จสักคน 

ทำให้ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลายเป็นที่จดจำของชาวเกาหลีใต้ทั่วประเทศ ในฐานะ ‘โมซาร์ทตัวน้อย’ และ ‘เด็กอัจฉริยะสมองเพชร’ และต่างจับตามองว่า เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน จะโตขึ้นมาอย่างไรในอนาคตข้างหน้า

เมื่อหลายปีผ่านไป แพ็ค กัง-ฮยุน ก็ได้รับเข้าเรียนต่อในสถาบัน Seoul Science High School ที่ได้ชื่อว่าแหล่งรวมเด็กอัจฉริยะจากทั่วประเทศ มีหลักสูตรที่เข้มข้น จัดเต็มกว่าโรงเรียนทั่วไปมาก เพราะเด็กที่ได้เข้ามาเรียนล้วนมีพรสววรค์ที่ไม่ธรรมดา  

แต่ทว่า วันนี้ชื่อโรงเรียนนี้กลายเป็นข่าวฉาวบนหน้าสื่อเกาหลีใต้เสียแล้ว จากกรณีที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกเพื่อนร่วมชั้นบูลลี่ รังแก จนเรียนต่อไม่ได้

หลังจากที่พ่อของ กัง-ฮยุน พาลูกชายลาออกจากโรงเรียน ได้ออกมาสัมภาษณ์ผ่านสื่อถึงเหตุผลที่ลูกชายไม่สามารถเรียนต่อที่นี่ได้ เพราะเขาถูกเพื่อนในชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน บูลลี่ ถากถาง โดนหมางเมิน ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไม่ยอมคุยด้วย ไม่ยอมแบ่งงานกลุ่มให้ทำ และยังพบข้อความดูถูก ถากถางอย่างรุนแรงที่พูดถึงแพ็ค กัง-ฮยุน จำนวนมากในสื่อออนไลน์ของโรงเรียน

พ่อของเขายังเล่าอีกว่า เมื่อเจอการบูลลี่จากสังคมในโรงเรียนอย่างต่อเนื่องทำให้แพ็ค กัง-ฮยุน มีอาการเครียดอย่างมาก ไม่มีความสุขในโรงเรียน ซึมเศร้า ไม่หัวเราะร่าเริงเหมือนแต่ก่อน และยังส่งผลต่อร่างกายด้วย น้ำหนักจากเดิม 27 กิโลกรัม ตอนนี้ลดลงเหลือแค่ 22 กิโลกรัมเท่านั้น

พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน เคยพยายามต่อรองกับทางโรงเรียน เรื่องปัญหาในการทำงานกลุ่มกับเพื่อนในชั้น อยากให้ทางโรงเรียนแก้ไข แต่ทางโรงเรียนปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมปรับเปลี่ยนหลักสูตร กฎเกณฑ์ให้เด็กนักเรียนเพียงคนเดียว นั่นจึงเป็นสาเหตุให้พ่อของกัง-ฮยุน ตัดสินใจพาลูกชายลาออก 

แต่ทว่า หลังจากที่พ่อของกัง-ฮยุน ให้สัมภาษณ์ออกสื่อเพียงวันเดียว พ่อของเขาก็ได้รับอีเมลจากผู้ปกครองนักเรียนคนอื่นเป็นจำนวนมาก ข่มขู่ให้พ่อของกัง-ฮยุน หยุดพูดออกสื่อว่า แพ็ค กัง-ฮยุนถูกรังแก มิฉะนั้น จะออกมาแฉถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมแพ็ค กัง-ฮยุน ถึงเรียนต่อที่ Seoul Science High School ไม่ได้

แต่สื่อเกาหลีใต้ก็ไม่วายขุดต่อ โดยแอบไปสอบถามผู้ปกครองของนักเรียนคนอื่นๆ ในโรงเรียน บางคนกล่าวว่า ที่แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องออก เพราะเขาเรียนตามเพื่อนไม่ทัน และแก้โจทย์เลขได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นจากการสอบกลางภาค

ผู้ปกครองจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ทางโรงเรียนอาจให้แพ็ค กัง-ฮยุน เข้าเรียนด้วยช่องทางพิเศษ ที่ต่างจากเด็กนักเรียนคนอื่น ที่ต้องผ่านการสอบเข้าด้วยความยากลำบาก และบางคนยังบอกว่าไม่ต้องการให้พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน กล่าวหาให้โรงเรียนที่มีเกียรติแห่งนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง 

