Monday, 19 May 2025
NewsFeed

‘จีน’ เผชิญวิกฤติ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ‘หอพักไม่เพียงพอ’ หลังเด็กแห่เรียน ป.โท จนต้องไปเช่าอพาร์ตเมนต์ข้างนอกให้อยู่

เมื่อวานนี้ (14 มี.ค.67) ​อัตราการจ้างงานที่น้อยลงในจีนทำให้นักศึกษา​จบใหม่หลายคนเลือกที่จะศึกษา​ต่อปริญญา​โทมากกว่าออกมาหางานหลังจบจากรั้วมหาวิทยาลัย โดยผลการสำรวจของเว็บไซต์การศึกษาจีนออนไลน์ในปี 2024 เผยว่าเมื่อปี 2021 มีจำนวนนักศึกษาที่สมัครเรียนต่อ​ปริญญาโทราว 649,000 คน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 197,000 คนในปี​ 2012 และในปี 2022 กระทรวง​การศึกษา​จีนเผยว่ามีนักศึกษาที่สมัครเรียนต่อ​ปริญญาโท​เกือบ 700,000 คน

เมื่อมีนักศึกษา​ที่ต้องการเรียนต่อปริญญาโท​มากเกินไป ก็ส่งผลให้หอพักในมหาวิทยาลัย​หลายแห่งมีจำนวนห้องพักไม่เพียงพอ อีกทั้งมหาวิทยาลัยยังต้องแบ่งห้องพักส่วนหนึ่งไว้ให้นักศึกษาปริญญาตรีตามกฎระเบียบ​ของมหาวิทยาลัยจีนที่ส่วนมากบังคับให้นักศึกษาปริญญาตรีต้องพักในหอใน

อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยจีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามหาทางแก้ไขปัญหาหอพักขาดแคลน เช่น มหาวิทยาลัย​ครุศาสตร์​เซี่ยงไฮ้​ (Shanghai Normal University)​ กำหนดให้นักศึกษา​ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้​สามารถเข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลั​ย หากมีเตียงว่างถึงจะให้นักศึกษาที่เป็นคนท้องถิ่น โดยใช้ระยะทางการเดินทางจากบ้านมาเรียนเป็นเกณฑ์​ในการคัดเลือก

ด้านมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University) ในเซี่ยงไฮ้เช่าอพาร์ตเมนต์นอกมหาวิทยาลัย​ในระยะยาว​ เพื่อทำเป็นหอพักให้นักศึกษาปริญญาโท​ชาวจีนและนักศึกษา​ชาวต่างชาติ​ บางแห่งที่เจอสถานการณ์​เร่งด่วน​ก็แก้ไขปัญหา​ด้วยการเช่าหอพักที่ยังว่างของวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่อยู่​ใกล้เคียง หรือให้นักศึกษา​ปริญญาตรีไปหาหอพักเองโดยมีเงินช่วย​เหลือจากมหาวิทยาลัย​ หรือนำพื้นที่บางส่วนของห้องน้ำในแต่ละชั้นมาปรับปรุง​เป็นห้องพักให้นักศึกษา​

แม้มหาวิทยาลัยหลายแห่ง​จะพยายามช่วยเหลือ แต่นักศึกษา​ที่ต้องอาศัยอยู่นอกมหาวิทยาลัยก็ยังประสบปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะ​เรื่องการเดินทางและค่าใช้จ่าย นักศึกษา​คนหนึ่งของมหาวิทยาลั​ยฟู่ตั้น กล่าวว่า ถึงแม้มหาวิทยาลัย​จะมีบริการรถโดยสาร​รับ-ส่งนักศึกษา​ แต่ตารางเดินรถกับตารางเข้าเรียนของตนไม่สอดคล้อง​กัน นักศึกษา​หลายคนที่เลือกเดินทางไปเรียนเองต้องใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ​กว่าจะถึงมหาวิทยาลัย​ 

