Saturday, 12 October 2024
GoodsVoice

''PT LPG'' แจกคูปองส่วนลดเติมก๊าซ 1,100 บาท ประคองต้นทุนคนขับแท็กซี่ 10,000 คัน

ค่อย ๆ ทยอยออกมาเรื่อย ๆ สำหรับนโยบายภาครัฐ ในการช่วยเหลือประชาชนแต่ละกลุ่มผ่านมาตรการต่าง ๆ กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ ก็เป็นอีกกลุ่มที่ถึงคิวในการช่วยเหลือจากภาครัฐ

เพื่อประคองต้นทุนในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตผู้ขับ ผ่านโครงการ ''PT LPG เพื่อแท็กซี่ สู้วิกฤต'' โดยมี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการ

สำหรับโครงการนี้ "สุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอลิมปัส ออยล์ จำกัด บริษัทในเครือ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ "PTG" เปิดเผยว่า "บริษัทฯ ได้จัดงบประมาณอยู่ที่ 22 ล้านบาท เดินหน้าจัดโครงการส่งมอบความช่วยเหลือลดต้นทุนในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตผู้ขับรถแท็กซี่ต่อเนื่อง ภายใต้ชื่อ "PT LPG เพื่อแท็กซี่ สู้วิกฤต" โดยมอบคูปองส่วนลดมูลค่ารวม 1,100 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดต้นทุนเชื้อเพลิงแก๊ส,น้ำมัน,ค่าน้ำมันเครื่องยนต์,ค่าก๊าซหุงต้ม เป็นต้น"

โครงการดังกล่าว ทางบริษัทฯ ได้วางเป้าหมายผู้ขับขี่แท็กซี่เข้าร่วมกิจกรรมอยู่ที่ 10,000 คัน โดยจะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2563 - 1 มกราคม พ.ศ.2564 เฉพาะวันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 17.00 น. สามารถเข้าไปขอรับคูปอง ณ สถานีบริการ LPG ของ PT ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลจำนวน 50 สถานี

นอกจากนี้ ในส่วนของสมาชิกแม็กการ์ด (Max Card) ที่มีจำนวนกว่า 13 ล้านราย เมื่อร่วมใช้บริการแท็กซี่ที่มีสัญลักษณ์ PT Taxi Rewards จะได้รับ 20 คะแนน

ส่วนลูกค้าใหม่ที่สมัครสมาชิกผ่านคิวอาร์โค้ดในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการสำเร็จจะได้รับคะแนน 100 คะแนน สะสมเพื่อใช้แลกเป็นส่วนลดสินค้าและบริการต่างๆ ของบริษัทฯได้ และจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่าย - เพิ่มรายได้แก่แท็กซี่ได้เช่นกัน

"การบินไทย" คัมแบ็ค!! ปั้นรายรับน่านฟ้าสยาม ขนานรายได้ธุรกิจส่งผัก

หยุดทำการบินเส้นทางในประเทศไปตั้งแต่เดือนเมษายน ตอนนี้การบินไทยกำลังจะทะยานสู่น่านฟ้าอีกครั้ง!!

หลังจากรัฐบาลได้คลายล็อกดาวน์มาตรการคุมเข้ม โควิด-19 และสนับสนุนให้สายการบินไทยสมายล์ทำการบินแทนในเส้นทางที่การบินไทยเคยทำการบินอยู่

แต่ตอนนี้ การบินไทย เตรียมจะกลับมาบินในประเทศอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2563 - วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

โดยการบินไทยจะกลับมาเปิดบินใน 2 เส้นทาง ได้แก่

1.) ให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศเฉพาะเส้นทางกรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - เชียงใหม่

2.) เส้นทางบินกรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - ภูเก็ต

ทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าว การบินไทย จะทำการบิน จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ให้บริการในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-200ER

.

- เส้นทางกรุงเทพฯ (BKKเชียงใหม่ (CNX) / เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ได้แก่ TG108 (WE5108) BKK 1210 น.- CNX 13.30 น./TG109 (WE5109) CNX 14.30น. - BKK 15.55 น.

