Tuesday, 10 December 2024
NEWS

‘พีระพันธุ์’ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ใกล้ชิด เร่งหน่วยงานในกำกับดูแล ก.พลังงาน เข้าช่วยเหลือประชาชน

(3 ธ.ค. 67) ‘พีระพันธุ์’ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ใกล้ชิด สั่งการหน่วยงานในกำกับดูแลของ ก.พลังงาน เร่งช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบเหตุอุทกภัย พร้อมจับมือ ก.อุตสาหกรรม ตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์

จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดภาคใต้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้หน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงพลังงานเร่งดูแลช่วยเหลือประชาชน พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยนายพีระพันธุ์ ได้เปิดเผยในวันนี้ (2 ธันวาคม 2567) ว่า ที่ผ่านมาทางกระทรวงพลังงานไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ประสานงานให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในด้านต่าง ๆ กับทาง อบต. และส่วนราชการในพื้นที่มาตลอด โดยเฉพาะในเรื่องการขาดแคลนน้ำมันและก๊าซ ซึ่งทางกระทรวงพลังงานได้ประสานงานให้ทาง ปตท. และ โออาร์ ซึ่งรับผิดชอบงานในส่วนนี้ เข้าไปประสานงานให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ล่าสุด ตนได้รับรายงานว่าสถานการณ์ในภาพรวมดีขึ้น เช่น ปั๊มน้ำมันต่าง ๆ ก็กลับมาเปิดให้บริการได้จํานวนมากพอสมควรแล้ว ขณะที่การขนส่งน้ำมัน ก๊าซ ก็สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร และตนยังได้กําชับให้ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของการผลิต และการส่งไฟฟ้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ด้วย

นอกจากนั้น ในกลุ่มของ ปตท. ปตท.สผ. และ โออาร์ ยังได้ร่วมกันมอบถุงยังชีพต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนและส่วนราชการต่าง ๆ โดยเฉพาะ โออาร์ ได้มอบแก๊สหุงต้ม 100 ถัง ให้กับโรงครัวพระราชทานที่จังหวัดสงขลาเพื่อประกอบอาหารดูแลพี่น้องประชาชน ขณะที่ โรงไฟฟ้าจะนะ จ. สงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็ได้จัดหาอาหารดูแลพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าเช่นกัน

นายพีระพันธุ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 กระทรวงพลังงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมจะร่วมกันดำเนินการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมเขต 7 ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้

“ทางกระทรวงพลังงานจะพยายามดูแลว่า เราจะสามารถดําเนินการอะไรได้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม และขอเป็นกําลังใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกท่านที่กำลังประสบเหตุอยู่ในขณะนี้ด้วย ซึ่งผมจะรายงานความก้าวหน้าให้ทราบต่อไปครับ” นายพีระพันธุ์ กล่าว

เวทีประชาธิปัตย์เดโมแครต ฟอรั่มแนะรัฐขจัดการผูกขาดลดทุจริตเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ปชป.เสนอ7นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มศักยภาพประเทศลดเหลื่อมล้ำแก้จน

(2 ธ.ค. 67) ในการจัดเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “ขจัดการผูกขาด: ปฏิรูปเศรษฐกิจลดเหลื่อมล้ำแก้จน” ที่พรรคประชาธิปัตย์วันนี้เป็นการนำเสนอแนวทางในการขจัดการผูกขาดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จากหลายหน่วยงาน อาทิ ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายนริศ ขำนุรักษ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรมช.มหาดไทย ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ผศ. ดร. พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีนายพลีธรรม ตริยะเกษมทำหน้าที่พิธีกร

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นตัวแทนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษว่าการผูกขาดทางเศรษฐกิจเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำและความยากจนของประเทศ
ตัวอย่างเช่นประเทศจีน ประธานาธิบดีสีจี้นผิงดำเนินการปราบทุจริตคอรัปชั่นอย่างเฉียบขาดและตั้งแต่ปี 2564 ได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการผูกขาด และปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยให้เจ้าหน้าที่รัฐมุ่งต่อต้านการผูกขาดเพื่อนำไปสู่การแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ และลดความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูงขึ้นมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา แม้จะเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งทางทหารและเศรษฐกิจแต่ก็ยังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และประธานาธิบดีโจ ไบเดนถึงกับประกาศความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาดังกล่าวเพราะคนระดับกลางหรือคนส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างฐานะได้เหมือนคนรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่กลุ่มรวยสุด 1% ของอเมริกากอบโกยประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คิดเป็น 21% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% ของ GDP เมื่อปี 1979

ในขณะที่World Bank และ IMF ได้จัดสัมมนาประจำปี 2021 เรื่อง Taxation of the Wealthy in Developing Countries เพื่อมุ่งแก้ปัญหาความร่ำรวยสุดขั้วที่กระจุกอยู่บนยอดปิรามิด อันเป็นปัญหาร่วมที่รุนแรงมากขึ้นในหลายประเทศกำลังพัฒนา เพราะคนรวยสุด 10% ทั่วโลก ถือครองความมั่งคั่งในประเทศเฉลี่ย 60-80% แต่คนฐานะ 50% ล่างของสังคม ถือครองเพียงแค่ 5% ของความมั่งคั่ง

