Monday, 12 May 2025
WORLD

นักบินมีหนาว!! ‘เกาหลีใต้’ พัฒนาหุ่นยนต์นักบินตัวแรกของโลก ควบคุมเครื่องได้แม่นยำ หวังตีตลาดการบิน ‘ทหาร-พลเรือน’

เมื่อไม่นานนี้ วงการนักบินต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อทีมนักวิจัยจากสถาบันขั้นสูงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ (The Korean Advanced Institute of Science and Technology : KAIST) ได้พัฒนา ‘ไพบ็อต’ (PIBOT) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ที่มีลักษณะเป็นนักบินตัวแรกของโลก ที่นอกจากจะสามารถควบคุมเครื่องบินในห้องนักบินได้ไม่แพ้มนุษย์ แต่ยังสามารถจดจําแผนภูมิการบิน และกระบวนการรับมือเหตุฉุกเฉินได้ ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อีกด้วย

ที่ผ่านมา มีการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ด้านการบินมาบ้างแล้ว ตั้งแต่ระบบลูกเรือในห้องนักบินอัตโนมัติ (Aircrew Labor In-Cockpit Automation System) ขององค์กรนวัตกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศแห่งอนาคตของสหรัฐฯ หรือ ‘DARPA’ ในปี 2016 ไปจนถึงโรโบไพบ็อต (ROBOpilot) หุ่นยนต์นักบินของห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพอากาศ สหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งเคยทดลองบินเป็นเวลา 2 ชั่วโมงมาแล้วในปี 2019

ความแตกต่างระหว่างหุ่นยนต์นักบินตัวก่อนหน้ากับตัวล่าสุดนี้ คือการที่ PIBOT นั้นเป็นหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้เทคโนโลยี AI ในการขับเครื่องบิน ทั้งยังเป็นหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์สำหรับขับเครื่องบินตัวแรกของโลกอีกด้วย

‘เดวิด ฮยอนชุล ชิม’ (David Hyunchul Shim) ผู้นำโครงการ PIBOT กล่าวว่า นวัตกรรมนี้มีประโยชน์เนื่องจากมันไม่จําเป็นต้องดัดแปลงเครื่องบินที่มีอยู่ และสามารถนําไปใช้กับเที่ยวบินอัตโนมัติได้ทันที

นอกจากนี้ นักวิจัยยังกล่าวว่า การผสมผสานปัญญาประดิษฐ์อย่างแชตจีพีที (ChatGPT) ช่วยทําให้ PIBOT มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน เพราะเทคโนโลยีนี้ทำให้ PIBOT จดจําแผนภูมิการนําทางทางอากาศได้ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงขั้นตอนการรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เหนือความสามารถของนักบินที่เป็นมนุษย์ ด้วยความสามารถเหล่านี้ ทีมงานจึงกล่าวว่า PIBOT อาจจะสามารถขับเครื่องบินได้โดยที่มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เร็วกว่านักบินที่เป็นมนุษย์

ด้วยรูปลักษณ์ที่คล้ายมนุษย์ PIBOTสามารถควบคุมสวิตช์ต่าง ๆ ในห้องนักบินของเครื่องบินได้อย่างแม่นยํา แม้ในช่วงเวลาที่เครื่องบินตกหลุมอากาศ อีกทั้งกล้องที่ถูกติดตั้งยังช่วย PIBOT ในการวิเคราะห์สถานการณ์ภายในห้องนักบินและสภาพแวดล้อมภายนอกได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดีการทดสอบ ความสามารถในการขับเครื่องบินของ PIBOT ที่ผ่านมาได้รับการทดสอบโดยใช้เครื่องจําลองการบินเท่านั้น ซึ่งนักวิจัยวางแผนที่จะทดสอบศักยภาพของหุ่นยนต์ด้วยเครื่องบินเบาในโลกแห่งความเป็นจริงในไม่ช้า โดยโครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2026 ซึ่งนักวิจัยวางแผนที่จะตีตลาด ทั้งการบินทางทหารและการบินพลเรือน

‘รัสเซีย’ บรรจุ ‘ภาษาจีน’ ในหลักสูตรระดับมหาวิทยาลัย อ้าง!! หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์

เมื่อไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์ของสหรัฐฯ รายงานว่า อันเดร เฟอร์เซนโก (Andrei Fursenko) ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเครมลินซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอดีตรัฐมนตรีการศึกษาและเทคโนโลยีรัสเซียกล่าวมีใจความว่า

“จะไม่มีความรุนแรงพวกเราจะหว่านล้อมแต่ในเวลาเดียวกันพวกเราจะมุ่งหน้าสู่แนวทางนี้หากว่าพวกเราต้องการที่จะสามารถแข่งขันได้” เขากล่าวในรายงานของสื่อ RIA Novosti ของรัสเซีย

ทั้งนี้ สื่อยูเครนสกายา ปราฟดา (Ukrainska Pravda) ที่รายงานเช่นเดียวกันระบุว่า ได้มีการบรรจุภาษาแมนดารินเข้าสอนในหลักสูตรตามมหาวิทยาลัยภายในรัสเซีย

เฟอร์เซนโก ชี้ว่า หนทางนี้จะช่วยให้บรรดานักศึกษาสามารถเข้าสู่ความเข้าใจทางสาขาวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยชี้ว่า 30% ของงานวิจัยวิทยาศาสตร์โลกนั้นถูกตีพิมพ์เป็นภาษาจีน

วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์ชี้ว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยรัสเซียชื่อดังอย่างน้อย 1 แห่งออกมาต่อต้านคำสั่งโดยชี้ว่า “แปลกประหลาดและส่งผลร้าย”

ซึ่งเฟอร์เซนโกยืนยันว่า มันมีความสำคัญจากการที่จีนมีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง มองว่า นี่เป็นหนทางที่จะทำให้ 2 ชาติสหายมีความใกล้ชิดผูกพันมากขึ้น

