Tuesday, 1 July 2025
NEWS

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมดูแลการชุมนุม 28 มิ.ย. ย้ำใช้เสรีภาพภายใต้กรอบกฎหมาย  จัดกำลัง 1,200 นายดูแลความเรียบร้อย

(25 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เตรียมความพร้อมในการดูแลและบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 มิถุนายน 2568 บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุมให้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กรอบของกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนและการใช้พื้นที่สาธารณะ

สำหรับการดำเนินการในภาพรวมได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการบริหารจัดการการชุมนุม และบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 โดยเน้นย้ำการใช้แนวทางเจรจา พูดคุย และทำความเข้าใจกับผู้จัดการชุมนุม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการใช้สิทธิเสรีภาพกับการรักษาความสงบเรียบร้อย

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ บช.น. ได้รับหนังสือแจ้งการชุมนุมเรียบร้อยแล้ว และได้ประสานงานกับผู้จัดการชุมนุม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 1,200 นาย ประกอบด้วยกำลังรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร และฝ่ายสืบสวน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งก่อน ขณะ และหลังการชุมนุม ในส่วนของการข่าว ได้สั่งการให้หน่วยสืบสวนในทุกกองบัญชีกำกับดูแลความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พร้อมจัดตั้งจุดตรวจ/คัดกรองบุคคลและยานพาหนะในเส้นทางจราจรหลัก รวมถึงบริเวณสถานีรถไฟฟ้า เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่อาจไม่หวังดี หรือมีเจตนาก่อความไม่สงบ

ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือจากประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านพื้นที่การชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันดังกล่าว แม้ภาพรวมการจราจรจะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ และหากพบเห็นเหตุผิดปกติหรือเหตุฉุกเฉินใด ๆ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่หมายเลข 191 ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ จัดโครงการ “แสงธรรมนำใจ” ครั้งที่ 2 ฟังธรรมบรรยายจาก “หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช” หัวข้อ “พัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์”

(25 มิ.ย. 68) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานโครงการ “แสงธรรมนำใจ” ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , คุณอภิรมย์ ทรวดทรง อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , คุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ และคณะแม่บ้านตำรวจ รวมกว่า 300 คน ร่วมฟังการธรรมบรรยายจาก “หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช” หัวข้อ “พัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์” ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางออนไลน์

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้แสดงธรรมในการพัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์ สิ่งสำคัญคือการเจริญสติ หรือ สติปัฏฐาน ซึ่งต้องลงมือฝึกจิต ฝึกใจ ให้ถึงความดับทุกข์ ประการแรกคือ การตั้งใจรักษาศีล 5 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด และประการต่อไปคือการฝึกกรรมฐาน เพื่อให้จิตสงบ และรู้ทันจิตเพื่อให้จิตตั้งมั่น

โครงการ “แสงธรรมนำใจ” จัดขึ้นโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ เพื่อให้ข้าราชการตำรวจ , แม่บ้านตำรวจ และประชาชน ได้น้อมนำคุณธรรม หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำตลอดปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่งในวันนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2/2568 ซึ่งข้าราชการตำรวจทั่วประเทศและครอบครัว รวมถึงประชาชนที่สนใจ สามารถรับชมรับฟังธรรมบรรยายย้อนหลังผ่านทางเพจเฟซบุ๊กสมาคมแม่บ้านตำรวจ และเพจเฟซบุ๊ก PoliceTV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พิษณุโลก แม่ทัพภาคที่ 3 ปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6

(25 มิ.ย. 68) เวลา 09.00 นาฬิกา ที่ โรงแรมท๊อปแลนด์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท กิตติพงษ์  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6 โดยได้มอบเกียรติบัตร และเข็มที่ระลึกให้กับผู้ที่สำเร็จการอบรม ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย ข้าราชการทหาร ตำรวจ จำนวน 20 นาย ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ จำนวน 17 รายและนักธุรกิจภาคเอกชน จำนวน 43 ราย ในพื้นที่ภาคเหนือ รวมจำนวนทั้งสิ้น 80 ราย

จากการอบรมที่ผ่านมา สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ และนักธุรกิจภาคเอกชน สร้างการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของชาติ และการพัฒนาประเทศ ตลอดจนเป็นการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ภัยคุกคาม ด้านความมั่นคงของประเทศ