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย หากนักศึกษาคนไหนจับฉลากห้องพักไม่ได้ ก็จะต้องไปอยู่หอพักนอกมหาวิทยาลัย​ โดยทางมหาวิทยาลัย​เสนอเงินช่วยเหลือให้นักศึกษา​เดือนละ 800 หยวน (ราว 4,000 บาท)​ เป็นระยะเวลา 10 เดือน ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็ยังไม่พอกับค่าเช่าหอพักที่อยู่​รอบมหาวิทยาลัย​ ซึ่งส่วนใหญ่​อยู่ที่ประมาณ​ 3,000 หยวน (ราว 14,900 บาท)

หน่วยงานภาครัฐของจีนเองก็พยายามช่วยแก้ปัญหา​นี้เช่นกัน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐบาลออกนโยบาย​ให้มหาวิทยาลัยสร้างหอพักใหม่หรือปรับปรุง​หอพักเดิม โดยมีตอนหนึ่ง​ระบุว่าให้มหาวิทยาลัย​ซื้อหรือ​เช่าอาคารของภาคเอกชน เช่น อพาร์ตเมนต์​หรือ​อาคาร​ที่มีทั้งห้องพักและศูนย์​การค้าที่อยู่​รอบมหาวิทยาลัย​ 

หลินฝาน เจ้าของธุรกิจ​ให้เช่าอพาร์ตเมนต์​รู้สึกพึงพอใจ​กับนโยบายนี้มาก เพราะมหาวิทยาลัยเสนอราคาเช่าที่ค่อนข้างดีราว 700-1000 หยวนต่อห้อง (ราว 3,500-5,000 บาท)​ ขึ้นอยู่​กับทำเลที่ตั้งของที่พัก

‘พอล มนุษย์ปอดเหล็ก’ 1 ใน 2 คนสุดท้ายของโลก เสียชีวิตแล้ว หลังป่วยโปลิโอเป็นอัมพาต ต้องนอนในถังมานานกว่า 70 ปี

(15 มี.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ หรือ พอล ปอดเหล็ก ‘มนุษย์ปอดเหล็ก’ 1 ใน 2 คนสุดท้ายของโลก ผู้ป่วยโปลิโอและต้องใช้ชีวิตในเครื่องปอดเหล็ก ซึ่งเป็นกระบอกโลหะขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนความกดอากาศเพื่อกระตุ้นการหายใจ โดยเขาอยู่ในเครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานานกว่า 70 ปี เสียชีวิตแล้ว หลังจากครบรอบวันเกิดปีที่ 78 ของเขาไปได้ไม่นาน

พอล อเล็กซานเดอร์ เป็นชาวเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส ตอนที่เขาอายุได้ 6 ขวบ พอล อเล็กซานเดอร์ ก็ติดเชื้อและป่วยเป็นโรคโปลิโอ แม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ แต่โรคร้ายก็ทำให้เขากลายเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจทำงานไม่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ต้องนำร่างกายของเขาตั้งแต่คอลงไปเข้าอยู่ในเครื่องช่วยหายใจทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Iron lung เกือบตลอดเวลา ซึ่งกลายเป็นที่มาของฉายา ‘มนุษย์ปอดเหล็ก’

ต่อมาครอบครัว 'พอล อเล็กซานเดอร์' โพสต์ข้อความเพื่อแจ้งข่าวการเสียชีวิตของเขา โดยก่อนหน้านั้นก็มีข้อความจาก คริสโตเฟอร์ อัลเมอร์ ผู้ก่อตั้งเพจรับบริจาคเพื่อหาค่าใช้จ่ายในการรักษาให้ ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ ในเว็บไซต์ของ GoFundMe เนื่องจากเขาโดนฉ้อโกงจนแทบไม่เหลือเงินในการดำรงชีวิต ยืนยันว่า ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ เสียชีวิตแล้ว แต่ยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เขาเสียชีวิต

โดยพบว่าก่อนการเสียชีวิตนั้น เมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ ติดเชื้อโควิด-19 และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เข้าใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์ เมื่อแพทย์พบว่าไม่มีเชื้อไวรัสในร่างกายเขา ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ ก็ได้กลับบ้าน แต่ยังไม่มีการยืนยันว่า โควิด-19 เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของชายปอดเหล็กคนนี้หรือไม่

