Monday, 19 May 2025
NewsFeed

ความจริงเรื่อง 'ค่าไฟฟ้า' ความถูก-แพง ที่ทำ 'ก.พลังงาน' กลุ้ม ผลพวงจากทิศทางโลก ผสมโรงบิ๊กเอกชนผูกขาดก๊าซธรรมชาติ

ปัญหาด้านสาธารณูปโภคที่เรื้อรังมายาวนานและกลายเป็นประเด็นที่บรรดานักกิจกรรมทางการเมือง นักร้อง นักเคลื่อนไหว นักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ ตลอดจนเหล่ามนุษย์ผู้หิวโหยหาแสงทั้งหลาย มักจะหยิบยกขึ้นมาเป็นประจำก็คือ 'ปัญหาราคาค่าไฟฟ้า'

แน่นอน 'ค่าไฟฟ้าแพง' เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ตามมาเป็นรัฐบาล แต่เรื่องราวที่ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ หลงลืม หรือไม่ได้ใส่ใจ ก็คือ รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่ได้เป็นผู้กำหนดทั้งอัตราค่าไฟฟ้าหลัก (ค่าไฟฟ้าฐาน ซึ่งไม่ได้ปรับเปลี่ยนมาแล้วหลายปี) และ อัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft : ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ) ค่า Ft ถูกกำหนดไว้เพื่อให้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงต้นทุนที่อยู่ในค่าไฟฟ้าฐานที่อยู่เหนือการควบคุมของการไฟฟ้า คือค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐที่เปลี่ยนแปลงไปจากต้นทุนคงที่ซึ่งคำนวณไว้ในค่าไฟฟ้าฐาน โดยมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ทำหน้าที่กำกับดูแล

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. อันเป็นคณะบุคคลจำนวน 7 คน (ประธานฯ 1 คน กรรมการ 6 คน ซึ่งได้รับการคัดสรรและได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง) ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน อันหมายถึง กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการระบบโครงข่ายพลังงาน ดังนั้นการพิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราค่าไฟฟ้า จึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานที่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการทำให้ราคาต้นทุนพลังงานที่นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าลดลงให้มากที่สุด เพื่อให้สามารถลดค่า Ft ลงอันจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนคนไทยได้

แต่เริ่มเดิมทีไทยเราผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือ พลังงานน้ำ เมื่อบ้านเมืองมีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า กอปรกับพลังงานถ่านหินที่มีอยู่ก็ลดน้อยลงไปตามการใช้งาน อีกทั้งยังก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ นอกจากนั้นแล้วการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าก็ถูกคัดค้านโดย NGO และบรรดานักอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งหลาย เพราะความเจริญก้าวหน้าของประเทศนำมาซึ่งความต้องการในการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซจึงเป็นกระบวนการหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในเวลาต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันทุกวันนี้

ปัจจุบันก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยมาจาก 3 แหล่ง คือ...

- ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 
- ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา 
- ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าด้วยสัญญาระยะยาวและ LNG Spot

โดยที่ผ่านมาผู้ที่ผูกขาดจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติเพียงเจ้าเดียวของไทยก็คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และปัจจุบันยังคงผูกขาดก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยและเมียนมา ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าด้วยสัญญาระยะยาวและ LNG Spot นั้น ปี พ.ศ. 2567 กกพ.พึ่งจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าสามารถนำเข้าเองได้เป็นปีแรก

ในปัจจุบันราคาซื้อขาย LNG จะแตกต่างกันตามภูมิภาค ทั้งยังมีโครงสร้างราคาที่ต่างกัน ได้แก่...

- ตลาดภูมิภาคอเมริกาเหนือ จะใช้ดัชนีราคา Henry Hub (HH) 
- ตลาดภูมิภาคยุโรป แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่ใช้ดัชนีราคา National Balancing Point (NBP) และประเภทที่ใช้ดัชนีราคา Title Transfer Facility (TTF)
- ตลาดภูมิภาคเอเชีย จะใช้ดัชนีราคา Japanese Crude Cocktail (JCC) 

นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งรูปแบบการซื้อขายออกเป็น 2 รูปแบบ คือ...

- Spot คือการซื้อ-ขาย LNG ที่มีการส่งมอบเป็นรายเที่ยวเรือ เป็นไปตามราคาตลาดในช่วงเวลานั้นๆ 
- Term Contract คือ การซื้อ-ขาย ที่มีการส่งมอบสินค้าอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่แน่นอน โดยจะคำนวณตามสูตรราคาอ้างอิงกับดัชนีราคาน้ำมันหรือราคาก๊าซฯ ตามข้อตกลงในสัญญาซื้อ-ขาย

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับราคา LNG ในปัจจุบันก็คือ ยุโรปยกเลิกการสั่งซื้อ LNG จากรัสเซียอันเนื่องมาจากการคว่ำบาตรรัสเซียที่ทำสงครามกับยูเครน ทำให้ต้องนำเข้า LNG จากแหล่งอื่นๆ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและแอฟริกา ราคา LNG จึงมีราคาเพิ่มขึ้น อีกทั้งการนำเข้า LNG มีต้นทุนค่าขนส่งและคลังจัดเก็บ ตลอดจนค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขาย LNG กอปรกับแหล่งก๊าซของ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ไม่ว่าจะเป็นอ่าวไทยหรือเมียนมามีปริมาณการผลิตที่ลดลง เรื่องเหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อการคำนวณพิจารณาค่า Ft ซึ่งต้องนำราคา LNG ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมานั้นไม่ว่ารัฐบาลจากพรรคไหนก็ตาม จึงไม่สามารถกำหนดราคาค่าไฟฟ้าได้ตามอำเภอใจ เพราะเป็นบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายของกกพ. แม้ว่าปัจจุบันภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะพยายามส่งเสริมการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานทางเลือก (Alternative energy) ไม่ว่าจะเป็นพลังงานธรรมชาติเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม หรือพลังงานน้ำ หรือพลังงานจากชีวมวล ฯลฯ ก็ตาม ต้องมีการจ่ายค่า Adder (ค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มโดยบวกเพิ่มจากอัตราค่าไฟฟ้าปกติเป็นระยะเวลา 7 หรือ 10 ปี ตามประเภทของโรงไฟฟ้า) ในอดีต และปัจจุบันจ่ายค่า  FiT (Feed-in-Tariff) อันเนื่องมาจากแม้จะไม่มีต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิง แต่จะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของพลังจากธรรมชาติ และความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิงในกรณีพลังงานจากชีวมวล 

นอกจากนั้นแล้วไทยยังต้องมีการ 'สำรองไฟฟ้า' เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย หากเกิดเหตุฉุกเฉินจึงต้องมีการสำรองไฟฟ้าให้เพียงพอ https://thestatestimes.com/post/2023042021 และ https://thestatestimes.com/post/2023042443 

ดังนั้นราคาค่าไฟฟ้าที่กกพ.กำหนด จึงเป็นไปตามบริบทที่แท้จริงตามสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีการคำนวณค่า Ft หากไม่เช่นนั้นแล้วเหล่าบรรดานักกิจกรรมทางการเมือง นักร้อง นักเคลื่อนไหว นักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ ตลอดจนเหล่ามนุษย์ผู้หิวโหยหาแสงทั้งหลาย ยังไม่มีใครกล้านำข้อมูลที่นำมาสร้างเป็นกระแส 'ค่าไฟฟ้าแพง' ฟ้องร้องดำเนินคดีกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.เลยจนถึงทุกวันนี้

ผบ.ทร.สิงคโปร์ เยี่ยมชม นย. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกองทัพเรือ

เมื่อวันที่ 13 มี.ค.67 พลเรือตรี อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (รอง ผบ.นย.) ผู้แทน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับ พลเรือตรี Sean Wat ผู้บัญชาการทหารเรือสิงคโปร์ (ผบ.ทร.สิงคโปร์) และคณะฯ เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 22-15 มี.ค.67 ในฐานะแขกของกองทัพเรือ โดยเข้า วางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน รับชมวิดีทัศน์ และรับฟังการบรรยายสรุปถึง ภารกิจของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี บรรยากาศ เป็นด้วยความแน่นแฟ้น อบอุ่นและเป็นกันเอง 