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยพบว่า สินทรัพย์ของคนทั้งประเทศไทยมากกว่า 2ใน3กระจุกอยู่กับกลุ่มคนรวยที่มีสัดส่วนเพียง 10% ของประชากรทั้งหมด คนไทย 10% หรือประมาณ 7 ล้านคน ยังมีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน คนไทยมากกว่า 3 ใน 4 ไม่มีที่ดินของตัวเอง โฉนดที่ดิน 61% ของประเทศไทยอยู่ในมือประชากร 10%

ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมสูงมาก อยู่ลำดับที่ 162 จาก 174 ประเทศ “กฎหมายสู้ทุนผูกขาดไม่ได้ เรามีกฎหมายหลายฉบับเกี่ยวกับการป้องกันการค้ากำไรเกินควร ป้องกันการผูกขาด ซึ่งกฎหมายป้องกันผูกขาดมีมาตั้งแต่ปี2522 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกพรบ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 และต่อมามีการปรับปรุงเป็น ฉบับแก้ไขพ.ศ.2560 ปรากฎว่า ไม่มีแม้แต่คดีเดียว ที่เกิดข้อพิพาทนำคดีขึ้นสู่ศาล จากการแข่งขันไม่เป็นธรรม จนประเทศไทยเป็นประเทศเสรีในการผูกขาด”
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ ทุนผูกขาดได้เข้ามามีอิทธิพลต่ออำนาจรัฐ เข้ามามีอิทธิพลสนับสนุนพรรคการเมืองจนท้ายที่สุดลงมาเล่นการเมือง มีตำแหน่งทางการเมืองด้วย จนต้องตั้งคำถามว่าปัญหาเหล่านี้จะสามารถจบลงในรุ่นเราได้หรือไม่ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่รับทุนสามานย์ผูกขาดทางการเมือง จึงมีการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนบริจาคภาษี 001 เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่เป็นอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของทุนผูกขาด ทุนสามานย์ ทุนสีเทาทั้งหลาย และเป็นการบริจาคอย่างโปร่งใส เพื่อให้พรรคการเมืองนำเงินบริจาคดังกล่าวไปดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป 

นายอลงกรณ์ยังนำเสนอแนวนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในการขจัดการผูกขาดลดความเหลื่อมล้ำประกอบไปด้วย การส่งเสริมระบบเศรษฐกิจเสรีที่เป็นธรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำ ปรับปรุงกฎหมายแข่งขันทางการค้า การกระจายอำนาจให้เป็นธรรมและทั่วถึง จำกัดการถือครองที่ดิน และการกำจัดคอรัปชั่นทุกรูปแบบ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า การผูกขาดเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ในอดีต มีมหาเศรษฐีในประเทศไม่กี่ราย มาในยุคที่อำนาจทหารเรืองรองมีการตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมามากมายถึง 140 แห่ง แม้วันนี้จะถูกแปรสภาพไปหมด แต่รัฐวิสาหกิจไทยในขณะนั้นได้ใช้ทรัพยากรของรัฐไปเป็นจำนวนมาก แต่ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับผู้มีอำนาจและกลุ่มนายทุนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น 

“คนไทยในอดีตหากอยากรวย ถ้าไม่กอดปืนก็ต้องกอดคนมีอำนาจในขณะนั้น การกอดปืนหรือกอดอำนาจมีมาจนถึงทุกวันนี้เพียงแค่รูปแบบลดความชัดเจนลง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากระบอกปืนกลับมามีอำนาจจึงเห็นกลุ่มคนที่มีอำนาจไปกอดปืนอีกรอบหนึ่ง ทำให้มีคนบางกลุ่มร่ำรวยแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากดำเนินการตรวจสอบในวันนี้จะเห็นว่าหลายกลุ่มได้งานสัมปทานของรัฐแบบผิดกฎหมาย” ดร.มานะ กล่าว 

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจที่เข้าสู่การผูกขาดจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ มีอัตราการขยายตัวของ product ต่ำ มีศักยภาพการผลิตของอุตสาหกรรมต่ำเกินความเป็นจริง มียอดการส่งออกต่ำเนื่องจากมีฐานในต่างประเทศน้อย และมีการลงทุนต่ำเกินจริงเนื่องจากมีรัฐอุดหนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองน้อย แต่จะใช้สิ่งที่มีอยู่เพื่อกอบโกยเงินของหลวงให้มากที่สุด จากปรากฏการณ์ดังกล่าวถือเป็นการทำลายศักยภาพการพัฒนาประเทศ จนเกิดเป็นกับดักทางรายได้ของประเทศ เนื่องจากผลประโยชน์ไปตกอยู่กับคนกลุ่มเดียว

ด้าน ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง คุณภาพชีวิตของคนไทยวันนี้พัฒนาต่ำลง ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้กับชีวิต ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ ไปจนถึงสะพานถล่ม ทั้งที่ลาดกระบัง และล่าสุดพระราม 2 ล้วนเป็นภัยที่เริ่มใกล้ตัวมากกว่าที่คิด วันนี้ภาคประชาชนจึงได้เสนอกฎหมายความปลอดภัยสาธารณะ เพื่อมีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ 

