Tuesday, 30 April 2024
ประเทศไทย

‘บิ๊กป้อม’ กำชับ กกท. ส่งเสริมกีฬาอาชีพ-คนพิการ เน้นใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อเตรียมพร้อมสู่ระดับสากล

พล.อ.ประวิตร ประชุม คกก. การกีฬาฯ เร่งรัดการพัฒนากีฬาต่อเนื่อง หวังผลเป็นเลิศ ส่งเสริมกีฬาอาชีพ/กีฬาคนพิการ ให้เต็มที่ เน้นย้ำใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา

(30 พ.ย. 65) 10.45 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 12/2565 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

ที่ประชุมได้รับทราบ ความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดของ กกท.ประจำปี 2565 ภาพรวม สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประกอบด้วยการบริหารจัดการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ, การบริหารจัดการกีฬาอาชีพและกีฬามวย กีฬาคนพิการ, การบริหารการกีฬาเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ, การมีส่วนร่วมในกิจกรรมและบริการ ทางการกีฬา ของกกท. รวมทั้ง การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กร 

'ปลดล็อกท้องถิ่น' หรือ 'แบ่งแยกดินแดนสู่สหพันธรัฐ' นัยล้มล้าง ปชต. อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

มีพรรคการเมืองบางพรรค ได้เขียนร่างรัฐธรรมนูญและพยายามรณรงค์เรื่องการปลดล็อกท้องถิ่น ผู้เขียนเองเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ (Decentralization) สำหรับท้องถิ่นที่มีความพร้อมและมีศักยภาพในระดับหนึ่ง แต่เมื่อไปเปิดอ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็ต้องตกใจมากด้วยเหตุผลดังนี้

>> ประการแรก รัฐธรรมนูญมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญทุกฉบับของไทย ที่ระบุความเป็นรัฐเดี่ยวของประเทศไทยมาโดยตลอดได้เขียนบัญญัติเอาไว้ว่า ‘ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้’

แต่รัฐธรรมนูญฉบับปลดล็อกท้องถิ่นกำลังทำให้ประเทศไทยไม่เป็นรัฐเดี่ยว แต่เป็น ‘สหพันธรัฐ’ เพราะท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการตนเองเท่ากับรัฐ ๆ หนึ่งของสหรัฐอเมริกา บริหารปกครองตนเองได้ มีกฎหมายเป็นของตนเองได้ บริหารการจัดเก็บภาษีและการเงินการคลังเองได้ ยกเว้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินตราและธนาคารกลาง

ข้อนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความประสงค์ที่จะมิให้ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว แต่เป็นสหพันธรัฐ ประกอบด้วยรัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมากมาย อันเท่ากับเป็นการล้มล้างการปกครองจากราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ เท่ากับผู้เขียนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตจำนงที่ต้องการล้มล้างการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของไทยที่เป็นรัฐเดี่ยว อันเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 49 บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ ผู้ใดทราบว่ามีการกระทําตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้ ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดําเนินการภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้

การดําเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดําเนินคดีอาญาต่อผู้กระทําการตามวรรคหนึ่ง และเป็นการทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 อีกด้วย ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต

(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย

(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ

(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

‘เสน่ห์เมืองไทย’ เหลือล้น!! มัดใจชาวต่างชาติ แห่ ‘พัก-เที่ยว-กิน-ดื่ม’ ทำคลิปอวดคนทั้งโลก

(3 พ.ย. 65) เพจ ‘Bangkok I Love You’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเสน่ห์ของประเทศไทย ที่ดูจะเข้าตาและถูกใจชาวต่างชาติมากๆ โดยระบุว่า…

ประเทศไทยในวันที่ชาวต่างชาติคลั่งไคล้ใหลหลงเป็นที่สุด

ความสุขของผม

เมื่อวานนี้ นั่ง ๆ นอน ๆ เหมือนกับทุกวัน แต่ที่ไม่เหมือนทุกวันคือเปิดยูทูบดูเกือบสามชั่วโมง ดูพวกยูทูปเบอร์ต่างชาติโหมกระหน่ำรีวิวการมาเที่ยวเมืองไทย เที่ยวกรุงเทพ เที่ยวพัทยา เที่ยวสมุย เที่ยวภูเก็ต เที่ยวเชียงใหม่ เที่ยวอยุธยา เที่ยวตลาดน้ำ จนได้ความรู้ใหม่ ๆ ที่ทำให้มีความสุขเพียบเลย เช่น

