Friday, 19 April 2024
NEWS

สืบนครบาล ตามรวบใหญ่บางเขน เจ้าของเพจขายรถมือสอง นำรถที่ยังติดไฟแนนซ์มาขายให้ผู้เสียหาย

จากนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เร่งทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา ตามหมายจับเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการฉ้อโกลหลอกลวงประชาชนในสื่อสังคมออนไลน์

โดยเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.ฯ , พ.ต.อ.วิชิต  ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1ฯ,พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1ฯ ,พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.สส.1ฯ    พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.สส.1ฯ พร้อมชุดปฎิบัติการที่ 2ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ศศรินทร์ หรือใหญ่ อายุ 34 ภูมิลำเนา ถ. พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. บุคคลตามหมายจับศาลอาญามีบุรี ที่ 660/2566 ลง 28 มิ.ย.2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ” จับกุมได้ที่บริเวณปากซอยแจ้งวัฒนะ 1 แยก 6 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.

พฤติการณ์ในคดี ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้ติดต่อทางแอปพลิเคชั่นไลน์กับผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาใช้ไลน์ชื่อ Rin Ben ซึ่งเป็นพนักงานขายรถยนต์(เซลล์)ได้เสนอขายรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ Cls 250 ปี2012 ดีเซล ราดา 1,259,000 บาท ผู้เสียหายได้ตกลงซื้อ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2565 ผู้ต้องหานัดหมายให้ผู้เสียหายไปทำสัญญาซื้อขายรถที่ศุนย์อาหารแถววัชรพล ตกลงกันโดยผู้เสียหายได้มอบรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์รุ่น S300 ราดา 80.,000 บาท คงค้างชำระอีกจำนวน 450,000 บาท และผู้ต้องหาได้มอบรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์รุ่น CIs 250 ปี 2012 ให้กับผู้เสียหาย ต่อมาผู้เสียหายได้ชำระส่วนที่เหลือให้ผู้ต้องหาโดยการโอนเข้าบัญชีผู้ต้องหาจำนวน 3 ครั้ง รวมจำนวน 200,000 บาท คงเหลือค้างชำระอีกจำนวน 250,000 บาท ซึ่งผู้เสียหายจะชำระให้แต่ไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้ ผู้เสียหายจึงได้ติดต่อกับ ชื่อผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว จึงทราบว่ารถยนต์ดันดังกล่าวยังค้างค่างวดกับธนาคาร เป็นเงิน 1,209,438.23 บาท จึงเชื่อว่าถูกผู้ต้องหาหลอกลวง และได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน

จากการตรวจสอบประวัติจากฐานข้อมูลระบบ พบผู้ต้องหาเคยมีคดีดังนี้
1. ปี 2564 คดีฉ้อโกง ของ สภ.บางบัวทอง
2. ปี 2565 คดีพรบ.เช็ค เจตนาที่จะไม่มีให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ของ สน.วังทองหลาง
3. ปี 2566 คดีฉ้อโกง ของ สน.คันนายาว (ในคดีที่ถูกจับนี้)

จากนั้นได้นำส่งพนักงานสอบสวน  สน. คันนายาว เพื่อเนินคดีตามกฎหมายและส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ขอฝากเตือนภัยไปยังประชาชน หากซื้อรถมือสองโดยไม่ทราบที่มา หรือรถที่มีการประกาศขายลักษณะเป็นการโอนลอย ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นรถหนีไฟแนนซ์ หรือรถที่ถูกโจรกรรมมา ซึ่งผู้ซื้อรถมีความเสี่ยงถูกดำเนินคดีความผิดทางอาญาข้อหายักยอกทรัพย์หรือรับของโจร วิธีที่ง่ายและถูกต้องตามกฎหมาย ควรซื้อรถจากเจ้าของโดยตรง แล้วโอนกรรมสิทธิ์ชื่อครอบครองเป็นของตนให้ถูกต้อง

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj'

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ว่า…

"ขอเล่าในฐานะที่อยู่คณะกก.Film Board ซึ่งดูแลหนังต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำในไทย

"คือมีกฎอันนึง เราจะให้เขาเลี่ยง ไม่ให้ถ่ายติดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ เพราะไม่ต้องการให้เกิดประเด็นที่อาจทำให้กระทบสถาบันในทางตรงหรือทางอ้อมในภายหลังได้ ซึ่งคิดว่าหนังไทยก็คงหลักการคล้ายกัน

"ดูหนังเอาสาระดีกว่าครับ!"

มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ โดย ร.ต.ท.ดร.มนัส โนนุช ประธานมูลนิธิฯ จัดพิธีสรงน้ำหลวงพ่อเงิน วัดคุณพุ่ม

มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ร่วมกับวัดคุณพุ่ม จัดพิธีสรงน้ำหลวงพ่อเงิน  ในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 โดยมี ร.ต.ท.ดร.มนัส โนนุช ประธานมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์  เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ท่านพระมหาปฏิทาน ลกขสุวณณโสภโณ เจ้าอาวาสวัดคุณพุ่มเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในโอกาสนี้ ได้รับเกียรติจาก นายภูวนาท สุวรรณพรม นายอำเภอบึงนาราง  นายธรรมนูญ เทศอินทร์ กำนันตำบลบางลาย และนายสุรพล เนตรแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางลาย ร่วมในพิธี ท่ามกลางประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียงมาร่วมงานอย่างมากมาย 

โดยพิธีประกอบด้วย การสวดเจริญพุทธมนต์ ของพระสงฆ์ 9 รูป มีรำถวายหลวงพ่อเงินจากนักเรียนโรงเรียนบึงนาราง เสร็จแล้วนายอำเภอบึงนาราง , นายกอบต.บางลาย , กำนันบางลาย , นายสรรเสริญ จันทรมณี , นายไกรเดช บุนนาค นายจรัส พิบูลย์ปุญญโชติ , ดร.สุรวดี สุวรรณเกต นำประชาชน สรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำรูปหล่อหลวงพ่อเงิน และสรวงน้ำพระสงฆ์ 9 รูป จากนั้น ได้ร่วมกันมอบเสื้อสงกรานต์ ให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน เป็นอันเสร็จงานเทศกาลสงกรานต์  2567 ของวัดคุณพุ่ม วัดแห่งความกตัญญู จังหวัดพิจิตร 

ผู้ช่วย ผบ.ตร. รุดเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ที่ รพ.พระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี ก่อนบินตรวจสภาพการจราจรขาเข้า ภาพรวมไม่มีปัญหา

