Monday, 19 May 2025
NewsFeed

‘พีระพันธุ์’ ออกประกาศ ‘ผู้ค้าน้ำมัน’ ต้องเปิดเผยข้อมูลต้นทุน  ป้องกันค้ากำไรเกินควร มุ่งสร้างความเป็นธรรม-มั่นคงด้านพลังงาน

(14 มี.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยว่า ตั้งแต่รับตำแหน่งเป็นต้นมาได้เร่งทำงานทุกด้านเพื่อสร้างระบบพลังงานของประเทศขึ้นมาใหม่ตามแนวทางรื้อ ลด ปลด สร้าง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ประชาชนได้ใช้พลังงานในราคาที่เหมาะสม ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และประเทศมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.67) ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2567 ซึ่งให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป โดยประกาศกระทรวงพลังงานฉบับดังกล่าวได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 รายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการบันทึกบัญชีรายวัน พร้อมทั้งแจ้งราคาต้นทุนเฉลี่ยและหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกไตรมาส และกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันปรับปรุงการบันทึกบัญชี หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล จะต้องแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายใน 7 วัน โดยข้อมูลที่ได้รับมาจะถือเป็นข้อมูลลับของทางราชการและมีการเก็บรักษาเป็นความลับอย่างที่สุด

สำหรับต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งถือเป็นข้อมูลที่จำเป็นในการกำหนดนโยบายด้านการพลังงานที่เหมาะสมนั้น ประกอบด้วย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหมายความรวมถึง น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล และต้นทุนอื่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าตอบแทนนายหน้า ค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนและโอนเงิน ค่าภาษี อากร หรือค่าธรรมเนียมอื่นใด ซึ่งผู้ประกอบการได้บันทึกบัญชีและมีหน้าที่ต้องชำระ โดยคำนวณเฉลี่ยเป็นหน่วยต่อลิตรในแต่ละรายไตรมาสของปีบัญชี 

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศ เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับกำหนดนโยบายด้านพลังงานให้เหมาะสมเพื่อให้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศมีราคาจำหน่ายที่ยุติธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ประชาชนได้รับการคุ้มครองไม่ให้มีการค้ากำไรเกินสมควรในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภทและทุกระดับมีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลเพิ่มมากขึ้น

“คงจำได้ว่าเมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ ผมพยายามที่จะหาว่าต้นทุนพลังงานแต่ละชนิดคืออะไร ราคาที่ขายให้ประชาชนมีความถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ แต่ไม่ได้รับคำตอบ โดยอ้างว่าเป็นความลับทางการค้าและกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ ผมและทีมงานจึงศึกษาและพบว่าจริงๆ แล้วมีช่องทางในการขอทราบข้อมูลแต่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน จึงได้ดำเนินการยกร่างออกประกาศเพื่อกำหนดแนวทางและวิธีการให้ภาครัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลต้นทุนได้”

“นโยบาย รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งผมและข้าราชการกระทรวงพลังงาน ที่ปรึกษาและทีมกฎหมายจากกฤษฎีกาได้ทำงานอย่างหนัก ประชุมและค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาวิธีที่จะทำให้ประชาชนได้ใช้พลังงานในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมา มีการลดราคาพลังงานทั้ง น้ำมัน ไฟฟ้า ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม แต่ก็เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่นโยบายการรื้อระบบพลังงาน จะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชนอย่างถาวร เมื่อภาครัฐมีข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้านและมีกฎหมายที่ให้อำนาจ ก็สามารถพิจารณาและตรวจสอบต้นทุนเพื่อภาคเอกชนมีกำไรในระดับสมเหตุสมผล ไม่สร้างภาระให้ประชาชนจนเกินกว่าเหตุและสามารถแข่งขันได้ ประเทศก็จะมีความมั่นคงด้านพลังงาน ประชาชนได้ใช้พลังงานในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งวันนี้ก็ได้เริ่มต้นจากการให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้าและส่งออกน้ำมัน และในอนาคตก็จะเริ่มปรับระบบพลังงานประเภทอื่นๆ ทั้ง ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม ต่อไป ผมเชื่อว่า นโยบายการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาราคาพลังงานได้อย่างถาวร และผมจะดำเนินการให้สำเร็จให้เร็วที่สุด” นายพีระพันธุ์ กล่าว

กระบี่-อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุฯ ถึงกระบี่แล้ว

กระบี่ จัดพิธีรับพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก จากจังหวัดอุบลราชธานี ถึงจังหวัดกระบี่แล้วเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ก่อนจะอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคมนี้

เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา เครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศ ขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ได้เดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 อุบลราชธานี ถึงท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี นางปอโลมี ตริปาฐี อุปทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดกระบี่ ต้อนรับ

จากนั้น ผู้แทนจากอินเดียวได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะลงจากเครื่องบินไปประกอบพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์
และเจริญชัยมงคลคาถา ณ ห้องรับรอง ภายในสนามบิน โดยมีพระสงฆ์ และฝ่ายไทยและอินเดียร่วมพิธี ก่อนจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ก่อนอัญเชิญไปประดิษฐานยังห้องมั่นคงภายใน ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล หรือ วัดบางโทง ตำบลนาเหนือ อำเภออำอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และในวันที่ 15 มีนาคม 2567 เวลา 07.00 น.ทางจังหวัดได้จัดขบวนอัญเชิญยิ่งใหญ่ บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 415 สายนาเหนือ - พนม ประกอบด้วย ขบวนช้างเทิดพระเกียรติ และนางรำมโนราห์กว่า 600 คน ข้าราชการ และประชาชนกว่าพันคน ร่วมในขบวน และในเวลา 12.00 น.จะเปิดให้ประชาชนได้เข้ากราบสักการะ ตั้งแต่วันที่ 15-18 มีนาคมนี้

