Tuesday, 1 July 2025
NEWS

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และเจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ เยี่ยมบำรุงขวัญทหารเรือชายแดน จว.ตราด

พล.ร.อ.ณัฎฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร. ) และคณะ พร้อมด้วย พล.ร.ต. วชิรวิชญ์ ขาวคม เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ (จก.วศ.ทร.) และคณะ ปฏิบัติราชการ มชด./1 เข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่และความพร้อมจาก มชด./1 พร้อมมอบน้ำดื่ม ขนาด 600 มล. จำนวน 2,000 โหล และฝุ่นโรยเท้า จำนวน 1,400 ขวดให้กับเรือใน มชด./1 เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจในการปกป้องอธิปไตย และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จว.ตราด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้ารับฟังความคิดเห็น 'ร่าง พ.ร.บ.แก้ไข ป.วิ.อาญา' ต่อเนื่อง จัดเวทีเสวนาภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ที่นครสวรรค์ 

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย. 68)เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ฝึกตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี) ร่วมรับฟังการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา (ร่างของ ส.ส.พรรคประชาชน)ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน โดยมี พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6, พล.ต.ท.วสันต์ วัสสานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6, พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน กรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ, พล.ต.ท.ดำรงค์ เพ็ชรพงค์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ ตร. พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับ รองผู้บัญชาการ และ ผู้บังคับการ ในสังกัด ตำรวจภูธรภาค 5 และ ภาค 6 ร่วมงานเสวนา   

การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้นับเป็นเวทีครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ ตร. จัดเสวนาอย่างต่อเนื่อง จากเวทีในพื้นที่ภาคกลาง (ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จ.นครปฐม) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.ขอนแก่น) และภาคใต้ (จ.ภูเก็ต) โดยมีเป้าหมายเพื่อรับฟังความคิดเห็นที่มีต่อร่างกฎหมาย ให้รอบด้าน ครอบคลุม ทุกมิติ และทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ภายในงาน ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในกระบวนการยุติธรรมร่วมอภิปราย ได้แก่ ท่านเปรมศักดิ์ ศรีนวล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครสวรรค์, พล.ต.ท.ดำรงค์  เพ็ชรพงค์  อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ดร.ชำนาญ ชาดิษฐ์ กรรมการอำนวยการ สำนักงานธนานุเคราะห์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และทนายความ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เครือวัลย์ อินทรสุข ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์, นายโสฬส วัฒนศิลป์ กต.ตร.จังหวัดนครสวรรค์  และ พ.ต.อ.ดร. เทิดสยาม บุญยะเสนา ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธร ภาค 5 การเสวนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ประกอบด้วย ตัวแทนหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคประชาชน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนพนักงานสอบสวนและข้าราชการตำรวจในสังกัด ภ.5 และ ภ.6 ภายหลังการเสวนาในภาคเช้า ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติ

สำหรับร่าง แก้ไข ป.วิ.อาญา มีสาระสำคัญคือ การให้อัยการมีอำนาจกำกับดูแลงานสืบสวนสอบสวน  เช่น ในการสืบสวนเมื่อพบเหตุต้องแจ้งให้พนักงานอัยการทราบทันที การออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ ต้องให้พนักงานอัยการให้ความเห็นชอบก่อน รวมถึงให้อำนาจพนักงานอัยการมากำกับการสอบสวนในคดีสำคัญ หรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งในเวทีเสวนาวันนี้หลายฝ่ายได้แสดงความเห็นว่า ขั้นตอนการปฏิบัติที่ร่างกฎหมายกำหนด อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการสอบสวน เพราะกระบวนการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนระหว่าง พนักงานสอบสวน อัยการ และศาล  ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้เสียหายทำให้เข้าถึง กระบวนการยุติธรรมได้ล่าช้าขึ้น ย่อมจะกลายเป็นความไม่ยุติธรรม (Justice delayed is justice denied) ในเวทีเสวนา ยังได้ยกตัวอย่างคดีในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งต้องมีการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดเพื่อป้องกันปัญหาการนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดน หากนำขั้นตอนการปฏิบัติตามร่างกฎหมายมาใช้ อาจไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์ ในการสืบสวนสอบสวน จับกุม ตรวจค้น คดียาเสพติดได้ในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ในวงเสวนายังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องงบประมาณของรัฐที่จะต้องจัดสรรเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการ ในการจัดหาบุคลากร ทรัพยากรต่างๆ  และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มเติม เพื่อรองรับภาระงานต่างๆ ที่มีเพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายนี้        

ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนกันในการเสวนา คือ การแก้ไขกฎหมายต้องมีเหตุผลและความจำเป็นที่เหมาะสม  แต่การเสนอแก้ไข ป.วิ.อาญา ครั้งนี้  เป็นการยกปัญหาเป็นข้อบกพร่องส่วนบุคคล ในงานสอบสวนแค่บางส่วน แต่มาเสนอแก้หลักการของกฎหมายแม่บท ทั้งที่การแก้ไขปัญหานั้นสามารถดำเนินการผ่านกลไกการประสานงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม หรือการแก้ไขระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เหมาะสม และรวดเร็วกว่า โดยไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข ป.วิ.อาญา เพราะจะทำให้ไปกระทบหลักการของระบบกฎหมายอาญาที่เป็นระบบกล่าวหาของประเทศไทยทั้งระบบโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้น ร่าง ป.วิ.อาญาฉบับแก้ไข เน้นประเด็นการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาค่อนข้างมาก 

ทั้งที่โดยหลักแล้วกระบวนการยุติธรรมต้องมีความสมดุลกันระหว่าง ผู้เสียหายและผู้ต้องหา และยังต้องคำนึงถึงมิติการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมอาชญากรรม (Due process) ตามหลักอาชญาวิทยาด้วย หากร่างกฎหมายมุ่งแก้ไขเพียงบางประเด็น จะทำให้เกิดความไม่สมดุลในกลไกของกระบวนการดำเนินคดี  และยังส่งผลให้ขัดหรือแย้งกับมาตราอื่นๆ ที่ไม่ได้เสนอแก้ไขในคราวเดียวกันนี้อีกด้วย อาจเกิดความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติ  สุดท้ายย่อมส่งผลกระทบให้เกิดความล่าช้าในการสอบสวนโดยไม่จำเป็น และส่งผลเสียต่อประชาชนผู้เสียหายในที่สุด     

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รวบรวมผลการเสวนาทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ นำมาจัดทำเป็นเล่มรายงานทางวิชาการ 4 ฉบับ เพื่อเป็นข้อมูลการทำความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งเผยแพร่ให้ผู้สนใจ ได้ศึกษาข้อมูลผลการเสวนาดังกล่าวต่อไป