‘ธนกร’ ค้าน!! นิรโทษกรรม คนผิด ม.112 ยัน!! เป็นคดีด้านความมั่นคง ไม่ใช่การเมือง

(15 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช.มองคดี ม.112 เป็นเงื่อนไขทางการเมือง หากอยากคลี่คลายความขัดแย้งควรขยายพื้นที่การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงความผิดมาตรานี้ด้วยนั้น ว่า ก่อนอื่นบุคคลในฝ่ายการเมืองต้องตั้งหลักให้ถูกต้องก่อน เพราะคดีชุมนุมทางการเมือง กับ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ เป็นคนละเรื่องที่จะนำมาเหมารวมว่าเป็นการเมืองไม่ได้

“ยกตัวอย่างหากมีใครมาด่าว่า หมิ่นประมาทบุพการีของเรา แบบเสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง เจ้าตัวจะยอมหรือไม่ ผมเข้าใจว่าที่หลายคนมองเรื่องนี้ผิดไปเป็นเรื่องการเมืองนั้น เนื่องจากมีบางพรรคการเมืองให้การสนับสนุนกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ ออกมาเคลื่อนไหว เมื่อมีความผิดก็คิดว่าเป็นคดีทางการเมืองซึ่งไม่ใช่ และที่สำคัญศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ชี้ชัดแล้วว่าการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรานี้ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง ผมจึงอยากให้ทุกฝ่ายทางการเมืองตั้งสติ แยกประเด็นให้ถูกต้อง” นายธนกร กล่าว 

เมื่อถามว่าหากนิรโทษกรรมไม่รวมคดี ม.112 จะมีการแก้ปัญหาความเห็นต่างในบ้านเมืองอย่างไร นายธนกร กล่าวว่า สังคมไทยมีหลายเวทีให้แสดงความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย ทั้งเวทีสาธารณะและเวทีสภา ซึ่งตนมองว่าควรที่จะเคารพความเห็นต่างของทุกฝ่าย แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง หรือ บางกลุ่ม ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน สมควรที่ปัญญาชนต้องเคารพสิทธิเสรีภาพคนอื่นในสังคม ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลของกลุ่มตนเองฝ่ายเดียวมากกว่านั้น พรรคการเมืองหรือผู้ใหญ่ต้องชี้แนะ และให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่คนรุ่นใหม่ ไม่เป็นการให้ท้ายในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นความมั่นคงของรัฐ ต้องให้ความสำคัญใครจะละเมิดไม่ได้ ถือว่าเป็นการสร้างความแตกแยกและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

“คุณณัฐวุฒิ ควรยึดหลักการให้ดี ไม่ใช่เห็นว่าเป็นการชุมนุมแล้วเหมารวมว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปเสียหมด ต้องมาดูว่าเจตนาและเป้าหมายของการชุมนุมและการแสดงความเห็นต่าง ๆ นั้น ต้องการอะไรกันแน่ ความคิดเห็น ความชื่นชอบทางการเมืองแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่สร้างความแตกแยก ทำกิจกรรมโดยความสงบ และต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากทำผิดเรื่องความมั่นคงของรัฐ ไปแตะต้องเบื้องสูงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง และศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยชี้ชัดมาแล้ว ซึ่งนายณัฐวุฒิก็ยอมรับเองว่าไม่เคยมีการเคลื่อนไหวแบบนี้มาก่อน จึงมองว่าเรื่องนี้ก็ไม่ควรที่จะได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่การเมือง” นายธนกร กล่าว

ตร. เตือน ระวัง 5 บัญชีโซเชียลอันตราย แนะ ไม่รับแอด ไม่คุยแชต ไม่โอนเงิน

วันนี้ (15มีนาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพยังคงมีการพัฒนารูปแบบในการหลอกลวงพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ มีการนำหลักจิตวิทยามาปรับใช้ใช้ในการหลอกล่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพมักสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อ เช่น สร้างบัญชีปลอมเป็นบุคคลมีชื่อเสียง สร้างบัญชีปลอมเป็นหน่วยงานของรัฐ สร้างบัญชีที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง(บัญชีอวตาร) หรืออ้างว่าตนเองมีฐานะร่ำรวย เป็นต้น

โดยรูปแบบของบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ต้องระวัง เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพมี 5 รูปแบบดังต่อไปนี้

1. “หนุ่มหล่อสาวสวย” แอดท่านเป็นเพื่อน โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพื่อพยายามสานสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว ซึ่งจะนำไปสู่การหลอกลวงเอาทรัพย์สิน หรือหลอกให้ส่งภาพลามก

2. “อวดร่ำอวดรวย” โดยมักจะมีการโพสต์ในทำนองว่าได้เงินจากการลงทุน หรือทำธุรกิจบางอย่าง ซึ่งได้ผลตอบแทนสูง ซึ่งจะนำไปสู่การหลอกลวงชวนลงทุน หรือ Hybrid Scam

3. “ต่างชาติวัยเกษียณ” ส่งข้อความมาหาหรือแอดท่านเป็นเพื่อน เพื่อสานสัมพันธ์เชิงชู้สาว จากนั้นอ้างว่าจะย้ายมาอยู่ประเทศไทย และจะส่งทรัพย์สินมาให้ แต่ติดอยู่ที่ศุลกากร หลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินให้มิจฉาชีพ

4. “หน่วยงานรัฐ(ปลอม)รับช่วยเหลือ” ลงโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ อ้างหน่วยงานของรัฐเปิดบริการรับแจ้งความ หรือให้ความช่วยเหลือในการติดตามทรัพย์สินจากคนร้าย จากนั้นจะหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงิน โดยอ้างว่าเป็นขั้นตอนในการติดตามเงินคืน หรือค่าใช้จ่ายในการติดตามคดี

5. “แอคหลุม แอคปลอม” แชร์แต่ข่าว ร้านอร่อย ที่เที่ยวสวย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แอดท่านมาเป็นเพื่อน ต้องระวัง เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสเข้ามาส่องบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของท่าน หรือเอาภาพของท่านไปใช้ในการสร้างบัญชีปลอมของมิจฉาชีพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอแนะนำให้พี่น้องประชาชน “ไม่รับแอด ไม่คุยแชต ไม่โอนเงิน” บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่มีลักษณะดังกล่าว เพื่อลดโอกาสที่ท่านจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ ที่สร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

มุกดาหาร -กกล.สุรศักดิ์มนตรี ตรวจยึดหมูเถื่อน ขณะเตรียมลักลอบส่งข้ามแม่น้ำโขง

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ร.ท.ภานุพงษ์ คงรัตน์ ผู้บังคับหมวดปืนเล็กที่ 2 กองร้อยทหารราบ กองกำลัง(กกล.)สุรนารี ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบขนหมูหนีภาษี ไม่ผ่าน พรบ.ศุลกากร ข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่ง สปป.ลาว  จึงได้บรูณาการร่วมกับ ชปข.กอ.รมน. , ขกท.กกล.สุรศักดิ์มนตรี, ชรต.209 กอ.รมน.ภาค 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลาดตระเวนในพื้นที่ บ.ทรายทอง ม.6 ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร กระทั่งเวลา 19.10 น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลประมาณ 10 -15 คน กำลังขนสิ่งของต้องสงสัยลงมาบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณดังกล่าว จึงได้แสดงตนเพื่อทำการขอตรวจค้น แต่กลุ่มคนดังกล่าวเมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้แสดงอาการตื่นตกใจและได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป  จากการตรวจสอบพื้นที่พบรถเข็นบรรทุกหมูจำนวน 3 ตัว จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259-777

ตำรวจภาค 4 ลุยปราบปรามเชิงรุก เด็ดปีกนักค้ารายย่อย จ.นครพนม

สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้เปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 ปูพรมจับกุมนักค้ายาเสพติดรายย่อยทั่วภาคอีสานตอนบน เมื่อวันที่ 3 ก.พ.67 ที่ผ่านมา ซึ่งกวาดล้างจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่ตำรวจภาค 4 ได้ผู้ต้องหา 309 ราย ของกลาง ยาบ้า 1,418,412 เม็ด ยึดและอายัดทรัพย์สิน 1,318 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 171,605,208 บาท นั้น