สำหรับเนื้อหาวิชาที่สำคัญแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ภาควิชาการ ประกอบด้วย การบรรยายการสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ภารกิจ และการดำเนินงานของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 ปัญหาภัยคุกคาม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ การเดินตามศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาประเทศ และความยั่งยืนรวมทั้งการสื่อสารดิจิทัล และภาคปฏิบัติประกอบด้วย การจัดเวทีเสวนา การเสวนาระดมความคิดเห็น การทัศนศึกษา กิจกรรมพัฒนาสัมพันธ์และการดำเนินงานจิตอาสา ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้ร่วมเป็นเครือข่ายและสนับสนุนงานด้านความมั่นคงของชาติ และร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาอย่างสร้างสรรค์ ในนามของสมาชิกหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบกว่า 5 แสนบาท ขยายโอกาส สร้างอาชีพ สร้างชีวิตอย่างเท่าเทียม แก่ชาวขอนแก่นต่อเนื่อง

มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และมอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี 

วานนี้ (24 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ  นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง โดยมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ จำนวน 20 ราย  คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 397,610 บาท 

เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครออกหน่วยให้บริการประชาชนในพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ จำนวน 2 ชุด (4 ชิ้น) ในโครงการ “สนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์” ให้แก่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา เพื่อใช้ในหลักสูตรฝึกอบรมทักษะอาชีพดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้ง มอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการ จำนวน 10 ราย และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวม 20 คัน 

เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวขอนแก่นในครั้งนี้ทั้งสิ้น 596,362 บาท (ห้าแสนเก้าหมื่นหกพันสามร้อยหกสิบสองบาทถ้วน) 

โดยมี ผศ.ดร.พนธ์พันธ์ เลิศจันทรางกูร ที่ปรึกษาอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พร้อมด้วย นายสงวน สุธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 5  นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ และอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จังหวัดขอนแก่น

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี  สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก ในการคัดกรองผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม เสริมทักษะอาชีพ 

โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ทหารพรานไทยดูแลนักเรียนกัมพูชาข้ามแดน แม้ชายแดนตึงเครียด แต่ขอยึดหลักมนุษยธรรม

(25 มิ.ย. 68) แม้จะมีการยกระดับมาตรการควบคุมการเข้า-ออกประเทศบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสระแก้วที่อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังบูรพา แต่เจ้าหน้าที่ทหารพรานจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักเรียนชาวกัมพูชาที่ข้ามแดนมาเรียนในฝั่งไทยทุกเช้าอย่างต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่ไทยยืนยันว่า ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือสถานะของผู้เดินทาง ถือเป็นการให้ความสำคัญกับสิทธิด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของเด็กๆ มากกว่าประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ที่เปราะบางนี้

ขณะที่เช้าวันนี้ (25 มิ.ย.) บริเวณด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์เกิดความวุ่นวายเมื่อมีชาวกัมพูชามากกว่า 500 คนตกค้างอยู่ในฝั่งไทย หลังเข้าใจผิดว่าด่านจะเปิดให้ข้ามแดนตามปกติ หนึ่งในแรงงานชาวกัมพูชาที่เดินทางมาจากจังหวัดลพบุรีเผยว่า แม้จะรู้ข่าวเรื่องการปิดด่าน แต่ก็ยังมาลุ้นหวังกลับบ้านเพราะเป็นห่วงลูกที่อยู่ฝั่งกัมพูชา

แม้ฝ่ายไทยจะยังเข้มงวดเรื่องการข้ามแดน แต่ก็ยังคงยึดหลักสิทธิมนุษยธรรม โดยมีการเจรจากับทางการกัมพูชาเพื่อขอเปิดช่องทางให้แรงงานที่ตกค้างสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงท่าทีที่ประนีประนอม และคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเหนือความขัดแย้งทางการเมือง

'ดร.เอ้' ฝากการบ้าน ว่าที่ รมว.ศึกษาฯ- รมว.อุดมศึกษาฯ เน้น ‘คณิต- วิทย์- ภาษาอังกฤษ’ สร้างคนตอบโจทย์ศก. โลก

เมื่อวานนี้ (24 มิ.ย. 68) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ นักวิชาการ อดีตนายกสภาวิศวกร อดีตอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า…

