Monday, 29 April 2024
ปูติน

‘ไบเดน’ ตราหน้า ‘ปูติน’ เป็น 'อาชญากรสงคราม' ส่งอาวุธช่วยยูเครนเพิ่ม แม้คู่ขัดแย้งมีท่าทีรอมชอม

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เรียกประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียว่าเป็น "อาชญากรสงคราม" ต่อการโจมตียูเครน พร้อมแถลงมอบเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่เคียฟเพิ่มเติมอีก 800 ล้านดอลลาร์ ในนั้นรวมถึงอาวุธที่ใช้สอยเครื่องบินและรถถังของรัสเซีย แม้การเจรจาสันติภาพของสองฝ่ายคู่ขัดแย้งมีสัญญาณความคืบหน้าและมีท่าทีประนีประนอม

ระหว่างพูดโต้ตอบกับผู้สื่อข่าวรายหนึ่งที่ทำเนียบขาว ไบเดน กล่าวว่า "โอ้ ผมคิดว่าเขาเป็นอาชญากรสงคราม" หลังจากตอนแรก ตอบกลับว่า "ไม่" เมื่อถูกถามว่าเขาพร้อมเรียก ปูติน ด้วยถ้อยคำดังกล่าวหรือเปล่า

ถือเป็นครั้งแรกที่ ไบเดน ตราหน้า ปูติน ต่อหน้าสาธารณะด้วยถ้อยคำดังกล่าว หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ พูดระหว่างเยือนโปแลนด์ ว่า รัสเซียควรถูกสืบสวนอย่างที่สุดในความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมสงคราม

โฆษกของวังเครมลิน รุดออกมาตอบโต้ โดยบอกว่าความเห็นของ ไบเดน ซึ่งกล่าวหาประธานาธิบดีรัสเซียก่ออาชญากรรมสงครามนั้น "เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้" และ "เป็นถ้อยคำที่ไม่สามารถอภัยได้"

อย่างไรก็ตาม เจน ซากิ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาวระบุในเวลาต่อมา ว่า ไบเดน พูดออกมาจากใจ พร้อมเน้นย้ำว่ากำลังมีกระบวนการทางกฎหมายแยกกันเพื่อสรุปว่า ปูติน ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและก่ออาชญากรรมสงครามหรือไม่ ซึ่งกระบวนการนี้อยู่ระหว่างดำเนินการโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ไบเดนเผยว่า สหรัฐฯ เสนอมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนเพิ่มอีก 800 ล้านดอลลาร์ หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวปราศรัยต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านวิดีโอลิงก์ ร้องขอความสนับสนุนด้านทหารอย่างเร่งด่วน เพื่อปัดเป่าการรุกรานของรัสเซีย

"สหรัฐฯ จะเดินหน้ามอบอาวุธแก่ยูเครน เพื่อต่อสู้และป้องกันตนเอง มอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและสนับสนุนเศรษฐกิจยูเครน ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติม" ไบเดนกล่าว "แพกเกจใหม่นี้จะเป็นการมอบความช่วยเหลือยูเครนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และในนั้นรวมถึงขีปนาวุธต่อต้านรถถังและอากาศยาน" ที่ช่วยชะลอการบุกของรัสเซียตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ตามคำขอของเซเลนสกี วอชิงตันจะมอบระบบต่อต้านอากาศยานขีปนาวุธพิสัยไกลแก่ยูเครนเพิ่มเติม ไบเดนระบุ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังจะมอบระบบต่อต้านยานเกราะ 9,000 กระบอก โดรนและอาวุธขนาดเล็ก เช่น ปืนกล ปืนสั้น และเครื่องยิงระเบิดอีก 7,000 กระบอก ซึ่งจะช่วยพลเรือนต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศของตนเอง

เงินช่วยเหลือก้อนใหม่จะมาจากร่างงบประมาณฉบับหนึ่งซึ่ง ไบเดน ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว ซึ่งในนั้นรวมไปถึงจัดสรรเงินช่วยเหลือรอบใหม่แก่ยูเครน 13,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ระหว่างการปราศรัยต่อสภาคองเกรส เซเลนสกีเปรียบเทียบการโจมตียูเครน กับเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ซึ่งลากสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมอ้อนวอนสมาชิกสภาคองเกรสและไบเดนโดยตรง ยกระดับความช่วยเหลือมากกว่าที่เป็นอยู่

‘ปูติน’ ปลดฟ้าผ่าจนท.เครมลินยกชุด 1,000 คน ตั้งแต่พ่อครัวยันเลขา หวั่นคนใกล้ตัวลอบสังหาร

กองทัพยูเครนยืนยันนายพลรัสเซียคนที่ 5 เสียชีวิตเมื่อวานนี้(19 มี.ค)ที่เมืองเคอร์ซอน ขณะที่มีรายงานประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่เครมลินถึง 1,000 คน หวั่นอาจตกเป็นเป้าถูกลอบสังหารจากคนใกล้ตัว