ตำรวจภาค 4 ได้สืบสวนหาข่าวนักค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยทราบว่า หลังจากการกวาดล้างจับกุมครั้งใหญ่ผ่านไประยะหนึ่ง มีนักค้ายาเสพติดลักลอบเข้าไปค้ายาเสพติดในพื้นที่ จ.นครพนม อีก พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 จึงได้สั่งการให้กวาดล้างจับกุมทันที  เมื่อวันที่ 14 มี.ค.67 พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.4 พร้อมหมายค้นศาลจังหวัดนครพนม เข้าปิดล้อมตรวจค้น 4 เป้าหมายใน อ.นาหว้า จ.นครพนม สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้ จำนวน 8 ราย พร้อมยาเสพติดของกลาง คือ ยาบ้าจำนวน 2,115 เม็ด, ปืนอัดลม (แรงดันสูง) จำนวน 3 กระบอก  และยึดอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ 4 รายการ คือ 1.รถยนต์กระบะโตโยต้า สีดำ ทะเบียน บษ 7854 สกลนคร จำนวน 1.คัน 2.โฉนดที่ดิน จำนวน 2 แปลง รวมเนื้อที่ 7-5-69 ไร่ 3.สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 5 เล่ม 4.บัตรกดเงินสด (ATM) จำนวน 3 ใบ รวมมูลค่าประมาณ 5,000,000 บาท โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1(เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเป็นการกระทำให้กิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐฯ , มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ฯลฯ          

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการกวาดล้างนักค้ารายย่อยของตำรวจภาค 4 ที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จ.นครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายในการสกัดกั้น ปราบปราม ทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อลดความรุนแรงและความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหายาเสพติด ซึ่งตำรวจภาค 4 ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นมาตลอด นอกจากนี้ตนได้สั่งกำชับให้ตำรวจทั้ง 252 สภ. ลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อหาข้อมูลการข่าวของผู้ค้ายาเสพติดทุกระดับทั้ง รายย่อย รายใหญ่ หากพบให้จับกุมทุกราย พร้อมทั้งยืนยัน นักค้ายาต้องไม่มีที่ยืนในพื้นที่ ผบช.ภ.4 กล่าวในที่สุด

‘แอนนี่ บรู๊ค’ ชนะคดีฟ้องเพจดัง สร้างคอนเทนต์ขยะ ทำลูกชายเสียหาย วอน!! เลิกเอาอดีตมาบูลลี่-อย่ายุ่งกับชีวิตเด็ก ย้ำ เรื่องผู้ใหญ่มันผ่านมาแล้ว

(15 มี.ค.67) หลังจากที่เคยขึ้นศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีหมิ่นประมาท เจ้าของเพจชื่อดัง ที่โพสต์รูปลูกชาย น้องฑีฆายุ วัย 13 ปี มีเกรียนคีย์บอร์ดพาดพิงถึงลูกในแง่ไม่ดี ทั้งที่ลูกยังเป็นเยาวชน ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชื่อเสียงและจิตใจ ตั้งแต่เดือน ม.ค. ปีที่ผ่านมา

ล่าสุดวันนี้ แอนนี่ บรู๊ค ได้เผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าตนชนะคดีเรียบร้อยแล้ว คู่กรณีโดนโทษอาญา 2 ปี พร้อมค่าปรับ อัดเลิกเถอะ เอาอดีตคนอื่นมาบูลลี่ ส่วนเพจอื่นที่พาดพิงถึงลูกอย่าคิดว่าจะรอด

“ชนะแล้วนะคะ คดีที่แอนฟ้องเพจที่สร้างคอนเทนต์ขยะเกี่ยวกับแอนและลูก โดนโทษอาญาไป 2 ปีและค่าปรับ เลิกเถอะนะคะเอาอดีตคนอื่นมาบูลลี่โดยไม่สนปัจจุบันว่าเขาทำดีแค่ไหนมาไกลอย่างไรแล้ว