- เส้นทางกรุงเทพฯ(BKK) - ภูเก็ต(HKT) / ภูเก็ต-กรุงเทพฯ ได้แก่ TG205 (WE5205) BKK 12.05 น.- HKT 13.30น. / TG206 (WE5206) HKT 14.20 น.- BKK 15.45 น.

.

ทั้งนี้เบื้องต้นสามารถจองบัตรโดยสารได้จากเว็บไซต์ www.thaismileair.com ส่วนในเว็บไซต์ของการบินไทยคาดว่าจะเปิดให้จองในลำดับถัดไป

นอกจากการเปิดเส้นทางการบินในประเทศอีกครั้งของการบินไทยในครั้งนี้ จะเป็นแผนการหารายได้หนึ่ง

แต่การบินไทย ยังเตรียมหารายได้อื่นควบคู่กันไป โดยเฉพาะกับการเร่งหารายได้จากธุรกิจคาร์โก้

ซึ่งจะร่วมมือกับ 3 กระทรวง คือ กระทรวงคมนาคม / กระทรวงพาณิชย์ / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อกระตุ้นการขนส่งผักและผลไม้ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร ภาคส่งออกและการบินไทยเองด้วย

ตรงนี้เป็นแนวทางต่อเนื่องของการบินไทยในการจัดบริการขนส่งผักและผลไม้ตามฤดูกาล ในราคาขนส่งถูกพิเศษ เพื่อสนับสนุนการส่งออก และช่วยกระจายสินค้าไปต่างประเทศ

ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับการตอบรับดี โดยที่ผ่านมาการบินไทยได้ขนส่งสินค้าไปหลายประเทศ เช่น มะม่วง ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฮ่องกง

นอกจากนี้ยังได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอข้อมูลแนวโน้มการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ปี พ.ศ.2564 เพราะปัจจุบันการบินไทยทำการบินกึ่งพาณิชย์ โดยมีจุดหมายปลายทางเพิ่ม อาทิ ยุโรป ซึ่งประเมินว่าธุรกิจคาร์โก้ปีหน้าจะสร้างรายได้สนับสนุนการบินไทยต่อเนื่อง

"MTL – BDMS - Pfizer" ผนึกกำลังยกระดับสิทธิประโยชน์ เสิร์ฟลูกค้าไทยประกัน 4 ล้านราย

ถ้าจะทำธุรกิจแบบเดินเดี่ยว (Stand Alone) สายป่านไม่ดีจริง หรือฐานลูกค้าไม่ภักดีจริง อาจจะเหนื่อยนักในยุคนี้ แม้แต่จะเป็นธุรกิจใหญ่ก็ตาม

ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา การจับมือกันทางธุรกิจ จึงเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะจับกับแบบ "ข้ามธุรกิจ" แล้วเอาความเชี่ยวชาญของแต่ละธุรกิจเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

ล่าสุด 3 บริษัทใหญ่อย่าง บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL ร่วมมือกับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกโครงการใหม่ร่วมกันโดยใช้ชื่อว่า "MTL Health Buddy"

สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MTL เผยว่า "โครงการนี้เป็นการนำร่องเพื่อยกระดับระบบนิเวศน์ของวงการสุขภาพ (Health Ecosystem) ที่ลูกค้าของเมืองไทยฯ จะได้รับความสิทธิประโยชน์จากการที่เราได้ร่วมมือกับทั้ง BDMS และไฟเซอร์ โดยทาง BDMS จะทำหน้าที่ผู้ช่วยด้านสุขภาพ พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ค้นหาศูนย์แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค ทำการนัดหมาย ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ให้กับ "ลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต" กว่า 4 ล้านคน"

"ขณะเดียวกัน ทาง ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จะเข้ามาเป็นอีกทางเลือกแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ในการเข้าถึงการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และหากได้รับผลตอบรับที่ดี หลังจากนี้จะมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการเตรียมขยายสิทธิประโยชน์การรักษากลุ่มโรคอื่นๆ อีกต่อไปในอนาคต เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็ง ลำไส้ เป็นต้น"