สำหรับ กองทัพเรือไทย และกองทัพเรือสิงคโปร์ มีความสัมพันธ์ อันดีต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพเรือไทย ได้จัดเรือเและกำลังพล เข้าร่วมทำการฝึกร่วมผสม ภายใต้ระหัสชื่อ 'SINGSIAM' ณ ประเทศสิงคโปร์ มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา 

‘กาสิโนในไทย’ แรงเสริมภาคการท่องเที่ยว ในวันที่จุดขายทางธรรมชาติ เริ่มสึกกร่อน

ทีมข่าว THE STATES TIMES  ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'กาสิโนในไทย ถึงเวลารึยัง?' เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

อบายมุขกับการท่องเที่ยวอาจเป็นของคู่กัน มีการศึกษาของหลายสำนักระบุว่าธุรกิจการพนันมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่รายได้ทางตรงจากการเล่นการพนันเท่านั้น แต่ผลประโยชน์ยังได้กระจายไปยังธุรกิจต่อเนื่องต่างๆ ได้แก่ โรงแรม, ร้านอาหาร, ห้างสรรพสินค้า, การจัดประชุมและนิทรรศการ ทั้งในระดับประเทศ ระดับท้องถิ่น และระดับรากหญ้า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเล่นการพนันและพักผ่อนหย่อนใจในสถานบันเทิงต่างๆ เป็นนักท่องเที่ยวรายได้สูงและใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป 

หลายประเทศ/เมืองประสบความสําเร็จจากการใช้ธุรกิจการพนันเป็นเครื่องดึงดูดนักท่องเที่ยว ลาสเวกัส น่าจะเป็นเมืองแห่งการพนันและบันเทิงเมืองแรกๆ ของโลกที่ประสบความสําเร็จมาอย่างยาวนาน แม้จะตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลทรายในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันลาสเวกัสได้กลายเป็นเมืองร่ำรวยที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาปีละกว่า 40 ล้านคน ลาสเวกัสยังเป็นโมเดลที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยึดถือเป็นแบบอย่างในการพัฒนาธุรกิจการพนันและบันเทิงแบบครบวงจร

มาเก๊าเป็นเมืองการพนันอีกเมืองหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และในบางช่วงเวลาได้สร้างรายได้การท่องเที่ยวได้มากกว่าลาสเวกัสเสียอีก เนื่องจากมาเก๊าเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและเป็นที่เดียวที่รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีกาสิโนถูกกฎหมาย จึงมีคนจีนเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจที่มาเก๊าเป็นจำนวนมาก

สิงคโปร์และญี่ปุ่นเป็นอีก 2 ประเทศที่เล็งเห็นประโยชน์จากการเปิดให้มีกาสิโนถูกกฎหมาย หลังจากเปิดได้เพียงไม่กี่ปี Marina Bay ได้กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดและสร้างรายได้มหาศาลของสิงคโปร์ ขณะที่ญี่ปุ่นก็เพิ่งจะอนุญาตให้จัดตั้งกาสิโนเป็นครั้งแรกที่เมืองโอซากา กำหนดเปิดดำเนินการได้ในอีก 5-6 ปีข้างหน้า เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งสองประเทศเป็นประเทศที่มีความอนุรักษ์นิยมไม่ยิ่งหย่อนกว่าไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่เติบโตด้วยภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก วันนี้แม้ว่าการท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาหลังจากวิกฤตโควิด แต่ก็ยังไม่สามารถกลับสู่ระดับเดิมก่อนโควิดได้ การท่องเที่ยวของไทยพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ชายหาด, เกาะแก่ง, อุทยาน เป็นต้น นับวันแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเหล่านี้ก็จะสึกหรอไปจากความแออัดของนักท่องเที่ยว การลงทุนเพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made Attractions แม้ว่าจะมีอยู่บ้าง แต่ก็น้อยเต็มทีและต้องถือว่ายังไม่เป็นระดับโลก

จึงเป็นที่น่ายินดีที่ขณะนี้มีการผลักดันเรื่องการจัดตั้งกาสิโนถูกกฎหมายและสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งจากการศึกษาของหลายสำนัก รวมทั้งรัฐสภาและกระทรวงการคลัง พบว่ามีความเป็นไปได้และน่าจะมีประโยชน์มากกว่าผลเสีย แต่มีประเด็นสำคัญต่างๆ ที่ฝ่ายนโยบายต้องคำนึงถึง อาทิเช่น การกำกับดูแล การจัดเก็บภาษี การเลือกที่ตั้งที่เหมาะสม การสร้างความเชื่อมโยงกับ Soft Power ของไทย ผลกระทบทางสังคม เป็นต้น ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้เป็นข้อห่วงใยที่เป็นประโยชน์และจำเป็นต้องเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ

เรื่องสำคัญที่อาจจะยังไม่มีการพูดถึง คือ เรื่องของตลาดและเทคโนโลยี หากกาสิโนที่จะมีการจัดตั้งขึ้นมุ่งเน้นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งก็คงจะเป็นตลาดนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแข่งขันกับกาสิโนอื่นในภูมิภาค รวมทั้งมาเก๊าของจีน คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะขอให้รัฐบาลจีนส่งเสริมให้คนจีนขนเงินมาเล่นการพนันในประเทศไทยในภาวะที่จีนกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจและเงินทุนไหลออก ดังนั้นอาจจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันแบบ G to G กับทางจีนเป็นประการแรก  ส่วนเรื่องเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีออนไลน์และ AI ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจบันเทิงทุกประเภท ก็อาจทำให้กาสิโนที่จะมีขึ้นมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับเครือข่ายยานรก

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับเครือข่ายยานรก พบการลำเลียงลงภาคใต้จำนวนมาก  
คาดมาทดแทนยาเสพติดที่ถูกจับได้ก่อนหน้านี้ เบื้องต้นยึดยาบ้า ล้านเม็ด, ไอซ์ 150 กก., เฮโรอีน  
157 กก. และ คีตามีน 250 กก.  

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นให้เดินหน้าเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่และขยายผลการเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับ รวมทั้งสืบสวนขยายผลเพื่อยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติด รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ  

วันนี้ 14 มี.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร  
ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่าย 9 เครือข่าย ผู้ต้องหารวม 19 คน ตรวจยึดยาบ้ารวม 22 ล้านเม็ด, ไอซ์ 150 กก., เฮโรอีน 157 กก. และ คีตามีน 250 กก. พร้อมของกลางรถที่ใช้ก่อเหตุ 18 คัน  
  
