Sunday, 19 May 2024
GoodsVoice

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจ 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2564 ระบุธุรกิจบริการทางการแพทย์- อีคอมเมิร์ซ มาแรง ขณะที่ ธุรกิจเช่าหนังสือ - สื่อสิ่งพิมพ์ น่าเป็นห่วง

ได้แก่

1.) ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (ธุรกิจที่ทำการซื้อขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์) ครองอันดับหนึ่งร่วมกัน

2.) ธุรกิจแพลตฟอร์ม (ธุรกิจตัวกลางหรือตลาดกลางทางด้านอิเล็กทรอนิกส์) และธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจยูทูบเบอร์และการรีวิวสินค้า

3.) ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต

4.) ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา ธุรกิจการขายส่งสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์

5.) ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีวิเคราะห์และจัดการข้อมูล

6.) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจอาหารเสริม และสุขภาพ

7.) ธุรกิจสตรีทฟู้ด และฟู้ดทรัค

8.) ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ และเดลิเวอรี่ ธุรกิจด้านฟินเทค และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี

9.) ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เช่น ร้านสะดวกซัก เครื่องเติมเงิน เครื่องเติมน้ำ เป็นต้น

10.) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านกฎหมาย บัญชี ธุรกิจออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์แพกเกจจิ้ง

“ผลจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ผู้ประกอบการก็หันมาทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะทำได้ง่าย เปิดร้านได้ 24 ชั่วโมง มีระบบขนส่งที่สนับสนุน จ่ายเงินได้ง่าย ซื้อได้ทั้งผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ทำให้เป็นธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดี และขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 จากปีที่แล้วอยู่อันดับ 2 ส่วนบริการทางการแพทย์และความงาม ที่ครองที่หนึ่งร่วม เพราะคนยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความงาม อัตราค่าบริการของไทยถูก ได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ

แต่ที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจยูทูบเบอร์และการรีวิวสินค้า ที่พุ่งแรงติดอันดับ 2 จากที่ไม่เคยติดอันดับมาก่อน เพราะคนให้ความสำคัญกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย การทำธุรกิจมีต้นทุนต่ำ แต่มีรายได้ต่อเนื่อง โดยเติบโตดีพร้อมกับธุรกิจแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายออนไลน์”

ส่วนธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต เติบโตจากการที่คนกังวลโควิด-19 และซื้อเพื่อการออมและใช้ลดหย่อนภาษี ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ยา เติบโตตามการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล เติบโตตามความต้องการนำข้อมูลไปใช้ในการประกอบธุรกิจ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เติบโตตามความต้องการที่สูงขึ้น และยังซื้อได้ง่ายผ่านแอปฯ อินเทอร์เน็ต และมีบริการส่งถึงที่

รวมถึงอาหารเสริมที่เติบโตตามการดูแลสุขภาพ ธุรกิจสตรีทฟู้ด และฟู้ดทรัค ได้รับแรงหนุนจากคนละครึ่ง นักท่องเที่ยวนิยม และปัจจุบันมีช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้นผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ เติบโตรองรับการขยายตัวของ

การค้าออนไลน์ การบริการรับส่งอาหาร ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้ธุรกิจรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เติบโตตามไปด้วย ธุรกิจพลังงาน ยังเติบโตตามความต้องการใช้พลังงานของประเทศ ส่วนธุรกิจตู้หยอดเหรียญ จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และธุรกิจที่ปรึกษาด้านกฎหมายและบัญชี จะเติบโตเพราะคนให้ความสำคัญกับการรักษาสิทธิ และภาวะเศรษฐกิจ ที่จะทำให้มีการผิดนัด ผิดสัญญา และธุรกิจแพจเกจจิ้ง ที่มีแนวโน้มเติบโตตามการขยายตัวของการทำธุรกิจและการค้าออนไลน์

สำหรับธุรกิจที่ประเมินว่าจะเป็นธุรกิจดาวร่วงในปี 2564 มีจำนวน 10 ธุรกิจ ได้แก่

1.) ธุรกิจเช่าหนังสือ

2.) ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและเครื่องโทรสาร ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ความจำ Storage media ก็คือ CDs, DVDs, Blu-Ray Discs, External Hard Drives, Memory Cards

3.) ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และวารสาร

4.) ธุรกิจร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต ธุรกิจคนกลาง

5.) ธุรกิจดังเดิมไม่มีดีไซด์ และใช้แรงงานเยอะ (เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น)

