Friday, 26 April 2024
NEWS

พิษณุโลก-กองทัพภาคที่ 3 นำเยาวชนทัศนศึกษานอกสถานที่ในพื้นทรากรุงเทพมหานคร และกองทัพภาคที่ 4 เพื่อเรียนรู้และสร้างเสริมประสบการณ์ ในช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน

พลตรี สมบัติ บุญกอแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 3/เสนาธิการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วย คุณพธู บุญกอแก้ว รองประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 3 ให้การต้อนรับเยาวชนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 พบปะพร้อมให้โอวาทแก่เยาวชนที่ร่วมโครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่ ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ก่อนจะเดินทางไปยังแหล่งเรียนรู้และสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ห้วงวันที่ 26 -29 เมษายน 2567

โครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่ให้กองทัพภาคที่ 1-4 จัดกิจกรรมนำเยาวชนในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1-4 เดินทางไปทัศนศึกษาห้วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคการศึกษา โดยเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นเยาวชนที่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า (อายุระหว่าง 11-18 ปี) ประกอบด้วย เยาวชนที่เป็นบุตรหลานกำลังพลและได้รับคัดเลือกเป็นมัคคุเทศก์น้อย มีความสามารถในการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เยาวชนในโครงการ ทหารพันธุ์ดี “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” และเยาวชนที่สนใจเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาในส่วนของกองทัพบก รวมทั้งสิ้น 36 คน 

ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้สภาพแวดล้อมทางสังคม ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รวมถึงการดำเนินงานตามศาสตร์พระราชา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งให้เยาวชนมีความรักและภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนได้รับทราบภารกิจของทหารในการปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ สำหรับสถานที่ที่จะนำเยาวชนไปทัศนศึกษา โดยมีสถานที่สำคัญดังนี้ พิพิธภัณฑ์ครุฑ จังหวัดสมุทรปราการ,กำแพงอนุสรณ์สถาน ,พิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก , อนุสาวรีย์วีรไทย 2484 (พ่อจ่าดำ) ,ห้องประวัติศาสตร์และหอเกียรติยศกองทัพภาคที่ 4, หมู่บ้านคีรีวง ,วัดถ้ำเขาขุนพนม และวัดเจดีย์(ไอ้ไข่) จังหวัดนครศรีธรรมราช 

‘สส.เกรียงยศ’ ตามติด ‘กทม.’ พัฒนาพื้นที่ริมคลองโอ่งอ่าง คืนชีพ ‘แลนด์มาร์ก กทม.’ ผ่าน 4 กิจกรรมตลอดปี

(26 เม.ย. 67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า ล่าสุดทางกรุงเทพมหานครออกมาให้ข่าว โดยจะมีโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณริมคลองโอ่งและจัดกิจกรรมตลอดปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า ประกอบด้วยกำหนดจัดงานพื้นที่คลองโอ่งอ่าง 4 เทศกาล ดังนี้ 

1. จัดกิจกรรมเทศกาลวันสงกรานต์ ‘Bangkok Water Festival 2024 เทศกาลวิถีน้ำ…วิถีไทย’ ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 13-15 เม.ย. 2567 ซึ่งจัดไปแล้ว

2.เทศกาลลอยกระทง 2024 ระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย. 2567

3.Book & Gift Fest (Dec) 2024 ระหว่างวันที่ 20-22 ธ.ค. 2567 

และ 4.Food & Faith Street อร่อยเด็ด ร้านดังมูปังที่โอ่งอ่าง 2025 ช่วงเทศกาลตรุษจีน และมีการจำหน่ายอาหารร้านเด็ดทั่วกรุง ทุกศุกร์เสาร์อาทิตย์สิ้นเดือน

นายเกรียงยศ กล่าวว่า โดยทางกรุงเทพมหานครระบุว่า เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากตนได้นำปัญหาคลองโอ่งอ่างที่เงียบเหงา ถูกกรุงเทพมหานครปล่อยทิ้งกว้างไปตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎร

นายเกรียงยศ กล่าวว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการ และชาวชุมชนคลองโอ่งอ่าง ที่กรุงเทพมหานครยอมฟังเสียงสะท้อนที่สื่อออกมา จนข้อเรียกร้องประสบความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ข้อเรียกร้องยังไปไม่สุดไม่รู้ว่าจะทำจริงตามที่พูดหรือไม่ หรือเป็นเพราะเป็นเพียงแค่ลมปากที่กรุงเทพมหานครสื่อออกมา แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่กรุงเทพมหานครที่เล็งเห็นถึงความสำคัญเสียงสะท้อนที่ตนนำมาอภิปรายในสภาฯ

“ผมก็ต้องติดตามต่อไปว่า กรุงเทพมหานคร จะจริงจังกับการจัดกิจกรรมเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้คลองโอ่งอ่างกลับมาเป็นแลนด์มาร์กเหมือนในอดีต หรือเป็นเพียงแค่คำพูดเพื่อลดกระแสเท่านั้น” นายเกรียงยศ กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อว่า เท่าที่ฟังกรุงเทพมหานครชี้แจงรูปแบบการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ก็ต้องรอพิสูจน์ฝีมือว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรยากถ้าสานต่อโครงการที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม.ได้ทำไว้จะเดินหน้าต่อไปได้ เพราะได้เริ่มนับหนึ่งไว้ให้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ขอส่งเสียงไปถึงกรุงเทพมหานครว่า ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่จำเป็นจะต้องให้ใครออกมากระตุ้นถึงจะดำเนินการ เพราะความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งที่รอไม่ได้

“ผมยังติดตามโครงการอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานครที่เคยทำมาแล้วเงียบหายไปอีกหลายพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกันก็เริ่มมีหลายชุมชนเข้ามาให้ข้อมูลอยากให้ผมช่วยเป็นกระบอกเสียง หลังจากเห็นว่าโครงการคลองโอ่งอ่างที่ผมนำไปเรียกร้อง กรุงเทพมหานครเห็นความสำคัญ ผมก็จะนำมาพิจารณาว่า สิ่งไหนที่ควรจะทำเป็นอันดับแรก เพื่อติดตามการทำงานของกรุงเทพมหานครต่อไป ถือว่าเป็นการช่วยกันพัฒนา กทม.ในทุกมิติ อย่าคิดว่าเป็นการจับผิด” นายเกรียงยศกล่าว

ชื่นชม!! ‘น้องกิจ’ พ่อค้าวัย 14 ทำงานหนักเพื่อครอบครัว เริ่มขายของตั้งแต่เช้ายันค่ำ หวังอยากเห็นพ่อแม่สบาย