บิสซิเนสอินไซเดอร์ รายงานวันศุกร์(18 มี.ค)ว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในเดือนกุมภาพันธ์สั่งปลดเจ้าหน้าที่ใกล้ชิดในทำเนียบเครมลินถึง 1,000 คนในคราวเดียวกัน

อ้างอิงจากเดลีบีสต์ พบว่าในกลุ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งถูกสั่งปลดนั้นมีตั้งแต่พ่อครัว พนักงานซักล้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเลขา โดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัสเซีย

ผู้เชี่ยวชาญซึ่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองลับฝรั่งเศสจากแผนกความมั่นคงภายนอก DGSE เคยทำหน้าที่วางแผนส่งสายลับออกไปปฎิบัติการเปิดเผยกับเดลีบีสต์ว่า เขา่เชื่อว่า "ความพยายามลอบสังหารน่าจะมาจากภายในเครมลินไม่ใช่มาจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติ " และเป้าประสงค์อาจเพื่อต้องการให้สงครามยูเครนยุติ

การใช้ยาพิษเป็นสิ่งที่ชื่นชอบสำหรับรัสเซีย ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซีย อเล็กเซ นาวาลนี ที่เกือบเสียชีวิตจากสารพิษทำลายประสาทโนวีช็อกในไซบีเรียเมื่อสิงหาคม ปี 2020 ซึ่งอดีตสายลับฝรั่งเศสกล่าวว่า ปูตินนิยมการใช้ยาพิษสำหรับการลอบสังหาร และเขายังชี้ต่อว่า ถึงแม้ว่าการใช้ยาพิษในหลายประเทศสามารถกระทำได้แต่ไม่มีใครเชี่ยวชาญได้มากเท่าพวกรัสเซีย

แต่ทว่าการใช้ยาพิษเพื่อลอบสังหารปูตินนั้นไม่ง่าย โดยแหล่งข่าวระดับสูงชั้นในระดับองค์กรของกระทรวงรัสเซียชี้ว่า ในเดือนกุมภาพันธ์มีการเปลี่ยนชุดเจ้าหน้าที่ทำงานยกชุด 1,000 คนที่ทำงานใกล้ชิดให้กับผู้นำรัสเซียในชีวิตประจำวัน ซึ่งทั้งพ่อครัว พนักงานซักล้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเลขา ถือเป็นคนที่ใกล้ชิดและต้องทำงานให้กับปูตินและมีโอกาสสูงที่จะวางยาพิษเขาได้ และได้มีทำการเปลี่ยนให้ชุดใหม่เข้ามาแทน

เดลีบีสต์อธิบายว่า เคยมีการพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต โจเซฟ สตาลิน ในปี 1952 จากฝีมือของอดีตประธานาธิบดีจีน เหมา เจ๋อตง มาแล้วด้วยการส่งเชฟเข้าไปในสหภาพโซเวียต

โดยในปี 1952 ซึ่งเป็นปีที่โรงแรมปักกิ่งตั้งอยู่ที่จัตุรัสมายาคอฟสกี( Mayakovsky) เกือบใกล้เสร็จเพื่อการเฉลิมฉลองสัมพันธภาพซิโน-รัสเซีย พบว่าประธานเหม๋าได้จัดส่งเชฟชาวจีนคนโปรดมายังกรุงมอสโกสำหรับการเปิดภัตตาคารอาหารจีนที่อยู่ภายในโรงแรม และถือเป็นภัตตาคารอาหารจีนเพียงแห่งเดียวในกรุงมอสโกเวลานั้น

ทั้งนี้เชฟชื่อดังแท้จริงแล้วเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาเพื่อลอบสังหารสตาลินโดยเฉพาะ แต่ฝ่ายโซเวียตไหวตัวทัน สั่งให้ KGB เข้าจัดการเขาก่อน พวก KGB ใช้มีดปังตอเฉาะไปที่ศีรษะดับชีพนักฆ่า อ้างอิงจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้ที่เปิดอย่างเป็นทางการในปี 1955 พบว่าวิญญาณของพ่อครัวนักฆ่ายังคงล่องลอยอยู่ภายในโรงแรมเพื่อตามหาสตาลิน เดลีบีสต์รายงาน

ข่าวการเปลี่ยนตัวยกชุดของปูตินเกิดขึ้นในขณะที่กองทัพยูเครนในวันเสาร์(19) ออกแถลงการณ์อ้างว่า มีนายพลรัสเซียจำนวน 5 คนเสียชีวิตไปแล้วนับตั้งแต่สงครามบุกยูเครนเริ่มมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์

เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้(19)ว่า พลโท อันเดรย์ มอร์ดวิเชฟ ( Andrey Mordvichev) ผู้บัญชาการกองกำลังที่ 8 ของกองทัพเขตใต้รัสเซียเสียชีวิตในวันเสาร์(19) และกลายเป็นนายพลรัสเซียคนที่ 5 ที่เสียชีวิต

อ้างอิงจาก  โอเลคซี อเรสโตวิช (Oleksiy Arestovych )อดีตที่ปรึกษาผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ในรายงานของสื่ออินเตอร์แฟกซ์( Interfax)เปิดเผยว่า มอร์ดวิเชฟเสียชีวิตขณะที่กองกำลังทหารยูเครนเข้าทำลายที่ตั้งกองบัญชาการทหารตั้งอยู่ในลานบินชอร์โนเบยิฟกา( Chornobayivka) ใกล้กับสนามบินเมืองเคอร์ซอน(Kherson)ทางใต้ของยูเครนเมืองเคอร์ซอนเป็นเมืองแรกในยูเครนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียแต่กองกำลังยูเครนพยายามต่อสู้เพื่อยึดคืน โดยในวันเสาร์(19)ฝ่ายยูเครนยังอ้างว่าสามารถสังหารกองกำลังรัสเซียไปทั้งหมด 14,400 คนแต่สหรัฐฯออกมาประเมินว่า รัสเซียน่าจะสูญเสียไปราว 7,000 คน บิสซิเนสอินไซเดอร์รายงาน

เสนาธิการทหารบกยูเครนกล่าวผ่านแถลงการณ์ในวันเสาร์(19)มีใจความว่า “เป็นผลจากยิงไปที่ข้าศึกจากฝีมือของกองกำลังยูเครนทำให้ผู้บัญชาการกองกำลังที่ 8 ของเขตใต้กองทัพรัสเซีย พลโท อันเดรย์ มอร์ดวิเชฟ ถูกสังหาร”

'จนท.สหรัฐฯ' ป้อง 'ไบเดน' หลังหลุดพูดเปลี่ยนการปกครองในรัสเซีย ฟาก 'ริพับลิกัน' ติง!! วันหน้าอย่าพูดนอกสคริปต์อีก

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต้องพากันรุดออกมาชี้แจงพัลวันในวันอาทิตย์ (27 มี.ค.) ว่า อเมริกาไม่มีนโยบายเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในรัสเซีย หลังจากก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย "ไม่อาจอยู่ในอำนาจได้อีก" จนถูกมอสโกออกมาตอบโต้ว่าไม่เคารพต่อการเลือกของประชาชนชาวรัสเซีย

คำพูดของไบเดนระหว่างเยือนโปแลนด์ในวันเสาร์ (26 มี.ค.) ยังรวมถึงความเห็นที่เรียก ปูติน ว่า "คนโหดเหี้ยม" ดูเหมือนเป็นการปรับท่าทีของสหรัฐฯ ที่มีต่อมอสโกขึ้นอย่างมาก ต่อกรณีที่พวกเขายกพลรุกรานยูเครน

เครมลินตอบโต้ความคิดเห็นของไบเดน โดยระบุว่า "มันไม่ใช่การตัดสินใจของไบเดน ประธานาธิบดีรัสเซียเลือกโดยประชาชนชาวรัสเซีย"

ในขณะที่ผู้แทนทูตระดับสูงเรียงแถวออกมาชี้แจงในวันอาทิตย์ (27 มี.ค.) ประธานาธิบดีไบเดน ถูกสอบถามโดยผู้สื่อข่าวรายหนึ่ง ตอนที่เขากำลังเดินทางออกจากโบสถ์แห่งหนึ่งในวอชิงตัน ว่าเขากำลังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัสเซียหรือไม่ ไบเดน ตอบกลับด้วยคำพูดเดียวสั้นๆ ว่า "ไม่"

จูเลียน สมิธ เอคอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต้ พยายามอธิบายบริบทความเห็นของไบเดน โดยบอกว่ามันมีขึ้นหลังหนึ่งวันหลังจากพบปะพูดคุยกับพวกผู้ลี้ภัยชาวยูเครนในวอร์ซอ ในขณะที่การรุกรานที่ยืดเยื้อนาน 1 เดือนของรัสเซีย ผลักประชาชนชาวยูเครนราว 1 ใน 4 จากทั้งหมด 44 ล้านคน ต้องหลบหนีจากที่พักอาศัย

"ในช่วงเวลานั้นผมคิดว่ามันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยธรรมชาติต่อเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้ยินมาในวันนั้น" สมิธให้สัมภาษณ์กับรายการ "State of the Union" ของซีเอ็นเอ็น ก่อนระบุว่า "สหรัฐฯ ไม่มีนโยบายเปลี่ยนการปกครองในรัสเซีย"