'จดหมายเปิดผนึก' ถึง ว่าที่ 'รมว.ศึกษาธิการ' และ ว่าที่ 'รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม'

สถานการณ์การเมืองไทย ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจุดเปลี่ยนหลายประการ รวมทั้งการปรับครม. ซึ่งรวมถึง กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ 

ประเทศไทยใช้ 'รัฐมนตรีศึกษาฯ' เปลืองที่สุด เพราะ 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้รัฐมนตรีศึกษาฯ ไปเกือบ 20 คน พิสูจน์ 'ความไม่ใส่ใจ' และ 'ไม่ให้ความสำคัญ' กับการศึกษาไทย

ผมจึงขอแสดงความห่วงใย 3 ประการ ส่งไปถึง "ว่าที่รมว.ศึกษาธิการ" และ "ว่าที่รมว.อุดมศึกษาฯ" 

1. ทิศทางใหม่ "กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงเศรษฐกิจ"
ไทยกำลังเจอ 'วิกฤต' ทาง 'เศรษฐกิจ' ที่แข่งขันกันด้วยการผลิต และการบริการทางเทคโนโลยี 'มูลค่าสูง' หากไทยไม่ปรับตัว ไม่เรียนรู้ เราคงต้องรั้งท้ายแถวของเอเชีย

เพราะ โลกวันนี้ เน้นการสร้าง 'ทรัพยากรมนุษย์' ที่มีทักษะสูง เพื่อขับเคลื่อน 'อุตสาหกรรมใหม่' สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจเพิ่ม

ดังนั้น “การศึกษา คือ เศรษฐกิจ" ไม่ใช่แค่เพียง 'สวัสดิการสังคม' ประเทศใดให้การศึกษาที่ดี ประเทศนั้นย่อมมีพลเมืองเก่ง มี 'คุณภาพ' สร้างรายได้สูง คุณภาพชีวิตดี

ผู้นำกระทรวงศึกษาฯ และผู้นำกระทรวงอุดมศึกษาฯ  ต้อง 'ทำงานร่วมกัน' อย่างมี 'เป้าหมายเดียวกัน' คือ การสร้างคนไทยคุณภาพ ทันโลก แข่งขันได้ และมีความสุข

กระทรวงต้องสร้างความร่วมมือ 'รัฐและเอกชน' ในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ 'ปรับหลักสูตร' ทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย เพื่อตอบโจทย์ "เศรษฐกิจโลก" 

ทั้งต้อง 'จริงจัง' กับปัญหาความอ่อนแอ ด้าน "คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ" ของเด็กไทย เพื่อ 'ก้าวใหม่' ให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ที่วันนี้เข้าสู่ยุค AI ก่อนจะสายเกินไป กลายเป็น 'ผู้แพ้' ไม่ก้าวสู่ 'ประเทศพัฒนาแล้ว' เสียที

2. คิดใหม่ "การศึกษา คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต" 
"สังคมสูงวัย คือ เรื่องจริง" วิกฤตจริง เพราะคนวัยทำงานลดลง แต่มีภาระการดูแลสังคมมากขึ้น  หนทางแก้ไข คือ การยืดอายุวัยทำงาน ให้นานขึ้น เพราะ "ผู้สูงวัยยังมีคุณค่า" ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ทุกประเทศพัฒนาแล้ว เน้นการ 'เพิ่มทักษะใหม่' ให้แก่พลเมืองทุกวัย ยิ่งวันนี้ 'เด็กเกิดน้อย' โรงเรียนว่าง มหาวิทยาลัยว่าง เพราะจากข้อมูลปีนี้มีเด็กเกิดเพียงไม่ถึงห้าแสนคน หายไปกว่าครึ่งจากรุ่นพ่อแม่ ทั้งสถิติการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงที่ผ่านมา มีที่นั่งมากกว่าคนสมัครเข้าเรียน ทำให้กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ ใช้ทรัพยากร 'ไม่คุ้มค่า'

ดังนั้น โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ต้องปรับบทบาทจากการเรียนการสอนให้แก่เด็ก สู่การเรียนการสอน 'ผู้ใหญ่' ที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้คนวัยทำงาน และผู้สูงวัย ได้เข้ามาเรียน 'ทักษะใหม่' เพื่อทำงานได้ 