6.) ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ใช้แรงงานจำนวนมากและขายในประเทศ ธุรกิจหัตถกรรม และเฟอร์นิเจอร์ไม้ (ดังเดิมที่ไม่ได้มีการปรับตัว)

7.) ธุรกิจการซ่อมรองเท้า

8.) ธุรกิจการค้าแบบดังเดิม ธุรกิจเครื่องปันดินเผา และเซรามิก

9.) ธุรกิจผลิตผักและผลไม้อบแห้ง

10.) ธุรกิจร้านถ่ายรูป

ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ได้มีการประเมิน 10 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 10 ธุรกิจ ได้แก่ 1.สายการบิน 2.ธุรกิจนำเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ 3.โรงแรม 4.ธุรกิจของที่ระลึก 5.ธุรกิจจัดประชุมและแสดงสินค้า 6.ผับ บาร์ สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน 7.ธุรกิจสปา 8.อสังหาริมทรัพย์แนวดิ่ง 9.ธุรกิจโรงภาพยนตร์ 10.ร้านอาหารและภัตตาคาร

หลังเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ล่าสุดทางเซ็นทรัลพัฒนา ประกาศงดงานเคาท์ดาวน์ทุกแห่งทั่วประเทศ ลดความเสี่ยง เล็งถ่ายทอดผ่าน Live สด แทน

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัล ภูเก็ต และเซ็นทรัลวิลเลจ จับมือพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด, มาสเตอร์การ์ด, บมจ. แพลน บี มีเดีย (PLANB), บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท วันสามสิบเอ็ด จำกัด (ช่อง ONE 31) ประกาศสนับสนุนภาครัฐ ด้วยการงดจัดคอนเสิร์ตใหญ่ทุกแห่งทั่วประเทศ

.

พร้อมปรับรูปแบบการจัดงาน “centralwOrld bangkOk cOuntdOwn 2021-A Symbol of Hope” เคาท์ดาวน์รูปแบบ New Normal ผ่าน Live Broadcast ช่อง ONE 31, LINE TV และ centralwOrld Facebook ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2563 เริ่มพร้อมกัน 23:40 – 00:10 น.

.

ส่วนสาขาอื่นๆ อีก 10 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา, เซ็นทรัลพลาซา มหาชัย, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่, เซ็นทรัลพลาซา พิษณุโลก, เซ็นทรัล โคราช, เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี, เซ็นทรัลพลาซา นครศรีธรรมราช, เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช, เซ็นทรัลพลาซา ระยอง จะงดกิจกรรมเคาท์ดาวน์ในรูปแบบคอนเสิร์ตใหญ่ทั้งหมด

.

นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด CPN เผยว่า เราได้ติดตามสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และมีความห่วงใยในความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกค้าทุกคน และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ในการคุมเข้มมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ลดความแออัด เน้นวินัย รักษาระยะห่างแบบ New Normal ปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่แลนด์มาร์กเคาท์ดาวน์ทั่วโลกจะพร้อมกันปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานเคาท์ดาวน์ เพราะทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์ COVID-19 ที่คนทั่วโลกต้องรับมือ

ตอนนี้จีนกำลังมีส่วนร่วมในการสร้าง ‘ประชาคมการขนส่งระดับโลก’ สำหรับทุกฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จากรายงานข้อมูล ‘สมุดปกขาว’ หรือรายงานทางการว่าด้วย ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการขนส่งในจีน’ (Sustainable Development of Transport in China) ระบุว่า ปัจจุบันจีนได้มีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมการขนส่งระดับโลกแก่ทุกๆ ฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่างๆ โดยเข้ามาส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลกอย่างชัดเจน

โดยจีนจะดำเนินการภายใต้ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างที่สุด เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย จนทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันผ่านการดำเนินงานในสาขาที่หลากหลายในระดับที่สูงขึ้น

...ความร่วมมือที่ผนวกเข้ากับ ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’

ภายใต้หลักการของการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวาง การร่วมสร้างคุณูปการ และการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน จีนได้ร่วมมือกับหลากหลายประเทศในแผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’ เสริมสร้างการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการอำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศ

สมุดปกขาวระบุถึงความคืบหน้าต่อเนื่องในโครงการความร่วมมือต่างๆ ซึ่งร่วมถึงทางรถไฟข้ามพรมแดนจีนเนปาล ทางรถไฟจีน-ลาว และอีกหลายโครงการ เช่น ทางรถไฟมอมบาซา-ไนโรบี และทางด่วนคุนหมิง-กรุงเทพฯ ที่ล้วนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่จีนส่วนร่วมในการก่อสร้างและการบริหารจัดการท่าเรือในต่างประเทศหลายแห่ง