“ผมอยากใช้เวทีนี้ซึ่งเป็นเวทีที่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่เป็นการทำเวทีเพื่อให้บ้านเมืองหลุดพ้นเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องคอรัปชั่น จึงอยากให้มาร่วมกันสนับสนุนพระราชบัญญัติเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ให้เกิน 10,000 ชื่อ เพื่อให้มีเจ้าภาพคนกลางที่จะลงไปดูติดตามรายงานตรวจสอบและป้องกัน จะได้รู้สักทีว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร” ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าว  

ด้าน ผศ. ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ ระบุว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ จึงเห็นว่าการแข่งขันจะช่วยเพิ่มการจัดสรรทรัพยากร เป็นการเปลี่ยนจากตลาดผูกขาด เป็นตลาดแข่งขันจะทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มถูกลง ทั้งเป็นการกระจายผลประโยชน์ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ 

นอกจากนี้ ผศ. ดร.พรเทพ ได้ยกตัวอย่างปัญหาการดำเนินการของ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ขาดการทำงานเชิงรุกเพื่อยับยั้งป้องกันหรือเยียวยาผลกระทบการกระทำอันไม่เป็นธรรมทางการค้าผู้บริโภคไม่สามารถใช้สิทธิ์ในการร้องเรียนโดยตรงได้ ทั้งยังขาดศักยภาพทางวิชาการและแรงจูงใจ ดังนั้นเพื่อการกำกับดูแลการแข่งขันของไทยให้มีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนพิจารณาเรื่องบทลงโทษทางอาญาด้วยเนื่องจากกระบวนการทางอาญาที่ใช้เวลานาน อีกนัยหนึ่งก็สามารถเป็นอุปสรรคในการกำกับดูแลเช่นกัน 

สำหรับ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้ระบุว่า อำนาจกับผลประโยชน์อยู่คู่กันมาโดยตลอด และมีพัฒนาการจากเดิมที่อำนาจและประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มทหาร ปัจจุบันจะเห็นว่ากลุ่มทุนได้ย้ายมาอยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง และสื่อมวลชน นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าไม่ได้มีแต่การผูกขาดเฉพาะทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีการผูกขาดทางการเมือง ไปจนถึงการผูกขาดทางทรัพยากร และลุกลามไปถึงการผูกขาดในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย

รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ยังได้ตั้งคำถามถึงผู้มีอำนาจในปัจจุบันว่า เมื่อพวกเขาเติบโตมาจากการผูกขาดการค้า ก็ย่อมจะเห็นประโยชน์ของการผูกขาด เมื่อผู้นำไม่รังเกียจการผูกขาด วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการแจกเงินคนจน ซึ่งวิธีดังกล่าวยังเป็นการตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการผูกขาดโดยรัฐแล้ว ยังมีปัญหาซ้ำเติมในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และในอนาคตอันใกล้เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จึงไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่กำลังจะทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ 

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการสัมมนา ยังมีการเปิดเวทีให้ผู้เข้าชมได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ อาทิ ดร.เพ็ญจันทร์ ล้อสีทอง นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง นายปรพล อดิเรกสาร นายราม คุรุวาณิชย์ นายเมฆินทร์เอี่ยมสอาด กก.บห.พรรคประชาธิปัตย์นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิทเป็นต้น 

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 รับมอบผ้าห่มกันหนาว จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)

(3 ธ.ค.67) พลตรี สมบัติ บุญกอแก้ว เสธนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในโอกาสมอบผ้าห่มกันหนาว ให้กับกองทัพภาคที่ 3 ณ บริเวณหน้าห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เมือง จ.พิษณุโลก 

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดย คุณ ศรายุทธ เนียมฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการผลิต โครงการเอส 1 และคณะ ได้เข้ามอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 3,000 ผืน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งที่ผ่านมากองทัพภาคที่ 3 ได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มาด้วยดีโดยตลอด พร้อมกันนี้ เสธนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหนังสือขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับ คณะผู้บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการขอบคุณอีกด้วย

กองทัพภาคที่ 3 เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศ และสภาพอากาศ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากจากการเกิดภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในทุกฤดู ทางกองทัพภาคที่ 3 จะได้นำผ้าห่มกันหนาวที่ได้รับมอบนี้ ไปมอบให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและประสบภัยในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนต่อไป

'มนุษย์ควัน' แนะออกกฎเข้มคุมบุหรี่ไฟฟ้า ถามกลับใครรับผิดชอบทุนจีนแอบตั้งโรงงานผลิตในไทย

(3 ธ.ค. 67) นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเพจ "มนุษย์ควัน" แสดงความคิดเห็นในเพจดังกล่าว แนะรัฐบาลหาแนวทางควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าโดยเผยว่ารัฐเคนทักกี้เตรียมออกกฎเข้ม “ลงดาบ” ร้านที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยจะเสนอร่างกฎหมายในปี 2025 ที่มุ่งควบคุมผู้ขายบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบ โดยกำหนดให้ผู้ขายต้องมีใบอนุญาต พร้อมให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสถานประกอบการได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น รวมถึงยึดหลักฐานการกระทำผิด กฎหมายนี้ยังเพิ่มบทลงโทษ เช่น หากร้านใดถูกเพิกถอนใบอนุญาต จะไม่สามารถขอใหม่ได้ในระยะเวลา 2 ปี นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรเงินค่าปรับไปใช้ในโครงการให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับอันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายชัดเจนในการป้องกันการขายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้เยาว์ และแก้ไขช่องโหว่ในกฎหมายเดิม