ทั้งนี้ การเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุฯ ทางจังหวัดกระบี่ จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้ากราบสักการะ ณ บริเวณพระวิหาร โดยจะจัดเตนท์ให้บริการประชาชน และเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุได้รอบละ 100 คน ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. และในทุกๆ ช่วงเย็นเวลา 18.00 – 19.00 น. จะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์เสริมสิริมงคลให้กับศาสนิกชนที่เข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ซึ่งจะหยุดพักไม่อนุญาตให้ขึ้นสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุฯ บนพระวิหารแต่บริเวณเจดีย์พุทธคยาและภายในเจดีย์จะเปิดให้ประชาชนเข้าไปไหว้สักการะพระพุทธเมตตา และสักการะบูชาพระพุทธรูปบริเวณรอบๆ เจดีย์ได้ และจะปิดการเข้าสักการะในเวลา 20.00 น. และขอความร่วมมือประชาชนที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้แต่งกายด้วยชุดสุภาพ งดเว้นสีดำ โดยคาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมสักการะฯ ประมาณวันละ 100,000 คน นอกจากนี้ ในทุกๆ ช่วงค่ำตลอดระยะเวลา 15-18 มีนาคม 2567 จะมีการส่องไฟเสริมความสวยงามให้กับเจดีย์พุทธคยา อีกด้วย..

ข้อมูลข่าว / ภาพ 
มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน 

อยุธยา - ป.ป.ช.อยุธยา บูรณาการ เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เดินหน้าหามาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์ พร้อมกำหนดจุดผ่อนปรน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

วันนี้ (14 มี.ค.67) ที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย ป.ป.ช.ภาค 1 จังหวัดนนทุบรี และชมรม STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำโดย นางศิริพร กฤชสินชัย  ประธานโค้ช STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดตามผลการปฏิบัติการหาแนวทางป้องกันการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา

นางศิริพร กฤชสินชัย ประธานโค้ช STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า การลงพื้นที่หารือกับเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยาครั้งนี้ เป็นไปตามโครงการ STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต แผนงานปฏิบัติการ STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตของ ป.ป.ช.ประจำจังหวัดฯ ภายใต้กิจกรรมการจับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ครั้งที่ 3  ซึ่งถือว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันกับเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ในการหามาตรการแนวทางการป้องกันการบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์ จุดผ่อนปรนทั้งหมดทั้งปัจจุบันและอนาคต รวมถึง ทางเท้าหลายจุดในเมืองมรดกโลก และครอบคลุมในเขตพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยาทั้งหมด   เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เห็นเป็นรูปธรรม และเป็นต้นแบบ โดยเฉพาะการจัดทำแผน ควบคู่กับการกำหนดระยะเวลาดำเนินการที่แน่นอน

ด้านนายกฤษณ์ เถี่ยนมิตรภาพ รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า จากการสำรวจร้านค้าที่ทำการค้าขายบริเวณพื้นที่สาธารณะ และบางจุดมีการรุกล้ำ พบว่า มีร้านค้าที่ทำการขายบริเวณที่หรือทางสาธารณะภายในเขตเทศบาลนครฯ มีทั้งหมด 504 ร้านค้า  ซึ่งจะมีการทบทวนทั้งจุดผ่อนปรน และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมาย  ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เทศบาลนครฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่สร้างความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการร้านค้าอย่างต่อเนื่อง  พร้อมกำหนดระยะเวลาให้รื้อถอน  ขณะเดียวกัน มีบางพื้นที่ต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดีและไม่เกิดผลกระทบมากนัก  พร้อมกันนี้ ได้รับปาก ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้จะพลิกฟื้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กลับคืนมาเป็นเมืองมรดกโลกอย่างสง่างามอย่างแน่นอน

'แป้ง กราฟิตี้' ทิ้งคำถามชวนคิดหลังดู '2475 Dawn of Revolution' หวังฝั่งโปร 'ปรีดี' มีข้อมูลมาโต้ข้อมูลจากหนัง มากกว่าคารม-วาทกรรม

(14 มี.ค. 67) นายสมรนนท์ แย้มอุทัย หรือ 'แป้ง' ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดัง เจ้าของ X แมวของ Headache @headachestencil ได้โพสต์ถึง แอนิเมชั่น อย่าง 2475 Dawn of Revolution 'รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' หลังได้ดู โดยมีเนื้อหาดังนี้...

รีวิว เเอนิเมชั่น 2475 จากมุมมองของผมนะครับ

- ด้านภาพ น่าจะได้ทีมงานหลายคนหลายทีมมาจอยกันแหงๆ ลายเส้นปนกันบันเทิงมาก แต่ชอบลายเส้นพวกรายละเอียดสถาปัตยกรรมต่างๆ มาก สวยสัส แต่เสียดายตัวละครหลัก ดันทำเป็นการ์ตูนแบบโบราณไปหน่อย ตอนก้านกล้วยเราไปถึงเลเวลนั้นกันแล้ว ไม่น่าดึงกลับมาเป็นการ์ตูนขยับปากแหง่บๆ แบบนี้