คดีที่ 1 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ก.พ.67 ตำรวจ กก.3 ปส.2 ร่วมกับ บก.ขส. บช.ปส. จับกุมนายสมพงษ์ พร้อมยาบ้า 12 กระสอบ จำนวน 5 ล้านเม็ด จึงร่วมกันขยายผลและวิเคราะห์ข้อมูล พบเครือข่ายนี้มี นายสมพงษ์ และนายสุรพล ยังคงลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน อย่างต่อเนื่อง จนวันที่ 4 มี.ค.67 สายลับแจ้งว่า นายสุรพล  
กับพวก จะนำยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน จว.บึงกาฬ ไปส่งให้ลูกค้าในเขต กทม. โดยใช้รถยนต์กระทั่งช่วงค่ำของวันเดียวกัน พบรถยนต์เป้าหมาย วิ่งเกาะกันเป็นขบวน บนถนนหมายเลข 212 (ถนนชยางกูร) ในพื้นที่ อ.บุ่งคล้า-อ.บึงโขงหลง จว.บึงกาฬ ต่อเนื่อง จว.นครพนม - จว.สกลนคร -จว.กาฬสินธุ์และ จว.มหาสารคาม เมื่อถึงสี่แยกไฟแดงบายพาสกาฬสินธุ์ (ชุมชนทุ่งศรีเมืองกลาง) ต.เหนือ อ.เมือง จว.กาฬสินธุ์ ชุดจับกุมจึงสกัดจับ พร้อมแสดงตัวขอตรวจสอบรถยนต์ ทั้ง 3  
คัน คือ รถยนต์HONDA ACCORD หมายเลขทะเบียน กย 67xx กาญจนบุรี พบนายสุนัน เป็นผู้ขับขี่ ตรวจสอบไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ส่วนรถยนต์ HONDA CITY หมายเลขทะเบียน 4กล57xx กทม. และรถยนต์ TOYOTA VIOS หมายเลขทะเบียนกธ 26xx สระแก้ว ผู้ขับขี่พยายามขับหลบหนีมุ่งหน้า จว.มหาสารคาม ก่อนที่ทะเบียน สระแก้ว ถูกนำไปจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดโรงพยาบาลจังหวัดมหาสารคาม ส่วนคนขับ วิ่งขึ้นรถอีกคันเพื่อหลบหนีเมื่อขับมาได้ระยะหนึ่งจึงจอดรถทิ้ง และวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ทั้งนี้ ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนขับรถทั้ง 2 คัน คือ นายขจรเกียรติ์ ได้บริเวณสถานีขนส่งจังหวัดมหาสารคาม ส่วน นายสุรพล ถูกควบคุมตัวได้บริเวณริมถนนวรบุตร ใน อ.เมือง จว.มหาสารคาม ก่อนจะนำทั้งสองมาที่จุดทิ้งรถเพื่อตรวจค้น เบื้องต้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จากนั้นคุมตัวทั้ง 3 คน มาตรวจค้นรถที่ถูกจอดบริเวณลานจอดโรงพยาบาล จังหวัดมหาสารคาม พบกระสอบต้องสงสัยวางอยู่เบาะหลังภายในห้องโดยสาร 2 กระสอบ และท้ายกระโปรงรถ 2 กระสอบ ตรวจสอบเป็นยาบ้าประมาณ 1,500,000 เม็ด นอกจากนี้ยังพบเฮโรอีน 20 แท่ง น้ำหนัก 7 กิโลกรัม  

คดีที่ 2 จากการสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูลของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 พบเครือข่ายยาเสพติดมีพฤติการณ์ลักลอบ ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน เพื่อส่งต่อในพื้นที่ตอนในของ จว.เชียงใหม่ โดยใช้รถกระบะสีเทาลำเลียง และมักนำยาเสพติดอำพรางมากับพืชผลทางการเกษตรอยู่อย่างต่อเนื่อง กระทั่งช่วงสายของวันที่ 5 มี.ค.2567 ชุดจับกุม ตรวจสอบพบรถเป้าหมายเป็นรถกระบะติดคอกเหล็ก หมายเลขทะเบียน ยน-79xx เชียงใหม่ ขับมุ่งหน้าไปยัง อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ จึงติดตามและสกัดจับไว้ได้บริเวณโรงเรียนสบเปิงวิทยา ต.สบเปิง อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ มี นายอรรถพล เป็นคนขับรถ ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะมีกระสอบต้องสงสัยถูกวางอยู่จำนวน 30 กระสอบ ตรวจสอบเป็นยาบ้า รวม 6,000,000 เม็ด เบื้องต้น จับกุม นายอรรถพล พร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย.  
คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 1 มี.ค.67 เวลา 15.00 น. ตำรวจ บก.ปส.4 ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร สนธิกำลังตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนเพชรเกษม หน้าด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ขณะปฏิบัติหน้าที่ พบรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว หมายเลข ทะเบียน 3 ฒน 1xxx กทม. เป็นรถยนต์ที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวังขับผ่านมา ชุดจับกุมจึงเรียกให้หยุด เพื่อตรวจสอบ พบ นายปราการ เป็นผู้ขับขี่ จากนั้นตำรวจจึงนำรถเข้าเครื่องเอกซเรย์พบวัตถุมีลักษณะเป็นก้อน ๆ บริเวณกระบะท้าย จึงตรวจค้น อย่างละเอียดพบยาบ้า 6 แสนเม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังกระบะท้ายโดยมีผ้าใบสีดำคลุมปิดทับไว้สอบสวน นายปราการ สารภาพว่าถูกว่าจ้างจาก นายเป้ ให้ลำเลียงยาบ้าจำนวนนี้มาจาก อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานีไปส่งลูกค้าใน อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา  

คดีที่ 4 สืบเนื่องจากการจับกุมไอซ์ 1,000 กก. ที่ผ่านมา ตำรวจ บก.ปส.4 ได้สืบสวนขยายผล จนพบเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายนี้ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลที่ใช้รถกระบะ ISZUSU สีเทา หมายเลขทะเบียน ผพ – 2xx สงขลา และรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผค-6xxx สงขลา ตำรวจจึงได้เฝ้าระวัง กระทั่งวันที่ 9 มี.ค.67 เวลา 17.30 น .  พบความเคลื่อนไหวของรถทั้ง 2 คัน เคลื่อนตัวจากภาคใต้ไปยังพื้นที่ภาคกลาง และขับกลับเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมรถยนต์ อีก 1 คัน ในลักษณะขับนำหน้าและขับตามกัน ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวงพัทลุง ตั้งจุดตรวจบริเวณหน่วยบริการ ประชาชน เมื่อรถต้องสงสัยขับผ่านมา จึงเรียกเพื่อทำการตรวจค้น พบ น.ส.ปรียานุช เป็นผู้ขับขี่ เบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ต่อมารถกระบะลักษณะตีคอกสูง หมายเลขทะเบียน ผค-6xxx สงขลา ขับมาถึงจุดตรวจ พบนายธวัชชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นพบเฮโรอีน น้ำหนัก 150 กก. และ คีตามีน น้ำหนัก 250 กก. ถูกซุกซ่อนอำพรางมากับพืชผลทางการเกษตร สอบสวนสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างให้ลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดนี้มาจาก จว.อ่างทอง ไปส่งยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วน น.ส.ปรียานุช รับว่า ได้ขับรถนำทางมาเพื่อสำรวจเส้นทางล่วงหน้า

คดีที่ 5 ก่อนการจับกุม ตำรวจ บก.สกส. ได้รับแจ้งมีเครือข่ายจะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลาง ไปส่งลูกค้าในภาคใต้ โดยจะใช้รถยนต์ 2 คัน กระทั่งวันที่ 29 ก.พ.67 ช่วงเที่ยงต่อเนื่องถึงเย็น พบความเคลื่อนไหวของรถยนต์เป้าหมาย จึงจัดกำลังสะกดรอยติดตาม จนสามารถจับกุม นายมนตรีพร้อมรถยนต์หมายเลขทะเบียน กน 50xx ประจวบคีรีขันธ์ ตรวจสอบ พบยาบ้าจำนวน 100 แพ็ค รวม 1,000,000 เม็ด ได้ที่บริเวณถนนเอเชีย หมายเลข 41 กม. ต.นาขา อ.หลังสวน จว.ชุมพร ส่วน นายปฐม และ นายสุวรรณ ได้ที่บ้านเลขที่ 245 หมู่ที่ 5 ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จว.ประจวบคีรีขันธ์  
พร้อมรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 18xx ประจวบคีรีขันธ์ที่ทำหน้าที่สำรวจด่านตรวจ 

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 67 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ปส.4, บก.ขส.บช.ปส., ภ.จว.สุพรรณบุรี และ บก.ทล. จับกุม 2 ผู้ต้องหา สืบเนื่องจากตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. รับแจ้งจากสายลับว่ากลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อนำมาส่งลูกค้าที่ จว.สุพรรณบุรีจะใช้รถกระบะ และ รถยนต์ ลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่าน จว.สกลนคร - อ.ภูพาน - จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคราม - จว.ขอนแก่น - วิ่งเส้นถนนมิตรภาพเจ้าหน้าที่จึงเฝ้าระวังและติดตามรถเป้าหมายทั้ง 2 คัน กระทั่งวันที่ 2 มี.ค.67 พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มรถยนต์จึงจัดกำลัง 
สะกดรอยติดตาม แต่ผู้ต้องหารู้ตัวจึงทิ้งรถและแยกย้ายกันหลบหนี พบรถกระบะติดหลังคาแครี่บอย หมายเลขทะเบียน 2 ฒช  16xx กทม. ได้หน้าบ้าน เลขที่ 99/9 หมู่ 2 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จว.สุพรรณบุรีพบกระสอบต้องสงสัย 6 กระสอบ ตรวจสอบภายในเป็นยาบ้ารวม 2,400,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่หลังกระบะ ต่อมาจับกุม นายเกรียงศักดิ์ได้บริเวณ 4 แยกกำนันดิเรก ตำบล 
บ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จว.พระนครศรีอยุธยา พร้อมรถยนต์ Honda หมายเลขทะเบียน ฆบ 69xx กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสำรวจเส้นทาง ก่อนจะจับ    กุม นายพชร ได้ริมถนนพหลโยธิน (ขาเข้า) หน้าค่ายอดิศร ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จว.สระบุรี  