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวในเยรูซาเลม แสดงความคิดเห็นว่า ไบเดน กำลังชี้ให้เห็นว่า ปูติน ไม่ควรมีอำนาจในการทำสงคราม และ บลิงเคน บอกด้วยว่าการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับผู้นำในอนาคตของรัสเซียจะขึ้นอยู่กับประชาชนชาวรัสเซีย

สมาชิกพรรครีพับลิกันวิพากษ์วิจารณ์คำพูดของไบเดน โดยเรียกมันว่าเป็นความผิดพลาดที่เคราะห์ร้าย

เจมส์ ริสช์ วุฒิสมาชิกระดับสูงของรีพับลิกัน ในคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภา เรียกความเห็นของไบเดน ว่า คำพูดที่น่าลัวและปรารถนาว่าในวันข้างหน้าประธานาธิบดีรายนี้จะไม่พูดอะไรที่อยู่นอกเหนือจากสคริปต์อีก

"คนส่วนใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่รู้หรอกว่าคำพูด 9 คำที่เขาปริปากออกมา ก่อความครึกโครมแค่ไหน มันกำลังก่อปัญหาใหญ่" เขาบอกกับซีเอ็นเอ็น

วุฒิสมาชิก ร็อบ พอร์แมน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการเช่นกัน คร่ำครวญว่ามันเป็นก้าวย่างที่ผิดพลาดในช่วงเวลาสงคราม "มันเข้าทางพวกนักโฆษณาชวนเชื่อรัสเซีย และเข้าทางวลาดิมีร์ ปูติน ดังนั้นมันจึงเป็นความผิดพลาด"

สหรัฐฯ หาทางถ่วงดุลระหว่างเกิดความขัดแย้งในยูเครน เพื่อหลีกเลี่ยงเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงกับรัสเซีย พวกเขาส่งมอบอาวุธให้เคียฟ สำหรับนำไปสู้รบกับรัสเซีย แต่ปฏิเสธส่งทหารเข้าไปยังประเทศแห่งนี้หรือกำหนดเขตห้ามบิน

แนวทางสนับสนุนดังกล่าวช่วยเสริมแสนยานุภาพแก่ยูเครน ที่สามารถต้านทานการรุกรานได้อย่างดุเดือดผิดคาด และจนถึงตอนนี้รัสเซียยังคงล้มเหลวในการยึดเมืองหลักใดๆ ของยูเครน แม้การสู้รบล่วงเลยมากว่า 4 สัปดาห์แล้วก็ตาม

'ปูติน' ลงนามกฤษฎีกาแบน 'ชาติไม่เป็นมิตร' ห้ามเดินทางเข้าประเทศ มีผลทันที!!

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ลงนามในกฤษฎีกาวันนี้ ระบุว่า รัสเซียจะระงับการออกวีซ่าให้แก่ผู้ที่เดินทางจาก "ประเทศที่ไม่เป็นมิตร" ต่อรัสเซีย โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลทันทีในวันนี้

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีปูติน ยังมีคำสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการออกวีซ่าให้แก่ชาวต่างชาติหรือบุคคลไร้สัญชาติที่กระทำการอันไม่เป็นมิตรต่อรัสเซีย

การลงนามในวันนี้ถือเป็นการออกกฤษฎีกาฉบับที่ 2 ของประธานาธิบดีปูติน เพื่อตอบโต้ประเทศที่คว่ำบาตรรัสเซีย หลังจากที่เขาได้ลงนามในกฤษฎีกาฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ประเทศที่ซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียจะต้องชำระเงินเป็นสกุลรูเบิลเท่านั้น หากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว สัญญาการซื้อก๊าซก็จะถูกระงับ

‘ไบเดน’ เตือน!! รัสเซียแค่ตั้งหลัก กลับมาบุกหนักแน่ พร้อมจี้ ดำเนินคดี ‘ปูติน’ ข้อหาอาชญากรสงคราม

ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาออกโรงเตือนว่า กองทัพรัสเซียจะกลับมาบุกยูเครนอย่างหนักขึ้นในสัปดาห์หน้าหลังจากที่ปฏิบัติการยึดกรุงเคียฟล้มเหลว และทหารยูเครนได้กลับเข้ามาประจำการคืนพื้นที่รอบกรุงเคียฟเรียบร้อยแล้ว

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ว่า แผนการเบื้องต้นในการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย คือ การบุกยึดกรุงเคียฟ และโค่นล้มรัฐบาลของนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ หลังจากนั้นก็จะควบคุมหัวเมืองใหญ่ๆ ในยูเครนตามลำดับ โดยคาดหมายว่าจะทำได้สำเร็จภายในระยะเวลาไม่นาน