🙏ขอบคุณพี่เจมส์ ทนายเจมส์ LK ที่ทำให้เห็นว่าวิชาชีพทนายไม่ใช่มาจากคำบอกเล่า แต่มาจากความสามารถโดยแท้

📌ส่วนคนคอมเมนต์รอหน่อย ทยอยอยู่ ส่วนเพจอื่นตอนนี้ที่ทักไปแล้วบอกให้ลบแล้วยังไม่ยอมลบ ก็อย่าคิดว่าจะรอด ดิฉันว่างค่ะ ถ้าคุณยังไม่หยุดยุ่งกับลูกดิฉัน”

บอกแล้วว่าไม่ไกล่เกลี่ยคือไม่ไกล่เกลี่ยไม่รับเงินใต้โต๊ะใด ๆ ทั้งสิ้น คำไหนคำนั้นเลิกยุ่งกับชีวิตชาวบ้านเขาได้แล้วพวกที่ชอบความสนุกในการพิมพ์ เพราะบางคนเขาไม่ได้ให้อภัยคุณ

คนเราต้องหัดมองปัจจุบันของคนอื่นเขาบ้างว่าเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไง ไม่ใช่เอาแต่เรื่องอดีตมาพูดอยู่ตลอดเวลา แม่เลี้ยงเดี่ยวบางคน ตอนนี้มีสามีไปแล้วเป็นร้อย ดิฉันยังไม่เคยทำอะไรผิดพลาดอีกเลย ก็ต้องรู้จักดูกันบ้าง ไม่ใช่เอาความสะใจมาบูลลี่เรื่องอดีตคนอื่นกับเด็กก็ไม่เว้นมันก็ควรโดน

สำคัญคือลูกดิฉันไม่ได้ผิดอะไร เด็กไม่ได้ทำผิดอะไรเลย อย่ายุ่งกับชีวิตของเด็ก เรื่องผู้ใหญ่มันผ่านมาแล้ว”

'อลงกรณ์-ชัชชาติ' ผนึกความร่วมมือ 'กทม.-จีน' แก้ปัญหาพีเอ็ม2.5และลดโลกร้อนพร้อมเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท ประธานที่ปรึกษาและผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยเปิดเผยวันนี้(15 มี.ค.)ภายหลังนำคณะสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจีนด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีกว่า10คนเข้าพบหารือกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและคณะผู้บริหารกทม.ที่ศาลาว่าการ กรุงเทพมหานคร เพื่อกระชับความสัมพันธ์พร้อมหารือความร่วมมือระหว่างกันในด้านของสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดว่า

การพบปะหารือครั้งนี้เป็นไปด้วยบรรยากาศของความร่วมมือในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์การเป็น“มหานครโซลาร์เซลล์”และ“กรุงเทพสีเขียว2030 “ของกรุงเทพมหานครโดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนและความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและประเทศจีนถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง 

อีกทั้งประเทศจีนยังเป็นตัวอย่างในที่ดีในเรื่องของการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดซึ่งกรุงเทพมหานครมีกลไกและแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหาpm.2.5 การส่งเสริมพลังงานสะอาด การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(EV) การมีจุดบริการบรรจุไฟฟ้า(EV Charging points)และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดคาร์บอนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและการพัฒนาเมือง
โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สรุปเป้าหมายของกรุงเทพมหานครในด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด ซึ่งจะเป็นโครงการที่สามารถประสานความร่วมมือระหว่างกันได้ในอนาคต ได้แก่ 

1. การโปรโมตการใช้รถ EV ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีโครงการเปลี่ยนรถขยะจากระบบน้ำมันมาเป็นระบบ EV จำนวน 2,000 คัน
2. การเพิ่มจุดชาร์จรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้มีการเปิดให้ยื่นข้อเสนอในการติดตั้งจุดชาร์จรถไฟฟ้า 40 จุด
3. การพิจารณาทำโรงเผาขยะเพื่อผลิตไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการหาผู้ลงทุนและผู้ดำเนินการ 
4. การทำให้กรุงเทพมหานครเป็นมหานครโซลาร์เซลล์ เนื่องจากพื้นที่กรุงเทพฯ มีแดดทั้งปี โดยมีโครงการจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ในทุกหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร 
5. การพิจารณาโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลม เนื่องจากกรุงเทพฯ มีพื้นที่ชายทะเลอยู่ประมาณ 5 กิโลเมตร ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้ประธานที่ปรึกษาฯ ต่อศักดิ์ โชติมงคล เป็นผู้ประสานความร่วมมือหลัก

