Sunday, 28 April 2024
ปูติน

การเยือน ‘รัสเซีย’ ของ ‘สี จิ้นผิง’ นำมาซึ่งความแน่นแฟ้น พร้อมจับมือสร้าง ‘มิตรภาพ-ความร่วมมือ-สันติภาพ’

การเยือนรัสเซียของสีจิ้นผิง นำทางสัมพันธ์ทวิภาคี และส่งเสริมเสถียรภาพโลก

ปักกิ่ง/มอสโก, 19 มี.ค. (ซินหัว) - การเยือนรัสเซียของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงที่กำลังจะเกิดขึ้น อันเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของเขานับตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจีนอีกครั้ง จะเป็นการเดินทางแห่งมิตรภาพ ความร่วมมือ และสันติภาพ

การเยือนครั้งนี้ กำหนดจัดระหว่างวันที่ 20-22 มี.ค. มีเป้าหมายเพื่อวางแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างจีน-รัสเซียในยุคใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นการผลักดันความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างสองประเทศ และสร้างแรงขับเคลื่อนอันแข็งแกร่งให้แก่การรักษาสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง เพื่อร่วมสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ

ในห้วงยามนี้ สีจิ้นผิงกำลังจะก้าวเข้าสู่แผ่นดินรัสเซียเป็นครั้งที่เก้าในฐานะประธานาธิบดีจีน ผู้นำของทั้งสองประเทศมีโอกาสได้พบปะกันประมาณ 40 ครั้งตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยการแลกเปลี่ยนอย่างมีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอของผู้นำทั้งสองประเทศ ได้ให้แนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-รัสเซียมาโดยตลอด

ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งที่ไม่เคยปรากฏในรอบศตวรรษ และโรคระบาดที่ไม่เคยพบเจอ สีจิ้นผิงและปูตินได้รักษาการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดผ่านหลากหลายวิธีการ ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างจีน-รัสเซียนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่เผชิญหน้า และไม่มุ่งเป้าไปที่ฝ่ายที่สามใด ๆ ความสัมพันธ์นี้ทั้งมิได้เป็นภัยคุกคามต่อประเทศอื่นใดในโลก และจะไม่ถูกแทรกแซงหรือยั่วยุโดยฝ่ายที่สามเช่นกัน

โลกกำลังมาถึงทางแยกแห่งประวัติศาสตร์อีกครั้ง เราเลือกที่จะย้อนกลับสู่ความคิดแบบสงครามเย็น ยุยงให้เกิดความแตกแยกและเป็นปรปักษ์ ปลุกปั่นให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มก้อน หรือเลือกที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของมนุษยชาติ ส่งเสริมความเสมอภาค การเคารพซึ่งกันและกัน และความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน การยื้อยุดไปมาระหว่างสองแนวโน้มนี้ กำลังทดสอบภูมิปัญญาของเหล่านักการเมืองในประเทศใหญ่ทั้งหลาย เฉกเช่นเดียวกับการใช้เหตุผลของมวลมนุษย์ ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ให้เห็นอยู่เป็นนิจว่าการกดขี่ข่มเหงไม่สามารถชนะใจผู้คน รวมถึงการคว่ำบาตรและการแทรกแซงย่อมล้มเหลว

‘สี จิ้นผิง’ เดินทางถึง ‘มอสโก’ แล้ว ‘จนท.ระดับสูงรัสเซีย’ ให้การต้อนรับอบอุ่น

(21 มี.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘สีจิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน เดินทางถึงกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ในช่วงบ่ายวันจันทร์ (20 มี.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ หลังมีคำเชิญจากวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย

เครื่องบินของสีจิ้นผิงลงจอดที่ท่าอากาศยานนูโคโวเมื่อราว 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยเมื่อก้าวออกจากเครื่องบิน สีจิ้นผิงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ดมิตรี เชอร์นีเชนโก และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ของรัสเซีย ณ ลานจอดเครื่องบิน

‘สี จิ้นผิง’ เผยพร้อมขยายความร่วมมือกับ ‘รัสเซีย’ มุ่งผลักดันให้บรรลุเป้าหมายแบบรอบด้าน

(22 มี.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า... เมื่อวันอังคาร (21 มี.ค.) สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวว่าจีนพร้อมขยายความร่วมมือกับรัสเซียในด้านการค้า การลงทุน ห่วงโซ่อุปทาน โครงการขนาดใหญ่ พลังงาน และเทคโนโลยีระดับสูง