แต่เมื่อทุกอย่างผิดแผน ไม่เป็นอย่างที่ตั้งหวังไว้ จนเกิดความผิดพลาดของระบบพลาธิการภายในกองทัพรัสเซีย สร้างผลกระทบไปสู่การขาดแคลนเสบียงและน้ำมัน ทำให้กองทัพรัสเซียต้องถอยร่นกลับมาจัดขบวนทัพใหม่ โดยเลือกปรับทัพเน้นหนักไปที่ชายแดนทางด้านตะวันออก และตอนใต้ของยูเครน แทนที่จะกระจายกองทัพตีหลายๆ เมืองพร้อมกันอย่างที่แล้วมา

อีกทั้งมีแนวโน้มว่ารัสเซียจะยกระดับการโจมตีอย่างเข้มข้นมากขึ้น ด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด และขีปนาวุธ ที่จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงทั้งกับกองทัพ และระบบเศรษฐกิจของประเทศยูเครน

ด้านฝ่ายกลาโหมสหรัฐฯ ได้เปิดเผยข้อมูลอีกว่า ทางรัสเซียได้ถอนทหารกว่า 65% ที่เคยปักหลักล้อมกรุงเคียฟ แล้วกลับไปตั้งหลักใหม่ในประเทศเบลารุส เพื่อเตรียมเสบียง ก่อนที่จะยกพลกลับมาใหม่ด้านภูมิภาคดองบาส ในภาคตะวันออกของยูเครน

ปูตินสั่งลุยในยูเครนจนกว่าจะชนะ หลังเจรจาเจอทางตัน เชื่อ 'ระเบียบโลกสหรัฐฯ' กำลังพังทลาย

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เปิดเผยในวันอังคาร (12 เม.ย.) การเจรจาสันติภาพกับยูเครนเจอทางตัน และใช้การออกมาพูดต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกในรอบกว่า 1 สัปดาห์ ประกาศเดินหน้าโจมตีต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ และเย้ยหยันตะวันตกว่ากำลังล้มเหลวในการบีบบังคับให้มอสโกคุกเข่ายอมจำนน ผ่านมาตรการคว่ำบาตรอันหนักหน่วง เชื่อกฎระเบียบโลกขั้วเดี่ยวที่ครอบงำโดยสหรัฐฯ กำลังล่มสลาย พร้อมแซะอเมริกาพร้อมสู้กับรัสเซียจนกว่าจะสิ้นชาวยูเครนคนสุดท้าย

ในการปราศรัยเกี่ยวกับสงครามต่อหน้าสาธารณะเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่กองกำลังรัสเซียล่าถอยจากทางตอนเหนือของยูเครน หลังหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูทางเข้ากรุงเคียฟเป็นเวลานาน ปูติน สัญญาว่าจะบรรลุทุกเป้าหมายขั้นสูงในยูเครน

คำกล่าวที่เป็นสัญญาณชัดเจนที่สุดจนถึงตอนนี้ว่าสงครามจะลากยาวต่อไป ปูตินระบุว่า เคียฟกัดเซาะการเจรจาสันติภาพ ด้วยการจัดฉากในสิ่งที่เขาเรียกว่าการกล่าวหาอันเป็นเท็จ ว่ารัสเซียก่ออาชญากรรมสงคราม และจากข้อเรียกร้องขอคำรับประกันด้านความมั่นคงครอบคลุมทั่วทั้งยูเครน

"เป็นอีกครั้งที่เรากลับสู่สถานการณ์ทางตันสำหรับเรา" ปูตินกล่าวระหว่างแถลงสรุป ขณะเดินทางเยือนฐานปล่อยวอสโตชินี คอสโมโดรม (Vostochny Cosmodrome) ทางตะวันออกของมอสโก ราว 5,550 กิโลเมตร

เมื่อถูกคนงานของหน่วยงานอวกาศรัสเซีย ถามว่าปฏิบัติการในยูเครนจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ปูตินตอบว่า "แน่นอน ผมไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลย"

ปูตินกล่าวต่อว่า "รัสเซียจะเดินหน้าอย่างเป็นจังหวะและสุขุมเยือกเย็นในปฏิบัติการ แต่บทสรุปทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดก็คือกฎระเบียบโลกขั้วเดี่ยว ซึ่งสหรัฐฯ ได้สร้างมาหลังจากสงครามเย็น กำลังแตกสลาย"

ประธานาธิบดีปูตินเน้นย้ำว่ารัสเซียไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้รบ เพราะว่าจำเป็นต้องปกป้องพลเรือนพูดภาษารัสเซียในภาคตะวันออกของยูเครน และป้องกันไม่ให้เพื่อนบ้านอดีตสหภาพโซเวียต กลายเป็นสปริงบอร์ดต่อต้านรัสเซียของบรรดาศัตรูทั้งหลายของมอสโก