คดีที่ 7 วันที่ 2 มี.ค. 67 ตำรวจ บก.สกส., ภ.จว.ตาก , ภ.จว.ลำปาง และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันจับกุม 2 ผู้ต้องหาสาว สืบเนื่องจากตำรวจ บก.สกส. รับแจ้งว่ากลุ่มบุคคลมีพฤติการณ์ลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ มาส่งให้ลูกค้า ในพื้นที่ จว.ตาก โดยใช้รถยนต์ กท 14xx พะเยา กระทั่งวันเกิดเหตุพบรถเป้าหมายขับมุ่งหน้า จว.ตาก ชุดจับกุมจึง ประสานงานกับตำรวจ สภ.วังประจบ ภ.จว.ตาก เพื่อเรียกตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าวบริเวณด่านตรวจ พบ น.ส.ทักษอร เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.สุมาลี ผาด่าน เป็นผู้โดยสาร สอบถามพบพฤติการณ์น่าสงสัย จึงเชิญตัวและนำรถยนต์ไปที่ด่านตรวจ  
ยาเสพติดแม่พริก เพื่อ X-Ray พบวัตถุต้องสงสัย เมื่อเปิดตรวจสอบดูพบเป็นยาบ้า 211 มัด รวม 422,000 เม็ด ซุกซ่อนในช่องลับที่ถูกดัดแปลงใต้ช่องเก็บของท้ายรถยนต์  
คดีที่ 8 สืบเนื่องจาก บก.สกส. ได้รับแจ้งว่ามี นายนพดล เครือข่ายยาเสพติดยังมีพฤติการณ์เคลื่อนไหวรับจ้างขนลำเลียงยาเสพติดอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ทราบว่าจะลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จว.เชียงรายไปส่งให้กับลูกค้า ในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล กระทั่งวันที่ 6 มี.ค.67 ได้รับแจ้งว่า นายนพดล จะใช้รถตู้และ รถยนต์ในการลำเลียง จึงสะกดรอยติดตาม พบรถตู้หมายเลขทะเบียน นจ 41xx กทม เข้าเติมน้ำมันที่ปั๊มในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ชุดจับกุม 
จึงเข้าควบคุมตัว นายนพดล คนขับรถ และมี น.ส.สิรีธร โดยสารมาด้วย หลังจากซักถามทั้ง 2 คน ให้การไม่ตรงกับเส้นทางที่เดินทางมา จึงเชิญตัวและนำรถยนต์เข้าเครื่องเอกซเรย์ ที่ด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี ผลการตรวจสอบ พบไอซ์ จำนวน150 ห่อ ถูกซุกซ่อนอยู่ในรถตู้ รวม 150 กก. จากนั้นได้ขยายผลจับกุม นายวัชรพล ซึ่งทำหน้าที่รับช่วงต่อจากนายนพดลฯ เพื่อนำยาเสพติดไปส่ง ได้ที่ลานจอดรถห้างโลตัส สาขาศรีนครินทร์อ.เมือง จว.สมุทรปราการ 

คดีที่ 9 ตำรวจ บก.สกส., บก.ปส.3, บก.ขส.บช.ปส., ป.ป.ส.และ บก.ทล. ร่วมจับกุม 2 สามีภรรยาลำเลียงยาเสพติด หลัง บก.สกส. ได้รับแจ้งว่ามี นายอดิสรณ์, นางกันยา 2 สามีภรรยา พร้อมพวก จะใช้รถบรรทุกเสริมข้าง พร้อมลูกพ่วง, รถยนต์ 3 คัน และ รถกระบะ 1 คัน เพื่อลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก อ.ภูซาง จว.พะเยา จึงจัดกำลังเฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 11 มี.ค.67 ระหว่างที่รถยนต์ หมายเลขทะเบียน กต 41xx พะเยา ซึ่งเป็นรถนำเส้นทาง มีนางกันยา เป็นคนขับ มาถึงด่านตรวจยาเสพ
ติดพยุหะคีรีขณะเดียวกันรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 71 24xx เชียงใหม่ มีนายอดิศรณ์ เป็นคนขับก็ได้แวะจอดที่ปั๊มน้ำมัน อย่างมีนัยยะ ตำรวจจึงเข้าตรวจสอบและนำรถเข้าเครื่องเอกซเรย์ที่ด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี พบยาบ้า 50 กระสอบ รวม 10,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในกระบะของลูกพ่วง ของรถบรรทุกดังกล่าว  
  
ทั้งนี้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 12 มีนาคม 2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)  
สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญได้ 126 คดี ผู้ต้องหา 219 คน ของกลางเป็นยาบ้า 166,697,573 เม็ด, ไอซ์ 4,296 กก. เฮโรอีน 250 กก. คีตามีน 1,451 กก. และ ยาอี 498 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่าประมาณ 709

‘Volkswagen’ พ่าย 'BYD' รถยนต์ขายดีในจีน แต่ยังครองแชมป์ 'แบรนด์รถยนต์ต่างชาติ’ ยอดนิยม

แม้ว่าปี 2023 ที่ผ่านมาจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ Volkswagen ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนแล้วก็ตาม และยังต้องสูญเสียตำแหน่งนี้ให้กับ BYD แบรนด์รถยนต์ของจีนเอง แต่ Volkswagen ก็ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับหนึ่งของจีน โดยยอดขายทิ้งห่าง Toyota แบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับสองถึงกว่า 500,000 คัน และหากรวมเอายอดขายของ Audi แบรนด์รถยนต์ต่างชาติในเครือของ Volkswagen แล้วยอดขายของสองแบรนด์รถยนต์จะพุ่งขึ้นเฉียดสามล้านคัน ยังไม่รวมแบรนด์รถยนต์อื่น ๆ ภายใต้ Volkswagen Group China อันได้แก่ Škoda , Bentley และ Lamborghini ซึ่งจะทำให้ยอดขายโดยรวมมากกว่าสามล้านคันเลยทีเดียว

28 มีนาคม 1937 'Gesellschaft zur Vorbereitung des Deutschen Volkswagens GmbH' ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนี ต่อมาในวันที่ 16 กันยายน 1938 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'Volkswagenwerk GmbH' ปัจจุบัน Volkswagen เป็นบริษัทรถยนต์นานาชาติรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งผลิตและจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลก บริษัทเยอรมันแห่งนี้เป็นเจ้าของรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกหลายยี่ห้อ เช่น Audi, Skoda, Lamborghini, Bentley, Porsche, Bugatti, Seat และ Scania

ในจีน Volkswagen ดำเนินการภายใต้บริษัท Volkswagen Group China โดยตลาดรถยนต์จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Volkswagen โดยคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั่วโลกของ Volkswagen การดำเนินงานของ Volkswagen ในประเทศจีน ได้แก่ การผลิต การขาย และการบริการรถยนต์ทั้งคัน ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง และ จำหน่ายและบริการรถยนต์นำเข้า ยานพาหนะที่ผลิตในประเทศและนำเข้าของบริษัทจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศจีน โดย Volkswagen Group China เป็นบริษัทร่วมทุนระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน บริษัทเริ่มเข้ามาบุกเบิกในจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี 1978 และเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ของจีนมายาวนานหลายทศวรรษ จีนเป็นตลาดเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Volkswagen 