1. คนต่างชาติจำนวนมากหลากเชื้อชาติ หลายภาษาชอบเมืองไทย ชอบอาหารไทย ชอบคนไทย ชอบนวดไทย ชอบช้างไทย ชอบลิงไทย ชอบ 7-11 ไทย ฯลฯ จริงจัง

2. คนในข้อแรก เขาแข่งกันทำวิดีโออวดคนดูว่าเขามาเที่ยวที่ไหน กินอะไร สนุกยังไง ด้วยภาษาต่างกันมากมาย ทั้งภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น บาฮาซา ฮินดู ทามิลนาดู ตากาล๊อก รัสเซีย อาหรับ บางคลิปมีคนดูเป็นแสนคน บางคลิปเป็นแค่หลักร้อยคน แต่มั่นใจได้ว่าใครก็ตามที่ได้ดูต้องอยากมาเที่ยวบ้างแน่ ๆ

3. คนต่างชาติเขาสนใจ เขารีวิว สิ่งที่เราคนไทยเห็น กิน ใช้ กันทุก ๆ วัน อย่างเช่น รถบีทีเอส สวนจตุจักร เยาวราช ผัดกะเพรา ข้าวซอย การใส่ชุดไทย ขนมปังสังขยา ตลาดน้ำ ที่น่าทึ่งมากคือ ร้าน 7-11 ที่แทบทุกการรีวิวสรรเสริญเยินยอว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การมาเที่ยวเมืองไทยของพวกเขาสะดวกสบายและประหยัดมาก รีวิวไปถึงแซนด์วิช กระทิงแดง มันฝรั่งเลย์หลากหลายรสชาติด้วย

4. คนต่างชาติในสามข้อแรก กว่าครึ่งเป็นขาประจำที่พูดภาษาไทยง่าย ๆ ได้ด้วย บางคน บางคู่ บางครอบครัว มากันทุกปี มากันครั้งละนานหลายเดือน บางคน บางคู่มาหนแรก ที่พิเศษคือบางคน บางคู่ เล่าว่า เขาเริ่มทำวิดีโอการเที่ยว เพราะมาเที่ยวบ้านเรา ได้เห็นสถานที่เที่ยวหลากหลาย ทั้งทะเล ภูเขา ตลาด วัด เมืองเก่า แล้วเขาอยู่ได้นานเพราะอยู่สบาย ไม่แพงก็เลยลองทำดู แล้วเกิดประสบความสำเร็จ เลยทำเป็นอาชีพซะเลย บางคนมีคลิปเที่ยวเมืองไทยเกือบ 100 episodes แล้ว บางคนใช้เมืองไทยเป็นบ้านปีละสามสี่ห้าเดือน แล้วเดินทางไปทำวิดีโอในประเทศอื่นๆ

‘Air Canada’ บินตรง ‘แวนคูเวอร์ - สุวรรณภูมิ’ ด้าน ‘ททท.’ ต้อนรับอย่างอบอุ่น - คึกคัก

(3 พ.ย. 65) นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ เที่ยวบิน AC065 ถือเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบิน Air Canada ในเส้นทางบินตรงจากเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ถึงกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ซึ่งเที่ยวบินตรงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีนัยสำคัญต่อการพลิกฟื้นความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว (Ease of Travelling) จากภูมิภาคอเมริกาเหนือ 

ทำให้เห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยสะดวกและง่ายกว่าที่เคย โดยเส้นทางบินดังกล่าวเป็นการขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ เปิดเส้นทางบินตรงจากทวีปอเมริกาเหนือสู่ประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรก ซึ่งจะให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 787 ความจุโดยสาร 298 ที่นั่งต่อเที่ยวบิน ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติแวนคูเวอร์ ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และอาทิตย์ 

'ทิพานัน' ชี้ กระแส 'เอเปค' ปังไม่หยุด ดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มปีหน้า 20-24 ล้านคน