- สงสัยตั้งแต่ต้นจนจบ ปลาหมึกจะสื่อแทนอะไร ปลาหมึกมาบ่อยมาก บ่อยจนอยากแดก

- หนังนานชิบหาย นานแบบเด็กที่ไม่อินมานั่งดูแล้วหลับแน่นอน ข้อมูลแน่นมากช่วงแรกจนจับใจความยาก พอพ้นช่วงอัดข้อมูลค่อยพอรับสารง่ายขึ้น ยิ่งช่วงท้ายๆ ถ้าใครที่ไม่ได้อินหรือจมกับข้อมูลที่เคยเรียนหรือเคยฟังมาก่อน มานั่งฟัง นั่งดูดีๆ จะอินได้เลยทีเดียวแหละ ช่วงท้ายๆ น่าจะเป็นจุดที่ทำให้หลายๆ คนต้องคิดและมองอะไรเปลี่ยนไปได้บ้างถ้าไม่อคติเกินไป ถามว่า propaganda มั้ย มีบ้างอยู่แล้วหนังก็ชัดเจนนะว่าทำมาทำไม แต่หลายคีย์เวิร์ดในหนัง แม่งก็คือคำพูดที่ออกมาจากปากม็อบเองด้วยซ้ำ หลายๆ เรื่องเหมือนหนังแค่อยากเตือนให้อย่าเชื่อหรือฟังอะไรจากด้านเดียวมากกว่า แล้วถ้าไม่อคติแต่ต้น หนังดูพยายามให้คนไทยรักกันมากกว่าจะมาเสี้ยมให้แตกแยกกว่าเดิมนะ

- ในส่วนของข้อมูลเนื้อหา หลายข้อมูลดูแล้วก็แอบตกใจนะ เราอ่านและเรียนประวัติศาสตร์กันจากผู้ชนะเป็นคนเขียนเสมอมา พอลองมาเจอข้อมูลจากอีกมุมแล้วคิดตามก็มีหลายอย่างต้องเอ้ะบ้างแหละ ยิ่งเหล่าคนที่เทิดทูนปรีดีทั้งหลายคงไม่ชอบเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าคุณจะบอกว่าคุณตาสว่าง โดยคุณเลือกรับสารด้านเดียว คุณใช้แค่ตากับหูครับ ยังไม่ทันได้ใช้สมอง ถ้ามีสมองก็รับสารมากขึ้น แล้ววิเคราะห์เองอีกรอบ น่าจะดีกว่างมโข่งกันแบบนี้

- สรุปโดยรวมเลยคือหนังไม่แย่เลยนะ ถ้าว่างๆก็ควรลองนั่งดู แต่ต้องมีสมาธินะ เปิดๆไปทำอย่างอื่นไปดูไปไม่น่าเวิร์ค ถามว่าดูแล้วรักเจ้าขึ้นมั้ย? ถ้าใครที่ไม่อคติอยู่ก็น่าจะมีสะเทือนใจกันบ้างแหละ ส่วนคนที่เทิดทูนอยู่แล้วก็น่าจะมีโกรธและเห็นใจเจ้ามากกว่า บทถือว่าดีเลยนะ เลี่ยงคำเสี้ยมและดูพยายามจริงๆที่จะให้คนไทยดูแล้วกลับมารักกัน และหาทางทำให้ชาติ กษัตริย์ และประชาชน อยู่ร่วมกันไปต่อแบบมีเอกลักษณ์ของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องไปพยายามเป็นแบบคนนั้นคนนี้ เพราะเรามีดีของเราพอ ปัญหาทุกวันนี้มันเกิดจากการอยากเปลี่ยนประเทศให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ตามอย่างเขา เรามีวิถีของเรา เรามีอะไรหลายๆอย่างของเราเอง ทำไมต้องไปอยากเป็นแบบคนอื่นเขาด้วยล่ะ ทำไมเราถึงไม่ทำตัวให้คนอื่นเขาอยากเป็นแบบเราล่ะ

- สุดท้ายเข้าใจโพสต์ของสมเจียมวันก่อนละ ตอนนี้สิ่งที่อยากเห็นคือฝั่งที่เรียกว่าเป็นฝั่งเดียวกับปรีดี จะมีข้อมูลอะไรมาโต้แย้งข้อมูลใหม่ๆ ในหนังมั้ย? หรือจะใช้เพียงคารมและวาทกรรมเช่นเดิม? แล้วก็ส่งคนไปติดคุกเรียกร้องความสนใจโลกผ่าน NGO ที่เดินหาแดกกับความขัดแย้งในประเทศกันสลอนเต็มไปหมดอยู่แบบนี้? ลองคิดกันดูดีๆนะครับ ว่าตกลงประเทศวุ่นวายเพราะใครกันแน่?

‘อินฟอร์มาฯ - ทาร์ซัสกรุ๊ป - กยท.’ ผนึกกำลังจัดงาน ‘TyreXpo Asia 2024’ รวบรวมอุตสาหกรรม ‘ยางล้อ’ ระดับนานาชาติ ห้ามพลาด!! 15-17 พ.ค.นี้

(14 มี.ค.67) อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผนึกกำลัง ทาร์ซัส กรุ๊ป พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมยาง นำโดย การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมกันจัดงาน ‘TyreXpo Asia 2024’ งานแรกในไทยที่รวบรวมอุตสาหกรรมยางล้อระดับนานาชาติแบบครบวงจร วางเป้าเสริมแกร่งผู้ประกอบการ ตามนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางไทย เปิดเวทีเจรจาธุรกิจ เชื่อมโอกาสทางการค้าและสร้างเครือข่ายให้กับห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยางไทยแบบครบวงจร พร้อมจัดงานครั้งแรกในไทยระหว่างวันที่ 15 - 17 พฤษภาคม 2567 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

อุตสาหกรรมยางพาราไทยคือหนึ่งฟันเฟืองหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยที่ผ่านมาไทยถือเป็นผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำหรับในประเทศไทยมีโอกาสที่ดีจากหลากหลายปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็น การฟื้นตัวของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการสูงขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับถุงมือยาง อุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็หนุนความต้องการยางในการก่อสร้างเช่นกันและที่สำคัญคือมาตรการของภาครัฐในการรักษาเสถียรภาพราคายางให้กับกลุ่มเกษตรกร และเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางอย่างแท้จริง  ทางอินฟอร์มาฯ ได้จัดงาน ‘TyreXpo Asia 2024’ โดยครั้งนี้ได้พันธมิตรที่สำคัญอย่าง ทาร์ซัส กรุ๊ป และความร่วมมือที่ดีจากการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งเรามีเป้าหมายที่ตรงกันคือมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมยางในประเทศไทยเปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่สำคัญทั้งจากความต้องการภายในประเทศและเทรนด์ใหม่ๆ ของตลาดโลก เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญทั้งภาคการผลิต แปรรูปผลิตภัณฑ์และส่งออกยางของอาเซียนในอนาคต

นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ยางพาราภายในประเทศ ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราโลก กยท. จึงมุ่งเดินหน้าบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบตามนโยบาย ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ ของรัฐบาล และข้อสั่งการของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เร่งขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางเพื่อให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางต่างๆ ซึ่งสามารถดูดซับปริมาณผลผลิตยางออกจากตลาดได้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มขีดความสามารถทางการค้าของยางไทยในตลาดโลก โดยการยกระดับผลผลิตยาง และการจัดการระบบยางของไทยให้เป็นไปตามความต้องการและมาตรฐานสากล เช่น กฎระเบียบ EUDR 

“วันนี้รัฐบาลไทยมองเห็นโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถทางการค้าและการดำเนินธุรกิจ เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบยางที่สำคัญ และมีการจัดการระบบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบยาง สามารถดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ถือเป็นโอกาสดีในการทำเกษตรอุตสาหกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ยางพารา และยังสร้างความมั่งคั่งให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน” นายสุขทัศน์ กล่าว    

นายสุขทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘งานมหกรรม TyreXpo Asia 2024’ ในครั้งนี้ เป็นงานมหกรรมยางล้อระดับนานาชาติที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ถือเป็นเวทีแสดงความพร้อมของไทยในเรื่อง EUDR ที่ผู้ใช้ยางสามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จากยางพาราไทยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐาน และตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดยางได้จริง โดยงานนี้ได้รวมเหล่าผู้ผลิตและผู้ค้าในอุตสาหกรรมยางล้อกว่า 250 แบรนด์ ถือเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยางพาราไทยเป็นอย่างมาก กยท. มองว่าโอกาสนี้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยางล้อในไทยที่กำลังเติบโตตามกลไกการตลาด และเป็นก้าวที่สำคัญในการบริหารจัดการยางพาราให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดรับนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจของอุตสาหกรรมยางพาราในประเทศไทย โดยส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ซึ่งขณะนี้ กยท. ร่วมกับทุกภาคส่วนเร่งเตรียมแปรรูปวัตถุดิบยางพาราเป็นยางล้อที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดได้ทุกเส้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ยางในประเทศและสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

นายอัลวิน เซียว รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ - เอเชียและสิงค์โปร์ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า การจัดงาน TyreXpo Asia 2024 จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยถือเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญในการรวมเครือข่ายผู้พัฒนา ผู้ผลิต ผู้ค้าและผู้ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางล้อมากที่สุดในเอเชีย - แปซิฟิก ซึ่งสามารถขยายการเข้าถึงตลาดใหม่ๆที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางล้อ รวมถึงแนวปฏิบัติตลอดจนการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาปรับใช้ในการยกระดับอุตสาหกรรมในอนาคต

สำหรับการจัดงานดังกล่าวในกรุงเทพฯ ครั้งนี้จะดึงดูดผู้ซื้อที่มีศักยภาพจากทั่วภูมิภาคกว่า 5,000 คน โดยได้รวบรวมแบรนด์ชั้นนำด้านยางล้อและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอีกว่า 250 แบรนด์ เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศได้ขยายตลาดยางล้อ ที่ครอบคลุมไปถึงการซ่อมแซม บำรุงรักษายานยนต์ อุปกรณ์อะไหล่ยางยนต์ และอุปกรณ์เสริมยางล้อ พร้อมกันนี้จะได้พบกับโชว์เคสหรือการนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาพัฒนา รวมถึงขนทัพผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแชร์ประสบการณ์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจจากอุตสาหกรรมยางในอนาคต

ตลอดการจัดงานทั้ง 3 วัน งานแสดงดังกล่าวมุ่งเป้าเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายให้เกิดการขยายผลในมิติต่างๆ โดยภายในงานได้เชิญผู้ซื้อจากต่างประเทศกว่า 100 คน ร่วมเจรจาเพื่อต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจ รวมทั้งมีการจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับองค์ความรู้และนวัตกรรมการหล่อดอกยางและอีกหลายหัวข้อครอบคลุมอุตสาหกรรมยางล้อ เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจและเสริมแกร่งในเรื่องข้อมูลเชิงลึกอันจะนำไปสู่การกำหนดแนวทาง กลยุทธ์และเทคนิคต่างๆ ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อไป 

เตรียมตัวพบกับงาน TyreXpo Asia ครั้งแรกในไทยกับงานแสดงอุตสาหกรรมยางล้อระดับนานาชาติ มาร่วมสร้างโอกาสและพบกับผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงยางล้อ ที่มีศักยภาพจากทั่วภูมิภาคกว่า 5,000 คน โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 17 พฤษภาคม 2567 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ ติดตามข่าวสารและรายละเอียดของการจัดงานได้ที่ www.tyrexpoasia.com

‘กองทัพสหรัฐฯ’ เตรียมย้ายกำลัง ‘นาวิกโยธิน’ กว่า 4,000 นาย หลังตั้งฐานทัพบน ‘เกาะโอกินาวา’ ไปยัง ‘เกาะกวม’ ภายในปี 2024