ตะวันตกประณามสงครามนี้ว่าเป็นการยึดครองดินแดนในรูปแบบจักรวรรดิอันโหดเหี้ยม โดยมีประเทศอธิปไตยหนึ่งเป็นเป้าหมาย ส่วนยูเครนระบุว่าพวกเขากำลังสู้รบเพื่อความอยู่รอด หลังจาก ปูติน ผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนในปี 2014 และประกาศรับรองเอกราช 2 แคว้นกบฏทางภาคตะวันออกของยูเครน ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

'ไบเดน' โทษ 'ปูติน' ทำให้ปชช.อเมริกันกระเป๋าฉีก น้ำมัน-อาหาร-ของใช้ ราคาแพง เงินเฟ้อสูงในรอบ 40 ปี

ประชาชนชาวอเมริกาต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น สำหรับซื้อเบนซิน อาหารและข้าวของจำเป็นอื่นๆ ในเดือนที่แล้ว ท่ามกลางตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปฏิบัติการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก จากข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ในวันอังคาร (12 เม.ย.) ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวโทษต้นตอไปที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.5% ในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.1981 เป็นสัญญาณว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังอยู่ภายใต้แรงกดดัน แม้อีกด้านหนึ่งพวกเขากำลังหาทางลงโทษรัสเซียเพิ่มเติม ต่อกรณีที่เปิดปฏิบัติการทหารรุกรานยูเครน

อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นฉุดรั้งคะแนนนิยมของไบเดนให้ลดต่ำลง และประธานาธิบดีรายนี้พยายามกล่าวโทษไปที่ประธานาธิบดีวลาดิมร์ ปูติน และการรุกรานที่ก่อความปั่นป่วนแก่ตลาดพลังงานโลก

"ราคาที่เพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 70% มาจากการขึ้นราคาเบนซินของปูติน" ไบเดนกล่าวอ้างระหว่างปราศรัยในไอโอวา แม้กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่ามันคิดเป็นสัดส่วนราวๆ เกือบครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ราคาต่างๆ เริ่มเพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19 และในขณะที่รายงานล่าสุดเผยให้เห็นว่าแม้ราคาจะแตะระดับสูงสุดในหลายรายการ แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ว่ามันอาจกำลังเข้าสู่ระดับคงที่

ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 1.2% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก.พ. เป็นไปตามที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายไว้แต่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานหลัก ซึ่งไม่รับรวมภาคอาหารและพลังงานที่มีความผันผวนสูง เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% น้อยกว่าที่คาดหมายไว้

'ไบเดน' เดินยุทธศาสตร์ 'ศาลโลกล้อมรัสเซีย' กล่าวหา 'ปูติน' ด้วยข้อหา 'ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์'

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวออกสื่อเป็นครั้งแรกว่า การใช้กำลังทหารรุกรานยูเครนของรัสเซียเป็นความผิดร้ายแรงถึงระดับ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

โดยไบเดนให้สัมภาษณ์ว่า "ใช่ครับ! ผมเรียกมันว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะสิ่งที่ปูตินทำลงไป มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาพยายามลบล้างความเป็นชาวยูเครน และมีหลักฐานเยอะมาก"

ไบเดนยังกล่าวอีกว่า "พวกเราได้ให้ทีมกฎหมายดำเนินการแล้วว่าสิ่งที่รัสเซียทำเข้าข่ายหรือไม่ แต่ในความเห็นของผม ผมแน่ใจว่ามันเป็นเช่นนั้น"

ก่อนหน้านี้ ไบเดนใช้คำว่า "อาชญากรสงคราม" เมื่อเอ่ยถึงปูติน กับปฏิบัติการทางทหารในยูเครนบ่อยครั้ง แต่มาครั้งนี้ ที่ไบเดนเปลี่ยนมาใช้คำว่า "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ที่ถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงที่สุด

ซึ่งข้อหา "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนเคยใช้มาก่อน หลังจากที่เข้าไปสำรวจความเสียหายในเมืองบูชา (Bucha) หลังทหารรัสเซียถอนกำลังออกไป และพบผู้เสียชีวิตจำนวนมากภายในเมือง โจ ไบเดน จึงให้ผู้นำยูเครนรวบรวมหลักฐานมาประกอบสำนวนในการฟ้องร้องปูตินที่ศาลโลก

ถึงแม้โจ ไบเดน ได้ออกมาเปิดหน้าแล้วว่าจะผลักดันให้มีการดำเนินคดีปูตินถึงข้อหาสูงสุด แต่ด้านวลาดิมีร์ ปูติน ก็ได้แถลงออกสื่อครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์เช่นกันว่า รัสเซียจะยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารในยูเครนต่อไปอย่างเป็นจังหวะ และใจเย็น และเชื่อมั่นว่ากองทัพรัสเซียจะสามารถบรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ข้อหาเรื่อง "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ก็ยังมีข้อถกเถียงอย่างมากในเรื่องการตีความ ซึ่งนิยามของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มีระบุในที่ประชุมเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขององค์การสหประชาชาติเมื่อเดือน ธันวาคม 1948 ไว้ว่าเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือศาสนา ให้สูญสิ้นไปทั้งหมด

บทละครที่ถูกจับทาง 'เสธ.นิด' มอง!! 'สงครามรัสเซีย-ยูเครน' ใต้เงา 'สหรัฐ-นาโต' ในวันที่ 'ปูติน' ไม่โดดเดี่ยวอย่างที่ 'ไบเดน' คาดหวังไว้ .

พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี หรือ 'เสธ.นิด' อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Vachara Riddhagni' เผยถึงสงครามการเมืองการทูตรัสเซีย/ยูเครน 2022 ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า...

รัสเซียโดยประธานาธิบดีปูตินไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่ประธานาธิบดีไบเดนคาดการณ์ไว้ “เพราะคิดว่าเงาปีศาจสตาลินจะมาหลอกหลอน” คนทั้งโลกได้

แต่ขณะนี้ หลังจากรัสเซียประกาศขับไล่นักการทูตสหภาพยุโรปออกจากกรุงมอสโก เพื่อเป็นการตอบโต้ที่หลายประเทศในสหภาพยุโรปขับไล่นักการทูตรัสเซีย 

ผลตามมา คือ การเจรจาเพื่อยุติสงครามในขณะนี้เป็นไปยากขึ้นและในขณะที่รัสเซียกำลังได้เปรียบในสงครามนี้ประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย “เริ่มมีความได้เปรียบมากขึ้น” เพราะว่า...

1. สังคมโลกเริ่มมองย้อนหลังและสามารถเปรียบเทียบ “พฤติกรรมสงครามของสหรัฐฯ, อังกฤษ, นาโต” ในยุคสงครามก่อการร้ายโลกกับพฤติกรรมสงครามของรัสเซีย ว่า มีข้อแตกต่างกันมาก!!

ตั้งแต่ครั้งรัสเซียโดยประธานาธิบดีเบรสเนฟแห่งสหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน เพราะมีปัญหาวุ่นวายการเมืองภายในอัฟกานิสถานเองและโซเวียตที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอัฟกานิสถาน เห็นโอกาสอันดีที่จะเข้าครองอิทธิพลในเอเชียกลาง จึงส่งกองทัพเข้ายึด

สหรัฐฯ ได้โอกาสที่จะทำลายศรัทธาโซเวียตและพรรคคอมมิวนิสต์อัฟกานิสถาน จึงสนับสนุน มูจาฮิดีน ต่อสู้แบบกองโจรต่อเนื่อง จนในที่สุดโซเวียตเห็นว่า “สิ้นเปลืองไม่คุ้มค่าทางการเมืองและไม่มีผลประโยชน์อะไรจึงถอนทัพ” 

การแทรกแซงของต่างชาติในอัฟกานิสถานทำให้เกิด “แนวคิดต้นตำรับอิสลามเรียกว่า Taliban แปลว่า The Students ซึ่งยึดมั่นในวิถีอิสลามแบบเก่าอย่างเคร่งครัดและสนับสนุน Jihad สงครามศักดิ์สิทธิ์แบบอิสลามและได้ให้ที่พักพิง “อุซามะฮ์ บินลาดิน” ที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าเป็นตัวการก่อการวินาศกรรมด้วยการจี้เครื่องบินโดยสารสหรัฐฯ 3 ลำและใช้เครื่องบินเหล่าบินชนตึก WT 1, 2 และเพนตากอน

ด้วยเหตุที่รัฐบาลตอลิบานไม่ส่งตัว อุซามะฮ์ บินลาดิน...สหรัฐฯ จึงถล่มกรุงคาบูลอย่างหนักแบบราบเป็นหน้ากลอง แล้วสร้างให้ใหม่

พร้อมทั้งทำสงครามกองโจรก่อการร้ายกับตอลิบานและดึงเอากองทัพนาโต้เข้าร่วมรบด้วย

แต่ไม่นานกองทัพนาโตถอนตัวเหลือสหรัฐฯ โดดเดี่ยวและไม่สามารถกำจัดกองทัพตอลิบานได้อย่างเด็ดขาด สิ้นเปลืองงบประมาณมากมายมหาศาล จึงถอนทัพในที่สุดเมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว (2564)

2. สงครามอ่าวครั้ง 1 และ 2 สหรัฐฯ โจมตีกรุงแบกแดดอย่างหนักจนราบเป็นหน้ากลองและสหรัฐฯ เข้ายึดครองประเทศและบ่อน้ำมันทั้งหมด งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์ประเทศเป็นของนายทุนสหรัฐฯ และสหรัฐฯ สร้างบริษัทหรือกองทัพทหารรับจ้าง Black Water เข้ารับงาน รปภ.บริษัทอเมริกันทั้งหมดในอิรัก