ในการประชุมสภานิติบัญญัติเมื่อต้นปี 2024 สมาชิกสภาฯ ได้ผ่านร่างกฎหมาย House Bill 11 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยจํากัดการขายเฉพาะ "ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาต" จากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ซึ่งจนถึงปัจจุบัน FDA อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ารสชาติยาสูบและเมนทอล 34 รายการ สามารถจำหน่ายได้ในสหรัฐอเมริกา ในโพสต์ดังกล่าว นายสาริษฏ์ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบุกทลายโรงงานบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีเจ้าของเป็นกลุ่มทุนจีน โดยระบุว่า “เห็นข่าวการบุกทลายโรงงานบุหรี่ไฟฟ้าที่นั่งทำกันสดๆ ในทาวเฮ้าส์ย่านบางขุนเทียน ทำกันขนาดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลจะจัดการกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าด้วยการห้ามแบบเดิมยังไง ตัดภาพไปที่อเมริกา ที่เน้นออกกฎหมายควบคุมและปรับกฎหมายให้เหมาะสม แบบที่รัฐเคนทักกี้เตรียมทำก็คือเพิ่มโทษให้กับผู้ขายที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชน”
ทั้งนี้ ประเด็นการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายกำลังได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอยู่ในขณะนี้ จากกรณีที่เครือข่ายแพทย์ฯ ออกมาแถลงจุดยืนให้มีการห้ามบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งในขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายในไทย เพื่อออกกฎหมายที่เหมาะสม มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

ซึ่งนายสาริษฏ์ยังได้โพสต์อีกหนึ่งข้อความ ตอบโต้เรื่องดังกล่าวโดยระบุว่า “เฮือกสุดท้ายของการไม่ยอมรับความจริง!! จะหมดปี 2024 แล้วยังไล่แบนบุหรี่ไฟฟ้า!! ยอมรับความจริงกันได้แล้วว่าแบนมันไม่เวิร์ค มีใช้กันทุกหัวมุมถนนเอาอะไรมาแบนต่อ นโยบายตัวเองผิดพลาดแต่โทษคนนั้นคนนี้ โทษกมธ. ไม่โปร่งใส” พร้อมบอกว่า “ห้ามบุหรี่ไฟฟ้าในไทยมาเป็น 10 ปีแล้วได้อะไร นอกจากลดทอนสิทธิผู้บริโภค เปิดช่องให้ตลาดมืด ออกข่าวเยาวชนใช้บุหรี่ไฟฟ้าไปวันๆ ที่ขอ (ให้ควบคุม) ไม่ใช่การเปิดเสรีแบบสินค้าอื่นๆ สิ่งที่อยากได้คือกฎหมายที่มาควบคุมซื้อ ขาย ใช้งาน เอาให้มันเป็นระเบียบ สังคมจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนกับควันดราก้อนบอลจากบุหรี่ไฟฟ้าอีก”

ที่มา GOP lawmaker calls for adding ‘teeth’ to Kentucky's new curbs on underage vaping • Kentucky Lantern https://www.facebook.com/share/p/H5QpatpUCgy9WBCB/

สถาบันพระปกเกล้า เปิดอบรม หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข(สสสส.)รุ่นที่ 15 มุ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งทุกระดับ

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.67) สถาบันพระปกเกล้า โดยสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล จัดพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.)รุ่นที่ 15 โดยได้รับเกียรติจาก นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธานเปิดการศึกษาอบรม 

นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ กล่าวว่า สถาบันพระปกเกล้า เปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรดังกล่าวขึ้น เพื่อเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสร้างสรรค์ ด้วยการให้เกียรติและเคารพความหลากหลายของความคิด ความเชื่อ โดยเน้นให้ผู้เข้ารับการศึกษาจะนำความรู้ด้วยการลงไปดูปัญหาจริง จากพื้นที่จริง เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในระดับต่างๆ ได้อย่างแท้จริง

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่างว่า หลักสูตร เสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.)รุ่นที่ 15 จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาพความขัดแย้ง สาเหตุ และวิธีแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งจากการจัดการฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และความขัดแย้งในสังคม พหุลักษณ์ ให้ผู้เข้าอบรมมีทักษะเบื้องต้นในการสร้างสันติสุขในสังคม ในมิติของการป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น การจัดการและแก้ไขความขัดแย้ง การแปรเปลี่ยนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้กลายเป็นความรุนแรง การเยียวยาสร้างความสมานฉันท์ให้กลับคืนสู่สังคมภายหลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง 

มีเจตคติที่ยอมรับและเห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลายในสังคม รวมทั้งยึดมั่นสันติวิธีทั้งในสำนึกและพฤติกรรม โดยเน้นการสร้างสันติวัฒนธรรม เพื่อทำให้สังคมไทยพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้ก้าวหน้าสู่สันติวิธีได้ดียิ่งขึ้น 