สำนักข่าว KYODO รายงานว่า จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าการย้ายกำลังนาวิกโยธินที่ประจำการในฐานทัพบนเกาะโอกินาวากว่า 4,000 นาย ไปยังเกาะกวมสามารถเริ่มได้ในปี 2024 ตามที่วางแผนไว้ โดยระบุถึงความคืบหน้าที่สำคัญในการก่อสร้างฐานทัพดังกล่าวในดินแดนแปซิฟิกของสหรัฐฯ เพื่อรองรับทหารนาวิกโยธินดังกล่าว หลังจากการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างฐานทัพบนเกาะกวน อันเนื่องจากข้อจำกัดจากการระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการจ้างแรงงานจากประเทศต่าง ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พล.ร.ต. Benjamin Nicholson ผู้บัญชาการร่วมภูมิภาค Marianas กล่าวว่าการก่อสร้างฐาน ‘เต็มรูปแบบอีกครั้ง’

พล.ร.ต. Benjamin Nicholson ผู้บัญชาการกองกำลังร่วมภูมิภาค Marianas ของกองทัพสหรัฐฯ ขณะให้สัมภาษณ์ที่เกาะกวมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2022

การก่อสร้างค่าย Blaz ได้รับงบประมาณร่วมจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นภายใต้แผนการจัดกำลังพลปี 2006 ซึ่งส่วนหนึ่งพยายามลดกำลังทหารสหรัฐฯ ในฐานทัพบนเกาะโอกินาวา จังหวัดทางตอนใต้ของญี่ปุ่นอันเป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารสหรัฐฯ จำนวนมากที่สุดในญี่ปุ่น ในปี 2012 ทั้งสองประเทศกล่าวว่ากำลังนาวิกโยธินประมาณ 9,000 นาย จากทั้งหมดประมาณ 19,000 นาย ฐานทัพบนเกาะโอกินาวาจะถูกย้ายออกจากญี่ปุ่นไปยังเกาะกวมและมลรัฐฮาวาย

พลจัตวา Vicente ‘Ben’ Blaz

ทั้งนี้ พ.อ. Christopher Bopp ผู้บัญชาการฐานนาวิกโยธินบนเกาะกวม กล่าวว่า สิ่งอำนวยความสะดวกแรก ๆ ที่จะแล้วเสร็จ ได้แก่ ฐานทัพ ค่ายทหาร และห้องครัว หลังจากนั้นก็จะเริ่มการโยกย้ายบุคลากรมาจากฐานทัพบนเกาะโอกินาวา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้พูดคุยในขณะที่สำนักข่าว Kyodo และสำนักข่าวอื่น ๆ มีโอกาสได้เห็นโครงการเหล่านี้โดยตรง ซึ่งดำเนินการไปได้ครึ่งทางแล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สื่อญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในฐานทัพบนเกาะกวมนับตั้งแต่กองกำลังนาวิกโยธินเปิดใช้งานฐานทัพบางส่วนในเดือนตุลาคม 2020 โดยเรียกฐานทัพดังกล่าวว่า ‘ค่าย Blaz’ ได้มีพิธีซึ่งตั้งชื่อค่ายอย่างเป็นทางการ มีการเชิญตัวแทนของกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ได้มีขึ้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมาตามชื่อของ พลจัตวา Vicente ‘Ben’ Blaz ชาวเกาะกวมผู้ซึ่งเคยเป็นสส.ของดินแดนในสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย

พ.อ. Christopher Bopp ผู้บัญชาการค่าย Blaz กำลังแก้ไขป้ายต้อนรับ
หลังจากไต้ฝุ่น Mawar ถล่มเกาะกวมในเดือนพฤษภาคม 2023

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 8.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับการก่อสร้าง โดยญี่ปุ่นให้การสนับสนุนมากถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีดับเพลิง และสถานบำบัดภายในฐานทัพดังกล่าว ชาวเกาะกวมบางส่วนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกองกำลังนาวิกโยธินขนาดใหญ่ โดยอ้างถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมบนเกาะแห่งนี้ แต่กองทัพสหรัฐฯ ยืนยันว่ามีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับผู้ว่าการเกาะกวมและตัวแทนชุมชน 

พล.ร.ต. Nicholson กล่าวว่า นาวิกโยธินที่ย้ายเข้ามาใหม่อาจพบว่า วัฒนธรรม ภาษา และสกุลเงินของกวมมีความใกล้เคียงสหรัฐฯ บ้านเกิดมากกว่าในญี่ปุ่น และจะเป็นการง่ายกว่าสำหรับทหารเหล่านั้นในการติดต่อกับผู้คนในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเดินทางออกจากฐานทัพในช่วงวันหยุด คาดว่า กำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ ชุดแรกจะย้ายจากญี่ปุ่นไปยังฐานทัพนาวิกโยธินที่เพิ่งเปิดใช้งานใหม่บนเกาะกวมในช่วงปลายปี 2024 นี้

เช็กลิสต์!! แรงหนุนโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง วิชาสาระร่วมสมัย-ครู ต้องไม่ถูกคุกคาม

(15 มี.ค. 67) จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อสอบรายวิชาสาระร่วมสมัย รหัสวิชา ส33250 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลังสื่อมวลชนหยิบข้อความที่โพสต์ผ่านสังคมออนไลน์ โดยกล่าวหาว่า เป็นภัยคุกคาม ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และได้มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริง และให้ยกเลิกข้อสอบดังกล่าว รวมไปถึงการข่มขู่คุกคามครูผู้สอนรายวิชาดังกล่าวจากบุคคลต่างๆ

ทั้งนี้ ต่อจากกรณีดังกล่าวเครือข่ายครู นักการศึกษา นักเรียนและคนทำงานเห็นว่า ประเด็นหัวข้อในการสอบรายวิชานั้น เป็นประเด็นร่วมสมัยที่มีการถกเถียงและเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม และรายวิชาสาระร่วมสมัยอยู่ในกลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ ที่มีหัวใจอยู่ที่การเรียนรู้โลกกว้าง การตั้งคำถามต่อปรากฎการณ์ที่อยู่ในสังคมไทยจึงเป็นเรื่องปกติวิสัย ทั้งยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้เรียนได้สืบสอบ อภิปราย พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ประเมินค่า การวิพากษ์วิจารณ์และรู้เท่าทันโลก การสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ตลอดจนยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตและอยู่ร่วมกันในสังคมปัจจุบัน