(10 ธ.ค.65) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกมาคาดการณ์ว่าในปี 2566 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะมีจำนวนประมาณ 20-24 ล้านคน โดยกลับมาคิดเป็นสัดส่วน 50-60% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2562 ขณะที่การใช้จ่ายของชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทย จะสร้างรายได้สู่ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง จะมีมูลค่าประมาณ 0.84-1.01 ล้านล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 42,000 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นจากประมาณ 40,000 บาทต่อคนต่อทริป ในปี 2565 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัจจัยที่สนับสนุนการท่องเที่ยว นอกจากการทำแคมเปญการตลาดกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในต่างประเทศ รวมถึงมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว ได้แก่ มาตรการขยายระยะเวลาพำนักของชาวต่างชาติ ทั้งกลุ่มประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า จากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน และกลุ่ม Visa on Arrival จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน (เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2565-31 มีนาคม 2566) แล้ว อีกหนึ่งปัจจัย คือ การจัดงานเอเปค 2022 ที่เผยแพร่ในสังคมออนไลน์ของผู้นำประเทศ ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติมากขึ้น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการวิเคราะห์ดังกล่าว สะท้อนถึงประสิทธิภาพและผลสำเร็จของการจัดประชุมเอเปค 2022 ที่ช่วยกระตุ้นภาคท่องเที่ยว ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อนำไปสู้การสร้างงาน สร้างรายได้ในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เลือกกรุงเทพฯ เป็นเมืองสำหรับการจัดการประชุม ซึ่งนอกจากกรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่ติดอันดับ 1 ในเมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบมากที่สุด (Best City) ในการท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิก จากการเปิดเผยของนิตยสาร DestinAsian และในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ยังจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมระดับโลก

‘บิ๊กตู่’ ร่วมต้อนรับนทท. คนที่ 10 ล้านจากซาอุฯ พร้อมอวยพรให้มีความสุขในดินแดนสยามเมืองยิ้ม

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ชั้น 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ อาทิ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ร่วมกิจกรรม ‘Amazing Thailand 10 Million Celebrations’ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวคนที่ 10 ล้าน คือ นางนาจูด อัลไควเตอร์ และนายไฮซัม อัลมัดลึจ ชาวซาอุดีอาระเบีย

อย่างไรก็ตาม ทาง ททท. ได้มอบของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวจาก 2 เที่ยวบิน คือ เที่ยวบิน TG923 การบินไทย ผู้โดยสาร จำนวน 348 ราย เดินทางจากท่าอากาศนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลา 13.45 น. และ เที่ยวบิน SV 846 สายการบินซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ : ซาอุเดีย (Saudi Arabian Airlines : Saudia) จำนวน 357 ราย เดินทางจากกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลา 15.00 น. โดยของระลึกคือกระเป๋าผ้า ภายในบรรจุ หมวก ผ้าพันคอผ้า ผ้าขาวม้า ผ้าขนหนู และตุ๊กตา ‘น้องสุขใจ’ มาสคอตของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ตัวน้อยที่จะพานักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าวันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่เราได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ตนรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานเฉลิมฉลองการต้อนรับนักท่องเที่ยวครบ 10 ล้านคนในวันนี้ และยินดีที่ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมายังประเทศไทย

‘พิธา’ ชี้!! กอ.รมน. เบิกงบซ้ำซ้อนหน่วยงานอื่น กร้าว!! หากเป็น รบ. จะโยกงบหนุน ศก. - ศิลปะ

‘พิธา’ ประกาศ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล พร้อมตัดงบ กอ.รมน. โยกไปทำเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ชี้ซอฟต์พาวเวอร์ไทยจะรุ่ง ต้องมีรัฐสวัสดิการให้คนทำงานกล้าลอง-บ้านเมืองมีเสรีภาพ-เป็นประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีและนิทรรศการ ‘เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2022 - Chiang Mai Design Week 2022’ โดยได้ร่วมเสวนาพูดคุยกับศิลปินอิสระ พร้อมชูนโยบายพรรคก้าวไกลในการส่งเสริมวงการศิลปะสร้างสรรค์และซอฟต์พาวเวอร์ในประเทศไทย