วันนี้ (17 เมษายน 2567) เวลา 15.00 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อภิรักษ์ เวชกาญจนา ผบก.ภ.จว.ลพบุรี , พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล.และ พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์ คูสิทธิผล รอง ผบก.ทล. เดินทางไปที่โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี เพื่อเยี่ยมและมอบสิ่งของเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ ด.ต.ปิยนันท์ สีเสื้อ ผบ.หมู่ ส.ทล.3 กก.1 บก.ทล. ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนขณะปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางกลับจากภูมิลำเนาในเทศกาลปีใหม่ เมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 18.10 น. บริเวณถนนหมายเลข 21 กม.23+4 ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และได้เยี่ยม ด.ต.ชัยยุทธ์ สุจริต ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เมืองลพบุรี ปฏิบัติหน้าที่งานจราจร ซึ่งได้รับบาดเจ็บประสบอุบัติเหตุจากการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 14.40 น. ขณะอำนวยความสะดวกด้านการจราจร บริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ ต.ท่าศาลา อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี ได้พบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยว่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมาย โดยเมื่อผู้ขับขี่จักรยานยนต์ต้องสงสัยดังกล่าวพบ ด.ต.ชัยยุทธ์ฯ ได้ขับรถหลบหนี ซึ่ง ด.ต.ชัยยุทธ์ฯ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ติดตาม เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุมีรถจักรยานยนต์อีกคันเลี้ยวตัดหน้า ทำให้ชนกับรถจักรยานยนต์ของ ด.ต.ชัยยุทธ์ฯ ที่ขับขี่มา จึงเป็นเหตุให้ ด.ต.ชัยยุทธ์ ฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัส 

จากนั้น พล.ต.ท.กรไชยฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์บินตรวจสภาพการจราจรบริเวณ จ.สระบุรี ถนนพหลโยธิน ทางหลวงหมายเลข 1 ช่วง ต.หินกอง อ.หนองแค - สะพานต่างระดับสระบุรี พบว่ามีปริมาณรถมาก สภาพการจราจรปกติ / ถนนมิตรภาพ ทางหลวงหมายเลข 2 อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ช่วงแก่งคอย - โรงปูนซีเมนต์ มีปริมาณรถมาก แต่สภาพการจราจรยังเคลื่อนตัวปกติ , ช่วงเนินโค้งซิกแซก ตำรวจทางหลวงได้เปิดช่องทางพิเศษ สภาพการจราจรถมากเคลื่อนตัวได้ , ช่วง อ.มวกเหล็ก ปริมาณรถมาก รถชะลอตัว แต่ยังเคลื่อนตัวได้ / ถนนสายเอเชีย ทางหลวงหมายเลข 32 บริเวณต่างระดับสิงห์บุรี ปริมาณรถมาก แต่ยังเคลื่อนตัวได้ดี / ถนนมอเตอร์เวย์ ลำลูกกา - บางปะอิน ทางหลวงหมายเลข 9 สภาพการจราจรปกติ

ทั้งนี้ ตำรวจทางหลวงได้มีการเปิดช่องทางพิเศษบริเวณ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา กม.74 ซึ่งเป็นจุดก่อสร้างสะพานกลับรถ เพื่อระบายรถที่จะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ส่วนสายอีสาน เปิดช่องทางพิเศษ 3 ช่องทาง คือ M6 ทางเชื่อมถนนมิตรภาพ กม.67 เข้า กม.68 , บริเวณฟาร์มโชคชัย และเนินกลางดง เข้า กม.31 ออกที่ อ.ทับกวาง คาดว่าจะสามารถระบายรถได้ภายในเที่ยงคืนของวันนี้ ส่วนสายเหนือ จ.นครสวรรค์ พบว่ารถมีปริมาณมากแต่ยังเคลื่อนตัวได้ ยังไม่มีการเปิดช่องทางพิเศษ เพราะการจราจรยังใช้การได้ดี ส่วนสายตะวันตก และสายใต้ การจราจรปกติ

สรุปผลโครงการ 'รักษ์หัวใจเด็ก (น้อย) ข้ามโขง' อัตราการรอดชีวิต 100% ฟาก 'รพ.จุฬาฯ' พร้อมส่งเด็กวัย 1 ปี 1 เดือน กลับหลวงพระบางพรุ่งนี้

(17 เม.ย. 67) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอกและหัวใจ ศูนย์กู้ชีพ ฝ่ายเวชศาสตร์ฉุกเฉิน พร้อมด้วยทีมแพทย์ พยาบาล ประกอบด้วย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ และ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ น.พ.จุล นำชัยศิริ ศัลยแพทย์ทรวงอก หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอกและหัวใจ น.พ.พีระพัฒน์ มกรพงศ์ ศัลยแพทย์ทรวงอก เลขาธิการมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก ผศ.น.พ.วิทวัส ลออคุณ หัวหน้าหน่วยกุมารโรคหัวใจ ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ พญ.กัญญลักษณ์ วิเทศนสนธิ กุมารแพทย์โรคหัวใจ และ มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก นพ.ธนดล โรจนศานติกุล หัวหน้าศูนย์กู้ชีพ ฝ่ายเวชศาสตร์ฉุกเฉิน

ร่วมแถลงความสำเร็จของทีมแพทย์กับภารกิจ ความร่วมมือในโครงการ ‘รักษ์หัวใจเด็ก (น้อย) ข้ามโขง’ ความร่วมมือระหว่างสภากาชาดไทย, รพ.จุฬา, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ, มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก, มูลนิธิเกื้อฝันเด็ก และ สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข สปป.ลาว และ รพ.มะโหสด พร้อมเตรียมส่งตัวน้องบอย (นามสมมติ) เด็กน้อยวัย 1 ปี 1 เดือน ที่ผ่าตัดสำเร็จกลับเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ในวันที่ 18 เมษายนนี้

ด้าน รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวว่า ความเป็นมาของโครงการ ‘รักษ์หัวใจเด็ก (น้อย) ข้ามโขง’ เริ่มหารือกันครั้งแรกกับฝ่ายลาว เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 เนื่องในโอกาสที่ ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักบริหารวิชาการสุขภาพโลก (School of Global Health) และผู้ช่วยเลขาธิการเอกอัครราชทูตฯ เพื่อต่อยอด โครงการจัดการอบรมเฉพาะด้านการดูแลผู้ป่วยเด็กในระยะวิกฤต (Pediatric Intensive Care) มีโอกาสหารือกับ นพ.ไคสี ลาดซะวง รองผู้อำนวยการ รพ.มะโหสด (ดูแลผู้ป่วยเด็กและฉุกเฉิน) และทราบว่า รพ.มะโหสด เป็นศูนย์โรคหัวใจเฉพาะทางแห่งเดียวของ สปป.ลาว ซึ่งยังต้องการบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษาโรคหัวใจเด็ก โดยเฉพาะการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจเด็ก

รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวต่อว่า ต่อมาสถานเอกอัครราชทูตฯ จึงติดต่อมาที่ น.พ.พีระพัฒน์ มกรพงศ์ กรรมการและเลขานุการของมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก พร้อมทั้งหารือกับตน และมูลนิธิเกื้อฝันเด็ก นำมาสู่การริเริ่มโครงการรักษ์หัวใจเด็ก (น้อย) ข้ามโขงด้วยการสนับสนุน อย่างเต็มกำลังจากทุกหน่วยงาน

“คณะทำงานได้เริ่มประชุมหารือตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2566 เพื่อขับเคลื่อนโครงการนี้ ทีมแพทย์ออกหน่วยตรวจคัดกรองผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดของ สปป. ลาว เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2566 จากการคัดกรองผู้ป่วยเด็กจำนวน 92 ราย พบว่า ในจำนวนนี้ มีเด็ก 37 ราย ที่มีความจำเป็นต้องนำไปผ่าตัดรักษาที่ประเทศไทย และมีเด็ก 3 ราย มีความจำเป็นต้องนำตัวไปผ่าตัดที่ รพ.จุฬาฯ และหนึ่งในนั้นคือ น้องบอยเด็กชายวัย 10 เดือน (อายุในขณะนั้น) ปัจจุบันอายุ 1 ปี 1 เดือน

ทีมแพทย์พบว่าเด็กมีอาการเส้นเลือดหัวใจสลับห้องกัน มีรูรั้วที่ผนังห้องหัวใจ มีอาการตัวเขียวจากภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งขณะนั้นน้องบอยมีน้ำหนักเพียง 3 กิโลกรัมเท่านั้น ทีมแพทย์จึงลงความเห็นว่าจำเป็นต้องนำตัวมาผ่าตัดที่ รพ.จุฬาฯ อย่างเร่งด่วน หลังการผ่าตัดผ่านไปจนถึงขณะนี้เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว เด็กมีอาการคงที่ ร่างกายแข็งแรงจากเดิมเป็นอย่างมาก

ทีมแพทย์จึงเห็นสมควรว่า เด็กมีความพร้อมที่จะเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงพระบางแล้ว ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ (18 เม.ย.67) ทางทีมแพทย์จะส่งตัวเด็กกลับไปที่หลวงพระบาง โดยการสนับสนุนเครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส” รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว

นอกจากนี้ รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวว่า นอกจากนั้น ในโครงการ ‘รักษ์หัวใจเด็ก(น้อย) ข้ามโขง’ คณะแพทย์ของ รพ.จุฬาฯ และทีมงาน Global Health ได้หารือกับคณะแพทย์ของ รพ.มะโหสด เรื่องแนวทางความร่วมมือและการสนับสนุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ของ สปป.ลาว ให้สามารถผ่าตัดหัวใจเด็กได้ภายใน 5 ปี ในเบื้องต้น คณะแพทย์ของ รพ.จุฬาฯ เห็นว่า ควรสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของหอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก และพิจารณาเรื่องการให้ทุนแก่บุคลากรเพื่อเพิ่มพูนทักษะสำหรับการดูแลผู้ป่วยเด็กและทุนการศึกษาสำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไปอย่างเต็มกำลังจากทุกหน่วยงานข้างต้น

“สรุปผลการดำเนินโครงการ ‘รักษ์หัวใจเด็ก(น้อย) ข้ามโขง’ ผู้ป่วยที่รอคิวผ่าตัดจำนวน 37 ราย (มีผู้ป่วยเสียชีวิตระหว่างรอผ่า 2 ราย ) ผ่าตัดที่ รพ.จุฬาฯ 2 ราย ทั้ง 2 คน อาการปลอดภัยดี และผ่าตัดที่ รพ.เกษมราฎร์ ประชาชื่น 27 ราย ทุกคนที่ผ่าตัดอาการปลอดภัยดี เท่ากับว่าเด็กที่เข้าโครงการและได้รับการผ่าตัด มีอัตรการรอดชีวิต 100% ยังเหลือเด็กที่รอผ่าตัดอีก 11 ราย” รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว

ปลื้มปริ่ม!! ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจ’ อาสาพา ‘ตายาย’ ข้ามถนน ฟากคุณตาซึ้งใจ เป่าแคนเพื่อขอบคุณ ทำตำรวจถึงกับเต้นตาม

(17 เม.ย.67) ทำเอาชาวเน็ตยิ้มไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว เมื่อผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ superboy_191 ได้โพสต์คลิป พร้อมระบุข้อความว่า “เราต้องรู้จักอดทน อดกลั้น และหักห้ามใจตัวเองให้ได้ ไม่งั้นอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดอย่างในคลิปที่เห็น!!”

ซึ่งในคลิปปรากฏเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพาคุณตาซึ่งเป็นคนตาบอด และคุณยายที่มาด้วยกันข้ามถนน

ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ความพิเศษในสถานการณ์นี้คือ พอข้ามถนนมาอีกฝั่งได้ คุณตาก็เสนอเป่าแคนให้ฟัง เพื่อเป็นการขอบคุณที่ตำรวจพาข้ามถนน และที่ทำเอาชาวเน็ตยิ้มไม่หุบกว่าเดิมคือ คุณตาเป่าแคน คุณยายตบมือเข้าจังหวะ ส่วนคุณตำรวจกำลังยืนเต้นเข้าจังหวะกันอย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวได้รับความสนใจและมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งท็อปคอมเมนต์ในคลิปได้เมนต์ว่า “ไม่มีใครที่จะปฏิเสธหมอลำได้”

นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ดังนี้

“ช่วงสงกรานต์มานี้เราเห็นมุมน่ารัก ๆ ของตำรวจเยอะมาก”
“‘เป็นน้ำใจเล็กน้อยของคุณตา”
“คนไทย = ตามน้ำไปได้เรื่อย ๆ 55555 ชอบบบบ”
“คูมตำหมวดบอกขอจักหน่อยแน ทำงานบ่ได้หยุดกะเขา” (ขอสักหน่อยได้ไหม ทำงานไม่ได้หยุดกับเขา)
“เรียบร้อย อารมณ์คงคิดฮอดบ้านแหละ อ้ายตำรวจ”