เฟอร์เซนโกกล่าวในการประชุมฟอรัมการศึกษาเยาวชนรัสเซีย

“พวกเราต้องการที่จะอยู่ในเทรนด์วิทยาศาสตร์กันอยู่หรือไม่? มุ่งไปข้างหน้ากันเถิด” เขากล่าว และเสริมต่อว่า “ปัญหาคือแน่นอนที่สุดมันมีความจำเป็นที่ต้องทำให้มั่นใจว่า ภาษารัสเซียยังคงอยู่ท่ามกลางไม่กี่ภาษาของด้านวิทยาศาสตร์”

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญ ดร.เซอร์เก โพโพป (Dr.Sergei Popov) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อฝรั่งเศส Le Monde เมื่อต้นปีว่า สำหรับการศึกษาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน มีภาษาเดียวเท่านั้นคือภาษาอังกฤษ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในอนาคตระยะใกล้

“ราว 100% ของสิ่งที่ผมได้อ่านและ 90% ของสิ่งที่ผมได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาจีนที่เป็นคำถามนั้นอาจขึ้นมา แต่พบน้อยกว่าในแวดวงวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี”

สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า บรรดานักศึกษารัสเซียประจำสถาบันการศึกษาฟิสิกส์และเทคโนโลยีแห่งมอสโก MFTI (The Moscow Institute of Physics) ได้ออกมาโต้ว่า ความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์รัสเซียและนักวิทยาศาสตร์จีนไม่ถึงระดับที่จะทำให้การศึกษาภาษาจีนนั้นมีความสำคัญ

ยูเครนสกายา ปราฟดา ชี้ว่า มีการประท้วงเกิดขึ้นในหมู่นักศึกษาเมื่อมีนาคมต้นปี หลังจากทางสถาบันการศึกษาได้สั่งถอดวิชาภาษาต่างประเทศทั้งสเปน เยอรมัน และฝรั่งเศสออกจากหลักสูตร และใส่วิชาภาษาแมนดารินในหลักสูตรสำหรับภาคการศึกษา 2023-24 แทนด้วยเหตุผลด้านค่าใช้จ่าย

และเมื่อมีนาคมต้นปีเช่นเดียวกัน ธนาคารแห่งรัสเซีย (Bank of Russia) กำหนดให้พนักงานของตัวเองต้องเรียนภาษาแมนดาริน โดยอ้างว่าเพื่อการติดต่อทางธุรกิจกับเพื่อนร่วมงานจากจีน

โดยหนังสือพิมพ์มอสโกไทม์สได้รายงานเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ว่า เป็นผลมาจากการเผชิญหน้าอย่างตึงเครียดกับตะวันตกหลังเครมลินเปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครน เครมลินได้หันไปมุ่งสู่เอเชียแทน ความต้องการเรียนภาษาแมนดารินเพิ่มขึ้นจากการที่รัสเซียได้เพิ่มการพึ่งพาทางเศรษฐกิจต่อจีน

หนังสือพิมพ์มอสโกแสดงภาพน่ารักของบรรดาสาว ๆ รัสเซียแต่งกายในชุดจีนโบราณสำหรับพิธีน้ำชาอย่างคึกคัก รวมถึงการศึกษาพู่กันจีน

ในขณะเดียวกัน จำนวนนักศึกษาระดับไฮสกูลรัสเซียได้เลือกภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศในการสอบไล่ปลายปีเพิ่มขึ้นภายใน 1 ปี มาอยู่ที่ 17,000 คน ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะยังคงเป็นภาษาต่างประเทศที่เลือกเป็นอันดับ 1 สำหรับเวลานี้

มีนักเรียนรัสเซียตั้งความหวังจะไปศึกษาต่อในจีนหลังมีความหวังน้อยลงในการเข้าสู่สถาบันการศึกษาโลกตะวันตก และมีอีกบางส่วนมองหาลู่ทางที่จะเดินทางไปทำงานในจีนจากเหตุค่าตอบแทนสูงสำหรับชาวยุโรป

'จีน' ออกแคมเปญดุ!! 'ปราบละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์' ปกป้อง 'ลิขสิทธิ์-คอนเทนต์' หลุดแพลตฟอร์มเถื่อน

(30 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนริเริ่มโครงการรณรงค์ใหม่ เพื่อออกปฏิบัติการพิเศษปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ทั่วประเทศ ระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน นี้

โครงการดังกล่าวเปิดตัวโดยสำนักบริหารลิขสิทธิ์แห่งชาติจีน ในความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และหน่วยกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีน

ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ จะเพิ่มการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับการออกอากาศงานแข่งขันกีฬา ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเผยแพร่รายการแข่งขันกีฬาแบบไม่ได้รับอนุญาตและผิดกฎหมาย อาทิ การแข่งขันกีฬาหางโจว เอเชียนเกมส์ และเอเชียน พารา เกมส์ ที่กำลังจะมาถึง

โดยหน่วยงานเหล่านี้ จะยกระดับการกำกับดูแลลิขสิทธิ์สำหรับโรงภาพยนตร์ตามความต้องการและห้องชมภาพยนตร์ส่วนตัวภายในบ้าน อีกทั้งเสริมสร้างการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และห้องสมุด

ตลอดการรณรงค์ข้างต้น เว็บไซต์และแอปพลิเคชันสตรีมมิงวิดีโอ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เว็บเบราว์เซอร์ และโปรแกรมค้นหาข้อมูล จะต้องได้รับการตรวจสอบลิขสิทธิ์เช่นกัน

อนึ่ง สำนักบริหารฯ ให้คำมั่นว่าจะกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์

'ครูสาว' ผันตัวเป็น 'ดาว OnlyFans' เผยอาชีพเดิมมีแต่อึดอัด ลั่น!! เป็นดาวโป๊แล้วมีอิสระ รู้สึกเป็นตัวของตัวเองกว่าเยอะ

(30 ส.ค.66) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ‘ชาแนล ยุย (Chanel Yui)’ ผู้สร้างเนื้อหาบน OnlyFans ได้ออกมาเปิดใจถึงการตัดสินใจลาออกจากอาชีพคุณครูมาเข้าสู่การคอสเพลย์และวงการ 18+

โดยชาแนลเปิดเผยว่า การเป็นคุณครูโรงเรียนมัธยมค่อนข้างกดดันและอึดอัด ทำอะไรตามใจไม่ได้นัก เพราะผลที่ตามมาคือการโดนตำหนิและโดนร้องเรียน จนทำให้เธอฉุกคิดว่า “ทำไมถึงจะเป็นตัวของตัวเองไม่ได้?”