นอกจากนั้น รายวิชาดังกล่าวยังมีรูปแบบการวัดประเมินผลที่หลากหลายและครูผู้สอนมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ การข่มขู่คุกคาม และการสั่งยกเลิกข้อสอบดังกล่าวจากประเด็นหัวข้อที่ถูกกล่าวหาว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาตินั้น จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณค่าและมีความหมาย ตลอดจนเป็นหลักประกันว่า ต้องไม่มีการใช้อำนาจหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจทั้งโดยราชการหรือบุคคลอื่น ในการลิดรอนหรือจำกัดสิทธิของผู้สอนและผู้เรียนในอันที่จะเสนอ ถกเถียง และแสดงออกซึ่งข้อเท็จจริงและความเห็นของตนในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความรู้และความเป็นไปของสังคมอันเป็นพื้นฐานสำคัญข้อหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย เราไม่อาจสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจได้ หากเสรีภาพทางวิชาการไม่ได้รับการคุ้มครอง

ในการนี้ เครือข่ายครู นักการศึกษา นักเรียนและคนทำงาน จึงขอแสดงจุดยืนต่อกรณีข้อสอบรายวิชาสาระร่วมสมัย โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร ดังต่อไปนี้

1. ปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ อันหมายรวมถึงความเป็นอิสระของผู้สอนในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรมการสอน การจัดกระบวนการเรียนรู้และการวัดประเมินผล การเลือกประเด็นหรือกำหนดเนื้อหาของเรื่องที่จะสอน การกำหนดวิธีการสอน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริงและความคิดเห็นในชั้นเรียน การปิดกั้นและตัดสินว่าข้อสอบดังกล่าวนั้นไม่เหมาะสมเพียงเพราะหัวข้อเรื่องที่ใช้นั้นไม่เป็นธรรม ความมั่นคงของชาติไม่ควรถูกตีความให้กว้างจนปิดกั้นการเรียนรู้และการพัฒนาความรู้ความเข้าใจทางสังคมของเยาวชนและประชาชน ซึ่งแท้จริงแล้วคือรากฐานสำคัญของประเทศชาติ การจัดการเรียนการสอนที่ใช้ประเด็นทางสังคม เป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิดวิเคราะห์ ประเมินค่า สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมที่แตกต่างหลากหลาย และเท่าทันโลก ซึ่งล้วนแต่เป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ในฐานะพลเมืองและพลโลก

2. ต้องยุติการคุกคาม ข่มขู่ และใส่ความเพื่อสร้างความเข้าใจผิดในสังคมต่อตัวบุคคล และกระบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงจะต้องให้อำนาจสถานศึกษาดำเนินการโดยปราศจากการแทรกแซงที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวให้เกิดขึ้นในสังคม

3. ยืนหยัดเคียงข้าง และเป็นกำลังใจให้ครู อาจารย์ และนักการศึกษาในฐานะผู้กระทำการ (Agency) ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ทั้งในการจัดการเรียนรู้ การสร้างสรรค์หลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การวัดประเมินผล และนวัตกรรมทางการศึกษาที่จะช่วยยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญ มีชุดคุณค่าประชาธิปไตยที่เป็นสากล ตลอดจนมีความกล้าหาญในการแสดงจุดยืนและการตั้งคำถามต่อสังคม

"ศาสตร์จะงอกงามหากมีการแลกเปลี่ยนอย่างเสรี"
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

>> เครือข่ายครู นักการศึกษา นักเรียนและคนทำงาน

1. ครูขอสอน
2. สังคมศึกษาทะลุกะลา
3. Inskru -พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน
4. สหภาพคนทำงาน Workers' Union
5. ก่อการครู
6. อะไรอะไรก็ครู
7. นักเรียนเลว
8. มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) Makhampom
9. ก่อการสิทธิเด็ก
10. Math misconcepts
11. PLC Reform
12. BlackBox
13. คลินิกวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
14. ศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
15. วันนั้นเมื่อฉันสอน

>> ร่วมลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์
https://forms.gle/UVwYj4dsUWJhsLzF7

มีผลแล้ว!! ‘พีระพันธุ์’ เร่งเครื่องนโยบาย ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลต้นทุนน้ำมัน

เมื่อวานนี้ (14 มี.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่รับตำแหน่งได้เร่งทำงานทุกด้านเพื่อสร้างระบบพลังงานของประเทศขึ้นมาใหม่ตามแนวทางรื้อ ลด ปลด สร้าง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ประชาชนได้ใช้พลังงานในราคาที่เหมาะสม ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และประเทศมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 ซึ่งให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป โดยประกาศกระทรวงพลังงานฉบับดังกล่าวได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 รายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการบันทึกบัญชีรายวัน

นอกจากนั้น ต้องแจ้งราคาต้นทุนเฉลี่ยและหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกไตรมาส และกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันปรับปรุงการบันทึกบัญชี หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล จะต้องแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายใน 7 วัน โดยข้อมูลที่ได้รับมาจะถือเป็นข้อมูลลับของทางราชการและมีการเก็บรักษาเป็นความลับอย่างที่สุด

สำหรับ ต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งถือเป็นข้อมูลที่จำเป็นในการกำหนดนโยบายด้านการพลังงานที่เหมาะสมนั้น ประกอบด้วย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหมายความรวมถึง น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล และต้นทุนอื่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าตอบแทนนายหน้า ค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนและโอนเงิน ค่าภาษี อากร หรือค่าธรรมเนียมอื่นใด ซึ่งผู้ประกอบการได้บันทึกบัญชีและมีหน้าที่ต้องชำระ โดยคำนวณเฉลี่ยเป็นหน่วยต่อลิตรในแต่ละรายไตรมาสของปีบัญชี