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการตั้งคำถามเรื่องความเป็นอัจฉริยะของแพ็ค กัง-ฮยุน ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็คือ หลายคนลืมไปว่า แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กวัย 10 ขวบ ที่ควรมีพื้นที่ให้เขาสามารถเรียนรู้ และ ‘ลองผิด ลองถูก’ ได้อย่างเด็กวัยอื่นๆ 

แต่สิ่งที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องแบกรับตั้งแต่วัยเด็ก คือ ‘ชื่อเสียง’ ในการเป็นเซเลปเด็กอัจฉริยะ ที่ถูกกดดันจากครอบครัว และความคาดหวังของสังคม ถูกจับตามองในทุกเรื่องที่เขาทำ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ผิดหวัง’ เมื่อความสามารถไปไม่ถึงระดับที่ถูกคาดหวัง ที่ตั้งบาร์ไว้สูงเสียด้วย 

แพ็ค กัง-ฮยุน เคยเล่าถึงการเรียนในโรงเรียนว่า เขารู้สึกผิดหวังในตัวเอง ที่สุดท้ายเขาเป็นได้แค่เครื่องจักรในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ 

ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกตีกรอบ ถูกกดดัน และถูกคาดหวัง มีพื้นที่ให้เขาเพียงแค่การ ‘ลองถูก’ เท่านั้น และสังคมรอบข้างมักตอบสนอง ‘การลองผิด’ ของเขาอย่างโหดร้ายเสมอ 

แพ็ค กัง-ฮยุน จึงเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับผู้ปกครอง ที่ไม่ว่าคุณจะมีลูกหลานเป็นเด็กอัจฉริยะหรือไม่ก็ตาม เพราะเด็กทุกคนล้วนมีพรสวรรค์อย่างใด อย่างหนึ่งในตัวเสมอ การเน้นแต่ผลักดัน ส่งเสริมศักยภาพด้านวิชาการของเด็กเพียงอย่างเดียว โดยละเลยการให้พื้นที่ในพัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็กอย่างสมวัย อาจทำให้ พรสวรรค์ของเขากลายเป็นทุกขลาภ และไปทำลายอัจฉริยภาพเหล่านั้นลงอย่างน่าเสียดายได้

‘เดอะ ซัน’ ปูด ‘ชีกจัสซิม’ ควัก 6,000 ล้านปอนด์ ปิดดีลเทกโอเวอร์ ‘แมนยูฯ’ กลางเดือน ต.ค.นี้

(23 ส.ค. 66) สื่อรายงาน ‘ชีกจัสซิม บิน ฮาหมัด อัล ธานี’ นักธุรกิจใหญ่แห่งกาตาร์ จ่อเข้าปิดดีลเทคโอเวอร์สโมสร ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ภายในช่วงกลางเดือน ต.ค. ด้วยมูลค่า 6,000 ล้านปอนด์

สำหรับตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศหาผู้ร่วมลงทุนใหม่ รวมถึงการขายสโมสรมาตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ซึ่งก็มีกลุ่มทุนต่างๆ ยื่นข้อเสนอเข้ามาแล้วหลายรอบ ทั้งการซื้อหุ้นส่วนน้อย รวมถึงเทคโอเวอร์สโมสรไปครองเลย

ที่ผ่านมามี 2 กลุ่มทุนที่เป็นตัวเต็งในการเทคโอเวอร์ คือ ‘ชีกจัสซิม บิน ฮาหมัด อัล ธานี’ นักธุรกิจใหญ่แห่งกาตาร์ และ ‘เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์’ นักธุรกิจชาวอังกฤษ ซึ่งต่างยื่นข้อเสนอเข้ามาราว 5,000 ล้านปอนด์ (ราว 2.19 แสนล้านบาท) ทว่ายังไม่มีการตอบรับใดๆ จากฝั่งเจ้าของทีมมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามล่าสุด ‘เดอะ ซัน’ สื่ออังกฤษระบุว่า ชีกจัสซิม เป็นฝ่ายเอาชนะ แรตคลิฟฟ์ ในการเข้าซื้อสโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยมูลค่า 6,000 ล้านปอนด์ (ราว 2.63 แสนล้านบาท) และกระบวนการจะเสร็จสิ้นในช่วงกลางเดือน ต.ค.