‘รพ.ราชพิพัฒน์’ เชิดชูเกียรติ ‘พว.นลินทิพย์ แซ่ลี้’  บริจาคอวัยวะ ช่วยต่อลมหายใจผู้ป่วยได้ 5 ชีวิต

(17 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊กของ ‘โรงพยาบาลราชพิพัฒน์’ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟชบุ๊ก ‘โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ สำนักการแพทย์ กทม.’ ระบุข้อความว่า…

“โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ขอไว้อาลัยและเชิดชูเกียรติ แด่ พว.นลินทิพย์ แซ่ลี้ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาลห้องตรวจโรคเฉพาะทาง โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ พว.นลินทิพย์ แซ่ลี้ ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ด้วยความเสียสละและความรับผิดชอบ จนได้รับคำชื่นชมจากผู้รับบริการมาโดยตลอด”

นอกจากนี้ยังระบุเพิ่มว่า “การจากลาอย่างไม่มีวันกลับ แต่เจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือผู้คนยังคงอยู่ กุศลจากผู้ให้ สร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผู้รับ โดยได้บริจาคหัวใจ, ไต 2 ข้าง, ม้าม และหลอดเลือดดำอุ้งเชิงกราน ต่อลมหายใจอีก 5 ชีวิต ในวันนี้ (15 เมษายน 2567) คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ บุคลากรโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ร่วมไว้อาลัยและเชิดชูเกียรติ ขอกุศลแห่งบุญในครั้งนี้ ส่งดวงวิญญาณสู่สัมปรายภพ พวกเราระลึกถึงความดีงามและความเสียสละตลอดไป”

'เพจดัง' ชี้!! ค่าไฟแพงพออยู่แล้ว หลังคนกระหน่ำใช้ 'กลางวัน-กลางคืน' ฉะนั้น!! หากไปยุแยงพม่าแตก ระวังคนไทยอาจเดือดร้อนกว่านี้

(17 เม.ย. 67) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

เปิดเทอมหลังสงกรานต์วันแรก มีบิลค่าไฟมาหย่อนตู้ไปรษณีย์แต่เช้า เห็นค่าไฟแล้วจะเป็นลม 

มีรายงานข่าวมาว่าช่วงนี้คนไทยกระหน่ำเปิดแอร์ตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็ยังเปิดแอร์แล้วยังมีชาร์จไฟรถเพิ่มขึ้นมา

จึงอยากเตือนนักการเมืองและนักวิชาการที่นำเสนอแนวทางและท่าทีของประเทศไทยต่อเหตุการณ์ในประเทศเมียนมา ว่าอย่าใช้อุดมการณ์นำให้มาก 

ให้เน้นความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยเป็นหลัก 

คนไทยไม่ต้องการมีปัญหาขาดแก๊ซ ไม่ต้องการจ่ายค่าไฟแพง ถ้าขาดแก๊ซเมียนมา มันจะแพงได้กว่านี้อีกเยอะ เพราะ ปตท. ต้องไปไล่ซื้อ LNG จากตลาด Spot มาทดแทนเพิ่มเข้าไปอีก

นี่เขียนจากใจและตัวเลขค่าไฟฟ้าเดือนนี้ล้วน ๆ

ส่วนเรื่องในเมียนมา เป็นเรื่องของมหาอำนาจผลักดันให้เกิด ไม่ใช่เรื่องที่เกิดเองตามธรรมชาติ คนที่รับเงินต่างชาติมา จะผลักดันให้ประเทศไทยรับลูกใคร ให้ไปทำอะไร ให้ไปหนุนหลังใครก็คิดดี ๆ

ชื่นชม!! ‘จนท.ไทย’ รุดช่วยเหลือ ‘เด็กฝรั่ง’ พลัดหลงกับพ่อขณะเล่นน้ำ ด้านชาวเน็ต บอก!! นี่แหละ Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ของไทยอย่างแท้จริง

(17 เม.ย.67) เป็นคลิปไวรัลช่วงสงกรานต์ที่ทำเอาใจฟูไปทั้งโซเชียล หลังหนูน้อยชาวต่างชาติพลัดหลงกับพ่อ และได้เดินร้องไห้มาที่จุดปฐมพยาบาล เหล่าเจ้าหน้าที่ไทยได้รีบช่วยเหลือ จนในที่สุดพ่อของหนูน้อยก็ตามมาเจอ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณไม่หยุด และบอกว่า “เขารักเมืองไทยและซาบซึ้งกับน้ำใจของคนไทยมาก!”

โดยคลิปดังกล่าวถูกโพสต์จาก TikTok ช่อง @memustation ที่เป็นสมาชิกอาสาสมัครที่อยู่ในจุดปฐมพยาบาลวชิรพยาบาล (ฐาน 46-00) ร่วมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยภูมินทร์ ที่ตั้งในงานสงกรานต์ที่สีลม

ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 เม.ย.67 ช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ได้มีเด็กสาวต่างชาติเดินร้องไห้และมีอาการหนาวสั่นมาคนเดียว จากการสอบถามทราบว่าหนูน้อยชื่อ ลอร่า อายุ 10 ขวบ เป็นชาวฝรั่งเศส พลัดหลงกับพ่อระหว่างเดินเล่นน้ำ

ทางเจ้าหน้าที่จึงนำมาห่มฟลอยด์มาห่มให้น้องคลายหนาว ก่อนจะช่วยกันประสานงานทางวิทยุทุกช่องทุกข่าย ส่งทุกกลุ่มไลน์ที่จะประสานได้

จนในที่สุดมีชายชาวต่างชาติวิ่งเข้ามาและตะโกนว่า “my daughter” และทั้งคู่ก็โผเข้ากอดกันแน่น และพ่อของเด็กก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมบอกว่าเขารักเมืองไทย และขอขอบคุณที่ช่วยให้เขาเจอลูก เขาซึ้งใจในน้ำใจของคนไทย

ซึ่งคลิปนี้ทำเอาผู้ได้ชมใจฟูและยิ้มกว้างไปกับพวกเขาด้วย โดยชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ และบอกว่า ”นี่แหละคือ soft power ของคนไทยที่แท้จริง!”

