Sunday, 11 May 2025
WORLD

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการแต่งกายใน 'ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก' ชุดต้องเป๊ะ!! 'หนวดเครา-ผมเผ้า' ต้องเนี้ยบ ฝ่าฝืนถูกปรับเหยียบหมื่น

(16 ส.ค. 66) เพจ 'ทันโลกกับ Trader KP' ได้เผยเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการแต่งกายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) ที่นักลงทุนยังต้องบอกว่า ‘สุดเนี้ยบ!’ ไว้ว่า...

ใครจะรู้ว่าภาพลักษณ์ที่เราเห็นกันในหนังว่าตลาดหุ้นมีแต่คนเนี้ยบและสุภาพเรียบร้อย จะเป็นกฎระเบียบที่เข้มงวดและอาจมีค่าปรับสูงถึง 9,000 บาทหากเราไม่สวมสูท ผูกไทด์เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์ก

ตามคำกล่าวที่อยู่ในหลักจรรยาบรรณของตลาดหุ้นนิวยอร์กได้กล่าวว่า “เสื้อผ้าทุกชิ้นจะต้องรีดให้ไม่มีรอยยับให้เห็น”

ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) หรือที่นักลงทุนรู้จักกันในนาม NYSE เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อาคารของตลาดหลักทรัพย์ตั้งอยู่มุมถนนวอลล์สตรีท (Wall Street) จึงมักเรียกกันว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

👨🏻‍💼 การแต่งกายของผู้ชาย
สำหรับนักลงทุนและพนักงานผู้ชายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กจะต้องดำเนินการตามกฎการแต่งกายต่อไปนี้...

👉 เสื้อเชิ้ตคอปกติดกระดุมทุกเม็ด
👉 ผูกไทด์ให้แน่น ไม่หละหลวมเกินไป
👉 กางเกงขายาว ได้แก่ กางเกงสูท หรือ กางเกงลำลอง
👉 แจ็กเก็ตแขนยาว ได้แก่ สูท แจ็กเก็ต เบลเซอร์ หรือแจ็กเกตสำนักงานธรรมดา
👉 เสื้อเชิ้ตกอล์ฟ หรือ เสื้อโปโลมีปกหรือคอเต่า
👉 เล็มหนวด เคราให้ดูเรียบร้อย

👩🏻‍💼 การแต่งกายของผู้หญิง
สำหรับนักลงทุนและพนักงานผู้หญิงในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กจะต้องดำเนินการตามกฎการแต่งกายต่อไปนี้....

👉 เสื้อเบลาส์ เสื้อเชิ้ต หรือสเวตเตอร์ที่ดูเหมาะสม
👉 สวมใส่กระโปรงหรือเดรสยาว
👉 กางเกงสูทขายาว 
👉 ถุงน่อง (ในบางกรณี)

👨🏼‍🦰 👱🏼‍♀️ กฎแต่งกายร่วมกัน
แม้จะมีกฎระเบียบที่ดูเนี้ยบเป็นอย่างมาก แต่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กยังมีกฎการแต่งกายที่ทุกเพศต้องปฏิบัติร่วมกันก็แก่การสวมรองเท้าที่จะต้องมีส้นและปลอดภัยสำหรับการเดินในตลาดหุ้น

เนื่องจากในอดีตเมื่อถึงเวลาที่ตลาดหุ้นเริ่มวุ่นวาย เทรดเดอร์หลายคนจะเริ่มถอดร้องเท้าทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงานและวิ่งไปมาจนทำให้ดูไม่สุภาพเรียบร้อย

💸 ค่าปรับ
หากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้วางไว้จะต้องเสียค่าปรับสูงถึง 250 ดอลลาร์ หรือเกือบ 9,000 บาทในครั้งแรก และหากมีการฝ่าฝืนกฎระเบียบซ้ำอีกครั้งจะต้องเสียค่าปรับสูงถึง 500 ดอลลาร์ หรือเกือบ 17,500 บาทในครั้งที่สอง พร้อมค่าปรับจะมากขึ้นและอาจถูกแบนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กก็เป็นได้

📌หากใครที่อยากไปเยี่ยมชมตลาดหุ้นนิวยอร์กไม่ต้องกังวลไป เนื่องจากสมาชิก NYSE จะมีการมอบความรู้แก่ผู้เยี่ยมชมเกี่ยวกับระเบียบการแต่งกายก่อนเข้าชมอย่างเข้มงวด

ต่างชาติสัมผัส 'รถไฟจีน-ลาว' พาเข้างานแสดงสินค้าในคุนหมิง เปรียบเหมือนสะพานเชื่อมจีน-ลาว และโลกไว้ด้วยกัน

(ซินหัว) (15 ส.ค. 66) ที่คุนหมิง นายมูฮัมหมัด ฟาซเซิล แรบบี ชาวบังกลาเทศที่เดินทางจากลาวเข้าสู่จีนเมื่อไม่นานนี้ และเตรียมเดินทางสู่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เพื่อร่วมงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 และงานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกคุนหมิงแห่งประเทศจีน ครั้งที่ 27 เปิดเผยว่าทางรถไฟจีน-ลาว เปรียบเหมือนสะพานเชื่อมการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนและลาว รวมถึงจีนและโลก

ทางรถไฟจีน-ลาว ได้เปิดบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. เป็นต้นมา ซึ่งเกื้อหนุนการเดินทางจากนครหลวงเวียงจันทน์ของลาวสู่นครคุนหมิงของอวิ๋นหนาน เมืองเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 และงานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกคุนหมิงแห่งประเทศจีน ครั้งที่ 27 ระหว่างวันที่ 16-20 ส.ค. นี้

ข้อมูลจากสถานีผ่านแดนตำบลโม๋ฮันบนพรมแดนจีน-ลาว ระบุว่าสถานีฯ ได้ตรวจสอบรับรองรถไฟจีน-ลาว ที่ขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนทั้งหมด 246 เที่ยว รวมถึงผู้โดยสารขาเข้า-ขาออกจาก 53 ประเทศและภูมิภาค จำนวน 52,888 คน เมื่อนับถึงวันที่ 15 ส.ค.