ศรชล. ร่วมกับ UNODC จัดการประชุม ASEAN Coast Guard Forum 2025 (ACF 2025) ภายใต้หัวข้อ 'Fostering Maritime Safety, Security, and Prosperity in ASEAN'

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ผอ.ศรชล.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมหน่วยยามฝั่งอาเซียน ปี พ.ศ.2568 (ASEAN Coast Guard Forum 2025 : ACF 2025) พร้อมทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (นปท.) ร่วมคณะในครั้งนี้ด้วย โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ/รอง ผอ.ศรชล. และ พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ/เลขาธิการ ศรชล. ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมฮิลตัน พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (Thai Maritime Enforcement Command Center: Thai-MECC) และ United Nations of Drugs and Crime (UNODC) เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุม ACF 2025 โดยประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ส่งหน่วยงานยามฝั่ง หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล ตลอดจนผู้สังเกตการณ์ เข้าร่วมประชุมฯ อีก 9 หน่วยงาน ได้แก่ หน่วย Royal Brunei Police Force (RBPF) หน่วย Indonesia Maritime Security Agency (Badan Keamanan Laut Republik Indonesia: BakamlaRI) หน่วย Embassy of Laos People’s DemocraticRepublic หน่วย Malaysian Maritime EnforcementAgency (MMEA) หน่วย Myanmar Coast Guard หน่วย Philippine Coast Guard (PCG) หน่วย SingaporePolice Coast Guard หน่วย Vietnam Coast Guard(VCG) และ หน่วย The Naval Component of theTimor-Leste Defence Force (F-FDTL) โดยมี UNODC เป็นผู้สนับสนุนหลักของจัดการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุม ACF 2025 คือ “Fostering Maritime Safety, Security, and Prosperity in ASEAN” หรือ “การส่งเสริมความปลอดภัย ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองทางทะเลในอาเซียน”

โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี/ผอ.ศรชล. ได้กล่าวถึงความสำคัญของการรักษาผลประโยชน์ทางทะเลในภูมิภาคอาเซียนว่า ความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคอาเซียน โดยได้เน้นย้ำ “ความสำคัญของการสร้างเครือข่ายของภูมิภาคอาเซียน (Network of ASEAN) และ เครือข่ายความเป็นหุ้นส่วน’ (Network of Partnerships) ในการร่วมมือกันปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของชาติอาเซียน (Common Maritime Interests) บนความไว้เนื้อเชื่อใจ (Mutual Trust) เพื่อให้ภูมิภาคมีความปลอดภัย  (Safety) และทุกประเทศสามารถดำเนินกิจกรรมทางทะเลได้อย่างมั่นคง (Stable) มั่งคั่ง (Prosperity) และมีความยั่งยืนร่วมกันในภูมิภาค (Regional-Shared Sustainability) ” โดยการประชุม ACF.จะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนของทุกความสำคัญข้างต้น

ทั้งนี้ การประชุม ACF มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลและการปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในภูมิภาค สำหรับการประชุม ACF 2025 ในครั้งนี้ นับเป็นการประชุมหน่วยยามฝั่งอาเซียนครั้งที่ 4 โดยการประชุม ACF ครั้งที่ 1 และ 2 เป็นเจ้าภาพโดย BAKAMLA (อินโดนีเซีย) และการประชุมครั้งที่ 3 มี PCG (ฟิลิปปินส์) เป็นเจ้าภาพ

ซึ่งภายหลังพิธีเปิดการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมรับชมการฝึกค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยในทะเล และการแพทย์ฉุกเฉินในทะเล ประจำปี 2568 ร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งหัวหน้าหน่วยงานยามฝั่งและผู้แทน อีกด้วย

เชียงใหม่-ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต จัด 'อบรมดับเพลิงและซ้อมอพยพหนีไฟ' ประจำปี 2568 

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต จัดอบรมดับเพลิงและซ้อมอพยพหนีไฟเต็มรูปแบบประจำปี 2568 โดยคุณศิระ สันติตรานนท์ ผู้จัดการทั่วไปศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต พร้อมด้วยพนักงานในเครือ Central Group, ตัวแทนจากสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองสุเทพและเทศบาลนครเชียงใหม่, งานกู้ชีพ กู้ภัยเทศบาลเมืองสุเทพ พร้อมด้วยพนักงานร้านค้า และผู้สังเกตุการณ์จากภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมการซ้อมอพยพครั้งนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมดูแลความปลอดภัยของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการที่ต้องมาเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ตอบสนองต่อนโยบายด้านความปลอดภัยตามประกาศของกระทรวงแรงงาน เรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานประกอบการ 

รวมถึงความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้างและผู้ใช้อาคาร ให้สามารถรู้ถึงการปฏิบัติตน เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในกรณีมีการอพยพหนีไฟ สามารถขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม มีความชัดเจน เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ

รองนายกฯ กัมพูชา จวกไทยหยุดเล่นละครน้ำเน่า ปมปิดชายแดน!! ลั่นคนเขมรจนกว่า แต่มีศักดิ์ศรีมากกว่า

(26 มิ.ย. 68) ซาร์ โสกา (Sar Sokha) รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ตำหนิไทยอย่างรุนแรง กรณียิงกันบริเวณชายแดนมมเปย จังหวัดพระวิหาร จนทหารกัมพูชาเสียชีวิตเมื่อ 28 พฤษภาคม 2568 โดยกล่าวหาว่า ไทยจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความสับสน และ “แสดงละครตบตา” เพื่อกลบเกลื่อนวิกฤติการเมืองภายในของตนเอง

รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่า ฝ่ายไทยแสร้งเปิดด่านชายแดนแต่ยังไม่อนุญาตให้ผ่านจริง พร้อมใส่ร้ายว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายรุกราน ทั้งที่ไทยเป็นผู้ปิดกั้นและใช้กลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์เท็จให้โลกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ถูกรังแก ขณะเดียวกันกลับไม่ยอมรับความจริงหรือหาทางแก้ปัญหาอย่างจริงใจ

เขากล่าวอีกว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่สะท้อนพฤติกรรมยั่วยุต่อเนื่องของไทยตลอดแนวชายแดน พร้อมเตือนว่า “กัมพูชาอาจยากจนกว่า แต่เรามีศักดิ์ศรี” และเสริมว่า ไทยไม่ควรดูแคลนบทเรียนจากอดีตที่กัมพูชาเคยเผชิญสงครามมาอย่างยาวนาน