'สี จิ้นผิง' กล่าวถึงประเด็นข้างต้นขณะพบปะกับมิคาอิล มิชูสติน นายกรัฐมนตรีรัสเซีย

'สี จิ้นผิง' กล่าวว่าจีนและรัสเซียเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใหญ่ที่สุดของกันและกันและหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านแห่งความร่วมมือ พร้อมกล่าวว่าการรักษาการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีน-รัสเซียที่แข็งแรงและมั่นคงนั้น สอดคล้องกับตรรกะทางประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศและผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งสองประเทศ

‘ปูติน’ กร้าว!! ‘รัสเซีย-จีน’ จับมือกันแบบโปร่งใส ย้อน ‘มะกัน-นาโต้’ ส่อแววรวมก๊ก เหมือน WW II

รัสเซียและจีนไม่ได้กำลังจัดตั้งพันธมิตรทหาร และความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้ง 2 ชาตินั้น ‘มีความโปร่งใส’ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ความเห็นที่มีการออกอากาศในวันอาทิตย์ (26 มี.ค.) ไม่กี่วันหลังเป็นเจ้าภาพต้อนรับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในเครมลิน พร้อมกล่าวหาย้อนกลับไปว่า เป็นสหรัฐฯ และนาโต้เองที่กำลังแสวงหาฝ่าย ‘อักษะใหม่’ คล้ายคลึงกับการจับมือกับระหว่างนาซี เยอรมนี ฟาสซิสต์ อิตาลีและจักรวรรดิญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ปูติน และสี ประกาศตัวเป็นพันธมิตร พร้อมสัญญาสานสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ในนั้นรวมถึงในขอบเขตด้านการทหาร ระหว่างการประชุมซัมมิตเมื่อวันที่ 20-21 มีนาคมที่ผ่านมา ในขณะที่รัสเซียกำลังประสบปัญหาในการรุกคืบในสมรภูมิรบ ในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็น ‘ปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร’ ในยูเครน

"เราไม่ได้กำลังสร้างพันธมิตรทหารใหม่กับจีน" ปูตินกับผ่านสื่อมวลชนแห่งรัฐ "ใช่แล้ว เรามีความร่วมมือกันในขอบเขตการทำงานร่วมกันทางเทคนิคด้านการทหาร เราไม่ได้ปิดบังในเรื่องนี้ ทุกอย่างมีความโปร่งใส มันไม่ได้เป็นความลับใดๆ"

จีนและรัสเซียลงนามในข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนแบบไร้ขีดจำกัด เมื่อช่วงต้นปี 2022 ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า ปูติน ส่งทหารหลายหมื่นนายบุกเข้าไปในยูเครน ปักกิ่งระงับไว้ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของปูติน และนำเสนอแผนสันติภาพสำหรับยูเครน อย่างไรก็ตาม ตะวันตกปฏิเสธข้อเสนอแผนสันติภาพดังกล่าว โดยบอกว่ามันเป็นอุบายซื้อเวลาช่วยปูติน สำหรับคืนชีพกองกำลังของเขาในยูเครน

เมื่อเร็วๆ นี้ วอชิงตันแสดงความกังวลว่าปักกิ่งอาจมอบอาวุธให้รัสเซียบางอย่างที่จีนปฏิเสธ

ระหว่างแสดงความคิดเห็นผ่านสถานีโทรทัศน์ ปูติน ปฏิเสธข้อสันนิษฐานที่ว่า การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกกับปักกิ่งในขอบเขตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานและการเงิน อาจหมายความว่ารัสเซียกำลังพึ่งพิงจีนมากจนเกินไป โดยเขาบอกว่ามันเป็นมุมมองของคนขี้ระแวง "นานหลายทศวรรษแล้ว ที่มีความปรารถนาหันจีนให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสหภาพโซเวียตและรัสเซีย" เขากล่าว "และในทางกลับกัน เราเข้าใจในโลกที่เราอาศัยอยู่ดี เราเล็งเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ร่วมระหว่างเรา และระดับของความสัมพันธ์พุ่งถึงจุดสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา"