ด้านเหตุผลที่เลือกเข้าร่วมเส้นทางอาชีพที่ ‘เป็นที่ถกเถียง’ และ ‘ไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง’ นั้น ชาแนลเผยว่าเป็นเพราะ ‘ซากุระ’ เพื่อนสนิทคนหนึ่งค่อนข้างประสบความสำเร็จในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ และแนะนำให้เธอรู้จักอินฟลูเอนเซอร์มากมาย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมักสร้างเนื้อหาบน OnlyFans ประจำ

แน่นอนว่าซากุระก็เข้าร่วม OnlyFans ด้วยเช่นกัน ชาแนลจึงเริ่มเข้าสู่วงการด้วยการช่วยงานเบื้องหลัง ตั้งแต่การถ่ายภาพไปจนถึงการช่วยจองเที่ยวบินสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งหลังจากสัมผัสประสบการณ์เบื้องหลังมานาน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลองทำ OnlyFans ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากวิดีโอเปิดใจถูกเผยแพร่ ค่อนข้างมีกระแสตอบรับเชิงลบต่อการเปลี่ยนอาชีพของเธอ “น่าอับอาย กระทรวงศึกษาธิการเป็นต้องปรับปรุงการคัดเลือกครูในอนาคตจริงๆ”, “รัฐจ่ายเงินเดือนครูให้น้อยจนทำให้เธอต้องออกมาโชว์เนื้อหนังหรอ?”

‘ฝรั่งเศส’ จ่อแบนชุด ‘อาบายะห์’ ของชาวมุสลิมในโรงเรียนรัฐฯ อ้าง!! ลดการบ่งบอกศาสนาที่นับถือ ผ่านการแต่งกาย-สัญลักษณ์

(29 ส.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส ออกประกาศว่า เด็กนักเรียนหญิงในโรงเรียนรัฐบาลทุกแห่ง จะถูกห้ามไม่ให้ใส่ชุดคลุมยาวอาบายะห์ มาตรการนี้ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันทีในภาคการศึกษาใหม่ โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 4 กันยายนที่จะถึงนี้ โดยรัฐบาลจะประกาศแนวทางปฏิบัติในระดับประเทศต่อไป

ทั้งนี้ ฝรั่งเศสมีข้อบังคับเข้มงวด และห้ามไม่ให้มีการสวมใส่เครื่องแต่งกาย หรือแสดงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเชื่อทางศาสนาอย่างชัดเจนในโรงเรียนรัฐฯ รวมถึงหน่วยงานราชการ มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เพื่อไม่ให้ขัดต่อหลักปรัชญาโลกิยนิยม และไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก หรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งข้อบังคับนี้ครอบคลุมไปถึงไม้กางเขนของศาสนาคริสต์ด้วย

‘กาเบรียล อัตตัล’ (Gabriel Attal) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้สัมภาษณ์กับ TF1 TV ว่า “เมื่อคุณเดินเข้ามาในห้องเรียน คุณไม่ควรจะรู้ศาสนาที่นักเรียนคนนั้น ๆ นับถือได้ทันทีจากการแค่มองดู ผมจึงตัดสินใจว่าไม่ควรให้สวมชุดคลุมอาบายะห์ในโรงเรียนอีกต่อไป”

ด้าน CFCM องค์กรที่เป็นตัวแทนชาวมุสลิม ระบุว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียว ไม่ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา

'โตโยต้า' สั่งระงับการผลิตรถยนต์ 12 โรงงาน ในญี่ปุ่น หลังพบระบบขัดข้อง ทำให้ยังไม่สามารถสั่งซื้อชิ้นส่วนได้

(29 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น เปิดเผยการระงับการดำเนินงานในโรงงานประกอบยานยนต์ 12 แห่ง จากทั้งหมด 14 แห่งในญี่ปุ่นเมื่อเช้าวันอังคารนี้ เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้องซึ่งทำให้ไม่สามารถสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์ได้ ส่วนเวลาที่จะกลับมาดำเนินการอีกครั้งยังไม่ชัดเจน

โรงงานทั้งหมดใน 25 สายการผลิตได้รับผลกระทบ ยกเว้นโรงงานมิยาตะในจังหวัดฟุกุโอกะ และโรงงานของไดฮัทสุ มอเตอร์ จำกัด (Daihatsu Motor Co.) บริษัทรถยนต์ในเครือโตโยต้า ในจังหวัดเกียวโต

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 โตโยต้าระงับการปฏิบัติงานที่โรงงานทุกแห่งในญี่ปุ่นหนึ่งวัน หลังจากที่บริษัท โคจิมะ อินดัสทรีส์ คอร์ป. (Kojima Industries Corp.) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ในประเทศของบริษัทฯ ประสบปัญหาระบบขัดข้อง ส่งผลกระทบต่อสายการผลิตในญี่ปุ่นของโตโยต้าทั้ง 28 สาย ในโรงงาน 14 แห่ง และกระทบผลผลิตราว 13,000 คัน

‘อดีตนักเดินเรือเก่า’ แอบหวั่น!! อาหารทะเลนำเข้าจากญี่ปุ่น ความปลอดภัยที่ยังถูกตั้งคำถาม หลังน้ำปนเปื้อนล่องทะเล

(29 ส.ค.66) ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ให้ความรู้กรณีญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนกันตรังสีสู่ทะเลไว้ว่า...