รมว.พลังงาน กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศ เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับกำหนดนโยบายด้านพลังงานให้เหมาะสมเพื่อให้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศมีราคาจำหน่ายที่ยุติธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ประชาชนได้รับการคุ้มครองไม่ให้มีการค้ากำไรเกินสมควรในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภทและทุกระดับมีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลเพิ่มมากขึ้น

“คงจำได้ว่าเมื่อรับตำแหน่งใหม่ ๆ ผมพยายามที่จะหาว่าต้นทุนพลังงานแต่ละชนิดคืออะไร ราคาที่ขายให้ประชาชนมีความถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ แต่ไม่ได้รับคำตอบ โดยอ้างว่าเป็นความลับทางการค้าและกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ ผมและทีมงานจึงศึกษาและพบว่าจริงๆแล้วมีช่องทางในการขอทราบข้อมูลแต่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน จึงได้ดำเนินการยกร่างออกประกาศเพื่อกำหนดแนวทางและวิธีการให้ภาครัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลต้นทุนได้” นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า นโยบาย รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งผมและข้าราชการกระทรวงพลังงาน ที่ปรึกษาและทีมกฎหมายจากกฤษฎีกาได้ทำงานอย่างหนัก ประชุมและค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาวิธีที่จะทำให้ประชาชนได้ใช้พลังงานในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมา มีการลดราคาพลังงานทั้ง น้ำมัน ไฟฟ้า ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม แต่ก็เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 

แต่นโยบายการรื้อระบบพลังงาน จะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชนอย่างถาวร เมื่อภาครัฐมีข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้านและมีกฎหมายที่ให้อำนาจ ก็สามารถพิจารณาและตรวจสอบต้นทุนเพื่อภาคเอกชนมีกำไรในระดับสมเหตุสมผล ไม่สร้างภาระให้ประชาชนจนเกินกว่าเหตุและสามารถแข่งขันได้ ประเทศก็จะมีความมั่นคงด้านพลังงาน ประชาชนได้ใช้พลังงานในราคาที่เป็นธรรม

“วันนี้ก็ได้เริ่มต้นจากการให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้าและส่งออกน้ำมัน และในอนาคตก็จะเริ่มปรับระบบพลังงานประเภทอื่นๆ ทั้ง ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม ต่อไป ผมเชื่อว่า นโยบายการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาราคาพลังงานได้อย่างถาวร และผมจะดำเนินการให้สำเร็จให้เร็วที่สุด” นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘คุณตาวัย 77’ อดีตเจ้าของบริษัท ชีวิตพลิกผันล้มละลายจากพิษเศรษฐกิจ ตัดสินใจ!! ผันตัวมา ‘ขายไอติม’ สร้างอาชีพ จนกลับมาลืมตาอ้าปากได้

(15 มี.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พบกับร้านขายไอศกรีมที่เปิดท้ายรถทำเป็นร้าน ซึ่งจอดอยู่บริเวณลานจอดรถ หน้าสถานีรถไฟสุรินทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ อีกทั้งนอกจากจะขายไอศกรีมแล้ว ยังเป็นคนคิดสูตรทำไอศกรีมผลไม้เองอีกด้วย

ทางด้าน นายพรเทพ สกลกาญจนพร อายุ 77 ปี (เจ้าของร้านไอศกรีมผลไม้สด) เล่าว่า ตนเปิดร้านนี้มาประมาณ 6 เดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ลองผิดลองถูกมาร่วมๆ 1 ปีได้ กว่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และเริ่มขายจริงๆ จังๆ มาได้ประมาณ 6 เดือน ถือว่าผลตอบรับจากลูกค้านั้นโอเคมากๆ มีลูกค้าจอดรถเข้ามาอุดหนุนตลอด นอกจากที่ตนขายอยู่หน้าสถานีรถไฟสุรินทร์แล้ว ลูกค้าที่มาจากจังหวัดใกล้เคียงก็มีรถแวะมาอุดหนุนด้วยเช่นกัน ซึ่งตนได้ลูกค้าที่มาอุดหนุนช่วยโพสต์ช่วยแชร์ในสื่อออนไลน์ เป็นการช่วยโปรโมตการขายด้วย พร้อมกับแปะเบอร์โทรให้ลูกค้าโทรสอบถามคือเบอร์ 083-2183618

นายพรเทพ สกลกาญจนพร ยังเล่าต่ออีกว่า ก่อนหน้านี้ตนทำเปิดบริษัท (สิ่งทอ) เป็นของตัวเองมาก่อน อยู่ในกรุงเทพฯ และเนื่องจากพิษเศรษฐกิจทำให้ล้มละลาย ก่อนจะปิ๊งไอเดียว่าอยากจะทำไอศกรีมผลไม้สดขาย เนื่องจากตนเคยเป็นนักชิมไอศกรีมมาก่อน ตอนนี้ตนเริ่มรับสอนทำไอศกรีม ทำส่งโรงทาน ก็เลยเริ่มมีคนให้ความสนใจมาศึกษาวิธีการทำไอศกรีมของตนมากขึ้น และมีคนให้ความสนใจเดินทางมาจากหลายๆ จังหวัด เพื่อมาเรียนสูตรไอศกรีมผลไม้ เช่น จังหวัดอุตรดิตถ์, จังหวัดสุพรรณบุรี, จังหวัดอ่างทอง, จากบางบัวทอง, จากพุทธมณฑลสาย 4 เพราะยังไม่ค่อยมีคนทำขาย จนวันนี้ก็พอที่จะได้ลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