พิธากล่าวในการเสวนาช่วงหนึ่งว่า แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะพยายามยกคำว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ และคำว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาใช้มากมาย แต่ในความเป็นจริง วงการศิลปวัฒนธรรมในประเทศไทยกลับเป็นวงการหนึ่งที่ได้รับการส่งเสริมน้อยที่สุด เห็นได้จากงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่อยู่กับหน่วยงานอย่างสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. กลับได้รับงบประมาณต่อปีเพียง 300 ล้านบาทเท่านั้น หรือกระทรวงวัฒนธรรมเอง งบประมาณกว่า 4 พันล้านบาทจากกว่า 6.7 พันล้านบาท ได้ถูกใช้ไปกับการส่งเสริมวัฒนธรรมแบบแช่แข็ง ตายตัว และรับใช้การเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยม เช่น เรื่องค่านิยม 12 ประการ ขณะที่งบประมาณเกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์มีเพียง 60 ล้านบาท และงบเกี่ยวกับการส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมสมัยมีเพียง 180 ล้านบาท

พิธากล่าวว่า ที่ผ่านมาวัฒนธรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐ มักเป็นวัฒนธรรมเพื่อการควบคุมประชาชน มีมุมมองต่อวัฒนธรรมไทยว่าเป็นสิ่งตายตัว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และยังใช้โครงสร้างทางสังคมการเมืองมาปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.ภาพยนตร์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ รวมถึงกฎหมายที่ถูกใช้เล่นงานคนเห็นต่างทางการเมือง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในทางกลับกัน หน่วยงานที่อยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กลับได้รับงบประมาณปีหนึ่งๆ ถึง 8 พันล้านบาท หรือศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ที่มีภารกิจและงบประมาณส่วนใหญ่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้รับงบประมาณถึง 1,400 ล้านบาท สะท้อนการไม่ให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างจริงจังของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ที่ทุ่มงบประมาณมากกว่าไทยอย่างมหาศาล หน่วยงาน KOCCA (Korean Creative Content Agency) ได้รับงบประมาณปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท กระทรวงวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ได้งบประมาณปีละ 2 แสนล้านบาท ครั้งหนึ่งเกาหลีใต้เคยมาดูงานที่บริษัทชั้นนำของวงการเพลงไทย แต่วันนี้วงการเพลงป็อปของเกาหลีใต้ไปไกลกว่าไทยมากแล้ว

พิธายังระบุต่อไปว่า การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในประเทศไทย ต้องเริ่มต้นที่วิธีคิดของผู้มีอำนาจ ที่ต้องไม่ใช่แค่การอนุรักษ์ของเดิม แต่เป็นการปรับตัวตามยุคสมัย สร้างรัฐสวัสดิการเพื่อให้คนทำงานสร้างสรรค์กล้าลองผิดลองถูก และทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

‘รัฐบาล’ โชว์ผล ‘แก้หนี้ครัวเรือน’ ดีขึ้นต่อเนื่อง ยัน!! เดินหน้าต่อ เพื่อเคลื่อน ศก.ไทยในภาพรวม

(19 ธ.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินการ ‘ปี 2565 ปีแห่งการแก้หนี้’ ภายใต้นโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ทุกส่วนราชการ สถาบันการเงินภาครัฐและเอกชน ร่วมแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ได้อย่างจริงจังนั้น ทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 2 ปี 2565 เหลือ 88.2% ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ 89.1% และไตรมาส 4 ปี 2564 ที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงถึง 90% 

โดยหนี้ครัวเรือน 4 อันดับแรก ได้แก่

1. เงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 34.6 ของหนี้ครัวเรือนรวม 
2. เงินกู้เพื่อการบริโภคอุปโภคส่วนบุคคลสัดส่วนร้อยละ 28.0 ของหนี้ครัวเรือนรวม 
3. เงินกู้เพื่อการประกอบธุรกิจ สัดส่วนร้อยละ 18.2 ของหนี้ครัวเรือนรวม 
และ 4. เงินกู้เพื่อซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์ สัดส่วนร้อยละ 12.3 ของหนี้ครัวเรือนรวม

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านมาตรการต่าง ๆ ได้แก่ 

1. การแก้ปัญหาหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยปฏิรูปรูปแบบการชำระหนี้ อาทิ การปรับปรุงรูปแบบการจ่ายชำระหนี้คืน จากรายปีเป็นรายเดือน ชำระคืนค่างวดแบบเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระจาก 15 ปี เป็น 25 ปี ปรับปรุงลำดับการตัดชำระหนี้ โดยนำไปตัดเงินต้นก่อน แล้วจึงตัดดอกเบี้ย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เหลือร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้น