ทั้งการจ้างงาน 'ผู้สูงวัย' คือ เรื่องจำเป็น จะช่วยแก้ปัญหา 'สุขภาพ' จนถึงแก้ปัญหา 'รายได้' เพราะหากแข็งแรงขึ้น พึ่งพาตนเองได้ ก็ลดภาระของรัฐ

3. ความจริง "ครู คือ ศูนย์กลางของห้องเรียน" 
เพราะ ครู คือ ผู้นำ ครูดี เด็กก็ดี ครูมีความสุข เด็กก็มีความสุข ผมในฐานะ 'ลูกครู' และ 'ป็นครู' จึงเข้าใจ รู้ซึ้งว่า ชีวิตครูไทยนั้นไม่ง่าย 

สังคม 'คาดหวัง' กับครูได้ แต่ก็ต้อง 'สนับสนุนครู' อย่างเต็มที่ ด้วยเช่นกัน 

กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ มีหน้าที่ 'สนับสนุนครู อาจารย์' เพราะครูแต่ละระดับ ต้องดูแลเด็ก แตกต่างกัน 'ครูอนุบาล' เป็นเหมือนพ่อแม่ 'ครูประถม' ปลูกฝังพื้นฐาน 'ครูมัธยม' เตรียมเด็กสู่วิชาชีพ 'ครูอาชีวะ' สร้างทักษะอาชีพ 'ครูมหาวิทยาลัย' สร้างวิชาชีพขั้นสูง และวิจัยพัฒนา

ผู้นำกระทรวง จึงต้องเข้าใจครู ถึงจะสามารถผลักดันนโยบาย สู่การเปลี่ยนแปลงได้

ทั้งเรื่องปัญหา 'ภาระงานล้นครู' กลายเป็นครูต้องทำงาน 'โครงการ' ตามนโยบายใหม่ ของรัฐมนตรีใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนแทบทุกปี มากกว่า 'การสอนหนังสือ' และ 'การพัฒนาตนเอง'

แม้ว่า "การประเมินการเรียนการสอน" คือ สิ่งจำเป็น แต่ต้องประเมิน "สมรรถนะ" เน้นคุณภาพ มากกว่าปริมาณ คืนเวลาครูให้กับนักเรียน และคืนเวลาครูให้กับการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ ท่านว่าที่รัฐมนตรีศึกษาฯ และท่านว่าที่รัฐมนตรีอุดมศึกษาฯ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเพื่อ "ส่วนรวม" และขอให้ท่านตระหนักว่า ท่านกำลังทำหน้าที่เพื่อ 'ความอยู่รอด' ของลูกหลานไทย และชี้นำ 'อนาคตไทย' 

ททท. จัด 'คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ' ยิ่งใหญ่ พร้อมโชว์ Grand Moment ภาคเหนือ 

ททท. จัดยิ่งใหญ่ 'คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ' นำขบวนผู้ประกอบการ-สื่อมวลชนจีน/ไทย เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวภาคเหนือทางรถยนต์ โชว์ศักยภาพท่องเที่ยวภาคเหนือผ่านตำนานและ Grand Moment เมืองหลัก - เมืองน่าเที่ยว 17 จังหวัด

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)นำโดยนายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ และ นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน จัดกิจกรรม “คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ” ระหว่างวันที่ 10-26 มิถุนายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดการกระจายตัวการเดินทางท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว ผ่านการท่องเที่ยวในรูปแบบการขับรถ (self-drive) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวจีน ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศจีน ไทย ลาว ในด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม พร้อมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ สู่ชุมชนท้องถิ่นตลอดเส้นทางคาราวาน

ซึ่งในครั้งนี้ คณะคาราวานฯ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 150 คน พร้อมด้วยรถยนต์จำนวน 35 คัน โดยได้เริ่มต้นเดินทางในวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ตามเส้นทาง R3A เชื่อมโยงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (คุณหมิง-สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน),  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศไทยในพื้นที่ 17 จังหวัดภูมิภาคภาคเหนือ 

“คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ” เป็นการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนสู่ประเทศไทยผ่านเส้นทางรถยนต์ เข้าสู่ภาคเหนือซึ่งนับว่าเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนอีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอมุมมองทางการท่องเที่ยวใหม่ที่จะเปิดประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวที่น่าจดจำและแตกต่างออกไปจากเดิม 