โดยขณะนี้ทางฝั่ง ชีกจัสซิม ซึ่งต้องการเทคโอเวอร์สโมสรมาครอบครองแบบ 100% กำลังเสร็จสิ้นการตรวจสอบสถานะกับสโมสร และส่อมีการประกาศเรื่องเจ้าของใหม่ของ ‘ปีศาจแดง’ ในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้

‘ไบเดน’ ลงพื้นที่ ‘ฮาวาย’ ติดตามความเสียหายจากไฟป่า พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบภัย หลังถูกวิจารณ์รับมือล่าช้า

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ของสหรัฐฯ เดินทางเยือนฮาวาย เพื่อตรวจตราความเสียหายจากภัยพิบัติไฟป่าเมื่อไม่นานมานี้ ที่เผาวอดเมืองทั้งเมือง และพบปะบรรดาผู้ประสบเหตุที่รอดชีวิต

ไบเดนและภริยา พร้อม ‘จอช กรีน’ ผู้ว่าการรัฐฮาวาย เดินสำรวจความเสียหายของเมือง หลังผ่านไปเกือบสองสัปดาห์ที่ไฟป่าได้เผาทำลายเมืองประวัติศาสตร์ลาไฮนา และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 114 ราย

เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจนชาวบ้านไม่ทันระวังตัว และต้องกระโดดลงทะเล เพื่อหลบหนีภัยพิบัติไฟป่าที่เลวร้ายที่สุดของสหรัฐอเมริกา ในรอบกว่า 100 ปี

หลังการสำรวจความเสียหายโดยรวม ไบเดนมีกำหนดจะประกาศมอบเงินทุนบรรเทาทุกข์เพิ่มเติม และแต่งตั้งผู้ประสานงานจากรัฐบาลกลางเพื่อประจำการช่วยเหลือในพื้นที่

บรรดานักวิจารณ์ รวมถึงผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติดังกล่าวในฮาวาย และฝั่งตรงข้ามอย่างพรรครีพับลิกัน ต่างระบุว่า ความช่วยเหลือในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ และยังไม่มีการกำหนดมาตรการและวิธีการช่วยเหลือฟื้นฟูที่ดีพอ

แม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังกล่าวโจมตีว่า เป็นเรื่องน่าอับอายที่ประธานาธิบดีเพิ่งปรากฏตัวในพื้นที่ ทั้งๆ ที่เหตุจบไปแล้วเป็นสัปดาห์ ขณะที่ทำเนียบขาวชี้แจงว่า ไบเดนชะลอการเดินทางของเขา เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่และหน่วยกู้ภัยที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ต้องเสียสมาธิ

การเดินทางไปฮาวายครั้งนี้ ไบเดนกล่าวว่า “ผมรู้ว่าไม่มีอะไรสามารถทดแทนการสูญเสียชีวิตได้ ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยให้เมาวีฟื้นตัว และถูกสร้างขึ้นใหม่จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้” พร้อมหวังว่าการเยือนของเขาจะสร้างความมั่นใจในการฟื้นตัวให้กับฮาวาย

ชาวเมืองเมาวีกล่าวว่า กระบวนการตามหาผู้ที่ยังสูญหาย รวมทั้งการระบุตัวตนผู้เสียชีวิตนั้นดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เพราะรัฐบาลตอบสนองช้า

“แม้ว่าการค้นหาผู้สูญหายจะดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ไปกว่า 85%แล้ว แต่อีก 15% ที่เหลืออาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ เพราะความร้อนจัดของไฟที่เผาไหม้ อาจทำให้ซากใดๆ สูญสลายไปเกินกว่าจะค้นเจอได้” จอช กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวาย ชี้แจงประเด็นดังกล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลกลางได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจากเอฟบีไอ, กระทรวงกลาโหม และกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ มาเพื่อช่วยในกระบวนการระบุตัวตนที่ต้องใช้ความละเอียดอดทนสูง

‘คนขับแท็กซี่’ ช็อก!! หลังพบแมวติดอยู่ในตะแกรงรถ เหลือเชื่อที่รอดมาได้ แม้ตนจะขับรถมานานหลายวัน

(23 ส.ค.66) เว็บไซต์ BBC รายงานว่า คนขับรถแท็กซี่ในประเทศเวลส์ต้องตกใจหลังจากที่เขาเจอแมวติดอยู่ในตะแกรงรถยนต์ของเขา และที่เหลือเชื่อกว่าคือแมวตัวดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่แม้เขาขับรถมานานหลายวันและเดินทางไกลเป็นระยะไกลถึง 804 เมตร