ด้าน พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 BDMS ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในส่วนของบริษัทฯ จะให้บริการการปรึกษาแพทย์แบบ Teleconsultation ทั้งการปรึกษาปัญหาสุขภาพจากอาการป่วย หรือการวางแผนสุขภาพเชิงป้องกัน รวมไปถึงการหา Second opinion

โดยมีทีมแพทย์จากศูนย์แห่งความเป็นเลิศ Center of Excellence ในสาขาต่างๆ ร่วมให้คำปรึกษา อาทิ โรคสมอง หัวใจ มะเร็ง กระดูก หรืออุบัติเหตุ การเจ็บป่วยที่รุนแรง ฯลฯ หากเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม จะมีการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคมะเร็ง พร้อมแนะนำการเลือกใช้ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) ซึ่งได้ร่วมมือกับทางไฟเซอร์ในการให้ยามุ่งเป้าเพื่อการรักษาในระยะยาวอีกด้วย

.

ปัจจุบัน การรักษาด้วยโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy ในคนไข้ทั่วไป ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เฉลี่ยประมาณ 100,000 บาทต่อการรับยา 1 ครั้ง และบางคนต้องรับยาเดือนละหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ และหากการรักษายาวนานเป็นปี คนไข้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงหลายล้านบาท

.

แต่หากลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ที่มีประกันสุขภาพอีลิทเฮลท์ (Elite Health) ที่มีวงเงินความคุ้มครอง 20 - 100 ล้านบาท จะได้รับสิทธิ์ในการรักษาแบบ Targeted Therapy ทันที ส่วนลูกค้าประกันมะเร็ง (CI) อื่น ๆ แม้ไม่ได้รับสิทธิ์นี้ แต่จะได้รับสิทธิ์เป็นส่วนลดค่ายานวัตกรรมจากไฟเซอร์แทน เช่น เดือนนี้จ่าย แต่เดือนหน้าฟรีค่ายา เป็นต้น

.

Did you know

- มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง

- มะเร็งเต้านม เป็นอันดับ 2 ของยอดผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด

- ปีค.ศ.2018 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมใหม่กว่า 2 ล้านคนทั่วโลก

- ยอดผู้เสียชีวิต 6.3 แสนคนทั่วโลก

- ในไทย มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 1.9 หมื่นคนต่อปี

- คนไทย เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม 5,900 คนต่อปี

อังกฤษไฟเขียววัคซีนโควิด-19 "ไฟเซอร์" พร้อมฉีดจริงสัปดาห์หน้า...เพียงพอ 20 ล้านคน

หลังการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในปีนี้ ได้ทุบเศรษฐกิจโลกพังยับเยิน รวมถึงมีผู้สังเวยโรคร้ายดังกล่าวไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลก

นั่นจึงทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างรอคอยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินชีวิตกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

ปัจจุบันวัคซีนที่กำลังเป็นที่จับตาเป็นของ "ไฟเซอร์ - ไบโอเอ็นเทค" และวัคซีนจาก "โมเดอร์นา" ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ ได้รับการยืนยันถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 สูงกว่า 90% โดยทั้ง 2 ชนิดต่างเป็นวัคซีนแบบตัดต่อสารพันธุกรรมหรือที่เรียกกันว่า RNA (mRNA)

ล่าสุดอังกฤษกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติการใช้งานวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทเวชภัณฑ์ไฟเซอร์ (Pfizer) และ ไบโอเอ็นเทค (BioNTech)

โดยรัฐบาลอังกฤษ เห็นพ้องตามคำแนะนำจากสำนักงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและยา (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency - MHRA) และรับรองการใช้งานวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทดังกล่าว