โดยกิจกรรมคาราวานดังกล่าวได้นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวภาคเหนือ ภายใต้แนวคิด “เที่ยวตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ” ผ่านการบอกเล่าเรื่องราว (story telling) อันน่าประทับใจ ได้แก่ ตำนานพระแก้วมรกต ณ วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย ตำนานไทลื้อ ณ วัดแสนเมืองมา จังหวัดพะเยา ตำนานกระซิบรักปู่ม่าน ย่าม่าน ณ วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน ตำนานบ้านเก่า เมืองแพร่ ณ วัดจอมสวรรค์และคุ้มวงศ์บุรี จังหวัดแพร่ 

ตำนานเมืองลับแล ณ ซุ้มประตูเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำนานพระอจนะพูดได้ ณ วัดศรีชุม อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ตำนานเมืองสองแคว ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก ตำนานเมืองชาละวัน  ณ บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ตำนานเมืองโบราณศรีเทพ ณ โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตำนานปากน้ำโพ ณ พาสาน - อาคารสัญลักษณ์ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ ตำนานแม่น้ำสะแกกรัง ล่องเรือชมชุมชนชาวแพสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ตำนานชั่วฟ้าดินสลาย ณ วัดพระบรมธาตุนครชุม จังหวัดกำแพงเพชร 

ตำนานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ วัดสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วัดดอยข่อยเขาแก้ว) จังหวัดตาก ตำนานเขลางค์นคร ณ วัดไชยมงคล (วัดจองคา) จังหวัดลำปาง ตำนานพระนางจามเทวี ณ วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน ตำนานสมเด็จพระสุพรรณกัลยา ณ วัดน้ำฮู จังหวัดแม่ฮ่องสอน และตำนานเจ้าดารารัศมี ณ วัดป่าดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่ 

นอกจากนี้ ภายในเส้นทางดังกล่าว ภูมิภาคภาคเหนือ ยังได้นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวตามเส้นทาง Grand Moment ที่มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำและมีความหมายสำหรับนักท่องเที่ยว พร้อมกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น Grand Experience กับการขับรถชมทิวทัศน์อันตระการตาบนเส้นทางคดเคี้ยวของภาคเหนือ และดื่มด่ำกับบรรยากาศล้านนา Grand Destination กับการเยือนแหล่งมรดกโลก สัมผัสความงดงามของวัดวาอาราม รวมทั้งสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน และ Grand Delight กับการลิ้มลองอาหารพื้นเมืองหลากหลายเมนูจากแต่ละท้องถิ่น การเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านอันประณีตเป็นของฝาก และการได้สัมผัสไมตรีจิตอันอบอุ่นของผู้คนในภาคเหนือ โดยแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ ในเส้นทาง Grand Moment ที่นำเสนอ

ในกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วย วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย กว๊านพะเยา วัดนันตาราม จังหวัดพะเยา ถนนสายหม้อห้อม จังหวัดแพร่ อนุสาวรีย์ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี วัดอาวาสใหญ่ วัดพระสี่อิริยาบถ วัดช้างรอบ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร วัดพระธาตุลำปางหลวง และกิจกรรมนั่งรถม้าชมเมือง จังหวัดลำปาง สะพานประวัติศาสตร์ปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ฯลฯ

‘ผู้พันเบิร์ด’ แฉ ‘กัมพูชา’ ตัดไฟไทยเพียง 3 จุด ยังเหลืออีก 6 จุด จากทั้งหมด 9 จุดชายแดน

(24 มิ.ย. 68) พล.ต.วันชนะ สวัสดี หรือ ‘ผู้พันเบิร์ด’ ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงฯ ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีกัมพูชาประกาศตัดไฟจากฝั่งไทย โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้ประเทศไทยส่งไฟฟ้าให้กัมพูชาผ่าน 9 จุดชายแดน ทั้งในจังหวัดสุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด

อย่างไรก็ตาม กัมพูชาตัดการรับไฟฟ้าไปเพียง 3 จุดเท่านั้น ได้แก่ จุดคลองลึก-ปอยเปต, วงจร 2 ที่คลองลึก-ปอยเปต และหาดเล็ก-เกาะกง ขณะที่จุดอื่น ๆ อีก 6 จุด ยังคงจ่ายไฟตามปกติ สะท้อนว่ากัมพูชายังพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยในหลายพื้นที่

