Sunday, 11 May 2025
WORLD

'มาเลเซีย' ยกฟ้อง ‘เฟซบุ๊ก’ กรณีไม่ปิดกั้นเนื้อหาสร้างความแตกแยก หลัง META รับปากจะปิดกั้นเนื้อหาโจมตี 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์' ให้

(31 ก.ค. 66) ช่องยูทูบ Vihok News ได้ออกมาเปิดเผยถึงประเด็นที่กำลังเป็นที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้ สำหรับ ‘มาเลเซีย’ ที่เตรียมยื่นฟ้อง ‘เมตา’ กรณีไม่ปิดกั้นเนื้อหาสร้างความแตกแยก ซึ่งล่าสุดทางมาเลเซียได้กลับลำและยืนยันที่จะไม่ฟ้องแล้ว หลังเมตารับปากจะปิดกั้นเนื้อหาอันตรายเหล่านี้ โดยระบุว่า…

‘มาเลเซีย’ กลับลำไม่ฟ้อง ‘เมตา’ หลังรับปากจะทําการปิดกั้นเนื้อหาที่เป็นอันตราย และสร้างความแตกแยก ทั้งนี้ รัฐบาลของมาเลเซียอาจทำการยกเลิกแผนการดําเนินคดีกับเมตา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก หลังได้รับความร่วมมือเชิงบวกจากบริษัทเกี่ยวกับการปิดกั้นเนื้อหาที่เป็นอันตรายและสร้างความแตกแยกในสังคม

เมื่อเดือนที่แล้วคณะกรรมาธิการสื่อสารและสื่อสารสารสนเทศของมาเลเซีย ได้ประกาศจะยื่นฟ้องเมตา โทษฐานไม่ดําเนินการปิดกั้นคอมเมนต์ที่ไม่พึงประสงค์ ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และดูหมิ่นเหยียดหยามปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่น รวมไปถึงการพนันออนไลน์และโฆษณาล่อลวงต่างๆ

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีสื่อสารของมาเลเซียได้ออกแถลงการณ์ว่า ทางเมตาได้ให้คํามั่นสัญญาต่อหน่วยงานกํากับดูแลตํารวจมาเลเซีย จะเร่งดําเนินการปิดกั้นสิ่งเหล่านี้ สำหรับเฟซบุ๊กถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีจํานวนผู้ใช้มากที่สุดในมาเลเซีย โดยมีการประเมินว่า 60% ของประชากร 33 ล้านคน มีบัญชีเฟซบุ๊กอย่างน้อย 1 บัญชี

สำหรับประเด็นเชื้อชาติและศาสนา นับเป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากในมาเลเซีย เพราะมีประชากรส่วนใหญ่เป็น ‘ชาวมลายู’ และยังคงมีสัดส่วนของ ‘ชาวจีน’ และ ‘เชื้อสายอินเดีย’ อยู่ด้วยไม่น้อย ส่วนการแสดงความเห็นของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องที่อ่อนไหวด้วยเช่นกัน โดยผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบอาจถูกดําเนินคดีฐานยุยงปลุกปั่นอีกด้วย

Xylazine ระบาด 'สหรัฐฯ' เปลี่ยนเมืองสวยเป็นเมืองซอมบี้  เริ่มลุกลามข้ามฟากมายุโรปแล้ว เพราะ 'หาซื้อง่าย-ราคาถูก'

มหันตภัยยาเสพติด นับเป็นภัยร้ายที่กัดกร่อนในทุกๆสังคมทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ และ เทคโนโลยี อย่างสหรัฐอเมริกา ก็กำลังเผชิญกับปัญหา ที่ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยดำดิ่งสู่วงจรอุบาทว์ 'จน-เครียด-เสพ' เป็นคน มิหนำซ้ำยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี

ซึ่งมหันตภัยตัวล่าสุดที่สหรัฐอเมริกาก็กำลังเผชิญอยู่ในประเทศตอนนี้ เป็นยาเสพติดตัวใหม่ชื่อว่า Xylazine หรือที่ชาวอเมริกันมักเรียกว่า 'ยาซอมบี้' เพราะมันสามารถเปลี่ยนเปลี่ยนมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะ กลายเป็นซอมบี้ไร้สติได้ในเวลาไม่นาน

ซึ่ง Xylazine ใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ มีฤทธิ์เป็นยาสลบ, ยาแก้ปวด, คลายกล้ามเนื้อ สำหรับ ม้า วัว ควาย และ สัตว์ 4 เท้าขนาดใหญ่ แต่ยังไม่มีการรับรองให้ใช้กับมนุษย์ในทุกกรณี

แต่ต่อมา มีการนำ Xylazine มาผสมกับสารเสพติดชนิดอื่น เช่น Fentanyl หรือ เฮโรอีน กลายเป็นยาเสพติดตัวใหม่ที่เรียกว่า 'Tranq' เมื่อมีการฉีดเข้าร่างกายจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม อัตราการเต้นหัวใจจะพุ่งสูง แล้วก็จะลดลงอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ภาวะอันตราย อีกทั้งยังเกิดแผลพุพองตามร่างกายทำให้เกิดภาวะผิวหนังตายได้ ด้วยอาการเช่นนี้ ยาเสพติดที่มีส่วนผสมของ Xylazine จึงถูกเรียกกว่า 'ยาซอมบี้' เสพแล้วจะมีสภาพเหมือนผีดิบเดินดินอย่างในภาพยนตร์

การเสพ Zylazine พบครั้งแรกในประเทศเปอร์โต ริโก ในช่วงปี 2000s ก่อนที่จะแพร่หลายสู่สหรัฐอเมริกาในช่วงราวปี 2006 จนปัจจุบัน ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตกว่า 7% ของการเสพยาเกินขนาดในสหรัฐฯ ที่มีมากกว่า 1 แสนคนในแต่ละปี

จากข้อมูลล่าสุดที่สำรวจจาก 20 รัฐ รวมถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการใช้สารเสพติดที่มีส่วนผสมของ Zylazine เพิ่มขึ้นถึง 10.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ในปีนี้ (2023) ดร.ราอูล คุปตา ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายควบคุมยาเสพติดแห่งชาติของทำเนียบขาว ได้ออกมาประกาศว่า 'ยาซอมบี้' ถือเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ในสหรัฐฯ และ รัฐบาลไบเดนมีเป้าหมายที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากการใช้สารเสพติดผสม Xylazine ให้ได้อย่างน้อย 15% ในอีก 2 ปีข้างหน้า