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! ต้องขนย้ายกากแคดเมียมให้จบภายใน 36 วัน เคาะดีเดย์ 7 พ.ค. พร้อมกำชับ!! ต้องปลอดภัยทุกขั้นตอน

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รายงานถึงผลการประชุมของ คณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ว่าได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแผนการขนย้ายกากแคดเมียมของบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ปรับปรุงมาใหม่ โดยบริษัทฯ ตอบรับการเพิ่มจำนวนรถบรรทุกจาก 10 คัน เป็น 30 คัน ตามที่คณะกรรมการฯ แจ้ง เพื่อให้สามารถขนย้ายกากแคดเมียมได้ถึง 450 ตันต่อวัน และลดระยะเวลาในการขนย้ายทั้งหมดจากเดิมที่ใช้เวลา 92 วัน ลงเหลือ 36 วัน โดยจะเริ่มทำการเคลื่อนย้ายกากจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพฯ และชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 หลังจากที่ทำการเตรียมความพร้อมของบ่อฝังกลบ และทำความเข้าใจให้ประชาชนรอบโรงงานที่จังหวัดตาก เรียบร้อยแล้ว

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมบ่อฝังกลบ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบความแข็งแรงปลอดภัยของบ่อร่วมกับโยธาธิการจังหวัดและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันนี้ (17 เม.ย.) โดยจะตรวจสอบพื้นบ่อที่ปูด้วยแผ่นพลาสติก HDPE หนา 1.5 มม. จำนวน 2 ชั้น ว่าอยู่ในสภาพที่ดีไม่มีการฉีกขาด สามารถป้องกันการรั่วไหลของกากได้ รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของพื้นปูนและขอบบ่อในภาพรวม หากไม่มั่นคงแข็งแรง ก็จะสั่งการให้มีการปรับปรุงให้เรียบร้อยโดยเร็ว  

ทั้งนี้ ในระหว่างการฝังกลบกากแคดเมียม จะต้องมีการสเปรย์น้ำที่บ่อฝังกลบระหว่างเคลื่อนย้ายกากลงหลุมเพื่อกันการแพร่กระจายของฝุ่นผง และการปรับเสถียรในบ่อฝังกลบ เมื่อทำการนำกากลงบ่อจนหมดแล้ว จะทำการเกลี่ยกากในบ่อให้เรียบแล้วทำการเททราย จากนั้นปูทับด้วยพลาสติก HDPE อีกชั้น ก่อนที่จะเทคอนกรีตเสริมเหล็กปิดบ่อเป็นขั้นตอนสุดท้าย

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ขอให้บริษัทฯ เพิ่มมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการขนส่งตั้งแต่ ต้นทาง ระหว่างทาง และปลายทาง การจัดหาถุง Big Bag เพื่อทำการสวมทับถุงเดิมอีกชั้นหนึ่ง (Double Bag) ก่อนการขนส่งเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการรั่วหรือฟุ้งกระจายของกากในระหว่างการขนส่ง รวมถึงขอให้เพิ่มกระบวนการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลังเสร็จสิ้นการปิดหลุมฝังกลบแล้ว โดยตรวจติดตามคุณสมบัติน้ำใต้ดินจากบ่อสังเกตการณ์ (Monitoring Well) รอบพื้นที่ทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วไหลของกากแคดเมียมหรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินการอย่างแท้จริง โดยหลังจากบริษัทฯ ได้ส่งแผนฉบับแก้ไขมาให้กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานชุดใหญ่แล้ว กระทรวงจะร่วมกับบริษัทฯ ในการทำความเข้าใจกับประชาชนโดยรอบโรงงาน ถึงวิธีการขนย้าย และมาตรการความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน 

รมว.อุตสาหกรรม เผยว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีการชี้แจงแผนการขนย้ายกากแคดเมียมให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 3 พื้นที่ (สมุทรสาคร, ตาก และ ชลบุรี) รวมถึงประเด็นการปรับปรุงคำสั่งทางปกครองของอุตสาหกรรมจังหวัดที่จะต้องสอดคล้องกับแผนการขนย้าย และการประสานกับ บก.ปทส. ในเรื่องการโอนของกลาง (กากแคดเมียมที่ได้ยัดอายัด และทำการตรวจนับแล้ว) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบฝ่ายเลขาจัดเตรียมข้อมูลทั้งหมด เพื่อนำเสนอต่อคณะทำงานชุดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก 6 กระทรวง โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน 

‘หนุ่มร่วมชาติ’ อายแทนพฤติกรรม 2 สาวจีน หลังกินแล้วหนี เดินทางไปร้านอาหารชื่อดัง รับผิดชอบ!! ขอจ่ายเงินเอง

เมื่อไม่นานมานี้ จากกรณี หญิงสาวชาวจีน 2 คน มากินอาหารร้านดังย่านประชาชื่น กินเสร็จแล้วหนีไม่ยอมจ่ายเงิน โดยเรื่องดังกล่าวมีการพูดถึงอย่างแพร่หลายในโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลประเทศจีน ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมของ 2 สาวนี้อย่างมากนั้น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.67 เฟซบุ๊ก About Beef Lava Grill บุฟเฟต์ ปิ้งย่าง เนื้อพรีเมียม ซีฟู๊ด อาหารญี่ปุ่น โดยแอดมินเพจของร้าน ได้โพสต์ข้อความว่า มีพลเมืองดีชาวจีน ได้เดินทางมาที่ร้านแล้ว ขอจ่ายเงินแทน 2 สาว โดยมีเนื้อหาต่อไปนี้

จากเหตุสาวจีน 2 ท่านหนีบิล ไม่ได้ชำระเงินค่าบริการเมื่อวันที่ 12/4/67 เป็นจำนวนเงิน 2,696 บ. ได้มีพลเมืองดีชาวจีนเดินทางมาที่ร้านเพื่อชำระเงินแทน 2 ท่านนั้น

พี่ท่านนี้สามารถพูดไทยได้นิดหน่อย ได้กล่าวว่าเหตุการณ์นี้ได้โด่งดังไปทั่วในโซเชียลของประเทศจีน และเปิดให้ทางร้านได้ดูมีการกล่าวถึงและวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมนี้ เขากล่าวว่า รู้สึกเสียใจและอับอายกับพฤติกรรมที่นักท่องเที่ยว 2 ท่านนั้นได้ทำและเห็นใจทางร้าน #จึงขออาสาชำระค่าใช้จ่ายให้

กราบขอบพระคุณ ชาวโซเชียลทุกท่าน และสื่อต่าง ๆ ที่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงในโซเชียลที่จีน