สำหรับผู้โดยสารที่สื่อสารต่างภาษาสามารถใช้บริการเครื่องแปลภาษาอัจฉริยะที่สถานีฯ ซึ่งสามารถแปลภาษาต่างๆ แบบเรียลไทม์มากกว่า 70 ภาษา รวมถึงรองรับภาษาต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยในจีน แปลสลับระหว่างภาษาถิ่นกับภาษาจีนกลาง ภายใต้การผสานเทคโนโลยีวิเคราะห์ความหมายเชิงอัจฉริยะ โดยเครื่องแปลภาษานี้อำนวยความสะดวกแก่การสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้โดยสารอย่างมาก

จีนออกแผนปฏิบัติการ มุ่งเสริมสร้าง 'ระบบพาณิชย์ระดับอำเภอ' ส่งเสริมการพัฒนาแบบบูรณาการ ฟื้นฟูภูมิภาคชนบท

(15 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (14 ) รัฐบาลจีนได้ออกแผนปฏิบัติการระยะ 3 ปี ที่มุ่งเดินหน้าเสริมสร้างระบบพาณิชย์ระดับอำเภอ ภายใต้ความพยายามส่งเสริมการพัฒนาแบบบูรณาการของพื้นที่ในเมืองและชนบท และฟื้นฟูภูมิภาคชนบทของประเทศ แผนดังกล่าวครอบคลุมการสร้างอำเภอ 'แนวหน้า' จำนวน 500 แห่ง ภายในปี 2025 ซึ่งจะมีศูนย์กระจายโลจิสติกส์ระดับอำเภอ ร้านสะดวกซื้อสำหรับประชากรชนบท และศูนย์พาณิชย์ชนบท เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลางและขนาดใหญ่ และตลาดผลผลิตการเกษตร พร้อมทั้งแสวงหาการเปิดช่องทางไหลเวียนแบบสองทางอย่างต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่จัดส่งสู่ชนบท และสินค้าเกษตรที่จัดส่งสู่เมือง เพิ่มรายได้เกษตรกรรมและยกระดับแนวโน้มการบริโภคของเกษตรกร รวมถึงช่วยตอบสนองความต้องการด้านชีวิตและการผลิตของประชากรชนบท

แผนข้างต้นมีขึ้นท่ามกลางความพยายามของจีนในการเร่งการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกเชิงพาณิชย์ที่ด้อยพัฒนาในภูมิภาคชนบท พัฒนาระบบกระจายโลจิสติกส์ใน 'หมู่บ้าน-ตำบล-อำเภอ' โดยชี้แนะบริษัทพาณิชย์และโลจิสติกส์ให้มีการเปลี่ยนผ่านและยกระดับ ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาระบบพาณิชย์ที่มีคุณภาพสูงในอำเภอต่างๆ มีการระบุภารกิจเฉพาะมากกว่า 20 ภารกิจใน 7 ด้าน อาทิ การขยายบริการที่ศูนย์การค้าและตลาดชั้นนำสู่หมู่บ้านและตำบล การปรับปรุงศูนย์การค้าและตลาด การยกระดับศูนย์กระจายโลจิสติกส์หรือก่อสร้างขึ้นใหม่ การบ่มเพาะแบรนด์อีคอมเมิร์ซผลผลิตการเกษตรในท้องถิ่น และการเพิ่มขีดความสามารถของโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นสำหรับผลผลิตการเกษตร

อนึ่ง แผนปฏิบัติการนี้ร่วมออกโดยหลายกระทรวงของจีนที่กำกับดูแลงานหลายด้าน อาทิ พาณิชย์ การวางแผนเศรษฐกิจ การคลัง ทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตรและกิจการชนบท วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และบริการไปรษณีย์ โดยจะมีการกำหนดรายชื่ออำเภอแนวหน้าเป็นประจำทุกปีตามคำแนะนำจากหน่วยงานระดับมณฑล เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2023

‘ยูเครน’ เตือน!! ‘โอลิมปิก ปารีส 2024’ เตรียมถูกแบน หากไฟเขียวให้ ‘รัสเซีย-เบลารุส’ ร่วมลงแข่งขันได้

‘เดนีส ชมีฮัล’ นายกรัฐมนตรี ยูเครน เตือน โอลิมปิก ปารีส 2024 จะถูกแบนจาก 35 ประเทศทั่วโลก หาก ‘รัสเซีย และเบลารุส’ ได้รับไฟเขียวให้ลงแข่งขันได้

(15 ส.ค. 66) ‘รัสเซีย-เบลารุส’ ถูกคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) แบนต่อเนื่องหลังก่อสงครามรุกราน ยูเครน แต่ระยะหลังดูเหมือนเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการลง และ มีโอกาสที่รัสเซีย และเบลารุส จะได้แข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ ภายใต้ธงเป็นกลาง โดยทั้งสองชาติจะได้แข่งขันใน เอเชียนเกมส์ ที่หางโจว เพื่อทำคะแนนสะสมสำหรับควอลิฟาย โอลิมปิกด้วย

ล่าสุด ยูเครน ระบุว่า รัฐบาลได้ทำหนังสือเรียกร้องและขอความร่วมมือจากนานาประเทศทั่วโลกให้ร่วมกันแบนรัสเซีย–เบลารุสต่อไป โดย เดนีส ระบุว่า “ยูเครนมีความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศที่ทรงพลัง เพื่อให้กีฬาได้รับความยุติธรรม รวมกว่า 35 รัฐ เราพร้อมจะบอยคอตต์การแข่งขันโอลิมปิก หากรัสเซีย และเบลารุส ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมได้”

ขณะที่ ‘อเล็กซี โมโรซอฟ’ รัฐมนตรีกีฬาของรัสเซีย ระบุว่า รัฐบาลรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียนักกีฬารัสเซียไปแล้ว 67 คน ที่เลือกจะโอนสัญชาติไปเล่นให้ประเทศอื่น หลังเกิดสงครามนับตั้งแต่ปี 2022

โดยนักกีฬาที่แข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ 2020 จำนวน 47 คน และ นักกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 8 คน รวมทั้ง นักกีฬาอื่นๆอีก 12 คน ได้สละสัญชาติรัสเซียไป เนื่องจากประเทศถูกสหพันธ์กีฬานานาชาติห้ามเข้าร่วมการแข่งขัน อาทิ อนาสตาเซีย เคอร์ปิชนิโกว่า นักกีฬาว่ายน้ำแชมป์ยุโรป ย้ายไปเล่นให้ฝรั่งเศส และ ฮานนา ปรากัตเซ่น เหรียญเงินเรือพายเหรียญเงินโอลิมปิก ย้ายไปเล่นให้ อุซเบกิสถาน

‘เด็กชายวัย 13 ปี’ พลัดตก ‘แกรนด์แคนยอน’ สูงกว่า 30 เมตร!! หลังหลบทางให้ นนท.ถ่ายรูป กู้ภัยเร่งช่วยเหลือ รอดตายปาฏิหาริย์

(15 ส.ค. 66) เดอะซัน รายงานการรอดชีวิตสุดปาฏิหาริย์ของเด็กชายวัย 13 ปี หลังประสบเหตุตกจาก แกรนด์แคนยอน ที่ระดับความสูงกว่า 30 เมตร โชคดีที่ดวงชะตายังไม่ถึงฆาต และหน่วยกู้ภัยใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงจึงช่วยเหลือนำตัวเด็กชายขึ้นมาได้ ก่อนรับส่งไปรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล

ด.ช.ไวแอตต์ คอฟฟ์แมน เดินทางไปเที่ยวกับแม่ที่อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน และกำลังชื่นชมกับทิวทัศน์สวยงามบริเวณจุดชมวิวไบรต์แองเจิ้ล ระหว่างนั้นมีกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายคนแห่ถ่ายรูปที่จุดชมวิว หนุ่มน้อยเลยเขยิบตัวออกมาเพื่อไม่ให้บังกล้องของคนอื่น แต่ดันลื่นไถลและตกลงไป