การเข้าสู่ประเทศจีนของ Volkswagen เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 1985 เมื่อก่อตั้ง Shanghai Volkswagen โรงงานแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ เป็นบริษัทร่วมทุน โดยจีนและเยอรมนีต่างถือครองเงินลงทุนเริ่มแรกฝ่ายละครึ่ง ปัจจุบันเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ภายใต้แบรนด์หลักสองแบรนด์ Volkswagen และ Skoda ครอบคลุม ตลาด A0, A, B และ SUV แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทผลิตรถยนต์ต่างประเทศรายอื่น อาทิ Santana Motor บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติสเปน และแน่นอนในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับคู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ท้องถิ่น เช่น BYD (ซึ่งสามารถแซงหน้า Volkswagen ได้แล้ว) Geely หรือ Changan ฯลฯ

แม้ว่าตลาดรถยนต์ของจีนอยู่ในช่วงการเติบโตที่ลดลง สืบเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง และกำลังเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตที่สูงของตลาดรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2017 ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างรวดเร็วในจีน โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 27% ส่วนแบ่งของ SUV ในตลาดจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ SUV รุ่น Teramont และ Phideon ของ Volkswagen สะท้อนถึงแนวโน้มสำคัญในตลาดรถยนต์จีน Teramont ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ SUV ปัจจุบันรถยนต์จดทะเบียนใหม่ในจีนประมาณ 40% เป็นรถยนต์ SUV และตัวเลขดังกล่าวก็กำลังเพิ่มขึ้น เฉพาะแบรนด์ Volkswagen เพียงแบรนด์เดียวก็มีรถยนต์ SUV มากกว่า 10 รุ่นในตลาด SUV ภายในสิ้นปี 2020 ในปี 2018 มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น Tharu, Tayron, Touareg และ T-Roc ในปี 2564 Volkswagen ได้ลงทุนมากกว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มรถ SUV ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้

ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำเทรนด์ของโลกและเป็นตลาดด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 ของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกในปี 2018 และมียอดขายรถยนต์โดยสารระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าประมาณหนึ่งล้านคันในจีน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2019 รัฐบาลจีนให้ความสนใจอย่างมากต่อรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในปี 2020 ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยของยานพาหนะอยู่ที่ 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เพื่อพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาลจีนจึงกำหนดโควตารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้บริษัทผู้ผลิตในจีนที่ขายรถยนต์มากกว่า 30,000 คันในจีนต้องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 10% 

Volkswagen กับตลาดรถยนต์สีเขียวของจีน โดย Volkswagen Anhui (ชื่อเดิม JAC-Volkswagen) เป็นการร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ระหว่าง JAC Motors กับ Volkswagen ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเหอเฟย มณฑลอานฮุย โดยเริ่มแรกเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ แบรนด์ SEAT และต่อมาคือแบรนด์ Sehol ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Volkswagen Anhui หลังจากที่ Volkswagen เข้าถือหุ้นใหญ่ (75%) ในบริษัทในปี 2020 พร้อมกับถือหุ้น 50% ใน JAG (บริษัทแม่ของ JAC) ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของในข้อตกลงมูลค่าหนึ่งพันล้านยูโร บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา e-Mobility ที่จะให้บริการแก่ Volkswagen Group ทั้งหมดในประเทศจีน Volkswagen กำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม MEB ของ Volkswagenโดยมีกำลังการผลิต 350,000 คันต่อปีภายใต้บริษัท ควบคู่ไปกับโรงงานระบบแบตเตอรี่ภายใต้บริษัท VW Anhui Components ที่ถือหุ้นทั้งหมด 

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนเพิ่มอีก 23.1 พันล้านหยวน (3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ใน Volkswagen Anhui ซึ่งประกอบด้วย 14.1 พันล้านหยวนสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนา และเกือบ 9.1 พันล้านหยวนในระยะแรกของฐานการผลิตในเหอเฟย ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโร (1.1 พันล้านดอลลาร์) ในศูนย์กลางแห่งใหม่ของจีนที่เรียกว่า 100% TechCo เพื่อการพัฒนา นวัตกรรม และการจัดหารถยนต์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออย่างเต็มรูปแบบ โรงงานดังกล่าวจะตั้งอยู่ในเมืองเหอเฟย ใกล้กับ Volkswagen Anhui ด้วยจำนวนพนักงาน 2,000 คน โดย Volkswagen มีแผนที่จะผสานการวิจัยและพัฒนายานยนต์และส่วนประกอบเข้ากับการจัดซื้อ ซึ่งจะทำให้วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่สั้นลงประมาณ 30% คาดว่าจะ "มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโมเดลแบรนด์ Volkswagen ในอนาคตที่จะเปิดตัวในปี 2567

หลายสิบปีมาแล้วที่ Volkswagen เป็นรถ Taxi ยอดนิยมในจีน

กลับมาดูบ้านเราแม้จะเป็นฐานการผลิตของรถยนต์มากมายหลายแบรนด์ทั้งค่ายตะวันตกและตะวันออก ทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศรองรับเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มรถยนต์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากพลังงานสันปดาบมาเป็นพลังไฟฟ้าแล้ว แต่จนทุกวันนี้บ้านเราก็ยังไม่มีวี่แววที่จะได้เห็นแบรนด์รถยนต์แห่งชาติเลย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าที่สุดแล้วจะมีนักลงทุนชาวไทยได้คิดที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบรนด์ไทยให้ได้ใช้กันในอนาคต
 

‘ทหารพรานปัตตานี’ แลกกระสุนเดือด!! กับ ‘ผู้ก่อความไม่สงบ’ หลังเจรจาไม่เป็นผล สุดท้ายตัดสินใจวิสามัญคนร้ายไป 2 ศพ

(14 มี.ค.67) พ.อ.สฐิรพงษ์ อาจหาญ ผู้บังคับกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.อ.ภาคภูมิ จันทรักษ์ ผบ.ทพ.44 นำกำลังร่วมกว่า 50 นาย เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านเช่า หมู่ 1 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ตั้งอยู่ริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาส เนื่องจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่ามีบุคคลตามหมายจับคดีความมั่นคงเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านเช่าดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่า น่าจะเป็นกลุ่มของ นายอับดุลเลาะ มูดอ และ นายหมัดไซฟูดดีน ลอแม่ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับหลายหมาย เจ้าหน้าที่จึงส่งติดตามหาความเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงกลางดึกเมื่อคืนนี้

ซึ่งเมื่อถึงช่วงเช้า เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังไปสมทบ ไปถึงได้ทำการปิดถนนสายดังกล่าวทันที เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุปะทะและประชาชนจะได้รับอันตราย เจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่าเป็นบ้านเช่าห้องแถวชั้นเดียวติดกัน 8 ห้อง บ้านต้องสงสัยเป็นห้องแรกเจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมพร้อมได้เรียกบุคคลภายในบ้านออกมา กระทั่งมีคนตะโกนออกมาจากบ้านก่อนจะเดินออกมา เจ้าหน้าที่ได้สอบถามและทราบว่ามีอีก 2 คนที่ซ่อนตัวและไม่ยอมออกมา เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญผู้นำท้องที่มาเจรจาให้ออกมาแสดงตัว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

กระทั่งเวลา 07.00 น. เจ้าหน้าที่ยังคงใช้การเจรจาอย่างต่อเนื่องโดยการสลับผู้นำท้องที่และผู้นำศาสนาเพื่อหวังให้ผู้ต้องสงสัยมอบตัว ปรากฏว่าคนร้ายที่ซ่อนตัวในบ้านได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ที่พยายามปิดล้อมหน้าบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกระโดดหลบกระสุน เมื่อเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธ เจ้าหน้าที่จึงได้เพิ่มความระมัดระวังกันพื้นที่ให้ปลอดภัยพร้อมกับการเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่คนร้ายก็ยังคงยิงใส่และถูกเจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้

