Saturday, 12 October 2024
GoodsVoice

เคอรี่ เอ็กซ์เพรส หรือ KEX เคาะราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้น IPO แล้วที่ 28 บาทต่อหุ้น หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อท่วมท้น มากกว่า 23 เท่า คาดพร้อมเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 24 ธันวาคมนี้

บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEX ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนของประเทศไทย ประกาศราคาขายหุ้น IPO จำนวน 300 ล้านหุ้น ที่ราคา 28.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น คาดพร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 24 ธันวาคมนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์“ KEX” หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองอย่างท่วมท้นมากกว่า 23 เท่า และประมาณ 10 เท่า จากกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้

ซึ่งบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ไปใช้ขยายธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 

นางสาววีณา เลิศนิมิตร กรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม และนายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า KEX เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ที่ได้แสดงความต้องการจองซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 28.00 บาท โดยมีความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างท่วมท้นมากกว่า 23 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบัน

จึงมีการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ที่หุ้นละ 28.00 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ KEX ในฐานะผู้นำการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนของประเทศไทย ด้วยศักยภาพที่โดดเด่น และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง  

ปัจจุบัน เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกประเภท และมีเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด ด้วยจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง พร้อมศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง

ทั้งยังมีศักยภาพในการให้บริการ เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บริการจัดส่งพัสดุด่วน โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแก่บริษัทฯ 

เซ็น กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ปิ้งย่าง ‘AKA’ ขยายไลน์ธุรกิจเปิดตัว “อากะ ชาบู” (AKA SHABU) ชิงเค้กตลาดบุฟเฟ่ต์ชาบู 15,000 ล้านบาท ประเดิมเซ็นทรัล บางนา สาขาแรก

บุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ เซ็น กรุ๊ป ( ZEN) ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร (Food Services) และเจ้าของแบรนด์ AKA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ ‘อากะ’ ซึ่งเป็นร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่เปิดบริการมาแล้วกว่า 13 ปี ปัจจุบันมีร้านเปิดบริการรวม 24 สาขา

สู่การให้บริการรูปแบบใหม่กับ “อากะ ชาบู” (AKA SHABU) บุฟเฟ่ต์ชาบูที่ให้ลูกค้าอิ่มได้ไม่อั้น หลังประเมินภาพรวมอาหารประเภทชาบูในปี 2564 มีมูลค่าตลาดของธุรกิจชาบูสูงถึงกว่า 15,000 ล้านบาท และมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่อากะเป็นแบรนด์ที่มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในด้านของบุฟเฟ่ต์อยู่แล้ว

สำหรับ  “อากะ ชาบู” เปิดบริการแห่งแรกแล้วภายในร้านอากะ สาขาเซ็นทรัล บางนา ชั้น 2 โดยได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารชาบูสไตล์ญี่ปุ่น ในปีหน้าจึงวางแผนรุกหนักมากขึ้น คาดว่าจะเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง และจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานลูกค้าและผลักดันการเติบโตมากยิ่งขึ้น

ศาสตรา โตอ่อน นักวิชาการกลุ่มสถาบันทิศทางไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Sattra Janto Toaon ระบุถึงโครงการ “คนละครึ่ง” ที่มีความชาญฉลาดถึง 9 ข้อ

1.) ต้องเข้าใจก่อนว่า เงินที่หมุนเวียนในระบบหลักจริง ๆ คือเงินเอกชน พอเศรษฐกิจหดตัว เงินเอกชนจะไม่ถูกใช้จ่าย ทำให้กระแสหมุนเวียนลดลง เศรษฐกิจจะยิ่งหดลงไปอีก

2.) ปกติเมื่อเกิด Recession เศรษฐกิจหดตัว รัฐจะใช้วิธีนำเงินภาครัฐจ่ายตรงลงไปหมุน ตามวิธีแบบเคนเซี่ยน สร้างการลงทุนภาครัฐแบบเขื่อนฮูเว่อร์หรือ เอาเงินใส่มือไปให้ใช้จับจ่ายเลย ซึ่งใช้งบประมาณมาก ได้ผลกระทบน้อย