ไวแอตต์ให้สัมภาษณ์เคพีเอ็นเอ็กซ์ สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา ว่า “ผมขึ้นไปบนขอบผา และกำลังเขยิบตัวออกไปเพื่อให้คนอื่นสามารถถ่ายรูปได้ ผมย่อตัวลงและจับก้อนหิน ผมมีเพียงมือเดียวที่จับมันไว้” ไวแอตต์บอกว่าตอนนั้นจับหินได้ไม่ถนัดนักและต่อมาก็หงายหลังลงไป “ผมฉันจำได้อีกทีคือตื่นขึ้นบนรถพยาบาล มีเฮลิคอปเตอร์ และขึ้นเครื่องบินมาที่นี่”

รายงานระบุว่าหน่วยกู้ภัยใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการไต่ลงไปยังหุบเขาที่มีร่างของไวแอตต์นอนแน่นิ่ง จากนั้นหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศส่งตัวหนุ่มน้อยไปยังโรงพยาบาลในนครลาสเวกัส รัฐเนวาดา ซึ่งมีชายแดนติดต่อกัน

แม้ไวแอตต์จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งกระดูกสันหลังหัก 9 ซี่ ปอดยุบ ม้ามแตก สมองกระทบกระเทือน และมือหักข้างหนึ่ง แต่เด็กชายตอบสนองต่อการรักษาและมีอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายไบรอัน คอฟฟ์แมน พ่อของไวแอตต์ กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย แพทย์ฉุกเฉิน และทีมแพทย์ที่โรงพยาบาลต่อการทำงานอย่างทุ่มเท “พวกเราโชคดีมากๆ ที่ได้พาลูกกลับบ้านโดยมีเขานั่งอยู่ที่เบาะหน้ารถแทนที่จะเป็นในกล่อง” นายคอฟฟ์แมนพุดเปรียบเปรยถึงความดีใจที่ไม่ต้องรับร่างลูกชายในโลงศพกลับบ้าน

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมามีเหตุสลดที่อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน หลังจากชายคนหนึ่งพลัดตกจากทางเดินลอยฟ้าที่ความสูงเกือบ 1,220 เมตร และตกกระแทกพื้นด้านล่างจนบาดเจ็บสาหัส แม้หน่วยกู้ภัยจะรีบรุดเข้าช่วยเหลือ แต่อาการหนักมากและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

'นร.เขมร' ผวา!! หลังพบคลังลูกระเบิดนับพัน ถูกฝังไว้กลางโรงเรียนมานานกว่า 50 ปี

สื่อกัมพูชารายงานว่า ได้ค้นพบลูกระเบิดตกค้างที่ยังไม่ระเบิดถูกฝังไว้กลางสนามภายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดกระแจะ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชามากกว่า 2,000 ลูก นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนระเบิด M79 อีกมากกว่า 1,000 ลูก จัดว่าเป็นหนึ่งในอาวุธสงครามที่มีพลังทำลายล้างสูง ที่สหรัฐอเมริกาได้นำมาใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม 

ทางการกัมพูชาได้สั่งให้ปิดโรงเรียนชั่วคราว และระดมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อกู้ระเบิดโดยทันที โดย นาย เฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา กล่าวว่า ต้องใช้เวลาพอสมควรในการกู้ระเบิดตกค้าง และจำเป็นต้องขยายพื้นที่การค้นหารอบรัศมีโรงเรียนด้วย  

แต่นับว่ายังโชคดีมากๆ ที่ยังไม่มีนักเรียนคนใดเคยได้รับบาดเจ็บจากซากระเบิดสมัยสงครามกัมพูชา เพราะลูกระเบิดเหล่านี้ ไม่ใช่ระเบิดด้าน ยังสามารถระเบิดได้อย่างง่ายดาย หากมีใครขุดไปกระทบมันเข้า

ระเบิดที่พบในครั้งนี้ เป็นอาวุธที่ใช้ในสมัยสงครามกลางเมืองกัมพูชา ในช่วงระหว่างปี 1960s - 1975 ช่วงหนึ่งของยุคสงครามเย็น ที่กัมพูชาถูกใช้เป็นสงครามตัวแทนในการสู้รบระหว่างฝ่ายกองกำลังคอมมิวนิสต์ และ ฝ่ายรัฐบาลสาธารณรัฐ ที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน 

และกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง และโหดร้ายนานนับสิบปี อีกทั้งกัมพูชายังเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกกองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก นอกเหนือจากลาวและเวียดนามในสมัยนั้น จึงทำให้ในกัมพูชายังมีลูกระเบิดตกค้างหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก 

ซึ่งพื้นที่ของโรงเรียนในเมืองกระแจะแห่งนี้ เคยเป็นค่ายทหารมาก่อน เมื่อมีการค้นพบลูกระเบิดจำนวนมากที่ถูกฝังดินไว้ จึงสันนิษฐานได้ว่า น่าจะพบลูกระเบิดตกค้างอีกจำนวนไม่น้อยในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

จากผลพวงของสงครามกลางเมืองในกัมพูชา ยังคงทิ้งมรดกเป็นกับระเบิด และ ทุ่นระเบิดหลงเหลือ และ กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ ที่มักเป็นอันตรายกับประชาชนในท้องที่ ที่ไปค้นพบ และเคลื่อนย้ายโดยบังเอิญ 

รัฐบาลกัมพูชาเคยรายงานว่ามีชาวบ้านไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนที่ต้องเสียชีวิตจากระเบิดตกค้างหลังสงครามตลอด 40 ปีแม้สงครามจะสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชาสัญญาว่าจะพยายามกู้ระเบิดตกค้างให้หมดไปให้ได้ภายในปี 2025 นี้ 

ที่ต้องบอกว่าไม่ใช่งานที่ง่ายเลย จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชาประเมินว่าอาจมีทุ่นระเบิด และ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิดในกัมพูชาถึง 6 ล้านลูก แต่บางข้อมูลชี้ว่า ปริมาณลูกระเบิดอาจมีมากกว่านั้นถึง 10 ล้านลูกที่ยังคงรอการกู้ทิ้งทำลาย

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘อียิปต์’ แฉ!! ถูก ‘สหรัฐฯ’ กดดันจัดหาอาวุธให้ยูเครนเพื่อใช้ตอบโต้กลับการโจมตีจากกองกำลังรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 66) มีรายงานว่า พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์ตัดสินใจไม่เข้าร่วมในการจัดหาอาวุธป้อนแก่ยูเครน เพิกเฉยต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ร้องขอซ้ำๆ ให้ผลิตกระสุนปืนใหญ่และอาวุธอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับกองกำลังรัสเซียของทางยูเครน