สุดท้าย ซาร์ โสกา ย้ำว่า กัมพูชายึดมั่นในสันติภาพบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้ไทยแสดงความจริงใจ ด้วยการเปิดพรมแดนอย่างแท้จริง พร้อมทำงานร่วมกันอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ด้วย “การทูตหลอกลวง” ที่หวังเพียงล้างภาพตัวเองในสายตาชาวโลก

‘ฮุนเซน’ โต้ข่าวปลด ผบ.ทบ. เสียบตำแหน่งแทน ลั่นไม่จำเป็น เพราะตนเป็นรองแค่กษัตริย์เท่านั้น

'ฮุนเซน' โพสต์โวยสื่อไทยตีข่าวปลด ผบ.ทบ.แล้วตั้งตัวเองเป็นแทน ลั่น ไม่จำเป็น เพราะในกัมพูชาตนเป็นรองกษัตริย์เท่านั้น 

(26 มิ.ย. 68) เมื่อเวลา 16.11 น. ในเฟซบุ๊ก Somdech Hun Sen of Cambodia ของนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา มีการโพสต์ข้อความว่า

“ข้าพเจ้าไปเยี่ยมทหาร เจ้าหน้าที่ และประชาชนที่พลัดถิ่นในจังหวัดอุดรมีชัยและพระวิหาร

“ข้าพเจ้าไม่ได้ไปออกคำสั่งในนามของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้บัญชาการทหารบก แต่ไปเยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือกองทัพที่กำลังปกป้องประเทศและดินแดน

“ผู้บัญชาการทหารบกเรียกข้าพเจ้าว่า เจ้าหน้าที่สนับสนุนอาวุโส ข้าพเจ้ายินดีช่วยสนับสนุนด้านการสนับสนุน นอกเหนือจากการสนับสนุนของรัฐบาล

“ตำแหน่งนี้ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งเพราะเป็นเรื่องตลก หนังสือพิมพ์ไทยฉบับหนึ่งรายงานว่า ข้าพเจ้าปลดผู้บัญชาการทหารบกและแต่งตั้งตนเองเป็นผู้บัญชาการทหารบกเพื่อเตรียมการโจมตีประเทศไทย

“ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าถ้าคุณจะบ้าคุณก็บ้าไปเถอะ ข้าพเจ้าเป็นคนที่สองรองจากกษัตริย์ ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บัญชาการทหารบก แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป หยุดเถอะ และอย่ามารุกรานหน้า Facebook ของข้าพเจ้าอีกเลย” นายฮุนเซนระบุ

เชียงใหม่-กองบิน 41 ให้การต้อนรับคณะโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับผู้ปฏิบัติงานระหว่างกองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศประชาชนเวียดนาม

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย. 68) นาวาอากาศเอก ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 พร้อมด้วยรองผู้บังคับการกองบิน 41 ให้การต้อนรับคณะโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับผู้ปฏิบัติงานระหว่างกองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศประชาชนเวียดนาม ณ กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่

การมาเยือนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพอากาศทั้งสองประเทศ และแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงแนวทางการปฏิบัติงานด้านการบินและกิจการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาความร่วมมือต่อไป

ในโอกาสนี้ คณะผู้แทนจากกองทัพอากาศประชาชนเวียดนามได้รับฟังบรรยายสรุปภารกิจของกองบิน 41 และเยี่ยมชมกิจการศักยภาพของกองบิน 41 อาทิ การปฏิบัติงานของฝูงบิน และระบบการสนับสนุนการบิน ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของกองทัพอากาศไทยในการปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศและการช่วยเหลือประชาชน

‘วินทร์ เลียววาริณ’ ชี้!! อเมริกามีแต่ฮีโร่ในหนัง ส่วนในโลกจริง มีแต่นักการเมืองคิดแค่จะรบ

(26 มิ.ย. 68) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และเป็นนักเขียนที่ได้รับ รางวัลซีไรต์ ถึง 2 ครั้ง โพสต์เฟซบุ๊กว่า หลายวันนี้ผมเขียนบทบาทด้านลบของการเมืองสหรัฐอเมริกาหลายตอน ขอบอกว่าผมไม่ได้เขียนเพราะเกลียดอเมริกัน ว่ากันตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ล้วนๆ และก็ไม่ได้สรุปว่าสหรัฐฯเลวทั้งประเทศ

แค่บอกว่านักการเมืองของเขาเลวใช้การได้เลย

ผมเคยไปเรียนและทำงานที่สหรัฐฯ เรียนรู้มากมายจากประเทศนี้ ยุคที่ผมไปอยู่ที่นั่น ยังไม่มีกระแส Asiaphobic ผลักชาวเอเชียตกรางรถไฟ อเมริกันที่ผมรู้จักก็เป็นคนที่ฉลาด นิสัยดี คบหาได้

สหรัฐฯมีนักคิด นักวิทยาศาสตร์ คนทำงานสร้างสรรค์นับไม่ถ้วน สร้างประโยชน์ให้ชาวโลกมหาศาล อเมริกามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก มหาวิทยาลัย Top 10 เป็นของสหรัฐฯเสียกว่าครึ่ง อเมริกาเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดในโลก อเมริกันคิดค้นอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เพราะสังคมแบบ American Dream เอื้อให้คนคิดสร้างสรรค์เต็มที่ เพราะรู้ว่ามีสิทธิ์รวยได้

นี่คือจุดแข็งของอเมริกา

แต่จุดอ่อนคือนักการเมือง ในมุมมองที่ผมเห็น การเมืองสหรัฐฯดูเหมือนไปทิศทางเดียวมาตลอด สกปรกโสมมสม่ำเสมอ

ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเมื่อเทียบกับประเทศจีนที่ล้าหลังกว่าหลายปีแสง จีนใช้เวลา 40 ปีสร้างประเทศจากศูนย์ ดึงคนพ้นความยากจนหลายร้อยล้านคน สร้างทางรถไฟ สร้างโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ เปลี่ยนทะเลทรายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ฯลฯ แต่ 40 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง (bullet trains) สักสายเดียว ยาเสพติดระบาด ปืนเกลื่อนเมือง ฆ่าหมู่เป็นประจำ ความเหลื่อมล้ำในสหรัฐฯสูงมาก (อาจเพราะเหตุนี้หรือไม่ที่ประเทศนี้เต็มไปด้วยซูเปอร์ฮีโร่?)

ในเมื่อสหรัฐฯเต็มไปด้วยคนเก่ง วิทยาการสูงส่ง ทำไมบ้านเมืองจึงเป็นอย่างที่เป็น?