3.) คนละครึ่งคือรัฐใช้เงินครึ่งเดียวประหยัดงบ

4.) เงินครึ่งเดียวที่รัฐออกมากลับไปดึงเงินส่วนใหญ่ในมือเอกชนมาหมุนเวียนในระบบ เกิดผลกระทบมหาศาลในการจับจ่ายในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

5.) โครงการนี้ไม่ใช้ในร้านสะดวกซื้อเกิดการกระจายได้เพราะยอดขายใน 7-11ลดลง

6.) ผมชอบมากกับกลยุทธ์เงินล่อเงิน ทำให้เกิดกระแสหมุนเวียนแบบนี้เป็นนวัตกรรมใหม่

7.) เรากำลังก้าวสู่ยุคดิจิทัลมันนี่ คนละครึ่งบังคับคนที่อยากได้ต้องทำในระบบดิจิทัล ฝึกทักษะด้วยแรงจูงใจ

8.) การผ่าเหล่าแบบนี้สร้างสรรค์มาก ไม่ใช่ full เคนเซี่ยน full liberal เป็น Hybrid ลูกผสม ถ้าจะท้าทายความคิดต้องแบบนี้ครับ เกิดNew Theory

9.) ขอคารวะสมองคนคิด ผมชอบคนเก่งกว่า เพราะผมคิดไม่ได้ respect ลูกหลานไทยที่อยากเป็นนักการเมืองจดใส่กระเป๋าเลย ภูมิปัญญาไทย

“สำหรับผมนโยบายนี้ ได้โนเบล เศรษฐศาสตร์ เลย มันเจ๋งงงง มันมี Thesis AntiThesis Synthesis ในตัว”


ที่มา : FB Sattra Janto Toaon https://www.facebook.com/100006631478310/posts/2869315239966164/

กระทรวงพาณิชย์ มอบของขวัญส่งท้ายปี ด้วยการเปิดเข้าศูนย์บริการ-ให้คำปรึกษา อัญมณีฟรี!! เอาใจคนรักเครื่องประดับตัวจริง!!

วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ส่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มอบสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT โดยเปิดให้บริการให้ ‘คำปรึกษา’ และ ‘ตรวจสอบ’ อัญมณี-เครื่องประดับเบื้องต้น (Verbal) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

พร้อมทั้งเอาใจผู้รักอัญมณีด้วยการเปิดให้เข้าใช้บริการศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองของสถาบันฟรี ทั้ง ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งแต่วันนี้ - 15 มกราคม 2564 ณ อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สอบถาม 02 - 634 - 4999 ต่อ 635 - 642

คงต้องยอมรับว่าโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ที่ปิดรับลงทะเบียนไปเรียบร้อยภายในเวลาร่วม 2 ชั่วโมง เมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เป็นตัวการันตีว่าโครงการดังกล่าวเป็นนโยบายภาครัฐที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ย่อมมีทั้งคนที่สมหวังและไม่สมหวังในการได้รับสิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ไม่สมหวัง รวมถึงผู้ที่อาจจะตั้งเป้าโจมตีนโยบายดังกล่าวแบบไม่หยุดหย่อน ทั้ง ๆ ที่เชื่อได้ว่าเฟสต่อ ๆ ไปของโครงการนี้จะต้องตามติดออกมาอีกแน่นอน

ทั้งนี้จากเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chao Jiranuntarat" หรือ สมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม. รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง ได้โพสต์ข้อความหนึ่งออกมาเตือนสติได้อย่างน่าสนใจว่า...

"ปุจฉา: "#คนละครึ่ง ควรเป็นสิทธิที่รัฐบาลให้ประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาล"

"วิสัชนา: สิทธิ์คนจน รัฐควรให้ทุกคนที่เข้าข่าย สวัสดิการของรัฐ รัฐควรให้ขั้นต่ำ แต่คนละครึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ร้านเล็กๆ ไม่ให้ ร้านใหญ่เข้าร่วม และทุกร้านที่เข้าร่วมไม่ได้จำกัดจำนวน แต่คนที่จะได้สิทธิ์คนละครึ่งก็มีงบประมาณจำกัด ต้องหาวิธีที่ต้องมีคนต้องการและได้สิทธิ์นั้น คนที่ได้สิทธิ์ทางอื่นอยู่แล้วก็ไม่ควรได้ การลงทะเบียนอาจไม่เป็นธรรมกับบางคน แต่ก็เป็นวิธีที่กระจายมากที่สุด มีคนทุกวัยทุกท้องที่กระจายกันอยู่ ในอนาคตเมื่อรัฐมีข้อมูลของประชาชนถูกต้องมากขึ้น ก็อาจมีวิธีการที่กระจายได้ดีกว่านี้ แต่การพูดว่าแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาลเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจและเป็นการทำให้โครงการที่ได้ประโยชน์แบบนี้ถูกมองเป็นลบมากขึ้น"