แต่ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถสกัดการแพร่หลายของยาซอมบี้ในประเทศได้ทันหรือไม่ สืบเนื่องจากวัตถุดิบอย่าง Xylazine และ Fentanyl ยังไม่ถือเป็นสารควบคุมในสหรัฐฯ ใครก็ตามที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านสัตวแพทย์ สัตวบาล ก็สามารถซื้อได้ แม้ทางช่องทางออนไลน์ และพบว่าหลายครั้งไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อยาอย่างถูกต้องอีกด้วย นอกจากนี้ ยาซอมบี้ยังมีราคาถูกกว่ายาเสพติดชนิดอื่นในตลาดมืด ทำให้ยาชนิดนี้เข้าถึงง่ายในกลุ่มวัยรุ่น คนยากไร้ และ คนไร้บ้าน

และยิ่งมาแพร่หลายอยางหนักในช่วงที่เกิดการระบาด Covid-19 ที่พบว่ายาซอมบี้ กลายเป็นสารเสพติดหลักที่นิยมในหมู่นักเล่นยาข้างถนน โดยมีจุดศูนย์กลางที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย และกระจายยาซอมบี้ออกไปทั่วประเทศ ซ้ำเติมปัญหาคนไร้บ้านในสหรัฐฯ ที่นับวันจะหนักขึ้นอยู่แล้ว ย่ำแย่ลงกว่าเดิม ด้วยสภาพของผู้คนยากไร้ ที่นอนแน่นิ่ง เหม่อลอย ไร้สติ และยังมีแผลฝีหนองเน่าเปื่อยตามร่างกาย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของการเสพยาซอมบี้ เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น

และตอนนี้ ยาซอมบี้ ก็เริ่มกระจายสู่ยุโรปแล้ว เมื่อรัฐบาลอังกฤษได้ยืนยันผู้เสียชีวิตจากการเสพยาที่มีส่วนผสมของ Xylazine รายแรกในปี 2022 และพบยาซอมบี้จำนวนมาก ขายในตลาดใต้ดินทั้งในอังกฤษ และยุโรป สร้างความวิตกให้แก่รัฐบาลชาติตะวันตกในการหาวิธีสกัดยาซอมบี้ไม่ให้ระบาดในชุมชนของตน

ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตื่นตระหนกกับภัยคุกคามต่างชาตินอกบ้าน แต่สุดท้ายภัยที่ร้ายแรงที่สุดคืออาจเป็นภัยจากความอ่อนแอในสังคมภายในบ้านของตัวเอง หากปล่อยปละละเลย รังแต่จะลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งร้ายทำลายประเทศได้ในภายหลัง

'นักวิทย์ฯ' ชี้ 'อายุขัย' ของมนุษย์ อาจเพิ่มแตะ 120 ปี ตัวแปรหนุนจากปัญญาประดิษฐ์และการแกะเชื้อโควิด19

(31 ก.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมาลาร์ดาเลน (MDU) ของสวีเดน ได้เปิดเผยถึงอายุขัยของมนุษย์ ที่อาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 120 ปี ภายในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า เนื่องจากมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้จากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

อิกนัต คุลคอฟ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าตัวเลขอายุขัยที่คาดการณ์ล่วงหน้าของผู้คน เช่น กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อาจอยู่ที่ 100-120 ปี ในช่วงราว 50 ปีข้างหน้า ด้านบรรดาผู้สูงอายุมีแนวโน้มสุขภาพแข็งแรงดีเหมือนคนวัยสี่สิบ ซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว

คุลคอฟ บอกว่า ผู้คนจะสวมใส่อุปกรณ์อัจฉริยะกันมากขึ้นเพื่อติดตามดูสุขภาพของตัวเอง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะเชื่อมต่อกับแพทย์และโรงพยาบาล และบางกรณีอาจมีการปลูกถ่ายเซนเซอร์พวกนี้เข้าสู่ร่างกาย โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือวิถีชีวิตตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุขัยยืนยาวยิ่งขึ้น

นอกจากนั้นความก้าวหน้าด้านอื่นๆ จะมีส่วนส่งเสริมอายุขัยที่ยืนยาวยิ่งขึ้นด้วย โดยการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้วิธีแกะรอยเชื้อไวรัสต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้วินิจฉัยโรคต่างๆ ได้เร็วยิ่งขึ้นและพัฒนาวิธีบำบัดรักษาใหม่ๆ รวมถึงการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized medicine) มีส่วนส่งเสริมสุขภาพดีด้วย

เด็กหญิงชนเผ่าอี๋ร้องเพลงให้ 'สี จิ้นผิง' ฟังอีกครั้ง พร้อมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่ได้พบกัน

ไม่นานมานี้ เพจ 'ลึกชัดกับผิงผิง' ได้โพสต์เรื่องราวของเด็กหญิงชนเผ่าอี๋ที่เคยร้องเพลงให้ 'สี จิ้นผิง' ฟังเมื่อ 5 ปีก่อน และครั้งนี้เธอได้กลับมาร้องเพลงต่อหน้าผู้นำจีนอีกครั้ง ภายใต้คุณภาพชีวิตที่แตกต่างไป ว่า...

#สังคม #จีน
เด็กหญิงชนเผ่าอี๋ที่เคยร้องเพลงให้คุณปู่สี จิ้นผิงฟัง

งานกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อนครั้งที่ 31 เปิดฉากขึ้นที่เมืองเฉิงตูมณฑลเสฉวนภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อค่ำวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา

เด็กหญิงชนเผ่าอี๋คนหนึ่งชื่อจี๋เห่าเหยากั่ว (吉好有果) เป็น สมาชิกวงนักร้องประสานเสียงนักเรียน ขึ้นเวทีกลางสนามกีฬา ร้องเพลง ‘ธงชาติสวยจริงๆ’ ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนนั่งชมอยู่บนอัฒจรรย์

จี๋เห่าเหยากั่วอายุ 15 ปี เธอคุ้นกับเพลงนี้มากเพราะเมื่อ 5 ปีก่อน เธอเคยร้องเพลงนี้ให้คุณปู่สี จิ้นผิงฟัง

บ้านเกิดของจี๋เห่าเหยากั่วอยู่ที่หมู่บ้านซานเหอ เขตปกครองตนเองชนชาติอี๋เหลียงซาน มณฑลเสฉวน เขตปกครองตนเองชนชาติอี๋เหลียงซานเป็นหนึ่งในเขตชนบทที่ยากจนพิเศษของจีน แต่ก่อนที่หมู่บ้านซานเหอ ชาวบ้านล้วนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเตี้ยๆ ที่ก่อด้วยดินจากรุ่นสู่รุ่น

ช่วงก่อนวันตรุษจีนปี 2018 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเดินทางไปตรวจเยี่ยมที่หมู่บ้านซานเหอ และเข้าไปในบ้านชาวนา 2 ครัวเรือนเพื่อถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ อาชีพ รายได้ ตลอดจนเด็กได้เข้าเรียนหรือไม่  