จีนยังส่งเสริมการประสานนโยบาย กฏ และมาตรฐานระหว่างนานาประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศด้วย

ทั้งนี้จีนได้ลงนามในข้อตกลง 22 ฉบับเกี่ยวกับการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับ 19 ประเทศ ทำข้อตกลงการขนส่งระดับทวิภาคีหรือภูมิภาค 70 ฉบับกับประเทศและภูมิภาค 66 แห่ง โดยมีบริการขนส่งสินค้าครอบคลุมทุกประเทศที่ติดทะเลในแผนริเริ่มฯ และเมื่อสิ้นปี 2019 ยังมีสายการบินจีนและต่างประเทศที่เปิดให้บริการเชื่อมต่อจีนกับนานาประเทศถึง 54 แห่ง โดยมีเที่ยวบินไป-กลับ 6,846 เที่ยวต่อสัปดาห์

...การส่งเสริมมาตรฐานกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จีนได้เข้าร่วมเป็นภาคในข้อตกลงพหุภาคีเกี่ยวกับการขนส่งเกือบ 120 ฉบับ โดยมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์กรการขนส่งระหว่างประเทศหลายแห่งและเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการประชุมการขนส่งโลก (World Transport Convention)

จีนมุ่งมั่นที่จะดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทั้งหมดภายใต้กรอบของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจีนมีเป้าหมายในการสร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยแก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

สมุดปกขาวระบุว่าจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยจีนได้ปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศที่สอดคล้องต่อขั้นตอนการพัฒนาและเงื่อนไขของจีน ทั้งยังบังคับใช้ยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศในเชิงรุก

...เสริมแกร่งการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างประเทศ

จีนเสริมสร้างความร่วมมือด้านการขนส่งในงานการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ร่วมกับนานาประเทศและผลักดันให้มีประชาคมด้านสุขภาพระดับโลกสำหรับทุกคน

จีนได้แบ่งปันแนวทางการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดสำหรับเรือ สนามบิน สายการบินและกะบริการไปรษณีย์ ทั้งยังสร้างช่องทางด่วนภายในประเทศสำหรับการขนส่งวัสดุป้องกันการแพร่ระบาด

องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization) ได้แนะนำและส่งต่อมาตรการจำนวนมากจากจีนไปยังประเทศสมาชิกและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องจำนวน 174 แห่ง

สมุดปกขาวระบุว่า จนถึงตอนนี้จีนได้ส่งเสบียง 294 ชุดไปยังประเทศ 150 แห่งและองค์การระหว่างประเทศ 7 แห่ง ทั้งยังมีการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 35 ทีมรวม 262 คน ไปช่วยเหลือประเทศ 33 แห่ง


ที่มา: Xinhuathai

อ่านไม่ผิดหรอก แต่ KFC ร้านไก่ทอดชื่อดัง กำลังจะทำเครื่องเกมมาขาย แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเจ้าเครื่องเกมนี้ มัน ‘อุ่นอาหาร’ ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย!!

ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยตามทวิตเตอร์ @KFC_gaming จะเห็นเรื่องโจ๊กๆ ที่มีการนำเครื่องเกมมาโชว์ โดยเครื่องเกมนี้พร้อมที่อุ่นไก่ในตัว

ตอนแรกที่เห็น ทุกคนก็คงมองว่าเป็นเรื่องตลก หรือเอาฮาอยู่แล้ว และก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง จนปล่อยผ่านไป

แต่เฮ้ย!! ผิดคาด เพราะ KFC เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เคยเผยแพร่ออกไป โดยได้ร่วมกับ Cooler Master บริษัทผลิตอุปกรณ์ Gaming ผลิตเครื่องเกมที่มาพร้อมเตาอุ่นไก่ในตัวซะงั้น

โดยเครื่องดังกล่าวมีการใช้ชื่อว่า ‘KFConsole’ มาพร้อมกับขุมพลัง Intel NUC 9 Extreme ที่ใช้ชิป Intel Core i9 รุ่นที่ 9

ส่วนการ์ดจาก ASUS สามารถสลับเป็นแบบ Hot Swap ได้ (แต่ยังไม่เผยรุ่น) พร้อมกับรองรับ Ray Tracing ที่คาดว่าจะเป็นตระกูล NVIDIA RTX กันเลยทีเดียว