นอกจากนี้ ปูตินยังกล่าวหาสหรัฐฯ และนาโต้ ว่ากำลังหาทางสร้าง "ฝ่ายอักษะ' ระดับโลกใหม่ ที่เขาบอกว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับการจับมือเป็นพันธมิตรในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง นาซี เยอรมนี ฟาสซิสต์ อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น

ปูติน เอ่ยชื่อออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ ว่ากำลังต่อแถวเข้าร่วม 'นาโต้โลก' และพาดพิงถึงข้อตกลงด้านกลาโหมที่ลงนามโดยสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่นเมื่อช่วงต้นปี "นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกนักวิเคราะห์ตะวันตกกำลังพูดถึงเกี่ยวกับการที่ตะวันตกกำลังสร้างอักษะใหม่ แบบเดียวกับที่เคยจัดตั้งขึ้นในช่วงยุคทศวรรษ 1930 โดยรัฐบาลฟาสซิสต์เยอรมนี และอิตาลี และลัทธิทหารนิยมญี่ปุ่น" เขากล่าว

‘รัสเซีย’ โว!! ทดสอบ ‘ขีปนาวุธข้ามทวีป’ ผ่านฉลุย-แม่นยำ หลัง ‘ปูติน’ ระงับข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รัสเซียได้ประกาศความสำเร็จในการยิงทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ขั้นสูง หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ระงับความร่วมมือในข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับทางสหรัฐฯ

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุผ่านแถลงการณ์ว่า เจ้าหน้าที่กองทัพประสบความสำเร็จในการยิงไอซีบีเอ็มออกจากระบบยิงขีปนาวุธภาคพื้นดิน ที่ฐานการยิงจรวดคาปุสติน ยาร์ ของประเทศเมื่อวันอังคาร (11 เม.ย.) และว่า หัวรบทดสอบของขีปนาวุธดังกล่าวได้พุ่งโจมตีใส่เป้าหมายจำลองที่สนามทดสอบขีปนาวุธซารีชากันในประเทศคาซัคสถานตามความแม่นยำที่กำหนดไว้

แม้ว่ากระทรวงกลาโหมของรัสเซียจะไม่ได้ระบุประเภทของขีปนาวุธ ที่ถูกทดสอบเมื่อวันที่ 11 เมษายนอย่างชัดเจน แต่ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ปฏิบัติการดังกล่าวว่าเป็น ‘การทดสอบอุปกรณ์การต่อสู้ขั้นสูงของไอซีบีเอ็ม’

“การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ ทำให้สามารถยืนยันความถูกต้องของการออกแบบวงจร และการแก้ปัญหาทางเทคนิค ที่ถูกใช้ในการพัฒนาระบบขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์อันใหม่” กลาโหมรัสเซีย กล่าว

เช็กแถวทหารในเขตยึดครอง 'เคอร์ชอน-ลูฮันส์ค' หลังกองทัพยูเครนประกาศเตรียมบุกตีเมือง

(19 เม.ย.66) รัฐบาลเครมลินเผยแพร่คลิปวิดีโอ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ขณะเดินทางเยี่ยมผู้บังคับบัญชา และกองทหารรัสเซีย ในเขตยึดครองที่เคอร์ชอน และ ลูฮันส์ค เมื่อวันอังคาร (18 เมษายน 66) ที่ผ่านมา แต่ไม่ยืนยันว่าผู้นำรัสเซียได้เดินทางไปเขตด่านหน้าจริงๆ ในวันใด

โดยปูตินเดินทางมาถึงพื้นที่ในเขต เคอร์ชอน และ ลูฮันส์ค ด้วยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อฟังรายงานสถานการณ์สู้รบของกองทัพรัสเซียในยูเครน และเยี่ยมเยียนกองทหารเนื่องในโอกาสฉลองเทศกาลอีสเตอร์ของนิกายออร์โธดอกซ์ 

ปูตินกล่าวว่า - เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับตัวเขาที่ต้องมาฟังความเห็น และแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรงกันคนที่ประจำอยู่แถวหน้าด้วยตัวเอง 

แม้ปูตินจะแทบไม่เคยเดินทางออกจากรัสเซียเลยตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน โดยเฉพาะ พื้นที่ เมืองเคอร์ชอน ลูฮันส์ค โดเนสค์ ซาโปริซเซีย ที่รัสเซียเพิ่งประกาศผนวกดินแดนในเดือนกันยายน 2565 ที่ทำให้รัสเซียถูกประณามว่าเป็นการยึดครองดินแดนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