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปทานโอโทะโระลายสวย ๆ จากรูปภาพที่ 1 ในราคา 10 ชิ้น 399 บาท (ตกเฉลี่ยชิ้นละ 40 บาท) เมื่อทานแล้วคุณภาพไม่ต่างจากโอโทะโระที่ญี่ปุ่นระดับราคา 3 ชิ้นพันเยนเลย (ตกเฉลี่ยชิ้นละ 33.3 บาท) ก็ถือว่าทานทิ้งทวนก่อนจะลดการทานอาหารทะเลสักพัก อันเนื่องจากข่าวการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ได้รับการบำบัดแล้วลงสู่ทะเลของประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา

ขอเกริ่นต้นเหตุของเรื่องก่อนนะครับ เมื่อ 12 ปีที่แล้วเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น จนทำให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงผลิตไฟฟ้าฟุคุชิมะหมายเลขหนึ่งเกิดการเมลท์ดาวน์ จึงต้องนำที่ใช้หล่อเย็นแกนพลังงานของเตาปฏิกรณ์และน้ำเหล่านั้นก็ปนเปื้อนกัมมันตรังสี ปริมาณน้ำเหล่านั้นคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 ปีในการทยอยปล่อยน้ำที่บัดบำแล้วจนกว่าจะหมด แต่ถึงแม้จะได้รับการอนุญาตจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) แล้วว่าปริมาณการปนเปื้อนกัมมันตรังสีนั้นอยู่ใน ‘ระดับที่มองข้ามได้’ ว่าแต่มันปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล ธรรมชาติ และมนุษย์จริงหรือไม่ ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ดี 

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการลดการทานอาหารทะเลสักพักของผม? ด้วยอาชีพเก่าอย่างนักเดินเรือ ที่จำเป็นต้องเรียนในศาสตร์วิชาอุตุนิยมวิทยา และสมุทรศาสตร์ ให้เข้าใจหลักการพยากรณ์อากาศ การเกิดพายุ การเกิดคลื่น และกระแสน้ำในทะเลเพื่อใช้ในการนำเรืออย่างปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกระแสน้ำในทะเลบนโลกเรานั้น ผมจำได้ขึ้นใจเนื่องจากตอนสอบภาคทฤษฎีในตำแหน่งนายเรือ และสอบสัมภาษณ์ในตำแหน่งนายประจำเรือเจอคำถามเกี่ยวกับเรื่องกระแสน้ำนี้ด้วย

จากรูปภาพที่ 2 เป็นภาพทิศทางของกระแสน้ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกที่แบ่งได้เป็นสองแบบคือ กระแสน้ำอุ่นแทนด้วยสีแดง และกระแสน้ำเย็นแทนด้วยสีน้ำเงิน การปล่อยน้ำที่ได้รับการบำบัดแล้วลงสู่ทะเล ณ จุดเกิดเหตุมีโอกาสที่กระแสน้ำอุ่นจะพัดเอาน้ำเหล่านั้นไปยังทวีปอเมริกาแล้วแยกออกเป็นสองสาย ไปทางเหนือแล้ววนกลับไปที่ญี่ปุ่น หรือลงทางใต้แล้ววนกลับไปยังเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) นั่นหมายความว่า มีโอกาสที่สัตว์ทะเลที่อาศัยบริเวณนั้นได้รับกัมมันตรังสี ซึ่งก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดว่าจะไม่มีการกลายพันธุ์ และมนุษย์ก็จะรับเอาสารกัมมันตรังสีจากสัตว์ทะเลเหล่านั้นมาอีกต่อหนึ่ง 

เพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ ผมแคปเอาภาพที่ 3 จากเว็บที่แสดงกระแสน้ำทั่วโลกแบบ Real time มาให้ดูกัน ใครสนใจดูเองเชิญตามลิงก์นี้
https://earth.nullschool.net/#current/ocean/surface/currents/equirectangular=-169.89,11.90,510 

โพสต์นี้ไม่ได้ต้องการให้ทุกคนแตกตื่น แต่ต้องการให้ตื่นตัวกับสถานการณ์ของโลก ประเทศจีนเองก็มีมาตรการยกเลิกการนำเข้าสัตว์ทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมดแล้ว เกาหลีก็มีการประท้วงต่อรัฐบาลญี่ปุ่นในการทำเช่นนี้ ส่วนไทยที่มีหลายคนรักในปลาส้ม และโอมากาเสะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นยังอาจไม่รับรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ ก็อยากให้รับรู้ถึงความเสี่ยงที่มี และพิจารณาความเสี่ยงนั้นด้วยตัวเองครับ

ปล. ที่จริงคนเราก็กินสัตว์ทะเลที่ปนเปื้อนไมโครพลาสติกมาสักพักแล้วนะ ต่างประเทศค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว แต่ไทยยังทำตัวเหมือนท่านฮุคเพลง ‘ความซื่อสัตย์’ ของบอดี้สแลมต่อไป

‘สาวไทย’ แชร์ประสบการณ์ใช้ชีวิตในเกาหลีใต้ ‘ของแพง-สังคมเร่งรีบ’ เหมาะแค่มาเที่ยวระยะสั้น

(29 ส.ค. 66) ในโลกโซเชียล ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ ‘monajung23’ ได้โพสต์วิดีโอบรรยายถึงประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เกาหลีใต้ ซึ่งมีหลายแง่มุมที่รู้ว่า ‘ประเทศไทย’ ดีกว่า ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ระบุในวิดีโอว่า

“ประเทศเกาหลีน่าอยู่จริงป่าว??? ความคิดเห็นส่วนตัว เป็นประเทศน่าอยู่ระยะสั้นๆ (ไม่ใช่ตลอดชีวิต) มาเรียน มาเที่ยว มาลองอยู่สัก 2 ปีได้ แต่ไม่ได้ถึงกับน่าอยู่ตลอดชีวิต ค่าครองชีพที่เกาหลีแพงมาก เรียกว่าทำงานเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถซื้อบ้านได้ ส่วนเรื่องการแต่งงานก็ใช้เงินสูงมากเช่นกัน”

“ส่วนอาหารการกินก็ถือว่ากินได้ แต่อร่อยสู้ประเทศไทยไม่ได้ คนแปลกที่เกาหลีเยอะมาก โดยเฉพาะบนรถไฟ ใครมาเกาหลีก็ต้องระวังตัวมาก ๆ (เพิ่งจะมีข่าวสุ่มแทงไป ต้องระวังขึ้นอีก) อากาศดีกว่าประเทศไทย แต่ถ้าหนาวก็หนาวมาก ร้อนก็ร้อนมาก เรียกว่าอากาศแปรปรวนและ PM2.5 ก็เยอะเอาเรื่อง”