ด้าน แม็ตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ยอมรับว่า นี่เป็นข่าวดีมาก พร้อมประกาศว่าโครงการแจกวัคซีน โควิด-19 จะเริ่มแจกจ่ายทั่วสหราชอาณาจักรตั้งแต่ต้นสัปดาห์หน้า โดยโรงพยาบาลทั่วอังกฤษมีความพร้อมที่จะทำการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ซึ่งเพียงพอสำหรับ 20 ล้านคน หลังจากรัฐบาลอังกฤษได้ทำสัญญาสั่งซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์จำนวน 40 ล้านโดส

ทั้งนี้ทางคณะกรรมการด้านวัคซีนจะพิจารณาว่าคนกลุ่มใดที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ๆ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ตามสถานสงเคราะห์, เจ้าหน้าที่สาธารณสุข, ผู้สูงวัย หรือผู้ที่มีความเปราะบางเป็นพิเศษ ต่อไป


ที่มา: รอยเตอร์, BBC

"คนละครึ่ง" งานดี!! ดัน "ดัชนี" ดีดตัว

นาทีนี้ "โครงการคนละครึ่ง" กลายเป็นพระเอกสร้างชื่อให้กับรัฐบาล สร้างผลงานดี จนส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยกันมาก หมุนวนจนระบบเศรษฐกิจเริ่มขยับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า "แต้มบุญของโครงการคนละครึ่ง ทำให้เกษตรกรได้หายใจหายคอกันบ้าง เนื่องจากโครงการนี้มีส่วนช่วยกระตุ้นราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นหลายรายการ โดยเฉพาะข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมันและปศุสัตว์ สร้างกำลังซื้อในหลายจังหวัดให้ดีดตัวขึ้นไปตาม ๆ กัน"

แรงบวกของโครงการดังกล่าวสะท้อนไปสู่ตัวชี้วัดด้านต่าง ๆ ของประเทศที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ "ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค" เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่สำรวจจากประชาชน 2,241 คน ทั่วประเทศ ซึ่ง "ดีดตัว" ขึ้นทุกรายการเป็นเดือนที่ 2 และถือเป็นการดีดตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2563 เป็นสัญญาณดีที่เศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง

ธนวรรธน์ กล่าวถึงดัชนี้ในส่วนอื่น ๆ อีกว่า…

- ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมก่อนหน้า คือ 43.9 ดีดขึ้นเป็น 45.6 ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2563

- ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานก่อนหน้านี้อยู่ที่ 49.0 เพิ่มขึ้นเป็น 50.0

- ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตจาก 59.9 ดีดมาอยู่ที่ 61.6 ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนมาถึง "ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค" ที่เคยอยู่ที่ 50.9 ดีดตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 52.4

- คิดเป็นดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปัจจุบันจาก 35.1 ขึ้นมาอยู่ที่ 36.3

- และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตจาก 58.5 ขึ้นมาที่ 60.1

ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่ดัชนีทุกรายการที่จะขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของดัชนีความเห็นทางการเมืองนั้นกลับอยู่ที่ 23.0 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 14 ปี 3 เดือน เห็นได้ชัดเลยว่าผู้บริโภคมองการเมืองขาดเสถียรภาพอยู่มาก

อย่างไรเสีย แม้ดัชนีจะดีดตัวขึ้นในทุกรายการก็ตาม แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับปกติที่อยู่ในระดับ 100 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมองเศรษฐกิจในมุมลบจากปัญหาการเมืองในประเทศ และวิกฤต โควิด-19 ทั่วโลกอยู่

"ชื่อฉัน" นั้นไพเราะที่สุด เรื่องเล็ก ๆ ที่ Starbucks "เสก" ให้เป็นเรื่องใหญ่ได้

เคยแอบสงสัยเล็ก ๆ เวลาไปสั่งกาแฟที่ร้าน Starbucks กันหรือไม่ว่า...ทำไมพนักงาน Starbucks จึงต้องถามชื่อเราว่าชื่ออะไรคะ? ชื่ออะไรครับ? แล้วก็จรดชื่อไว้บนแก้วกาแฟที่สั่ง

ถ้าคิดแบบคนยุคใหม่ ความคิดลึกซึ้ง และลึกล้ำ..."นี่ฉันกำลังจะได้โปรโมชั่น หรือฉันกำลังถูกเก็บข้อมูลป่ะ?"

จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรอก พนักงานก็คงแค่ตั้งใจเขียนชื่อลูกค้าบนแก้วเพื่อจัดการออเดอร์จำนวนมากให้เป็นระเบียบเท่านั้น

เพียงแต่ในเชิงของธุรกิจ เรื่องเล็ก ๆ ของชื่อบนแก้ว Starbucks นั้น มีนัยยะบางอย่างที่สะท้อนการต่อยอดให้เกิดความผูกพันต่อแบรนด์ Starbucks กับผู้คน จนกลายเป็น "เรื่องใหญ่" ที่น่าศึกษาอยู่ไม่น้อย

นัยยะแรก!! ลูกค้าโปรโมท Starbucks ให้ฟรีๆ

ก่อนหน้านี้ถ้าจำกันได้จะมีเหตุการณ์แบบว่า ลูกค้าหลายรายชอบการเห็นชื่อตัวเองบนแก้ว Starbucks แล้วก็ตัดสินใจถ่ายรูปลงโพสต์ในโซเชี่ยลมีเดียไปอวดเพื่อน ๆ

บางคนถึงกับเล่นตลก แกล้งบอกชื่อปลอมกับพนักงาน เพื่อให้เขียนเป็นชื่อดารา คนดัง คนสวย คนหล่อ และอื่นๆ แล้วตัวเองก็เอาไปโพสต์ ให้เกิดเป็นบทสนทนาสนุกๆ ในโลกออนไลน์

ขณะเดียวกัน ในบางครั้งการที่พนักงานเขียนชื่อลูกค้าผิด ซึ่งมีอยู่บ่อยครั้งในต่างประเทศ เช่น จาก Jessica เป็น Gezzika จาก John เป็น Gaun นั้น ทาง Starbucks ก็เคยแอบคิดว่าลูกค้าต้องโกรธแน่ ๆ

แต่ในความเป็นจริง ลูกค้ากลับชอบและยิ่งโพสต์ชื่อแปลกๆ ของตัวเองลงโซเชียลกันมากกว่าเดิม สรุปนอกจากจะไม่โกรธแล้ว พวกเขายังมองว่านี่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของประสบการณ์ที่ร้าน Starbucks อีกด้วย

ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการโพสต์รูปแก้ว Starbucks ที่มีชื่อตัวเองลงไปสารพัดแบบในโลกออนไลน์นั้น ถือเป็นการกระจายความรับรู้แบรนด์ Starbucks ในยุคที่ร้านกาแฟแข่งเดือดได้อย่างมาก เรียกได้ว่า Starbucks ไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาสักบาท ก็มีคนมาช่วยโปรโมทแบรนด์กาแฟของพวกเขาให้ฟรี ๆ

นัยยะที่สอง!! ความภูมิใจที่ฉันคือเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว

อีกเรื่องที่น่าสนใจมาก คือ การเขียนชื่อลูกค้าลงบนแก้ว ค่อย ๆ พัฒนาความรู้สึกให้ลูกค้าคิดว่า แก้วกาแฟของฉันนั้น "น่าอวด" 

เพราะเดิมคุณค่าของแบรนด์ Starbucks นั้นก็สูงอยู่แล้ว จากราคาต่อแก้วที่สูงกว่าท้องตลาดทั่วไป (เดี๋ยวนี้เริ่มมีกาแฟราคาใกล้เคียงเยอะขึ้น) ทำให้การดื่ม Starbucks หรือควงแก้ว Starbucks ไปไหนต่อไป ก็ได้อารมณ์ยังกะหิ้วหลุยส์หรือชาแนล