ส่วนความจำนั้นก็มาพร้อมกับ SSD แบบ NVMe จากทาง Seagate ขนาด 1TB ที่ให้มา 2 ตัว ไม่ว่าจะเป็น Firecuda ที่เป็นแบบ SSD และ Baracuda ในแบบ Hard Disk สามารถรองรับการทำงานของ VR, Game ที่มีค่า Refresh Rate 240 fps

แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ ‘ช่องอุ่นไก่’ หรือ Chicken Chamber ที่สามารถใช้อุ่นไก่ได้จริง (คาดว่าจะเอาความร้อนของเครื่องเป็นพลังทำให้ไก่สุก)

อย่างไรก็ตาม KFC ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย แต่จากความแปลกใหม่ของการเป็นเครื่องเกมและมีช่องอุ่นไก่มาให้แบบนี้ ราคามันคงไม่เบาแน่ๆ

สำหรับปรากฎการณ์ใหม่ของ KFC ในครั้งนี้ หากให้คิดในมุมสร้างสรรค์ หรือเอาความแปลกมาปล่อยให้เกิด Talk กระแทกให้แบรนด์ KFC มีไวรัล ก็คงไม่แปลก

แต่ถ้า KFC ลงมาล้วงจับพฤติกรรมคนเล่นเกม ที่ส่วนใหญ่จะไม่นิยมห่างตาจากหน้าคอม โดยเอากิมมิคเรื่องกินมาปรนเปรอไปพร้อมๆ กันได้ และคิดเล่นๆ อนาคต KFC เกิดมีแพ็กเกจจิ้งไก่สดมาให้ทอดหรืออุ่นกับเครื่อง KFConsole ได้ง่ายๆ อันนี้โคตรจะ Impact

แต่ยังไงซะเจ้า KFConsolก็ยังไม่มีการถอยออกมาสู่ตลาดจริง เพียงแต่แค่คิดว่า KFC มีไอเดียแบบนี้ อุปกรณ์พีซีและอุปกรณ์เตาอุ่น คงมีเบะปากมองบนไม่น้อย…


ที่มา – Coolermaster / Twtiter @KFC_gaming

คลิกชม KFConsole >> 

จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่ออารมณ์อยากท่องเที่ยวคนไทยหมดไปพอสมควร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดฉุดยอดเงินสะพัดเหลือแค่ 10,700 ล้าน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี พ.ศ.2564 คาดว่าหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง โดยเป็นการติดเชื้อภายในประเทศที่มาจากแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาในจังหวัดสมุทรสาคร ขณะเดียวกันก็ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในหลายจังหวัดส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนักท่องเที่ยวเกิดความหวั่นวิตกกังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาด

ทั้งนี้ ททท.ประเมินว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวปีใหม่ พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 4 วัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 – 3 มกราคม พ.ศ.2564 คาดว่า จะมีคนไทยเดินทางภายในประเทศ 2.75 ล้านคน - ครั้ง และมีการใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่มากว่า 10,700 ล้านบาท โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 37% ซึ่งลดลงจากปีก่อนมาก เพราะปีที่ผ่านมามีวันหยุดยาวถึง 5 วัน และมีการเดินทางท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เพราะเป็นช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสร้างรายได้หมุนเวียนมากถึง 23,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเกิดล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาคร แต่ก็ยังไม่นำไปสู่การล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง ดังนั้น บางพื้นที่จึงยังจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 64 ที่ ททท. เป็นผู้จัด หรือร่วมสนับสนุนการจัดงานใน 4 พื้นที่ทั้งเมืองหลักและเมืองรองตามภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ ราชบุรี และร้อยเอ็ด แต่การจัดงานได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ยกระดับความปลอดภัยตามมาตรการควบคุมโรค คาดว่ามีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่ประมาณ 4.71 แสนคน-ครั้ง และมีรายได้หมุนเวียน 1,800 ล้านบาท

ปัจจุบันโลกกำลังก้าวสู่ยุคยานยนต์แห่งอนาคตที่มีพลังงานไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่เทคโนโลยี ‘เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์’ จากค่ายมิตซูบิชิ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมน่าจับตามอง ที่สร้างระบบนิเวศน์ใหม่เชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าระว่างรถยนต์และบ้าน อย่างลงตัว

นายยอดชาย ซื่อวัฒนากุล ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักสื่อสารการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายค่ายได้เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รถ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ

นอกเหนือจากการเป็นรถยนต์เอสยูวีแบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของโลก นั่นก็คือ การคิดค้นสิ่งที่ทำให้รถยนต์ เป็นได้มากกว่ารถยนต์