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘The Amazing Life’ ได้โพสต์เรื่องราวของ ‘น้องกิจ’ เด็กชายวัย 14 ปี ที่สู้ชีวิต มุ่งหน้าหาเงินเลี้ยงพ่อแม่ตั้งแต่ ป.1 ทำงานขายของตั้งแต่ตี 5 จนถึง 3 ทุ่ม โดยมีเนื้อหาดังนี้…

กิจคือเด็กอายุ 14 ที่ช่วยพ่อแม่ ขายของมาตั้งแต่ ป.1 และไม่เคยมีวันหยุด นาฬิกาชีวิตของเขาเริ่มต่อสู้ตั้งแต่ตี 5 จนถึง 3 ทุ่ม ทุกเช้ากิจต้องตื่นตี 5 มาชงไมโล กาแฟ และเอาปาท่องโก๋ที่แม่กิจทอด ขึ้นรถจักรยาน ปั่นขายทั่วหมู่บ้าน จากนั้นก็รีบไป รร. ละหลังเลิกเรียนก็รีบมาขายโตเกียวที่ตลาด จนถึง 3-4 ทุ่ม ‎

แม่ของน้องกิจมีปัญหาเรื่องข้อเท้าทำให้เดินไม่ค่อยได้ พ่อน้องกิจประกอบอาชีพกรรมกร เงินไม่พอใช้ น้องกิจเลยบอกพ่อว่าเรามาทำโตเกียวดีไหม เด็ก ๆ ที่โรงเรียนชอบกิน นั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘กิจโตเกียว’

กิจเป็นเด็กที่มีความจริงใจมาก น้องพูดซื่อ ๆ ในทุกคำตอบ แต่เป็นคำตอบ ที่ทำให้คนวัย 20 กว่าอย่างเรา ได้แต่ถามตัวเองว่า บนโลกนี้จะมีเด็กอายุ 14 ที่อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอแบบนี้ สักกี่คน

ถ้าย้อนกลับไปตอนเรา ป.1 เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรเป็นบ้าง แต่สำหรับ ‘กิจ’ นั้น คือจุดเริ่มต้นของ ‘กิจโตเกียว’ การทำงานหาเงินช่วยแม่ที่ป่วย และพ่อที่ทำอาชีพก่อสร้าง เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน และเมื่อเขาเติบโตมาจนถึงอายุ 14 ปี ช่วงเวลาแห่งความสุขหลังเลิกเรียนของเขาก็หายไป เพราะเขาต้องเข็นรถเข็นไปขายโตเกียวตั้งแต่เลิกเรียนจนถึง 3 ทุ่มทุกวัน…ไม่มีวันหยุด

แต่ละคำถามที่เราถามน้อง เป็นคำถามง่าย ๆ เช่น เราถามว่าน้องมีเป้าหมายสูงสุดอะไรในชีวิตตอนนี้ น้องบอกว่า น้องอยากทำทุกอย่างให้เป็น น้องอยากเห็นพ่อกับแม่นอนสบาย ๆ สักวัน หรือได้ไปเที่ยวแบบที่คนอื่นบ้าง

คุยไปสักพักเริ่มสนิทกัน เราถามกิจว่า กิจ ทำไมแกไม่ค่อยพูดเลยอะ หรือแกเหนื่อย กิจบอกว่า ผมไม่ค่อยชอบพูด แต่ผมชอบทำงานมาก ๆ เลยครับ พี่ปอนอยากกินไส้ไหนเป็นพิเศษไหมครับ ผมจะตั้งใจทำให้ เห็นพี่มาไกล (เชี่ยยย เด็กอายุ 14 คิดแบบนี้ได้จริงดิ)

อีกหนึ่งความน่ารักคือ ระหว่างขายจนดึก น้องนั่งยิ้มให้ลูกค้าตลอดเวลา น้องไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีวิทยุ หรืออะไรใด ๆ เราถามน้องว่า ไม่เหงาหรอ อยู่เงียบ ๆ แบบนี้ ตั้งหลายชั่วโมง น้องบอกว่า ผมกลัวลูกค้าหาย เดี๋ยวผมไม่มีเงินไป รร.น้องพูดจบพร้อมหัวเราะแบบเขิน ๆ

การเจอกับน้อง เราไม่สามารถบรรยายเป็นตัวอักษรได้ว่ามันงดงามแค่ไหน มันเติมกำลังใจให้เราทำงานแค่ไหน เราอยากให้ทุกคนลองเจอกับน้องเอง รอยยิ้มของน้องสดใส และมีพลังมากจริง ๆ สุดท้ายเราถามกิจว่า สำหรับกิจ พ่อแม่มีความหมายอย่างไร กิจตอบสั้น ๆ ว่า ‘เท่าชีวิตครับ’

ท้ายที่สุดแล้วชีวิตคงเป็นแบบนี้แหละมั่ง เราอาจสร้างมาให้สู้กับชีวิตตั้งแต่เช้า เรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน โดยกิจเริ่มเร็วกว่าหลาย ๆ คน และเลิกช้ากว่าหลาย ๆ งาน อาหารทุกอย่างที่กิจทำ เราไม่ได้ซื้อซ้ำเพราะความสงสารแต่อย่างใด แต่มันมีรสชาติที่กลมกล่อมอยู่ในนั้นจริง ๆ กิจตั้งใจทำทุกชิ้น จนเราได้แต่สงสัยว่า ทำไมเด็กอายุ 14 ถึงมีสมาธิและรักในสิ่งที่ตนเองทำได้ขนาดนี้

บางครั้งคนที่เป็นแรงบันดาลใจ ก็ไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่อาจเป็นคนที่ยิ้มให้ กับชีวิตเสมอมาอย่างกิจก็ได้ แกต้องสู้ต่อไปนะกิจ แกต้องทำแบบที่เราคุยกันให้ได้นะ ถ้าไปปากเกร็ดอีก เราจะไปกินให้แหลกอีกครั้ง แกมันโคตรน่ารักเลย เจ้าเด็กสู้ชีวิตของจริง

‘กทม.’ ยกระดับสร้าง ‘ทางเท้า’ มาตรฐานใหม่ 16 เส้นทาง เน้นความแข็งแรงทนทาน - ลุยนำศิลปะมาใช้กับฝาท่อ