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานเมื่อวันศุกร์ (11 ส.ค.) อ้างอิงเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าวอชิงตันยังได้ร้องขออียิปต์ จัดหาขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศและอาวุธขนาดเล็กแก่ยูเครนโดยคำขอดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายวาระ ในนั้นรวมถึงระหว่างการพบปะกันระหว่าง ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา และประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ในกรุงไคโร เมื่อเดือนมีนาคม

“ในการสนทนากับพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อียิปต์ไม่ได้ปฏิเสธคำขออย่างสิ้นเชิง แต่พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์บอกเป็นการส่วนตัว ว่าอียิปต์ไม่มีแผนส่งมอบอาวุธ” วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงาน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าข้อความนี้จะไม่เข้าหูวอชิงตัน ด้วยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯมองในแง่บวกว่าอียิปต์จะยอมช่วยเหลือยูเครน โดยบอกกับวอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่า “การพูดคุยหารือระหว่างเรากับคู่หูอียิปต์ ในแง่ผลประโยชน์ร่วมของเราในการยุติสงครามของรัสเซีย ออกดอกออกผล และกำลังเดินหน้าต่อไป”

ก่อนหน้านี้ในปีนี้ มีข่าวว่าอียิปต์ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าพวกเขามีแผนขายจรวดให้รัสเซีย ทั้งนี้ อัล-ซิซี พยายามธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับทั้งวอชิงตันและมอสโก ท่ามกลางวิกฤตยูเครน ปฏิเสธเข้าร่วมโครงการที่นำโดยสหรัฐฯ สำหรับจัดหาอาวุธแก่ยูเครนและลงโทษรัสเซีย

วอลล์สตรีท เจอร์นัล เน้นว่าความล้มเหลวในความพยายามขอแรงสนับสนุนจากอียิปต์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญยิ่งของความขัดแย้ง ซึ่งกองกำลังยูเครนกำลังพยายามบุกทะลวงแนวป้องกันที่น่าเกรงขามของรัสเซีย ในขณะที่สหรัฐฯพยายามรอแรงหนุนหลักทั้งด้านการทหารและการทูตสำหรับเคียฟ

นอกจากนี้ การตัดสินใจของอัล-ซิซี ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระงับเงินช่วยเหลือด้านการทหารของสหรัฐฯ ที่มอบแก่อียิปต์ ก้อนหนึ่งมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ จากงบช่วยเหลือรายปี 1,300 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างอิงเกี่ยวกับประวัติด้านมนุษยชนในประเทศแห่งนี้

จนท.อพยพประชาชน-นักท่องเที่ยวลงจากหอไอเฟล หลังเจอขู่วางระเบิด ก่อนพบว่าเป็นการเตือนภัยผิดพลาด

(13 ส.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์และซีเอ็นเอ็นรายงานว่า มีการอพยพประชาชนลงจากหอไอเฟลและบริเวณใกล้เคียง ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม เป็นเวลานานหลายชั่วโมงหลังมีการขู่วางระเบิด อย่างไรก็ดี ล่าสุด หอไอเฟลได้เปิดให้นักท่องเที่ยวกลับขึ้นไปบนอาคารได้อีกครั้ง

สถานีโทรทัศน์บีเอฟเอ็มทีวีของฝรั่งเศสระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้อพยพนักท่องเที่ยวที่อยู่บนหอไอเฟลทั้ง 3 ชั้นลงมาจากตัวอาคาร รวมถึงอพยพผู้คนที่อยู่บริเวณลานใกล้กับตัวหอไอเฟล เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งตั้งแนวกั้นรักษาความปลอดภัย เปลี่ยนเส้นทางการสัญจรบนท้องถนนโดยรอบ และมีการส่งทีมเก็บกู้ระเบิดมาตรวจสอบในที่เกิดเหตุ

โฆษกของเอสอีทีอี บริษัทผู้ให้บริการหอไอเฟลกล่าวว่า “นี่เป็นมาตรการตามปกติในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง” อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง แหล่งข่าวจากทางตำรวจฝรั่งเศสเผยว่า นักท่องเที่ยวสามารถกลับขึ้นไปบนหอไอเฟลอีกครั้ง เนื่องจากการขู่วางระเบิดดังกล่าวเป็นเพียงการเตือนภัยผิดพลาด

หอไอเฟลถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังและเป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส มีนักท่องเที่ยวเกือบ 7 ล้านคนเดินทางไปชมหอไอเฟลทุกปี ทั้งนี้ การอพยพนักท่องเที่ยวลงจากหอไอเฟลเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยในปี 2019 เจ้าหน้าที่ต้องอพยพประชาชนลงจากหอไอเฟล หลังพบเห็นชายคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นไปบนหอไอเฟล

‘ฮาวาย’ เผชิญภัย ‘ไฟป่า’ สังเวย 80 ศพ-สูญหายหลายร้อยราย ครึ่งเมืองเหลือแต่เถ้าถ่าน จี้สอบทางการ ปมแผนรับมือหละหลวม

(12 ส.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซี รายงานถึงความคืบหน้าสถานการณ์ ‘ไฟป่า’ ใน รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา หลังปะทุลุกลามเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และไม่กี่วันไฟก็โหมลุกไหม้เผาวอดพื้นที่กว่าร้อยละ 80 ของเมืองลาไฮนา บนเกาะเมาวี ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 80 ราย อีกหลายร้อยคนยังคงสูญหาย ท่ามกลางความหวาดวิตก ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ทางการท้องถิ่นเมืองลาไฮนา อนุญาตให้ชาวเมืองที่มีเอกสารยืนยันที่อยู่อาศัยสามารถกลับเข้ามาในเมือง เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ส.ค.ตามเวลาท้องถิ่น

เกือบทั้งเมืองเหลือเพียงเศษซากกองเถ้าที่ถูกไฟเผาวอด และซากรถยนต์ที่โดนเพลิงเผาทำลายกลายเป็นเศษเหล็กจอดเรียงรายตามถนนหนทาง นอกจากนี้ยังประกาศมาตรการเคอร์ฟิวระหว่างเวลา 22.00-06.00 น. ในบางพื้นที่ซึ่งเสี่ยงภัยจากไฟป่าที่ยังเผาไหม้

ขณะเดียวกันสำนักงานอัยการสูงสุดรัฐฮาวายจะเปิดการสอบสวนการตอบสนองของทางการต่อเหตุไฟป่ารุนแรงในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของรัฐฮาวาย และเลวร้ายที่สุดในรอบ 63 ปีนับตั้งแต่เหตุคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มฮาวายจนมีผู้เสียชีวิต 61 ราย เมื่อปี 2503

น.ส.แอนน์ โลเปซ จากสำนักงานอัยการสูงสุดระบุจากแถลงการณ์ว่า “สำนักงานอัยการสูงสุดจะดำเนินการทบทวนอย่างครอบคลุม เกี่ยวกับการตัดสินใจที่สำคัญและนโยบายทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดไฟป่าบนเกาะเมาวีและเกาะฮาวายในสัปดาห์นี้”