ต่อมาเวลา 07.30 น. เจ้าหน้าที่ได้ยิงแก๊สน้ำตา จำนวน 2 ลูก ก่อนจะบุกเข้าไปภายในบ้านเพื่อหวังยุติเหตุรุนแรง แต่ปรากฏว่าไม่พบตัวคนร้าย จึงได้รีบออกมาจากตัวบ้าน พร้อมกับวางแผนอีกครั้ง โดยเชื่อว่าคนร้ายน่าจะขึ้นไปหลบซ่อนตัวบนฝ่าใต้หลังคา จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการใช้เหล็กยาวกระทุ้งฝ่าหลังจากทำให้คนร้ายยิงสวนใส่เจ้าหน้าที่ จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว การปะทะเกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งหนึ่งในคนร้ายถูกกระสุนปืนตกลงมาที่พื้นเสียชีวิตหนึ่งราย โดยข้างศพมีอาวุธปืน ขนาด 38 จำนวน 1 กระบอก ส่วนคนร้ายที่เหลือยังคงหลบซ่อนตัว เจ้าหน้าที่ภายนอกยังคงเจรจาให้คนร้ายที่เหลือออกมามอบตัวเพื่อลดความสูญเสีย แต่คนร้ายไม่ฟังยังคงยิงต่อสู้และเกิดการปะทะกันสนั่นทำให้ฝ้าเพดานเปิดกว้างและเห็นตัวคนร้ายที่ใช้คานปูนเป็นกำบังทำให้ยากต่อการจับกุมและคนร้ายยังคงใช้อาวุธยิงสวนเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะถอยออกมา

จากนั้นเวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ใช้โดรนบินเข้าไปในบ้านเพื่อดูความเคลื่อนไหวของคนร้าย ก่อนจะเห็นตัวคนร้ายที่พยายามหนีไปอีกฝั่งของบ้านอีกหลังโดยการใช้คานปูนบังตัวไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้บุกเข้าไปอีกครั้งก่อนมีการยิงปะทะกันอีกระยะเกือบ 3 นาทีทำให้คนร้ายถูกยิงเสียชีวิตเป็นรายที่สองอยู่บริเวณคานใต้หลังคาด้านหลังบ้าน

จากการตรวจสอบคนร้ายที่เสียชีวิต เบื้องต้นทราบชื่อ นายฮัมดี สะลอ ผู้ต้องหาตามหมายจับ 1 หมาย และ นายราชิตร มะยูโซะ หมายจับ 2 หมาย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบอีกครั้งว่าใช่บุคคลทั้งสองหรือไม่

และจากการสอบถามบุคคลที่เช่าบ้าน ให้การว่า คนร้ายทั้งสองคนตนไม่รู้จัก แต่ทราบว่าได้ขอเช่าบ้านอีกหลัง อย่างไรก็ตาม จากรายงานข่าวเชื่อว่าคนร้ายที่เสียชีวิตพยายามเคลื่อนไหวในพื้นที่ในช่วงรอมฎอนคาดว่าจะมีการก่อเหตุร้ายในพื้นที่ แต่โชคดีชาวบ้านได้แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนและเข้าตรวจสอบ กระทั่งคนร้ายถูกวิสามัญเสียชีวิตดังกล่าว

‘จีน’ เตือน ‘สหรัฐ’ หลังตั้งกำแพงกดดันทุกทาง ชี้!! ผลลัพธ์ไม่สวย ซ้ำจะย้อนทำร้ายตัวเอง

ไม่นานมานี้ สหรัฐฯ ได้เพิ่มความพยายามในการต่อต้านและกดดันในหลาย ๆ ด้าน ตั้งแต่การของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการ ‘แข่งขันกับจีน’ และเพิ่มการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับไต้หวัน ไปจนถึงการพยายามชักชวนให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียให้เข้าสู่ข้อตกลง เพื่อการจำกัดการส่งออกด้านเทคโนโลยีให้กับจีน 

โดยทางจีนได้ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมระบุว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลเสียต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กระทั่งลามไปทั่วโลก

Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน

ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้งบประมาณของสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ถูกนำไปจัดสรรใช้เป็นทุนเพื่อ ‘เอาชนะจีน’ และติดอาวุธให้กับภูมิภาคไต้หวันของจีน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค.) Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ย้ำว่า การแข่งขันไม่ใช่ลักษณะที่แท้จริงของจีน ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และการแข่งขันระหว่างประเทศสำคัญ ๆ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จีนและสหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะ ‘เอาชนะจีน’ ไม่ใช่การแข่งขันที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่เป็นการแข่งขันที่เลวร้าย โดยสหรัฐฯ วางกับดักคู่แข่งไว้ทุกดอก Wang 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวเสริมว่า “มันกลายเป็นการพนันที่ไม่มีข้อจำกัด ซึ่งทำให้ผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนของทั้งสองประเทศและแม้แต่อนาคตของมนุษยชาติกลายเป็นเดิมพัน และมันจะผลักดันเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ไปสู่การเผชิญหน้าและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ”

คำของบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ประกอบด้วยเงินทุนบังคับจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์ในช่วงห้าปี เพื่อ ‘ใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เราจัดการเพื่อเอาชนะจีนให้ได้’ คำของบประมาณยังรวมถึง ‘คำขอเงินทุนครั้งแรก’ จำนวน 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มเติมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะมอบให้กับไต้หวัน 

รายงานของสื่อแห่งหนึ่งระบุ เมื่อวันอังคาร (12 มี.ค.) ว่า Wang ยังกล่าวถึงการคัดค้านอย่างแข็งขันของจีนต่อความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสหรัฐฯ และเกาะไต้หวัน และความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะติดอาวุธให้กับเกาะแห่งนี้ 

“เราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามหลักการจีนเดียว และหยุดแทรกแซงกิจการภายในของจีน จีนจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตนอย่างแน่วแน่และมั่นคง” เขากล่าว

Gina Raimondo รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ

นอกเหนือจากการของบประมาณแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้เพิ่มความพยายามที่เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการปราบปรามทางเทคโนโลยีต่อจีนให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ในขณะที่นำคณะผู้แทนธุรกิจของสหรัฐฯ ไปยังฟิลิปปินส์ Gina Raimondo รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ‘จะทำทุกวิถีทาง’ เพื่อปราบปรามความสามารถทางเทคโนโลยีของจีน 

ตามรายงานของ Bloomberg โดย Raimondo ได้ประกาศที่ฟิลิปปินส์ว่า บริษัทสหรัฐฯ เตรียมประกาศการลงทุนมูลค่ารวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในฟิลิปปินส์ ตามรายงานของ Reuters รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการขยายการค้าและการลงทุนในฟิลิปปินส์ยังขยายไปถึง ‘ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่ใหญ่กว่า’ อีกด้วย แม้ว่าเธอจะย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่ได้พยายามแตกแยกกับจีนก็ตาม

“ภยันตรายต่อโลก การมีส่วนร่วมของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแข่งขันประเทศใหญ่ เช่น จีน ซึ่งจะมีผลรวมเป็นศูนย์ นอกจากไม่เพียงที่เป็นการเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังดึงดูดประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกให้เข้าร่วมการเผชิญหน้าแบบกลุ่มมากขึ้น ในเวลาที่โลกต้องการความร่วมมือมากที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญชาวจีนตั้งข้อสังเกต 

นอกจากนี้ เพื่อเน้นย้ำการรณรงค์ที่เข้มข้นขึ้นของวอชิงตันเพื่อควบคุมจีนในการแข่งขันในประเทศใหญ่ ๆ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังผลักดันพันธมิตรของตน รวมถึงเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ให้เข้มงวดข้อจำกัดด้าน Chip คอมพิวเตอร์กับจีน และกำลังพิจารณาเพิ่มผู้ผลิต Chip ของจีนรายอื่น อาทิ ChangXin Memory Technologies Inc เข้าสู่รายการควบคุมตามที่ Bloomberg อ้าง 

ในขณะเดียวกัน สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกากำลังเร่งร่างกฎหมายที่จะบังคับให้บริษัท ByteDance ของจีนขาย TikTok ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยม หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ผู้เชี่ยวชาญของจีนกล่าวว่า เป็นการเคลื่อนไหวของวอชิงตันที่มีลักษณะเป็นการตีโพยตีพายอีกครั้งในการต่อต้านกดดันบริษัทจีน