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายณัฐพล นาคพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนก่อสร้างและบูรณะ 1 สำนักงานก่อสร้างและบูรณะ สำนักการโยธา นางสาวสุขวิชญาณ์ นสมทรง ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน นำคณะสื่อมวลชนสำรวจทางเท้าบริเวณถนนราชดำริและถนนเพลินจิต และชมการปรับปรุงฝาท่อที่ออกแบบให้มีความโดดเด่นและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ประจำย่านราชดำริ-เพลินจิต โดยทางเท้าบริเวณนี้ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางนำร่องในการใช้มาตรฐานทางเท้าใหม่ที่จะมีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น มีความเป็น Universal Design มากขึ้น และมีการปรับให้ทางเข้าออกอาคารกับทางเท้ามีความสูงที่ใกล้เคียงกัน

โดยโฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครมีเป้าหมายในการพัฒนาทางเท้าของกรุงเทพมหานครให้เดินได้ เดินดี และน่าเดิน โดยในระยะแรกตั้งเป้าไว้ 1,000 กิโลเมตร ผ่าน 3 วิธี คือ การทำใหม่ทั้งเส้นทาง การปรับปรุงซ่อมแซมจุดที่ชำรุดเป็นการเร่งด่วน และการปรับใช้นวัตกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่

>> มุ่งเป้าทำทางเท้ามาตรฐานใหม่ 16 เส้นทาง

โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวต่อไปว่า สำหรับการทำใหม่ทั้งเส้นทางมีการดำเนินการ 2 รูปแบบ โดยในส่วนพื้นที่ชั้นในและเส้นทางที่มีผู้คนสัญจรหนาแน่นจะปูโดยใช้กระเบื้องตามมาตรทางเท้าใหม่ ซึ่งฐานรากจะต้องเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหนา 10 เซนติเมตร ที่จะสามารถเพิ่มความแข็งแรงของทางเท้าได้ ปัจจุบันทางเท้าของ กทม. ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงทั้งเส้นทางด้วยมาตรฐานทางเท้าใหม่มี 16 เส้นทาง ยกตัวอย่างเช่น ถนนราชดำริ เพลินจิต อุดมสุข เป็นต้น และมีภายในปี 2567 นี้มีแผนจะดำเนินการตามมาตรฐานทางเท้าใหม่ในลำดับต่อไปอีก 38 เส้นทาง และ 22 เส้นทางในปี 2568

ในส่วนพื้นที่ชานเมืองบางเส้นทางซึ่งการสัญจรไม่หนาแน่นจะใช้วิธีปูด้วยแอสฟัลต์ ขณะนี้ได้ดำเนินการเส้นทางนำร่องแล้วที่ถนนพุทธบูชา (เขตทุ่งครุ) และทั้งสองฝั่งของถนนคุ้มเกล้า (เขตลาดกระบัง) และกำลังขยายไปยังถนนทางรถไฟสายเก่า (ปากน้ำ) ถนนพุทธมณฑลสาย 1 และถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ด้วย

โดยการปรับปรุงแต่ละเส้นทางก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างออกไป เช่น ถนนเพลินจิตและราชดำริ มีการนำศิลปะมาใช้กับฝาท่อ ผ่านการออกแบบให้มีความโดดเด่นและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ประจำย่านราชดำริ-เพลินจิต ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง รวมทั้งจะพัฒนาในเส้นทางอื่น ๆ ให้กลายเป็น 1 ในสัญลักษณ์ของเมืองเหมือนกับญี่ปุ่นที่มีการดึงเอาฝาท่อกับสัญลักษณ์ประจำเมืองมาผสมผสานกัน

นอกจากนี้ ยังปรับรางระบายน้ำตลอดแนวถนน จากรูปแบบเดิมที่เป็นช่องระบายน้ำติดกับฟุตบาท มาเป็นรางระบายน้ำตลอดแนวถนน เพื่อช่วยระบายน้ำท่วมขังบนถนนได้เร็วขึ้น

โฆษกกรุงเทพมหานคร ยังกล่าวอีกว่า กทม.จะยึด 5 แนวทางในการพัฒนาปรับปรุงทางเท้า คือ 1.แก้ไขตามประเด็นเรื่องร้องใน Traffy Fondue 2.พัฒนาปรับปรุงตามแนว BKK Trail 500 กม. 3.ภายในรัศมี 500 เมตรรอบสถานีรถไฟฟ้า ทางเท้าต้องดี 4.ปรับปรุงในเส้นทางที่มีคนสัญจรหนาแน่น ตามข้อมูล Heatmap ที่เก็บได้นอกเหนือจากรัศมีรถไฟฟ้า 5.คืนสภาพจากหน่วยงานสาธารณูปโภค โดยติดตามเร่งรัดการจัดการสาธารณูปโภคที่ทำให้เกิดผลกับพื้นผิวจราจรและทางเท้า อาทิ ประปา ไฟฟ้า การนำสายไฟลงดิน

>> มาตรฐานใหม่ 10 ข้อ เริ่มนำร่องกับ 16 เส้นทางในกรุงเทพฯ

นายณัฐพล นาคพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนก่อสร้างและบูรณะ 1 กล่าวถึงมาตรฐานใหม่ของทางเท้ากรุงเทพฯ 10 ข้อ คือ

1. ลดระดับความสูงคันหินทางเท้า เป็นแบบรางตื้นสูง 10 เซนติเมตร
2. ลดระดับความสูงคันหินทางเท้าบริเวณทางเข้าออกอาคารหรือซอยต่าง ๆ ให้สูง 10 เซนติเมตร จากเดิม 18.50 เซนติเมตร
3. เปลี่ยนพื้นทางเท้าเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ด้วยคอนกรีตหนา 10 เซนติเมตร และเสริมเหล็ก 6 มิลลิเมตร
4. ปรับทางเข้า-ออกอาคารให้มีระดับเสมอกับทางเท้า เพื่อให้ผู้ใช้ทางเท้าทุกคนสามารถผ่านได้อย่างต่อเนื่อง สะดวกสบาย
5. ปรับทุกทางเชื่อมและทางลาดให้มีความลาดเอียง 1:12 ตามมาตรฐานสากล
6. เพิ่มรูปแบบทางเลือกวัสดุปูทางเท้า เป็นแอสฟัลต์คอนกรีตพิมพ์ลาย
7. เปลี่ยนช่องรับน้ำจากแนวตั้งให้เป็นแนวนอน เพื่อเพิ่มอัตราการไหลของน้ำ
8. วางแนวทางการจัดตำแหน่งระบบสาธารณูปโภคบนทางเท้า เพื่อไม่ให้กีดขวางผู้ใช้ทางเท้า
9. วางอิฐนำทาง (Braille Block) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา
10. ปรับปรุงแบบคอกต้นไม้ด้วยวัสดุพอรัสแอสฟัลต์ เพื่อขยายพื้นที่ทางเท้าให้กว้างขึ้น