ทางร้านหวังว่านักท่องเที่ยวส่วนน้อยที่มีพฤติกรรมแบบนี้ จะคิดถึงผลกระทบที่เขาจะได้รับ
จากชาวโซเชียลที่ช่วยกันตีแผ่เรื่องนี้และไม่กล้าทำอีกหวังว่าเพื่อนผู้ประกอบการที่หาเช้ากินค่ำ
ก็จะไม่ต้องมาเจอแบบนี้กันอีก ขอบพระคุณทุกท่านมาก ๆ ครับ

ปล. ในรูปนี่ไอ้แว่นนะ เจ้าของร้าน
แอดจะหล่อกว่านี้หน่อย ไม่อยากจะโม้

‘นายกฯ หัวหิน’ บูรณาการน้ำ ‘เขาแล้ง-หัวนา-ไร่นุ่น’ ดันประปาทั่วถึง ประชาชนมีน้ำใช้ช่วงสงกรานต์

ไม่นานมานี้ นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน ได้เป็นประธานประชุมชี้แจงสถานการณ์น้ำประปาเทศบาลเมืองหัวหิน ที่ห้องดำเนินเกษม สำนักงานเทศบาลเมืองหัวหิน มีคณะผู้บริหารเทศบาล ปลัดเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ในช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2567 ที่มีประชาชนเดินทางกลับมาเยี่ยมครอบครัว และนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก อีกทั้งจะมีกิจกรรมการเล่นน้ำสงกรานต์ปีใหม่ไทยด้วย ซึ่งส่งผลให้มีปริมาณการใช้น้ำมากกว่าปกติ

ภายหลังประชุม นายนพพร ได้กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำของหัวหินนั้น ตนได้เตรียมวางแผนไว้ประมาณ 7 - 8 ปีที่แล้ว ได้เห็นผลในการดำเนินการดังกล่าว เช่น หัวหินในอดีตนั้นมีแค่การประปาของเทศบาลอย่างเดียว แต่ปัจจุบันนี้มีการประปาส่วนภูมิภาคเข้ามาช่วยดำเนินการด้วย เรื่องของการเพิ่มน้ำดิบจากบ่อแขม มาที่เทศบาลเมืองหัวหินนั้น ก็ดำเนินการเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ปัจจุบันนี้หน่วยงานรับน้ำ หมายถึงเทศบาลเมืองชะอำและเทศบาลเมืองหัวหิน ถือว่าเป็นหน่วยงานที่รับน้ำ หน่วยงานที่ส่งน้ำคือ เขื่อนเพชรของชลประทาน 

“ผมเชื่อว่าการรับน้ำจากคลองส่งน้ำมีปัญหาในช่วงหน้าแล้ง ทำให้น้ำจากบ่อแขมที่เรารับน้ำมาโดยตลอด มีปริมาณน้อยลง เนื่องจากคนมาใช้น้ำในคลองมากขึ้น เทศบาลฯ ก็ประสานงบประมาณจากสองรัฐบาลที่ผ่านมา เป็นเงิน 1,045 ล้านบาท เพื่อให้หัวหินรับน้ำจากท่อขนาด 1,000 ขณะนี้ท่อเส้นนี้มาถึงหัวหินแล้ว ทำให้หัวหินมีการรับน้ำดิบจากท่อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเพิ่งเชื่อมท่อเมื่อต้นเดือนเมษายนนี้เอง ส่วนอีกทางหนึ่ง ก็มาจากเขื่อนปราณบุรี ได้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานชลประทาน 14 ตอนนี้มีท่อน้ำใหม่มาอีกหนึ่งเส้น เท่ากับว่าในระยะเวลา 7 - 8 ปีนี้ เทศบาลฯ นำน้ำดิบมาเพิ่มจาก 3 ส่วนด้วยกัน เพื่อให้ช่วยกันผลิตประปาให้ประชาชนและภาคธุรกิจได้ใช้” 

อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเทศกาลสงกรานต์นี้ นายนพพร มองว่า ปัญหาเรื่องของการผลิตที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากเป็นหน้าร้อน, คนมาเที่ยวหัวหินเยอะ และเป็นช่วงวันหยุดยาว ซึ่งโรงผลิตน้ำที่หัวนายังผลิตน้ำประปาตามปกติ แต่เมื่อผลิตออกไปตามเส้นทางของท่อ จะผ่านตามบ้านคน สถานประกอบการ อาคารชุด โรงแรม ซึ่งมีถังอยู่ใต้ดิน เพราะฉะนั้นน้ำที่อยู่ปลายทางก็ไปไม่ถึง เพราะข้างล่างน้ำยังไม่เต็ม นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาว่า ทำไมถึงมีน้ำที่โรงผลิต แต่ทำไมที่บ้าน ที่โรงแรมน้ำจึงไม่ไหล

ดังนั้นการดำเนินการปิดน้ำที่เขาแล้ง เพื่อผันน้ำลงไปพื้นที่โรงผลิตน้ำหัวนาและไร่นุ่น ระยะเวลาจุดละประมาณ 3 ชั่วโมงนั้น จะให้มีน้ำดิบเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% โดยน้ำดิบช่วงนั้นที่ลงมา จะทำให้ผลิตน้ำประปาได้เพิ่มขึ้นสำหรับสองวันเต็ม ๆ พร้อมปล่อยต่อได้ 24 ชั่วโมงด้วย ซึ่งนี่เป็นวิธีในการนำน้ำดิบมาเพิ่มให้หัวหิน เพราะต้องยอมรับว่าน้ำดิบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ ยังไงก็จะมีผลกระทบเหมือนช่วงหลายวันที่ผ่านมา 

ฉะนั้นแนวคิดนี้จึงเหมือน ‘โครงการแกล้งน้ำ’ ที่เรานำน้ำดิบที่เขาแล้งปล่อยลงมาสู่ข้างล่างที่หัวนา ประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้บริเวณเขาแล้งเดือดร้อนช่วงหนึ่ง แต่พอพ้นจากช่วงนั้นไปแล้ว ก็จะได้รับน้ำปกติ และทำให้น้ำที่หัวนาเพิ่มมากขึ้น จนสามารถโยกน้ำที่หัวนา มาช่วยน้ำที่ดำเนินเกษม ซึ่งจะเป็นการช่วยทำให้น้ำในเมืองมีเพิ่มมากขึ้นตาม

จากแนวทางดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านที่ใช้น้ำจากเขาแล้งนั้น ตั้งแต่หัวนาซอย 102 หมู่บ้านสมอโพรงฝั่งทิศเหนือ หมู่บ้านบ่อฝ้ายทั้งหมด และถนนดำเนินเกษม ตั้งแต่แยกประมง แยกไฟแดงวังไกลกังวล จนถึงสนามบิน จะได้รับผลกระทบประมาณ 6 ชั่วโมง แต่หลังจากพ้นจาก 6 ชั่วโมงไปแล้ว ภาพรวมของน้ำประปาของหัวหินนั้นจะดีขึ้นเกือบทั้งเมือง เป็นการแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำประปาในช่วงสงกรานต์นี้

ส่วนสถานการณ์การใช้น้ำและเล่นน้ำช่วงสงกรานต์ อาจจะได้รับผลกระทบ แต่ไม่มาก ถ้ามีการบริหารจัดการแบบที่แจ้ง รวมทั้งเล่นน้ำสงกรานต์แบบพอเพียง แต่มั่นใจว่าทุกคนได้เล่นแน่นอน ทว่าตอนนี้ทางเทศบาลฯ ก็อยากจะขอใช้คำว่า ‘แบบพอเพียง’ จากเดิมที่เคยจัดสวนน้ำค่อนข้างจะใหญ่ ก็อาจะลดขนาดเล็กลง เรื่องของสวนน้ำ ก็อาจจะใช้ปาร์ตี้โฟมเข้ามาช่วยเสริม เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติตรงนี้ไปได้

“อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนได้สำรองน้ำไว้ใช้ล่วงหน้า เพื่อบรรเทาปัญหาในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้เทศบาลเมืองหัวหินได้บูรณาการรถบรรทุกน้ำจากหน่วยงานต่างๆ ส่งน้ำช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยสามารถแจ้งคำร้องได้ที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองหัวหิน โทร. 032-511666 หรือแจ้งโดยตรงที่นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน โทร. 092-789-3694 นายอติชาติ ชัยศรี รองนายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน โทร.066-146-5269 นายจีรวัฒน์ พราหมณี ปลัดเทศบาลเมืองหัวหิน โทร. 081-813-5529 และสามารถแจ้งผ่านสมาชิกสภาเทศบาลในเขตพื้นที่ได้รับผลกระทบ และต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้” นายนพพร กล่าว

‘นายกฯ หัวหิน’ ปรับกลยุทธ์ปัญหาน้ำหัวหินขาดแคลน ระดมรถบรรทุกน้ำกระจายแจก ประคองช่วงสงกรานต์

ไม่นานมานี้ นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน จ.ประจวบฯ เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับคณะผู้บริหารเทศบาลฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ขาดแคลนน้ำประปาขณะนี้ว่า เนื่องจากในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ มีประชาชนเดินทางกลับมาเยี่ยมครอบครัว รวมถึงนักท่องเที่ยวจำนวนมาก หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่เพื่อเล่นน้ำสงกรานต์ ประกอบกับปัญหาน้ำดิบที่นำมาผลิตน้ำประปาที่มาจากเขื่อนปราณบุรี ซึ่งขณะนี้เหลือน้ำอยู่เพียง 26.51% และเขื่อนเพชรที่ส่งน้ำมาให้หัวหินผลิตน้ำประปาปริมาณน้อย แต่สภาพความต้องการใช้น้ำในเขตเทศบาลฯ ในช่วงหน้าร้อนนี้ มีผู้ใช้น้ำทั้งจากโรงแรม, รีสอร์ท, คอนโดฯ บ้านพัก และประชาชนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณการใช้น้ำมากกว่าปกติ บางส่วนไม่เพียงพอ บางพื้นที่น้ำไหลน้อย และบางพื้นที่ปลายทางน้ำไม่ไหล ซึ่งขณะนี้สั่งให้กองการประปาเทศบาลเมืองหัวหิน บูรณาการน้ำระหว่างโรงผลิตน้ำเขาแล้ง กับโรงผลิตน้ำหัวนา และโรงผลิตน้ำไร่นุ่น

โดยทางเทศบาลฯ ได้บูรณาการรถบรรทุกน้ำจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อส่งน้ำช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยแจ้งคำร้องได้ที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลหัวหิน โทร. 0-3251-1666 ซึ่งหลังจากผันน้ำเข้าสู่โรงผลิตน้ำประปาหัวนาเสร็จสิ้นลงแล้ว โรงผลิตน้ำประปาเขาแล้ง ก็จะดำเนินการผลิตน้ำประปาส่งเข้าระบบแจกจ่ายได้ตามปกติต่อไป พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวต่างๆ ในเขตเทศบาลฯ และภาคประชาชน ช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัดในช่วงนี้ และมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์หัวหิน

“ก่อนหน้านี้ เราเจอปัญหาการหยุดจ่ายน้ำประปาที่โรงผลิตน้ำเขาแล้ง เพื่อผันน้ำให้กับโรงผลิตน้ำหัวนาและไร่นุ่น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้น้ำประปาไหลอ่อนและไม่ไหลในบางพื้นที่ในเขตเทศบาลฯ ได้แก่ ชุมชนทางรถไฟฝั่งตะวันตก, ชุมชนหนองแกฝั่งทางรถไฟตะวันตกถนนชมสินธุ์ฝั่งทิศใต้, ชุมชนสนามกอล์ฟ, ชุมชนสมอโพรงฝั่งทิศเหนือตั้งแต่ชลประทานซอย 1 ถึงหมู่บ้านเคียงนทีหรือแพไม้, ฝั่งตะวันออกถนนคันคลองและฝั่งตะวันตกตั้งแต่หัวหินซอย 2-ซอยชลประทาน 24 รวมถึงถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันออก ตั้งแต่หัวหินซอย 1-หัวหินซอย 35 ถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันตกตั้งแต่หัวหินซอย 2-หัวหินซอย 40/1 และชุมชนบ่อฝ้ายทั้งหมด” นายนพพร กล่าว

'พีระพันธุ์' สร้างระบบน้ำมันสำรอง ช่วย 'ราคาพลังงานไทย' ไม่ผันผวน

(15 เม.ย.67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก 'Kookkai Kookkai' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สงครามตะวันออกกลาง ประเทศไทยกระทบเต็มๆ

เมื่อวานดูข่าวสถานการณ์ในตะวันออกกลาง จากช่อง อัลจาซีรา ของประเทศกาตาร์ เจอข่าว อิหร่าน ยิงขีปนาวุธ และโดรนติดหัวรบ ใส่อิสราเอล ตอบโต้อิสราเอล

ความก่อนหน้านี้ อิสราเอล ก็เล่นถล่มสถานทูตอิหร่านในอิสราเอล ในประเทศซีเรีย ก่อนนี่นา

แต่ที่วิตกแทน คือ วันนี้เปิดตลาดซื้อขายน้ำมัน นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาน้ำมันโลกพุ่งแน่นอน แต่จะไปตกราคาเท่าไรอยู่ที่สถานการณ์

เดาว่าดังนี้...