“การคมนาคมถือว่าดี แต่ต้องรีบร้อนไปทั้งหมด ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าอยู่เมืองไทยก็ไม่ได้แย่เนาะ”

ในช่วงท้ายของวิดีโอ ผู้ใช้บัญชีติ๊กต็อกรายนี้ได้ทิ้งข้อความไว้ด้วยว่า “ถ้าไม่ติดเรื่องเงิน อยู่ไทยก็ถือว่าไม่ได้แย่ เพราะอยู่เกาหลีได้เยอะกว่าก็จริง แต่ก็ต้องใช้เยอะด้วยเช่นกัน”

ต่อมาได้มีผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกรายอื่น ๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เช่น 

-มหาเศรษฐีบางท่านที่เคยอยู่ต่างประเทศสุดท้ายก็ต้องกลับประเทศไทยประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดแล้วล่ะครับ

-เคยถามคนเกาหลีที่มาอยู่ไทยเขาบอกอยู่ไทยเพราะชีวิตไม่เหนื่อยเหมือนอยู่ประเทศเขา

-ชอบมาก พูดมีเหตุผล ไม่อวยเกิน ขอบคุณค่ะ 🙏

-จริงค่า ทั้งเกา ญี่ปุ่น งงมากเหมือนต้องรีบเดินตาม ๆ เขา ตาลาย 5555

-มาเรียน 4 ปี สนุกมากค่ะ แต่อยู่ไทยสนุกกว่า😂

-จริงไปเที่ยวเกาหลีทุกปี รอบล่าสุดอยากอยู่นาน ๆ จัดไป 19 วัน อยู่ไป 7 วันอยากกลับบ้านแล้ว ยิ่งอยู่นานยิ่งไม่ชอบ แต่ชอบไปเที่ยวไม่เกินอาทิตย์ แพงทุกอย่าง

-จากใจคนอยู่เกาหลี คถ.ไทยทุกวันค่ะ อาหาร ที่เที่ยว ทะเล

-จริงมาก เรามีสามีเกาหลี ทุกวันนี้สามีอยากย้ายไปไทยตลออด แต่ตอนนี้ตั้งใจเก็บเงินกลับไปไทย เราดีที่สุด ขนาดคนเกา ยังอยากไปอยู่ไทยค่ะ

-จริงค่ะ เหมาะกับการไปเที่ยวแต่ไม่น่าใช้ชีวิตอยู่จริง ๆ แต่แอบชอบการทำงานจริงจังของ ตร. กม. บ้านเขามาก ๆ การคมนาคมดี แต่ค่าครองชีพแพง

-จริงค่ะ สามีเคยพาไปอยู่ช่วงโควิด ระหว่างไทยกับเกาหลี สามีเลือกไทยเพราะค่าครองชีพไทยยังสามารถประหยัดได้ อยู่ไทย 7 ปี แต่เกาหลีอยู่ได้ 1 ปี😅😅

‘อินเดีย’ เตรียมส่ง ‘อาดิตยา แอล 1’ สำรวจดวงอาทิตย์ 2 ก.ย.นี้ หลังสร้างประวัติศาสตร์พิชิตดวงจันทร์สำเร็จเป็นชาติแรกของโลก

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, นิวเดลี รายงานว่า องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) เปิดเผยกำหนดการปล่อยดาวเทียม ‘อาดิตยา แอล 1’ (Aditya L1) เพื่อทำภารกิจสำรวจดวงอาทิตย์ครั้งแรก ว่าน่าจะมีขึ้นในวันที่ 2 ก.ย.นี้

‘นิเลช เอ็ม เดไซ’ ผู้อำนวยการศูนย์ประยุกต์อวกาศ (SAC) ในเมืองอาห์เมดาบัด ระบุว่า ดาวเทียมอาดิตยา แอล 1 อยู่บนแท่นปล่อยจรวดและพร้อมสำหรับการปล่อยแล้ว

ดาวเทียมดวงดังกล่าวจะบรรทุกเครื่องมือ 7 รายการ เพื่อศึกษาชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ พายุสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบโลก โดยจะถูกส่งไปวงโคจรรัศมีรอบจุดลากรางจ์ 1 (L1) ของระบบดวงอาทิตย์-โลก ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 1.5 ล้านกิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม อินเดียทูเดย์ รายงานว่า โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึก ที่ไม่เคยมีมาก่อนของดวงอาทิตย์ และผลกระทบที่มีต่อสภาพอากาศ ตั้งชื่อตามแกนของดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้เดินทางไปดวงอาทิตย์จริงๆ แบบที่หลายคนเข้าใจ

ดาวเทียม ‘อาดิตยา แอล 1’ จะวางตำแหน่งตัวเองในวงโคจรรัศมีรอบจุดลากรางจ์ ของระบบดวงอาทิตย์-โลก ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 1.5 ล้านกิโลเมตร ซึ่งตำแหน่งนี้จะช่วยให้สามารถสังเกตดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ถูกขัดขวางโดยสุริยุปราคา และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ ศึกษากิจกรรมแสงอาทิตย์ และผลกระทบต่อสภาพอากาศในแบบเรียลไทม์

ภารกิจอาดิตยา แอล 1 จะใช้เวลามากกว่า 100 วันโลก หลังจากปล่อยสู่อวกาศ เพื่อไปถึงวงโคจรรัศมีรอบจุดแอล 1 ดาวเทียมมีน้ำหนัก 1,500 กิโลกรัม บรรทุกสิ่งของวิทยาศาสตร์ 7 ชิ้น

เอ็นดีทีวี ของอินเดีย เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวถูกสร้างด้วยต้นทุนเกือบครึ่งหนึ่งของ ‘จันทรายาน -3’ โดยรัฐบาลอนุมัติเงิน 378 ล้านรูปี ในปี 2019 สำหรับการศึกษาบรรยากาศของดวงอาทิตย์ แต่ไม่มีข้อมูลที่มากกว่านั้น