โดยทางมิตซูบิชิ ได้พัฒนาเทคโนโลยี ที่เรียกว่า “เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์” (mitsubishi dendo drive house) แล้วใส่เข้าไปกับตัวรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ทำให้รถยนต์สามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับที่พักอาศัยได้

เทคโนโลยี เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์ เป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการพลังงานบ้านและรถยนต์ ช่วยในการผลิต เก็บ และแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นการผสานการทำงานร่วมกันของรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี พร้อมกับเครื่องอัดและจ่ายประจุไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่สำรองกระแสไฟฟ้าในที่พักอาศัย

เริ่มต้นการเก็บพลังงานด้วยการเปลี่ยนแสงอาทิตย์ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านแผงโซลาร์เซลล์ แล้วเก็บเข้าแบตเตอรี่สำรองภายในบ้าน หรือในแบตเตอรี่ของรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี

พลังงานเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ภายในบ้านอัตโนมัติด้วยเครื่องอัดและจ่ายประจุไฟฟ้า ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์จะใช้เป็นพลังงานหลักสำหรับใช้ในบ้าน

ส่วนพลังงานที่เก็บสะสมระหว่างวันและภายในรถยนต์ จะสามารถนำไปใช้ในช่วงเวลากลางคืน และกรณีไฟดับ สามารถใช้แบตเตอรี่จากในบ้าน และสามารถดึงพลังงานเพิ่มเติมจากรถยนต์ออกมาใช้ในช่วงเวลากลางคืนได้

และหากพิจารณาขนาดของแบตเตอรี่ของรถยนต์รุ่นดังกล่าว ที่มีพลังงานเพียงพอจ่ายกระแสไฟฟ้าจำเป็นให้กับบ้านได้ใน 1 วัน โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟฟ้า และด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถัง รถจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงพอต่อการใช้งานภายในบ้านได้นานถึง 10 วัน (คำนวณโดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตัวเลขสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามปริมาณการใช้ไฟที่ต่างกันไป ตามความเป็นจริง)

ชมรายละเอียดเทคโนโลยี เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์

.

สำหรับการชาร์จไฟแบตเตอรี่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ทำได้สะดวกและง่ายดาย เพียงเสียบชาร์จเข้ากับปลั๊กไฟที่บ้าน ซึ่งการชาร์จรูปแบบปกติให้กำลังไฟ 100% ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หรือขับไปชาร์จ

ยังสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ให้บริการนอกสถานที่โดยการชาร์จไฟแบบเร็ว (Quick Charge) ด้วยหัวชาร์จ CHAdeMO ให้กำลังไฟ 80% ในเวลาประมาณ 25 นาที หรือจะชาร์จโดยวิธีการกดปุ่ม Save/Charge ภายในรถ ก็สามารถชาร์จไฟได้ในเวลาประมาณ 40 - 45 นาที

สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์รุ่นใหม่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ก็น่าสนใจไม่น้อย ด้วยราคาเริ่มต้น 1,640,000 บาท

รายงานฉบับล่าสุดจากธนาคารโลกระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวสู่ภาวะปกติเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ควบคุมโรคระบาดอันมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนเชิงนโยบายที่แข็งแกร่ง และการส่งออกที่ยืดหยุ่นของจีน

จากรายงานดังกล่าวได้ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนจะเติบโตร้อยละ 2 ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 ในปี 2021

อย่างไรก็ตามสภาพการณ์ภายนอก (จีน) จะยังคงเป็นเรื่องท้าทายและไม่แน่นอนสูง โดยในรายงานระบุว่า พ้องกับความเห็นจากที่ประชุมทางเศรษฐกิจของจีนเมื่อ 18 ธันวาคม ที่ชี้ว่าจีนยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากภายนอกท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังไม่อยู่ในระดับมั่นคง

ยิ่งไปกว่านั้น ในรายงานยังได้แนะนำให้ประคับประคองความไม่แน่นอนในระยะใกล้ด้วยการปรับใช้กรอบนโยบายอันยืดหยุ่น เพื่อรักษาฝีก้าวการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของจีนและของโลกให้เหมาะสมกัน

โดยการออกนโยบายก่อนเวลาอันควรและการจำกัดควบคุมมากเกินไป อาจจะบั่นทอนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รายงานระบุ นอกจากนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นและเน้นการสนับสนุนแล้ว จีนควรใช้พื้นที่การคลังเพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง พร้อมรับรองความราบรื่นของการหมุนเวียนอุปสงค์จากภาครัฐสู่เอกชน

