Friday, 29 March 2024
COLUMNIST

‘Adolf Eichmann’ นาซีตัวเป้งแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้หนุนการสังหารหมู่ ‘Holocaust’ กับปฏิบัติการล่าตัวข้ามโลก

‘Operation Eichmann’ ปฏิบัติการล่านาซีข้ามโลก

หนึ่งในเรื่องราวที่สุดโหดและสุดสยอง ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป’ โดยกองกำลังของพลพรรค Nazi ภายใต้การนำของ ‘Adolf Hitler’ ผู้ที่เป็นผู้นำของเยอรมนีในขณะนั้นด้วย ทั้งยังเป็นผู้ก่อสงครามในยุโรปด้วยการรุกรานประเทศต่าง ๆ จนกลายเป็นมหาสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

‘Holocaust’ เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตชาวยิวในยุโรปไปมากกว่า 6 ล้านคน และ ‘Adolf Eichmann’ ก็เป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการสังหารหมู่ในครั้งนั้นด้วย Eichmann ชาวเยอรมันเชื้อสายออสเตรีย เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค Nazi และสมาชิกของกองกำลังติดอาวุธของพรรค Nazi คือ ‘Schutzstaffe’ (SS) โดยได้เข้าร่วมในปี ค.ศ.1932 ขณะที่อยู่ในออสเตรีย และเมื่อเขากลับมาเยอรมนีในปี ค.ศ.1933 เขาก็ได้เข้าร่วมกับ ‘Sicherheitsdienst’ (SD) อันเป็นหน่วยข่าวกรองของ SS เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบกิจการเกี่ยวกับชาวยิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งพรรค Nazi ใช้ความรุนแรงและใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจกับชาวยิวในเขตยึดครอง หลังจากการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง ในเดือนกันยายน ค.ศ.1939 Eichmann และเจ้าหน้าที่ของเขาได้จัดให้ชาวยิวไปรวมกันอยู่ในสลัมตามเมืองใหญ่ ๆ ด้วยความคาดหวังว่า พวกเขาจะส่งชาวยิวทั้งหมดไปทางยุโรปตะวันออก หรือออกไปจากประเทศ

อาคารเลขที่ 56–58 Großen Wannsee ซึ่งเป็นสถานที่จัด Wannsee Conference
ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์

20 มกราคม ค.ศ.1942 Eichmann ได้ประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค Nazi และ SS ใน Wannsee Conference ใกล้กรุงเบอร์ลิน เพื่อจุดประสงค์ในการวางแผน ‘ทางออกสุดท้ายสำหรับคำถามของชาวยิว’ (The Final Solution to the Jewish Question) โดย Hermann Göring แกนนำสำคัญของพรรค Nazi กล่าวว่า พรรค Nazi ตัดสินใจที่จะกำจัดประชากรชาวยิวทั้งหมดในยุโรป Eichmann ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ประสานงานในการระบุตัวตน การรวบรวม และการขนส่งชาวยิวหลายล้านคนจากพื้นที่ถูกยึดครองในยุโรปไปยังค่ายมรณะต่าง ๆ ของพรรค Nazi ซึ่งชาวยิวถูกสังหารด้วยการรมแก๊ส ยิงทิ้ง ให้อดอาหาร หรือให้ทำงานจนตาย เขาทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวประมาณ 3 ถึง 4 ล้านคนเสียชีวิตในค่ายกักกัน และอีกราว 2 ล้านคนถูกประหารชีวิตในที่ต่าง ๆ รวมชาวยิวที่เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ราว ๆ 6 ล้านคน

สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ ซึ่งมีเยอรมนีเป็นแกนนำหลัก Eichmann ถูกกองทหารสหรัฐฯ จับตัว แต่เขาใช้เอกสารปลอมแปลงที่ระบุว่า เขาคือ ‘Otto Eckmann’ เขาหนีออกจากค่ายคุมขังในปี ค.ศ.1946 ก่อนที่จะต้องขึ้นศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศที่ Nuremberg มีการสันนิษฐานเขาเดินทางจากยุโรปไปตะวันออกกลาง และในปี ค.ศ.1950 ก็มาถึงอาร์เจนตินา (โดยมีข่าวว่า เขาหายตัวไปและถูกสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งตอนนั้นระบบการตรวจคนเข้าเมืองยังคงหละหลวม และกลายเป็นที่หลบภัยสำหรับอาชญากรสงคราม Nazi จำนวนมาก เขาใช้หนังสือเดินทางกาชาดในชื่อว่า ‘Ricardo Klement’*

*Nansen passports : หนังสือเดินทาง Nansen หนังสือเดินทางสำหรับผู้อพยพลี้ภัย และคนไร้สัญชาติแบบแรกของโลก https://thestatestimes.com/post/2021042408

ในปี ค.ศ.1957 ‘Simon Wiesenthal’ ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งอุทิศตนเพื่อตามหา Eichmann และนาซีคนอื่น ๆ Wiesenthal ทราบจากจดหมายฉบับหนึ่งที่ระบุว่า ในปี ค.ศ.1953 มีผู้พบเห็น Eichmann ในกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหวงของปะเทศอาร์เจนตินา เขาจึงได้ส่งต่อข้อมูลนั้นไปยังสถานกงสุลอิสราเอล ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียในปี ค.ศ.1954 เมื่อพ่อของ Eichmann เสียชีวิตในปี ค.ศ.1960 และ Wiesenthal ได้ให้นักสืบเอกชนแอบถ่ายรูปสมาชิกในครอบครัว กล่าวกันว่า Otto น้องชายของ Eichmann มีความคล้ายคลึงกับ Eichmann เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีรูปถ่ายขณะนั้นของ Eichmann เลย เขาได้มอบภาพถ่ายเหล่านั้นให้กับเจ้าหน้าที่ของ Mossad ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์