ในคหสต. คำตอบก็น่าจะคือนักการเมือง เพราะแทนที่จะเอาสมองชั้นยอดไปพัฒนาประเทศ กลับไปพัฒนาอาวุธ ก่อสงครามทุกมุมโลก นักการเมืองกระเหี้ยนกระหือรืออยากทำสงคราม ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าทำไปทำไม เหมือนได้รับใบสั่งมา

สหรัฐฯมีฐานทัพนอกประเทศอย่างน้อย 128 แห่งทั่วโลก สหรัฐฯวีโต้คว่ำทุกมติของนานาชาติ (โดยเฉพาะมติที่ไม่เป็นผลดีต่ออิสราเอล) ส่งอาวุธไปร่วมโรงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ถอนตัวจากการแก้ปัญหาโลกร้อน ไม่แยแสกฎระเบียบนานาชาติ ไม่สนใจความชอบธรรม ความยุติธรรม มนุษยธรรม

นี่ไม่ได้พูดเพราะอารมณ์พาไป นี่ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ นี่ก็คือภาพที่ชาวโลกเห็น

เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นไม่ว่าที่มุมไหนในโลก โฆษกทำเนียบขาวก็มักจะโผล่หน้ามาเอ่ย "เราเป็นห่วงสถานการณ์ที่ประเทศยูจังเลย"

แต่กลับไม่ห่วงประเทศตัวเอง ไม่ได้ห่วงว่าทำไมชาวอเมริกันจ่ายภาษีไปเป็นค่าอาวุธไปให้ชาติอื่นเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

จะรู้ว่ามันเริ่มต้นมาได้อย่างไร ก็ต้องศึกษาประวัติศาสตร์

สงครามโลกครั้งที่สองน่าจะเป็นจุดเปิด Pandora's box เมื่อประเทศในยุโรปพังพินาศ ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกล้มระเนระนาด แต่อเมริกาปลอดภัย ด้วยแสนยานุภาพทางทหาร ทันใดนั้นอเมริกาก็มองเห็นโอกาสที่จะเป็นเจ้าโลก

สหรัฐฯต่อสู้กับโซเวียตในช่วงสงครามเย็นยาวนาน สมัยผมเป็นเด็ก สำนักข่าวสารอเมริกันพิมพ์นิตยสารแจกคนไทย มีทั้งความรู้และโฆษณาชวนเชื่อผสมกัน โดยเฉพาะเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นเด็กไทยกลัวคอมมิวนิสต์ คิดว่าเป็นผีชนิดหนึ่ง จับเด็กไปฆ่า

เด็กไทยก็โตมาแบบนี้ มีภาพว่าอเมริกาคือมหามิตร

จนเมื่อโซเวียตล้ม (เพราะตัวมันเอง ไม่ใช่เพราะสหรัฐฯ) สหรัฐฯก็กลายเป็น Unipolar power ใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในโลกา แต่ไม่สบายใจเมื่อจีนมาหายใจรดต้นคอ ซึ่งเป็นภาคบังคับ เพราะเศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐฯในไม่กี่ปีข้างหน้า

นี่ก็คือเหตุผลที่ผู้นำสหรัฐฯต้องตีประเทศจีนสามเวลาหลังอาหาร เสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการเพิ่มรอบเช้า 10.00 น.

และนี่ส่งผลย้อนกลับ (backfire) เช่น การสกัดจีนเรื่องชิปยิ่งทำให้จีนรีบพัฒนาชิปเร็วขึ้นกว่าเดิม

อเมริกาเป็นประเทศที่รวมทั้งคนดีและคนไม่ดี มีบริษัทยาที่ค้ากำไรเกินควร แต่ก็มีคนอย่าง โจนาส ซอล์ค (Jonas Salk) ที่คิดค้นวัคซีนโรคโปลิโอสำเร็จ แล้วมอบให้ชาวโลกโดยไม่รับสิทธิบัตร มีคนอย่าง จอร์จ โซรอส ที่คนไทยจดจำได้ดีจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง แต่ก็มีคนใจบุญอย่าง ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney) ที่สร้างมหาวิทยาลัยไปทั่วโลก

ความสัมพันธ์ของชาวโลกกับสหรัฐฯจึงเป็น love-hate relationship เรายอมรับความเก่งของเขา แต่เราก็กลัวความบ้าของเขา ไม่มีชาติใดในโลกอยากรบกับอเมริกัน ไม่มีใครอยากสู้กับหมาบ้า

ลีกวนยูเคยบอกว่า "ถามว่าผมอยากเหมือนอเมริกาไหม ใช่ ในด้านความสามารถประดิษฐ์คิดค้น ในด้านความคิดสร้างสรรค์... แต่อเมริกาที่ไร้ความสามารถควบคุมปัญหายาเสพติด - ไม่อยาก! หรือปัญหาปืน ไม่อยาก!"

ในปี 1961 สิงคโปร์จับซีไอเอสามคนข้อหาล้วงความลับ อเมริกาเสนอให้เงินสินบนหนึ่งล้านแก่พรรค PAP ของลีกวนยูเพื่อให้ปล่อยตัวคนของตน ลีกวนยูบอกว่า “อเมริกาซื้อผู้นำเวียดนามและประเทศอื่น ๆ มากจนคิดว่าผู้นำทุกคนในโลกซื้อได้หมด”

ลีกวนยูบอกว่าปัญหาของพวกตะวันตกคือ "hubris" (กร่าง โอหัง) hubris นี่จะทำลายตัวเอง

คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ไม่ต่างจากไทยหรือประเทศอื่นๆ จะพัฒนาการเมืองอเมริกาได้ ก็ต้องพัฒนาคนก่อน

ในคหสต. ปัญหาของคนอเมริกันคือความรู้รอบตัวต่ำมาก เมื่อได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน นักการเมืองพันธุ์กระหายเลือดก็ยังคงอยู่ได้ต่อไป และทำให้โลกป่วน สหรัฐฯสามารถยุติสงครามใหญ่ๆ ในวันนี้ได้ในอึดใจเดียว แต่เลือกไม่ทำ

โลกเรากว้างใหญ่พอที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แต่ไม่ใหญ่พอสำหรับพวกที่มีอีโก้สูงกว่าภูเขาเอเวอเรสต์ และความโลภลึกกว่า Mariana Trench

ไม่ว่าจักรวรรดิอเมริกาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วันหนึ่งมันก็เสื่อมและล้ม (บางคนว่ามันอยู่ในช่วงสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว) นี่ไม่ได้แช่ง แต่มันเป็นสัจธรรมโลก ประวัติศาสตร์หลายพันปีนี้สอนเราว่า ทุกจักรวรรดิล่มสลายเสมอ จำนวนมากล่มเพราะตัวเอง จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิอังกฤษ ("อาทิตย์ไม่เคยตกดิน") ล้วนล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว

มันเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเอง

วินทร์ เลียววาริณ
25-6-25

สำนักงานตำรวจแห่งชาติผนึกกำลังทุกภาคส่วนเปิดแคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” ชวนคนไทย "Strike Back” โต้กลับภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์  

(26 มิ.ย. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดโครงการ “Thai Cyber Ranger” แคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” ชวนคนไทย "Strike Back” โต้กลับภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตร์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.ตอท. และ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ ผบก.อก.บช.สอท. ร่วมกับ คุณตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป, รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี /ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต, คุณสถาพร คิ้วสุวรรณสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และ คุณสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น , อินฟลูเอนเซอร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ในนามกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ ได้ร่วมกับ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) , บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน), มูลนิธิพระราหู, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) และภาคเอกชนต่างๆ ได้ร่วมกันเปิดโครงการรณรงค์ ภายใต้ชื่อแคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” จุดประสงค์เพื่อชวนคนไทย "Strike Back” โต้กลับภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยโครงการดังกล่าวกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

แคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” อยู่ภายใต้โครงการ “Thai Cyber Ranger” ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิดอันสะท้อนภาพของภัยใกล้ตัวในยุคดิจิทัลอย่างชัดเจน เปรียบเสมือนการเตือนสติประชาชนให้รู้เท่าทันเล่ห์กลของมิจฉาชีพในโลกไซเบอร์ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล ให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตบนโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย รู้เท่าทันกลลวงอันซับซ้อนที่ซ่อนอยู่หลังหน้าจอ โดยมีเป้าหมายสำคัญที่สุดคือ ประชาชนปลอดภัย ไม่โอนเงินให้มิจฉาชีพ โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ให้ประชาชนระวังตัวก่อน “คลิก” ทุกครั้ง , กล้าตั้งคำถามก่อน “เชื่อ” ทุกข้อความ , ใช้วิจารณญาณก่อน “โอน” ทุกบาท โดยการกระตุ้นให้ตระหนักถึงภัยคุกคามทางเทคโนโลยีที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้งานโซเชียลมีเดีย หรือการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ 

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังปลูกฝังจิตสำนึกแห่งความระมัดระวังให้ประชาชน ด้วยการรู้จักตั้งข้อสงสัยเมื่อได้รับข้อความ โทรศัพท์ หรือการติดต่อจากบุคคลที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานทางกฎหมาย หรือสถาบันทางการเงิน ซึ่งในหลายกรณีมักใช้เทคนิคการโน้มน้าวทางจิตวิทยา การใช้เทคโนโลยีปลอมแปลงขั้นสูง เช่น Deepfake และการส่งลิงก์ปลอมหลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว โดยโครงการนี้ตั้งเป้าหมายเข้าถึงประชาชนไม่น้อยกว่า 10 ล้านคนในช่วง 2 เดือนแรก และคาดว่าสามารถช่วยลดจำนวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีมูลค่าความเสียหายไม่เกิน 1 ล้านบาท (ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นกว่า 90% ของคดีทั้งหมด) ได้ไม่น้อยกว่า 10% ภายในสิ้นปีนี้

โครงการ “Thai Cyber Ranger” มีกิจกรรมรณรงค์ด้วย 2 ช่องทางหลัก ได้แก่
1. ช่องทางออนไลน์ (Online Campaign) โดยผู้ร่วมแคมเปญร่วมกันเผยแพร่คลิปวิดีโอเตือนภัย, อินโฟกราฟิก, และกิจกรรมออนไลน์ในรูปแบบ Challenge ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Facebook, TikTok, Instagram, YouTube และ Threads โดยใช้ Influencer จากหลายสาขา เป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาเตือนภัยในรูปแบบสร้างสรรค์ พร้อมด้วยการติดแฮชแท็ก #รีบโอนโจรยิ้ม และสโลแกนเตือนสติ “รีบโอน = โจรยิ้ม” 

2. ช่องทางออฟไลน์ (On-Ground Campaign) โดยผู้ร่วมแคมเปญร่วมกันจัดแสดงสื่อประชาสัมพันธ์ตามจุดยุทธศาสตร์ เช่น จอ LED บนรถไฟฟ้า BTS/MRT และสื่อภายในร้าน 7-Eleven กว่า 15,000 สาขาทั่วประเทศ พร้อมกิจกรรมภาคสนามในพื้นที่ชุมชน เช่น การจัดนิทรรศการ บรรยายความรู้ การแจกสื่อเตือนภัยไซเบอร์ เป็นต้น 

นอกจากนี้ ภายในงานเปิดตัว ยังมีการจัดเสวนา “รู้ทันภัยไซเบอร์” นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., คุณตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป, รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี /ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต, คุณสถาพร คิ้วสุวรรณสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และคุณสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยมี ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าวชื่อดังเป็น ผู้ดำเนินรายการ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงจากผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อ และยังมีการจัด Workshop จำลองสถานการณ์หลอกลวงแบบต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกต "Red Flag" หรือ สัญญาณอันตรายได้อย่างแม่นยำ

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ นำคณะเยี่ยมชม บ.ฟูเรียร์ฯ เซี่ยงไฮ้ ร่วมศึกษาแนวทางพัฒนาหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์

ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและคณะ ศึกษาดูงานด้านการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์กับการจัดการภาครัฐ ณ บริษัท ฟูเรียร์ อินเทลิเจนซ์ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน 

(26 มิ.ย. 68) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร นายณรงเดช อุฬารกุล นายศุภโชติ ไชยสัจ นายกิตติภณ ปานพรหมมาศ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ นายวรภพ วิริยะโรจน์ น.ส.กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล และ น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ ศึกษาดูงานด้านการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์กับการจัดการภาครัฐ โดยบริษัท ฟูเรียร์ อินเทลิเจนซ์ เป็นบริษัทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์อเนกประสงค์ ที่พัฒนาแบบครบวงจร โดยบริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาหุ่นยนต์ใน 2 ประเภทหลัก คือ หุ่นยนต์ที่ช่วยในการฟื้นฟูสมรรถภาพการเคลื่อนไหว และหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์ การวิจัย และการใช้งานภายในบ้าน

ในการนี้ ผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร และคณะ ได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ในรูปแบบต่าง ๆ โดนศึกษาแนวคิดและวิธีการออกแบบ โครงสร้าง และกลไกการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ที่สอดคล้องกับการทำงานของมนุษย์ และการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถตอบโต้กับมนุษย์ได้ และศึกษาเรียนรู้การทำงานของอุปกรณ์และหุ่นยนต์แบบต่าง ๆ ที่ช่วยในการฟื้นฟูศักยภาพการเคลื่อนไหว รวมถึงร่วมทดสอบอุปกรณ์และหุ่นยนต์ดังกล่าว