รายงานยังเรียกร้องจีนปรับเปลี่ยนเป้าหมายการคลังจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมเป็นการใช้จ่ายทางสังคมและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเดิม


ที่มา: Xinhuathai

เรียกว่าต้องหักกันชั่วคราว สำหรับ ‘ลาว’ กับ ‘ไทย’ หลังจากโควิดสมุทรสาคร ‘ทำพิษ’ จนทำให้ทางประเทศลาว มีคำสั่งชัดในการห้ามนำเข้าอาหารทะเลสด - แช่แข็งของไทยชั่วคราว

ก่อนหน้านี้รายงานจาก ลาวโพส สื่อท้องถิ่นประจำประเทศลาว ได้รายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่มี สมจิด อินทะมิด รัฐมนตรีช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ได้ลงนามในหนังสือด่วน ถึงกรมภาษี กระทรวงการเงิน กรมอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงด่านชายแดนระหว่างลาว-ไทย เกี่ยวกับเรื่อง ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภท จากราชอาณาจักรไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้

1.) ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสด และแช่แข็ง ที่นำเข้ามาจากราชอาณาจักรไทย

2.) มาตรการห้ามนำเข้านี้ เป็นมาตรการชั่วคราว และจะมีผลบังคับใช้จนกว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ สปป.ลาว และราชอาณาจักรไทย จะสามารถปรึกษาหารือมาตรฐานการตรวจสอบ คัดกรอง และยืนยันถึงความปลอดภัยของอาหารทะเลที่ส่งออกจากราชอาณาจักรไทย ว่าไม่พบการเจือปนของเชื้อโควิด

3.) มอบให้กรมอาหารและยา เป็นเจ้าภาพ สมทบกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของลาวและไทย ค้นคว้าหามาตรการการแก้ไขตามที่ระบุไว้ในข้อ 2

ส่วนโอกาสที่จะกลับมาค้าขายกันอีกนั้น ก็คงต้องรอจนกว่าเจ้าหน้าที่ของลาวและไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะร่วมกันหาหนทางตรวจสอบ คัดกรอง และรับรองความปลอดภัยของอาหารทะเลที่มาจากไทยได้ว่าไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ได้แบบ 100%

ล่าสุด ‘โควิดสมุทรสาคร’ ก็ทำให้ทางการลาว ตัดสินใจเด็ดขาด ‘ห้ามนำเข้าอาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภทไทยชั่วคราว’

ล่าสุด!! หนุ่มโคราชได้รายงานข้อมูลด่วนจากแหล่งข่าวในระดับเชื่อถือได้ว่า ‘กระทรวงพาณิชย์ลาว’ จะยกเลิกคำสั่งดังกล่าว เร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีของอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย ที่ทางภาครัฐบาลไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว จนทางการลาวไทยเปลี่ยนคำสั่งยกเลิกห้ามนำเข้า ‘อาหารทะเลสด - แช่แข็งจากไทย’ ได้อย่างรวดเร็ว

การลงทุนในโลหะเงินแท่ง (แบบทองคำแท่ง) เพื่อซื้อเก็บในระยะยาว อาจไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการเก็งกำไรด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Silver Online Futures) ในตลาด TFEX เท่านั้น

แต่รู้หรือไม่ว่าในมุมมองของนักลงทุนระดับโลกหลาย ๆ คนนั้นไม่ได้มองว่าโลหะเงินด้อยไปกว่าทองคำเลย โดยในบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ นั้นพวกเขามักจะใช้คำว่า "Gold and Silver" อยู่เสมอ คือเรียกโลหะทั้ง 2 ชนิดนี้พร้อมกันเลย

เนื่องจากพวกเขาเชื่อมั่นว่าโลหะทั้ง 2 ชนิดเป็น "เงินที่แท้จริง" เพราะนอกจากทองคำแล้ว โลหะเงินก็ถูกนำมาใช้เป็นเหรียญในสกุลเงินต่าง ๆ มานับพันปี

ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงทนทานของเงิน (Silver) ที่แม้เมื่อใช้งานไปนาน ๆ แล้วโลหะเงินจะมีสีหมองคล้ำลงจากปฏิกิริยาเคมี แต่ปฏิกิริยานั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะที่ผิวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้สมบัติต่าง ๆ ของเนื้อเงินเปลี่ยนไป ต่างจากโลหะชนิดอื่น ๆ ที่มักจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ด้วยความทนทานนี้จึงทำให้โลหะเงินเป็นเครื่องมือในการรักษามูลค่าเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่แพ้ทองคำ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราสามารถหาซื้อทองคำแท่งได้ง่ายกว่าโลหะเงินแท่ง จึงดูไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณต้องลำบากไปลงทุนในโลหะเงิน นอกเสียจากว่า "ในเวลานั้นโลหะเงินน่าจะทำกำไรได้มากกว่า"