เวลานั้นเด็กหญิงจี๋เห่าเหยากั่วอายุ 10 ขวบ เธอได้ร้องเพลง ‘ธงชาติสวยจริงๆ’ ให้คุณปู่สีฟัง คุณปู่สีปรบมือและชมว่า “ร้องได้ดีมาก”

เวลาผ่านไป 5 ปี จี๋เห่าเหยากั่วโตขึ้น เธอเป็นเด็กร่าเริง ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอด เมื่อทบทวนประสบการณ์หลายปีก่อน  เธอยังคงตื่นเต้นและกล่าวว่า “วันนั้นมิอาจลืมได้ หนูยังจำคำพูดของคุณปู่สีได้แม่นว่า พยายามเรียนดีๆ หลังโตขึ้นแล้วเดินออกจากภูเขาเหลียงซานไปดูโลกที่กว้างใหญ่”

ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หมู่บ้านซานเหอที่จี๋เห่าเหยากั่วอยู่นั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ถนนดินในหมู่บ้านกลายเป็นทางหลวงมาตรฐาน บรรดาชาวบ้านได้ย้ายออกจากบ้านดินเข้าไปอยู่ในชุมชนที่สร้างใหม่ และส่วนใหญ่ได้งานใหม่

ครอบครัวของจี๋เห่าเหยากั่วได้บ้านใหม่เนื้อที่ 100 ตารางเมตร เธอกล่าวว่า “แต่ก่อนเรากินนอนในบ้านที่มีเพียง 1 ห้อง แต่บ้านใหม่ในปัจจุบันมีห้องน้ำห้องครัว และเรายังมีห้องส่วนตัวด้วย”

ปีหลังๆ นี้ เขตปกครองตนเองชนชาติอี๋เหลียงซาน ได้ดำเนินโครงการพ้นความยากจนด้วยการศึกษา โดยสร้างโรงเรียนใหม่กว่า 600 โรงเรียน ขณะเดียวกัน ได้สร้างโรงอนุบาลทุกหมู่บ้าน เพื่อให้เด็กในชนบทเหล่านี้ได้รับการศึกษาเหมือนกับเด็กในเมือง

ปัจจุบัน ชาวนาหมู่บ้านซานเหอยังได้ปลูกพืชพิเศษชนิดต่างๆ เลี้ยงวัวเลี้ยงหมูพันธุ์ดีที่ขายได้ราคาสูง และหมู่บ้านซานเหอยังได้รับการปรับปรุงให้เป็นเหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม

จี๋เห่าเหยากั่วกล่าวว่า “ต้นเดือนกรกฎาคม เมื่อครูบอกกับหนูว่าจะมีโอกาสได้ไปร้องเพลงในพิธีเปิดงานกีฬามหาวิทยาลัยโลก หนูตื่นเต้นดีใจมาก เพลง 'ธงชาติสวยจริงๆ' เพลงนี้มีความหมายพิเศษ เป็นเพลงที่หนูชอบมากที่สุด หนูรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถเป็นตัวแทนหมู่บ้านและชนเผ่าอี๋ ขึ้นร้องเพลงบนเวทีงานกีฬามหาวิทยาลัยโลก”

‘ปูติน’ เผย รัสเซียไม่ปฏิเสธแนวคิดเจรจาสันติภาพยูเครน แม้ถูกถล่มสะพานไครเมีย ลั่น!! พร้อมโต้ตอบทุกเมื่อ

(30 ก.ค. 66) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย กล่าวว่า เขาไม่ปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพกับยูเครน ทั้งนี้ ผู้นำรัสเซียพูดถึงเรื่องดังกล่าวระหว่างแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดรัสเซีย-แอฟริกา ผ่านระบบออนไลน์กับผู้นำแอฟริกาในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ปูตินระบุว่า ความคิดริเริ่มของแอฟริกาและจีนสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการแสวงหาสันติภาพ และยังบอกว่า เป็นการยากที่จะทำการหยุดยิง เมื่อกองทัพยูเครนกำลังอยู่ในการตอบโต้กลับ

ปูตินกล่าวอีกว่า ขณะนี้รัสเซียยังไม่มีแผนที่จะกระชับปฏิบัติการในแนวรบยูเครน ทั้งยังปกป้องการจับกุมกลุ่มผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยอ้างว่ามีบางคนที่ทำร้ายรัสเซียจากภายในประเทศ

ผู้นำรัสเซียกล่าวด้วยว่า มอสโกได้ทำการป้องกันการโจมตีหลังเกิดเหตุระเบิดสะพานไครเมียเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งปูตินสาบานว่าจะทำการตอบโต้การกระทำของผู้ก่อการร้ายโดยยูเครน แม้ว่าเคียฟจะไม่ออกมารับว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าวอย่างเป็นทางการก็ตาม

ก่อนหน้านี้ ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างระบุว่า พวกเขาจะไม่เข้าร่วมโต๊ะเจรจาหากไม่มีการตั้งเงื่อนไขล่วงหน้าบางอย่าง โดยยูเครนต้องการให้พรมแดนของประเทศกลับมาอยู่ในสถานะเดิมในปี 1991 ซึ่งเป็นสิ่งที่รัสเซียไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง อีกทั้งยังโต้แย้งว่า หากจะให้เกิดการเจรจาขึ้น ยูเครนต้องยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับเขตแดนใหม่ของตนเสียก่อน

ไฟไหม้เรือบรรทุก ‘รถ BENZ - BMW’ วอดเกือบ 3,000 คัน ที่นอกชายฝั่งเนเธอร์แลนด์ ใช้เวลาเกือบ 2 วัน ระงับไฟไหม้สำเร็จ

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 66 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเหตุการณ์ความพยายามของหน่วยยามชายฝั่ง ประเทศเนเธอร์แลนด์ใช้ความพยายามเกือบ 2 วัน ในการระงับเหตุการณ์ไฟไหม้เรือบรรทุกขนาดใหญ่ที่มี รถเบ็นซ์ และ บีเอ็มดับเบิลยู (BMW) อยู่ในนั้นเกือบ 3,000 คัน

โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นภาพความพยายามดับไฟที่กำลังลุกไหม้เรือบรรทุกขนาดใหญ่นอกชายฝั่งเนเธอร์แลนด์ ที่ในนั้นมี รถหรูกว่า 3,000 คัน ที่กำลังลุกไหม้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เรือบรรทุกสินค้าลำดังกล่าวบรรทุกรถยนต์เกือบ 3,000 คัน ที่ผลิตโดย Mercedes-Benz Group AG และ BMW AG เกิดไฟไหม้ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ใกล้กับเนเธอร์แลนด์ โดยหน่วยยามชายฝั่งเนเธอร์แลนด์เข้ามาระงับเหตุ และลำเลียงลูกเรือที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งทางเรือและเฮลิคอปเตอร์