โดยคู่หมั้นสาวของนาย ทอม ฮัทชิง คนขับรถแท็กซี่ วัย 32 ปี คนดังกล่าวสังเกตถึงความผิดปกติเมื่อว่าที่สามีจอดรถหน้าบ้าน คู่หมั้นสาวบอกว่าเธอเห็นอะไรบางอย่างในตะแกรงแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร นายฮัทชิงเลยลงไปดูก่อนจะเห็นแมวตัวดังกล่าว

“ผมไม่คิดเลยว่าผมจะเห็นตาสีเขียวและจมูกสีชมพู โผล่อยู่หน้าผมห่างไม่กี่เซนติเมตร” นายฮัทชิง ให้สัมภาษณ์

โดยเขาได้นำกันชนด้านหน้ารถยนต์ออกและยกมันขึ้นเพื่อให้แมวออกมาได้ ก่อนจะนำแมวตัวดังกล่าวส่งสัตวแพทย์ และตลอดทางที่พาแมวไปหาสัตวแพทย์แมวตัวนี้นอนหลับ อาจจะเพราะความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียที่ติดอยู่ในตะแกรงรถยนต์นานหลายวัน หลังจากที่หาแพทย์เรียบร้อยแล้ว นายฮัทชิงก็ได้ประกาศหาเจ้าของก่อนจะพบว่าแมวตัวนี้ชื่อกิสโม่และหายไปจากบ้านได้สัปดาห์นึงแล้ว

ซึ่งเจ้าของดีใจมากที่ได้เจอกับแมวของพวกเขาอีก โดยพวกเขาสารภาพว่าไม่คิดว่าจะได้เจอแมวของเขาอีกแล้ว

ด้านนายฮัทชิงให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแมวเข้าไปติดในนี้ได้อย่างไร พร้อมระบุว่าเกือบทุกเรื่องในเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนปริศนาสำหรับเขา

‘พริโกซิน’ ผู้นำวากเนอร์ โพสต์วิดีโอครั้งแรกในรอบ 2 เดือน โว!! กำลังต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธ เพื่อทำให้ ‘แอฟริกา’ มีอิสระขึ้น

นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในวิดีโอที่โพสต์บนเทเลแกรม หลังจากหายไปจากโลกโซเชียล นับตั้งแต่ความพยายามก่อกบฎในรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายนล้มเหลว โดยพริโกซินซึ่งสวมชุดนักรบระบุว่าเขาอยู่ในแอฟริกา และวากเนอร์กำลังทำให้แอฟริกามีอิสระมากขึ้น

พริโกซินกล่าวในวิดีโอว่า วากเนอร์กำลังสำรวจแร่ และต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธอิสลามและกลุ่มอาชญากรอื่นๆ

“เรากำลังทำงานอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิมากกว่า 50 องศา วากเนอร์กำลังปฏิบัติการลาดตระเวนและค้นหา ทำให้รัสเซียยิ่งใหญ่ขึ้นในทุกทวีป และทำให้แอฟริกาเป็นอิสระมากขึ้น” พริโกซิน กล่าว

พริโกซินกล่าวด้วยว่า ความยุติธรรมและความสุขสำหรับชาวแอฟริกัน เรากำลังทำให้ชีวิตเป็นฝันร้ายสำหรับกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) อัลเคด้า และกลุ่มโจรผู้ร้ายอื่นๆ

พริโกซินกล่าวว่า วากเนอร์กำลังเปิดรับสมัคร และเราจะดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดไว้ต่อไป เราสัญญาว่าเราจะประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ เชื่อว่าวากเนอร์มีนักรบหลายพันคนอยู่ในทวีปแอฟริกา ซึ่งวากเนอร์มีผลประโยชน์ทางธุรกิจมากมายอยู่ในภูมิภาคนี้

โดยมีรายงานว่า ทหารของพริโกซินฝังตัวอยู่ในประเทศต่างๆ ในแอฟริกา รวมถึงมาลีและสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติกล่าวหาพวกเขาว่า ก่ออาชญากรรมสงคราม

นักรบวากเนอร์ยังถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่าได้สร้างรายได้ให้กับตัวเองด้วยการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าทองคำเถื่อนในแอฟริกาอีกด้วย

'ทุเรียนไทย' เนื้อหอม!! เฉิดฉายในงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 เบิกทางผู้ประกอบการไทย พาสินค้าสยามสู่ชาวจีนตอนใต้มากขึ้น

(22 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า 'ทุเรียน' ถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะกับ 'ทุเรียนไทย' ที่สามารถดึงดูดความสนใจจากชาวจีน และรวมถึงฝูงชนที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

