บทละครที่ถูกจับทาง 'เสธ.นิด' มอง!! 'สงครามรัสเซีย-ยูเครน' ใต้เงา 'สหรัฐ-นาโต' ในวันที่ 'ปูติน' ไม่โดดเดี่ยวอย่างที่ 'ไบเดน' คาดหวังไว้ .
พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี หรือ 'เสธ.นิด' อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Vachara Riddhagni' เผยถึงสงครามการเมืองการทูตรัสเซีย/ยูเครน 2022 ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า...
รัสเซียโดยประธานาธิบดีปูตินไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่ประธานาธิบดีไบเดนคาดการณ์ไว้ “เพราะคิดว่าเงาปีศาจสตาลินจะมาหลอกหลอน” คนทั้งโลกได้
แต่ขณะนี้ หลังจากรัสเซียประกาศขับไล่นักการทูตสหภาพยุโรปออกจากกรุงมอสโก เพื่อเป็นการตอบโต้ที่หลายประเทศในสหภาพยุโรปขับไล่นักการทูตรัสเซีย
ผลตามมา คือ การเจรจาเพื่อยุติสงครามในขณะนี้เป็นไปยากขึ้นและในขณะที่รัสเซียกำลังได้เปรียบในสงครามนี้ประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย “เริ่มมีความได้เปรียบมากขึ้น” เพราะว่า...
1. สังคมโลกเริ่มมองย้อนหลังและสามารถเปรียบเทียบ “พฤติกรรมสงครามของสหรัฐฯ, อังกฤษ, นาโต” ในยุคสงครามก่อการร้ายโลกกับพฤติกรรมสงครามของรัสเซีย ว่า มีข้อแตกต่างกันมาก!!
ตั้งแต่ครั้งรัสเซียโดยประธานาธิบดีเบรสเนฟแห่งสหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน เพราะมีปัญหาวุ่นวายการเมืองภายในอัฟกานิสถานเองและโซเวียตที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอัฟกานิสถาน เห็นโอกาสอันดีที่จะเข้าครองอิทธิพลในเอเชียกลาง จึงส่งกองทัพเข้ายึด
สหรัฐฯ ได้โอกาสที่จะทำลายศรัทธาโซเวียตและพรรคคอมมิวนิสต์อัฟกานิสถาน จึงสนับสนุน มูจาฮิดีน ต่อสู้แบบกองโจรต่อเนื่อง จนในที่สุดโซเวียตเห็นว่า “สิ้นเปลืองไม่คุ้มค่าทางการเมืองและไม่มีผลประโยชน์อะไรจึงถอนทัพ”
การแทรกแซงของต่างชาติในอัฟกานิสถานทำให้เกิด “แนวคิดต้นตำรับอิสลามเรียกว่า Taliban แปลว่า The Students ซึ่งยึดมั่นในวิถีอิสลามแบบเก่าอย่างเคร่งครัดและสนับสนุน Jihad สงครามศักดิ์สิทธิ์แบบอิสลามและได้ให้ที่พักพิง “อุซามะฮ์ บินลาดิน” ที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าเป็นตัวการก่อการวินาศกรรมด้วยการจี้เครื่องบินโดยสารสหรัฐฯ 3 ลำและใช้เครื่องบินเหล่าบินชนตึก WT 1, 2 และเพนตากอน
ด้วยเหตุที่รัฐบาลตอลิบานไม่ส่งตัว อุซามะฮ์ บินลาดิน...สหรัฐฯ จึงถล่มกรุงคาบูลอย่างหนักแบบราบเป็นหน้ากลอง แล้วสร้างให้ใหม่
พร้อมทั้งทำสงครามกองโจรก่อการร้ายกับตอลิบานและดึงเอากองทัพนาโต้เข้าร่วมรบด้วย
แต่ไม่นานกองทัพนาโตถอนตัวเหลือสหรัฐฯ โดดเดี่ยวและไม่สามารถกำจัดกองทัพตอลิบานได้อย่างเด็ดขาด สิ้นเปลืองงบประมาณมากมายมหาศาล จึงถอนทัพในที่สุดเมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว (2564)
2. สงครามอ่าวครั้ง 1 และ 2 สหรัฐฯ โจมตีกรุงแบกแดดอย่างหนักจนราบเป็นหน้ากลองและสหรัฐฯ เข้ายึดครองประเทศและบ่อน้ำมันทั้งหมด งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์ประเทศเป็นของนายทุนสหรัฐฯ และสหรัฐฯ สร้างบริษัทหรือกองทัพทหารรับจ้าง Black Water เข้ารับงาน รปภ.บริษัทอเมริกันทั้งหมดในอิรัก
3. ช่วงการต่อต้านเปลี่ยนรัฐบาลในตะวันออกกลาง Arab Springs ซึ่งหลายประเทศมีลักษณะเป็น “เผด็จการ” ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนั้น NGO ตะวันตกถือโอกาสแทรกแซง ปราบปรามผู้นำที่สหรัฐฯ ควบคุมไม่ได้และจะเป็นภัยกับอิสราเอล ซึ่งมีความผูกพันกับนักการเมืองยิวที่มีอิทธิพลมากๆ ในพรรคการเมือง
และรัฐบาลสหรัฐฯ จะแสวงหาคนที่ “ตะวันตก” ควบคุมได้ง่ายกว่าผู้นำก่อนหน้านี้ เป็นรัฐบาลผนวกกับป้องกันอิสลามหัวรุนแรงไม่ให้เข้าไปมีอำนาจปกครองประเทศซึ่งจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้