>> ทางเท้าชำรุด เน้นรู้ไว ซ่อมเร็ว สภาพดี เพื่อความปลอดภัย

นายณัฐพล กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการปรับปรุงและซ่อมแซมทางเท้าที่ชำรุด กทม. โดยสำนักการโยธาและสำนักงานเขตที่รับผิดชอบแต่ละพื้นที่จะใช้หน่วยเคลื่อนที่เร็ว (BEST) ออกดำเนินการซ่อมแซมให้เร็วที่สุด และให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย หากจุดไหนสามารถทำเป็นทางเท้ามาตรฐานใหม่ได้จะมีการปรับปรุงด้วยเช่นกัน โดยที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาในการแจ้งผ่าน Traffy Fondue เมื่อพบเห็นจุดที่ชำรุดหรือเสี่ยงต่ออันตราย ทำให้เขตรับทราบปัญหาอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการลงพื้นที่สำรวจด้วยตนเอง

สำหรับเส้นทางที่ไม่เหมาะสมในการทำทางเท้าขึ้นมา หรือ เช่น ในตรอกซอกซอย หรือในพื้นที่ที่มีทางเท้าแคบ ได้มีการรื้อย้ายสิ่งกีดขวางทางเท้า และใช้หลากหลายวิธีให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ เช่น การขีดสีตีเส้นช่วยแบ่งแนวให้คนเดินเท้า การนำพอรัสแอสฟัลต์ซึ่งน้ำซึมทะลุได้มาล้อมคอกต้นไม้เพื่อเพิ่มความกว้างของทางเท้าให้มากยิ่งขึ้น เป็นต้น

ทั้งนี้ สำหรับการดูแลทางเท้าใหม่ นางสาวสุขวิชญาณ์ นสมทรง ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน กล่าวว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทำความสะอาด เจ้าหน้าที่เทศกิจกวดขันหาบเร่แผงลอย และตรวจจับรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่บนทางเท้า เพื่อรักษาทางเท้าให้มีสภาพสมบูรณ์มากที่สุด 

เกือบรอด! หนีหมายจับ 19 ปี สืบนครบาล ตามรวบ ผู้ต้องหาคดีครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย หนีกบดาน 19 ปี อีก 5 เดือนหมดอายุ

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยเฉพาะปราบปราบผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่บ่อนทำลายประชาชนในสังคมและประเทศชาติ

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์  รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.ฯ , พ.ต.อ.วิชิต  ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1ฯ, พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1ฯ , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.สส.1ฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.สส.1ฯ พร้อมชุดปฎิบัติการที่ 2 ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.สุนิสา จงจิตร สหาวุธ อายุ 43 ปี ที่อยู่ 6 ม.9 ต.ตระค้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 814/2547 ลง 15 พ.ย.2547

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ พรบ.ยาเสพติดให้โทษ (เมทแอมเฟตามีน-ครอบครอง เพื่อจำหน่าย) ”

โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้าน ต.แก่งเสี้ยน อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี

ก่อนการจับกุม เจ้าหน้าที่สืบนครบาล สืบทราบว่าผู้ต้องหารายนี้ได้กำลังหลบหนีหมายจับคดียาเสพติด ผู้ต้องหากับกลุ่มเพื่อนได้ถูกตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ทำการล่อซื้อยาเสพติด และได้ถูกจับกุม เมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งในชั้นศาลผู้ต้องหากับพวก ได้ทำการประกันตัวในชั้นศาล และได้หลบหนีจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยใช้ชีวิตเป็นแม่บ้านหรือลูกจ้างตามที่ต่างๆ ที่ไม่มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมเป็นเวลายาวนานกว่า 19 ปี ก่อนที่จะจนมุมถูกสืบนครบาลรวบก่อนหมายจับหมดอายุความเพียง 5 เดือน จากนั้นได้นำส่งไปยังที่ทำการศาลอาญากรุงเทพใต้ ในเวลาเปิดทำการ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ทำการหลบหนีจริง เพราะไม่ต้องการติดคุก โดยระหว่างหลบหนีทำอาชีพรับจ้างเป็นแม่บ้าย หรือลูกจ้างที่ต่างๆ ที่ไม่ตรวจสอบประวัติ ก่อนที่สุดท้ายจะหลบหนีไปอยู่ที่กาญจนบุรี

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่าคดีนี้ผู้ต้องหามีประวัติคดีจำหน่ายยาเสพติดโดยอาศัยโอกาส หลบหนีคดีจากเจ้าหน้าที่ถึง 19 ปี การแจ้งข้อมูลข่าวสารของประชาชนต่างๆของเพื่อนสืบนครบาลเราจะทำให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติงาน สูงสุด ซึ่งหากผู้ใดมีเบาะแสการกระทำความผิด โปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจ “สืบนครบาล IDMB” เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพราะแม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”

ผบ.ทร. ประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ 25 เม.ย.67 เวลา 13.00 น. พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า (นรจ.) และนักเรียนดุริยางค์ (นดย.) ที่สำเร็จการศึกษาประจำปี 2566 จากโรงเรียนชุมพลทหารเรือ โรงเรียนสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ 

โรงเรียนทหารนาวิกโยธิน โรงเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนพลาธิการ โรงเรียนนาวิกเวชกิจ โรงเรียนการขนส่งทหารเรือ และโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้มีผู้เข้ารับการประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตร จำนวน 1,031 นาย ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนจ่าทหารเรือจำนวน 1,017 นาย และนักเรียนดุริยางค์ฯ จำนวน 14 นาย

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบโอวาทแก่ นักเรียนจ่าและนักเรียนดุริยางค์ทุกนาย โดยมีใจความสำคัญว่า การสำเร็จการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ ซึ่งได้รับการประดับเครื่องหมายยศเป็น “จ่าตรี” ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่น่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นผลจากความมุ่งมั่น ความวิริยะอุตสาหะ และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ โดยนับจากนี้ไปจะต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการศึกษาไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความสำนึกในความเป็นทหารเรือ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย มีคุณธรรม และจริยธรรมตามที่ได้กล่าวคำปฏิญาณตนไว้ ตลอดจนต้องหมั่นศึกษาพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง และกองทัพเรือสืบไป

สำหรับการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ มีการศึกษาในรูปแบบภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยนักเรียนจ่าจะใช้ระยะในการศึกษาเป็นเวลา 2 ปี และนักเรียนดุริยางค์จะใช้เวลา 3 ปี ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย จะได้รับการประดับยศเป็น “จ่าตรี” และจะได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามสาขาวิชาการที่ได้ศึกษาในหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดตามรายละเอียดการสมัครของนักเรียนจ่าได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “นักเรียนจ่าทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานนักเรียนจ่าทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3663 สำหรับรายละเอียดการสมัครของนักเรียนดุริยางค์สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ ธุรการโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3054 

บุรีรัมย์-วัดพุทธบูชา โคกปราสาทจัดพิธีพุทธาภิเษก "ท้าวเวสสุวรรณจันทรา ปางพระคุณ ปางพระเดช"เข้มขลัง ยิ่งใหญ่มีสาธุชนเข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

สาธุชนกว่า 500 คน แห่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกศักดิ์สิทธิ์"ท้าวเวสสุวรรณจันทรา ปางพระคุณ ปางพระเดช" เป็นจำนวนมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567ที่ผ่านมาที่วัดพุทธบูชาป่าโคกประสาท ตำบล หนองปล่องอำเภอ ชำนิ จังหวัด บุรีรัมย์ พระครูปลัดวิชาญ ธัมมะโซโต เจ้าอาวาสวัด) จัดพิธีพุทธาภิเษก "ท้าวเวสสุวรรณจันทรา ปางพระคุณ ปางพระเดช" โดยมี คุณ โกสินธ์  จินาอ่อน  คุณ จุฬาลักษณ์ สยมชัย ประธาน ดำเนินการสร้างถวาย โดยมี นายโชคไชย สว่างรัตน์ นายอำเภอชำนิ ร่วมเป็นประธานเปิดธูปเทียนแพ เบิกเนตรท้าวเวสสุวรรณจันทราพร้อมด้วยคณะลูกศิษย์ผู้มีความศรัทธาในครูบาอาจารย์ นาย ธนโชติ ธนะกิจมงคลกุลเป็นเจ้าภาพนำลิเก มาเล่นถวายท้าวเวสสุวรรณจันทราพร้อมด้วยร้านสมพรการยางนำภาพยนตร์มาฉาย 2 จอในคืนเดียวกันด้วยความศรัทธาในองค์ปู่เวชสุวรรณจันทราในพิธีทางวัด ตั้งเครื่องบวงสรวงเทพเทวดาพร้อมพ่อพราหมณ์ สิทธิพันธ์ กล่อมเกลี้ยง กล่าวโองการ จากนั้นได้ทำพิธีพุทธาภิเษก โดยพระเกจิ 5 รูป อธิษฐานจิต 4 ทิศ ประกอบด้วย พระครู ธวัชปรียาจารย์

พระครสังฆการปรีชา ศิษย์หลวงปู่หงษ์
พระครูภาวนาสุตตาภิรมย์ศิษย์หลวงปู่ฤทธิ์
พระครูปลัดวิชาญ ธรรมโชโต ศิษย์หลวงปู่เอี่ยม
พระครูปลัดธรรมทัต
ศิษย์หลวงปู่เหมือนประสาทพร

พระครูปลัดวิชาญ ธัมมะโซโต เจ้าอาวาสวัด(กล่าวว่า)
ประวัติตำนานท้าวเวสสุวรรณ
ตามตำนานทางพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในอดีตชาติ ท้าวเวสสุวรรณ เคยเป็นพราหมณ์ เปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวย ด้วยความใจบุญจึงได้นำเงินทองไปบริจาคให้ผู้ยากไร้ และด้วยกุศลผลบุญที่ ท้าวเวสสุวรรณ บำเพ็ญมานับหลายพันปี พระพรหม และ พระอิศวร จึงให้พรแก่ ท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นอมตะ และเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมนำรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้เคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งอีกหนึ่งประการ ตรงตามความหมายของชื่อ "ท้าวเวสสุวรรณ" คือ คำว่า "เวส" แปลว่า พ่อค้า  จึงหมายถึงพ่อค้าอันมีทรัพย์ ได้แก่ ทองคำ

นอกจากนี้อีกหนึ่งตำนานในพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในชาติหนึ่ง ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเดิมชื่อ กุเวรพราหมณ์ ได้ทำบุญกุศลมาก จนชาติต่อมา ได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์ พระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร และทรงเป็นพระสหายกับเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จนบรรลุเป็นโสดาบัน และได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร ให้พระพุทธเจ้าได้เข้าประทับ จึงเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม และการที่พระเจ้าพิมพิสารถวายทานบ่อย ๆ จึงเป็นปัจจัยให้มีทิพยสมบัติมากมาย เมื่อได้เป็นเทวดาก็ทรงมีอำนาจมาก ท้าวเวสสุวรรณทั้งสององค์นี้ประทับอยู่ ณ.บัลลังก์วัดพุทธบูชาป่าโคกปราสาท มี2กาย2องค์หน้าเทพสีทองและกายองค์ยักษ์สีแก้วมรกต ด้วยความเชื่อที่ประสบผลสำเร็จในการอธิษฐานท้าวเวสสุวรรณจันทรากายทองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า.พระคุณ.เชื่อว่าบุคคลใดใครก็ตามที่จะอธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับการค้าขายมหานิยมทำมาค้าขายนายหน้าที่ดินอื่นๆติดต่อการงาน.จะสำเร็จผลสมปรารถนา กายที่ 2 สีแก้วมรกตท้าวเวสสุวรรณจันทรา(พระเดช) อธิษฐานว่าบุคคลใดใครก็ตามมีเรื่องเกี่ยวกับคดีขึ้นโรงขึ้นศาลเมื่อมาขอพรท่านแล้วจะสัมฤทธิ์ผลไปทางที่ดีเสมอไป
 

‘สาว’ อึ้ง!! เจอบิลค่าไฟพุ่ง 77 ล้านบาท คาด!! เจ้าหน้าที่กรอกตัวเลขผิด

(25 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว’ โพสต์ข้อความระบุว่า สาวช็อก! ใบแจ้งหนี้ค่าไฟประจำเดือน เมษายน ทะลุ 77 ล้านบาท คาดเจ้าหน้าที่กรอกตัวเลขผิด

ซึ่งมีผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่ง ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ระบุว่า…“ใช้ไฟทั้งจังหวัดเลยมั้ง หัวจะปวด“

