Monday, 12 May 2025
WORLD

‘Apple’ ประกาศเปลี่ยนที่ชาร์จ จาก Lightning เป็น USB-C เริ่มต้นที่ ‘ไอโฟน 15’ ที่คาดว่าจะเปิดตัว เที่ยงคืน 13 ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ค่ายแอปเปิล (Apple) ได้ออกมายืนยันการจัดงานอีเวนต์เปิดตัวไลน์อัปผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันที่ 12 ก.ย. เวลา 10.00 น. ที่ สตีฟ จ็อบส์ เธียร์เตอร์ ในสำนักงานแอปเปิลพาร์ค ซึ่งตรงกับเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 13 ก.ย. (คืนวันที่ 12) ตามเวลาไทย ด้วยการส่งการ์ดเชิญไปยังสื่อทั่วโลกให้เดินทางไปร่วมงานเปิดตัว

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเปิดตัวไอโฟน 15 ซีรีส์ (iPhone15) ซึ่งมีกระแสข่าวลือทางสื่อออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยจะมี 4 รุ่นย่อยด้วยกัน iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ซึ่งเป็นตัวท็อป โดยครั้งนี้คาดหมายกันว่ารุ่นนี้อาจจะเปลี่ยนชื่อเป็น iPhone 15 Ultra

สรุปข่าวลือทั้งหมดก่อนการเปิดตัวสเปก iPhone 15 จอ 6.1 นิ้ว iPhone 15 Plus จอ 6.7 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้ชิป A16 Bionic สำหรับ iPhone 15 Pro จอ 6.1 นิ้ว iPhone 15 Pro Max จอ 6.7 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้ชิป A17 Bionic อัปเกรดกล้องหลักทั้งหมด 48 ล้านพิกเซล แบตใช้งานยาวนานขึ้นและรองรับ Dynamic Island ทุกรุ่น

รวมทั้งการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แทนที่พอร์ต Lightning แต่ความเร็วในการโอนข้อมูลจะต่างกันโดยรุ่น Pro จะมีความเร็วเทียบเท่า USB 3.2 ส่วน iPhone 15 และ iPhone 15 plus จะเทียบเท่า USB 2.0

‘หมิง ชิ กัว’ นักวิเคราะห์จาก TF Interna tional Securities ระบุว่า iPhone 15 Pro Max อาจเป็นรุ่นเดียวที่มีกล้อง Periscope ที่มีเลนเทเลสำหรับซูมแบบออปติคอลได้ไกล 6 เท่า ซึ่งอาจจะมีราคาแพงกว่ารุ่นเดิม 100-200 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่คาดว่าจะเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดถึง 35-40% ของ iPhone 15 ซีรีส์

ขณะเดียวกัน มีข่าวด้วยว่านอกจากเลนเทเลแล้ว การออกแบบจะเปลี่ยนวัสดุกรอบเป็นไทเทเนียม จากสเตนเลส โดยก่อนหน้านี้ การผลิต iPhone 15 ซีรีส์มีปัญหาการขาดแคลนเซ็นเซอร์ภาพ CMOS แม้จะแก้ไขด้วยการแบ่งการผลิตให้ซัพพลายเออร์ไปแล้ว แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดส่ง iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ประมาณ 10-15%

สำหรับความท้าทายในการผลิตกรอบไทเทเนียมคือการประมวลผลได้ยากและการออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากแต่ได้รับการแก้ไขแล้วเช่นกัน จะทำให้มีน้ำหนักเบาลงและมีความแข็งแกร่ง โดย iPhone 15 Pro มีน้ำหนัก 191 กรัม เบากว่า iPhone 14 Pro ที่มีน้ำหนัก 203 กรัม iPhone 15 Pro Max หนัก 221 กรัม เมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro Max หนัก 240 กรัม

เว็บไซต์ iclarified.com ได้เผยแพร่เครื่องดัมมี่หรือเครื่องจำลองโดยระบุว่าจากการเปิดเผยของ Sonny Dickson ที่ทำการทวีตใน X ไปก่อนหน้า โดยเขาได้แชร์รูปภาพที่ดูคล้ายจะเป็น iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะมีสีฟ้าอ่อน, ดำ, เขียว, ชมพู และสีเหลือง ขณะที่เว็บดังกล่าวได้ระบุว่า iPhone 15 Pro จะมี 4 สีคือ สีน้ำเงิน, ดำ, เทาและสีเงิน

สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คาดจะมีการเปิดตัวในวันดังกล่าวประกอบด้วย Apple Watch ซีรีส์ 9 Apple Watch Ultra รุ่นที่ 2 iPad รุ่นที่ 9 AirPods Pro พอร์ต USB-C แต่รอดูวันเปิดตัวว่าจะเป็นไปตามนี้หรือไม่ ทีมข่าวไซเบอร์เน็ตจะร่วมเดินทางไปเกาะติดการเปิดตัว iPhone 15 ซีรีส์อย่างใกล้ชิดและนำมารายงานอย่างละเอียดต่อไป

‘จีน’ เผย ภาคการผลิตยานยนต์ครึ่งปีแรกโตต่อเนื่อง เพิ่มมูลค่าทางอุตสาหกรรม ดันรายได้-กำไรพุ่ง!!

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน รายงานว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2023 (มกราคม-มิถุนายน) อุตสาหกรรมการผลิตรถยานยนต์ของจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการผลิต รายได้ และผลกำไร

รายงานระบุว่า มูลค่าเพิ่มทางอุตสาหกรรมของภาคการผลิตยานยนต์ในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดของประเทศอยู่ 8.9 จุด

รายได้จากการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทในภาคส่วนนี้แตะที่ 4.49 ล้านล้านหยวน (ราว 21.86 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวปริมาณกำไรรวมของกลุ่มบริษัทในภาคส่วนนี้อยู่ที่ 2.17 แสนล้านหยวน (ราว 1.05 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

‘ฮุน เซน’ หวนใช้เฟซบุ๊กอีกครั้ง หลังถูกระงับบัญชี 6 เดือน  เหตุโพสต์คลิปขู่ดำเนินคดี-ทำร้ายคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศว่าจะกลับมาใช้งานเฟซบุ๊ก แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมในประเทศกัมพูชาอีกครั้ง โดยอ้างว่าเฟซบุ๊กได้ ‘มอบความยุติธรรม’ ให้กับเขา โดยการไม่สั่งระงับบัญชีผู้ใช้งานของเขา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ‘สมเด็จฯ ฮุน เซน’ ได้โพสต์ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขา

สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้โพสต์ข้อความว่า เฟซบุ๊กได้ปฏิเสธคำแนะนำจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตา บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ให้มีการระงับบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้นี้เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากที่เขาโพสต์วิดีโอข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขาเมื่อเดือนมกราคม ว่าจะถูกดำเนินคดีและตีด้วยไม้ หากกล่าวหาว่าพรรคการเมืองของสมเด็จฯ ฮุน เซน โกงการเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ของเขาคว้าชัยชนะไปอย่างถล่มทลายจนส่ง ‘พลเอกฮุน มาเนต’ บุตรชายคนโตของเขาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้สำเร็จ