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานของกัมพูชาเคยเปิดเผยว่า ราว 25% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศต้องนำเข้าจากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะไทยและเวียดนาม แม้ในช่วงหลังจะมีการลงทุนเพิ่มในโรงไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการโดยรวม

‘ทหารไทย’ เปิดด่านฉุกเฉินช่วยผู้ป่วย ‘กัมพูชา’ ส่งรักษาด่วน รพ.กรุงเทพจันทบุรี ตอนตี 5

(24 มิ.ย. 68) เมื่อเวลา 05.00 น. กองร้อยทหารพรานนาวิกโยธินที่ 524 ฐานปฏิบัติการบ้านแหลม จ.จันทบุรี ได้รับการประสานจากฝ่ายกัมพูชา ขอความช่วยเหลือด่วนในการเปิดด่านชายแดนเพื่อส่งตัวผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารักษาในฝั่งไทย

ผู้ป่วยคือ นางเอ็ต มอม อายุ 78 ปี ซึ่งมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง และเป็นญาติของพันเอก ยิน ซังเฮง หน่วยงานชายแดนของกัมพูชา โดยมีผู้ติดตามอีก 3 คน เดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคลจากฝั่งกัมพูชาผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม ต.เทพนิมิตร อ.โป่งน้ำร้อน

ทั้งนี้ ปลายทางของผู้ป่วยคือโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี อ.เมืองจันทบุรี เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยเจ้าหน้าที่ทหารไทยได้อำนวยความสะดวกตลอดกระบวนการผ่านแดนอย่างเรียบร้อย

โดยเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงน้ำใจและความร่วมมือด้านมนุษยธรรมระหว่างไทย-กัมพูชา แม้ในสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียด ทหารพรานนาวิกโยธินไทยยังยึดหลักความเมตตา ช่วยเหลือเพื่อนบ้านในยามวิกฤตอย่างเต็มที่

ประกาศใหม่จาก กสทช. ตัด ‘ฟุตบอลโลก 2026’ ออกจากกฎ Must Have ที่ต้องให้คนไทยชมฟรี

(24 มิ.ย. 68) ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศฉบับใหม่ของ กสทช. เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ว่าด้วย “หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป (ฉบับที่ 2)” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎ Must Have” ซึ่งลงนามโดย ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.

ประกาศฉบับนี้มีการยกเลิกภาคผนวกเดิมจากปี 2555 และใช้รายชื่อรายการใหม่แทน โดยเน้นย้ำให้ประชาชนสามารถรับชมรายการกีฬาสำคัญระดับชาติและนานาชาติผ่านฟรีทีวีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์สำคัญคือ “ฟุตบอลโลก 2026” ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในรายชื่อรายการที่ต้องออกอากาศผ่านฟรีทีวีอีกต่อไป

รายการกีฬาที่ ยังคงอยู่ภายใต้กฎ Must Have ได้แก่ ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชียนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์ ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของ กสทช. ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงการแข่งขันกีฬาที่เกี่ยวข้องกับนักกีฬาชาติไทยเป็นหลัก

ทั้งนี้ กฎ Must Have ทำงานร่วมกับกฎ Must Carry ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการทีวีทุกระบบ ต้องถ่ายทอดสัญญาณฟรีทีวีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถรับชมรายการสำคัญได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในเหตุการณ์ที่มีความสำคัญระดับประเทศและระดับภูมิภาค

ปั๊มน้ำมันกัมพูชาหลายแห่ง ขึ้นป้าย ‘น้ำมันหมด’ หลังจาก ‘ฮุน มาเนต’ สั่งห้ามนำเข้าจากไทย

เมื่อวันที่ (23 มิ.ย. 68) เพจ 'Army Military Force – สำรอง' ได้เผยแพร่ภาพปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในกัมพูชา ที่ขึ้นป้ายแจ้งว่า “น้ำมันหมดแล้ว” ท่ามกลางสถานการณ์ที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากประเทศไทยโดยทันที ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 22 มิถุนายน