โดยพบว่า อัตราค่าไฟของเธอนั้นแปลกมาตั้งแต่เดือน มีนาคม (03) แล้ว โดยจะเห็นว่า ค่าไฟเดือนกุมภาพันธ์ เธอเสียประมาณ 2,503 บาท แต่เมื่อเดือนมีนาคม เธอเสียค่าไฟมากกว่า 11,524 บาท เพิ่มกว่า 8,000 บาท

และค่าไฟเดือนเมษายนกลับพุ่งถึง 77 ล้านบาท

หลังจากที่เรื่องราวดังกล่าวเผยแพร่ไปมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น

- “ค่าไฟทั้งประเทศหรือค่ะ”
- “หนาวแบบเฉียบพลันเลยถ้าเจอแบบนี้ไป”
- “เปิดแอร์เป็นแม่คะนิ้ง กะเล่นเป็นดรีมเวิร์ลป่ะเนี่ย 555”
- “5555555 ได้ใช้ไฟแทนทุกคนในประเทศแล้ว”
- “นี่จดผิดแล้วรู้ว่าผิดเพราะมันเยอะเกิน แต่ถ้าจดผิดแค่จำเงินเงินหลัก 100 หลัก 1000 เราจะรู้ได้อย่างไร”
- “ทั้งจังหวัด”
- “มันมีข้อหาทำให้ตกใจ ทำให้เสียเวลา เสียสุขภาพจิตใจมั้ยครับ? ทำงานชุ่ย ๆ ก็ต้องรับผิดชอบนะ”
- “บ้านน่าจะติดกะดวงอาทิตย์เลยเปิดแอร์ 1 พันตัว555”
- “ที่บ้านฉันขึ้นมาครึ่งต่อครึ่งเลย”

‘รร.ดัง’ ถูกติง!! เหตุชุดนักเรียนห้อง EP พิเศษกว่าเพื่อน ชาวเน็ตแนะ ควรพิจารณาอีกรอบ หวั่นเกิดการแบ่งแยก

(25 เม.ย. 67) สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลให้ค่าใช้จ่ายทางการศึกษามีสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ปกครองต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเรื่องการเรียนของบุตรหลาน ไม่ว่าจะเป็นค่าชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ ชุดพละ ค่าอุปกรณ์การเรียน หรือค่าหนังสือเรียน

ซึ่งเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ก็มีกระแสเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ออกมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยเสนอให้ปรับลดชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ

อย่างไรก็ตาม กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ทันที หลังจากที่เพจ ‘โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์’ โพสต์ข้อความระบุเกี่ยวกับเครื่องแบบและเครื่องแต่งกายนักเรียนประจำปีการศึกษา 2567 ดังนี้

- ห้องเรียนทั่วไป
- ห้องเรียนส่งเสริมความสามารถพิเศษวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์(Gifted)
- ห้องเรียน English Program (EP)

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะชุดนักเรียนห้อง EP ที่กลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเหตุใดโรงเรียนถึงมีชุดสำหรับห้องเรียน EP ขึ้นมาแบบนี้ จะเป็นการสร้างภาระให้ผู้ปกครองหรือไม่ เพราะต้องเสียเงินซื้อชุดนักเรียนเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังตั้งคำถามถึงทรงผมที่โรงเรียนยังมีกฎระเบียบที่ชัดเจน ในขณะที่โรงเรียนอื่น ๆ เริ่มผ่อนคลาย ให้เสรีทรงผมกันบ้างแล้ว และหลายคนตั้งคำถามว่าการกระทำแบบนี้ เป็นการสร้างความเท่าเทียมกันหรือไม่

ซึ่งข้อความของชาวเน็ตที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น มีดังนี้...

- มีห้องเรียน EP คือทางเลือกที่ดี แต่ความเหลื่อมล้ำก็ยังมีอยู่ ชุดควรเป็นไปในทางเดียวกันนะคะ เปลี่ยนแค่ตัวอักษรชื่อที่ปัก ก็เพียงพอแล้ว และเน้นหลักสูตรสื่อการเรียนการสอนที่น่าสนใจแทน ความแตกต่างที่ชุดมันดูแบ่งแยก ทั้ง ๆ ที่มีการรณรงค์เรื่องนี้กันหนักมาก ต้องการสร้างความแตกต่างพอเข้าใจ แต่แบบที่ทำอยู่มันทำให้เกิดการเปรียบเทียบเอาเสียมากกว่านะคะ อยากฝากให้คณะคุณครูพิจารณาอีกครั้ง จากใจศิษย์เก่า ที่อยากให้ รร.ดูดีขึ้นนะคะ

-  เสรีทรงผมได้แล้วครับ กระทรวงเขาบอกเสรีทรงผมนานแล้ว 5555
- หนึ่งเดียวไปไหน? การตั้งห้องเรียนพิเศษนี้ที่การแต่งกายมีความไม่เสมอภาคกันรวมถึงค่าเทอมก็น่าจะเหลื่อมล้ำกัน อยากทราบว่าได้รับตัวอย่างหรืออิทธิพลจากกระทรวงหรือสถานศึกษาใดหรือครับ (อยากให้ทางโรงเรียนมองและให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ ไม่ใช่ตอบกลับแต่กลุ่มคนที่สนใจในโปรแกรมนั้น จากศิษย์เก่า บ.ส.ที่อยากฟังเหตุผลของทางโรงเรียนครับ)

- ความเท่าเทียมจะเกิดกี่โมง ถ้าชุดนักเรียนยังแบ่งแยกอยู่แบบนี้
- ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกแบบนี้เลยค่ะ จากใจศิษย์เก่าค่ะ
- ชุดเด็ก EP น่ารักดี ไม่เถียง แต่ความเท่าเทียมจะเกิดกี่โมง ถ้าชุดนักเรียนยังแบ่งแยกอยู่แบบนี้
- โอ้ว มีห้องเรียน EP แล้ว ชุดก็เปลี่ยน

‘มธ.’ แจง!! ประเด็นช็อกสังคม ‘นศ.หญิง’ ทำร้าย ‘นศ.ชาย’ สาหัส ชี้ เตรียมประสานฝ่ายวินัยฯ เพื่อดำเนินการสืบข้อเท็จจริงแล้ว

(25 เม.ย.67) เป็นประเด็นช็อกสังคมกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ หลังเพจดัง อีซ้อขยี้ข่าว ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของนักศึกษาสาวในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยบอกว่า มีนักศึกษาสาวปี 3 ทำร้ายร่างกายแฟนหนุ่มซึ่งเป็น รุ่นน้องปี 1 ด้วยการใช้มีดปาดคอภายในหอพัก อาการสาหัส แถมคนก่อเหตุยังลอยหน้าลอยตาเข้าเรียนตามปกติได้อีก แปลกใจที่เรื่องเงียบ