คำแนะนำดังกล่าวจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ทำให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่พอใจอย่างมาก จนเลิกใช้งานเฟซบุ๊ก พร้อมกับขู่ว่าจะปิดกั้นการเข้าถึงเฟซบุ๊กในประเทศกัมพูชา รวมถึงแบนตัวแทนของเฟซบุ๊กจากประเทศกัมพูชา และขึ้นบัญชีดำสมาชิกคณะกรรมการดังกล่าวกว่า 20 คน

หลังการประกาศกลับมาใช้งานเฟซบุ๊กอีกครั้ง สมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุอีกว่า กระทรวงโทรคมนาคมกัมพูชาจะอนุญาตให้ตัวแทนของเฟซบุ๊กกลับเข้ามาทำงานในประเทศอีกครั้ง แต่ยังคงไม่นำชื่อของสมาชิกคณะกรรมการกำกับดูแลของเมตาออกจากบัญชีดำ

‘ห้างร้านอเมริกา’ โอดครวญ!! เหตุ ‘แก๊งขโมย’ อาละวาดหนัก  ต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้า บางแห่งถึงขั้นเหนื่อยใจยอมปิดสาขาหนี

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ปัญหาโจรขโมยของที่กำลังเกิดขึ้นอย่างชุกชุม ส่งผลให้ห้างร้านต่างๆ ในอเมริกาต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างยาสีฟัน ช็อกโกแลต ผงซักฟอก และบางห้างกระทั่งตัดสินใจปิดสาขาในย่านที่แก๊งโจรอาละวาดหนัก

ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ทและทาร์เก็ต ตลอดจนเชนร้านขายยาดัง ซีวีเอส และ วอลกรีนส์ รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับการตกแต่งต่อเติมบ้านอย่างโฮมดีโป และร้านรองเท้าฟุต ล็อกเกอร์ คือห้างร้านค้าปลีกส่วนหนึ่งในสหรัฐฯ ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาโจรลักขโมยข้าวของเอาไว้ในรายงานผลประกอบการล่าสุดของพวกตน โดยชี้ว่าปัญหานี้ซึ่งผู้ก่อเหตุมีทั้งพวกลักเล็กขโมยน้อย และโจรที่รวมตัวเป็นแก๊งลักข้าวของ กำลังระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบางทีก็เกิดเหตุการณ์รุนแรง

ลอเรน โฮบาร์ต ประธานบริหาร ดิ๊กส์ สปอร์ตติ้ง กู๊ดส์ กล่าวระหว่างการประชุมผ่านทางโทรศัพท์ว่า พวกแก๊งลักขโมย และการขโมยข้าวของโดยภาพรวม กำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อห้างหลายแห่งมากขึ้น ในกรณีของ ดิ๊กส์ นั้น การขโมยของ ส่งผลกระทบต่อสินค้าคงคลังของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในผลประกอบการไตรมาส 2 และการคาดหมายสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านไบรอัน คอร์เนลล์ ประธานบริหาร ทาร์เก็ต เผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีการขโมยของในห้างแบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงหรือขู่ใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 120% และเสริมว่า เวลานี้ ความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังสืบเนื่องจากปัญหานี้ อยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ในระยะยาวแล้ว

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยของอเมริกาพุ่งจากเกือบ 0% เป็น 5.5% ในระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี เนื่องจากผู้วางนโยบายพยายามต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กระทบต่อการกู้เงินเพื่อซื้อสินค้าชิ้นใหญ่หรือขยายธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลลบถึงผู้บริโภคเช่นกัน

จากการสำรวจด้านความปลอดภัยของการค้าปลีก ของสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2021 พวกห้างค้าปลีกเสียหายราว 94,500 ล้านดอลลลาร์จากสิ่งที่เรียกว่า ‘shrink’ ซึ่งหมายถึงความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังอันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การยักยอกของพนักงาน การขโมยของ หรือความผิดพลาดในการจัดการ

ผลสำรวจยังพบว่า ห้างค้าปลีกเผชิญปัญหาจากแก๊งโจรเพิ่มขึ้น 26.5% โดยที่ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่รายงานว่า วิกฤตโรคระบาดทำให้ความเสี่ยงนี้เพิ่มสูงขึ้น

ผลลัพธ์คือห้างหลายแห่งค่อยติดตั้งแผ่นพลาสติกใสพร้อมกุญแจล็อกครอบชั้นวางสินค้า หรือล่ามโซ่คล้องกุญแจสายยูล็อกตู้เย็น และมีปุ่มกดเรียกสำหรับพนักงานกระจายอยู่ตามทางเดิน

ส่วนชั้นวางที่ไม่มีการป้องกันจะวางสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อจำกัดการถูกขโมย

อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันดังกล่าวไม่ได้ผลเสมอไป เป็นต้นว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีชายคนหนึ่งสวมแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ดและหน้ากาก และใช้เครื่องพ่นความร้อนละลายแผ่นพลาสติกใสที่ครอบชั้นวางสินค้าในห้างวอลกรีนส์ ในย่านควีนส์ ของนครนิวยอร์กท่ามกลางสายตาลูกค้าและพนักงานร้าน ก่อนโกยของไปจากชั้น

ผู้อยู่อาศัยในย่านควีนส์ยังร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยในร้านขายยาซีวีเอสหลายสาขา ซึ่งตามรายงานของสื่อนั้น บางสาขาขอให้พนักงานอย่าเข้าไปขัดขวางการขโมยของหรือแจ้งตำรวจ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

บางห้างกำลังพิจารณาปิดสาขา เช่น ไจแอนต์ที่กำลังชั่งใจปิดซูเปอร์มาร์เก็ตในนิวยอร์กที่ขโมยชุมและมีเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น

วอลล์กรีน ได้ปิดสาขา 5 แห่งในซานฟรานซิสโกในปี 2021 จากปัญหาเดียวกัน และวอลมาร์ทปิด 4 สาขาในชิคาโกในปีนี้ โดยให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่า ไม่มีกำไร

นอกจากนั้นผู้ใช้ออนไลน์ยังรายงานเหตุการณ์ ‘flash rob’ ที่แก๊งโจรใช้คนกรูกันเข้าไปในห้างและฉกสินค้าที่คว้าได้ก่อนวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมในร้านนอร์ดสตรอม ที่ลอสแองเจลิส กลุ่มคนสวมหน้ากากราว 30 คนเข้าไปกวาดสินค้าหรูมูลค่า 300,000 ดอลลาร์ และใช้สเปรย์ไล่หมีฉีดใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

‘อาร์เจนตินา’ เผชิญวิกฤต ‘เงินเฟ้อ’ หนัก!! หลังเงินเปโซอ่อนยับ 'ฉุดประเทศ-ประชาชน' ดำดิ่งสู่ภาวะยากจนอย่างแสนสาหัส