ไม่นานมานี้ ‘จันทรายาน 3’ ของอินเดีย เพิ่งจะลงจอดลงในขั้วโลกใต้ของอินเดียได้สำเร็จเป็นชาติแรกของโลก โดยมูลค่าของโครงการดังกล่าวอยู่ที่ 600 ล้านรูปี ซึ่งเทียบกับการสร้างภาพยนตร์บอลลีวูดฟอร์มยักษ์ 2 เรื่อง

มกุฎราชกุมารซาอุฯ ผุดแผนสร้าง ‘ศูนย์โลจิสติกส์’ กว่า 50 แห่ง หนุนความหลากหลายเศรษฐกิจท้องถิ่น-อีคอมเมิร์ซ

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว เผยว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เปิดตัวแผนสร้างศูนย์โลจิสติกส์กว่า 50 แห่ง เพื่อเปลี่ยนประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ระดับโลก

สำนักข่าวซาอุดีอาระเบีย รายงานว่าแผนการดังกล่าวมีเป้าหมายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาคโลจิสติกส์ สร้างความหลากหลายของเศรษฐกิจท้องถิ่น และเสริมสร้างสถานะของซาอุดีอาระเบียในฐานะจุดหมายการลงทุนชั้นนำ

รายงานระบุว่าแผนการนี้ประกอบด้วยศูนย์ 59 แห่งบนพื้นที่รวมกว่า 100 ตารางกิโลเมตร โดยอยู่ในกรุงริยาด 12 แห่ง เมกกะ 12 แห่ง ภูมิภาคตะวันออก 17 แห่ง และส่วนอื่นๆ ของซาอุดีอาระเบียอีก 18 แห่ง

ศูนย์โลจิสติกส์ดังกล่าวซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จภายในปี 2030 จะเปิดทางให้อุตสาหกรรมท้องถิ่น ส่งออกผลิตภัณฑ์ของซาอุดีอาระเบียได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ โดยเกื้อหนุนการเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว ระหว่างศูนย์โลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าทั่วซาอุดีอาระเบีย

ยึดรถไอศกรีมฉาว กลางย่านท่องเที่ยวดังในกรุงลอนดอน หลังกร่างขวางถนน ไร้ใบอนุญาต แถมค้ากำไรเกินควร 

(28 ส.ค. 66) ทำเสียชื่อเมืองผู้ดีเก่าอย่าง ‘กรุงลอนดอน’ ประเทศอังกฤษอย่างนี้ ต้องโดนสักที สำหรับรถเร่ขายไอศกรีมตามแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ที่ตอนนี้ โดนสื่ออังกฤษรุมแฉว่า “เป็นร้านที่ขายไอศกรีมแพงที่สุดในอังกฤษแล้ว”

เมื่อตำรวจลอนดอนใน 2 พื้นที่ทั้ง ‘Lambeth Council’ และ ‘Westminster City’ ได้บุกเข้ายึดรถเร่ขายไอศกรีมคันหนึ่ง ที่จอดขายไอศกรีมโคนสไตล์อังกฤษ ที่เรียกว่า ‘99 Flake’ ให้แก่นักท่องเที่ยวบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ เพราะจอดรถบนสะพานกีดขวางเลนจักรยาน ผิดกฏจราจร สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ และยังพบว่ารถขายไอศกรีมคันนี้ ไม่มีใบอนุญาติในการจำหน่ายอาหาร ผิดระเบียบด้านอนามัยอีกต่างหาก

แต่ที่แสบยิ่งกว่านั้นคือ ก่อนที่ตำรวจลอนดอนจะบุกมายึดรถไอศกรีมคันนี้ไป มีการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งว่า รถเร่คันนี้ ขายไอศกรีมโคนในราคาแพงลิว เข้าข่ายขูดรีดนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว

เพราะร้านนี้ ขายไอศกรีม 99 Flake ขนาดมาตรฐาน ซึ่งเป็นไอศกรีมโคนไอคอนของเกาะอังกฤษ ในราคาสูงถึงโคนละ 7 ปอนด์ (ประมาณ 310 บาท) ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าร้านทั่วไปเกือบ 5 เท่า

หากคิดว่าไอศกรีมโคนละ 7 ปอนด์ ราคาแพงมากแล้ว แต่ล่าสุด ‘โจแอน ซิมบอร์’ นักท่องเที่ยวสาวรายหนึ่ง ที่เดินทางมาพร้อมครอบครัวและลูกๆ ยืนยันว่าได้ซื้อไอศกรีมโคนกับรถคันนี้ในราคาแพงกว่า 7 ปอนด์เสียอีก โดยเธอได้สั่งไอศกรีมไปทั้งหมด 4 โคน โดนไป 30 ปอนด์ (ประมาณ 1,330 บาท) ตอนที่เจ้าของร้านบอกราคา เธออึ้งจนงง!! แม้จะเข้าใจว่าค่าครองชีพในลอนดอนนั้นสูงมาก แต่ไม่นึกว่าจะสูงถึงขนาดนี้

สิ่งที่ผิดปกติคือ ทางร้านก็ไม่ยอมติดป้ายราคาอาหารที่หน้าร้านเลย แม้คนทั่วไปจะสอบถามราคาก่อนซื้อ แต่บางครั้งหลายคนก็ชะล่าใจ ไม่นึกว่าไอศกรีมโคนเล็กๆ จะมีราคาแพงได้ถึงขนาดนี้

สำหรับไอศกรีมโคน 99 Flake ชื่อดังนี้ ถือกำเนิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่บริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลต Cadbury ในเมืองเบอร์มิงแฮม ได้ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในปี 1920 ที่ชื่อว่า ‘Flake’ มีลักษณะเป็นแท่งช็อคโกแลตอบกรอบ คล้ายตังเม และไม่ละลายในอากาศร้อน ต่อมานิยมใช้ในการตกแต่งบนหน้าขนมหวาน