Apple store ย่านใจกลางเมืองของนครเซี่ยงไฮ้

การต่อต้านและกดดันอย่างเข้มข้นของนักการเมืองสหรัฐฯ การรณรงค์เพื่อกดดันจีนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นภายในสหรัฐฯ รวมถึงการครอบงำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งประเทศนี้ไม่สามารถจัดการในลักษณะที่มีประสิทธิผลใด ๆ ได้ เนื่องจากการแบ่งพรรคแบ่งพวกและความผิดปกติของรัฐบาล ตามการระบุของนักวิเคราะห์ชาวจีน ที่สำคัญกว่านั้น ความพยายามดังกล่าวจะไม่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีน เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงบริษัทของสหรัฐฯ ที่ขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด ไม่ใช่การเมือง จะยังคงลงทุนและดำเนินการในตลาดจีนต่อไป 

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผู้บริหารธุรกิจสหรัฐฯ จำนวนมากเดินทางเยือนจีนและขยายการลงทุนในจีน ข้อจำกัดทางการเมืองต่อธุรกิจของสหรัฐฯ จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนของบริษัทสหรัฐฯ ที่ขยายการลงทุนในจีน เช่น Apple บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอังคารถึงแผนที่จะเปิดห้องปฏิบัติการวิจัยแห่งใหม่ในนครเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน และอัปเกรดห้องปฏิบัติการวิจัยในนครเซี่ยงไฮ้ เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่บริษัทเพิ่งประกาศเปิดร้านใหม่ในย่านใจกลางเมืองของนครเซี่ยงไฮ้
 

‘รัฐบาล’ เคลมผลงาน ‘ราคายางพารา’ พุ่ง 80 บาท/กก. แท้จริง!! ‘ยางผลัดใบ-โรคใบร่วง’ ทำให้ดีมานด์สูงขึ้น

รัฐบาล ทั้งนายกฯ รมว.เกษตรฯ โฆษกรัฐบาล โฆษณาจังว่ายางพาราราคาพุ่งถึง 80 บาท/กก.เป็นผลงานรัฐบาล อยากให้พูดไปตลอดทั้งปีนะ ถ้ายางพาราราคาตก อย่าบอกนะว่าเป็นกลไกการตลาด เป็นเรื่องของ demand/subply หรือตลาดโลก

นำเรียนว่าช่วงนี้น้ำยางพาราออกสู่ตลาดน้อย ความต้องการยางพาราสูงขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการบิน เป็นต้น ล้วนต้องการยางพารา

ส่วนสาเหตุน้ำยางพาราออกสู่ตลาดน้อย มาจาก…

- ยางผลัดใบ ช่วงต้นปีของทุกปีจะเป็นช่วงยางผลัดใบ ชาวสวนไม่สามารถกรีดยางได้
- ตั้งแต่ปลายปี 66 มาจนถึงมกราคมปี 67 ภาคใต้ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกยางพารามีฝนตกต่อเนื่อง ยาวนาน ชาวสวนไม่สามารถออกไปกรีดยางได้
- โรคใบร่วงระบาดในสวนยางพารา โดยระบาดหนักใน 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และลามมาอีกหลายจังหวัด
- โรคใบร่วงยังระบาดไปอีกหลายจังหวัดที่มีการปลูกยางพารา การกรีดยางทำให้น้ำยางลดลง 30-40% และทำให้ต้นยางพาราอ่อนแอลง
- โรคใบร่วงในยางพารา มีมาตั้งแต่ปี 2562 โดยเริ่มระบาดที่อินโดนีเซีย มาถึงมาเลเซีย และเข้ามายังประเทศไทย
- รัฐบาลยังตื่นตัวน้อยกับการแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงในยางพารา และยังอยู่ในระหว่างการศึกษาทดลองการแก้ปัญหาโรคใบร่วงด้วยซ้ำ

รัฐบาลอย่าเพิ่งตีปีกดีอกดีใจ โฆษณาว่าการที่ยางพาราราคาขยับตัวขึ้นไปสูงอาจจะถึง 80 บาท/กก.ว่าเป็นผลงานของรัฐบาล เพราะยังไม่เห็นวิธีการที่ชัดเจนของรัฐบาลในเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาราคายางพารา มีแต่เห็นว่าเร่งปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราจากประเทศเพื่อนบ้าน (ยางพาราเถื่อน) ซึ่งยางพาราในประเทศเพื่อนบ้านเรา ยังราคาถูกมาก แต่ 20-30 บาท/กก.เท่านั้นเอง จึงมีการลักลอบนำเข้ามาขายในบ้านเรา

อยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อน หรือแม้กระทั่้งยางพาราทรานซิส (ผ่านทาง) ไปยังมาเลเซีย ที่อาจจะตกหล่นขายอยู่ในตลาดบ้านเราก็เป็นไปได้

ถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบปราบทั้งยางพาราเถื่อน และยางพาราทรานซิส สาวให้ลึกถึงผู้อยู่เบื้องหลัง แล้วนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน อาจจะถึงกับร้อง ‘อัยหย่า ซี้เลี่ยวฮ่า’ เพราะอาจจะเป็นคนที่อยู่ไม่ไกลตัวนายกฯ ก็เป็นได้ 

ยังไม่เห็นรัฐบาลคิดออกมาเป็นนโยบายในการดำเนินการเกี่ยวกับยางพารา เช่น ที่เคยเป็นนโยบายก่อนหน้านี้ ให้ทุกกระทรวงที่สร้างถนน ต้องวางงบประมาณให้มีส่วนผสมของยางพารา 10% แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นบ้าง แต่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร หรือการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่น เช่น ที่นอน หมอน รองเท้า ตีนกบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำยางพาราไปทำแท่งแบริเอ่อร์ ที่ช่วยลดแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะยางพารามีความยืดหยุ่น ลดการสูญเสีย หรือยาวสะพานตรงถนนโค้ง ก็ห่อหุ้มด้วยยางพารา จะลดการสูญเสียลงไปได้มาก 

กระทรวงกลาโหม แทนที่จะใช้กระสอบทรายทำบังเกอร์ก็ใช้ยางพารา น่าจะได้ผลดี

ทั้งหมดนี้อยากจะฝากไปยังรัฐบาล ให้ศึกษาเรียนรู้ให้ดีก่อนออกมาตีกิน กลัวว่าสุดท้ายแล้ว จะหาทางลงไม่ได้เหมือนดิจิทัล วอลเล็ต ตายคานโยบาย

‘ชัชชาติ’ วอนอย่าโยง ‘คลองโอ่งอาง’ เข้าประเด็นการเมือง ย้ำ!! กทม.พัฒนาอย่างเต็มที่-เคารพผลงานผู้ว่าฯ เก่าทุกคน

(14 มี.ค.67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงประเด็นที่นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส.กรุงเทพฯ (เขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์) พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการพัฒนาย่านคลองโอ่งอ่างว่า

ขอร้องอย่าให้เป็นประเด็นเรื่องการเมือง กทม.พยายามพัฒนาย่านให้มีความยั่งยืน ไม่ใช่จัดงานอีเวนต์หรือตลาดนัด ที่เป็นกิจกรรมชั่วคราว แต่ก่อนคลองโอ่งอ่างเป็นหลังบ้านของผู้พักอาศัย ส่วนที่มีการถ่ายภาพที่จอดรถเยอะ เพราะมีพื้นที่ส่วนต่อขยายไปยังคลองบางลำพู ที่ยังก่อสร้างยังไม่เสร็จ รวมถึงบางช่วงที่เป็นหลังร้านหรือออฟฟิศ ที่ต้องมีการจอดรถบ้างเป็นปกติ

“ถามว่าเราจะไปคลองโอ่งอ่างเพื่ออะไร คำตอบคือ ไม่มีสินค้า ไม่มีอัตลักษณ์เหมือนกับปากคลองตลาด เสาชิงช้า บรรทัดทอง ตลาดน้อย การพัฒนาอัตลักษณ์ต้องใช้เวลา การนำผู้ค้าด้านนอกมาจัดตลาดนัด ผมว่าคนในพื้นที่ไม่ได้ประโยชน์อย่างยั่งยืน แต่เราก็น้อมรับฟังคำติชม” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติ กล่าวว่า หัวใจของคลองโอ่งอ่าง อยู่ใกล้กับวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ เบื้องต้นอาจจะทำเป็นสตรีตอาร์ต เพื่อช่วยดึงดูดคนมาเยี่ยมชม อย่างไรก็ตาม คนในชุมชนก็ต้องช่วยกันพัฒนาอัตลักษณ์ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่มาดูคลอง หรือมาพายเรือแคนู เรือคายัคก็ไม่ได้อีก เพราะคลองแคบและมีตลิ่งสูง ถ้าอยากพายเรือ ให้ไปที่สวนลุมพินี สวนรถไฟ และอีกหลาย ๆ ที่ ซึ่งเหมาะกับการพายเรือมากกว่า