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ช่องยูทูบ ‘ทันโลกกับ Trader KP’ ได้เชิญ ‘คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ’ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ (Chief Economist) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินของประเทศอาร์เจนตินา ว่าเพราะเหตุใด สกุลเงิน ‘เปโซ’ ของประเทศอาร์เจนตินา ถึงอ่อนค่าลงจนทำให้เงินเปโซไร้ค่าเช่นนี้ และปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้เข้าสู่ภาวะยากจนอย่างหนัก โดยคุณบุรินทร์ได้ให้มุมมองไว้ว่า…

แบงค์ชาติของประเทศอาร์เจนตินา ได้มีการปรับค่าเงินเปโซ ซึ่งเป็นค่าเงินทางการของประเทศ จาก 287 เปโซต่อดอลลาร์ เป็น 350 ต่อดอลลาร์ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เป็นการ ‘ลดค่าเงิน’ ประมาณ 18% ที่สําคัญมากกว่านั้นคือ ธนาคารกลางอาร์เจนตินากลัวเกิดภาวะ ‘เงินไหลออก’ จึงปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปรับขึ้นจาก 97% เป็น 118%

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ค่าเงินของทางการนั้นไม่มีใครใช้อยู่แล้ว และไม่มีใครเชื่อถือ เพราะในตลาดมืดหรือตลาดของจริง 1 ดอลลาร์ ควรจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 690 เปโซ แต่ทางรัฐบาลได้ออกมาแจ้งว่า 1 ดอลลาร์เท่ากับ 350 เปโซ ซึ่งสวนทางกับในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะในตลาดของจริงนั้น 1 ดอลลาร์ มีค่าเท่ากับ 690 เปโซ หรือสูงเทียบเท่ากับครึ่งนึงของค่าเงินที่รัฐบาลได้แจ้งไว้

ซึ่งสิ่งนี้เกิดจากการที่รัฐบาลอาร์เจนตินา มีความพยายามที่จะปิดกั้นไม่ให้เกิดภาวะเงินไหลออก ซึ่งหากคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อมีการตรึงราคาค่าเงินไว้ แล้วราคาไม่ได้สะท้อนกับกลไกทางตลาดหรือความเป็นจริง จะส่งผลทำให้เกิดการซื้อขายกันนอกตลาด หรือนอกระบบขึ้น

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับประเทศอาร์เจนตินา? ประเทศอาร์เจนตินาได้มีการเลือกตั้ง และปรากฏว่า ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ (Javier Milei) นักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เสรีนิยมอาร์เจนตินา ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน และในที่สุดเขาก็สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้

ซึ่งแนวคิดของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่ง อีกทั้งเขายังได้ออกมาบอกว่า “พวกนักการเมืองเป็นโจร” และเขายังกล่าวอีกด้วยว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดีเขาจะเผา (ยกเลิกระบบ) ธนาคารกลางให้หมด เพราะนโยบายต่าง ๆ ของเขาค่อนข้างที่จะมีความ ‘สุดโต่ง’ เป็นอย่างมาก เช่น เขาประกาศจะลดภาษี และจะปรับค่าเงินทำให้เงินดอลลาร์กลับไปเท่ากับค่าเงินเปโซ หรืออาจเปลี่ยนมาใช้ค่าเงินดอลลาร์ในประเทศแทน ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางการห้ามใช้เงินดอลลาร์ และการหาเงินดอลลาร์นั้นได้ทำได้ยากมาก

อีกทั้งเงินเฟ้อของอาร์เจนตินาก็สูงมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (ปี 2022) สมมติราคาสินค้าอยู่ที่ 100 ตอนนี้อาจจะขึ้นมาเป็น 200 ซึ่งถือว่าสูงขึ้นประมาณ 110% เพราะฉะนั้น คนในประเทศจึงไม่สามารถแบกรับภาระตรงนี้ได้

ต้องบอกว่าตอนนี้ เศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินาอาการหนักมาก โดยประชากร 40% ในประเทศ อยู่ในภาวะ ‘ยากจน’ อย่างหนัก คือ ‘ต่ำกว่าเส้นความยากจน’ (Below Poverty Line) ซึ่งตอนนี้อาจจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 เหรียญ แปลว่าคนในประเทศไม่มีเงินพอใช้ ดังนั้น จึงกลายเป็นว่า เกิดปัญหามีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้น มีคนไร้บ้านมานอนอยู่ที่สนามบินกันเต็มไปหมด เรียกได้ว่า เป็นประเทศที่น่าสงสารมาก

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสามารถวิเคราะห์กันได้ว่า การที่ประเทศอาร์เจนตินาได้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งถือเป็น ‘ตัวเต็ง’ ที่สุดในบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเขาไม่ได้มีพรรคการเมืองใหญ่คอยหนุนหลัง และถึงแม้นโยบายของเขาจะค่อนข้างสุดโต่ง แต่นี่อาจเป็น ‘ความหวังใหม่’ ของคนอาร์เจนตินา เพราะในตอนนี้ประชากร 40% หรือเกือบครึ่งของประเทศ อยู่สภาวะยากจน ประชาชนไม่มีจะกิน ไม่มีบ้านอยู่ เกิดปัญหาคนไร้บ้าน เพราะฉะนั้น ประชาชนจึงต้องหาทางออก

ซึ่งสิ่งนี้มีความคล้ายคลึงกับการเกิด ‘เงินเฟ้อขั้นรุนแรง’ (Hyperinflation) ขึ้นที่ประเทศเยอรมนี หลังการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนเป็นเหตุทำให้ประเทศเยอรมนีเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ส่งผลให้คนเยอรมันหาทางออกจากปัญหาข้าวยากหมากแพง โดยการเลือก ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (Adolf Hitler) ซึ่งเป็นนักการเมืองเยอรมันเชื้อชาติออสเตรีย หัวหน้าพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘พรรคนาซี’ เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1933-1945

ซึ่งนโยบายของฮิตเลอร์นั้น เขาให้คำมั่นสัญญากับชาวเยอรมันว่า “ผู้คนจะต้องมีงานทำ” แต่วิธีการจัดการของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่งอยู่พอสมควร เขาได้ทำการจัดการคนที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ออกไป และทำการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ในประเทศ

กลับมาที่ประเทศอาร์เจนตินา จริงๆ แล้ว อาร์เจนตินา เป็นประเทศที่น่าสนใจมาก หลายๆ คนอาจจะไม่ทราบว่า เมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อนนั้น อาร์เจนตินา เป็นหนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก ในตอนนั้นรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศ หรือ GDB ต่อหัวของประชากรในประเทศนั้น สูงเทียบเท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา สูงกว่าประเทศฝรั่งเศส และเบลเยียมเสียอีก

แล้วเหตุใด ประเทศอาร์เจนตินาจึงมาถึงจุดนี้ได้? จริงๆ แล้วมีเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง เนื่องจากการดําเนินนโยบายผิดไปในหลายเรื่อง เปรียบเหมือนกับการลงทุน ที่เราไม่ควรจะทุ่มจนหมดหน้าตัก แต่ ณ ขณะนั้น อาร์เจนตินาลงทุนทุ่มจนหมดหน้าตัก โดยในช่วงเวลานั้น อาร์เจนตินาได้ทำการค้ากับประเทศอังกฤษ ทุกอย่างจะส่งออกให้กับประเทศอังกฤษทั้งหมด เพราะเขามีแนวคิดว่า อังกฤษเป็นประเทศมหาอํานาจ ดังนั้น เขาจึงคิดว่า สามารถทำการค้ากับประเทศอังกฤษแค่ประเทศเดียวก็เพียงพอแล้ว