ฮุน มาเนต ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า การระงับนำเข้าน้ำมันจากไทยเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชาโดยเด็ดขาด พร้อมย้ำว่า กัมพูชามีศักยภาพเพียงพอในการจัดหาเชื้อเพลิงจากแหล่งอื่น เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย โดยไม่ได้จำกัดเพียงแค่ “น้ำมันสำรอง 1 เดือน” แต่ยืนยันว่ารัฐบาลสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ “ตลอดไป”

อย่างไรก็ตาม หลังคำสั่งมีผล ราคาน้ำมันในกัมพูชาพุ่งสูงทันที เบนซิน 95 ขึ้นไปอยู่ที่ 48–50 บาท/ลิตร ขณะที่ดีเซลอยู่ที่ประมาณ 38–40 บาท/ลิตร ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนในหลายพื้นที่ และประชาชนเริ่มตื่นตระหนก ขับรถข้ามแดนมาเติมน้ำมันฝั่งไทยเพื่อกักตุนล่วงหน้า โดยเฉพาะในบริเวณตลาดโรงเกลือและด่านคลองลึก จ.สระแก้ว

แต่ในวันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 1 ได้สั่งปิดด่านชายแดนทุกจุด ทำให้ชาวกัมพูชาไม่สามารถข้ามมายังฝั่งไทยได้อีก ส่งผลให้วิกฤตน้ำมันยิ่งทวีความรุนแรง

“พล.ต.อ.กรไชยฯ” มอบอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน และทุนการศึกษา แก่โรงเรียนวัดตรีทศเทพ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาแก่เยาวชน

(23 มิ.ย. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะ เดินทางไปมอบอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน และทุนสนับสนุนการศึกษา ให้แก่โรงเรียนวัดตรีทศเทพ ถนนประชาธิปไตย แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมี นางสาวกานต์พิชชา ทุมดี ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนวัดตรีทศเทพ พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ให้การต้อนรับ

พล.ต.อ.กรไชยฯ กล่าวว่า ด้วยรากฐานของบ้านคืออิฐ รากฐานของชีวิตคือการศึกษา วันนี้จึงได้นำอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน สีไม้ สีเทียน ดินน้ำมันเบา พร้อมด้วยทุนสนับสนุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท มอบให้แก่โรงเรียนวัดตรีทศเทพ เพื่อเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการศึกษา ให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านการศึกษา ตลอดจนการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กรไชยฯ และคณะ ได้เยี่ยมชมภายในบริเวณโรงเรียน อีกทั้งได้นำไอศกรีมมามอบให้แก่นักเรียนด้วย

‘กัณจุฑา’ นักสู้ไทย ซับมิชชันคู่แข่งซิวทองโลก MMA ประวัติศาสตร์ใหม่!!..ไทยกวาดรวม 3 เหรียญ ที่เซาเปาโล

(23 มิ.ย. 68) สมาคมกีฬามิกซ์มาเชียลอาร์ตแห่งประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีกับ “แอมป์” กัณจุฑา ภัทรบุญซ้อน นักกีฬาหญิงทีมชาติไทย รุ่น 52.2 กิโลกรัม หลังคว้าเหรียญทองแรกให้กับไทย ในศึก GAMMA World Championship 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16–22 มิถุนายน ที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล

โดยในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ แอมป์ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยยกแรกออกอาวุธคุมเกมได้อยู่หมัด กรรมการทั้ง 3 คนให้คะแนน 10:9 อย่างเป็นเอกฉันท์ และในยกที่ 2 ปิดเกมได้อย่างสวยงามด้วยท่า Submission Guillotine Lock ทำให้นักกีฬาจากสวีเดนต้องยอมแพ้

ผลงานของทีมชาติไทยไม่ได้หยุดแค่เหรียญทอง เพราะยังคว้าอีก 2 เหรียญทองแดงจาก “น้องตูน” ณัฐณา บุญยืน ในรุ่น 52.2 กก. (MMA Striking) และ “น้องเคนเนธ” นาธาน ทองสงค์ รุ่น 93 กก. ยู-21 (MMA) ทำให้ไทยจบรายการด้วย 1 เหรียญทอง และ 2 เหรียญทองแดง

สำหรับทีมนักกีฬามิกซ์มาเชียลอาร์ตทีมชาติไทย มีกำหนดเดินทางกลับถึงประเทศไทย วันที่ 25 มิถุนายน 2568 เวลา 12.00 น.