3. ช่วงการต่อต้านเปลี่ยนรัฐบาลในตะวันออกกลาง Arab Springs ซึ่งหลายประเทศมีลักษณะเป็น “เผด็จการ” ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนั้น NGO ตะวันตกถือโอกาสแทรกแซง ปราบปรามผู้นำที่สหรัฐฯ ควบคุมไม่ได้และจะเป็นภัยกับอิสราเอล ซึ่งมีความผูกพันกับนักการเมืองยิวที่มีอิทธิพลมากๆ ในพรรคการเมือง

และรัฐบาลสหรัฐฯ จะแสวงหาคนที่ “ตะวันตก” ควบคุมได้ง่ายกว่าผู้นำก่อนหน้านี้ เป็นรัฐบาลผนวกกับป้องกันอิสลามหัวรุนแรงไม่ให้เข้าไปมีอำนาจปกครองประเทศซึ่งจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้

4. ทุกครั้งที่กลุ่มแสวงผลประโยชน์ชาติตะวันตกเกิดขึ้น ก็เกิดกลุ่มต่อต้านที่เป็นมุสลิม และกลุ่มใหม่ คือ กลุ่ม ISIS ที่พัฒนาจากกลุ่มต่อต้านสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรีย ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ในการโค่นล้มประธานาธิบดี อัล อัสซัด แห่งซีเรีย แต่ไม่สำเร็จ จึงกลายเป็นสงครามการเมืองและรัสเซียเข้าช่วยประธานาธิบดีอัล อัสซัด ต่อสู้กับ ISIS ซึ่งเชื่อกันว่า สหรัฐฯ จัดตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ เพื่อทำลายความแข็งแกร่งของชาติตะวันออกกลางที่สหรัฐฯ ควบคุมไม่ได้

5. สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่ตั้ง ISIS เพื่อเล่นละครหลอกสังคมโลก จนบ้านเมืองพินาศไม่เหลือซากเพื่อต้องการเพียงสังหารผู้นำ ISIS ซึ่งต่อมาเรียก สั้นๆ ว่า IS 

สหรัฐฯ จะใช้ยุทธวิธีเด็ดหัว Decapitation ด้วยเครื่องโจมตีทิ้งระเบิด

6. หากเปรียบเทียบตั้งแต่สหภาพโซเวียตล้มสลายลงนั้น “รัสเซียจำเป็นต้องรักษาอำนาจอิทธิพลของรัสเซียไว้ให้ได้”

จึงมีการรบปราบปรามการก่อการร้ายในจอร์เจียและเชชเนียที่ต้องการออกจากอิทธิพลของรัสเซีย

การทำลายที่มั่นกองกำลังก่อการร้าย ก็เพราะหากหลุดมือไปสหรัฐฯ จะเข้ามาครอบงำกลุ่มประเทศเหล่านี้ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัสเซียโดยตรง

แต่การโจมตีของกองทัพรัสเซียแตกต่างจากการทิ้งระเบิดถล่มของสหรัฐฯ เพราะรัสเซียใช้กองกำลังรถถังมากกว่า ผลการโจมตีทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ น่าจะเป็นแบบอย่างให้อิสราเอลโจมตีที่มั่นกลุ่ม Hamas ในปาเลสไตน์

‘ปูติน’ ลั่น!! พร้อมช่วยโลกฝ่าวิกฤตอาหาร หากตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร

(27 พ.ค.65) ไม่นานมานี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้บอกกล่าวกับนายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากี ของอิตาลี ว่า รัสเซียพร้อมที่จะให้การสนับสนุนที่สำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตอาหารที่กำลังจะเกิดขึ้น หากชาติตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร 

หลังจากที่ชาติตะวันตกพร้อมใจกันใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพื่อตอบโต้ปฏิบัติการทางทหารในยูเครน ซึ่งขัดขวางห่วงโซ่อุปทานอาหาร, ปุ๋ย และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ จากทั้งรัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะข้าวสาลี ซึ่งทั้งสองประเทศ ผลิตข้าวสาลีได้ร้อยละ 30 ของอุปทานข้าวสาลีทั่วโลก 

รัฐบาลรัสเซียแถลงภายหลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำรัสเซียและอิตาลีว่า “ปูตินเน้นย้ำว่าสหพันธรัฐรัสเซียพร้อมที่จะมีส่วนสนับสนุนสำคัญในการเอาชนะวิกฤติอาหารด้วยการส่งออกธัญพืชและปุ๋ย ภายใต้การยกเลิกข้อจำกัดที่มีแรงจูงใจทางการเมืองโดยตะวันตก” 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top