นอกจากนั้น คณะได้หารือในประเด็น ต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนจากภาครัฐ การสรรหาและพัฒนาบุคลากร ปัญหาด้านกฎหมายที่ไม่สอดคล้องต่อการพัฒนาหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ การตอบสนองต่อความต้องการในอุตสาหกรรมการแพทย์และอุตสาหกรรมอื่น ความสามารถในการผลิตและการจัดจำหน่าย ความร่วมมือในเรื่องการวิจัยและพัฒนากับต่างชาติ และประโยชน์ของการใช้หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ในการด้านการแพทย์และการช่วยดูแลผู้ป่วย ทั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และคณะ เห็นว่าการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ภายในประเทศ พร้อมทั้งยังสามารถพัฒนาการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ที่ต้องการที่พึ่งพิงในประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยต่อไป

สมุทรปราการ-ครบรอบ 32 ปี รพ.ไทยนครินทร์ จัดงานฉลองลงนาม MOU 

(26 ม.ค. 68) โรงพยาบาลไทยนครินทร์ฉลองวาระครบรอบ 32 ปีของการให้บริการทางการแพทย์ ด้วยบทพิสูจน์แห่งการเติบโตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พร้อมตอกย้ำบทบาทใหม่ในฐานะ ‘Trustable Health Partner’ ที่มากกว่าการเป็นโรงพยาบาล ด้วยแนวคิดที่เน้นการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนและใส่ใจในทุกมิติของประชาชนทุกคน
นพ.เจริญ มีนสุข ประธานกรรมการบริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของความมั่นใจว่า “โรงพยาบาลไทยนครินทร์เปิดให้บริการแก่ประชาชนอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2536 

ด้วยปณิธานในการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบางนา โดยเริ่มต้นจาก 6 แผนกหลัก ได้แก่ อายุรกรรม ศัลยกรรม สูติ-นรีเวช ตา-หู-คอ-จมูก ทันตกรรม และกุมารเวชกรรม และด้วยแรงสนับสนุนจากความไว้วางใจของผู้รับบริการ โรงพยาบาลฯ จึงเติบโตและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา โดยขยายบริการดูแลรักษาเฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง อาทิ แผนกสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) และศูนย์ไตเทียม เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคหัวใจและไตอย่างมีประสิทธิภาพ 

ต่อเนื่องด้วยการเปิดศูนย์มะเร็งโฮลิสติค เพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจ ศูนย์โรคทางเดินอาหาร และศูนย์โรคเต้านม เพื่อรองรับโรคเฉพาะทางอย่างครอบคลุม รวมไปถึงศูนย์สมองและระบบประสาท ยกระดับการดูแลผู้ป่วยด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ล้วนเกิดจากการดูแลรักษาด้วยความใส่ใจ ความเข้าใจในความต้องการของผู้รับบริการ รวมถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านบุคลากรทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้บริการทางการแพทย์มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด จากจุดเริ่มต้นที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวบางนา 

ต่อมาเราได้ขยายการบริการไปสู่ประชาชนในเขตกรุงเทพตะวันออก และภาคตะวันออกของประเทศไทย และวันนี้เราพร้อมที่จะก้าวสู่การให้บริการระดับสู่สากล เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยต่างชาติอย่างเต็มศักยภาพ” 
ด้านคุณฐิติ สิหนาทกถากุล ประธานบริหาร ได้พูดถึงการปรับตัวเพื่อความยั่งยืน พร้อมเดินหน้าสู่อนาคต “นอกจากการดูแลรักษาโรคแล้ว โรงพยาบาลไทยนครินทร์ยังมุ่งสู่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการแพทย์แม่นยำที่ตอบโจทย์การวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลไทยนครินทร์ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด 

เพื่อตอบรับกับแนวโน้มการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการแพทย์สมัยใหม่ที่เน้นการป้องกันและความแม่นยำเฉพาะบุคคล โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเราได้เปิดตัว Thainakarin Wellness Center ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพองค์รวม ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการส่งเสริมสุขภาวะในทุกมิติของชีวิต หลังจากนั้นเราก็เปิดให้บริการ Linac Center ศูนย์รังสีรักษามะเร็งด้วยเทคโนโลยี Vital Beam ที่ทันสมัย สามารถควบคุมการกระจายของรังสีได้อย่างแม่นยำ ลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่อปกติ และเพื่อรองรับแนวโน้มกลุ่มโรคอ้วนและกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ด้วยแนวทางการดูแลรักษาแบบองค์รวมทั้งร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Life Style) มีการเปิดศูนย์ Healthy Weight Center 

และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา โรงพยาบาลไทยนครินทร์ได้ยกระดับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัว Thainakarin Precision Oncology Center (TPOC) ศูนย์มะเร็งมุ่งเป้าเฉพาะบุคคล ที่นำเทคโนโลยีการรักษาและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาปรับใช้กับการรักษาเฉพาะผู้ป่วยแต่ละรายอย่างแม่นยำและตรงจุด”
ล่าสุด โรงพยาบาลไทยนครินทร์ยังได้ขยายความร่วมมือในระดับนานาชาติ ด้วยการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท อาซานดา จำกัด (AASANDHA Co., Ltd.) จากประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐด้านสุขภาพที่สำคัญของประเทศ ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การดูแลผู้ป่วยต่างชาติด้วยมาตรฐานทางการแพทย์ระดับสากล ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนการรักษา การเดินทาง การพักฟื้น ตลอดจนบริการเฉพาะทางที่ครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนพันธกิจ “Growing with Trust” อย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นที่ขยายข้ามพรมแดน และความมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรสุขภาพที่เชื่อถือได้ในระดับภูมิภาค 

นอกจากนี้ยังได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพโดยการขยายเครือข่ายพื้นที่ให้บริการเพื่อเข้าถึงชุมชนมากยิ่งขึ้น โดยเปิดให้บริการ ไทยนครินทร์คลินิกเวชกรรม ตลาดทิพย์เกสร, โรงพยาบาลเฉพาะทางเต้านมและนรีเวชไทยนครินทร์ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา รวมถึงการร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคมเพื่อดูแลผู้ประกันตนด้านโรคหัวใจทั่วประเทศใน 4 หัตถการสำคัญเพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วขึ้น  ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงเป้าหมายของไทยนครินทร์ในการเป็น “ระบบสุขภาพที่ครบทุกมิติ” โดยไม่ยึดติดเพียงบทบาทของโรงพยาบาลเท่านั้น “เพราะเราเป็นมากกว่าโรงพยาบาล” เปรียบเสมือนผู้ที่เดินทางเคียงข้างกัน พร้อมดูแลกันในทุกช่วงเวลาสำคัญของชีวิต โรงพยาบาลไทยนครินทร์เราไม่ได้เติบโตจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หากแต่เติบโตจากความไว้วางใจที่ผู้ป่วยและครอบครัวมอบให้ โดยสะท้อนผ่านการออกแบบบริการที่เข้าใจทุกมิติของมนุษย์ ล่าสุดได้เปิดศูนย์สุขภาพเพศไทยนครินทร์ (Thainakarin Safe Space Center) เพื่อเป็นพื้นที่แห่งสุขภาพดีและปลอดภัยสำหรับทุกความแตกต่างหลากหลายทางเพศและอัตลักษณ์ รวมถึงการเปิด Bone and Body Wellness Center ที่พร้อมให้การดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ ให้การรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Medicine) ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและสหสาขาวิชาชีพ (Multidisciplinary Team: MDT)