"การลงทะเบียนที่ผ่านมามีปัญหาเรื่อง การส่ง SMS ซึ่งรู้ว่าเป็นข้อจำกัด ในอนาคตอาจไม่ต้องมี แต่การบอกว่า NET ไม่ดี เสียเปรียบ คนจนเสียเปรียบ ก็ต้องลองไปดูว่าคนลงทะเบียนได้เป็นคนประเภทไหนบ้าง คนรวยลงได้มากกว่าจริงหรือ การที่จะพัฒนาโครงการดีๆ แบบนี้ ไม่รั่วไหลให้นักการเมือง ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ในบ้านเรา ไม่เข้าใจว่าคนที่คิดว่า แย่งกันเหมือนขอทานมีความคิดอย่างไร และหากงบรัฐมีจำกัด มีข้อเสนอแนะอย่างไรที่เป็นธรรมและกระจายได้มากที่สุด"

สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ (ไป-กลับ) กรุงเทพฯ-แม่สอด (ตาก) ดีเดย์เริ่มเที่ยวแรกวันที่ 1 ก.พ.64 หลังเลื่อนจาก 1 ธ.ค.63 เหตุโควิดฝั่งพม่ายังระบาดหนัก

บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กำหนดวันเตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ (ไป - กลับ) กรุงเทพฯ - แม่สอด (ตาก) เริ่มวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 หลังจากกำหนดเดิมมีแผนเปิดบินในวันที่ 1 ธันวาคม 2363

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทางฝั่งประเทศเมียนมาร์ยังหนัก

โดยเส้นทางบินดังกล่าว จะให้บริการทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน ด้วยเครื่องบินแบบเอทีอาร์ 72-600 และสามารถสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่วันนี้

พร้อมย้ำว่า ทางสายการบินฯ ยังคงปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด

สำหรับตารางบินของเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพ-แม่สอด (ตาก) ดังนี้ เที่ยวบินที่ PG381 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 07.50 น. ถึงสนามบินแม่สอด เวลา 09.20 น. , เที่ยวบินที่ PG382 ออกจากสนามบินแม่สอด เวลา 09.50 น.ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 11.25 น.

เที่ยวบินที่ PG383 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 12.00 น. ถึงสนามบินแม่สอด เวลา 13.30 น., เที่ยวบินที่ PG384 ออกจากสนามบินแม่สอด เวลา 14.00 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 15.35 น., เที่ยวบินที่ PG385 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 15.00 น. ถึงสนามบินแม่สอด เวลา 16.30 น. และเที่ยวบินที่ PG386 ออกจากสนามบินแม่สอด เวลา 17.00 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 18.35 น.

สำหรับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทางรัฐบาลกำหนดให้เป็น "เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ" ส่งผลให้แม่สอดจากเดิมเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ติดชายแดนประเทศเมียนมา กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ขึ้นมาทันที และปัจจุบันมีเพียงสายการบินนกแอร์ รายเดียวเท่านั้นที่มีเที่ยวบินให้บริการไปยังแม่สอด

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จัดไทย เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ต้องเฝ้าติดตาม เหตุเสียเปรียบดุลการค้าให้ไทยกว่า 6 แสนล้านบาท ด้านธปท. ยันไม่แทรกแซงค่าเงินหนุนการค้า

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Treasury) ได้เผยแพร่รายงานการประเมินนโยบายเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ฉบับล่าสุด

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2563 ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ใน Monitoring List หรือเป็นรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าติดตาม จากการที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 6 แสนล้านบาท และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่า 2% ของจีดีพี ซึ่งเป็นเกณฑ์และเงื่อนไขภายใต้กฎหมายภายในของสหรัฐฯ โดยในรอบนี้ มีคู่ค้า 10 ประเทศที่จัดอยู่ในบัญชีนี้ ทั้ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมนี อิตาลี สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน ไทย และอินเดีย