อีกทั้งให้ผู้เข้าอบรมนำความรู้และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนกับบุคคลจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งในชั้นเรียนและในพื้นที่มาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและสร้างสันติสุขในสังคมอย่างเป็นระบบ พร้อมนำเสนอต่อสังคมและผู้เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหาต่อไป และให้ผู้เข้าอบรมเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างผู้เข้าอบรมที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน อันจะเป็นการสานต่อพลังในการเสริมสร้างสังคมสันติสุขในรูปของเครือข่ายผู้เข้ารับการศึกษาอบรมอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล กล่าวแนะนำกรรมการบริหารหลักสูตรฯ คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ประจำหลักสูตร และร่วมกันพูดคุยเนื้อหาเกี่ยวกับหลักสูตรพร้อมรับฟังการแนะนำการใช้งาน Application KPI-KIT โดย เจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ แนะนำการใช้ห้องสมุด โดยพนักงานบรรณารักษ์และสารสนเทศ

สำหรับหลักสูตรดังกล่าว มีผู้เข้ารับการศึกษาอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือน รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน ผู้นำศาสนา และสื่อมวลชน จำนวนทั้งสิ้น 90 คน โดยมีระยะเวลาการศึกษาอบรมตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2567 ถึง เดือนธันวาคม 2568

“นวัตกรรมโดรนโจมตีทิ้งระเบิด” หน่วยเฉพาะกิจราชมนู รางวัลชนะเลิศ เทคโนโลยีเพื่อการป้องกันชายแดน ระดับกองทัพบก

(3 ธ.ค. 67) หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร มีภารกิจหลัก ในการป้องกันชายแดน โดยการสกัดกั้น ยับยั้ง โต้ตอบ และผลักดันการละเมิดอธิปไตยของกองกำลังต่างชาติ ในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบจาก ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก โดย ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งปัจจุบันรูปแบบการรบได้มีการพัฒนาและ นำอากาศยานไร้คนขับมาใช้ในการปฏิบัติการมากขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคนิค และวิธีการรบ ในรูปแบบใหม่ 

การโจมตีด้วยโดรนถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ และก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ซึ่งฝ่ายเรา จะต้องมีการเรียนรู้ และพัฒนาขีดความสามารถในการใช้งาน ทั้งนี้ หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ได้ริเริ่มประดิษฐ์นวัตกรรม โดยการนำโดรนทางการเกษตร มาดัดแปลงเป็นโดรนโจมตีทิ้งระเบิด เพื่อใช้ในการ ปฏิบัติทางยุทธวิธี เข้าโจมตีทำลายข้าศึก

1. คุณลักษณะทั่วไป
   1.1 เป็นโดรน 4 ใบพัด ขนาด 36 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์บัสเลส ตัวลำเป็นไฟเบอร์คาร์บอน มีความแข็งแรงทนทานและน้ำหนักเบา - ควบคุมด้วย ไฟลท์คอนโทรล Pixhawk V6X พร้อม GPS ระบุตำแหน่งที่แม่นยำ 
   1.2 ติดตั้งกล้องตรวจการณ์แบบ FULL HD พร้อมไฟ LED 
   1.3 ใช้แบตเตอรี่ขนาด 30,000 มิลลิแอมป์ จำนวน 2 ก้อน 
   1.4 ด้านล่างติดตั้งเซอโว จำนวน 4 ตัว ควบคุมแยกกันอย่างอิสระ เพื่อใช้ในการทิ้งระเบิด 
   1.5 ติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมสัญญาณ เทเลมิสทรี เรดิโอ เชื่อมต่อสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ควบคุมการบิน ในระยะปฏิบัติการ 5 กิโลเมตร และบรรทุกน้ำหนักได้ 20 กิโลกรัม 
2. การควบคุม สามารถทำได้ 2 ระบบ ได้แก่ 
   2.1 การควบคุมด้วยรีโมทคอลโทรล ร่วมกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เพื่อควบคุมการบินผ่านหน้าจอและดูภาพจากกล้อง ปรับโหมดการบินได้ 3 โหมด คือ โหมดควบคุมด้วยตัวเอง, โหมดการบินด้วย GPS และ โหมดการบินแบบอัตโนมัติ มีระบบการบินกลับอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด หรือสัญญาณรีโมทขาดหาย โดยเฉพาะกรณีถูกเครื่องมือตัดสัญญาณจากฝ่ายตรงข้าม โดรนจะบินกลับเองแบบอัตโนมัติ 
   2.2 การควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรม Mission Planner โดยการติดตั้งอุปกรณ์ รับ-ส่ง ข้อมูล เทเลมิสทรี เรดิโอ ความถี่ 433 MHz กำลังส่ง 500 mW เพื่อเชื่อมต่อโดรนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการกำหนดแผนการบินด้วยพิกัดทางทหาร (MGRS) และทำการทิ้งระเบิดได้อย่างแม่นยำ จากการทดสอบ ที่ระยะความสูง 1,000 เมตร มีความคลาดเคลื่อน ระยะ 5 เมตร ข้อดีของการควบคุมแบบนี้ จะสามารถป้องกันการโจมตีจากอุปกรณ์ต่อต้านโดรนได้ 
3. การประยุกต์ใช้ ติดตั้งระเบิดได้พร้อมกันสูงสุด 4 ลูก ทิ้งระเบิดแบบอิสระ โดยใช้ระเบิดแสวงเครื่อง หรือระเบิดจริงจากเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด 60 มิลลิเมตร และ 81 มิลลิเมตร ใช้งานควบคู่กับโดรนตรวจการณ์ เพื่อตรวจสอบพิกัดเป้าหมาย นำมาระบุตำแหน่งทิ้งระเบิดแล้วเข้าปฏิบัติการทำลายเป้าหมายแบบอัตโนมัติ 