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรับมือของทางการ โดยชาวเมืองตำหนิว่าไม่มีคำเตือนเกี่ยวกับไฟป่าที่ลุกลามตีวงล้อม และส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากติดอยู่ในเมือง

น.ส.โลเปซยังระบุอีกว่า “สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเศร้าใจเช่นเดียวกับที่ทุกคนในฮาวายรู้สึก และขอส่งกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ สำนักงานมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจกับการตัดสินใจที่เกิดขึ้นก่อน รวมถึงระหว่างไฟป่า และจะแบ่งปันผลการตรวจสอบนี้ต่อสาธารณชน”

‘จีน’ ส่งมอบ ‘ผลลัพธ์จับต้องได้’ จาก ‘ประชาคมจีน-มาเลเซีย’ ฉลุย!! ธุรกิจจีนลงทุนเพิ่ม ส่วนมาเลฯ หนุนหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว เผยว่า ‘หวังอี้’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน และกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้พบปะและประชุมร่วมกับ ‘แซมบรี อับดุล คาดีร์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย ณ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย

หวังอี้ กล่าวว่า จีนพร้อมทำงานร่วมกับมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งผลลัพธ์อันจับต้องได้ในการสร้าง ‘ประชาคมจีน-มาเลเซีย’ ที่มีอนาคตร่วมกัน

หวัง ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ประชุมร่วมกับแซมบรี อับดุล คาดีร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย เมื่อวันศุกร์ (11 ส.ค.) ระบุว่า จีนนับถือมาเลเซียเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตร และพันธกิจสำคัญของการทูตจีนที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้าน

หวังเสริมว่า ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านจีน-มาเลเซีย และปีหน้าจะตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-มาเลเซีย

ฝ่ายจีนสนับสนุนมาเลเซียในการแสวงหาวิถีทางการพัฒนาอันเหมาะสมกับเงื่อนไขของประเทศ และการมีบทบาทในกิจการระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศยิ่งขึ้น

หวังเรียกร้องทั้งสองฝ่ายขยับขยายการสื่อสารและการประสานงาน เพิ่มพูนความไว้วางใจซึ่งกันและกันในเชิงยุทธศาสตร์ สนับสนุนอีกฝ่ายในการคุ้มครองผลประโยชน์หลัก ตลอดจนสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมาย และร่วมยึดถือบรรทัดฐาน พื้นฐานของการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

หวังกล่าวว่าการก่อสร้างทางรถไฟชายฝั่งตะวันออก (ECRL) และ ‘สองประเทศ นิคมอุตสาหกรรมแฝด’ ซึ่งเป็นสองโครงการสำคัญตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) มีความคืบหน้าที่ดี ขณะเดียวกันจีนและมาเลเซียมีความร่วมมืออันดีในการผลิตยานยนต์ เศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานใหม่

หวังกล่าวว่า จีนส่งเสริมกลุ่มบริษัทจีนเข้าลงทุนและเริ่มต้นธุรกิจในมาเลเซียเพิ่มขึ้น เพื่อบ่มเพาะช่องทางการเติบโตใหม่ๆ ของความร่วมมือ และจีนยินดีกระชับความร่วมมือทวิภาคีในด้านเทคโนโลยีการเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร และอื่นๆ รวมถึงนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพจากมาเลเซียเพิ่มขึ้น

ด้าน แซมบรี กล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและจีนนั้น ‘แข็งแกร่งและแน่นแฟ้น’ ขณะเดียวกันความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างสองประเทศมีความก้าวหน้าอันเป็นรูปธรรม

มาเลเซียจะยังคงสนับสนุน และมีส่วนร่วมในการร่วมสร้างแผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ อย่างแข็งขัน ดำเนินความพยายามทั้งหมดเพื่อส่งเสริมโครงการความร่วมมือที่สำคัญ และแสวงหาการเสริมสร้างสายสัมพันธ์ในทุกด้านและทุกระดับ เพื่อขยับขยายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

แซมบรีเสริมว่า มาเลเซียชื่นชมและสนับสนุนแผนริเริ่มระดับโลกต่างๆ ที่จีนนำเสนอ พร้อมเรียกร้องการอยู่ร่วมมกันอย่างกลมกลืนของอารยธรรมที่แตกต่าง และแสวงหาการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างอารยธรรมกับจีน

อนึ่ง ทั้งสองฝ่ายยังแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกต่อประเด็นระดับภูมิภาค และระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญร่วมกัน และเห็นพ้องจะเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงาน รักษาความเป็นกลางของอาเซียน และส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาระดับภูมิภาค

ปัจจุบัน หวัง อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย และกัมพูชา

‘ลิล เทย์’ สาวน้อยอวดรวย โต้ข่าว!! ‘ยังมีชีวิตอยู่’ เผย บัญชีอินสตาแกรม ‘ถูกแฮก’ กุเฟกนิวส์

(11 ส.ค.66) จากกรณีที่มีรายงานว่า ‘ลิล เทย์’ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 14 ปี ล่าสุด TMZ สื่อข่าวบันเทิงในสหรัฐฯ รายงานว่า “ความจริงแล้วเธอยังไม่เสียชีวิต”

จากกรณีที่มีการรายงานข่าวว่า ‘ลิล เทย์’ (Lil Tay) อินฟลูเอนเซอร์เด็กหญิงที่เคยโด่งดังเมื่อปี 2018 จากคอนเทนต์แนวอวดรวย เจ้าของฉายา “คนอวดรวยที่อายุน้อยที่สุดในศตวรรษ” ได้เสียชีวิตกะทันหันด้วยวัยเพียง 14 ปี พร้อมพี่ชายวัย 21 ปี โดยครอบครัวแจ้งข่าวเศร้าผ่านอินสตาแกรม

ล่าสุดเรื่องราวเหมือนจะกลับตาลปัตร เมื่อ TMZ สื่อข่าวบันเทิงในสหรัฐฯ รายงานว่า ความจริงแล้ว “ลิล เทย์ ยังไม่เสียชีวิต”

ลิล เทย์ เปิดเผยกับ TMZ ว่า บัญชีอินสตาแกรมของเธอถูกแฮก และเผยแพร่ “ข้อมูลเท็จที่น่าตกใจ” เกี่ยวกับการเสียชีวิตของเธอและพี่ชาย

ในถ้อยแถลงที่ส่งถึง TMZ จากครอบครัวของเทย์ เธอบอกกับ TMZ ว่า “ฉันต้องการชี้แจงว่า พี่ชายและฉันปลอดภัย และยังมีชีวิตอยู่ แต่ฉันตกใจอย่างหนัก และพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม มันเป็น 24 ชั่วโมงที่บอบช้ำมาก เมื่อวานทั้งวัน ฉันถูกกระหน่ำด้วยเสียงโทรศัพท์ที่โทรมาด้วยความเจ็บปวดและน้ำตาจากคนที่รักฉันในขณะที่พยายามจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนี้”