โดยร้านที่อ้างว่าเสิร์ฟเมนู 99 Flake เป็นร้านแรก คือร้านไอศกรีมของ ‘นายสเตฟาโน อาร์คารี’ ซึ่งร้านของเขาตั้งอยู่บ้านเลขที่ 99 บนถนน Portobello High Street ในสก็อตแลนด์ ได้ใช้ช็อกโกแลต Flake ครึ่งแท่งปักในไอศกรีมซอฟท์ครีม 1 โคนออกขายในปี 1922 ซึ่งเชื่อว่า 99 Flake มาจากเมนูนี้ที่ร้านของเขา และเป็นเมนูไอศกรีมที่ดังมาก และมีหลายร้านนำไอเดียไปขายบ้าง และกระจายไปทั่วอังกฤษ จนบริษัท Cadbury ต้องออกช็อกโกแลต Flake ในขนาดครึ่งแท่งมาวางจำหน่ายสำหรับนำไปประดับเป็นไอศกรีม 99 Flake โดยเฉพาะในเวลาต่อมา

ดังนั้น 99 Flake จึงเป็นไอศกรีมโคนระดับมาตรฐาน สตรีทฟู้ดทั่วไปในอังกฤษ โดยมากขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.5 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นหลายปี ขายในราคา 99 เซนท์ตามชื่อไอศกรีมด้วยซ้ำไป

เมื่อเป็นไอศกรีมระดับตำนานของอังกฤษ ก็มีนักท่องเที่ยวหลายคนสนใจอยากลองเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอมาเจอราคาของรถเร่ไอศกรีม ที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใส ดูเข้าถึงง่าย แต่หลอกขายไอศกรีมในราคาที่เรียกได้ว่าขูดรีด หลอกลวงผู้บริโภค เห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวก็คิดจะขายในราคาแบบตีหัวเข้าบ้าน ก็ทำนักท่องเที่ยวเข็ดได้เหมือนกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็โดนยึดรถ โดนออกสื่อทั่วอังกฤษประจานไปตามระเบียบ แต่ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวก็ต้องพึงระวังในการซื้อของกิน ของใช้เวลาเดินทางต่างแดน ต้องถามราคาก่อนสั่งเสมอ จะได้ไม่โดนโขกราคาเลือดซิบเช่นนี้

‘ญี่ปุ่น’ โวย!! ถูก ‘จีน’ ขู่ หลังปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีลงทะเล ด้าน ‘ฮ่องกง’ แบนนำเข้าอาหารทะเล ฉุดธุรกิจร้านอาหารดิ่ง 30%

(28 ส.ค. 66) สำนักข่าวรายงานว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในเกาะฮ่องกงคาดหมายว่า ธุรกิจร้านอาหารของตนจะตกลงมากถึง 30% ได้ หลังจากทางการสั่งแบนนำเข้าอาหารทะเลจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่น ที่มีผลแล้วในวันที่ 24 สิงหาคม จากการที่ญี่ปุ่นทำการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี ที่ผ่านการบำบัดเรียบร้อยแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก

‘นายไซม่อน หว่อง’ ประธานสหพันธ์ร้านอาหารและการค้าที่เกี่ยวข้องของฮ่องกง กล่าวว่า เราคาดว่าธุรกิจร้านอาหารจะปรับลดลงไปราว 20-30% หรืออาจมากกว่านั้นสำหรับร้านอาหารไฮเอนด์ ที่ส่วนใหญ่นำเข้าวัตถุดิบที่บินส่งตรงจากญี่ปุ่นมายังฮ่องกงภายในวันเดียวกันเลย และหากวัตถุดิบที่เป็นอาหารทะเลดังกล่าวไม่มีความหลากหลาย หรือไม่มีปริมาณเพียงพอสำหรับร้านอาหาร ธุรกิจก็จะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี เขาเชื่อว่าการขาดแคลนอุปทานจะไม่ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากผู้ค้าให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าไว้เป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ ฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกอาหารทะเลใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น รองจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งได้ออกมาตรการห้ามนำเข้าอาหารทะเล รวมถึงเกลือและสาหร่ายทะเล จาก 10 จังหวัดที่มีความเสี่ยงของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม รวมถึงจากโตเกียว, จังหวัดฟุกุชิมะ และนางาโนะ ซึ่งคิดเป็น 10% ของอาหารทะเลญี่ปุ่นที่นำเข้ามาในฮ่องกง

ส่วนมาเก๊า เกาะเพื่อนบ้านที่อยู่ใต้อาณัติปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ ก็สั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่นเช่นกัน ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่สั่งแบนนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด

วันเดียวกัน ‘นายฮิโรคาสุ มัตสึโนะ’ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง กรณีที่มีโทรศัพท์ข่มขู่เข้ามาอย่างมาก โดยมีต้นสายจากจีนในการข่มขู่คุกคามที่เกี่ยวเนื่องกับการปล่อยน้ำเสีย จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงทะเลของญี่ปุ่น

โดยนายมัตสึโนะกล่าวว่า พัฒนาการเหล่านี้เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งและเรามีความเป็นห่วง กังวล

ด้านกระทรวงต่างประเทศของจีนยังไม่ได้ให้ความเห็นต่อท่าทีนี้ของโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น

สื่อจีน เล่นแรง!! ยก 24 ส.ค.2023 'วันภัยพิบัติจากนิวเคลียร์โลก' หลัง รบ.ญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีสู่ทะเลเป็นครั้งแรก

(28 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ สื่อที่อยู่ภายใต้การควบคุมจากรัฐของจีน ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีของญี่ปุ่น โดยระบุว่า…

#สัตว์บาปเริ่มแก้แค้นทั่วโลก

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีลงสู่มหาสมุทรเป็นครั้งแรก โดยไม่นำพาการคัดค้านอย่างรุนแรงของประชาคมโลก โดยเฉพาะชาวจีนและเกาหลีใต้

นาย ‘ฮูเหอฉีหลิน’ (乌合麒麟) จิตรกรชื่อดังชาวจีน เสนอผลงานภาพการ์ตูนล่าสุดชื่อภาพ ‘สัตว์บาปเริ่มแก้แค้นทั่วโลก’ โดยมีคำบรรยายภาพ “มันจะทำให้ชาวโลกเสียชีวิตพร้อมกันหรือ” นับเป็นภาพที่แรงมาก แต่แสดงออกถึงอารมณ์โกรธและความกังวลอย่างยิ่งของชาวจีน