จากผลงานนวัตกรรมดังกล่าวของหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางทหารด้านยุทโธปกรณ์ ของกองทัพบก ประจำปีงบประมาณ 2567 ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลดังกล่าว โดยมี ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร เป็นผู้รับมอบรางวัล เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่หน่วยสืบไป 

ทั้งนี้ จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพบก โดย กองทัพภาคที่ 3 จะมุ่งมั่น ตั้งใจพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อป้องกันชายแดน และรักษาอธิปไตยของชาติ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืนสืบไป 

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยเหลือแจกสิ่งของยังชีพผู้ประสบอุทกภัยน้ำท้วม

(2 ธ.ค. 67) เวลา 16.30 นาฬิกา ณ เทศบาลจังหวัดปัตตานี พลเอก สวัสดิ์  ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา  พร้อมด้วยกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการกิจการทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ได้เดินทางเพื่อร่วมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจในการปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดปัตตานีในห้วงวิกฤติอุทกภัยในพื้นที่

ในการนี้ คณะกรรมาธิการได้มอบชุดยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัย โดยมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้ให้การต้อนรับและนำคณะกรรมาธิการลงพื้นที่แจกสิ่งของยังชีพในชุมชนเทศบาลนครปัตตานีที่ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าวประมาณ  60 ครัวเรือนเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตอุทกภัยในครั้งนี้ด้วยกัน

‘เจ้าของแบรนด์ดัง’ แจงดรามา นินทาลูกสาวคนอื่นโตมาแรดแน่ ๆ รับเป็นพฤติกรรมในอดีต พร้อมขู่ฟ้องคนบิดเบือน - คอมเมนต์เกินเลย

เจ้าของแบรนด์ดัง ได้ออกมาชี้แจงแล้ว หลังเพจดัง เปิดปม เคยทำคลิป ไปสะกิดลูกคนอื่น แล้วนินทาว่า โตมาแรดแน่ ๆ ชัดเจนทุกประเด็น

จากกรณีเพจดัง อีซ้อขยี้แหลก ได้ออกมาโพสต์ข้อความ เปิดเรื่อง เจ้าของแบรนด์ดัง เคยทำคลิป ไปสะกิดลูกคนอื่น และไปนินทาลูกสาวเขาว่า โตมาแรดแน่ ๆ จนเป็นกระแสดรามาในโลกออนไลน์อยู่ในตอนนี้ ล่าสุดเจ้าตัว ได้ออกมาเคลื่อนไหว ผ่านเฟซบุ๊ก Atthakorn Kan Rattanarom เจ้าของ BEARHOUSE ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า 

ผมคือผู้ที่อยู่ในคลิป จึงอยากจะออกมาชี้แจงประเด็นครับ

- คลิปดังกล่าวโพสต์วันที่ 30 Nov 2017 (7 ปีที่แล้ว) ไม่ใช่เมื่อปีก่อน

- ในอดีตผมเป็น Youtuber และผมก็เล่นมุกเหี้ย ๆ แบบนั้นจริง ๆ ครับ ในสมัยนั้นไม่ได้มีการ Aware เรื่องการบูลลี่มากนัก แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้ Aware เช่นกัน ตอนนี้กลับไปดูคลิปตัวเองก็ไม่ได้ชอบตัวเองสมัยนั้นเหมือนกัน

- ตลอดการเดินทาง ได้มีทั้งผู้ติดตาม และผู้ใหญ่ให้คำแนะนำมากมาย ต้องขอบคุณทุก ๆ คนที่ทำให้ผมได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ

- ผมเรียนรู้และเติบโตมาพร้อมกับสังคมที่ Aware เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นแล้วครับ หากใครติดตามกันเรื่อยมาก็จะรู้ว่า ผมในปัจจุบัน อายุ 32 แล้ว เติบโตขึ้นมากแล้วครับ ทั้งคำพูด ทั้งวุฒิภาวะ ไม่เหมือนเมื่อ 7 ปีที่แล้วครับ

- แล้วทำไมไม่ลบคลิป: เพราะมันคืออดีต ในช่วงเวลานั้น คำพูด และมุกที่ผมใช้ มันไม่เหมาะสมจริง ๆ อดีตเป็นสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันกับอนาคตให้ดีขึ้นได้ ผมอยากยืนยันแนวคิดเรื่องนั้นครับ

- ขอโทษทุกท่านที่ทำให้ไม่พอใจกับอดีตของผมนะครับ ผมน้อมรับผิดและได้แก้ไขการกระทำนั้นเรื่อย ๆ มานะครับ

สำหรับเพจหรือบุคคลที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง หมิ่นประมาท หรือคอมเมนต์เกินเลย ผมจะดำเนินการตามกฎหมายนะครับ