ในข่าวระบุด้วยว่า รถยนต์ 25 คัน จากทั้งหมด 2,857 คัน บนเรือเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ในข่าวระบุว่า โฆษกของ BMW ยืนยันว่าบริษัทมีรถอยู่บนเรือและไม่ได้บอกว่ามีกี่คัน

ขณะเดียวกันความพยามของเจ้าหน้าที่ในการดับไฟใช้เวลาเกือบสองวันและสามารถดับได้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา

‘รัสเซีย’ ยิงขีปนาวุธถล่มเมืองทางตะวันออกของ ‘ยูเครน’ อาคาร-บ้านเรือนพังยับ พบผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 5 ราย

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มอาคาร 2 แห่ง ในเมืองดนีโปรซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้อาคารดังกล่าวเสียหายอย่างหนัก และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 5 คน

นักข่าวภาคสนามของบีบีซียืนยันว่า ชั้นบนสุดของอาคารพักอาศัยขนาดใหญ่ถูกทำลายเกือบจนย่อยยับจากการโจมตีของรัสเซียเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 กรกฎาคม

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวด้วยว่า อาคารแห่งหนึ่งของหน่วยงานด้านความมั่นคง (SBU) ของยูเครนก็ถูกโจมตีเช่นกัน ซึ่งเขาได้กล่าวโทษรัสเซียที่ยิงขีปนาวุธจนทำให้อาคารทั้ง 2 เสียหาย

นอกจากนี้ เซเลนสกีกล่าวว่า ตนได้มีการประชุมฉุกเฉินกับ SBU กระทรวงกิจการภายใน หน่วยบริการฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

‘เซอร์ฮีย์ ไลซัก’ (Serhiy Lysak) ผู้ว่าการภูมิภาคดนีโปรแปตร็อวสก์ กล่าวว่า มีเด็กสองคนอายุ 14 ปี และ 17 ปี อยู่ในกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งกำลังได้รับการรักษาที่บ้าน และว่า ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการยิงขีปนาวุธของรัสเซียครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น

‘บอริส ฟิลาทอฟ’ (Boris Filatov) นายกเทศมนตรีเมืองดนีโปร กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งล่าสุดถือเป็นการโจมตีครั้งที่สามที่อาคารของหน่วยงาน SBU ตกเป็นเป้าหมายของรัสเซีย ส่วนอาคารที่อยู่อาศัยที่ถูกขีปนาวุธทำลายนั้นเพิ่งสร้างเสร็จและกำลังปล่อยขายห้องว่าง อย่างไรก็ดี ขณะเกิดเหตุไม่ค่อยมีผู้คนอยู่ด้านในอาคารทั้ง 2 แห่ง

ทั้งนี้ การโจมตีในเมืองดนีโปรมีขึ้นหลังจากที่รัสเซียกล่าวเมื่อวันศุกร์ (28 ก.ค.) ว่าได้ยิงสกัดกั้นขีปนาวุธยูเครนจำนวน 2 ลูก เหนือภูมิภาครอสตอฟทางตอนใต้ซึ่งมีพรมแดนติดกับยูเครน มอสโกกล่าวว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 คน จากซากปรักหักพังที่ร่วงลงมาในเมืองท่าทางทาแกนร็อก (Taganrog)

กระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า ขีปนาวุธเอส-200 (S-200) ลูกแรกมีเป้าหมายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางที่อยู่อาศัยในเมืองทาแกนร็อก ที่มีประชากรประมาณ 250,000 คน หลังจากนั้นไม่นาน มอสโกกล่าวว่า ได้ยิงขีปนาวุธ S-200 ลูกที่สองตกใกล้กับเมืองอซอฟ (Azov) โดยมีเศษชิ้นส่วนตกลงในพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย

‘McDonald’s’ สาขาหนึ่งในญี่ปุ่น ประกาศห้ามเด็กทั้งโรงเรียนเข้าร้าน เหตุมี นร.บางกลุ่มเข้ามาก่อกวนลูกค้าในร้าน แถมคุณครูยังเพิกเฉย!!

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีร้าน ‘McDonald’s’ สาขาหนึ่งในจังหวัดคะนะงะวะของประเทศญี่ปุ่น กลายเป็นไวรัล เพราะมีผู้ไปพบเห็นว่าร้านขึ้นป้ายประกาศแบนนักเรียนทั้งหมดจากโรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่ง เนื่องจากเด็กโรงเรียนนี้มาทำ ‘พฤติกรรมก่อกวน’ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้รบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ และอาจเป็นอันตรายต่อพนักงาน จนทางร้านรับไม่ได้!! เห็นแล้วก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้เลยว่าทางร้านเจออะไรเข้าไปถึงถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้!!

ว่ากันว่าทางร้านนั้นประกาศไม่ต้อนรับเด็กโรงเรียนดังกล่าวมาเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว แต่เพิ่งมาเป็นข่าวจนกลายเป็นไวรัล หลังมีผู้นำประกาศดังกล่าวมาโพสต์แชร์บนโลกออนไลน์ ทำให้บางคนจะมองว่าไม่ควรจะแบนนักเรียนแบบเหมาเข่งแบบนี้ และควรแบนเฉพาะนักเรียนที่ก่อกวนร้าน

แต่หลายคนดูเหมือนจะเห็นใจทางร้านมากกว่า เพราะมองว่าร้าน McDonald’s คงจะจับตามองนักเรียนเป็นรายคนไม่ไหว และเนื่องจากเครื่องแบบแต่ละโรงเรียนนั้นมีเอกลักษณ์ จึงเห็นได้ว่าเด็กโรงเรียนไหนทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ กันอยู่บ่อยครั้ง จึงง่ายกว่าที่จะแบนโรงเรียนนั้น ๆ ไปเสียเลย และชื่นชมที่ทางร้านปกป้องสวัสดิภาพของพนักงานและสิทธิ์ของลูกค้าคนอื่น ๆ

ขณะเดียวกัน ความเห็นส่วนหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์รองครูใหญ่ของโรงเรียนดังกล่าว เพราะดูเหมือนจะเพิกเฉยไม่สนใจคำร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนที่ร้าน McDonald’s แห่งนี้ ให้ร้านไปแจ้งตำรวจแทน และปฏิเสธไม่แสดงความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เนื่องจากคณะกรรมการการศึกษาสั่งมา แต่บอกแค่ว่านักเรียนของโรงเรียนได้รับการว่ากล่าวตักเตือนแล้ว