เพื่อเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้ดีขึ้น
โรงพยาบาลไทยนครินทร์ในวันนี้เติบโตด้วยความไว้วางใจ (Growing with Trust) ก้าวสู่ปีที่ 32 อย่างสง่างาม ในบทบาทที่ชัดเจนยิ่งกว่าการเป็นสถานพยาบาล นั่นคือ “Trustable Health Partner” ที่พร้อมเดินเคียงข้างทุกคนในทุกช่วงของชีวิต ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นในศักยภาพและพลังของสุขภาพที่ดี “เพราะสุขภาพไม่ใช่แค่การรักษา แต่คือการได้รับความไว้วางใจให้เราดูแล” 

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘แยม-ฐปณีย์’ ได้พบชาวอุยกูร์ที่ซินเจียงแล้ว แต่เสียดายไม่ได้พบกลุ่มที่ถูกส่งกลับจากไทย

เมื่อวันที่ (25 มิ.ย. 68) แยม - ฐปณีย์ เอียดศรีไชย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงการได้ร่วมทริป นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร เดินทางเยือน เมืองอรุมชี เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยระบุว่า...

มาตามคณะประธานรัฐสภา อ.วันนอร์ 
เยือนซินเจียง ที่แรกเขาพามาที่
สถาบันอิสลามศึกษาซินเจียง
ก็ได้เห็นตามคณะไปก่อนนะคะ
เพราะมาภารกิจของประธานรัฐสภา
งานฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน
ไม่มีกำหนดพบชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ
แต่ถือว่าได้มาดูเมือง ดูในสิ่งที่อยากรู้
เท่าที่เวลาจะอำนวย เพียง 2 วัน

ตำรวจภูธรภาค 2 เร่งเครื่องเสริมแกร่ง พนักงานสอบสวน ติดอาวุธสุดล้ำทักษะ AI ปั้นรุ่น 3 ลดภาระงาน เพิ่มประสิทธิภาพ

(25 มิ.ย. 68) ที่ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 2 (ศฝร.ภ.2) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจพนักงานสอบสวนที่เข้าร่วม “การอบรมการใช้ AI เพื่อพัฒนางานสอบสวน รุ่นที่ 3” ซึ่งถือเป็นรุ่นสุดท้ายในโครงการยกระดับงานสอบสวนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ตำรวจภูธรภาค 2 ดำเนินการต่อเนื่อง

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นอย่างเข้มข้นในรูปแบบค่ายฝึกเฉพาะกิจ โดยมีพนักงานสอบสวนจากตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทราเข้าร่วม หลายคนสละเวลาจากงานประจำเพื่อมาเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์คดี แปลผลข้อมูล และจัดการเอกสารสำนวน ซึ่งเป็นจุดที่มักใช้เวลานานในระบบสอบสวนแบบเดิม

“ผู้เข้าร่วมได้รับการถ่ายทอดความรู้จาก ดร.สุขยืน เทพทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยเน้นการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ตั้งแต่ระบบช่วยวิเคราะห์หลักฐาน จัดเรียงเอกสารอัตโนมัติ ไปจนถึงการลดข้อผิดพลาดในการเขียนสำนวน โครงการนี้มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่
•ลดภาระงานซ้ำซ้อน ของพนักงานสอบสวน ด้วยการใช้ระบบอัจฉริยะมาช่วยจัดการข้อมูล
•เพิ่มความแม่นยำของสำนวนคดี ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI
•เร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมในกระบวนการยุติธรรม ให้เท่าทันโลกยุคดิจิทัล“

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยด้วยว่า การอบรมรุ่นที่ 3 นี้เป็นรุ่นสุดท้ายในเฟสแรกของโครงการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ เราไม่ได้แค่สอนใช้โปรแกรม แต่เรากำลังสร้างวัฒนธรรมใหม่ของการทำงานที่มีเครื่องมืออัจฉริยะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ โดยเราได้อบรมติดอาวุธทางเทคโนโลยีให้พนักงานสอบสวนใน ภ.2 รวมแล้วร่วมเกือบ 1,000 นาย

ตำรวจภูธรภาค 2 เชื่อมั่นว่าหลังจบการอบรม พนักงานสอบสวนจะสามารถนำ AI ไปใช้ได้จริงในงานประจำวัน ทั้งในด้านความเร็ว ความถูกต้อง และประสิทธิภาพ โดยคาดว่าผลลัพธ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ไม่น้อยกว่า 3 เท่า

“แม้จะเป็นการอบรมรุ่นสุดท้ายของโครงการนี้ แต่ทางตำรวจภูธรภาค 2 ยังเตรียมแผนติดตามผลการใช้งานจริงในพื้นที่ พร้อมรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาแนวทางฝึกอบรมในอนาคตให้ตอบโจทย์ภาคสนามมากยิ่งขึ้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ตำรวจภูธรภาค 2” ไม่ได้อยู่เฉยรอการเปลี่ยนแปลง แต่เลือกเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง พัฒนาเจ้าหน้าที่ให้พร้อมรับมือกับปัญหายุคใหม่ ทั้งการขาดแคลนบุคลากรและความซับซ้อนของคดี พร้อมเดินหน้าสู่การสอบสวนอัจฉริยะที่เท่าทันเทคโนโลยีโลกในทุกมิติ” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

สมุทรปราการ- 'อบีนาช มาจี้' CEO ร่วมเวทีสัมมนาระดับเอเชีย ตอกย้ำการเป็นผู้นำการจัดการขยะชุมชน

(25 มิ.ย.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ห้องฟูจิ 2 บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพฯ กลุ่มบริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP Group) ได้ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้นำด้านการจัดการขยะชุมชนและพลังงานสะอาดของประเทศไทย บนเวทีสัมมนาระดับภูมิภาค (เอเซีย) ในงาน “9th Waste Management & Waste to Energy Asia Summit Thailand Focus” 