ล่าสุด วันนี้ 25 เม.ย.67 มีรายงานว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกแถลงเรื่องดังกล่าว ระบุว่า แถลงการณ์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง เหตุการณ์นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำร้ายร่างกายเพื่อนนักศึกษา 

จากเหตุการณ์นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อนนักศึกษาภายในหอพักนอกมหาวิทยาลัยฯ ที่เป็นข่าวทาง Social Media ในช่วงที่ผ่านมา

ทางฝ่ายวิชาการและกิจการนักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการเข้าดูแลนักศึกษาผู้ประสบเหตุวันเกิดเหตุดังกล่าว และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าวในเบื้องต้นแล้ว

ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการติดตามความคืบหน้าของเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดกับทั้ง 2 ฝ่าย คือ นักศึกษาคู่กรณี และนักศึกษาผู้เสียหาย

รวมถึงประสานงานผู้ปกครองของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เตรียมดำเนินการประสานงานฝ่ายวินัยนักศึกษาเพื่อดำเนินการสืบข้อเท็จจริง

และสอบสวนให้เป็นไปตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยวินัยนักศึกษา และดำเนินการตามวินัยนักศึกษาต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งหน่วยงานเกี่ยวข้อง จี้!! สถานประกอบการ แยกสารเคมีอันตราย หลังโกดังย่านพระราม 2 สารเคมีติดไฟเองได้ เพราะความร้อนเป็นเหตุ

(25 เม.ย.67) จากเหตุการณ์สารเคมีรั่วไหลในโกดังเก็บสารเคมี จนเกิดกลุ่มควันสีขาวที่โรงงาน ย่านพระราม 2 ในช่วงเวลาประมาณ 02.10 ของวันที่ 25 เมษายน โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้ตรวจสอบถึงสาเหตุ และได้รายงานให้ทราบว่า สถานที่เกิดเหตุคือ อาคารเก็บสารเคมีของบริษัท เพรสซิเดนท์เคมีภัณฑ์ จำกัด ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ส่วนกลุ่มควันสีขาวเกิดจากสารเคมี 2 ถังในอาคารหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงทำการขนย้ายสารเคมีในกลุ่มเดียวกันออกมาด้านนอกอาคาร และใช้น้ำในการควบคุมควันที่เกิดขึ้น และเมื่อเจ้าหน้าที่ทำการเปิดบรรจุภัณฑ์เมื่อสารเคมีกระทบอากาศทำให้เกิดไฟลุกไหม้ภายในถัง จึงเร่งควบคุมเพลิงเพื่อไม่ให้สารเคมีแพร่กระจาย โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการตรวจสอบชนิดของสารเคมีพบในที่เกิดเหตุ คือสารไทโอยูเรียไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่เข้าข่ายวัตถุอันตรายตาม พรบ.วัตถุอันตราย พ.ศ 2535  เป็นสารเคมีตามประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการลุกไหม้ได้เอง (self-heating) และความร้อนเกิดจากตัวสารทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศที่อุณหภูมิรอบตัว สามารถลุกติดไฟได้เมื่อมีความร้อนสะสมต่อเนื่องภายในถึงอุณหภูมิที่สามารถลุกติดไฟได้ด้วยตนเอง (auto-ignition temperature) ทั้งนี้ จากการสันนิษฐานสาเหตุเบื้องต้นเกิดจากการสะสมความร้อนภายในบรรจุภัณฑ์ของสารไทโอยูเรียไดออกไซด์ ทำให้ภายในบรรจุภัณฑ์มีอุณหภูมิสูงจนทำให้มีกลุ่มควันเกิดขึ้น

“ดิฉันได้กำชับไปทาง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมโรงงาน และอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัดว่า ให้เร่งแจ้งเตือนสถานประกอบการที่มีการจัดเก็บสารเคมี ให้เพิ่มความระมัดระวัง และตรวจสอบสถานที่จัดเก็บให้เป็นไปตามข้อกำหนด ทั้งโรงงานและสถานที่ครอบครองจัดเก็บวัตถุอันตราย หรือสารเคมี โดยต้องตรวจสอบสารเคมีที่จัดเก็บ เช็ค MSDS เอกสารข้อมูลความปลอดภัย ว่ามีสารเคมีที่มีคุณสมบัติลักษณะเดียวกันนี้ คือเกิดปฏิกิริยา หรือติดไฟเองได้ หากอุณหภูมิการจัดเก็บสูง ต้องแยกออกจากกัน และเช็คสภาวะแวดล้อม จัดเก็บในที่อุณหภูมิที่เหมาะสม เนื่องจากปัจจุบันสภาวะอากาศมีอุณหภูมิสูงต่อเนื่อง” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว 

‘น้องภูมิ’ วัย 7 ขวบ ขอลาบวชทดแทนคุณ ‘หนุ่ม กรรชัย’ หลังเคยช่วยเหลือตน-ครอบครัว จนทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

(25 เม.ย. 67) กลายเป็นเรื่องดี ๆ ที่ถูกพูดถึงกันโลกโซเชียล เมื่อ ‘น้องภูมิ’ เด็กชายวัย 7 ขวบ เด็กน้อยที่พิธีกรคนดัง ‘หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย’ เคยให้การช่วยเหลือจากอาการปากแหว่งเพดานโหว่ พร้อมทั้งดูแลในเรื่องของค่ารักษาพยาบาล ตลอดจนได้ให้การช่วยเหลือครอบครัว จนวันนี้ทั้งน้องภูมิและครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้น้องภูมิและครอบครัวเดินหน้าในการต่อสู้ชีวิต และมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยน้องภูมิเคยลั่นวาจาจะบวชให้พี่หนุ่มเพื่อทดแทนบุญคุณ

ล่าสุดเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ ‘อรวรรณ ชาญเชิดศักดิ์’

ซึ่งเป็นคุณแม่ของน้องภูมิ ได้โพสต์เฟซบุ๊กภาพลูกชายถือพานขอขมาลาบวชเณร ต่อหน้ารูปที่เคยถ่ายร่วมเฟรมกับ หนุ่ม กรรชัย พร้อมข้อความบอกว่า “ผมไม่มีโอกาสไปกราบลาบวชขออนุญาตกราบที่นี้นะคับพี่หนุ่ม” และมีป้ายบอกว่า “ขออนุโมทนาลาบวชเณร เพื่อทดแทนพระคุณพี่หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ที่ช่วยผมกับแม่จนได้ชีวิตใหม่ ผมขอบคุณครับ”