"การที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่รายชื่อครั้งนี้ ไม่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจที่มีการค้าการลงทุนกับสหรัฐฯ ซึ่งภาคธุรกิจไทยและสหรัฐฯ ยังคงดำเนินธุรกิจกันได้ตามปกติ และการประเมินดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินนโยบายของ ธปท. เพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินภายในประเทศ รวมถึงการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ของธนาคารกลางและความจำเป็นของสถานการณ์"

นางจันทวรรณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท. ได้สื่อสารและทำความเข้าใจกับทางการสหรัฐฯ เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินของไทย รวมถึงสร้างความมั่นใจกับสหรัฐฯ ว่าไทยดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่นและจะเข้าดูแลค่าเงินบาทเมื่อมีความจำเป็น เพื่อชะลอความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้รุนแรงเกินไป ทั้งในด้านแข็งค่าและอ่อนค่า และไม่มีนโยบายแทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศแต่อย่างใด

กลับมาอีกครั้งกับประกันภัยโควิด-19 สุดฮอต แบบ “เจอ จ่าย จบ” ล่าสุดเมืองไทยประกันภัย เปิดขายอีกครั้ง 10 วันเท่านั้น ค่าเบี้ย 1,000 บาท ตรวจพบเชื้อจ่ายทันที 100,000 บาท

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยการออกประกันภัยโควิด-19 ยืน 1 "เจอ จ่าย จบ" ครั้งนี้ว่า "ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด – 19 ยังไม่มีความแน่นอน ซึ่งเรารับรู้ได้ว่ายังคงมีการระบาดขึ้นอีกครั้งทำให้หลายคนมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น ทางเมืองไทยประกันภัย จึงได้เล็งเห็นและตั้งใจออกแบบประกันภัยไวรัสโคโรนาแผนยืน 1 นี้ออกมา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ตรงจุดในเรื่องของ "เจอ จ่าย จบ" "

"เพราะเราเข้าใจว่าทุกคนต่างก็อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกตลอดเวลา ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เราจึงตั้งใจที่จะเป็นผู้ช่วยในการคุ้มครองความเสี่ยงภัยเหล่านี้ เพื่อให้คุณและครอบครัวได้ใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจมากยิ่งขึ้น"

สำหรับรายละเอียดประกันภัยไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ประกันภัยยืน 1 "เจอ จ่าย จบ" ของเมืองไทยประกันภัยนั้น จะเปิดการขายเป็นระยะเวลาเพียง 10 วันเท่านั้น เบี้ยประกันภัย 1,000 บาทต่อปี และรับทันที 100,000 บาท เมื่อตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากนี้ ยังให้ความคุ้มครองหากพบว่าป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาและอยู่ในภาวะโคม่าในวงเงินคุ้มครองถึง 1 ล้านบาท ทั้งนี้ จะมีระยะเวลารอคอย 14 วันหลังจากวันเริ่มคุ้มครอง โดยคุ้มครองผู้เอาประกันภัยตั้งแต่อายุระหว่าง 1 - 80 ปี (ระยะเวลาความคุ้มครอง 1 ปี) และหากผู้ที่ถือกรมธรรม์ไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เดิมอยู่แล้วไม่มีการเคลม จะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยมูลค่าสูงสุด 20% ให้เมื่อต่ออายุกรมธรรม์ในปีถัดไป

คนที่พลาดลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง" ไม่ทัน ยังมีลุ้น หลังรมว.กระทรวงการคลัง ระบุเตรียมเปิดให้ลงทะเบียนอีก 4 แสนสิทธิ คาดดำเนินการได้ต้นปี 64

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งอีกครั้ง โดยจะนำสิทธิของผู้ไม่ใช้สิทธิในเฟสแรกที่มากกว่า 4 แสนคน มารวมกับคนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสิทธิของเฟสที่ 2 มาเปิดให้ลงทะเบียนรอบเก็บตกใหม่โดยเร็วที่สุด หรืออย่างช้าภายในต้นปีหน้า 

ดังนั้นผู้ที่พลาดสิทธิโครงการคนละครึ่ง เพราะลงไม่ทันในวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนที่เจอปัญหาติดขัดขั้นตอนลงทะเบียน ไม่ต้องเสียใจไป เพราะคลังจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมแน่นอน