ทั้งนี้ ชาวเน็ตบางคนบอกว่ารู้จักเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ และอ้างว่าบางคนมาสั่งอาหารที่ร้านแล้วนั่งแช่ยาว ๆ บางคนก็ไม่ซื้ออะไรเลยเพราะเอาข้าวกล่องจากที่อื่นมากินเอง แล้วใช้ Wi-Fi ฟรีของร้านเพื่อเรียนออนไลน์ด้วยแทบเล็ตของโรงเรียน บางทีก็คุยโหวกเหวกเสียงดังและเล่นเกม เหมือนยึดร้านเป็นของตัวเอง ทำให้รบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ อย่างมาก และมีรายงานด้วยว่าเคยมีเหตุถึงขั้นต้องเรียกตำรวจและคุณครูมาห้ามนักเรียนเกเรเหล่านี้

ก็อาจจะไม่แฟร์เสียทีเดียวสำหรับนักเรียนโรงเรียนนี้คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ก่อกวนทางร้าน แต่หากทางร้านเจอกับพฤติกรรมแบบนี้บ่อย ๆ และขอความร่วมมือจากทางโรงเรียนไม่ได้ผล ก็คงต้องเข้มงวดมากขึ้นเพื่อไม่ให้คนส่วนมากได้รับผลกระทบ

‘ทุเรียนไทย’ กลิ่นหอมขจรขจายทั่วนครฮาร์บิน ตอนเหนือของจีน ด้วยการขนส่งก้าวหน้า โดย ‘ขบวนด่วน’ ของทางรถไฟจีน-ลาว

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, ฮาร์บิน รายงานว่า ณ ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรฮาต๋า ซึ่งเป็นศูนย์กลางจัดจำหน่ายผักผลไม้ที่พลุกพล่านที่สุด ในมณฑลเฮยหลงเจียงทางตอนเหนือสุดของจีน มีรถบรรทุกทุเรียน 1,000 กล่อง ถูกรุมล้อมด้วยพ่อค้าแม่ขายที่มารอรับสินค้า โดย ‘เสี่ยวเหิง’ เป็นพ่อค้าคนหนึ่งที่ร่วมรอรับทุเรียน เพื่อขนขึ้นรถส่วนตัวพร้อมกับผลไม้เมืองร้อนอื่นๆ อย่างฝรั่งและมะม่วง

‘เสี่ยวเหิง’ ผู้ค้าขายผลไม้มานานกว่า 10 ปี เล่าว่าเขาเริ่มต้นขายผลไม้ปี 2013 ตอนนั้นชาวฮาร์บินชอบรับประทานทุเรียนกันแล้ว แต่ยังมีของขายไม่มากและราคาไม่ถูก แถมการขนส่งที่ใช้เวลานานทำให้ทุเรียนที่ขนส่งมาถึงเปลือกแห้งและดำ ต่างจากปัจจุบันที่ล่าสุดได้ยินว่าขนส่งด้วย ‘ขบวนด่วน’ บนทางรถไฟจีน-ลาว ทั้งมีคุณภาพดีและราคาลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนๆ

ย้อนกลับเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผลไม้เมืองร้อนจากไทยที่วางจำหน่ายในนครฮาร์บิน เมืองเอกของเฮยหลงเจียง ต้องผ่านมือเหล่าพ่อค้าคนกลางในกว่างโจว เสิ่นหยาง ปักกิ่ง และอื่นๆ เพราะไม่มีช่องทางซื้อขายโดยตรง ทำให้ราคาพุ่งสูง ขณะเดียวกันรูปลักษณ์และรสชาติของผลไม้แย่ลงเพราะใช้ระยะเวลาขนส่งยาวนาน

ทว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของจีน ช่วยลดระยะเวลาขนส่งลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณภาพของผลไม้นำเข้าดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แม้แต่เฮยหลงเจียงที่เป็นมณฑลทางเหนือสุดของจีน ยังสามารถเพลิดเพลินกับผลไม้เมืองร้อนเลิศรสที่ส่งมาจากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไทย มาเลเซีย และลาว

หากวันนี้ลองเยี่ยมเยือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในนครฮาร์บิน คุณจะได้พบทุเรียนหมอนทองสุกพร้อมรับประทานวางเรียงรายดึงดูดลูกค้ามาเลือกซื้อจำนวนมาก โดยมีราคาช่วงโปรโมชันอยู่ที่ราว 43.8 หยวน (ราว 210 บาท) ต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคาค้าปลีกในท้องตลาดอย่างมาก

พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้เผยว่า ทุเรียนมีราคาถูกเช่นนี้เพราะต้นทุนการขนส่งลดลง โดยทุเรียนจากไทยถูกขนส่งสู่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ก่อนจะถูกกระจายไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกันที่นี่มีบริการปลอกเปลือกทุเรียนฟรีและตรวจดูคุณภาพทุเรียนก่อนจ่ายเงิน เพื่อรับประกับความสดใหม่ทุกลูก

อนึ่ง ทางรถไฟจีน-ลาว ถือเป็นโครงการสำคัญของการร่วมสร้าง ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (BRI) ที่มีคุณภาพสูง และกลายเป็นช่องทางโลจิสติกส์ที่สะดวกระหว่างจีนและอาเซียน โดยทางรถไฟสายนี้ช่วยให้ขนส่งทุเรียนจากไทยถึงคุนหมิงภายใน 3 วัน ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถส่งออกทุเรียนที่สุกมากขึ้นและรสชาติดีขึ้นได้

ปัจจุบันไทยมีทุเรียนกว่า 200 สายพันธุ์ และถือเป็นประเทศส่งออกทุเรียนสดมากที่สุดในโลก โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของไทย ระบุว่าจีนเป็นตลาดส่งออกทุเรียนไทยขนาดใหญ่ที่สุดในปี 2022 ครองส่วนแบ่งร้อยละ 96 ของทุเรียนไทยส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.05 แสนล้านบาท)

ด้าน ‘ขบวนด่วน’ บนทางรถไฟจีน-ลาว ช่วยลดระยะเวลาขนส่งทุเรียนสู่จีนอย่างมาก โดยกลุ่มสื่อไทยรายงานว่า ‘รถไฟขบวนทุเรียน’ จากสถานีมาบตาพุดไปยังนครกว่างโจวของจีน ทำสถิติขนส่งผลไม้จากไทยสู่จีนเร็วที่สุดครั้งใหม่ และการเน่าเสียระหว่างการขนส่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