‘บิชอป Alois Hudal’ บาทหลวงชาวออสเตรีย 
ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือด้านเอกสารต่าง ๆ แก่ Otto Adolf Eichmann

เจ้าหน้าที่จาก Mossad และ Shin Bet หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลถูกส่งไปยังอาร์เจนตินา และในที่สุดต้นปี ค.ศ.1960 พวกเขาก็หา Eichmann เจอ โดยเขาอาศัยอยู่ในเขต San Fernando ของกรุงบัวโนสไอเรส ภายใต้ชื่อ ‘Ricardo Klement’ ซึ่งเขาได้รับความช่วยเหลือด้านเอกสารต่าง ๆ ผ่านองค์กรการกุศลในอิตาลีที่ดูแลโดย ‘บิชอป Alois Hudal’ บาทหลวงชาวออสเตรีย และเป็นผู้ที่ให้ความเห็นอกเห็นใจต่อพลพรรค Nazi เอกสารเหล่านี้ทำให้เขาได้รับหนังสือเดินทางเพื่อมนุษยธรรมของคณะกรรมการกาชาดสากล และใบอนุญาตเข้าเมืองที่เหลืออยู่ในปี ค.ศ.1950 ช่วยให้สามารถอพยพไปยังอาร์เจนตินาได้ เขาเดินทางข้ามทวีปยุโรปโดยพำนักอยู่ในอารามหลายแห่งที่ได้ถูกจัดเป็นบ้านปลอดภัย (Safe houses) เขาออกเดินทางจากเมืองเจนัวโดยเรือ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ.1950 และมาถึงกรุงบัวโนสไอเรสในวันที่ 14 กรกฎาคมในปีเดียวกัน เริ่มต้น Eichmann อาศัยอยู่ในจังหวัดทูคูมัน ซึ่งเขาได้ทำงานให้กับผู้รับเหมาของรัฐบาลอาร์เจนตินา เขาได้อพยพครอบครัวมาอาร์เจนตินาในปี ค.ศ.1952 แล้วพวกเขาก็ย้ายไปยังกรุงบัวโนสไอเรส เขาทำงานหลายอย่างซึ่งค่าตอบแทนต่ำ จนกระทั่งได้งานทำที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเขาได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก ครอบครัว Eichmann สร้างบ้านที่ 14 Garibaldi Street (ปัจจุบันคือ 6061 Garibaldi Street) และย้ายเข้าไปในช่วงปี ค.ศ.1960

‘Ben-Gurion’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล 
ผู้สั่งให้จัดการลักพาตัว Adolf Eichmann

หลังจากมีเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลมีการยืนยันตัวตนว่า Ricardo Klement คือ Adolf Eichmann ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1960 ขณะที่อาร์เจนตินากำลังฉลองครบรอบ 150 ปี ของการปฏิวัติต่อต้านสเปน และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนมากเดินทางมายังอาร์เจนตินา เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลอง อิสราเอลจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการลักลอบส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาในประเทศอาร์เจนตินาเพิ่มมากขึ้น ด้วยอิสราเอลรู้ว่าอาร์เจนตินามีประวัติการปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และน่าจะไม่ยอมจะไม่ส่งตัว Eichmann ให้เป็นผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อให้อิสราเอลดำเนินคดีได้ ‘Ben-Gurion’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอลจึงตัดสินใจสั่งให้ ‘Isser Harel’ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง Mossad จัดการลักพาตัว Eichmann เพื่อพาตัวเขามายังอิสราเอล แม้จะผิดกฎหมายของอาร์เจนตินาก็ตาม

เครื่องบินโดยสารแบบ Bristol Britannia ของสายการบิน El Al
แบบเดียวกับที่พา Eichmann ออกจากอาร์เจนตินา

ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ.1960 เจ้าหน้าที่ของ Mossad และ Shin Bet เข้าประจำจุดที่ถนน Garibaldi ในเมือง San Fernando หลังจากเฝ้าสังเกตกิจวัตรของเขาเป็นเวลาหลายวัน โดยสังเกตว่า เขากลับจากที่ทำงานโดยรถประจำทางทุกเย็นในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลวางแผนที่จะจับเขา ตอนที่เขากำลังเดินอยู่ข้างทุ่งโล่งจากป้ายรถเมล์ไปที่บ้านของเขา แผนเกือบถูกยกเลิกในวันที่กำหนดเมื่อ Eichmann ไม่ได้อยู่บนรถบัสที่เขามักจะกลับบ้าน แต่เขาลงจากรถบัสอีกคันในครึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลปล้ำ Eichmann ลงกับพื้น และย้ายเขาไปยังรถ แล้วพาตัว Eichmann ไปยังบ้านปลอดภัยแห่งหนึ่งที่เตรียมขึ้นโดยทีมเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล Eichmann ถูกคุมขังอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 9 วัน ในช่วงเวลานั้น ตัวตนของเขาได้รับการตรวจสอบและยืนยันซ้ำอีกครั้ง ใกล้เที่ยงคืนของวันที่ 20 พฤษภาคม Eichmann ถูกนพ.Yonah Elian วิสัญญีแพทย์ชาวอิสราเอลที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมภารกิจฉีดยาสลบ โดย Eichmann ถูกจับปลอมตัวให้เป็นพนักงานสายการบิน El Al ของอิสราเอลซึ่งถูกจัดฉากว่า ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ พาตัวออกจากกรุงบัวโนสไอเรสด้วยเครื่องบินโดยสารแบบ Bristol Britannia ของสายการบิน El Al แล้ว 3 วันต่อมา นายกรัฐมนตรี Ben-Gurion ประกาศว่า “Eichmann อยู่ในการควบคุมตัวของรัฐบาลอิสราเอลแล้ว”