ซึ่งจัดขึ้นโดย Innovation Networking Brainstorm Connection (INBC Global) โดยในงานนี้ นายอบีนาช มาจี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบริษัท EEP ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรปาฐกถาพิเศษ บรรยายภายใต้หัวข้อ “The latest development and future planning of EEP's waste management and Waste to Energy Business” การเข้าร่วมงานสัมมนาของกลุ่มบริษัท EEP ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจการบริหารจัดการขยะชุมชนอย่างครบวงจร 

ด้วยแนวทางที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่กับการมีส่วนร่วมของชุมชน ภาพรวมการดำเนินงานของ EEP Group บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP) ดำเนินธุรกิจบ่อฝังกลบขยะชุมชนภายในศูนย์บริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร ตั้งอยู่ที่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ 

โดยยึดแนวคิด Zero Waste ในการบริหารจัดการ รองรับขยะชุมชนจากรถเก็บขนขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบและนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ RDF สำหรับป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ภายใต้ บริษัท ราชบุรี-อีอีพี รีนิวเอเบิ้ล เอนเนอจี้ จำกัด (R-EEP) รวมถึงบริการเก็บขนขยะชุมชนให้แก่บางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ

มายังบ่อฝังกลบขยะของบริษัท EEP ดำเนินงานโดย บริษัท สมุทรปราการ รีนิวเอเบิ้ล เอเนอร์จี้ จำกัด (SRE) และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะชุมชนและบริหารจัดการโรงไฟฟ้า ทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ จำนวน 1 โรง และขนาดกำลังการผลิต 3.0 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โรง ของบริษัท มหานคร กรีน เอเนอร์จี้ จำกัด (MHG) โดยมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2569

บริษัท EEP มีเป้าหมายในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร ภายใต้การนำของนายอบีนาช มาจี้ CEO กลุ่มบริษัท EEP โดยใช้แนวคิดการบริหารจัดการขยะชุมชน แบบ 360 องศา ซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ ด้วยการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอย่างเป็นระบบ ควบคู่กับความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว อาทิเช่น การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการจัดการก๊าซมีเทน โดยใช้วัสดุเสมือนดินที่ได้จากกระบวนการรื้อร่อน มาเป็นวัสดุปิดทับขยะบริเวณบ่อฝังกลบ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นชั้น Methane oxidation layer : MOL ช่วยลดปริมาณก๊าซมีเทนและกลิ่นจากการฝังกลบขยะได้ พร้อมนำนวัตกรรมการฝังกลบแบบกึ่งเติมอากาศ (Semi-aerobic landfill) มาใช้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย รวมถึงใช้โดรนตรวจวัดอุณหภูมิ (Thermal Drone) เพื่อตรวจจับความร้อนสะสม (Hot spot) ลดความเสี่ยงการเกิดไฟไหม้ในหลุมฝังกลบขยะ

ในด้านการจัดการกลิ่น กลุ่มบริษัท EEP ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ในการนำเทคโนโลยี E-Nose (จมูกอิเล็กทรอนิกส์) มาติดตั้งในพื้นที่ชุมชนโดยรอบ พร้อมระบบแจ้งเตือนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงติดตั้งระบบตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพอากาศโดยรอบในพื้นที่ชุมชนและสถานประกอบการ

วิสัยทัศน์เพื่ออนาคตด้วยวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของผู้บริหารกลุ่มบริษัท EEP ในการเป็นผู้นำด้านการจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืนระดับประเทศ โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในการวิจัยและพัฒนาโครงการในอนาคตเพื่อยกระดับการบริหารจัดการขยะในระดับประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero Emission ของประเทศไทย และแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุม COP26 ที่มุ่งเน้นการจำกัดอุณหภูมิโลก และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน กลุ่มบริษัท EEP มุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับชุมชน สังคมในจังหวัดสมุทรปราการและประเทศชาติอย่างแท้จริง


 

‘แม่ทัพภาค 2’ ลั่น หากกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน พร้อมตอบโต้ จะไม่พูดคุยแม้แต่คำเดียว ยัน เราจะไม่ยิงก่อน ชี้ ไม่มีแผ่นดิน ประเทศชาติอยู่ไม่ได้

เมื่อวันที่ (24 มิ.ย. 68) ที่สโมสรร่วมเริงชัย กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางมารับมอบเครื่องใช้อุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง และผักสด จากกลุ่มองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ชาวจังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำไปมอบให้เป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น

พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ร่วมกันมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคในครั้งนี้ โดยได้กล่าวว่า ตนได้ไปต้อนรับ ผบ.ทบ. และได้ไปตรวจเยี่ยมกำลังพลที่แนวชายแดน ได้เจอพี่น้องชาวบ้านในพื้นที่มาต้อนรับก็รู้สึกดีใจ และเป็นกำลังใจ ทั้งเด็กเล็ก น้อง ๆ เยาวชน โรงเรียน เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการ ประเทศชาติแผ่นดินนี้ต้องการ พี่น้องประชาชนมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในเวลานี้ เราไม่ได้สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น สนใจแต่ว่าแผ่นดินต้องเป็นของเรา แผ่นดินนี้ต้องไม่สูญไปไหน เราต้องรักษาไว้ให้ลูกหลานของเรา ตนเข้าใจทุกคน ที่มายืนพูดที่นี่ พูดได้ไม่นาน พูดไปมันเหมือนกับน้ำตาจะร่วงอะไรสักอย่างนึง ตนเข้าใจ ที่ตนพูดได้เพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ ตนชินกับความรู้สึกนี้แล้ว ชินกับน้ำจิตน้ำใจ ตนอยู่กับประเทศชาติอยู่กับแผ่นดิน ตนจะพูดคำว่าแผ่นดินบ่อยมาก ประเทศชาติยังสู้แผ่นดินไม่ได้ ถ้าไม่มีแผ่นดิน ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้

พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหมดที่นำมามอบให้ ตนจะนำไปมอบให้น้อง ๆ ทหารแนวหน้าด้วยมือของตนเอง ตนยืนยันทหารที่อยู่กับตนปลอดภัยแน่นอน ถ้ายิงก่อน ตนจะไม่พูดไม่คุยแม้แต่คำเดียว แต่เราก็จะไม่ยิงก่อนเหมือนกัน แต่ถ้ายิงก่อน คุณต้องทำใจ ทุกอย่างเตรียมไว้หมด พร้อมหมดแล้ว ฉะนั้นให้มั่นใจว่า ตนจะพาน้อง ๆ ทหารทุกคนทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด แล้วก็สัญญาว่าแผ่นดินนี้ก็ไม่มีไปไหน อยู่กับพวกเราไปตลอดชั่วลูกชั่วหลาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top