เธอยังกล่าวอีกว่า “บัญชีอินสตาแกรมของฉันถูกบุกรุกโดยบุคคลที่ 3 และเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและข่าวลือเกี่ยวกับตัวฉัน จนแม้แต่ชื่อของฉันก็ยังผิด ชื่อตามกฎหมายของฉันคือ เทย์ เทียน (Tay Tian) ไม่ใช่ แคลร์ โฮป”

เทย์ยังขอบคุณเมตาที่ช่วยกู้บัญชีอินสตาแกรมของเธอกลับคืนมา และโพสต์ที่แจ้งการเสียชีวิตของเธอก็ถูกลบออกไปแล้ว

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เหมือนจะมีกลิ่นแปลก ๆ เพราะสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนคือ เหตุใดเทย์ถึงใช้เวลานานกว่า 24 ชั่วโมงกว่าจะออกข่าวว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอบอกว่า เธอรู้ว่าบัญชีของตัวเองถูกแฮ็ก และได้รับโทรศัพท์เกี่ยวกับ ‘การเสียชีวิต’ ของเธอ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม อินสตาแกรมของเทย์ได้โพสต์ภาพข้อความว่า ลิล เทย์ ได้เสียชีวิตแล้วอย่างกะทันหัน เช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ เจสัน เทียน โดยบอกว่านี่เป็น “ความสูญเสียที่ไม่อาจทนรับได้”

โพสต์ดังกล่าวที่ถูกลบไปแล้ว ระบุว่า “เป็นเรื่องน่าหนักใจที่เราต้องแจ้งข่าวเศร้าเกี่ยวกับการจากไปอย่างกะทันหันของแคลร์ เราไม่อาจหาถ้อยคำใดที่จะแสดงความรู้สึกสูญเสียที่เกินจะรับไหวและความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ครั้งนี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงและทำให้เราทุกคนตกใจ การจากไปของพี่ชายเธอยิ่งสร้างความโศกเศร้าเกินจินตนาการของเรา”

โพสต์นั้นยังบอกอีกว่า “ในช่วงเวลาแห่งความเสียใจนี้ พวกเราขอความเป็นส่วนตัว ในสถานการณ์ที่การจากไปของแคลร์และพี่ชายยังอยู่ระหว่างการสืบสวน แคลร์จะอยู่ในใจเราเสมอ การจากไปของเธอทำให้ทุกคนที่รู้จักและรักเธอร็สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไปแบบหาอะไรมาแทนที่ไม่ได้”

ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการโพสต์ประกาศการเสียชีวิตปลอม ๆ ของเธอ ไม่มีการโพสต์ในบัญชีอินสตาแกรมของ ลิล เทย์ มาตั้งแต่ปี 2018

‘หญิงจีน’ รู้สึกแน่นท้อง-หายใจไม่ออก หลังไม่ถ่ายมา 10 วัน สยอง!! หมอผ่าออกมาพบอุจจาระเต็มท้อง หนักกว่า 20 กก.

เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.66) ทุกครั้งที่หลาย ๆ คนประสบปัญหาท้องผูกเล็กน้อยก็พยายามแก้ไขด้วยการรับประทานอาหารบางชนิดหรือรับประทานยาบางชนิดเพื่อช่วยบรรเทาอาการหรือช่วยระบาย แต่ล่าสุด กรณีทางการแพทย์สุดอึ้งสร้างความฮือฮาให้กับโลกออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ป่วยรายหนึ่งมีอาการท้องผูกเป็นระยะเวลานาน 10 วัน ซึ่งใครจะคาดคิดว่าการท้องผูกครั้งนี้ กลับเจออุจจาระเต็มท้องหนักกว่า 20 กิโลกรัม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ตามโพสต์บนเว่ยป๋อ หญิงวัย 53 ปี ในเจ้อเจียง หางโจว ประเทศจีนรายหนึ่ง มีอาการท้องผูกทนทุกข์ทรมานจากอาการท้องผูกซึ่งรุนแรงขึ้นในช่วง 4 หรือ 5 ปีที่ผ่านมา แต่ล่าสุด เธอมีอาการท้องผูก 10 วัน ซึ่งเริ่มรู้สึกแน่นท้อง แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออก หลังจากที่แทบไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ทุก ๆ 5 - 6 วัน

เมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าเธอมีรูปร่างผอมมาก ท้องส่วนล่างของเธอเริ่มบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สมาชิกในครอบครัวของเธอยังสัมผัสได้ถึงก้อนอุจจาระแข็ง ๆ รอบท้องของเธอ ทำให้เธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงเพื่อรับการรักษา

แพทย์วินิจฉัยโรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Hirschsprung’s Disease) เป็นความผิดปกติที่เกิดจากร่างกายขาดเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่งผลให้อุจจาระผ่านปลายลำไส้ใหญ่ไปได้ยากหรือถูกปิดกั้น ทำให้เกิดการอุดตันและการโป่งพองบริเวณลำไส้

ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องผ่าตัดนำก้อนแข็ง ๆ ในท้องออก ซึ่งพบอุจจาระหนักประมาณ 20 กิโลกรัม มีรูปร่างเหมือนงูเหลือม เกือบ 1 เมตรออกจากร่างกายของเธอ

รัสเซียส่ง 'สถานีสำรวจลูนา-25 ' ขึ้นสู่อวกาศ เปิดฉากสำรวจฝั่งขั้วใต้ของดวงจันทร์

วลาดีวอสตอก (11 ส.ค.66) สำนักข่าวซิน เผย ช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ (11 ส.ค.) รัสเซียประสบความสำเร็จในการส่งสถานีสำรวจดวงจันทร์ลูนา-25 (Luna-25) สู่อวกาศ ซึ่งถือเป็นการเปิดฉากภารกิจการสำรวจขั้วใต้ของดวงจันทร์ครั้งประวัติศาสตร์

จรวดขนส่งโซยุส-2.1บี (Soyuz-2.1b) ที่มีเฟรกัต (Fregat) หรือจรวดส่วนสุดท้าย ขนส่งสถานีสำรวจดวงจันทร์ซึ่งไม่มีแคปซูลส่งกลับนี้ ทะยานออกจากฐานปล่อยยานอวกาศวอสโตชินี คอสโมโดรม บริเวณแคว้นอามูร์ ภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย

หลังจากการปล่อย 9 นาที จรวดส่วนสุดท้ายที่มีสถานีลูนา-25 ได้แยกตัวออกจากส่วนที่สาม (third stage) ของจรวดขนส่ง จากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ลูนา-25 ก็ได้แยกตัวออกจากจรวดส่วนสุดท้าย และเข้าสู่เส้นทางการบินสู่ดวงจันทร์สำเร็จ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จขั้นแรกของภารกิจดังกล่าวในรอบเกือบ 50 ปีกันเลยทีเดียว

‘หนุ่มเกาหลี’ แชร์เหตุผลที่ไม่ควรอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ‘ทุกอย่างแพง - โดนเมินบ่อยๆ - แม้ภาษาดีแต่ก็ถูกบูลลี่’