เฉินเจี๋ย ผู้จัดแสดงสินค้าทุเรียนอบแห้งจากไทย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าสู่จีนในปัจจุบันนั้นปลอดภาษี ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของการทำธุรกิจในตลาดจีนอย่างมาก ขณะกลุ่มประเทศหุ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียนยังช่วยมอบโอกาสทางธุรกิจอันดี

ผลิตภัณฑ์ของเฉินสามารถเข้าสู่ตลาดจีนอย่างรวดเร็วผ่านทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งตอนนี้ขยับขยายเส้นทางการเดินรถถึงจังหวัดจันทบุรี ไม่ไกลจากสวนทุเรียนที่เขาร่วมมืออยู่ด้วย ทำให้ขนส่งผลิตภัณฑ์สดใหม่สู่ผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ 'ทุเรียน' เปรียบเป็นนามบัตรใบสำคัญของไทย ท่ามกลางการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เฟื่องฟูยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มบริษัททุเรียนไทยคาดหวังส่งออกผลิตภัณฑ์สู่จีนเพิ่มขึ้น

งานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง จึงเป็นโอกาสใหม่แก่จีนและกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่น บริษัท จันทบุรี ฟรุ๊ต โปรดักส์ จำกัด ที่ปีนี้ส่งออกผลไม้แปรรูปสู่จีน 12 ตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ในแง่ปริมาณ และร้อยละ 30 ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบปีต่อปี

"งานแสดงสินค้าฯ ในคุนหมิงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคชาวจีนตอนใต้" วิชญะ พฤกษากิจ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘ลุงขับสามล้อไฟฟ้า’ ชน 'เฟอร์รารี่’ ราคา 22.5 ล้านบาท แต่คนขับใจดีให้จ่ายแค่ 950 บาท แม้ค่าซ่อมจะสูงก็ตาม

สปอร์ตและใจดี กลายเป็นเรื่องราวที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หลังเกิดเหตุลุงขับสามล้อไฟฟ้าชนรถยนต์สุดหรูสัญชาติอิตาลีอย่าง ‘เฟอร์รารี่’ (Ferrari) ซึ่งมีมูลค่าราว 4.5 ล้านหยวน (ประมาณ 22.5 ล้านบาท) ทว่าหนุ่มเจ้าของรถกลับยอมให้จ่ายแค่นี้

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.66) เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา บนถนนแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ ขณะที่รถเฟอร์รารี่สีเหลืองกำลังจอดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถสามรถล้อไฟฟ้าขับมาขูดที่ด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านข้างของรถและกระจกมองข้างเป็นรอยเสียหาย

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่หนุ่มแซ่กาน เจ้าของรถเฟอร์รารี่กำลังโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ลุงขับสามล้อไฟฟ้ากลับอาศัยจังหวะนั้นพยายามที่จะหลบหนี จนหนุ่มคนนี้ต้องตามไปหยุดไว้

เมื่อตำรวจมาถึงก็บอกให้ลุงขับสามล้อไฟฟ้ารับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หนุ่มเจ้าของเฟอร์รารี่ก็ไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่และไม่ได้อยากใจร้ายกับลุง จึงรับคำขอโทษและขอให้ลุงจ่ายเงินชดเชยเพียง 190 หยวน (ประมาณ 950 บาท) เท่านั้น แม้ค่าซ่อมแซมรอยขีดข่วนจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 100,000 หยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) ก็ตาม

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างชื่นชมหนุ่มเจ้าของรถเฟอร์รารี่คนนี้ พร้อมคอมเมนต์ เช่น “นายกานใจดีมาก”, "ใจกว้างจริงๆ", "เจ้าของรถผู้ร่ำรวยและใจดี ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงนะ", "เขาคงรู้และเข้าใจว่าลุงไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยได้มากกว่านี้..."และ"เห็นได้ชัดว่า นายกานไม่ต้องการเรียกร้องค่าชดเชยใดๆ จากคุณลุง เขาแค่หวังว่า คุณลุงจะได้รับบทเรียนจากการกระทำของตนเอง”

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตจำนวนมากต่างวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของลุงขับสามล้อไฟฟ้า เช่น"ลุงขับสามล้อทำไมถูกต้อง", "ลุงทำผิดกฎจราจร"และ"เดี๋ยวนี้ผู้สูงอายุบางคนขับรถไม่สนใจอะไรเลย อย่าว่าแต่สัญญาณไฟจราจร บางทีแม้แต่ถนนก็ยังไม่ยอมมอง"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top