แต่ในเวลาต่อมา ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น จึงทำให้ประเทศอังกฤษไม่ได้ทำการค้าขายอาร์เจนตินา เป็นเวลากว่า 4 ปี ทำให้เศรษฐกิจของอาร์เจนตินาล้มทั้งระบบ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ดันเกิดสงครามโลกที่ 2 ตามมาซ้ำเติมสถานการณ์ในประเทศอาร์เจนตินาให้ยิ่งวิกฤตมากขึ้นไปอีก

ในสมัยนั้น ของขึ้นชื่อของประเทศอาร์เจนตินา คือ ‘เนื้อวัว’ ดังนั้น เนื้อสเต๊กจึงถือเป็นสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศไปยังประเทศในทวีปยุโรป เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้คนยุโรปหันไปซื้อเนื้อสเต๊ก และพวกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางการเกษตรจากสหรัฐอเมริกาแทน

ทำให้หลังสงครามโลกจบลง ‘ฆวน เปรอน’ (Juan Domingo Perón) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของอาร์เจนตินาในขณะนั้น ได้ดำเนินนโยบาย ‘ประชานิยม’ อย่างเข้มข้น เขาได้ประกาศลดภาษี ลดราคาสินค้าต่าง แจกทุกอย่างฟรี ไปจนถึงแจกเงินแก่ประชาชนอีกด้วย

ปรากฏว่า นโยบายของเขานั้นทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น เนื่องจากเขาแจกประชาชนไปหมดแล้ว อีกทั้งยังลดภาษีต่างๆ ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินทุนสำรองมากเพียงพอในการบริหารประเทศต่อ จึงทำให้ประเทศประสบกับสภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น

ในตอนนี้ อาร์เจนตินากลับมาเผชิญกับวิกฤตนี้อีกครั้ง ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้นั้น ช่างสวนทางกับการที่อาร์เจนตินาเพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในศึก ‘FIFA World Cup 2022’ ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานนี้อย่างสิ้นเชิง

อาร์เจนตินานับเป็นประเทศที่ทนทุกข์ทรมาน กับการเผชิญปัญหาการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลมาโดยตลอด ทำให้อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ติดหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เยอะที่สุด เมื่อปี 2018 อาร์เจนตินาเพิ่งทำการกู้เงิน IMF ไปกว่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนทำให้อาร์เจนตินาเรียกได้ว่าเป็น ‘ลูกค้าหลัก’ ของ IMF เลยก็ว่าได้ อีกทั้ง ในปี 2021 รัฐบาลปิดนัดชำระหนี้ IMF เมื่อปี 2021 ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้ประชาชนต่างพากันลุกฮือ ออกมาประท้วงรัฐบาลกันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของอาร์เจนตินา คือ ‘การขาดความน่าเชื่อถือ’ เนื่องจากเมื่อปี 2001 อาร์เจนตินาได้รับการจารึกว่าเป็นประเทศที่ผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยประกาศว่าจะไม่จ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้ จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2005 และปี 2010 อาร์เจนตินาได้ยื่นข้อเสนอจ่ายคืนหนี้ให้บางส่วน โดยเจ้าหนี้ร้อยละ 93 ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ไม่มีใครกล้ามาลงทุนในประเทศอาร์เจนตินา และไม่มีใครกล้าให้ยืมเงินลงทุน จนท้ายที่สุด อาร์เจนตินาก็ต้องหันหน้าไปพึ่ง IMF จนเกิดเป็นปัญหาหนี้สินของประเทศ ที่ต้องตามชำระกันต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น

นี่จึงถือเป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้ประเทศอาร์เจนตินา หนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก กลับกลายเป็นประเทศลูกหนี้รายใหญ่ และต้องเผชิญกับการอ่อนตัวลงของค่าเงินในประเทศ จนเกิดสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัฐบาล

ทำให้ตอนนี้ ชาวอาร์เจนตินาต้องหวังพึ่งรัฐบาลใหม่ ภายใต้การบริหารจากผู้นำที่มีแนวคิดสุดโต่งอย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป…

‘ไต้หวัน’ อพยพประชาชนนับพัน หนีไต้ฝุ่น ‘ไห่ขุย’ พร้อมสั่งยกเลิกเที่ยวบิน ก่อนพายุจะขึ้นฝั่งวันนี้

(3 ก.ย.b66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ไต้หวันเตรียมที่จะรับมือกับพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยที่คาดว่าจะพัดขึ้นฝั่งที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะที่มีภูเขาจำนวนมากและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง ในช่วงบ่ายของวันนี้ (3 ก.ย.) ส่งผลให้บรรดาเที่ยวบินภายในประเทศถูกยกเลิกและได้อพยพประชาชนจำนวน 2,868 คน ทางตอนใต้และตะวันออกของเกาะไปยังที่ปลอดภัยแล้ว โดยคาดว่าพายุไต้ฝุ่นลูกดังกล่าวจะส่งผลให้มีฝนตกหนักและลมแรงในบริเวณตอนใต้และทิศตะวันออกของไต้หวัน

ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวันได้กล่าวในการประชุมของเจ้าหน้าที่จัดการภัยพิบัติว่า พายุไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเป็นไต้ฝุ่นลูกแรกในรอบ 4 ปี ที่พัดขึ้นฝั่งบนเกาะไต้หวันและเคลื่อนตัวผ่านพื้นที่เทือกเขาทางตอนกลางของเกาะ แถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีไช่ได้แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหรือขึ้นไปบนภูเขา รวมถึงเลี่ยงการเดินทางไปยังชายฝั่ง ออกเดินเรือทำประมง หรือเล่นกีฬาทางน้ำ

นอกจากนั้นแล้ว ยังได้คำสั่งยกเลิกการเรียนการสอนและประกาศหยุดงานให้กับคนงานในเขตและเมืองต่างๆ ในบริเวณภาคตะวันออกและใต้ของเกาะไต้หวัน ขณะที่ UNI Air และ Mandarin Airlines ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศหลักของไต้หวันได้สั่งยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดของวันนี้ เช่นเดียวกับบริการเรือข้ามฟากไปยังเกาะที่ตั้งอยู่รอบไต้หวันก็ถูกยกเลิกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินระหว่างประเทศได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยมีเที่ยวบินระหว่างประเทศถูกยกเลิกเพียง 37 เที่ยวบินเท่านั้นในวันนี้ ด้านกองทัพของไต้หวันได้สั่งระดมกำลังทหารและอุปกรณ์เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมและการอพยพประชาชนเช่นกัน

พายุไต้ฝุ่นไห่ขุยมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุไต้ฝุ่นเซาลาที่เพิ่งพัดถล่มเกาะฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนอยู่มาก คาดว่าไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 หรือ 2 เท่านั้นเมื่อพัดขึ้นฝั่งที่เกาะไต้หวันโดยไต้ฝุ่นไห่ขุยมีความเร็วลมสูงสุดอยู่ที่ 137 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีลมกระโชกแรงสูงสุด 173 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

หลังเคลื่อนตัวผ่านทางตอนใต้ของไต้หวันแล้ว มีการพยากรณ์ว่าพายุไต้ฝุ่นไห่ขุยจะเคลื่อนตัวข้ามช่องแคบไต้หวันและมุ่งหน้าไปทางประเทศจีนอีกด้วย

‘อินเดีย’ ปล่อยจรวดส่งยาน ‘อาทิตยา-แอล 1’ ไปสำรวจดวงอาทิตย์แล้ว ใช้เวลาเดินทาง 4 เดือน ระยะทาง 1.5 ล้านกิโลเมตร ก่อนถึงหมุดหมาย

เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 66 องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (Indian Space Research Organisation = ISRO) ถ่ายทอดสดการปล่อยจรวดขนส่งยานสำรวจระบบสุริยจักรวาล ‘อาทิตยา-แอล 1’ (Aditya-L1) ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว เพื่อเดินทางไปสำรวจดวงอาทิตย์ที่จะใช้เวลาในการเดินทางเป็น 4 เดือน ภายใต้โครงการอวกาศอันทะเยอทะยานของอินเดีย

หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อน อินเดียเพิ่งประสบความสำเร็จในการสร้างประวัติศาสตร์เป็นชาติแรกของโลกที่ส่งยานสำรวจลงจอดบริเวณขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จ และเป็นชาติที่ 4 ของโลกที่ส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ได้

จรวดขนส่งนำยานอาทิตยา-แอล 1 ทะยานออกจากฐานปล่อยจรวดของ ISRO บนเกาะศรีหริโคตาเมื่อเวลาก่อนเที่ยงวันของวันเสาร์ (2 ก.ย.) นี้ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมทางเทคนิคในภารกิจนี้ตลอดจนผู้เฝ้ารอชมอยู่หลายร้อยคน ต่างส่งเสียงเชียร์ปรบมือด้วยความยินดี

“การปล่อยประสบความสำเร็จ ทุกอย่างปกติ” เจ้าหน้าที่ ISRO ประกาศจากศูนย์ควบคุมภารกิจ ขณะจรวดขนส่งนำยานสำรวจมุ่งหน้าสู่ชั้นบรรยากาศตอนบนของโลก

ยานสำรวจดังกล่าวกำลังนำเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อไปสังเกตการณ์ชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ ที่จะใช้เวลาในการเดินทางราว 4 เดือน

ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาและองค์การอวกาศยุโรป (ESA) ส่งยานสำรวจไปยังศูนย์กลางระบบสุริยจักรวาลมาแล้วหลายครั้ง เริ่มจากโครงการ Pioneer ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) ในทศวรรษ 1960 ขณะที่ญี่ปุ่นและจีนเพียงส่งยานสังเกตการณ์ระบบสุริยะขึ้นสู่วงโคจรโลก

หากภารกิจล่าสุดนี้ของ ISRO ประสบความสำเร็จ อินเดียจะกลายเป็นชาติแรกในเอเชียที่ส่งยานสำรวจไปโคจรรอบดวงอาทิตย์สำเร็จ

นายโสมัก ไรเชาดูรี นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ของอินเดีย กล่าวในวันก่อนว่า นี่เป็นภารกิจที่ท้าทายสำหรับอินเดีย และว่า ภารกิจนี้จะศึกษาการปลดปล่อยมวลขนาดใหญ่ออกมาจากบรรยากาศชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ที่จะเห็นการปล่อยพลาสมาและพลังงานแม่เหล็กจำนวนมหาศาลจากชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ การปลดปล่อยที่ทรงพลังมากเหล่านี้สามารถมาถึงโลกและอาจขัดขวางการทำงานของดาวเทียมดวงต่างๆ ได้

ทั้งนี้ อาทิตยา-แอล 1 ตั้งตามชื่อเทพแห่งดวงอาทิตย์ในศาสนาฮินดู จะเดินทางเป็นระยะทาง 1.5 ล้านกิโลเมตร เพื่อไปถึงจุดหมาย ซึ่งยังคงเป็นเพียงแค่ 1% เท่านั้นของระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์

แบ่งปันกันยิ่งใหญ่!!

(2 ก.ย.66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน กล่าวว่า จีนจะแบ่งปันความสำเร็จของการขับเคลื่อนการสร้างความทันสมัยของจีน ขณะดำเนินความพยายามร่วมกันกับนานาประเทศทั่วโลก ในการนำพาเศรษฐกิจโลกเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

อนึ่ง สี จิ้นผิง กล่าวคำข้างต้นขณะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสุดยอดการค้าภาคบริการโลกของงานมหกรรมการค้า ภาคบริการนานาชาติแห่งประเทศจีน (CIFTIS) ประจำปี 2023 ผ่านทางระบบวิดีโอ

สี จิ้นผิง กล่าวว่า “จีนจะทำงานเพื่อขยายอุปสงค์ภายในประเทศ เร่งการสร้างตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ดำเนินแผนริเริ่มเพื่อเพิ่มการนำเข้าบริการที่มีคุณภาพสูง และส่งเสริมการส่งออกบริการที่อาศัยองค์ความรู้มากขึ้น”

สี จิ้นผิง ระบุว่า จีนจะอัดฉีดแรงผลักดันใหม่สู่การพัฒนาระดับโลก ด้วยโอกาสที่เกิดจากตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน รวมถึงส่งมอบการบริการของจีนที่ดีขึ้นและมากขึ้นแก่โลก ผ่านการพัฒนาคุณภาพสูง เพื่อเพิ่มการรับรู้ถึงผลประโยชน์ของผู้คนทั่วโลก

‘จีน’ เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดในประเทศ หนุนเพิ่มการผลิต ‘ภาคอุปกรณ์ด้านพลังงาน’ เต็มประสิทธิภาพ

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า ‘ไชน่า ซีเคียวริตีส์ นิวส์’ (China Securities News) ซึ่งบริหารโดยสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ภาคอุปกรณ์พลังงานสะอาดของจีนส่งสัญญาณมีอนาคตที่สดใส โดยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ในประเทศอย่างรวดเร็ว

ความต้องการอุปกรณ์พลังงานสะอาดของจีนนั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ล้านล้านหยวน (ราว 9.74 ล้านล้านบาท) เมื่อนับถึงช่วงสิ้นสุดระยะเวลาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2021-2025) โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตติดตั้งพลังงานสะอาด

คาดว่าภายในปี 2025 กำลังการผลิตพลังงานสะอาดที่ติดตั้งใหม่ในจีนนั้นจะทะลุ 700 ล้านกิโลวัตต์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดของประเทศอยู่ที่ 3.02 พันล้านกิโลวัตต์เอกสารว่า ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมอุปกรณ์พลังงานสะอาดระดับโลก ระบุว่าการจัดเก็บพลังงาน การแปลงข้อมูลเป็นดิจิทัลในภาคพลังงาน การพัฒนาพลังงานสะอาดอย่างชาญฉลาด และภาคส่วนพลังงานไฮโดรเจน มีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอีก 5 ปีข้างหน้า