เสี่ยวเหิง เผยทิ้งท้ายว่า เขาขายทุเรียนได้หลายร้อยลูกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยเขายังมี ‘บริการหลังการขาย’ อย่างเช่น การแลกคืนทันทีหากพบทุเรียนด้อยคุณภาพ ขณะการรับประกันอุปทานและการพัฒนาโลจิสติกส์ช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่เสี่ยวเหิง และเกื้อหนุน ‘กลิ่นหอม’ ของทุเรียนไทยขจรขจายทั่วดินแดนตอนเหนือสุดของจีน

‘ญี่ปุ่น’ ลั่น!! เกาหลีเหนือเป็น ‘ภัยคุกคาม’ สุดร้ายแรง หลังกรุงเปียงยางโชว์ยุทโธปกรณ์ ฉลองวันแห่งชัยชนะ

(28 ก.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ญี่ปุ่นได้ระบุในสมุดปกขาว หรือเอกสารรายงานประจำปีที่รัฐบาลออก เพื่อชี้แจงรายละเอียดภัยคุกคามทางทหารและแผนการ เพื่อรับประกันความมั่นคงของประเทศว่า เกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติมากกว่าที่เคยเป็นมา จากการที่เปียงยางซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ได้ยั่วยุประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการทดสอบขีปนาวุธซ้ำแล้วซ้ำเล่าและถ้อยวาจาที่เป็นปฏิปักษ์

ในเอกสารดังกล่าว กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นกล่าวถึงการเพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ เนื่องจากโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งวิกฤตการณ์ ทั้งการที่จีนมีแสนยานุภาพทางทหารที่เพิ่มขึ้น สงครามการรุกรานของรัสเซียในยูเครน รวมถึงภัยคุกคามเกาหลีเหนือที่กลายเป็นปัญหาสำคัญสำหรับญี่ปุ่น

คณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ อนุมัติสมุดปกขาวนี้เมื่อเช้าวันนี้ (28 ก.ค.) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธในละแวกใกล้เคียงถี่มากขึ้น สอดคล้องกับที่รายงานดังกล่าวระบุว่า “เชื่อว่าเกาหลีเหนือมีความสามารถในการโจมตีญี่ปุ่นด้วยขีปนาวุธที่มีการติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์”

ในขณะเดียวกัน เคซีเอ็นเอ สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือรายงานในวันเดียวกันว่า คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ตรวจตราขบวนพาเหรดแสดงแสนยานุภาพทางทหารของประเทศ โดยมีการสาธิตโดรนรุ่นใหม่และจัดแสดงขีปนาวุธพิสัยข้ามทวีป (ICBM) ที่มีความสามารถด้านนิวเคลียร์ ทั้งยังกล่าวเปิดงานอย่างอบอุ่นเพื่อฉลองวันครบรอบสิ้นสุดสงครามเกาหลี

เคซีเอ็นเอรายงานว่า ในการเดินขบวนดังกล่าว ได้มีการบินสาธิตของเครื่องบินสอดแนมไร้คนขับเชิงกลยุทธ์และโดรนโจมตีอเนกประสงค์รุ่นใหม่ รวมถึงยังมีการนำฮวาซอง-18 (Hwasong-18) ซึ่งเป็นขีปนาวุธ ICBM ใหม่ล่าสุดที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งและถูกทดสอบไปเมื่อเดือนเมษายนและกรกฎาคมปีนี้มาอวดโฉมในงานเช่นกัน สร้างความปิติยินดีและความตื่นเต้นให้กับผู้ชมที่ร่วมงาน โดยปกติแล้ว คณะผู้แทนระดับสูงของรัสเซียและจีนเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองดังกล่าว เนื่องในวันครบรอบ 70 ปีของการสงบศึกในสงครามเกาหลี ที่เกาหลีเหนือเฉลิมฉลองในชื่อ ‘วันแห่งชัยชนะ’

‘อดีต จนท.ข่าวกรอง’ แฉ!! โครงการลับ UFO ของรัฐบาลสหรัฐฯ จ่อซุกซ่อนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ หวั่นกระทบความมั่นคงประเทศ

เมื่อไม่นานนี้ คณะกรรมมาธิการควบคุมและตรวจสอบประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือ ‘UAPs’ ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อของ UFO หรือวัตถุบินไม่ทราบชนิด

โดยอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองประจำกองทัพอากาศที่ร่วมให้ข้อมูลในเรื่องนี้อ้างว่า สหรัฐฯ ได้เก็บซากชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์จากบริเวณจุดตกของวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุชนิดลำหนึ่ง

การเปิดเผยดังกล่าวมาจาก ‘เดวิด กรัช’ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอากาศที่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมมาธิการควบคุมและตรวจสอบประจำสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งดูแลการตรวจสอบด้านความมั่นคงและกิจการต่างประเทศด้วย

กรัช ระบุว่าสหรัฐฯ ได้ดำเนินการโครงการลับมาเป็นเวลาหลายสิบปี เพื่อเก็บกู้และศึกษาโครงสร้างของวัตถุบินไม่ทราบชนิดที่ตกลงมา และสามารถเก็บชิ้นส่วนทางชีวภาพที่ไม่ใช่มนุษย์ได้จากจุดตกของวัตถุบินลำหนึ่งที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ ซึ่งเป็นการตอบคำถามจากสมาชิกคณะกรรมาธิการที่ต้องการทราบว่า รัฐบาลมีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลกหรือไม่

ขณะที่ ‘ไรอัน เกรฟส์’ (Ryan Graves) อดีตนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือ UAP ที่ถูกรายงานนั้นต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากนักบินกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตัวเอง

เกรฟส์ เตือนว่าหาก ปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้เกี่ยวข้องกับโดรนจากประเทศอื่น ก็นับว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนต่อความมั่นคงของประเทศ แต่หากไม่ใช่ก็เข้าข่ายประเด็นทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเป็นเรื่องของความปลอดภัยภัยด้านการบิน

อีกคนที่เข้าชี้แจงเรื่องนี้ คือ ‘เดวิด เฟรเวอร์’ (DAVID FRAVOR) อดีตนายทหารระดับผู้บัญชาการของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เคยสัมผัสกับปรากฏการณ์ปริศนาด้วยตัวเองเมื่อปี 2004

เฟรเวอร์ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุได้เหล่านี้ อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงเพราะมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าสหรัฐฯ มาก โดยสามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ ไปที่สถานที่ใดก็ได้ รวมทั้งอวกาศ โดยใช้เวลาขึ้นบินหรือลงจอดไม่กี่วินาที และ จะทำอะไรก็ได้

อย่างไรก็ตาม รายงานที่เปิดเผยโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อปี 2021 ยืนยันว่า ไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้กับวัตถุจากนอกโลก

โดยหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานหลายฉบับเกี่ยวกับการพบเห็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยบางส่วนยังไม่สามารหาคำตอบได้ขณะที่บางส่วนได้ข้อสรุปว่าเป็นสิ่งของหรือสัตว์ เช่น บอลลูน โดรน ถุงพลาสติกที่ถูกลมพัดลอยขึ้นสู่อากาศ หรือ นก

‘หนุ่มเม็กซิโก’ สลัดคราบคุณพ่อหน้าโหด สวมชุดกระโปรงสีชมพูจัดเต็ม  หลังลูกสาวชวนไปดูหนัง ‘บาร์บี้’ ทำเอาโลกโซเชียลอดเอ็นดูไม่ได้!!