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้!! คือตอนนี้บรรดานักลงทุนระดับโลกอย่างจิม โรเจอร์ส, โรเบิร์ต คิโยซากิ รวมถึงอีกหลาย ๆ คน กำลังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ราคาโลหะเงินตอนนี้อยู่ในระดับที่น่าลงทุนกว่าทองคำ"

เนื่องจากราคาของมันยังต่ำกว่า All Time High อยู่ถึง 50% เมื่อเทียบกับทองคำที่ทะลุ All Time High ไปแล้ว

(ราคาโลหะเงินปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 25$/Oz. ส่วน All Time High อยู่ที่ประมาณ 50$/Oz.)

บทความนี้จึงได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับโลหะเงิน (Silver) โดยสังเขปมาให้คุณได้เห็นภาพรวมของโอกาสและความเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเชื่อคำแนะนำของนักลงทุนระดับโลกเหล่านั้นหรือไม่ ดังนี้ครับ

1.) "ต้นทุนการผลิตโลหะเงิน" ของแต่ละเหมืองนั้นมีความแตกต่างกันมาก เพราะโลหะเงินนั้นเป็นผลผลิตพลอยได้จากการผลิตโลหะชนิดอื่น เนื่องจากในธรรมชาตินั้นแร่เงินมักจะอยู่ร่วมกับแร่อื่น ๆ เช่น ทองคำหรือตะกั่ว เสมอ แต่โดยเฉลี่ยแล้วต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 11$/Oz. (ข้อมูลเมื่อปี 60) ซึ่งต่ำกว่าราคาในปัจจุบันถึง 56% ทว่าหากความต้องการของแร่เงินสูงขึ้นก็จะดันต้นทุนสูงขึ้นได้ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้กำลังการผลิตจากเหมืองที่มีต้นทุนสูงกว่า (เหมือนกับน้ำมันที่แท่นขุดเจาะในสหรัฐมีต้นทุนสูงกว่าแท่นในซาอุฯ แต่ด้วยความต้องการการใช้งานที่สูงทำให้กำลังการผลิตของซาอุฯไม่เพียงพอ)

2.) "Gold/Silver Ratio" เป็นอัตราส่วนที่ใช้บ่งบอกว่าในเวลานั้นทองคำมีราคาแพงมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับโลหะเงิน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75/1 (หมายถึงทองแพงกว่าเงินอยู่ 75 เท่า) แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าอัตราส่วน Gold/Silver นั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามถ้าย้อนไปเมื่อ 800 ปีที่แล้ว ในสมัยโรมันนั้นอัตราส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 12/1 เท่านั้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ดันให้อัตราส่วนนี้สูงขึ้นคือการประกาศใช้ Gold Standard

ซึ่งส่งผลให้ทองคำมีบทบาทในแวดวงการเงินมากกว่าโลหะเงินเมื่อเทียบกับอดีต โดยจะสังเกตได้ว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติต่าง ๆ อัตราส่วนนี้มักจะสูงขึ้นอยู่เสมอ เพราะผู้คนจะเลือกเก็บวิ่งเข้าหาทองคำมากกว่าโลหะเงิน อย่างการแพนิคในช่วงเมษาที่ผ่านมานั้นอัตราส่วนนี้ได้วิ่งขึ้นไปถึง 114/1 เลยทีเดียว และนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมาอัตราส่วนนี้ก็ไม่เคยต่ำกว่า 30/1 อีกเลย จึงแสดงให้เห็นว่าความต้องการของการเก็บโลหะเงินเพื่อรักษาความมั่งคั่งนั้นลดลงไปมาก

3.) "โลหะเงินมีความผันผวน (volatility) มากกว่าทองคำ" หมายความว่าเวลาเงินขึ้นก็จะขึ้นแรงกว่าทอง แต่เวลาลงก็ลงได้มากกว่าทองคำ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่คุณมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่า แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว store of value (ตัวเก็บมูลค่า) นั้นไม่ควรผันผวนมากจนเกินไป

4.) "การใช้งานในอุตสาหกรรม" เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะโลหะเงินมีสมบัติต่าง ๆ ที่โดดเด่น โดยเฉพาะการเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด, เป็นตัวสะท้อนแสงอันดับต้น ๆ, แข็งแรง, ทนการกัดกร่อน, ขึ้นรูปได้ง่าย, ป้องกันแบคทีเรีย ฯลฯ ทำให้เงินถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม ทั้งอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอร์รี่, แผงโซลาร์เซลล์ และในทางการแพทย์ ซึ่งคุณจะสังเกตว่าเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตล้วน ๆ!!!