‘กองทัพบก’ แจงปมนักปั่นเที่ยว ‘ปราสาทตาเมือนธม’ ยันไทยมีอธิปไตยเหนือพื้นที่เข้าชมได้เสรีไม่จำกัดเวลา

(23 มิ.ย. 68) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงกรณีคณะนักปั่นจักรยานชาวไทยเข้าเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม หลังโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยยืนยันว่า ไทยใช้อำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมมาโดยตลอด ตามหลักฐานภูมิศาสตร์และการบริหารของราชการไทย

กองทัพบกยังยืนยันว่า ไทยเคารพข้อตกลงและความร่วมมือเสมอมา และพร้อมแก้ไขปัญหาผ่านกลไกหารือร่วมกัน แม้ระยะหลังกัมพูชาจะลดท่าทีความร่วมมือลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังยืนยันว่า ได้แจ้งข้อมูลต่อชุดประสานงานของกัมพูชาล่วงหน้า ก่อนนำคณะนักปั่นเข้าพื้นที่ และการเข้าชมของคนไทยสามารถทำได้โดยเสรี ไม่จำกัดเวลา ซึ่งข้อจำกัดเวลา 09.00-15.00 น. นั้น ใช้กับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่ไทยอนุโลมให้เข้าชมเท่านั้น

โฆษกกองทัพบกย้ำว่า การสื่อสารเป็นไปตามข้อเท็จจริง และกองทัพบกจะปกป้องอธิปไตยไทยอย่างดีที่สุด ภายใต้รัฐธรรมนูญและกลไกรัฐบาล พร้อมยึดหลักสันติวิธี เพื่อรักษาเสถียรภาพและสันติภาพชายแดนร่วมกันอย่างยั่งยืน 

กมธ. อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ด่านศุลกากรเชียงของ กำชับคุมเข้มสินค้าไม่ได้ มอก.- ขยะอิเล็กทรอนิกส์

กมธ.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ด่านศุลกากรเชียงของ ตรวจติดตามมาตรการป้องกันการลักลอบนำเข้า "สินค้าไม่ได้ มอก.- ขยะอิเล็กทรอนิกส์"  เน้นย้ำนายด่านตรวจสินค้าอย่างละเอียด 

(23 มิ.ย. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้เดินทางไปยังด่านศุลกากรเชียงของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อตรวจติดตามการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมที่ผิดกฎหมายและไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม(มอก.) มาจัดจำหน่ายในประเทศไทย โดยทางคณะกรรมาธิการฯ ได้พบปะหารือกับนางกนกวรรณ สุขศิริ นายด่านศุลกากรเชียงของ เกี่ยวกับการตรวจตราและติดตามมาตรการป้องกันสินค้าที่ไม่ได้ มอก. เข้ามาจำหน่ายในไทย โดยทางนายด่านก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวของทางกรมศุลกากรโดยละเอียด พร้อมย้ำว่าทางกรมศุลกากรมีการตรวจสินค้าที่ผ่านด่านอย่างละเอียดตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด โดยสินค้าที่จะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้จะต้องมีเอกสารรับรองและผ่านการตรวจสอบตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญต้องได้รับการรับรอง มอก. ด้วย เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคทุกคน

อย่างไรก็ดี คณะ กมธ.อุตสาหกรรม มีความเป็นห่วงในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากในปัจจุบันทางกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตรวจพบสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. ซึ่งลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อันส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้งานของพ่อแม่พี่น้อง ทั้งนี้ช่องทางการขนส่งทางบกจัดเป็นช่องทางสำคัญในการขนถ่ายสินค้าดังกล่าว โดยเฉพาะที่ลำเลียงผ่านช่องผ่านด่านมาจากประเทศจีน

“คณะ กมธ. อุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำผ่านทางนายด่านศุลกากรเชียงของไปว่า ขอให้กรมศุลกากรและด่านกรมศุลกากรทุกด่านตรวจตราสินค้าอย่างเคร่งครัดต่อไป เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคทุกคน พร้อมเน้นย้ำอีกเรื่องที่สำคัญคือขอให้ตรวจสอบขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มักมีการขนส่งมาทางเรือเข้าประเทศเพื่อนบ้านก่อนส่งต่อมาทางบกเข้าชายแดนไทย ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังสร้างมลพิษและอันตรายต่อประเทศไทยเป็นอย่างมากด้วย” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top