การวิจัยที่เกี่ยวข้องของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า น้ำเสียที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ จะไหลไปยังมหาสมุทรทั่วโลกใน 10 ปีนับจากนี้ ขณะที่โครงการปล่อยน้ำเสียนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นจะดำเนินการเป็นเวลา 50 ปี และสารกัมมันตรังสีส่วนหนึ่งจะอยู่ได้เป็นเวลาหมื่นปี

น้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ดังกล่าวมีสารกัมมันตรังสีกว่า 60 ชนิด ทางการญี่ปุ่นบอกว่าเป็นน้ำที่ได้รับการบำบัดมาแล้ว เราเป็นชาวบ้าน ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ทำไมญี่ปุ่นไม่เก็บไว้ใช้เอง อย่างน้อยก็เอาไปใช้ในการเพาะปลูกพืชที่รับประทานได้ ปลูกหญ้าและปลูกป่าก็ได้  แต่จะมุ่งมั่นปล่อยลงสู่ทะเล น้ำเหล่านี้ปลอดภัยจริงหรือ

สื่อจีนระบุ วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2023 เป็น ‘วันภัยพิบัติจากนิวเคลียร์โลก’

‘ทรัมป์’ ระดมเงินทุนจากผู้สนับสนุนได้มากกว่า 248 ล้านบาท หลังแพ้คดีล้มผลการเลือกตั้ง และถูกเก็บภาพผู้ต้องหาในจอร์เจีย

(27 ส.ค. 66) หลังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกถ่ายภาพเพื่อทำประวัติผู้ต้องหา ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อสัปดาห์ก่อน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ก็ยังสามารถระดมทุน เพื่อสนับสนุนการรณรงค์หาเสียง ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เพิ่มเติมไม่หยุด

นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายประกอบคำฟ้อง ที่ทรัมป์ต้องเข้าไปถ่ายในเรือนจำ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น ยอดเงินระดมทุนสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์นั้น เพิ่มขึ้นถึง 7.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 248.5 ล้านบาท

ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีคำฟ้องทรัมป์ในหลายกรณี ทั้งจากคดีของรัฐบาลกลางและคำฟ้องของรัฐต่างๆ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020

‘สตีเวน ชุง’ โฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์ระบุว่า ทรัมป์สามารถระดมทุนได้เป็นเงินเกือบ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 700 ล้านบาท

ชุงระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมเพียงวันเดียว มีผู้บริจาคเงินให้กับการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์สูงถึง 4.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 146 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยได้รับบริจาคมาในวันเดียว

ขณะที่ภาพถ่ายประกอบการทำแฟ้มคดีของทรัมป์ ซึ่งมีการเผยแพร่โดยศาลของรัฐจอร์เจีย ถูกนำไปพิมพ์ลงเสื้อยืด แก้วน้ำ แก้วกาแฟ โปสเตอร์ ไปจนถึงหัวตุ๊กตาทั้งจากฝ่ายที่นิยมชมชอบและฝ่ายที่เห็นต่าง

นับจนถึงขณะนี้ ทรัมป์เผชิญกับการฟ้องร้อง 5 คดี ซึ่งรวมถึงคดีการกล้าวอ้างเป็นเท็จว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ทำให้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 2 คดี รวมถึงคดีที่กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้าไปในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งทรัมป์ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และย้ำว่าคดีทั้งหมดมีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง

มือปืนเหยียดเชื้อชาติ กราดยิงคนผิวดำดับ 3 รายในแจ็กสันวิลล์ สลด!! เหตุเกิดตรงกับวันครบรอบสุนทรพจน์ ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์’

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 ตามเวลาท้องถิ่น มือปืนรายหนึ่งก่อเหตุกราดยิงใส่คนผิวสี 3 ราย จนเสียชีวิตในแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตาม ถือเป็นเหตุสลดใจล่าสุดที่เกิดขึ้นเพราะการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ

มือปืนถูกระบุว่าเป็นคนผิวขาว อายุ 20 ต้นๆ ได้เข้าไปในร้านดอลลาร์เจเนอรัล และเปิดฉากยิงใส่คนผิวสีจนเสียชีวิต 3 ราย ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับตำรวจที่เข้าระงับเหตุ แต่คนร้ายได้จบชีวิตตนเองในท้ายที่สุด

‘นายอำเภอที เค วอเตอร์ส’ กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 2 รายและหญิง 1 ราย โดยมือปืนซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ ใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่มีน้ำหนักเบา และปืนพกในการก่อเหตุ

นายอำเภอวอเตอร์สเชื่อว่า มือปืนลงมือก่อเหตุตามลำพังและมีข้อมูลระบุว่า เขาต้องการฆ่าตัวตาย โดยมือปืนรายนี้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเขาในเคลย์เคาท์ตีของแจ็กสันวิลล์ โดยปืนอย่างน้อย 1 กระบอกของเขามีเครื่องหมายสวัสดิกะอยู่บนนั้น

ขณะที่ ‘ดอนนา ดีแกน’ นายกเทศมนตรีแจ็กสันวิลล์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังทางเชื้อชาติ และว่าแค่เหตุยิงเพียงครั้งเดียวก็มากเกินไป ยิ่งการกราดยิงหมู่เช่นนี้ยิ่งเป็นเรื่องเหลือที่จะรับได้

‘รอน เดอซานติส’ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา กล่าวว่า เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องน่ากลัว มือปืนพุ่งเป้าไปที่คนโดยดูจากเชื้อชาติของพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง และฆ่าตัวตายแทนที่จะเผชิญหน้า และรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เขาเลือกทางออกอย่างคนขี้ขลาด

ด้านทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว

เหตุกราดยิงดังกล่าวเกิดขึ้นในวันครบรอบ 60 ปีที่ ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์’ ได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดัง “I have a dream” เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองให้กับคนผิวสีในสหรัฐฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top