(สุรินทร์) รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน. ติดตามการปฎิบัติงาน พื้นที่ กอ.รมน.สุรินทร์

วันที่ 25 เมษายน 2567 เวลา 09.30 น. ที่ ห้องประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ชั้น 4 ศูนย์ราชการจังหวัดสุรินทร์ พันเอก จิตรกร จันทร์สว่าง รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์(ท.) ให้การต้อนรับ พลตรี ถนอม  สบายพร รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และคณะฯ ที่มาติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านพลังงาน ด้านอาหาร และ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประจำปีงบประมาณ 2567 ของหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ มี พันตำรวจเอก อิทธิพล พงษ์ธร ผู้กำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ร่วมให้การต้อนรับ ในการนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งให้จัดเตรียมข้อมูลผลการปฏิบัติงานในห้วง ปี 2566 - 2567 จำนวน 14 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุรินทร์ ศูนย์ป่าไม้สุรินทร์ ธนารักษ์พื้นที่สุรินทร์ ที่ดินจังหวัดสุรินทร์ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดสุรินทร์ ท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ อุตสาหกรรมจังหวัดสุรินทร์ ปศุสัตว์จังหวัดสุรินทร์ เกษตรจังหวัดสุรินทร์ พาณิชย์จังหวัดสุรินทร์  พลังงานจังหวัดสุรินทร์ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุรินทร์ สถิติจังหวัดสุรินทร์ และโครงการชลประทานสุรินทร์ เพื่อนำเสนอในที่ประชุม และร่วมตรวจพื้นที่กับคณะฯติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน ณ พื้นที่ ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสวาย ตำบลนาบัว อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พลตรี ถนอม  สบายพร รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและคณะฯ ได้เน้นย้ำในเรื่องความมั่นคง ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งให้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และชื่นชม คณะทำงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ที่บูรณาการร่วมกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า ข่าว/ภาพ

‘ปารีณา’ น้ำตาคลอ!! หลังคู่กัดในสภา ยกคณะร่วมงานศพพ่อ เผย ไม่คิดว่าจะมา ขอโทษที่เคยทำไม่ดี-คอยประท้วงตลอด

เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.67) ที่บ้านทรงไทยริมน้ำ ต.บางโตนด อ.โพธาราม จ.ราชบุรี มีพิธีสวดพระอภิธรรม นายทวี ไกรคุปต์ บิดาของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่เสียชีวิตอย่างสงบ

โดยคืนที่ผ่านมามีแขกและนักการเมืองเดินทางมาร่วมงาน ในจำนวนนี้รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายวิรัตน์ วรศสิริน, น.ส.นภาพร เพ็ชร์จินดา รองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่มาฟังสวดพระอภิธรรมด้วย

เมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เดินทางมาถึง น.ส.ปารีณา ได้มารับบริเวณหน้าบ้าน พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า “ขอบคุณท่านมาก ๆ ที่มา ไม่คิดเลยว่า ท่านจะมา ขอโทษที่เคยทำไม่ดี” ก่อน น.ส.นภาพร จะยื่นซองช่วยงานแล้วพูดว่า “ให้กำลังใจนะ สู้ ๆ นะ”

ทำให้ น.ส.ปารีณา ถึงน้ำตาคลอแล้วพูดว่า “ขอโทษนะที่ตอนอยู่ในสภาฯ ประท้วงกันตลอด” ก่อน น.ส.นภาพร ตอบว่า “ไม่เป็นไรเลย เราไม่เคยโกรธ เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่”

ระหว่างรอเวลา น.ส.ปารีณาเล่าเรื่องราวชีวิต หลังไม่ได้เป็น สส. พร้อมทั้งร้องไห้เป็นระยะ ๆ จากนั้น น.ส.ปารีณา และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ร่วมกันกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้นายทวี ไกรคุปต์

‘ยุทธพล’ เผย!! โครงการย้ายลิงสู่ที่พักพิงใหม่ คืบหน้า 90% ดันสู่ ‘เพชรบุรีโมเดล’ ตัวอย่างแก้ปัญหาลิงล้นเมืองในทุกพื้นที่

(25 เม.ย. 67) ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษาในคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และรองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ยุทธพล อังกินันทน์’ ถึงปัญหาลิงล้นเมือง ระบุว่า…

‘ย้ายลิง’ เขาวัง ‘รอบ 2’ วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2567 เวลา 9 โมงเช้าเป็นต้นไปนะครับ

ตามที่เครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดเพชรบุรี ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้จัดทำกรงพักพิงลิง และย้ายลิงเขาวัง บางส่วนไปปรับพฤติกรรม เพื่อนำเข้าสู่กรงพักพิงลิง ตามโครงการแก้ไขปัญหาลิงล้นเมือง ไปเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 แล้วนั้น

โครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการนำร่อง เพื่อที่จะนำไปเป็น ‘เพชรบุรีโมเดล’ ให้กับจังหวัดอื่น ๆ ในการแก้ปัญหาลิงล้นเมืองในทุกพื้นที่ หลังจากที่พวกเราทุกคนได้ทำงานหนัก ลองผิดลองถูก ซึ่งถือว่าโครงการดำเนินไปได้ด้วยดี ความสำเร็จไปแล้วถึง 90% เนื่องจากเป็นโครงการนำร่องจึงอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร 

ดังนั้นเครือข่ายภาคประชาชน กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า จะดำเนินการย้ายลิงรอบสอง ในวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2567 นี้ เพื่อเป็นการดำเนิน โครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครั้งนี้เราจะดำเนินการวางกรงดักลิงไว้ทั้งหมด 12 จุดรอบเขาวัง ดังนี้

1. โรงเรียนพรหมานุสรณ์
2. วัดเขาวัง
3. ศาลเจ้าข้างร้านของฝากขนมหม้อแกง
4. วัดถ้ำแก้ว
5. วัดพระนอน
6. วัดข่อย
7. เขาวังเมืองใหม่
8.ร้านหมูสมนึก
9. เคเบิลคาร์
10. ทางขึ้นเขาวัง
11. โรงแรมเขาวัง
12. วัดสระบัว

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบนะครับ 
ดร.ยุทธพล อังกินันทน์
ประธานเครือข่ายภาคประชาชน  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top