ยิ่งมีชื่อตัวเองลงไปบนแก้ว Starbucks ยิ่งทำให้รู้สึกว่า "แก้วนี้ทำมาเพื่อฉันคนเดียวในโลก" ซึ่งไอ้ความรู้สึกเหล่านี้ มันสำคัญมากกว่าราคาหลักร้อยต่อแก้วที่ต้องจ่าย เพราะสิ่งที่ลูกค้าจ่ายมันได้รสนิยมที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้พ่วงกลับมา จนลูกค้าเก่าต้องกลับมาซื้อซ้ำ ส่วนลูกค้าใหม่ก็อยากลองสัมผัสประสบการณ์นี้

นัยยะสุดท้าย!! สายใยที่เกิดขึ้นจากคนแปลกหน้า

เป็นเรื่องปกติที่ทุก ๆ ร้านกาแฟ มักจะมีการถามว่า "เอาหวานน้อย หวานปกติ รับแก้วไซส์ไหน ใส่วิปครีมไหมคะ"

แต่การเขียนชื่อลงไปบนแก้วนั้น จะทำให้พนักงาน Starbucks จำชื่อลูกค้าที่เข้าร้านเป็นประจำได้ ทำให้ครั้งต่อไปสามารถทักทายลูกค้าด้วยชื่อโดยไม่ต้องถามได้อีกด้วย

และยิ่งไปกว่านั้น ตามหลักจิตวิทยาแล้ว การเรียกชื่อใครได้แบบคุ้นเคย ยังถือเป็นการทำลายกำแพงของความแปลกหน้า ที่สามารถเปลี่ยนคนไม่คุ้นตามาเป็นคนคุ้นเคยแบบคนในครอบครัว Starbucks ได้ง่ายกว่าเดิม

เหล่านี้คือเรื่องเล็กๆ ที่เริ่มจากการเขียนชื่อลูกค้าลงบนแก้วกาแฟ Starbucks ที่ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็น "ประสบการณ์สไตล์ Starbucks" ที่ยากจะหาใครเลียนแบบ

ความรู้สึกนี้มันช่างหอมหวานมิได้ด้อยกว่ารสชาติกาแฟเลยจริงๆ 

ก็อย่างว่า "ชื่อของเรา" มันช่างไพเราะสุด ๆ @Starbucks นินา!!

ทวงบังลังก์ ‘แชมป์ข้าว’ ในรอบ 4 ปี ข้าวหอมมะลิไทย ครองแชมป์สุดยอดข้าวโลก 2563

หลังจากเสียแชมป์ข้าวที่ดีที่สุดในโลกไปให้เวียดนาม และกัมพูชา ล่าสุดไทยทวงบัลลังก์ข้าวที่ดีที่สุดในโลกกลับมาได้ในรอบ 4 ปี


จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ขณะนี้ข้าวหอมมะลิของไทย ได้รับรางวัล World’s Best Rice Award ประจำปี พ.ศ.2563 หรือ รางวัลข้าวที่ดีที่สุดในโลก จากเวทีการประชุมข้าวโลก หรือ World Rice Conference ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้จัดงานขึ้นในลักษณะของออนไลน์ วันที่ 1 – 3 ธันวาคม พ.ศ.2563
โดยรางวัลชนะเลิศครั้งนี้ ถือเป็นผลงานร่วมกันของคนไทยทุกคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เกษตรกร โรงสี ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และรัฐบาล


ผลดีที่เกิดขึ้นจากการที่ไทยได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดข้าวโลกครั้งนี้ จะเป็นผลดีต่อเกษตรกร และระบบการค้าข้าวของไทย อีกทั้งยังเป็นการยกระดับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพข้าวของไทยในตลาดโลก และการส่งออกข้าวของไทยต่อไปในอนาคต
สำหรับรางวัลนี้ยังถือเป็นการเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคมนี้อีกด้วย หลังจากพระองค์ทรงมีคุณูปการเป็นอย่างยิ่งกับวงการข้าวไทย และเป็นพระบิดาแห่งการวิจัยและการพัฒนาข้าวไทย


อีกทั้งยังเป็นการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี พ.ศ.2563 - พ.ศ.2567 ที่มีการตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปีต่อจากนี้ ประเทศไทยจะต้องเป็นผู้นำการผลิตการตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลกให้ได้