‘ซูอิ๋นเปียว’ ประธานคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานสาขาอิเล็กทรอเทคนิกส์ (IEC) กล่าวว่าเมื่อนับถึงสิ้นปี 2022 กำลังการผลิตติดตั้งพลังงานสะอาดโดยรวมของจีน คิดเป็นร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งทั้งหมดซึ่งอยู่ที่ 2.56 พันล้านกิโลวัตต์ ส่วนการลงทุนของจีนในโครงการพลังงานใหม่คิดเป็นร้อยละ 30 ของการลงทุนทั้งหมดทั่วโลก

‘เงินกีบอ่อนค่า’ ทำคนลาวแห่หันมาใช้ ‘เงินบาท’ ทำชาวบ้านลำบาก เพราะคนค้าขายไม่รับเงินกีบ

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @dyogr6z2idix ได้โพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ คนลาวเริ่มแห่ทิ้งเงินกีบ เพื่อหันมาใช้เงินบาท ขณะที่ธนาคารชี้ชัดด้วยว่า คนลาวไม่มีเงินฝากแล้ว โดยระบุว่า...

สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ของ สปป.ลาว กําลังเข้าสู่ยุคใช้เงินบาทอย่างเต็มตัว ซึ่งดูได้จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของธนาคารพงสะหวัน วันที่ 25 ส.ค.66 จะเห็นได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทย จะอยู่ที่ 612.79 กีบ ต่อ 1 บาท นั่นแปลว่า ‘เงินกีบอ่อนค่า’ ให้กับสกุลเงินบาทไปแล้ว 75% เมื่อเทียบกับต้นปีที่ผ่านมา

และการที่เงินกีบไร้เสถียรภาพเช่นนี้ จะส่งผลทำให้เงินกีบอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ แน่ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และสภาพจิตใจของประชาชนอย่างมาก เพราะแต่ละวันจะเอาเงินจากไหนไปใช้เพื่อดูแลครอบครัว

อีกทั้ง บางครอบครัว ก็อาศัยใช้ที่ดินในการทำมาหากิน ปลูกผัก ปลูกผลไม้ หรือเลี้ยงสัตว์ แต่มาในตอนนี้ พื้นที่เหล่านั้นถูกเปลี่ยนตกไปอยู่ในการคุ้มครองของนายทุนตามนโยบายของรัฐบาลลาว เพื่อการส่งออกจะได้มีมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนลาวสามารถทำได้ในตอนนี้ คือ ‘พยายามถือครองเงินบาทให้มากที่สุด’ โดยผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มมาถือครองเงินบาทมากกว่าช่วงที่ผ่านมาแล้วด้วย ส่วนจะมากแค่ไหน ก็มากถึงขั้นที่ว่าล่าสุดบรรดาพ่อค้าแม่ขายผักในตลาดได้ระบุราคาขายสินค้าเป็นเงินบาทแล้ว แถมยังบอกอีกด้วยว่าจะไม่รับเงินกีบแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ลาวได้มีการใช้เงินบาทในการชำระสินค้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เยอะเท่าปัจจุบันนี้ที่ถึงขั้นไม่รับเงินกีบ จนถึงช่วงนี้ที่เหลือเพียงแค่ไม่กี่ที่เท่านั้น ที่ยังรับการชำระเป็นเงินกีบ อย่างเช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น

ทั้งนี้อ้างอิงประเด็นการปฏิเสธเงินกีบได้จากเพจของลาวที่ชื่อว่า ‘จดหมายข่าว’ ที่ได้ออกมาโพสต์เรื่องราวของสาวลาวที่ได้ไปซื้อผักผลไม้ที่ตลาด แต่แม่ค้าได้ตอบกลับมาว่าไม่รับเงินกีบ ด้วยว่า…

“รู้สึกน่าอายจริง ๆ เลย ที่สาวคนหนึ่งไปซื้อผักที่ตลาดแขวงบ่อแก้ว เพื่อที่จะได้ไปทำอาหารกินกับครอบครัว แต่พอนำเงินกีบมาจ่ายค่าผักผลไม้ให้กับแม่ค้า กลับถูกแม่ค้าปฏิเสธไม่รับเงินกีบ และยังบอกด้วยว่าพืชผักขายเป็นเงินบาทเท่านั้น” ทำให้สาวลาวคนนั้นได้อ้อนวอนกับแม่ค้า เพราะเธอไม่ได้พกเงินบาทมาด้วย จึงทำให้สุดท้ายแม่ค้าจึงยอมรับเงินกีบไว้...

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งเคส ซึ่งเป็นลูกเพจชาวลาวคนหนึ่งซึ่งไม่ขอเอ่ยนาม ได้ส่งเรื่องเข้ามา โดยเขาได้บอกว่า “ในลาวมีการผ่อนค่างวดรถเป็นเงินบาท” โดยเขาได้โพสต์ที่หน้าเฟซบุ๊กของตนเอง ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “ใครที่ผ่อนรถเป็นเงินบาท เงินดอลลาร์ จะเข้าใจว่ามันจุกแค่ไหน” 

ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าเงินกีบลาวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร…

‘ซีเค เจิง’ เปรียบ ‘เกษตรกรจีน’ เป็นได้แค่พนักงาน ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของกิจการ เพราะไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดิน

(1 ก.ย. 66) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ ‘ckfastwork’ ของ ซีเค เจิง นักธุรกิจรุ่นใหม่ เผยแพร่คลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘ระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจของจีน’ โดยระบุว่า..

“โดยส่วนตัว ผมจะไม่มีวันไปลงทุนกับประเทศจีน ผมไม่คิดว่ามันจะเวิร์ก สิ่งที่รักษาประเทศจีนอยู่ถึงทุกวันนี้เป็นเพราะมีประชากรจีนเยอะมาก แต่จีดีพีต่อหัวยังถือว่าต่ำมาก แต่ประชากรเยอะเลยอยู่ได้ง่าย คุณขายน้ำ ก๋วยเตี๋ยว ไม่ต้องขายบ้านอื่น ขายแค่ในบ้านก็รวยแล้ว คนที่รวยที่สุดในประเทศจีนตอนนี้คือใครครับ? คนที่ขายน้ำเปล่า (Zhong Shanshan) แบรนด์น้ำของเขาไม่จำเป็นต้องขายบ้านอื่นเลย ซึ่งเขาเป็นคนที่รวยที่สุด เพราะว่าขายแค่ในบ้านตัวเอง”