แต่เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ผู้นำรัสเซียได้เดินทางไปเยือนไครเมีย ตามด้วย มาริอูโปล และเป็นครั้งแรกที่ปูตินมาเยือนเมืองในเขตยึดครองยูเครนถึง 2 เมือง และเกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพยูเครนประกาศเตรียมพร้อมที่จะโจมตีครั้งใหม่เพื่อยึดคืนดินแดน

ชั้นเชิงสุดเคี่ยวของนักการเมืองทรงไทย ตรงไหน 'ไม่ชัวร์-ไม่คุ้ม-ไม่ยุ่ง' ส่วนนักการเมืองจุ้น ทะลึ่งสั่งการปูติน ถูกเครมลินจ้องเรียบร้อย

(7 พ.ค.66) จากเฟซบุ๊ก 'สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ข้อดีของนักการเมืองแบบไทย ๆ คือมีความคุ้นเคยกับวิถีนักเลงกันเป็นอย่างดี' ระบุว่า...

วิถีนักเลงแบบไทย ๆ ตรงไหนไม่ชัวร์ ไม่คุ้ม ไม่ยุ่ง

อะไรฝากได้ก็ฝากไว้ก่อน ค่อยว่ากันอีกที 

ก็เหมือนมวยไทยชั้นดี ต้องหยั่งเชิงกันก่อนซัก 2-3 ยก 

ถ้ายกแรกเดินเข้าแลกเลย ถือว่าเป็นมวยวัด 

ตอนปูตินยกทัพบุกยูเครน มีนักการเมืองไทยคนเดียว ที่ทะเล่อทะล่าออกไปสั่งการปูติน

บอกปูตินไปอย่างหนักแน่นว่า ประชาธิปไตยยูเครนของข้า ใครอย่าแตะ

ลงชื่อกำกับไว้ด้วย คงคิดว่าเหมือนประท้วงแถวนี้ ถ่ายรูปชูนิ้วแล้วแยกย้ายกลับบ้าน

ข่าวกรองรัสเซียวิ่งกันให้วุ่น ทำแฟ้มประวัตินักการเมืองไทยคนนี้ ส่งเข้าระบบทำเนียบเครมลิน

ส่วนนักการเมืองไทยคนอื่น ไม่มีใครสนใจจะแสดงจุดยืน

นอกจากจุดยืนที่ว่า ไม่ต้องมีจุดยืนกันนะพวกเรา นั่งนิ่ง ๆ ทรงจะสวยกว่า

เค้าล่อกันอยู่ตั้งไกล ยังไงเราก็ไม่โดน

เป็นความรู้ที่ได้มาจากชีวิตจริง ไม่ต้องไปเรียนจากไอวีลีก

ฉลาดแต่ไม่เฉลียว สำหรับยุคนี้มันอันตราย

กองเรือสหรัฐล้อมยาว ตั้งแต่ไต้หวันลงมาถึงอ่าวไทย 

ญี่ปุ่นเตรียมพร้อมเป็นสำนักงานนาโต้สาขาสอง 

มีคนส่งจดหมายฟ้องสภาสหรัฐ ว่าการเลือกตั้งไทยไม่โปร่งใส

เปิดช่องให้สหรัฐบีบไทย เรื่องตั้งฐานทัพ

จริง ๆ ควรส่งฐานทัพสหรัฐไปให้สิงคโปร์ เพราะเป็นชาติที่รับลูกสหรัฐและยุโรปทุกเรื่องเป็นประจำอยู่แล้ว

ยินดีกับผู้ประกอบการและลูกจ้างโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ไกด์ทัวร์ คลับบาร์ รถเช่า รถทัวร์ ด้วยครับ

‘สายลับสหรัฐฯ’ โว รู้แผนก่อกบฏของ ‘วากเนอร์’ ก่อนปูติน ชี้!! สืบพบสัญญาณความผิดปกติได้ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย.