2. การแก้ปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เช่น การประกาศกรอบอัตราค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ที่ช่วยคุ้มครองลูกหนี้ ไม่ให้ถูกเรียกเก็บเงินในการทวงถามหนี้เกินความจำเป็น

3. การแก้ปัญหาหนี้สินข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการครู ยุบยอดหนี้โดยใช้ทรัพย์สินและรายได้ของครูในอนาคต เพื่อให้ยอดหนี้ลดลงและสามารถชำระคืนได้จากเงินเดือน การปรับดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลดลงเหลือไม่เกินร้อยละ 5 

4. หนี้สินข้าราชการตำรวจ การขอความร่วมมือสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พักชำระหนี้เงินต้น ปรับลดอัตราการถือหุ้นรายเดือน จัดทำโครงการปล่อยเงินกู้ระยะสั้นดอกเบี้ยต่ำ และการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

โจทย์หิน ‘อีวีไทย’ เมื่อรถยนต์ไฟฟ้ามาไว แต่ ‘ค่าไฟ-ตึกสูง’ ยังไม่สมฐานะ ‘พลังงานหลัก’

จากกระแสการตอบรับ รถยนต์ไฟฟ้าอีวี ที่กำลังมาแรง เห็นได้ชัดจากยอดจองที่ถล่มทลายของสุดยอดรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง เทสลา ที่มาเปิดตัวในไทยอย่างเต็มรูปแบบ หรือแม้กระทั่งยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ATTO3 จากค่าย BYD ที่มาเปิดตัวแค่รุ่นเดียว แต่โกยยอดจองไปร่วม 3 พันคันในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป และยอดรวมกว่าหมื่นคันจนต้องหยุดรับจองรถชั่วคราวไปแล้วนั้น สะท้อนให้เห็นว่าแรงกระเพื่อมของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังค่อย ๆ เขย่าตลาดรถยนต์ในเมืองไทยแบบน่าดูชม

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าอีวีนั้นต้องเดินกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ฉะนั้นพลังงานที่รถต้องการก็คือ พลังงานไฟฟ้า มาใช้ขับเคลื่อน ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือ จำนวนจุดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรืออาคารสูงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 

ผลวิจัยจาก เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) สำรวจไว้ว่า มีแค่ 3% ของโครงการคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเท่านั้น ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่คอนโดมิเนียมประมาณ 74% ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีจุดที่สามารถรองรับการชาร์จได้เพียง 1 หรือ 2 คันพร้อมกันเท่านั้น หรือโดยรวมแล้วจะเท่ากับมีพื้นที่สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 400 คันต่อโครงการคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

‘บิ๊กตู่’ เผย สถานะการเงินประเทศไปในทิศทางบวก ยัน!! ได้รับความเชื่อมั่น-ยอมรับจากหลายประเทศทั่วโลก

นายกรัฐมนตรี สถานะการเงิน การคลังประเทศดี โวได้รับการยอมรับจากนานาชาติ แม้ มีคนลำบากอยู่บ้าง แต่รัฐบาลจะหามาตรการที่เหมาะสมดูแล บอกปีหน้าค่าไฟแพงขึ้นจากต้นทุนการผลิต

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ถึงสถานการณ์การเงินการคลังภายในประเทศ ว่า ดี ได้รับความเชื่อมั่นและเชื่อถือจากองค์กรต่างประเทศ ขอให้ใจเย็น ๆ แล้วกัน รัฐบาลกำลังทำให้ดีที่สุด ทุกคนก็รู้ว่าช่วงนี้ปัญหามีเยอะ แต่ก็ยังโชคดีที่หลาย ๆ อย่างดีขึ้น รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยก็ดีขึ้น ขณะเดียวกันคนที่ลำบากก็ยังมีอยู่ รัฐบาลก็จำเป็นจะต้องหามาตรการที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพการเงินการคลังเราให้ดี และสถานะการเงินการคลังของเราถือว่าดีมาก ๆ ถ้าเทียบกับที่อื่น ที่เราได้ไปอียูมาเขาก็ชื่นชมเรา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top