4. ทุกครั้งที่กลุ่มแสวงผลประโยชน์ชาติตะวันตกเกิดขึ้น ก็เกิดกลุ่มต่อต้านที่เป็นมุสลิม และกลุ่มใหม่ คือ กลุ่ม ISIS ที่พัฒนาจากกลุ่มต่อต้านสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรีย ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ในการโค่นล้มประธานาธิบดี อัล อัสซัด แห่งซีเรีย แต่ไม่สำเร็จ จึงกลายเป็นสงครามการเมืองและรัสเซียเข้าช่วยประธานาธิบดีอัล อัสซัด ต่อสู้กับ ISIS ซึ่งเชื่อกันว่า สหรัฐฯ จัดตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ เพื่อทำลายความแข็งแกร่งของชาติตะวันออกกลางที่สหรัฐฯ ควบคุมไม่ได้
5. สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่ตั้ง ISIS เพื่อเล่นละครหลอกสังคมโลก จนบ้านเมืองพินาศไม่เหลือซากเพื่อต้องการเพียงสังหารผู้นำ ISIS ซึ่งต่อมาเรียก สั้นๆ ว่า IS
สหรัฐฯ จะใช้ยุทธวิธีเด็ดหัว Decapitation ด้วยเครื่องโจมตีทิ้งระเบิด
6. หากเปรียบเทียบตั้งแต่สหภาพโซเวียตล้มสลายลงนั้น “รัสเซียจำเป็นต้องรักษาอำนาจอิทธิพลของรัสเซียไว้ให้ได้”
จึงมีการรบปราบปรามการก่อการร้ายในจอร์เจียและเชชเนียที่ต้องการออกจากอิทธิพลของรัสเซีย
การทำลายที่มั่นกองกำลังก่อการร้าย ก็เพราะหากหลุดมือไปสหรัฐฯ จะเข้ามาครอบงำกลุ่มประเทศเหล่านี้ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัสเซียโดยตรง
แต่การโจมตีของกองทัพรัสเซียแตกต่างจากการทิ้งระเบิดถล่มของสหรัฐฯ เพราะรัสเซียใช้กองกำลังรถถังมากกว่า ผลการโจมตีทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ น่าจะเป็นแบบอย่างให้อิสราเอลโจมตีที่มั่นกลุ่ม Hamas ในปาเลสไตน์
ประเด็นนำเสนอนี้ ผมพยายามที่จะให้เห็นว่า “ลักษณะวิธีการทำสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียนั้นมีความแตกต่างกันในการหวังผล” สหรัฐฯ เชื่อมั่นว่า “การโจมตีทางอากาศนั้นดีที่สุด ง่ายที่สุด แต่เป้าหมายและพื้นที่บริเวณเป้าหมายจะเสียหายมากแต่สหรัฐฯ จะไม่คำนึงถึง” และหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ เช่นการโจมตี กัดดาฟี การโจมตีซัดดัมและการโจมตีผู้นำตาลีบัน ในอัฟกานิสถาน
ส่วนรัสเซียจะไม่คอยใช้เครื่องบินโจมตีเพราะถ้าเป้าหมายรู้ตัวก่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็หนีได้
แต่การเข้าถึงตัวดีที่สุด เพราะฉะนั้นสงครามพลแม่นปืนและการใช้ปืนใหญ่รถถังของรัสเซียจะดีกว่าและไม่ทำลายอาคารสถานที่จนราบเป็นหน้ากลอง
ปัจจุบันเริ่มมีการเดินขบวนสนับสนุนรัสเซียในเยอรมันและในเซอร์เบีย
จึงสรุปได้ว่า "การแพร่กระจายข้อมูลด้านขาวหรือดำของฝ่ายรัสเซียกับด้านขาวหรือดำของสหรัฐฯ และโดยเฉพาะขาวหรือดำของกองทัพยูเครนนั้น" ดูท่าจะทำให้ประชาชนในหลายประเทศที่ถูกชี้นำให้เกลียดกลัวรัสเซีย อาจจะเริ่มเปลี่ยนทัศนคติมากขึ้น เพราะเริ่มเห็นความแตกต่าง
และเชื่อว่า ประเด็นนี้ประธานาธิบดีปูตินจะใช้เป็นจุดแข็งในการทำสงครามสื่อสารมวลชนต่อไป
ประกอบกับเชลยศึกทหารรับจ้างที่ถูกสอบสวนและมีข้อต่อรองเพื่อรอดจากข้อหาเป็นทหารรับจ้างโทษประหาร
จึงให้ทหารรับจ้างเหล่านั้นเผยความจริงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับ “พฤติกรรมสงครามของกองพันอาซอฟ” ที่อาจจะชี้ความเป็นอาชญากรสงครามของประธานาธิบดีเซเลนสกี้ได้ไม่มากก็น้อย (ตอนนี้ครอบครัวทหารรับจ้างชาวอังกฤษชื่อ Aiden Aslin กำลังดิ้นร้นขอให้รัสเซียปล่อยตัว โดยมีการร้องขอผ่าน ส.ส.อังกฤษ)
และประเด็นที่สำคัญยิ่ง “ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปและในโลกอย่างแน่นอน” ถ้าประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง แพ้ และผู้ชนะ คือ มารีน เลอ แปน (Marine le Pen)
เธอจะเอาฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรปและนาโต และเจรจาสันติภาพยั่งยืนกับรัสเซีย
งานนี้ยุโรปจะปั่นป่วนแค่ไหน?
ก๊าซ แร่ธาตุต่างๆ และข้าวสาลี ในราคามิตรภาพ?
เชื่อว่าประธานาธิบดีปูติน ก็หวังเช่นนั้น
ที่มา: https://www.facebook.com/1010126969/posts/10224892325827985/