ซีเค เจิง ระบุต่อว่า “การลงทุนของผมไม่ชอบอะไรอย่างนั้น ผมชอบทำธุรกิจที่เปลี่ยนโลก ผมไม่ชอบธุรกิจที่อยู่แค่ในบ้าน จีนทำสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยหลายอย่าง ซึ่งผมไม่ชอบมาก การไม่ให้คนอื่นลงทุนต่างประเทศ คุณหาเงินที่จีน แต่คุณเอาเงินหยวนออกจากจีนไม่ได้นะ อย่างมาก 1 ปี ได้ 2 ล้านหยวน คือเขาบังคับให้คุณต้องลงทุนกับประเทศจีน แล้วจะซื้อที่ดินจีนก็ซื้อไม่ได้ด้วย อสังหาฯ จีนจะไปซื้อได้ไง ใครจะไปซื้อที่ดินจีน ซื้อไม่ได้ ครบ 70 ปี คุณก็ต้องคืน”

“เกษตรกรบ้านเขาจะเกิดได้ยังไง เป็นเหมือนระเบิดเวลา เดี๋ยวเกษตกรจีนก็ตาย เพราะเกษตรกรจีนเป็นเหมือนพนักงาน ไม่สามารถเป็นผู้ประกอบการ เพราะยังไงที่ดินก็เป็นของประเทศจีน ไม่ได้เป็นของพลเมืองจีน ถ้าพี่เป็นเกษตรกรจีนที่เก่งมาก พี่อยากอยู่ไหม? ไม่อยากอยู่หรอก จะเป็นพนักงานทั้งชีวิตเหรอ? ไม่มีทาง”

“ผมไม่ชอบประเทศจีนนะ ผมรู้นะว่าหลายคนบอกว่าจีนกำลังมาแรง หรือเรย์ ดาลิโอ เขามีหนังสือเขียนว่าเทรนด์จีนกำลังแซงหน้าสหรัฐฯ เข้าไปทุกที ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะ คลิปของผมก็อยู่ในโซเชียลหมด ถ้าวันหนึ่งจีนเหนือกว่าอเมริกาจริง ๆ ค่อยมาหัวเราะใส่ผมแล้วกัน ผมจะไม่ลงทุนในประเทศจีน”

“ผมเป็นคนจีนนะครับ ต้องบอกว่าสำหรับผม ผมค่อนข้างที่จะละอายที่ประเทศจีนทำอย่างนี้ และหลายๆ อย่างที่ผมไม่ชอบมาก” ซีเค เจิง ทิ้งท้าย

'จีน' จ่อให้บริการ 'แท็กซี่บินได้' ที่แรกของโลก หลัง 'อี้หาง' ผ่านมาตรฐานการบินแดนมังกรแล้ว

แม้แท็กซี่บินได้ (Air Taxi) จะกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการพัฒนาไปสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์ แต่ก็มีหลายบริษัทจากทั่วโลกที่กำลังเร่งก้าวไปสู่การให้บริการจริง 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า 'อี้หาง' (eHang) บริษัทผู้พัฒนาแท็กซี่บินได้จากประเทศจีน อาจจะเป็นผู้บริการรายแรกของโลกที่ทำได้สำเร็จ หลังผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการบินของหน่วยงานจีนแล้ว

สำหรับแท็กซี่บินได้ (Air Taxi) ของอี้หาง (eHang) ซึ่งมีชื่อว่า อีเอช 218 (EH218) นั้น เป็นอากาศยานขึ้นลงแนวดิ่งพลังงานไฟฟ้า (eVTOL) แบบ 8 ใบพัด (Octocopter) ที่มีความกว้าง 5.6 เมตร สูง 1.9 เมตร ทำระยะการบินอยู่ที่ 30 กิโลเมตร รองรับผู้โดยสาร 2 คน โดยรับน้ำหนักรวมกับสัมภาระได้ไม่เกิน 220 กิโลกรัม ด้วยความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่แบบชาร์จได้

โดย EH128 จะทำการบินด้วยระบบไร้คนขับแบบคลาวด์ (Unmanned Aircraft Cloud System) ที่จัดการการควบคุมและการจราจรทางอากาศบนระบบคอมพิวเตอร์คลาวด์ผ่านเครือข่าย 5G พร้อมทั้งมีการเฝ้าสังเกตการณ์และควบคุมจากระยะไกลในกรณีที่จำเป็น

ทั้งนี้ อี้หาง เป็นหนึ่งในบริษัทที่พร้อมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะโรงผลิตแท็กซี่บินได้ ได้เริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2021 และระบบการบินแบบไร้คนขับก็ได้รับใบอนุญาตจากองค์การบริหารการบินพลเรือนของจีน (Civil Aviation Administration of China: CAAC) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังทดสอบการบินอย่างเต็มรูปแบบในจีนกว่า 10,000 รอบ ในเส้นทางที่ครอบคลุมมากกว่า 20 เมืองใหญ่ทั่วจีน

แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยระยะเวลาแผนงานอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่ากระบวนการอนุญาตของ CAAC ที่รวดเร็วกว่าฝั่งสหรัฐอเมริกาอย่างเอฟเอเอ (FAA: Federal Aviation Administration) หรือฝั่งยุโรป (EASA) อาจจะทำให้อี้หางเปิดตัวเชิงพาณิชย์ได้เป็นรายแรกของโลก แซงหน้าโจบี้ เอวิเอชัน (Joby Aviation) ตัวเก็งจากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่จะเปิดตัวในปี 2024 นี้

‘จีน’ เตือน ปชช.รับมือ ‘พายุซาวลา’ คาดถล่ม ‘ฮ่องกง’ บ่ายนี้ ทำรถไฟ-สายการบินวุ่น!! ถูกระงับ-ยกเลิกการเดินทางชั่วคราว

(1 ก.ย. 66) สถานการณ์เส้นทางพายุซาวลาล่าสุด จีนประกาศเตือนภัยไต้ฝุ่นระดับสูงสุด โดย ซูเปอร์ไต้ฝุ่นซาวลาเคลื่อนตัวเข้าใกล้ฮ่องกงและชายฝั่งทางตอนใต้ของแผ่นดินใหญ่ โดยมีหลายเมืองเลื่อนวันเปิดภาคเรียนออกไป เพื่อเป็นการป้องกันล่วงหน้า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของฮ่องกง ระบุว่า ซูเปอร์ไต้ฝุ่นซาวลา เคลื่อนตัวด้วยความเร็วลมสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 18.00 น.ของวันพฤหัสบดี อยู่ห่างประมาณ 370 กิโลเมตร จากตะวันออกเฉียงใต้ของฮ่องกง ศูนย์กลางการเงินของจีน

ไต้ฝุ่นลูกนี้ จะทำให้เกิดฝนตกหนักและกระแสลมแรงในวันศุกร์ (1 ก.ย.) และระบุว่า ระดับภัยคุกคามคาดว่าจะเพิ่มเป็น “ที8” ซึ่งเป็นคำเตือนภัยสูงสุดอันดับ 3 ของฮ่องกง ในช่วงเช้าวันศุกร์

ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่ เตือนภัยรุนแรงที่สุดในระบบเตือนภัย 4 ระดับของประเทศ โดยศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ คาดว่าไต้ฝุ่นซาวลาจะพัดขึ้นฝั่งในพื้นที่ชายฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งบริเวณจากเขตฮุ่ยไหลถึงฮ่องกง อย่างเร็วสุดภายในบ่ายวันศุกร์ แต่มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า ไต้ฝุ่นอาจมุ่งหน้าสู่ตะวันตก และผ่านน่านน้ำมณฑลกวางตุ้งโดยไม่ขึ้นฝั่ง