โดยปัจจุบันอุปทานโลหะเงินในอุตสาหกรรมนั้นมีสัดส่วนถึง 56% ของอุปทานทั้งหมด เมื่อเทียบกับทองคำที่มีอยู่เพียง 12% เท่านั้น

สรุปแล้วโลหะเงินนั้นมีความน่าสนใจในแง่ของการป้องกันเงินเฟ้อ เพราะราคายังถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต (ตามความเห็นของจิม โรเจอร์ส)

อีกทั้งเงินยังเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตจึงอาจทำให้ความต้องการโลหะเงินสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาเงินให้สูงขึ้น

แต่ถ้าคุณจะลงทุนจริง ๆ ก็ควรต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าเงิน (Silver) มีความจำเป็นมากแค่ไหนในแต่ละอุตสาหกรรม มีโอกาสถูกทดแทนได้หรือไม่และถ้าการต้องการใช้งานมีมากขึ้นจริง ๆ ก็มีโอกาสที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการทำเหมืองเงิน เพื่อให้เงินมีต้นทุนที่ต่ำลงได้เช่นกัน

นอกจากนี้ในแง่ของการลงทุนนั้น โลหะเงินมีข้อด้อยกว่าทองคำอยู่หลายประการทั้งสภาพคล่องที่น้อยกว่า เนื่องจากตลาดเล็กกว่า, ปริมาตรเยอะกว่าในราคาที่เท่ากัน ทำให้เก็บยากกว่า, ความผันผวนที่สูงกว่า ฯลฯ


ที่มา : Kim Property

นับถอยหลัง อีกไม่นานประเทศไทยจะมีการขนส่งทางรางที่เชื่อมโยงการเดินทางของประชาชนได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้างดังนี้

• ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 993 กิโลเมตร ยกระดับการเดินทางและขนส่งด้วยระบบรางให้รวดเร็วตรงเวลายิ่งขึ้น

ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. เปิดให้บริการปี 2562

- รถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. เปิดให้บริการปี 2562

กำลังก่อสร้างอีก 5 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากนํ้าโพ ระยะทาง 145 กม. ความก้าวหน้า 42.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม. ความก้าวหน้า 62.91%

- รถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. ความก้าวหน้า 67.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงมาบกระเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. ความก้าวหน้า 53.78%

- รถไฟทางคู่ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. ความก้าวหน้า 54.91%

ทั้ง 5 โครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการปี 2566-2567

• ผลักดันโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่อีก 2 เส้นทาง

- รถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 326 กม.

รถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม.

ระยะทางรวม 681 กิโลเมตร

• เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง

เพื่อเติมเต็มการเดินทางจากปริมณฑลเข้าสู่ในกลางกรุงเทพมหานครและเชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้ามหานคร

เส้นทางที่กำลังก่อสร้างขณะนี้ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทางรวม 15.26 กิโลเมตร 3 สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 78.76%

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทางรวม 26.30 กิโลเมตร 10สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 81.72%

พร้อมก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ ความก้าวหน้า 99.76%

• ส่วนต่อขยายในอนาคต อีก 3 ช่วง ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน-ศิริราช-ศาลายา

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และ บางซื่อ- หัวลำโพง (Missing Link)

โดยอยู่ระหว่างการรถไฟฯ ศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการลงทุน PPP

• ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทาง

2 สายแรกของประเทศไทยเชื่อมโยงเมือง การเดินทาง และพัฒนาเมืองสำคัญในภูมิภาคเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุน ยกระดับรายได้ของประเทศ

• ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง 2 สายทางคือ

- รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางรวม 253 กม. 6 สถานี ขณะนี้เริ่มก่อสร้างงานโยธาแล้ว 2 สัญญา อีก 12 สัญญา อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2568

- รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. 9 สถานี เปิดพื้นที่การพัฒนาจากกรุงเทพฯ สู่ EEC ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมดำเนินการก่อสร้าง รื้อย้ายสิ่งกีดขวาง เวนคืนที่ดิน คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2570


ที่มา : Thailand Future


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top