‘อุตฯ ฟอกหนังไทย’ ปรับตัวเดินตาม ‘BCG โมเดล’ ตามเทรนด์อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 16 มี.ค.67 ได้พูดคุยกับ ‘คุณสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน’ นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย ที่ปรึกษาและกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนัง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  ถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมฟอกหนังของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของภาคการส่งออกและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด 

โดยคุณสุวัชชัย กล่าวว่า “ภาพรวมของเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และยุโรป สงครามที่เกิดขึ้นนั้น มีผลกระทบต่อประเทศไทยพอสมควรในมุมมองของเศรษฐกิจ อย่างกรณียุโรปเองก็ประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ปศุสัตว์มีการปรับตัวสูงขึ้น วัตถุดิบมีอัตราแพงขึ้น ซึ่งเครื่องหนังเปรียบเสมือนสินค้าฟุ่มเฟือย อัตราการใช้งานก็ลดลงทำให้มูลค่าตลาดลดลง ส่วนทางสหรัฐอเมริกาและจีนเองก็มีผลกระทบอยู่เหมือนกัน ทำให้ส่งผลกระทบทั้ง Supply Chain ในระดับโลก ต้องบอกว่าเมืองไทยเรามีการส่งออกโดยได้รับคำสั่งซื้อส่วนใหญ่จากทางยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศไทยเองก็ส่งออกในห่วงโซ่นี้ทำให้ได้รับผลกระทบจาก Supply Chain อยู่พอสมควร”

คุณสุวัชชัย กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยในตลาดโลกว่า “ประเทศไทยมีการส่งออก ขนมิงค์ (Mink Hair) หนังวัว ไปยังทวีปยุโรป เบาะรถยนต์ ส่งออกไปยังตะวันออกกลาง ส่วนกระเป๋าเดินทางก็ส่งออกอันดับต้น ๆ และรองเท้านำเข้ามาผลิตและประกอบเพื่อส่งออกกลับไปจำนวนมาก ส่วนจุดเด่นของเครื่องหนังไทยที่ต่างชาติยอมรับ คือ ความประณีตในการตัดเย็บ รูปแบบดีไซน์ และคุณภาพดีสม่ำเสมอ ทำให้มีคุณค่ามากขึ้น รวมถึงมีสินค้าหลากหลายรูปแบบมากกว่า เช่น หนังปลา หนังงู เป็นต้น  ซึ่งในอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยมีการนำเข้าและส่งออก อยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่ถ้ารวมกับกระเป๋าและเครื่องใช้ในการเดินทาง รองเท้า น่าจะอยู่ประมาณ 100,000 ล้านบาท”

คุณสุวัชชัย ระบุเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันทางสมาคมฟอกหนังไทยได้สร้างความร่วมมือกับทางสมาคมรองเท้า กระเป๋า เพื่อพัฒนาให้เกิด Young Designer รุ่นใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อทำอย่างไรให้แบรนด์ไทยได้ครองใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ส่วนความต้องการของผู้ประกอบการต่อภาครัฐในปัจจุบัน คือ 

1.ต้นทุนการดำเนินงานลดน้อยลง 
2.ข้อกำหนดทางการค้าเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมฟอกหนัง เช่น การขยาย FTA ให้มากขึ้น, ข้อกำหนดด้านปศุสัตว์ เป็นต้น”

คุณสุวัชชัย ยังได้กล่าวถึงเทรนด์การทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมว่า “ปัจจุบันสมาคมฟอกหนังไทย ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการฟอกหนังเน้นเป้าหมายผลิตสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สินค้าต้องย่อยสลายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ใช้ การผลิต ออกแบบจะต้องอยู่ในการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายเริ่มพัฒนาสินค้าไปในทิศทางนี้แล้ว เช่น เมื่อผลิตสินค้าสารเคมีจะต้องไม่ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม เป็นต้น”

“ปัจจุบันเราไม่ได้ใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดมลพิษแล้ว ในส่วนของภาครัฐเองก็ส่งเสริม BCG โมเดลและเริ่มผลักดันผู้ประกอบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” คุณสุวัชชัย เน้นย้ำ

ส่วนเป้าหมายของอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย ปัจจุบันเราพยายามปรับตัวเข้าสู่ชุมชนมากขึ้น เรามุ่งเน้นไปที่ทำหนังอย่างไรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนมากที่สุด การบำบัดน้ำเสียตอนนี้มีอยู่ในเขตประกอบการของเรา ซึ่งมีบ่อหนึ่งเราปิดบ่อเลย แต่เราได้แก๊สมีเทน (Methane) และเน้นไปด้านไบโอแก๊ส (Biogas) เพื่อได้พลังงานกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นที่แรกในเมืองไทย ที่สามารถเอาสิ่งปฏิกูลเหล่านี้มาเป็นพลังงานได้ 

อุตสาหกรรมฟอกหนังไทยถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายมาตลอด อยากฝากถึงประชาชนว่า ปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมฟอกหนังเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ธุรกิจ เราเป็นหนึ่งใน 45 อุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย เราไม่ได้มานั่งแก้ตัวว่าเป็นส่วนหนึ่งของมลพิษ แต่เราพยายามที่จะปรับตัวเข้าไปในชุมชนดูแลสิ่งแวดล้อม หรือติดตามเทรนด์ในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่เข้มข้นขึ้น สำหรับการจัดการกลิ่น น้ำเสีย ปัจจุบันสามารถเช็กได้ว่ามีมากหรือน้อยอย่างไร 

“การฟอกหนังใช้กระบวนการผลิตสมัยใหม่ การใช้สารเคมีที่แตกต่างจากเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบใหม่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมฟอกหนังเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าสู่ BCG โมเดล เพื่อทำให้มลพิษลดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด” คุณสุวัชชัย กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top