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การให้บริการรถไฟทั่วมณฑลกวางตุ้ง ถูกระงับชั่วคราว ขณะที่หลายเมืองในมณฑลภาคใต้แห่งนี้ ซึ่งรวมทั้งซัวเถา, ซานเหว่ย, เจียหยาง และเฉาโจว เลื่อนเปิดภาคเรียนเป็นวันจันทร์

‘สายการบินแอร์ไลน์ คาเธ่ แปซิฟิก’ ระบุว่า ได้ยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดทั้งขาเข้าและออกฮ่องกง ระหว่างเวลา 13.00 น.ของวันเสาร์ ถึง 09.00 น.ของวันเสาร์ตามเวลาในไทย

กองทัพทหาร บุกยึดอำนาจ ‘อาลี บองโก ออนดิมบา’ หลังคว้าชัยเลือกตั้งใหญ่ ล้มอำนาจผู้นำ 3 สมัยแห่งกาบอง

คลื่นกระแสการรัฐประหารในทวีปแอฟริกา ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง ล่าสุด กองทหารระดับสูงแห่งกาบอง ได้ประกาศผ่านช่อง Gabon 24 เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 66 แถลงข่าวยึดอำนาจประธานาธิบดี ‘อาลี บองโก ออนดิมบา’ ผู้นำกาบอง 3 สมัย หลังจากเพิ่งคว้าชัยจากการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงขาดลอยถึง 63.4%

นับเป็นการเลือกตั้งที่มีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์อย่างรุนแรงจากพรรคฝ่ายค้าน และชาวกาบอง ถึงความไม่โปร่งใส และทุจริต

แต่ทันทีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งของกาบองได้รับรองผลการนับคะแนน และประกาศให้ ประธานาธิบดี อาลี บองโก ผู้นำคนปัจจุบัน เป็นผู้ชนะได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็มีกลุ่มกองทหารบุกยึดสถานีโทรทัศน์พร้อมออกแถลงการณ์ว่า “ได้ยึดอำนาจ ประธานาธิบดี อาลี บองโก แล้ว” โดยอ้างว่า “การเลือกตั้งที่ผ่านมาขาดความน่าเชื่อถือ จึงเป็นเหตุให้คณะทหาร ซึ่งเป็นตัวแทนของกองทัพที่หน้าที่ดูแลความมั่นคง และป้องกันประเทศ จำเป็นต้องยึดอำนาจรัฐบาล ให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และยุบสถาบันฝ่ายบริหารทั้งหมดในกาบอง”

ล่าสุด มีรายงานว่ามีการปิดพรมแดนของประเทศกาบอง และมีเสียงปืนดังขึ้นที่กลางกรุงลีเบรอวิล เมืองหลวงของกาบอง ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้

นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 8 ในระยะเวลาเพียง 3 ปี ที่เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในโซนภูมิภาคซาเฮล และประเทศใกล้เคียงอย่างกาบอง ที่ส่วนมากเป็นประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน

และหากรัฐประหารครั้งนี้สำเร็จ จะเป็นการสิ้นสุดการปกครองของตระกูลบองโก ที่ครองอำนาจในกาบองมานานถึง 56 ปี โดยประธานาธิบดี อาลี บองโก ผู้นำคนปัจจุบันที่ถูกรัฐประหารในวันนี้ ดำรงตำแหน่งมาแล้วถึง 14 ปี และสืบทอดอำนาจต่อจาก ‘โอมาร์ บองโก ออนดิมบา’ อดีตประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ซึ่งเป็นพ่อของเขาเอง

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี อาลี บองโก เคยเกือบถูกรัฐประหารมาแล้ว เมื่อวันที่ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 โดยกองทหารกลุ่มหนึ่งบุกยึดสถานีวิทยุแห่งชาติ ณ ใจกลางกรุงลีเบรอวิล ประกาศยึดอำนาจรัฐบาล ในขณะที่ อาลี บองโก ยังพักรักษาตัวจากอาการโรคหลอดเลือดสมองในประเทศโมร็อกโก แต่ครั้งนั้นทำการไม่สำเร็จ

แต่หากรัฐประหารในวันนี้ของกาบอง สามารถโค่นล้ม อาลี บองโก ผู้นำ 3 สมัยลงได้ ทวีปแอฟริกาคงสั่นสะเทือนแรงอีกครั้ง หลังจากเกิดรัฐประหารล่าสุดที่ไนเจอร์ ที่จะส่งผลต่อดุลอำนาจในภูมิภาคอย่างมาก

เนื่องจาก กาบองเป็นอีกหนึ่งชาติที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝรั่งเศส และในด้านทรัพยากร ก็ยังเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยก๊าซธรรมชาติ แร่แมงกานีส และป่าไม้  อีกทั้งยังสะท้อนปัญหาการเมืองในหลายประเทศของแอฟริกา ที่สถาบันรัฐยังเปราะบาง สุ่มเสี่ยงต่อการถูกโค่นล้มจากคลื่นกระแสรัฐประหารในแอฟริกา เชื่อว่าจะไม่จบลงที่กาบองอย่างแน่นอน

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘Country Garden’ ยักษ์อสังหาจีนส่อวิกฤต หลังครึ่งปีขาดทุน 2.3 แสนลบ. อาจผิดนัดชำระหนี้

Country Garden Holdings Co. เตือน อาจผิดนัดชำระหนี้ และอยู่ในธุรกิจต่อไปยาก เพราะครึ่งปีแรกของปี 2566 ขาดทุน เกือบ 7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.31 แสนล้านบาท) หวั่นเสียหายหนักกว่า China Evergrande Group 

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ (31 ส.ค.) Country Garden Holdings Co. ออกมาเตือนว่า อาจผิดนัดชำระหนี้ และกล่าวถึงความกังวลในความสามารถของการอยู่ในธุรกิจต่อไป หลังจากรายงานการขาดทุนมากเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.31 แสนล้านบาท) ในครึ่งปีแรกของปี 2566

โดย ผู้บริหารของ Country Garden กล่าวว่า หากผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทยังคงตกต่ำลง กลุ่มบริษัทอาจไม่สามารถชำระมูลหนี้ทั้งหมดได้ “ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้” ตามเอกสารที่ยื่นเมื่อวันพุธ 

พร้อมเสริมว่า “ความไม่แน่นอนที่มีนัยสำคัญ” หรือ Material Uncertainties ที่อาจก่อให้เกิด “การตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามารถของกลุ่มในการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต”

ด้านบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า คำเตือนดังกล่าวเน้นย้ำว่า วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายแห่ง 

โดย Country Garden ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ หากประเมินตามยอดขาย ทว่ากลับประสบปัญหาหนี้สินที่อาจเลวร้ายกว่าคู่แข่งอย่าง China Evergrande Group เนื่องจากมีโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 4 เท่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top