1.ถ้าอิสราเอล วิเคราะห์ว่าไปถล่มอิหร่านก่อน อิหร่านเอาคืนสมควรแล้ว หยุดตอบโต้ ราคาน้ำมันก็ไม่พุ่ง

2.ถ้าอิสราเอล ตอบโต้อิหร่านคืน รับรองว่าอิหร่าน คงให้กองกำลังใต้ดิน ถล่มอิสราเองยืดเยื้อ ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแน่นอน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมัน และก๊าซ คงหนีราคาพุ่งไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อน ไม่รอดแน่นอน

ย้อนมานึกถึง นโยบาย รมว.พลังงาน และรองนายก คนปัจจุบัน คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เคยบอกว่าจะทำนโยบาย ยุทธศาสตร์สำรองน้ำมัน เออ!! น่าสนใจดี เพราะดูแล้ว มันก็ไม่ยากอะไร แต่ถ้าทำจริงน่าจะยากหน่อย

หลักคิดของ รมว.พลังงาน เท่าที่ทราบ คือ...

1.เราเป็นผู้นำเข้า ยังไงต้องซื้อราคาที่ผู้ผลิตขาย ข้อนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้

2.ทำยังไงราคาอย่าขึ้นลงผันผวนแบบตลาดหุ้น

3.ยามวิกฤติสงคราม คนไทยต้องมีสำรองใช้อย่างน้อย 90 วัน

4.ประเทศต้องไม่ขาดแคลนน้ำมัน ทั้งเอกชน รัฐ ประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สังกัด กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่น

วิธีคิดและทำ ของรมว.พลังงาน น่าติดตามทีเดียว ถ้าทำได้ ประเทศรอดจากวิกฤติแน่นอน

วิธีแก้ไขของท่าน คือ...

1.ประเทศไทย ต้องมีน้ำมัน และก๊าซสำรอง เป็นของรัฐเอง อย่างน้อย 90 วัน

2.ปัจจุบัน มีสำรองแล้วจริง แต่เป็นของเอกชนทั้งหมด ประมาณ 25 วัน แต่รัฐไม่มีกฏหมายบังคับใช้ สรุปคือเป็นของเอกชน

3.ปัจจุบัน เวลาขนน้ำมันมาขาย ต้นทุนคือ 30 วันที่แล้ว แต่เวลาขายจริง เป็นไปตามตลาดสิงคโปร์ หรือ เอกชนอยากขาย ไม่ใช่ราคาที่ซื้อมา 30 วันที่แล้ว  ประชาชนเสียเปรียบ แบบโดนมัดมือชก

4. อ้างจากข้อ 3 รมว.พลังงาน จะทำให้ราคาที่ขายให้ประชาชน คือราคาที่ซื้อมาจริง ไม่ขึ้นราคาตามใจชอบ แบบวันต่อวัน แบบตลาดหุ้น

5.แนวคิดท่าน ทำ SPR หรือ Strategic Petroleum Reserve หรือการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ จะมีผลดี คือ ราคาน้ำมันไม่ผันผวน เอกชนเอาเปรียบขึ้นราคาไม่ได้แน่นอน และยามมีภัยสงคราม ประเทศไทยมีน้ำมันสำรองยามฉุกเฉินได้ทันที 3 เดือนเต็ม ซึ่งเป็นระดับเดียวกับมหาอำนาจ อย่าง ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา เลยทีเดียว

อ้าว!! แบบนี้ น่าเชียร์ การเมืองเอาออกไปก่อน สลิ่ม, แดง, ส้ม, เหลือง ได้ประโยชน์ทุกคน จริงมั้ย?

'ในหลวง ร.๑๐' ทรงรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ๙ แห่ง เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ดูแลเด็กยากลำบาก สถานภาพด้อยกว่าเด็กปกติทั่วไป ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊กชื่อ ‘พระลาน’ ได้โพสต์ข้อความพร้อมระบุว่า… “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ๙ แห่ง เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์

เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเปลี่ยนชื่อโรงเรียน ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยให้ทรงรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จำนวน ๙ แห่ง อยู่ในความดูแลของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมตราสัญลักษณ์โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยพระราชทานตามที่ขอพระมหากรุณา ดังนี้

๑. ทรงพระราชทานรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จำนวน ๙ แห่ง เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ หมายเลข ๕๘-๖๖ ประกอบด้วย

๑) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์บางกรวย เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๕๘ จังหวัดนนทบุรี
๒) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๕๙ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
๓) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่ เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๐ จังหวัดเชียงใหม่
๔) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงดาว เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๑ จังหวัดเชียงใหม่
๕) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๒ จังหวัดเชียงราย
๖) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ธวัชบุรี เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๓ จังหวัดร้อยเอ็ด
๗) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สุราษฎร์ธานี เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๔ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๘) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์พัทลุง เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๕ จังหวัดพัทลุง
๙) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์นราธิวาส เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๖ จังหวัดนราธิวาส

๒. ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทุกแห่ง 

‘โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์’ ทั้ง ๙ แห่ง ที่คัดเลือกมานี้เป็นโรงเรียนที่ดูแลเด็กที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ด้อยกว่าเด็กปกติทั่วไป จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนและอยู่ในมูลนิธิฯ จะทำให้ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษา ได้รับโอกาสอย่างทัดเทียม มีประสิทธิภาพทั้งวิชาการและทักษะอาชีพ เช่น เกษตรกรรม ทำอาหาร ฯลฯ มากยิ่งขึ้น รวมถึงส่งเสริมความสามารถด้านดนตรี ศิลปะ และกีฬา ปลูกฝังให้นักเรียนมีจิตสำนึกในความเป็นไทย พัฒนาโรงเรียนให้ก้าวไปสู่การเป็นต้นแบบโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อันคงไว้ซึ่งความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับคณะครู บุคลากร และนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนและชุมชนดีขึ้น”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top