Adolf Eichmann ระหว่างการพิจารณาคดี

อาร์เจนตินาเรียกร้องให้อิสราเอลส่ง Eichmann กลับ แต่อิสราเอลแย้งว่า สถานะของเขาอยู่ในฐานะอาชญากรสงครามระหว่างประเทศ อิสราเอลจึงมีสิทธิที่จะดำเนินการพิจารณาคดี วันที่ 11 เมษายน ค.ศ.1961 การพิจารณาคดีของ Eichmann ได้เริ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นการทดลองออกอากาศการพิจารณาคดีทางโทรทัศน์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Eichmann เผชิญกับ 15 ข้อหา รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมต่อชาวยิว และอาชญากรรมสงคราม เขาอ้างว่า เขาแค่ทำตามคำสั่ง ในวันที่ 15 ธันวาคม ผู้พิพากษาอิสราเอลตัดสินว่า เขามีความผิดในข้อหาทั้งหมด และลงโทษให้ประหารชีวิตเขา ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.1962 เขาถูกแขวนคอที่เรือนจำในเมืองรัมลา ไม่ไกลจากกรุงเทลอาวีฟ การประหารชีวิตของเขามีเจ้าหน้าที่กลุ่มเล็ก ๆ เป็นสักขีพยาน ประกอบด้วย นักข่าว 4 คน และ ‘William Lovell Hull’ บาทหลวงชาวแคนาดา ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณของ Eichmann ขณะอยู่ในเรือนจำ และคำพูดสุดท้ายของเขา คือ

“ขอให้เยอรมนีจงเจริญ ขอให้อาร์เจนตินาจงเจริญ ขอให้ออสเตรียจงเจริญ นี่คือ 3 ประเทศที่ผมผูกพันด้วยมากที่สุด และผมจะไม่ลืม ผมขอลาภรรยา ครอบครัว และเพื่อนของผม ผมพร้อมแล้ว เราจะได้พบกันอีกในเร็ว ๆ นี้ เช่นเดียวกับชะตากรรมของมนุษย์ทุกคน ผมจะตายกับศรัทธาในพระเจ้า”

Adolf Eichmann ขณะอยู่ในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี

ร่างของเขาถูกเผาในเวลาต่อมา และเถ้าถ่านของเขาถูกโปรยลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนอกน่านน้ำอิสราเอล โดยเรือลาดตระเวนของกองทัพเรืออิสราเอล

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘Texas Rangers’ หน่วยบังคับใช้กฎหมายแห่งมลรัฐเท็กซัส ก่อตั้งมาแล้วกว่า 200 ปี เพื่อธำรงความสงบของบ้านเมือง

200 ปีแห่งการก่อตั้ง Texas Rangers 
เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของมลรัฐเท็กซัส

ด้วยระบบตำรวจของบ้านเราเป็นระบบที่เรียกว่า ‘ตำรวจแห่งชาติ’ (National police) เช่นเดียวกับฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่น และอีกหลาย ๆ ประเทศ เราคนไทยจึงไม่ค่อยรู้จักระบบตำรวจที่แตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งผมเคยเขียนไว้ใน The States Times เมื่อ 2 ปีมาแล้ว ในบความ “ไขบทบาท ‘ตำรวจมะกัน’ ผู้บังคับใช้กฎหมาย – กระบวนการยุติธรรมแห่งสหรัฐอเมริกา” https://thestatestimes.com/post/2021091807

โดยที่ตำรวจไทยทุกนายเป็นตำรวจแห่งชาติ เพราะรูปแบบการปกครองของบ้านเราเป็นแบบรัฐเดี่ยว ดังนั้น ตำรวจไทยทุกนายตั้งแต่ชั้นยศพลตำรวจไปจนถึงชั้นยศพลตำรวจเอก จึงสามารถจับกุมผู้ที่กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีหมายจับได้ตั้งแต่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เหนือสุดของประเทศไปจนถึงอำเภอสุไหงโกลกจังหวัดนราธิวาสใต้สุดของประเทศ สำหรับระบบตำรวจสหรัฐฯ มีความแตกต่างกันด้วยระบอบการเมืองการปกครอง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐอเมริกาเป็นสหพันธรัฐ ซึ่งประกอบด้วย 50 รัฐ ทำให้มีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายราว 18,000 หน่วย โดยราว 15,000 หน่วย อยู่ภายใต้รัฐบาลมลรัฐและองค์กรปกครองระดับท้องถิ่น มีเจ้าหน้าที่กว่า 500,000 นาย

‘Texas Ranger Division’ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘Texas Rangers’ และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Los Diablos Tejanos’ (ภาษาสเปน : the Texan Devils) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสืบสอบสวนที่มีเขตอำนาจศาลทั่วทั้งมลรัฐเท็กซัส มีกองบัญชาการตั้งอยู่ในนครออสติน เมืองหลวงของมลรัฐเท็กซัส นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น ‘Texas Rangers’ ได้สืบสวนคดีอาชญากรรม ตั้งแต่การฆาตกรรมไปจนถึงการทุจริตทางการเมือง ทำหน้าที่ควบคุมการจลาจล และเป็นนักสืบ ทีมอารักขาผู้ว่าการมลรัฐเท็กซัส ติดตามผู้หลบหนีคดี ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญของมลรัฐเท็กซัส

‘Stephen F. Austin’ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งมลรัฐเท็กซัส’

‘Texas Rangers’ ถูกก่อตั้งโดย ‘Stephen F. Austin’ (ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งมลรัฐเท็กซัส’) ใน ปี ค.ศ. 1823 หลังจากผ่านไปหนึ่งทศวรรษ ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1835 ‘Daniel Parker’ ได้เสนอมติต่อสภาถาวร เพื่อจัดตั้งกองทหารพรานเพื่อปกป้องชาวเม็กซิกัน ต่อมาหน่วยนี้ถูกยุบโดยหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลังสงครามกลางเมืองในช่วงยุคฟื้นฟู แต่ได้รับการปฏิรูปอย่างรวดเร็วเมื่อมีการคืนสถานะของรัฐบาลแต่ละมลรัฐในประเทศ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 จนปัจจุบันองค์กรนี้เป็นแผนกหนึ่งของสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะแห่งมลรัฐเท็กซัส (Texas Department of Public Safety (TxDPS))