เมื่อไม่นานนี้ สื่อสหรัฐฯ ทั้ง Washington Post และ New York Times รายงานว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ รับทราบข้อมูลล่วงหน้าที่บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่กองกำลัง วากเนอร์จะก่อกบฏภายในรัสเซีย และได้สรุปรายงานนี้ให้กับทั้งทางทำเนียบขาว สภาคองเกรซ และฝ่ายกลาโหมก่อนหน้าจะเกิดเหตุจริงเพียงไม่กี่วัน

สายสืบสหรัฐฯ อ้างว่า สามารถจับสัญญาณการเคลื่อนไหวบางอย่างของเยฟเกนี พริโกซิน และกองกำลังวากเนอร์ในการต่อต้าน นายพลเซอร์เก ชอยกู ผู้นำฝ่ายกลาโหมรัสเซีย ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่า พริโกซิน ริเริ่มวางแผนการตั้งแต่เมื่อใด แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของเขาทำให้ทีมข่าวกรองของสหรัฐฯ รับรู้ถึงความไม่ปกติภายใน ว่าน่าจะมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ที่อาจนำไปสู่สถานการณ์ขั้นเลวร้ายที่สุด คือ ‘สงครามกลางเมือง’ ได้

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชื่อว่า จุดแตกหักของเรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมรัสเซีย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ให้กองกำลังอาสาสมัครทั้งหมด ต้องมาขึ้นทะเบียน และลงนามข้อตกลงกับกองทัพรัฐบาล ถึงแม้ว่าจะไม่ระบุเจาะจงว่าเป็นกลุ่มกองกำลังวากเนอร์ แต่หลักปฏิบัตินั้นชัดเจนว่า ทหารกองอาสาสมัครทั้งหมด ทุกกลุ่ม ครอบคลุมถึงหน่วยของกองทหารรับจ้างวากเนอร์ ต้องอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงกลาโหม

นั่นหมายความว่า ฝ่ายกระทรวงกลาโหมรัสเซีย มีเป้าหมายที่จะควบรวมกองกำลังวากเนอร์ เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จากที่เคยเป็นกองกำลังอิสระ บริหารในรูปแบบบริษัทเอกชน ที่มีเยฟเกนี พริโกซิน เป็นผู้นำ และยังสร้างผลงานโดดเด่นในการสู้รบในยูเครน โดยเฉพาะสมรภูมิในเมืองบัคมุท

เจ้าหน้าที่ฝ่ายการทหารของยูเครนก็ได้จับตา พริโกซิน หลังวันประกาศเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เช่นกัน และเชื่อว่าผู้นำกองกำลังวากเนอร์ เริ่มเคลื่อนพลเพื่อต่อต้านรัฐบาลมอสโกแล้วตั้งแต่วันนั้น และยังแสดงออกชัดเจนว่า ‘ไม่ลงรอย’ กับผู้นำสุงสุดของฝ่ายกลาโหมรัสเซียหลายครั้ง และมั่นใจว่า พริโกซินไม่รู้ตัวว่า ทั้งรัฐบาลยูเครน และหน่วยข่าวกรองสหรัฐกำลังจับตาดูอยู่ อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับระหว่างกันอีกด้วย

หน่วยสอดแนมลับของสหรัฐฯ เชื่อว่า แม้กระทั่งปูตินเอง น่าจะเพิ่งรับรายงานแผนการก่อกบฏของพริโกซิน ผู้ซึ่งเคยเป็นสหายคนสนิทของเขา ล่วงหน้าเพียงวันเดียวเท่านั้น ซึ่งพริโกซินก็ดำเนินตามแผนการที่วางไว้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ

และทันทีที่กลุ่มวากเนอร์ ข้ามชายแดนยูเครนเข้ามาในรัสเซียในช่วงวันศุกร์ที่ 23 มิ.ย. ก็บุกยึดกองบัญชาการกองทัพรัสเซียในเมืองรอสตอฟได้ทันทีในวันเสาร์ และประกาศบุกมอสโกต่อในวันอาทิตย์ สร้างความปั่นป่วนโกลาหลไปทั่วกรุงมอสโก ก่อนที่จะเยฟเกนี พริโกซิน จะยอมรับเงื่อนไขของทางรัฐบาลรัสเซีย ลี้ภัยไปเบลารุส และให้กลุ่มวากเนอร์ ถอยกลับไปประจำในฐานที่มั่นของตน

แม้ว่าเหตุการณ์จะสงบแล้ว แต่กองทัพรัสเซียคงไม่อาจไว้วางใจกองกำลังวากเนอร์ได้อีกต่อไป แม้ปูตินจะยอมรับว่า ทหารวากเนอร์ส่วนใหญ่ถือเป็นนักรบผู้กล้าที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ แต่หลังเหตุการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมา จำเป็นที่จะต้องสลายกลุ่มวากเนอร์ โดยปูตินยื่นข้อเสนอว่า กองกำลังวากเนอร์มีทางเลือก 3 ทาง คือ เข้าประจำการในกองทัพรัสเซีย, กลับบ้าน หรือลี้ภัยไปเบลารุสเท่านั้น