 

ทางออกธุรกิจเพื่อสังคม!! กู้ที่ไหนไม่ได้...ให้มาออมสิน

แม้ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) จะเป็นแนวคิดของการทำธุรกิจที่ดีต่อการแก้ไขปัญหาพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ

แต่ปัญหาสำคัญที่จะเรียกว่าปัญหาใหญ่เลยก็ว่าได้ของธุรกิจเพื่อสังคม คือ ความยากในการเข้าถึง "แหล่งเงินทุน" ที่จะนำมาใช้ต่อยอดและหมุนเวียนระบบธุรกิจ

เพราะด้วยเป้าหมายของการสร้างธุรกิจ SE โดยธรรมชาติ จะไม่ได้มองในเรื่องผลกำไรมาเป็นอันดับแรก ทางสถาบันการเงินส่วนใหญ่ จึงปล่อยกู้ให้ยาก แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะได้เห็นธุรกิจแนวนี้เติบโตในระยะยาว จึงเป็นเรื่องยากด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็มี ธนาคารออมสิน ที่กำลังออกมาอุดช่องโหว่ตรงนี้ ตามนโยบายที่ต้องการเพิ่มบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคมอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์ขององค์กร

ล่าสุดธนาคารออมสิน ได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับโครงการโดยเฉพาะได้แก่ "สินเชื่อธุรกิจ ออมสินขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือเพื่อต่อเติมซ่อมแซมสถานที่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบกิจการ" ออกมา

.

โดยสินเชื่อดังกล่าวตอบโจทย์ธุรกิจ SE ดังนี้

  • ให้วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย มีทั้งเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MOR ต่อปี (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995%)
  • ขณะที่เงินกู้ระยะยาวให้กู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปีแรกไม่ต้องชำระเงินต้น คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3-10 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ของธนาคารฯ = 6.150%)

.

เงื่อนไข

  • วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ใช้บุคคลค้ำประกันร่วมกับ บสย.
  • วงเงินกู้ 3-10 ล้านบาท ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันได้

.

วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า "ปัจจุบันทางออมสินได้มีการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมไปแล้วรวมกว่า 17 ล้านบาท และนอกเหนือจากนั้น ทางธนาคารยังได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย (Social Enterprise Thailand Association: SE Thailand) เพื่อช่วยสนับสนุนบริษัทสมาชิก ทั้งด้านการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ และช่วยสร้างองค์ความรู้เพื่อยกระดับกิจการให้สามารถช่วยเหลือชุมชนและสังคมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย"

ศูนย์วิจัยกสิกร...ชี้!! เม็ดเงินปีใหม่สะพัด 3 หมื่นล้าน

เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ทุกครั้ง บรรยากาศของการออกมาจับจ่ายใช้สอยจะเป็นภาพที่เห็นกันโดยปกติ เพียงแต่บรรยากาศในปีนี้อาจจะไม่คึกคักจากผลพวงของเศรษฐกิจที่ได้รับการกระทบจากโควิด-19

อย่างไรก็ตามจากแรงหนุนของภาครัฐในการกระตุ้นนโยบายด้านเศรษฐกิจหลาย ๆ ประเภทออกมา ก็เริ่มทำให้บรรยากาศการจับจ่ายของคนไทยเริ่มฟื้นตัวและเป็นอีกตัวแปรที่จะทำให้เม็ดเงินในช่วงปีใหม่นี้สะพัดมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท

รายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2564 คาดคนกรุงเทพฯจะมีการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2564 อยู่ที่ประมาณ 30,050 ล้านบาท ซึ่งจำนวนตัวเลขนี้จะมีความใกล้เคียงกับปีก่อนหน้านี้

เหตุผลเพราะแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเจอกับปัญหาด้านกำลังซื้อ และบรรยากาศทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่ผู้บริโภคเองก็ยังอยากรับสิทธิประโยชน์ที่ช่วยลดหย่อนค่าใช้จ่ายจากภาครัฐอยู่

อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในช่วงปีใหม่ พ.ศ.2564 ของศูนย์วิจัยกสิกรนั้น เชื่ออีกว่า คนส่วนใหญ่จะลดงบฉลองปีใหม่จากปีที่แล้ว โดยกว่า 42.5% จะเลือกฉลองในกรุงเทพฯ เพราะต้องการหนีปัญหารถติดและเลี่ยงมาฉลองกันตั้งแต่ต้นเดือนธันวาที่มีวันหยุดยาวแทนไปเลย

ส่วนเรื่องจับจ่ายจะมีการวางแผนกิจกรรมและการใช้จ่ายต่างๆ ในช่วงปีใหม่อย่างระมัดระวังมากขึ้น เช่น มีการทยอยใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ ตั้งแต่ช่วงแคมเปญลดราคาอย่าง 11.11 และ 12.12 และใช้สิทธิ์การท่องเที่ยวผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งเหล่านี้เป็นการใช้เงินอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด

ทั้งนี้ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังเผยอีกว่า ค่าใช้จ่ายรวมในช่วงปีใหม่ พ.ศ.2564 หากไม่มีมาตรการกระตุ้นของรัฐใดๆ ไปมากกว่านี้ จะเฉลี่ยอยู่ที่ 5,300 บาทต่อคน เพราะคนเริ่มกังวลกับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่

5 ตระกูลที่ร่ำรวยสุดในเอเชีย

บลูมเบิร์กเปิดทำเนียบ Top 20ตระกูลรวยที่สุดในเอเชีย ที่สามารถครองความมั่งคั่งรวมกว่า 4.63แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 13 ล้านล้านบาท โดยมีตระกูล "เจียรวนนท์" แห่งอาณาจักรซีพี ผงาดอันดับ 3 แซงหน้าตระกูล "ลี" แห่ง Samsung

.

อันดับที่ 1

ตระกูล "อัมบานี" ของอินเดีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Reliance Industries หรือกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีธุรกิจอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ทั้ง ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ โทรคมนาคม ค้าปลีก มีเดีย ก่อตั้งโดย "ธีรุไภย อัมบานี"

.

อันดับที่ 2

ตระกูล "กว็อก" แห่งฮ่องกง มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Sun Hung Kai Properties ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของฮ่องกง

.

อันดับที่ 3

ตระกูล "เจียรวนนท์" มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของอาณาจักรเจริญโภคภัณฑ์ธนินท์ หรือซีพี ที่มี "ธนินทร์ เจียรวนนท์" เป็นหัวเรือใหญ่ภายใต้ธุรกิจค้าปลีก อาหาร โทรคมนาคม และช่วงหลังก็ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

.

อันดับที่ 4

ตระกูล "ฮาร์โตโน" ของอินโดนีเซีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.13 หมื่นล้านดอลลาร์ ตระกูลนี้ร่ำรวยจากธุรกิจบุหรี่ Djarum ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และการขยายไปสู่ธุรกิจธนาคาร Bank Central Asia

.

อันดับที่ 5

ตระกูล "ลี" แห่งเกาหลีใต้ เจ้าของ Samsung มูลค่าความมั่งคั่ง = 2.66 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มต้นกิจการ Samsung ในรูปของบริษัทส่งออกสินค้าผักและปลาในปี พ.ศ.2481 จากนั้นจึงมีการขยายเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการตั้งบริษัท Samsung Electronics ในปี พ.ศ. 2512 จนกลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิพความจำรายใหญ่สุดของโลก

.

รู้หรือไม่?

นอกจากตระกูลเจียรวนนท์ ตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ยังมีตระกูล "อยู่วิทยา" และ "จิราธิวัตน์" ติดโผอีกด้วย โดยเจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลังครองความมั่งคั่งเป็นอันดับ 6 ขณะที่เครือเซ็นทรัลรั้งอันดับที่ 20


ที่มา : https://www.bloomberg.com/features/2020-asia-richest-families/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top