ส่วนการช่วยเหลือผู้ลงทะเบียนที่ติดปัญหาไม่ได้รับรหัสผ่าน OTP ทางกระทรวงการคลัง ก็กำลังดูให้อยู่ แต่จะให้สิทธิเป็นการเฉพาะกับผู้ใช้เครือข่ายดีแทค ลงทะเบียนคนละครึ่งได้เป็นกรณีพิเศษหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้ ธนาคารกรุงไทย เร่งไปตรวจสอบจำนวนผู้ลงทะเบียนเฟส 2 ที่ไม่ได้รับรหัสโอทีพีว่ามีจำนวนเท่าไร เพื่อนำมาหาทางช่วยอย่างเหมาะสมอีกครั้ง ส่วนการเปิดโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 และ 4 หรือไม่นั้น คงต้องขอเวลาพิจารณาก่อน โดยขอติดตามดูภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกก่อนว่าเป็นอย่างไร เพื่อนำมาประเมินตัดสินใจอีกครั้ง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขอให้ผู้มีสิทธิเดิมไม่ต้องรีบกดยืนยันสิทธิในตอนนี้ เพราะหากกดรับสิทธิในตอนนี้ เงิน 500 บาท กว่าจะใช้ได้คือ 1 มกราคม พ.ศ.2564 และยืนยันสิทธิยังได้เหมือนเดิม

สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการรายงานถึงงานวิจัยของเด็กไทยในกรุงลอนดอน ที่ทำการวิจัยโดยใช้ ‘ขนไก่’ ซึ่งเป็นขยะเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมอาหาร มาแปรรูปทำอาหารรสชาติระดับมิชลินสตาร์

โดยตามรายงานระบุว่า เด็กไทยดังกล่าวชื่อ ‘ศรวุฒิ กิตติบัณฑร’ อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาโทสาขา Material Futuresในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังหาทุนเพื่อเดินหน้าทำวิจัยหาวิธีการแปรรูปส่วนประกอบสารอาหารที่พบใน ‘ขนไก่’ มาทำเป็นผงที่สามารถนำไปผลิตเป็นอาหารแท่งโปรตีนแบบไร้ไขมันที่กินได้

ศรวุฒิ เล่าว่า “ขนไก่มีโปรตีน และหากสามารถนำโปรตีนเหล่านี้มาทำอาหารให้ชาวโลกได้ จะช่วยลดขยะลงได้มาก โดยปัจจุบันในภูมิภาคยุโรปที่เดียวมีการทิ้งขนไก่จำนวนมากถึง 2.3 ล้านตันต่อปี ขณะที่ในเอเชีย ซึ่งมีการบริโภคสัตว์ปีกเป็นจำนวนมากนั้น คาดว่าจะมีขยะขนไก่มากกว่าในยุโรปถึง 30%

สำหรับขนไก่ที่ศรวุฒินำไปแปรรูปเป็นอาหารต้นแบบนั้น มีทั้งสเต็ก และนักเก็ตไก่ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ที่ได้ทดลองชิม ที่สัมผัสได้ถึงความซับซ้อน และไม่เคยคิดว่าจะนำมาทำเป็นอาหารใดๆ ได้ แต่เมื่ออาหารตัวอย่างถูกนำไปปรุง เช่น สเต็ก ก็ได้รับเสียงชื่นชมว่าราวกับเป็นอาหารจาก ‘ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์’ กันเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าไอเดียขนไก่แปรรูปนี้ เป็นอีกการต่อยอดแนวคิดแหล่งโปรตีนทางเลือกที่น่าสนใจที่กำลังได้รับการศึกษาวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากก่อนหน้านี้ มีเนื้อที่ผลิตจากโปรตีนพืชสำหรับกลุ่มวีแกนออกมากันบ้าง

อย่างไรก็ตาม อาหารจากขนไก่ ก็ยังถูกมองว่าเป็นอาหารจากสัตว์ คนกินมังสวิรัติหรือทานเจ อาจศีลขาดได้...


ที่มา:

https://www.huffpost.com/entry/chicken-feathers-food-source_n_5fda3666c5b610200986d053?fbclid=IwAR19NVebfdMUm_irXy4u55Gh6JnpVygLMYWdBg9sPCS_Lk8RbGVQ0CoWF9E


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top