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ยูทูบเบอร์หนุ่มชาวเกาหลี เจ้าของช่อง ‘ヨンチャン’ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมานานประมาณ 9 เดือน ได้ทำการลงคลิปที่มีชื่อว่า 5 เหตุผลที่คุณไม่ควรอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการรวบรวมเรื่องน่าอึดอัดใจระหว่างที่เจ้าตัวใช้ชีวิตอยู่ในแดนปลาดิบ โดยหนุ่มรายนี้ได้เดินทางมาแล้วหลายจังหวัด อาทิ นางาซากิ, ฟุกุโอกะ, นาโกย่า (จังหวัดไอจิ) และซัปโปโร (จังหวัดฮอกไกโด) จึงอยากมาแชร์ความเห็นตัวเองให้กับผู้ชมได้รับทราบกัน ดังนี้ครับ

-แพงไปหมด - ญี่ปุ่นมีค่าครองชีพที่สูง ไม่ว่าจะค่าเช่าห้อง ค่าสาธารณูปโภค หรือแม้แต่ค่าแท็กซี่ก็แสนแพง ถ้าคิดจะซื้อรถสักคันก็ต้องผ่านการตรวจสอบหลาย ๆ อย่าง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงด้วย แถมยังเก็บค่าที่จอดรถแม้กระทั่งจักรยาน ไม่มีอะไรที่ฟรีแบบบันชัน (เครื่องเคียง) ที่หาได้ตามร้านอาหารในเกาหลีเลย อาหารประเภทเครื่องเคียงในญี่ปุ่นล้วนคิดเงินทั้งสิ้น

-จะอยู่รอดต้องสตรอง - ถ้าคุณพูดญี่ปุ่นไม่ได้ก็จะโดนเมิน และความเป็นตัวตนของคุณจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเอาได้ง่าย ๆ ผมรู้สึกแบบนี้เพราะว่าญี่ปุ่นค่อนข้างเคร่งเรื่องข้อบังคับและมารยาททางสังคมมาก พวกเขาไม่ได้ต้อนรับคุณอย่างอบอุ่นหรือเป็นมิตรนักหรอก

-วัฒนธรรมที่เปลี่ยนให้กลายเป็นคนขี้เกรงใจ - ผู้คนที่นี่มักจะระมัดระวังในการไปรบกวนผู้อื่น เราต้องพูดจาค่อย ๆ อยู่เสมอ ในความซับซ้อนของคนญี่ปุ่นนี้แฝงไปด้วยอุปสรรคด้านวัฒนธรรมและทำให้ผู้คนดูแห้งเหี่ยวเกินไป

-ต่อต้านเกาหลี - ผู้สูงอายุบางคนในญี่ปุ่นยังคงมีทัศนคติที่ไม่ดีกับชาวเกาหลีอยู่ แม้ว่าปัญหานี้จะไม่เจอกับคนยุคใหม่ที่เกิดในช่วงระหว่างปี 1980 ถึงช่วงต้นทศวรรษ 2000 แล้วก็ตาม

-ภาษาญี่ปุ่น - แนะนำว่าควรเรียนภาษาญี่ปุ่นจนสามารถสื่อสารได้ก่อนจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ และไม่ว่าทักษะภาษาญี่ปุ่นของเราจะดีแค่ไหนก็มักจะมีบางคนที่เป็นพวกชอบบูลลี่คนอื่นในที่ทำงานเสมอ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังคอนเทนต์ดังกล่าวก็ได้ถูกทางช่อง ‘ヨンチャン’ นำออกไปแล้ว ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นการชั่วคราวหรือถาวร

พระราชทรัพย์กษัตริย์แห่งอังกฤษมาจากไหน? จำนวนเท่าไร? ใช้ไปกับอะไร? เสียภาษีหรือไม่?

เมื่อหลายสิบปีมาแล้วมีรายงานข่าวว่าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษ ทรงเป็นผู้ที่ร่ำรวยมากที่สุดพระองค์หนึ่งของโลก ด้วยทรงมีพระราชทรัพย์อันเป็นที่ดิน, พระราชวัง, ภาพวาดหายาก, เครื่องเพชรและยังรวมถึงฟคอกม้าอีกด้วย ซึ่งถ้าจะตีความแบบเหมารวมเช่นนั้นสมเด็จพระราชินีก็อาจจะทรงร่ำรวยจริง

แต่ต่อมาก็มีการอธิบายขยายความว่า ที่จริงแล้วต้องมีการแยกแยะให้ชัดเจนในพระราชทรัพย์ที่ทรงมีอยู่ เพราะว่าบางอย่างไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของแผ่นดินอังกฤษที่ตกทอดกันมาตามสายของพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงครองราชย์สมบัติ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงมีอยู่หรือได้มาโดยจะทรงซื้อขายได้ตามพระประสงค์

เรื่องความร่ำรวยของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของประเทศต่าง ๆ มักจะเป็นข่าวที่คนชอบอ่านเพราะคนใคร่รู้ว่าท่านมีเงินมากน้อยแค่ไหนและได้มาจากไหนบ้าง บางคนอ่านแล้วก็พลอยยินดีปรีดากับทรัพย์ศฤงคารที่มากมายเหล่านั้นและอาจจะเคลิ้มว่าน่าจะเป็นของตนบ้างในชีวิตชาติหน้า

เร็วๆ นี้ผู้เขียนได้อ่านข่าวชิ้นหนึ่งของบีบีซีภาษาอังกฤษชื่อข่าวว่า Royal finance: Where does the king get his money? เขียนโดย Tom Edgington and Jennifer Clarke ผู้เขียนทั้งสองเริ่มด้วยข่าวที่รัฐบาลอังกฤษจะถวายเงินอุดหนุนประจำปีที่เรียกว่า Sovereign Grant หรือเดิมเรียกว่า Civil List เท่ากับปีงบประมาณ ค.ศ. 2021-2022 คือจำนวน 86.3 ล้านปอนด์ (คูณด้วย 44 บาทก็ตกราว 3,800 ล้านบาท)

ข่าวชิ้นนี้ทำให้รู้เกี่ยวกับพระฐานะการเงินของราชวงศ์อังกฤษ ว่ามีอะไรบ้าง และจำนวนเท่าใด เมื่อรู้แล้ว ก็ทำให้รู้ว่าท่านร่ำรวยอยู่ไม่น้อย 

เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย ๆ ผู้เขียนขอสรุปว่าพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษจะมีรายได้อยู่ 2 ส่วนหลักคือ...

1. จากรัฐบาลอังกฤษถวายที่เรียกว่าเงินอุดหนุนและเงินจากที่ดินส่วนพระองค์ Private Estate โดยการให้เช่า

>> ลองมาดูกันว่าในส่วนเงินอุดหนุนประจำปีที่รัฐบาลอังกฤษถวายนี้มีที่มาอย่างไร?