“เรื่องย่านต้องพัฒนาจากตัวเอง จะเห็นได้จากลานคนเมือง เราจัดอีเวนต์ตลาดนัดได้ แต่จัดเสร็จต่างคนต่างไป คนที่มาขายก็ไม่ใช่คนแถวนั้น แต่เรียนว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง เราเคารพผลงานของทุกท่านที่ผ่านมา ไม่เคยคิดเป็นประเด็นการเมืองทั้งสิ้นเลย เราก็พัฒนาย่านเยอะแยะทั่วกรุงเทพฯ เลย” นายชัชชาติกล่าว

อย่างคลองผดุงกรุงเกษม มีการพัฒนาริมคลองให้มีความสวยงาม บางช่วงไม่ได้มีร้านค้าหรือกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งคนก็มาวิ่งมาเดินชมความสวยงาม เดินไปถึงตลาดเทวราช มีขายของสด ขายต้นไม้

“ผมเบื่อเรื่องการเมืองนะ เราทำงานอย่างเดียว เพราะเราไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไร ขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมาก็ทำผลงานได้ดี” นายชัชชาติ กล่าว

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! มุมดี ‘ปรีดี’ ช่วยไทยรอดสงครามโลกครั้งที่ 2 ลดบาป 'ต้นคิดการปฏิวัติ 2475' ก่อนคณะราษฎรสิ้นอำนาจ

(14 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความรีวิวแอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยระบุว่า…

ผมเพิ่งดู ‘แอนิเมชั่น ๒๔๗๕’ จบลงด้วยความประทับใจ และขอเสนอมุมมองที่อาจจะแตกต่างกับผู้ชมทั่วไปบ้าง  ดังนี้

- อยากให้เราย้อนกลับไปดูสถานการณ์ของยุโรปใน ปี ค.ศ. 1926 หรือ 6 ปี ก่อนการปฏิวัติ 2475 (ค.ศ. 1932) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกคณะผู้ก่อการปฏิวัตินัดประชุมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อคิดก่อการปฏิวัติในนามของ ‘คณะราษฎร’.... คนพวกนี้คือ Mastermind หรือกลุ่มต้นคิดการปฏิวัติ 2475

- ยุโรปในปี ค.ศ. 1926 คือเพิ่งผ่านการปฏิวัติบอลเชวิค (การปฏิวัติรัสเซีย) ในปี ค.ศ. 1917 มาแค่ 9 ปี หลังจากที่เลินนิน ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติรัสเซีย เจ้าลัทธิมาร์กซ-เลนิน เพิ่งเสียชีวิตใน ปี ค.ศ. 1924 ‘ระบอบสตาลิน’ (ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ) เพิ่งจะก่อตัวในรัสเซีย

ขณะนั้น ‘ความจริงของการปฏิวัติสังคมนิยม’ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันยูโทเปียอีกต่อไป

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่เด็กบ้านนอกจากสยาม อย่างนายปรีดี จะตื่นเต้นกับการปฏิวัติรัสเซียในระดับคลั่งไคล้ มิหนำซ้ำ เขาคือผู้นำทางความคิดเพียงคนเดียวของคณะก่อการกลุ่มนี้ ขณะที่สมาชิกผู้ก่อการคนอื่น ไม่ได้มีองค์ความรู้เรื่องการปฏิวัติรัสเซียแบบนายปรีดี พวกเขาแค่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงนำระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในประเทศสยามตามแบบอังกฤษ เพื่อทำให้สยามเป็นอารยประเทศเท่านั้น

- ผมคิดว่าความต้องการให้มีระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยแบบอังกฤษ ของคณะผู้ก่อการกลุ่มนี้มีความชอบธรรมนะ เพราะมันคือทิศทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสยามอยู่แล้ว แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ตัวนายปรีดีต่างหาก คือ ‘ความแปลกแยก’ ในหมู่คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ เพราะตัวนายปรีดีคนเดียวเท่านั้นที่มีหัวเอียงซ้ายตามโมเดลการปฏิวัติบอลเชวิก ขณะที่ผู้ก่อการคนอื่นแค่อยากเร่งกระบวนการ Modernization ของสยามเท่านั้นเอง

นี่คือความย้อนแย้งแบบปฏิบท (Paradox) ของการปฏิวัติ 2475

กล่าวคือ ถ้าไม่มีนายปรีดีมาเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการตั้งแต่แรก การปฏิวัติ 2475 น่าจะไม่ประสบความสำเร็จและลงเอยด้วยการเป็นกบฏ เหมือนกลุ่มทหารหนุ่มในสมัยรัชกาลที่ 6 ก่อนหน้านี้

ถ้าไม่มีนายปรีดี คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ก็แทบไม่ต่างจากกลุ่มกบฏทหารหนุ่มก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

- ‘ใบปลิว Fake News’ ที่นายปรีดีจงใจเขียน เพื่อโจมตี บิดเบือนใส่ร้ายสถาบันกษัตริย์ และเอามากระจายแจกจนเป็น ไวรัล ไปทั่วกรุงช่วงนั้น คือจุดเริ่มต้นของ ‘ความเลวร้าย’ ที่ ‘อุตส่าห์ปฏิวัติสำเร็จ แต่ไม่สามารถรักษาการปฏิวัติอย่างเป็นระบบได้’ สุดท้ายก็แค่ได้ ‘คณะผู้นำทหารกลุ่มใหม่’ มาเถลิงอำนาจรัฐ และหลงไหลในอำนาจรัฐที่ตัวเองครอบครองอยู่เท่านั้น

โดยที่คนสุดท้ายที่ชนะใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ นี้ นายทหารหนุ่มที่ชื่อ แปลก พิบูลสงคราม (ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อการรองจากนายปรีดีที่เป็นหัวหน้า) ที่สุดท้ายนายแปลกก็ทำตัวเป็น ‘เจ้าคนใหม่’ ในระบอบฟาสซิสต์ไทยอยู่ช่วงหนึ่งเสียเอง ไม่ต่างจากบทบาทของนายฮุนเซนในเขมร

- จึงไม่แปลก ที่ช่วงสุดท้าย หรือ End Game ใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐระหว่างนายปรีดี หัวหน้าคณะผู้ก่อการ กับนายแปลก รองหัวหน้าคณะผู้ก่อการ ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะอันเบ็ดเสร็จของนายแปลก ในปี พ.ศ. 2490 หรือ 15 ปีหลังการปฏิวัติ 2475

- ความย้อนแย้งอีกอันหนึ่ง คือคุณูปการของนายปรีดีในวัยกลางคน ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’ ที่ช่วยให้ประเทศไทยหลุดรอดจากหายนะของผู้นำประเทศอย่างนายแปลกที่พาประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น

- โดยส่วนตัว ผมไม่อาจยอมรับนายปรีดีในวัย 32 ที่ก่อการปฏิวัติ 2475 ได้  ... ในสายตาของผม นายปรีดีตอนนั้นเป็นแค่ปัญญาชนที่ร้อนวิชา คลั่งการปฏิวัติรัสเซีย และขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความเป็นจริงของคนไทยและสังคมไทย

แต่ผมเคารพในคุณูปการของนายปรีดี ที่มีวุฒิภาวะแล้วในวัยกลางคนในฐานะผู้นำขบวนการเสรีไทย  ... เพราะเขาเองก็เติบใหญ่ทางความคิดและมีประสบการณ์ทางโลกจนเจนจัดแล้ว

มันจึงเป็นความย้อนแย้งอย่างยิ่งของตัวนายปรีดีเอง ที่เริ่มจากเป็นตัวการให้เกิดกลียุคในบ้านเมืองโดยการปฏิวัติ 2475 แต่สุดท้ายก็เป็นนายปรีดีนี่แหละที่เป็น ฮีโร่ช่วย save ประเทศไทยจากวิกฤตช่วงนั้นเอาไว้ได้ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top