‘ซอ ลิน อู’ นักมวยดังศึก ONE ขับรถตกเขา บาดเจ็บหนัก ชวดขึ้นชกกับ ‘เสกสรร’ แน่นอนแล้ว

(2 ธ.ค. 67) ‘ซอ ลิน อู’ นักมวยคนดัง ONE ชาวเมียนมา ประสบอุบัติเหตุขับรถตกเขา บาดเจ็บหนัก ต้องยกเลิกไฟต์ ONE 170 ที่จะชกปีหน้า

ซอ ลิน อู นักมวยคนดัง ONE Championship Thailand ประสบอุบัติเหตุขับรถตกเขา ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ทำให้ไฟต์ระหว่าง ซอ ลิน อู กำปั้นชาวเมียนมา ที่จะเจอกับ เสกสรร อ.ขวัญเมือง ในวันที่ 24 มกราคม 2568 ศึก ONE 170 ที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี กติกามวยไทย 142 ปอนด์ เป็นอันต้องยกเลิกไป  เพราะกำปั้นคนดังชาวเมียนมาบาดเจ็บค่อนข้างหนัก หายไม่ทัน

สำหรับ ซอ ลิน อู หรือฉายา "Man of Steel" ถูกยกให้เป็นกำปั้นจอมแกร่ง สุดอึด สวมหัวใจนักสู้อันสุดทรหด ประกอบกับสไตล์การชกอันดุดัน ลุยแหลก ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งผลงานการชกในศึก ONE ลุมพินี ก่อนหน้านี้ ชนะรวด ส่งผลให้ฟอร์มไปเข้าตา จนคว้าสัญญานักกีฬา ONE เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567ที่ผ่านมา

ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 30 พ.ย.67 ซอ ลิน อู ได้ประสบอุบัติเหตุ ขับรถตกเข้า พร้อมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Soe Lin Oo – Doe Yoe Yar กับภาพรถยนต์ที่พังเสียหาย สาเหตุจากเบรกไม่ทัน พร้อมกับภาพการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลังจากได้รับบาดเจ็บหนัก

‘สอวน.’ ชวนส่งกำลังใจให้ตัวแทนประเทศไทย ร่วมแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิก ม.ต้น ที่โรมาเนีย

(2 ธ.ค. 67) มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการ และพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) ขอเชิญร่วมส่งกำลังใจให้กับคณะผู้แทนประเทศไทย เดินทางไปแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ 21(21st International Junior Science Olympiad 2024) ณ เมืองบูคาเรสต์ สาธารณรัฐโรมาเนีย ระหว่างวันที่ 1 -13 ธันวาคม 2567 นี้

สำหรับคณะผู้แทน 21st IJSO 2567 ประกอบด้วย
1. นางสาวปาณิสรา โฆษิตสุรังคกุล โรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์, 2. นายอาชวิน ชวาลา โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย, 3. นายณัฐธนัตถ์ มุรธาธัญลักษณ์ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี), 4. เด็กชายพงษ์พิชญ์ ประดิษฐผลเลิศ โรงเรียนชลราษฎรอำรุง, 5. นายปณิธิ ดีพร้อม โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย และ6. นายปัณณวิชญ์ อุสาหะ โรงเรียนแสงทองวิทยา

ส่วนอาจารย์คุมทีม 21st IJSO 2567 ประกอบด้วย 1. ผศ.ดร.นลินา ประไพรักษ์สิทธิ์ ภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (หัวหน้าทีม), 2. ผศ.ดร.สุรพงษ์ อยู่มา ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รองหัวหน้าทีม) และ3. ดร.สุชีวิน โชติวิชญ์ ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (รองหัวหน้าทีม)

เป็นทหารเรือต้องว่ายน้ำทะเล ศฝท.ยศ.ทร. นำทหารใหม่ทดสอบว่ายน้ำในทะเล เพื่อความคุ้นเคย

(2 ธ.ค. 67) น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา ร่วมกิจกรรมว่ายน้ำในทะเลกับทหารใหม่ ผลัดที่ 3/67 ณ อ่าวบางเสร่  ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ศฝท.ยศ.ทร. จัดกิจกรรมทดสอบว่ายน้ำในทะเลให้แก่ทหารใหม่ ผลัดที่ 3/67 เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์และความคุ้นเคยในการว่ายน้ำในทะเล ส่งเสริมการออกกำลังกายให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มทหารใหม่บางนายที่ได้สัมผัสน้ำทะเลเป็นครั้งแรกในชีวิต

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวได้กำหนดไว้ในหลักสูตรทหารใหม่ภาคสาธารณศึกษา ภายใต้ความปลอดภัย ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ "Safety Navy 2025"

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เยี่ยมกิจกรรม “ญาติเยี่ยมทหารใหม่ ผลัดที่ 3/67” ส่งกำลังใจให้น้องเล็กกองทัพเรือ ญาติ และครูฝึก พร้อมยืนยันการดูแลด้วยความเมตตาเสมือนลูกหลาน