Texas Rangers ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 234 นาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ระดับสัญญาบัตร 166 นาย และเจ้าหน้าที่สนับสนุน 68 นาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ธุรการศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงชายแดน ศูนย์ปฏิบัติการ และหน่วยข่าวกรองร่วม และทีมอาวุธและยุทธวิธีพิเศษ (SWAT/SRT) โดย Texas Rangers มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำหน้าที่ ทีมอาวุธและยุทธวิธีพิเศษ (SWAT) และทีมตอบโต้พิเศษเฉพาะพื้นที่ (SRT's) ทีมลาดตระเวน หน่วยเจรจากรณีวิกฤต และทีมเก็บกู้วัตถุระเบิด ปัจจุบันหน่วย Texas Rangers มีการประสานงานด้านความมั่นคงชายแดนผ่านศูนย์ปฏิบัติการข่าวกรองและศูนย์ความร่วมมือ (JOICs) จำนวน 6 แห่งตามแนวชายแดนเท็กซัส - เม็กซิโก และพื้นที่ชายฝั่งของรัฐฯ

Texas Rangers รับผิดชอบในการสืบสวนอาชญากรรมดังต่อไปนี้ : (1.) การสืบสวนอาชญากรรมที่สำคัญของมลรัฐ (2.) การสืบสวนอาชญากรรมในมลรัฐที่ยังไม่สามารถปิดคดีได้ (3.) การสืบสวนอาชญากรรมต่อเนื่องในการกระทำที่เป็นการทุจริตต่อสาธารณะในมลรัฐ (4.) การตรวจสอบความสมบูรณ์ของการดำเนินคดีที่เป็นสาธารณะของมลรัฐ (5.) การดำเนินงานด้านความปลอดภัยภายในมลรัฐ และ (6.) การดำเนินงานด้านการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ว่าการมลรัฐเท็กซัส

เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการบังคับใช้กฎหมาย Texas Rangers ได้จัดตั้ง หน่วยต่อต้านการทุจริตสาธารณะ และโครงการสืบสวนอาชญากรรมที่ยังไม่สามารถปิดคดี โดยในปี ค.ศ. 2019 Texas Rangers ได้มีการสอบสวนคดีทั้งหมด 2,235 คดี ซึ่งส่งผลให้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด 993 คดี รับสารภาพ 562 คดี คดีอาชญากรรมต่าง ๆ มีการตัดสินลงโทษกว่า 537 คดี ซึ่งส่งผลให้มีการตัดสินประหารชีวิต 3 คดี จำคุกตลอดชีวิต 76 คดี และคดีต่าง ๆ ถูกตัดสินจำคุกทั้งหมดรวม 8,531 ปี ในระหว่างการสืบสวนคดีโดยหน่วย Texas Ranger มีการใช้กระบวนสอบสวนด้วยการสะกดจิต 9 ครั้ง

‘ประธานาธิบดี William Howard Taft’ และ ‘Porfirio Díaz ประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโก’ ในปี ค.ศ. 1909

เหล่าสมาชิกของ Texas Rangers มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดหลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มลรัฐเท็กซัส เช่น การหยุดยั้งการลอบสังหารประธานาธิบดี William Howard Taft และ Porfirio Díaz ประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโก ใน El Paso และในคดีอาญาที่มีชื่อเสียงที่สุดบางคดีในประวัติศาสตร์ เช่น John Wesley Hardin มือปืนชื่อดัง Sam Bass จอมโจรนักปล้นธนาคาร Bonnie และ Clyde ขุนโจรคู่สามี-ภรรยา

‘Chuck Norris’ ในบท ‘Cordell Walker’
สมาชิก Texas Rangers ในภาพยนตร์โทรทัศน์ Walker

มีหนังสือมากมายหลายเล่มที่เขียนเล่าเกี่ยวกับ Texas Rangers ตั้งแต่ผลงานสารคดีที่ได้รับการค้นคว้ามาอย่างดีไปจนถึงนวนิยายและเรื่องแต่งอื่น ๆ ทำให้ Texas Rangers มีส่วนร่วมสำคัญในตำนานของ Wild West, The Lone Ranger อาจเป็นตัวอย่างซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของตัวละครจาก Texas Rangers โดยใช้นามแฝงของผู้แต่งจากประสบการณ์ที่เคยเป็นสมาชิกของ Texas Rangers ตัวอย่างที่รู้จักกันดีอื่น ๆ ได้แก่ Tales of the Texas Rangers และอีกหลายบทบาทใน Texas Rangers รวมถึงพระเอกนักบู๊ Chuck Norris ที่แสดงเป็น Cordell Walker ในภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด Walker, Texas Ranger และทีมเมเจอร์ลีกเบสบอล (MLB) ของมลรัฐเท็กซัสได้รับการตั้งชื่อตาม Texas Rangers ด้วย นอกจากนั้นแล้ว Texas Rangers ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมในมลรัฐ Texas โดยมีพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติกับ Texas Rangers ที่รู้จักกันในชื่อ ‘Texas Ranger Hall of Fame and Museum’ ในเมืองเวโก

ภาพหมู่สมาชิกของหน่วย Texas Rangers
ในโอกาสการก่อตั้งหน่วยครบ 200 ปี

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกของหน่วย Texas Rangers นอกเหนือจากคุณสมบัติที่จำเป็น สำหรับการเข้าทำงานกับสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐเท็กซัส แล้วยังมีข้อกำหนดพิเศษต่อไปนี้ คือ การเป็นหน่วย Texas Rangers ผู้สมัครแต่ละคนจะต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา มีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยม และมีประวัติที่โดดเด่นอย่างน้อย 8 ปี ในประสบการณ์กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีส่วนร่วมในการสืบสวนอาชญากรรมที่สำคัญ โดยปัจจุบันผู้สมัครจะต้องทำงานกับสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐเท็กซัส ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรอย่างน้อยระดับ Trooper II