จากคำกล่าวอ้างของเยฟเกนี พริโกซิน มีกองกำลังวากเนอร์ ที่ประจำการพร้อมรบอยู่ราว 25,000 คน และมีกองหนุนสำรองอีกนับหมื่นคน

‘ผู้นำกบฏวากเนอร์’ เข้าพบ ‘ประธานาธิบปูติน’ หลังก่อกบฏ พร้อมกล่าวสาบาน จะขอจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซีย

(11 ก.ค. 66) นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำผู้นำกลุ่มกบฏวากเนอร์ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เพียง 5 วันหลังจากก่อเหตุกบฏที่กินเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง โดยนายพริโกซินได้ประกาศความจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซียในขณะเข้าพบปูตินอีกด้วย

นายดิมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวว่า การพบกันของปูตินและพริโกซินเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวของนายพริโกซินเท่านั้น แต่ยังมีผู้บัญชาการจากกลุ่มวากเนอร์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพริโกซินด้วย

เปสคอฟกล่าวว่า ผู้บัญชาการของวากเนอร์ได้พูดถึงมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเน้นย้ำว่าพวกเขาถือเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขัน และเป็นทหารของประมุขแห่งรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยพวกเขาพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อมาตุภูมิต่อไป

ทั้งนี้ การยืนยันว่าปูตินได้พบกับนายพริโกซินซึ่งเป็นผู้นำทัพวากเนอร์ บุกไปยังกรุงมอสโกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีกลาโหมถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา

พริโกซินไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการหารือที่เกิดขึ้น และขณะนี้ชะตากรรมของเขาก็ยังไม่ชัดเจน โดยการประกาศดังกล่าวทำให้เห็นว่า มีการเจรจาเบื้องหลังอยู่มากมายในที่ลับ และพริโกซินยังคงถูกดำเนินคดีในความผิดทางการเงินหรือข้อหาอื่น ๆ ต่อไป

‘วากเนอร์’ ยอมจำนน ส่งมอบอาวุธให้กองทัพรัสเซียแล้ว ด้าน ‘ปูติน’ เสนอเงื่อนไข เพื่อชี้ชะตา ‘ผู้นำเยฟเกนี’

(13 ก.ค. 66) กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่ข้อมูลเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมว่า กลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ได้ทำการส่งมอบอาวุธให้กับกองทัพรัสเซีย หลังเกิดการก่อกบฏช่วงสั้น ๆ เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ในการให้ข่าวของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ยังได้มีการเผยแพร่ภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่วากเนอร์ส่งมอบให้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนถึงความพยายามในการคลี่คลายภัยคุกคาม และดูเหมือนจะเป็นการประกาศยุติปฎิบัติการของกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้ ในสนามรบภายในดินแดนยูเครน

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า อาวุธที่มีการส่งมอบการมีมากกว่า 2,000 ชิ้น ตั้งแต่รถถัง เครื่องยิงจรวด ปืนใหญ่ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ พร้อมด้วยยุทโธปกรณ์อีกมากกว่า 2,500 ตัน และอาวุธปืนมากกว่า 20,000 กระบอก

แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลรัสเซียออกมายอมรับเมื่อต้นสัปดาห์ว่า นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำกลุ่มวากเนอร์และผู้บัญชาการระดับสูง 34 นายของเขา ได้พบกับ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน เพียง 5 วันหลังจากการก่อกบฏ โดยผู้บัญชาการวากเนอร์ให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อปูติน และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อมาตุภูมิต่อไป

ขณะที่ปูตินกล่าวว่า กองทหารของวากเนอร์ต้องเลือกว่าจะเซ็นสัญญากับกระทรวงกลาโหม ย้ายไปอยู่เบลารุส หรือเกษียณจากการทำงาน

ภาพการส่งมอบอาวุธดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางความให้ชัดเจนเกี่ยวกับชะตากรรมของพริโกซิน และเงื่อนไขข้อตกลงที่มีการนิรโทษกรรมให้กับเขาพร้อมกับทหารรับจ้างในสังกัด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top