นายอลงกรณ์ อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่งและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารกทม.และแสดงความชื่นชมผู้ว่ากรุงเทพมหานครและคณะที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด การขับเคลื่อน“กรุงเทพสีเขียว2030”(Green Bangkok 2030” ความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon neutrality)และซีโร่คาร์บอน(Zero carbon)โดยเป็นภารกิจของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายลดโลกร้อนในปีค.ศ.2050และ2065ตามลำดับ ซึ่งความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับประเทศจีนในครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการปูทางสู่วาระครบรอบ50ปีในความสัมพันธ์ทางการฑูตของ2ประเทศในปี2568นับแต่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี2518ซึ่งม.ล.สุภาพ ปราโมชผู้ก่อตั้งสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเซียได้ร่วมคณะไปด้วยในครั้งนั้นและสานต่อภารกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการเดินทางไปจีนถึง148ครั้งเพื่อสานสัมพันธ์2ประเทศจนถึงทุกวันนี้โดยคณะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจีนด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีได้ตอบตกลงและพร้อมสนับสนุนข้อริเริ่มว่าด้วยความร่วมมือของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่างกระตือรือร้นและจะเร่งดำเนินการต่อเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

สำหรับการประชุมหารือเมื่อวันที่14มีนาคม2567มีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายไทภัทร ธนสมบัติกุล ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง นายประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม นางสาวพรรณราย จริงจิตร ผู้อำนวยการสำนักงานการต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ คณะสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจีนด้านพลังงานสะอาด ซึ่งนำโดยนายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์ หม่อมหลวงสุภาพ ปราโมช ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย นางสาวประจงจิต พลายเวช รองประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมฯ นางสาวอภิญญา ปราโมช นายกสมาคมฯ นายธัชธรรม พลบุตร และนายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด กรรมการบริหารมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย

‘เทศบาลนครระยอง - นศ.เทคนิคระยอง’ ออกหน่วยอาสา ‘ซ่อมบ้าน-เครื่องยนต์ประมง-เครื่องใช้ไฟฟ้า’ ให้ผู้ยากไร้ฟรี

(15 มี.ค. 67) ที่วิสาหกิจชุมชนปากน้ำ แหลมรุ่งเรือง ต.ปากน้ำ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง นายนรินทร์ เจนจิรวัฒนา รองนายกเทศมนตรีนครระยอง เป็นประธานเปิดโครงการบูรณาการการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพกับการเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนอาชีวศึกษา (Fix it - จิตอาสา) ศูนย์ซ่อมเพื่อชุมชน ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยนำนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคระยองออกหน่วยบริการซ่อมแซมเครื่องยนต์เรือประมง อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน ซ่อมแซมสร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ ซ่อมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยานพาหนะให้กับประชาชนในพื้นที่ฟรี

‘นายกฯ’ ตอก!! ‘แบงก์ชาติ’ ชี้ หน่วยงานอื่นยังมีจิตสำนึก ลดดอกเบี้ยช่วยประชาชน

(15 มี.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการรับฟังแถลงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้เงินกู้แก่บุคลากรของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐว่า ขอขอบคุณเกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง และชื่นชมในการตั้งใจทำงาน ส่วนตัวเชื่อว่า หลายคนอาจจะไม่ได้ประสบปัญหาเยอะแบบเดียวกับข้าราชการอีกหลายแสนคน ซึ่งข้าราชการเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ แต่ยังมีหนี้สิน ชักหน้าไม่ถึงหลัง 

“ทำงานเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ดอกเบี้ย ถือเป็นสารตั้งต้นหายนะของประเทศ ต้องขอใช้คำนี้ เพราะไม่ใช่แค่เพียงมีเงินไม่พอ แต่หันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด เพื่อทำให้จิตใจดีขึ้น สบายใจขึ้น ถือเป็นความเข้าใจผิด หรือไปทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นสารตั้งต้นที่ไม่ถูกต้อง”

เพราะฉะนั้นการรวมตัวกันในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขกฎหมายว่าไม่ต้องออกจากราชการ มีเงินใช้ 30% รวมถึงสินเชื่อพิเศษ ลดดอกเบี้ย ซึ่งตนเข้าใจว่าหลายหน่วยงานต้อง หวังเรื่องการปันผลหรือผลกำไร แม้ว่าแบงก์ชาติจะไม่ลด แต่หน่วยงานช่วยกันลด ก็ขอขอบคุณจากใจจริง และเชื่อว่าข้าราชการในหน่วยงานนั้นๆ ก็ขอบคุณเช่นเดียวกัน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เข้าใจว่าแต่ละหน่วยงานก็มีเป้าหมายของตัวเอง การที่ต้องเฉือนเนื้อเพื่อลดกำไร ถือเป็นเรื่องที่ดี และขอฝากข้อคิดว่า ต้องการให้หน่วยงานสหกรณ์เข้ามาร่วมโครงการนี้ให้มากขึ้น และขอให้ทำงานหนักขึ้น เชื้อเชิญให้เข้ามาอยู่ในระบบให้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้หนี้สินเหล่านี้ไม่ได้ลดลงไป แต่เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีขีดจำกัดในการทำงานพอสมควร เพราะเป็นผู้บริหารระดับสูง จึงจะต้องหาวิธีการการแก้ปัญหา จึงขอให้ทะเยอทะยานมากขึ้น พยายามช่วยเหลือประชาชนให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งก็เชื่อว่าผู้นำเหล่าทัพมีความใกล้ชิด และเข้าใจความลำบากของ ประชาชนอยู่แล้ว

จากนั้น นายเศรษฐา ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ที่ทุกหน่วยงานอยากให้มีการลดเบี้ยหมด ถือเป็นการลดรายจ่ายส่วนหนึ่ง อย่างน้อยหากธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันจะไม่ลดดอกเบี้ย แต่ก็มีหน่วยงานอื่นที่มีจิตใจสำนึกในการลดอัตราดอกเบี้ย ขอขอบคุณหน่วยงานเหล่านั้น เพราะการทำงานทำด้วยใจจริงๆ เชื่อว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บริหารระดับสูง เห็นความลำบากของประชาชนจริงๆ โดยเฉพาะภาระหนี้สิน อย่างที่เคยกล่าวไว้ ภาระหนี้สินของประชาชน คือสารตั้งต้นของความหายนะของประเทศ ตอนนี้เราต้องช่วยกันก่อน

ส่วนหนี้ กยศ. ที่อยากให้ลดเหลือ 0.5 นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้ตนเองก็จะไปช่วยดู และตระหนักดีว่าเป็นความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยันว่าเรายังช่วยดูแลกันอย่างเต็มที่ ที่เรายังช่วยดูแลกันได้ ซึ่งได้บอกไปในที่ประชุมว่า หากช่วยกัน ช่วยกันได้อีก รวมถึงการขยายวงเงิน และบอกอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ไปด้วยว่า ควรที่จะเร่งเอาสหกรณ์เข้ามาอยู่ในโครงการด้วยโดยเร็ว และมีอีกหลายอย่างที่ทำกันได้อยู่ ซึ่งเราเพิ่งเริ่มทำกันมาได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น เราได้ผลส่วนหนึ่งแล้ว ขณะที่ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายกิติรัตน์ ณ ระนอง ก็มีแรงใจในการทำเรื่องนี้มาก ลงไปพูดคุยในหลายหน่วยงาน พยายามทำให้ทุกคนมีความทะเยอทะยานในการช่วยเหลือ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ดูจากแววตาของผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายในวันนี้ ซาบซึ้งถึงความลำบากของประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top