พล.ร.ท.อดิศักดิ์ แจงเล็ก เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ (จก.ยศ.ทร.) เยี่ยมชม และพบปะพูดคุยกับญาติของทหารใหม่ ในกิจกรรม “ญาติเยี่ยมทหารใหม่ ผลัดที่ 3/67” โดยมี น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา ศฝท.ยศ.ทร. ให้การต้อนรับ และเรียนเชิญ จก.ยศ.ทร. เยี่ยมกิจกรรม ณ บริเวณพื้นที่โดยรอบอาคารกองบังคับการ ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อ 1 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา

กิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทหารใหม่และญาติ รวมถึงสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้แก่ญาติของทหารใหม่ได้เห็นผลของการฝึกอบรม และการดูแลทหารใหม่ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ที่เข้ามาเป็น "น้องเล็กของกองทัพเรือ" ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในแนวทางของการฝึกอบรมทหารใหม่ของกองทัพเรือยิ่งขึ้น

ในการนี้ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ได้พบปะพูดคุยกับทหารใหม่ และญาติ โดยยืนยันถึงการฝึกอบรม และการดูแลทหารใหม่ ว่า “...ขอให้ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และญาติของน้องทหารใหม่เชื่อมั่นว่าการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ ภาคสาธารณศึกษา ผลัดที่ 3/67 ณ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ตลอดระยะเวลา 2 เดือน จะทำให้ทหารใหม่ปรับสภาพจากพลเรือน เป็นสุภาพบุรุษทหารเรือที่เข้มแข็ง องอาจ พร้อมกันนี้ขอให้มั่นใจได้ว่าเราจะดูแลทหารใหม่ด้วยความเมตตาเสมือนลูกหลานหรือญาติมิตรของเรา...”

ทั้งนี้ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ได้ให้กำลังใจแก่ผู้บังคับบัญชา และครูฝึกของ ศฝท.ฯ และขอให้คำนึงถึงมาตรการในการดูแลทหารใหม่ให้อยู่ในกรอบของความปลอดภัยตามที่ผู้บัญชาการทหารเรือกำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ "Safety Navy 2025"

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี  ชลบุรี 0909535645

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภั

(2 ธ.ค. 67) เวลา 10.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุม สำนักงานประสานงานชายแดนไทย – มาเลเซีย      (สน.ปทม.) ค่ายเสนาณรงค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พลเอก สวัสดิ์  ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา  พร้อมด้วยกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการกิจการทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ได้ร่วมประชุมเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน พร้อมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจในการปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของเจ้าหน้าที่ในห้วงวิกฤติอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, พลตรี วรเดช เดชรักษา รองแม่ทัพภาคที่ 4/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พลตำรวจตรี ชุมพล  ศักดิ์สุรีย์มงคล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้การต้อนรับและบรรยายสรุปเกี่ยวกับแนวโน้มของสถานการณ์ แผนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผลการดำเนินงานในห้วงที่ผ่านมา ตลอดจนปัญหาและอุปสรรค เพื่อประมวลเป็นข้อเสนอแนะแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะนำข้อมูลและข้อคิดเห็นต่างๆ มาประกอบการพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวสั่งการสถานีตำรวจท่องเที่ยวออกดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะสู่ภาวะปกติ

(2 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า ตามสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ตำรวจออกช่วยเหลือประชาชน
ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยนั้น ตนได้สั่งการให้สถานีตำรวจท่องเที่ยวในสังกัดบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ประสบอุทกภัย เพื่อออกดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในจังหวัดต่าง ๆ ที่ประสบอุทกภัยในภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 สถานีตำรวจท่องเที่ยว 3 กองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 เป็นสถานีตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย 
โดยร่วมอพยพประชาชนและสิ่งของจำเป็นต่างๆ ไปอยู่พื้นที่ปลอดภัย , ร่วมปรุงอาหารเพื่อนำไปแจกประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน , นำอาหารและสิ่งของจำเป็นไปแจกจ่ายให้กับประชาชนตามบ้านเรือนและศูนย์อพยพช่วยเหลือประชาชน นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวพร้อมสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยโดยตลอด และสั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่ช่วยเหลือฟื้นฟูบ้านเรือนประชาชน สถานที่ราชการ และถนนต่าง ๆ หลังน้ำลด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนและสังคมต่อไปด้วย

ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่ และตำรวจท่องเที่ยว ได้ทันทีทางสายด่วน 191 ตำรวจทุกท้องที่ , สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 
และสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว 1155 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวขอส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวใต้ทุกคน ขอให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

“พิทักษ์สถาบัน ป้องกันอ่าวไทย สามัคคีรวมใจ ห่วงใยประชาชน"

(2 ธ.ค. 67) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยประชาชนที่ประสบอุทกภัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จังหวัดสงขลา โดยทัพเรือภาคที่ 2 จัดตั้งโรงครัวพระราชทานขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ณ วัดเกษตรชลธี ตำบลตะเครียะ  อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 พร้อมกันนี้ ยังได้จัดแพทย์และพยาบาลตรวจสุขภาพเบื้องต้น พร้อมทั้งให้คำแนะนำด้านสุขอนามัย และมอบยาสามัญประจำบ้าน รวมทั้งมอบถุงยังชีพให้พี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

การแจ้งเหตุประสบภัย
📞074-325804  ทัพเรือภาคที่ 2  
📞1696 สายด่วนกองทัพเรือ ตลอด 24 ชั่วโมง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0908535645


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top