รายได้ส่วนนี้ จะมาจากเงินงบประมาณที่เป็นภาษีของประชาชนที่รัฐบาลตั้งขึ้น โดยเดิมทีเรียกกันว่า Civil List หรือเงินปี ซึ่งแต่เดิมจะกำหนดยอดเงินตายตัวว่ารัฐบาลจะถวายทุกปีจำนวนนี้ 

แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 มีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและเปลี่ยนชื่อเงินปี เป็น Sovereign Grant หรือเรียกว่าเงินอุดหนุน โดยมีการพิจารณาหรือคำนวณยอดเงินที่จะถวายแต่ละปีเสียใหม่คือ คำนวณจากผลกำไรของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (The Crown Estate คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษแต่ว่าดำเนินการอิสระ มีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาดูแล) กำไรที่ได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นี้ จะส่งตรงให้กระทรวงการคลังและรัฐบาลอังกฤษ โดยจะใช้ยอดเงินที่เป็นกำไรนี้ มาเป็นบรรทัดฐานในการคำนวนเงินที่รัฐบาลจะถวายแก่พระราชวงศ์อังกฤษ

ยิ่งไปกว่านั้น The Crown Estate หรือทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นี้ ไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินแต่จะเป็นการตกทอดจากแผ่นดินสู่แผ่นดินเท่านั้น จะทรงซื้อขายไม่ได้

อย่างไรก็ดีจากรายงานล่าสุดของข่าวบีบีซีชิ้นนี้บอกว่า รัฐบาลอังกฤษได้พิจารณาทบทวนจำนวนเงินอุดหนุนที่จะถวายเสียใหม่อีกครั้ง โดยจะเริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป คือ รัฐบาลจะถวายเงินอุดหนุนเป็นจำนวน 12% จากผลกำไรของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ The Crown Estate และจะยืน 12% นี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2527 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการซ่อมแซมพระราชวังบักกิงแฮม อันเป็นโครงการซ่อมแซม 10 ปี (ใช้เงินราว 379 ล้านปอนด์) หลังจากปีนั้นแล้วก็มาพิจารณากันใหม่อีกที

>> ท่านผู้อ่านคงอยากทราบแล้วว่า ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อังกฤษนั้น ท่านมีอยู่มากน้อยเท่าใด? 

เมื่อปีที่แล้ว ค.ศ. 2022 มีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อังกฤษว่ามีอยู่ราว (16.5 bn ปอนด์) กว่าหนึ่งหมื่นหกพันล้านปอนด์ โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน, รวมทั้ง Regent Street, อันเป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดังของอังกฤษ และที่ดินชายฝั่งอังกฤษอีกเกือบครึ่งหนึ่ง, ในเวลส์ และไอแลนด์เหนือ (ที่ดินเหล่านี้มีมูลค่าราวแปดพันล้านปอนด์)

>> นั่นก็เป็นเงินที่รัฐบาลจัดถวาย แต่เมื่อถวายแล้วเงินจำนวนนี้จะมีการใช้จ่ายอย่างไร?

พระราชวังจะใช้ไปในงานราชพิธีที่เสด็จออกสมาคมให้ประชาชนเฝ้าเช่นงานเลี้ยงรับรอง, งานพระราชทานรางวัลและงานสมาคมในสวน Garden Party เช่น Garden Party ในพระราชวังบักกิงแฮมอันเป็นงานที่ประชาชนที่ได้รับคัดเลือกจากการทำงานเพื่อสังคม หรือประกอบคุณงามความดีต่าง ๆ จะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ โดยมีการนับว่าในรอบปีที่ผ่านมาพระราชวงศ์จะเสด็จออกงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศจำนวน 2,700 ครั้ง มีงานที่จัดขึ้นตามวังหรือตำหนักที่ประทับของพระราชวงศ์อีก 330 ครั้ง มีแขกที่ได้รับเชิญเกือบหนึ่งแสนคน และนอกจากเงินที่ใช้ไปในการจัดงานแล้ว ก็จะเป็นค่าจ้างพนักงานและดูแลอาคารที่ประทับ สรุปคือ เงินอุดหนุนที่รัฐบาลถวายจะเป็นค่าใช้จ่ายในการทรงงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนนั่นเอง

2. ในส่วนรายได้หรือพระราชทรัพย์หลักอีกทางหนึ่งและมากโขอยู่ของพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษก็คือการเป็นเจ้าของที่ดินส่วนพระองค์ในตำแหน่ง Duchy of Lancaster และ Duchy of Cornwall

พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษในฐานะที่เป็น 'ดัชชีแห่งแลงคาสเตอร์' จะทรงเป็นเจ้าของที่ดินกว่า 18,000 เฮกตาร์ กินพื้นที่ในแลงคาสเตอร์และยอร์กเชอร์ รวมถึงที่ดินในกลางกรุงลอนดอนด้วย ที่ดินเหล่านี้มีมูลค่า 654 ล้านปอนด์และทำเงินในการให้เช่าปีละประมาณ 20 ล้านปอนด์

สำหรับผลประโยชน์อีกตำแหน่งหนึ่งคือ 'ดัชชีแห่งคอนวอลล์' นั้น กำหนดว่า ผู้ใดที่ดำรงตำแหน่ง ดยุคแห่งคอนวอลล์ ซึ่งปัจจุบันคือ เจ้าชายวิลเลียมจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากตำแหน่งนี้ โดยเป็นผู้ถือครองที่ดินทางตะวันตกฉียงใต้ของอังกฤษอันมีมูลค่า 1,000 ล้านปอนด์และทำรายได้สุทธิในปีนี้ 24 ล้านปอนด์

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และเจ้าชายวิลเลียมจะทรงได้รับเงินรายได้จากที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวโดยตรงและสามารถใช้ตามที่มีพระประสงค์ เพราะเป็นเงินจากที่ดินที่เป็นสิทธิ์ตามฐานะของท่าน ไม่ใช่เงินจากภาษีของประชาชน แต่ไม่สามารถที่จะขายที่ดินเหล่านี้ได้

***นอกจากเงินจากทั้ง 2 แห่งนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษและพระราชวงศ์ ก็จะมีทรัพย์ส่วนพระองค์ เช่นพระราชวังบ้าง ภาพวาดบ้าง เครื่องเพชรและของมีค่ามีราคาอื่น ๆ ซึ่งได้มาจากการซื้อด้วยเงินส่วนพระองค์

แน่นอนจะเห็นได้ว่าพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษทรงมีฐานะทางการเงินดีไม่น้อย

และเพื่อให้ประชาชนคนอังกฤษเห็นว่า ท่านไม่เอาเปรียบ...ในปี ค.ศ. 1992 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ทรงสมัครพระทัยที่จะเสียภาษีเงินได้ที่เกิดจากรายได้ส่วนพระองค์ เช่นเดียวกับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และเจ้าชายวิลเลียม

เรื่อง: อนุดี เซียสกุล อดีต Radio Journalist, วิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย

อ้างอิง: BBC news, Royal finances: Where does the King get his money?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top