ผู้สมัครจะต้องมีภูมิหลังภายใต้การตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัย และความประพฤติที่ดี ผู้สมัครจะต้องมีใบขับขี่ของมลรัฐเท็กซัส โดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ที่จะกระทบต่อความสามารถของผู้สมัครในการปฏิบัติหน้าที่ มีการสอบเข้า และผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการ เพื่อสัมภาษณ์ด้วยปากเปล่าก่อนการคัดเลือกขั้นสุดท้าย

‘Jason Taylor’ หัวหน้าหน่วย Texas Rangers คนปัจจุบัน

สมาชิกของหน่วย Texas Rangers จะต้องเข้าร่วมการฝึกอบรมอย่างน้อย 40 ชั่วโมงในทุก 2 ปี แต่สำหรับสมาชิกของหน่วย Texas Rangers ส่วนใหญ่ได้รับการฝึกอบรมเกินมาตรฐาน สมาชิกของหน่วย Texas Rangers บางนายอาจได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในด้านต่าง ๆ เช่น การสะกดจิตเชิงสืบสวน ซึ่งมีความสำคัญต่อการสืบสวนในคดีอาญาบางคดี ในปี ค.ศ. 2020 อายุเฉลี่ยของสมาชิกของหน่วย Texas Ranger อยู่ที่ 44 ปี

ณ วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2020 Texas Ranger Division มีเจ้าหน้าที่สัญญาบัตร 166 นาย สำหรับทั้งมลรัฐ โดยแบ่งออกเป็น 6 หน่วย โดย
- หน่วย A อยู่ที่เมือง Houston
- หน่วย B อยู่ที่เมือง Garland
- หน่วย C อยู่ที่เมือง Lubbock
- หน่วย D อยู่ที่เมือง Weslaco
- หน่วย E อยู่ที่เมือง El Paso
- หน่วย F อยู่ที่เมือง Waco
และมีสมาชิก Texas Rangers ระดับสัญญาบัตรประจำการตามเมืองต่าง ๆ ทั่วทั้งมลรัฐ โดย Texas Rangers ระดับสัญญาบัตรแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบอย่างน้อย 2 ถึง 3 เทศมณฑล ซึ่งบางแห่งมีพื้นที่ใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำ

สมาชิก Texas Rangers ยุคใหม่ (เช่นเดียวกับรุ่นก่อน ๆ ของพวกเขา) ไม่มีเครื่องแบบที่กำหนด แม้ว่ารัฐเท็กซัสจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของสมาชิก Texas Rangers ที่เหมาะสม รวมถึงข้อกำหนดให้สมาชิก Texas Rangers สวมเสื้อผ้าที่มีลักษณะแบบตะวันตก ปัจจุบัน การแต่งกายที่นิยม ได้แก่ เสื้อเชิ้ตและเน็กไทสีขาว กางเกงขายาวสีกากี/สีแทน หรือสีเทา หมวกแบบตะวันตกสีอ่อน เข็มขัดของ ‘Texas Rangers’ และรองเท้าบูทคาวบอย ในอดีต ตามหลักฐานรูปภาพสมาชิก Texas Rangers สวมเสื้อผ้าอะไรก็ได้ที่พวกเขาสามารถจ่ายได้หรือรวบรวมได้ ซึ่งมักจะสึกหรอจากการใช้งานหนัก ในขณะที่สมาชิก Texas Rangers ยังคงจ่ายค่าเสื้อผ้าเองของพวกเขาในปัจจุบัน แต่พวกเขาก็ได้รับค่าตอบแทนเริ่มต้น เพื่อชดเชยบางส่วนสำหรับค่ารองเท้าบูท เข็มขัดคาดปืน และหมวก

สำหรับปฏิบัติภารกิจบนหลังม้า สมาชิก Texas Rangers ได้ดัดแปลงอุปกรณ์และอุปกรณ์ส่วนตัวให้เหมาะกับความต้องการของพวกเขา จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาจาก Vaqueros (คาวบอยเม็กซิกัน) อานม้า เดือย เชือก และเสื้อกั๊กที่สมาชิก Texas Rangers ใช้ ล้วนแต่มีรูปแบบตามแบบของวาเกอโร สมาชิก Texas Rangers ส่วนใหญ่ชอบสวมหมวกปีกกว้างมากกว่าหมวกคาวบอย และพวกเขานิยมสวมรองเท้าบูทยาวถึงเข่า ทรงเหลี่ยมที่มีส้นสูงและหัวแหลมในสไตล์สเปนมากกว่า ทั้ง 2 กลุ่มใช้ซองปืนในลักษณะเดียวกัน โดยเป็นซองหนังอยู่ในตำแหน่งสูงรอบสะโพกแทนที่จะอยู่ต่ำที่ต้นขา ตำแหน่งนี้ทำให้ง่ายต่อการชักออกมาในขณะกำลังขี่ม้า

‘อุตสาหกรรม AV’ แหล่งผลิตรายได้มหาศาลของประเทศ กับการล่วงละเมิดเด็กผู้หญิง ที่คนในสังคมยอมปิดตาข้างหนึ่ง


‘JK business’ ธุรกิจด้านมืดของญี่ปุ่น

‘ประเทศญี่ปุ่น’ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เป็นประเทศที่เจริญเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย และอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ในความเจริญก้าวหน้าแบบสุดล้ำของญี่ปุ่นนั้น ก็ยังคงมีด้านมืดอยู่เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ บนโลกใบนี้ ครั้งนี้จะขอหยิบยกเอาเฉพาะเรื่องราวที่มีความน่าสนใจมาก ๆ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ก่อน เรื่องราวที่มีความน่าสนใจรองลงมาจะได้นำมาเล่าเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป


ด้วยเหตุที่รายได้สำคัญส่วนหนึ่งของรัฐฯ มาจาก ‘อุตสาหกรรมสื่อลามก’ (Adult video : AV) เพราะอุตสาหกรรมหนังโป๊ในญี่ปุ่นผุดขึ้นทั่วไปทุกหนทุกแห่ง จนกล่าวกันว่า อุตสาหกรรมหนัง AV เป็นตัวสร้างรายได้เข้ารัฐฯ รายใหญ่ รองจากอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ปกติธรรมดา ก็กลายเป็นผลประโยชน์ของเหล่าบรรดายากูซ่านักเลงใหญ่ของญี่ปุ่นไปด้วย ผลประโยชน์อันมหาศาลของอุตสาหกรรม AV นี้กลายเป็นที่แหล่งรายได้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของสาวญี่ปุ่นมากมายในฐานะตัวเลือกที่เป็นได้ทั้งอาชีพหลักและรายได้เสริม รวมไปถึงนักเรียน-นักศึกษาที่หลงเข้ามาและไม่สามารถออกจากโลกมืดนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เข้าไปสู่วงการค้าประเวณีในหมู่วัยรุ่นและนักศึกษา ธุรกิจมืดนี้เรียกกันทั่วไปว่า ‘Joshi Kosei’ หรือ ‘JK business’


‘JK business’ เป็นกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกเดตหลอก ๆ กับสาวมัธยมปลาย เกิดขึ้นในราวปี ค.ศ. 2006 หลังจากที่ Maid café เป็นที่นิยมของบรรดาหนุ่ม ๆ นักเที่ยวในย่านอากิฮาบาระ กรุงโตเกียว ได้ยุติลง ทำให้ JK business เข้ามาแทนที่ ตัวย่อ ‘JK’ ย่อมาจาก ‘Joshi Kosei’ (女子高生) แปลว่า ‘นักเรียนมัธยมหญิง’ โดยหญิงสาวใน JK business ได้รับค่าจ้างสำหรับกิจกรรมทางสังคม เช่น การเดินและการพูดคุย และบางครั้งเป็นการทำนายโชคชะตา และอีกกิจกรรมหนึ่งคือ ‘การนวดกดจุด’


ในปี ค.ศ.2017 รายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่น ‘ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างครบถ้วนในการกำจัดการค้ามนุษย์’ และยังคง ‘อำนวยความสะดวกในการค้าประเวณีเด็กสาวญี่ปุ่น’ ต่อไป ญี่ปุ่นได้รับการยกระดับเป็นสถานะ ‘Tier 1’ (ประเทศที่รัฐบาลปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายตามรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และความรุนแรง ค.ศ. 2000 (TVPA) อย่างเต็มที่) ในช่วงสั้น ๆ ในรายงานปี ค.ศ. 2018 และ 2019 แต่ได้ถูกลดระดับอีกครั้งเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานของปี ค.ศ. 2020, 2021 และ 2022

‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo

‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo* ได้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเพิกเฉยของรัฐบาลต่อปัญหานี้อย่างรุนแรง นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมอธิบายว่า “ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่น่าละอาย สร้างอุปสรรคไม่ให้วัยรุ่นที่หลบหนีกลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกล่อลวง หรือบังคับให้เข้าสู่อุตสาหกรรมบริการทางเพศของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ”


รถบัสสีชมพูที่ของ Colabo ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี

*Colabo ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของญี่ปุ่น ที่ช่วยเหลือเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการให้คำปรึกษา และเชื่อมโยงพวกเขากับโครงการสนับสนุนของรัฐบาล ให้บริการเด็กสาววัยรุ่น ซึ่งหลายคนพบในสถานบันเทิงยามค่ำคืนของญี่ปุ่น การบริการของ Colabo รวมถึงรถบัสสีชมพูที่ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อปรึกษา พูคุย รับประทานอาหาร และสร้างสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของ Colabo


กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับ JK business เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายจังหวัดในญี่ปุ่น ได้ดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปราม JK business เพราะอาจนำไปสู่การค้าประเวณีของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลายจังหวัดได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจำจังหวัด เพื่อห้ามการทำ JK business จังหวัดคานางาวะเป็นจังหวัดแรกที่ดำเนินการแก้ไขกฎหมาย เพื่อควบคุม JK business ในปี ค.ศ. 2011 และในปี ค.ศ. 2014 ตำรวจคานางาวะได้เข้มงวดเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการขายบริการทางเพศ ของเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำให้จำนวนสถานบริการที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีให้บริการในพื้นที่ลดจำนวนลงอย่างมาก


ในปี ค.ศ.2017 สภากรุงโตเกียวได้ออกกฎหมายหลักที่กำหนดเป้าหมาย เพื่อจัดการกับ JK business โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่ทำเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ ตำรวจนครบาลโตเกียวซึ่งครอบคลุมกรุงโตเกียวได้ปราบปราม JK business และจับกุมเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยใช้กฎหมายมาตรฐานแรงงานแห่งชาติ ธุรกิจที่กระทบต่อกฎหมายระเบียบศีลธรรมสาธารณะ และกฎหมายสวัสดิการเด็ก กฎหมายใหม่นี้ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรม ที่ได้รับการควบคุมนอกเหนือจากการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนของนครโตเกียวฉบับก่อนหน้า กฎหมายห้ามผู้เยาว์มีส่วนร่วมในกิจกรรม ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้าเพศตรงข้าม เช่น การนวด การอนุญาตให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูปถ่ายของตนเอง การมีส่วนร่วมในการสนทนากับลูกค้า การเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มแก่ลูกค้า และการไปเดินเล่นกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม หากการกระทำเหล่านี้ไม่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้า ก็ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังห้ามโฆษณาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า มีเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานในสถานประกอบการ แม้ว่าจะไม่มีพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานอยู่เลยก็ตาม ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนี้ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน


ในปี ค.ศ.2018 จังหวัดโอซาก้าได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเยาวชนของจังหวัด เพื่อกำหนดกฎระเบียบที่คล้ายคลึงกันกับของกรุงโตเกียว เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เยาว์ ผู้กระทำผิดมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 เยน แม้ว่าธุรกิจจะเลิกจ้างพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว หลังการตัดสิน ทางการอาจออกคำสั่งระงับการดำเนินธุรกิจเป็นเวลา 6 เดือน การละเมิดคำสั่งนี้อาจส่งผลให้ถูกจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับสูงสุด 500,000 เยน และชื่อของสถานประกอบการจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอีกด้วย


จากการสำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 มีสถานประกอบการที่ประกอบการ JK business ทั่วประเทศ 131 แห่ง ในจำนวนนี้ให้บริการนวดแก่ลูกค้า 99 ราย ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม 22 ราย ให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูป 7 ราย และทำกิจกรรม เช่น พูดคุย เล่นเกม หรือดูดวงกับลูกค้า 3 ราย โดย 71% ของสถานประกอบการที่ดำเนินการ JK business ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว ในขณะที่ 20% ตั้งอยู่ในนครโอซาก้า ที่อยู่ในกรุงโตเกียว 29% ตั้งอยู่ในย่านอากิฮาบาระ 29% ในย่านอิเคะบุคุโระ และ 12% ในย่านชินจูกุ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนธุรกิจที่ประกาศไม่ใช่จำนวนธุรกิจที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี คอยให้บริการลูกค้าจริง ๆ แต่เป็นจำนวนธุรกิจที่โฆษณาว่า มีนักเรียนหญิงมัธยมปลายให้บริการลูกค้า ในสังคมญี่ปุ่นจะยอมรับในสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าตัวพวกเขาเองจะเข้าใจว่าการปฏิบัตินั้นถูกตัดสินในทางลบก็ตาม เพราะชาวญี่ปุ่นจะไม่สร้างความเดือดร้อน หรือรบกวนคนรอบข้าง ดังนั้น พวกเขาจึงชอบที่จะจัดการเรื่องของตัวเองมากกว่าที่จะยุ่งเรื่องของคนอื่น


ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับการค้าประเวณีผู้ใหญ่และเด็ก พระราชบัญญัติความมั่นคงในการจ้างงาน (ESA) และพระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงาน (LSA) บังคับใช้แรงงานที่มีความผิดทางอาญา ซึ่งคุ้มครองเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจของคนงาน และเป็นมาตรการต่อต้านการค้ามนุษย์ทางเพศ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการควบคุมและการลงโทษ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็กและภาพอนาจารและการคุ้มครองเด็ก” ได้กำหนดให้มีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในเชิงพาณิชย์จากเด็ก รวมทั้งการซื้อหรือขายเด็ก เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตภาพอนาจารเด็กหรือการค้าประเวณี


เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2013 มีมติของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเกี่ยวกับ ‘นโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาตรการต่อต้านการแสวงประโยชน์ทางเพศต่อเด็ก’ การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นเพื่อกำจัดการตกเป็นเหยื่อทางเพศของเด็กหญิง ซึ่งเป็นผลมาจากการค้าประเวณีเด็กและการผลิตภาพอนาจารเด็ก คณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้ควบคุมมาตรการโดยรวมต่อการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ตำรวจยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็ก จังหวัดหลัก 7 แห่ง ยังคงใช้กฎหมายห้ามประกอบการ JK business ห้ามหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในบริการหาคู่โดยได้รับค่าตอบแทน หรือกำหนดให้เจ้าของ JK business ลงทะเบียนบัญชีรายชื่อพนักงานกับคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะในท้องถิ่น เป็นต้น โดยปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นยังคงเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประจำปี ค.ศ.2022 ซึ่งอยู่ในสถานะที่เท่ากันกับประเทศไทยของเรา

Operation fish ปฏิบัติการขนย้ายสมบัติครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ของสหราชอาณาจักร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2



แหวนทองที่พลเมืองอังกฤษส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อนำไปแปรรูปเป็นทองคำแท่ง

‘Operation fish’ (ปฏิบัติการปลา) เดือนกันยายน ค.ศ.1939 รัฐบาลอังกฤษได้ออกคำสั่งให้พลเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ต้องแสดงและมอบทรัพย์สิน โดยเฉพาะทองคำของตนให้กับกระทรวงการคลัง ด้วยเมฆพายุแห่งสงครามที่รวมตัวกันทำให้รัฐบาลอังกฤษเกิดความกลัวที่สหราชอาณาจักรมีโอกาสจะเพลี่ยงพล้ำ หากกองทัพเยอรมันยกพลบุกและยึดครองเกาะอังกฤษได้สำเร็จในที่สุด เพื่อให้อังกฤษมีเงินและทรัพยากรที่จะทำการสู้รบต่อไปได้ แม้ว่าเกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงตัดสินใจขนย้ายสมบัติไปยังแคนาดา ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ


ปืนพก Colt ขนาด .380 ที่ถูกสั่งซื้อโดย British Purchasing Commission

ก่อน Operation fish ได้มีการส่งขบวนเรือพร้อมทองคำและเงินมูลค่าหลายล้านปอนด์ เพื่อซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกามาแล้ว โดย British Purchasing Commission (คณะกรรมาธิการจัดซื้อของอังกฤษ) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เดิมคือ คณะกรรมการจัดซื้อของแองโกล-ฝรั่งเศส (Anglo-French Purchasing Board) มีสำนักงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งทำหน้าที่จัดการในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากผู้ผลิตในอเมริกาเหนือ และหลังจากการยอมจำนนของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1940 จึงกลายเป็น British Purchasing Commission คณะกรรมาธิการชุดนี้ยังรับผิดชอบต่อคำสั่งซื้อที่แต่เดิมเป็นของฝรั่งเศส เบลเยียม และต่อมาโดยนอร์เวย์ หลังจากการยอมจำนนต่อเยอรมันของประเทศเหล่านั้น