เป็นที่รู้กันดีว่าหากพูดถึง ‘บาร์บี้’ ต้องนึกถึงสีชมพู หลายคนจึงพากันแต่งตัวสีชมพูต้อนรับการฉายภาพยนตร์บาร์บี้ คุณพ่อคนนี้ก็เช่นกัน บอกเลยว่าแต่งตัวจัดเต็ม สลัดคราบโหดไปเสียสนิท

เมื่อไม่นานนี้ ‘เอลีซาร์ โรดริเกซ เอร์นานเดซ’ คุณพ่อจากรัฐตาเมาลิปัส ของเม็กซิโก ได้โพสต์ภาพแบ่งปันความประทับใจ เมื่อเขาพาลูกสาวตัวน้อยไปชมบาร์บี้ และทั้งคู่ได้ใส่ชุดสีชมพูเหมือนกัน

โดยคุณพ่อเล่าว่า ลูกสาวขอให้เขาพาไปดูบาร์บี้ที่โรงภาพยนตร์ และอยากให้เขาใส่ชุดสีชมพูด้วย ซึ่งลูกสาวมีการเอ่ยถามว่า พ่อจะรู้สึกอายมั้ยถ้าต้องใส่สีชมพู เขาจึงตอบไปว่า คนที่ต้องอายคือลูกต่างหาก

จากภาพ เขาสวมเสื้อกล้ามรัดรูปสีชมพูและกระโปรงสั้นสีชมพู ส่วนด้านบนสวมหมวกคาวบอยและใส่รองเท้าบูท ส่วนลูกสาวตัวน้อยสวมเสื้อสีชมพูและกระโปรงที่มีดีไซน์เหมือนกับกระโปรงของเขา

ภาพครั้งนี้ได้กลายเป็นไวรัล มีการแชร์และแสดงความคิดเห็นนับพัน ทั้งนี้คุณพ่อได้ชี้แจงว่าเขาไม่ได้อยากมีชื่อเสียง เพียงแค่ทำตามคำขอของลูกเท่านั้น

“ที่ผมโพสต์ไป ผมไม่ได้หวังชื่อเสียงหรืออะไร ผมแค่ทำตามคำขอของลูกสาว และผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อลูก ซึ่งลูกมีความสุขมาก เชื่อผมเถอะ การสวมชุดสีชมพูกับกระโปรงฟู ๆ ไม่ได้ทำให้คุณดูเป็นผู้ชายน้อยลงเลย” คุณพ่อชาวเม็กซิโก กล่าว

โชว์แสนยานุภาพ!! ‘ผู้นำคิม’ เปิดคลังแสง อวดโฉมอาวุธ ‘รมว.กห.รัสเซีย’ ยัน!! โสมแดงพร้อมหนุนมอสโก ร่วมต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

(27 ก.ค. 66) สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ พานายเซอร์เกย์ ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ที่อยู่ระหว่างเดินทางเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการ ชมการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารของเกาหลีเหนือ

ซอยกูเยือนเกาหลีเหนือเพื่อร่วมงานฉลองครบรอบ 70 ปีของการสิ้นสุดสงครามเกาหลี ที่เกาหลีเหนือเฉลิมฉลองในชื่อ “วันแห่งชัยชนะ” การเยือนของซอยกูถือเป็นการเยือนเกาหลีเหนือครั้งแรกโดยรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย นับตั้งแต่การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต

ผู้นำคิมนำซอยกูเยี่ยมชมนิทรรศการอาวุธและยุทโธปกรณ์ทางทหารชนิดใหม่ ที่มีการจัดแสดงขีปนาวุธหลายชนิด รวมถึงเครื่องยิงแบบหลายเพลา ทั้งยังมีภาพที่นักวิเคราะห์ระบุว่าดูเหมือนจะเป็นโดรนชนิดใหม่อีกด้วย ทั้งยังบอกด้วยว่า การชมขีปนาวุธของเกาหลีเหนือของซอยกูเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า รัสเซียยอมรับโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

เคซีเอ็นเอรายงานว่า ซอยกูได้มอบจดหมายจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ให้กับผู้นำคิม ขณะที่คิมได้ขอบคุณปูตินที่ส่งคณะผู้แทนทหารมาเยือนเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นการเปิดบ้านต้อนรับคณะผู้แทนต่างประเทศครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

“ผู้นำคิมได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลร่วมกัน ในการต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตย การพัฒนา และผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ จากการปฎิบัติโดยพลการตามอำเภอใจของพวกจักรวรรดินิยม เพื่อการบรรลุซึ่งความยุติธรรมและสันติภาพระหว่างประเทศ” เคซีเอ็นเอระบุ

เคซีเอ็นเอยังรายงานด้วยว่า ผู้นำคิมได้แสดงความเชื่อของเขาซ้ำว่า กองทัพและประชาชนรัสเซียจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในการต่อสู้เพื่อสร้างประเทศที่ทรงพลัง

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายคัง ซุน นัม รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีเหนือ กล่าวว่า เกาหลีเหนือสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของรัสเซียอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องอธิปไตยของตน

'ปูติน' ย้ำ!! ธนาคารทางเลือก BRICS จำเป็น  เกมต่อกร 'วอชิงตัน' ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ

การจัดตั้งสถาบันการเงินทางเลือกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ความพยายามดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงเวลาที่วอชิงตันใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นอาวุธ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวในวันพุธ (26 ก.ค.) ระหว่างการประชุมร่วมกับ ดิลมา รูสเซฟฟ์ ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มบริกส์ (BRICS)

อดีตประธานาธิบดีหญิงของบราซิล ซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานอดีตธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่ม BRICS เมื่อเดือนมีนาคม เดินทางเยือนเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อพบปะกับ ปูติน ก่อนหน้าการประชุมซัมมิตรัสเซีย-แอฟริกาในสัปดาห์นี้

"ผมไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ ด้วยประสบการณ์มากมายของคุณและความรู้ในขอบเขตนี้ คุณจะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาสถาบันแห่งนี้ ที่ผมคิดว่ามันมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน" ปูตินบอกกับรูสเซฟฟ์ "ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน มันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย เนื่องด้วยสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับการเงินโลก และการใช้ดอลลาร์เป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง"

ปูติน เน้นย้ำว่ากลุ่มเศรษฐกิจ BRICS ที่ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ไม่ได้มีเป้าหมายที่ใครอย่างเฉพาะเจาะจง แต่กำลังทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ร่วม ในนั้นรวมถึงด้านการเงิน เขาชี้ว่าสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้ยกระดับใช้สกุลเงินท้องถิ่นชำระบัญชีทางการค้าระหว่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

รูสเซฟฟ์ เห็นด้วยว่าบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายควรทำแนวทางนี้ไปใช้ในวงกว้าง เธอยังบอกอีกว่าความท้าทายใหญ่หลวงที่มีต่อเหล่าชาติกำลังพัฒนาคือศักยภาพในการเพิ่มงบประมาณสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ไล่ตั้งแต่การบริการสังคม ไปจนถึงประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเด็นนี้ เธออ้างว่าถูกละเลิกเพิกเฉย เนื่องจากทุกคนมุ่งเน้นไปยังปัญหาหนี้สิน

สหรัฐฯ มีสัดส่วนคิดเป็น 20% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจโลก แต่มากกว่า 50% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกถือครองในสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว สัดส่วนการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ลดลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา หลังมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเล่นงานรัสเซีย ต่อความขัดแย้งในยูเครน ในนั้นรวมถึงอายัดทุนสำรองระหว่างประเทศและสกัดการเข้าถึงระบบชำระเงิน SWIFT ก่อความกังวลแก่ชาติต่าง ๆ ว่าพวกเขาอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการลักษณะเดียวกันในอนาคต

เมื่อเดือนตุลาคม ปูตินอ้างว่าสหรัฐฯ "บั่นทอนความน่าเชื่อถือสถาบันทุนสำรองระหว่างประเทศด้วยการใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ แรกเริ่มคือปล่อยมลพิษทางการเงิน จากนั้นก็ขโมยเงินของรัสเซีย" และนับตั้งแต่นั้น เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังอเมริกา ยอมรับว่ามาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ อาจผลักบางประเทศละทิ้งดอลลาร์

"ประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งยุคสมัยการครองโลกของดอลลาร์สหรัฐกำลังมาถึงจุดจบ" อันเดรย์ คอสติน ประธานธนาคารวีทีบีแบงก์ของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนที่แล้ว

ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกส่วนใหญ่ มองไม่เห็นว่าจะมีสกุลเงินอื่นใดที่มีศักยภาพพอจะก้าวมาแทนที่ดอลลาร์ แต่ ปูติน แย้มเมื่อเดือนมิถุนายน ว่า BRICS กำลังดำเนินการเกี่ยวกับสกุลเงินสำรองของตนเอง บางทีอาจอยู่บนพื้นฐานของตะกร้าสินค้าโภคภัณฑ์

‘ตอลิบาน’ สั่งปิด ‘ร้านเสริมสวย-ทำผม’ ทุกแห่งในอัฟกานิสถาน ชี้!! เป็นเหตุเพิ่มภาระแก่ครอบครัวยากจน-ขัดต่อหลักศาสนา

(27 ก.ค. 66) คาบูล (เอเอฟพี/รอยเตอร์) ร้านเสริมสวยและร้านทำผมจำนวนมากทั่วอัฟกานิสถานปิดเป็นการถาวรตั้งแต่เมื่อวันอังคาร ตามคำสั่งของรัฐบาลตอลิบานที่ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน

เจ้าของร้านเสริมสวยและร้านทำผมหลายแห่งในกรุงคาบูล เริ่มเก็บข้าวของแกะแผ่นโฆษณาที่ติดบริเวณด้านหน้าร้านออก เพื่อเตรียมปิดกิจการเป็นการถาวร เช่นเดียวกับร้านเสริมสวยทั่วประเทศที่จำเป็นต้องเลิกกิจการ หลังจากกระทรวงส่งเสริมศีลธรรมและป้องกันสิ่งชั่วร้ายของอัฟกานิสถาน มีคำสั่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายนให้ร้านเสริมสวยทุกแห่งทั่วประเทศปิดร้านภายในวันที่ 25 กรกฎาคม ให้เหตุผลว่าเงินที่ใช้จ่ายไปกับการเสริมสวยเป็นภาระให้แก่ครอบครัวยากจน และการเสริมสวยบางอย่างขัดต่อหลักศาสนา กระทรวงระบุว่า การแต่งหน้ามากเกินไปเป็นอุปสรรคต่อการชำระล้างก่อนละหมาด และได้ห้ามการต่อขนตาและการทอผมด้วย

ร้านเสริมสวยผุดขึ้นทั่วกรุงคาบูลและหลายเมืองในอัฟกานิสถานตลอดช่วง 20 ปี ที่กองกำลังนานาชาตินำโดยสหรัฐฯ เข้ายึดครองอัฟกานิสถาน โดยเป็นทั้งสถานที่พบปะสังสรรค์และแหล่งทำมาหากินของบรรดาผู้หญิง หอการค้าและอุตสาหกรรมสตรีอัฟกานิสถานประเมินว่า คำสั่งปิดร้านเสริมสวย 12,000 แห่งเป็นการถาวรจะทำให้ผู้หญิงกว่า 60,000 คนสูญเสียรายได้ สัปดาห์ที่แล้ว ทางการได้ยิงปืนขึ้นฟ้าและใช้สายดับเพลิงฉีดสลายกลุ่มผู้หฯิงจำนวนหนึ่งที่ชุมนุมประท้วงคำสั่งปิดร้านเสริมสวย

บรรดาเจ้าของกิจการร้านเสริมสวยและร้านทำผม บอกว่าปลงกับชีวิต เคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาแล้วสมัยตอลิบานเรืองอำนาจเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อีกคนบอกว่าขอเรียกร้องให้ตอลิบานเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงได้ทำมาหากินบ้าง เพราะผู้หญิงก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอัฟกันเหมือนกับผู้ชาย

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ยึดอำนาจและตั้งตนขึ้นเป็นรัฐบาลในเดือนสิงหาคม 2021 รัฐบาลตอลิบานได้สั่งห้ามเด็กหญิงและสตรีไปโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ห้ามไปสวนสาธารณะ สวนสนุก สถานออกกำลังกาย และสั่งให้ต้องปกปิดร่างกายเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ รวมถึงต้องมีผู้ชายที่เป็นคนในครอบครัวอยู่ด้วยหากต้องเดินทางไกล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top