Sir Winston Churchill นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อ ‘Winston Churchill’ จัดตั้งรัฐบาลในปี ค.ศ.1940 สงครามกับเยอรมันกำลังดำเนินไปโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายย่ำแย่ เพื่อให้มีหลักประกันว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถสู้รบต่อไปได้ แม้เกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม Churchill จึงวางแผนจัดส่งทรัพย์สมบัติของอังกฤษจำนวนมหาศาลไปเก็บเพื่อความปลอดภัยในแคนาดา จากการที่รัฐบาล Churchill ได้ใช้อำนาจในช่วงสงคราม (กฎอัยการศึก) ยึดทรัพย์สินที่ชาวอังกฤษทุกคนได้ถูกบังคับให้ลงทะเบียนเมื่อกันยายน ค.ศ.1939 และทำการขนย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังท่าเรือ Greenock ในสกอตแลนด์ภายใต้การคุ้มกันอย่างเป็นความลับสุดยอด


เรือ HMS Emerald

จากนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกขนส่งโดย ‘เรือรบ HMS Emerald’ ซึ่งออกเดินทางเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1939 พร้อมด้วยด้วยเรือพิฆาตคุ้มกันจำนวนหนึ่งได้แล่นไปยังแคนาดา การเดินทางของขบวนเรือครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด เพื่อเป็นการรักษาความลับและลวงพรางศัตรู ลูกเรือทุกนายต้องสวมเครื่องแบบ ‘สีขาวเขตร้อน’ เพื่อสร้างความสับสนให้กับเยอรมัน ในขบวนเรือคุ้มกันประกอบด้วยเรือประจัญบาน HMS Revenge และ HMS Resolution และ HMS Enterprise รวมถึงเรือลาดตระเวน HMS Caradoc ระหว่างทางขบวนเรือเผชิญกับพายุที่รุนแรงลูกหนึ่ง ที่ทำให้เกิดคลื่นลมแรงจนขบวนเรือต้องลดความเร็วลง จนเกือบจะกลายเป็นเป้าหมายง่ายๆ สำหรับเรือดำน้ำของเยอรมันที่พยายามเข้ามามาด้อมๆ มองๆ แต่ในที่สุดขบวนเรือก็มาถึงท่าเรือเมืองแฮลิแฟกซ์ของแคนาดา ทรัพย์สมบัติของอังกฤษก็ถูกขนย้ายด้วยรถไฟ และถูกส่งไปยังกรุงออตตาวาซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา ก่อนส่งต่อไปยังนครมอนทรีออล


อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล

ทองคำแท่งน้ำหนักสองล้านปอนด์ (900 ตัน) มูลค่าราว 1.948 ล้านบาทในปัจจุบัน อันเป็นทรัพย์สินของอังกฤษ ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยใต้ดินที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษใต้อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล ภายใต้การคุ้มกันตลอดเวลาโดย ตำรวจของ Royal Canadian Mounted และมีการปล่อยข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า มีการเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักรไว้ที่นครมอนทรีออล โดยไม่มีการพูดถึงทองคำจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นการอำพรางกิจกรรมที่เกิดขึ้นในอาคาร Sun Life โดยที่พนักงาน 5,000 คน ที่ทำงานในอาคาร Sun Life ไม่เคยสงสัยเลยว่า มีทองคำจำนวนมหาศาลถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินของอาคาร


แม้จะมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่หน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็ไม่เคยทราบหรือระแคะระคายข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้เลย นักบัญชีและการเงินหลายร้อยคนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อจัดรายการเนื้อหาของทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายมา เมื่อเสร็จปฏิบัติการแล้วก็พบว่า ‘ทองคำ’ มูลค่าราว 1.948 ล้านบาท ที่ถูกส่งจากสหราชอาณาจักรไปยังแคนาดานั้น ไม่สูญหายเลยแม้แต่แท่งเดียว



มีแผ่นหินจารึกบนกำแพงด้านนอกของ Martins Bank บนถนน Water Street ในนครลิเวอร์พูลเป็นที่ระลึกถึงทองคำ ซึ่งถูกเก็บไว้ที่นั่นระหว่างเดินทางไปแคนาดา ระบุข้อความว่า…

“ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1940 เมื่อประเทศนี้ถูกคุกคาม ทองคำสำรองบางส่วนของประเทศถูกนำมาจากกรุงลอนดอน และถูกเก็บเพื่อความปลอดภัยในห้องใต้ดินของ Martins Bank”

ตัวเลขทองคำสำรองของอังกฤษในปัจจุบันอยู่ที่ 310 ตัน (ในขณะที่ตัวเลขทองคำสำรองของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 244 ตัน) ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ไม่สามารถพิมพ์ออกมาใหม่ได้เหมือนเงิน และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการรักษามูลค่ามีมาแต่อดีต ดังนั้น เมื่อมีเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเข้าสู่วิกฤติ ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น ดังนั้นทองคำเป็นหลักประกันที่จับต้องได้ที่ดีสุดสุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

 

‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’


‘Kim Ung-Yong’ เด็กชายอัจฉริยะที่ทำให้โลกต้องตะลึง!!


‘Kim Ung-Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ ชายชาวเกาหลีใต้ ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่’ โดย Guinness World Records นั้นได้บันทึกสถิติว่าชายผู้นี้เป็น ‘คนที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย IQ ของเขาสูงถึง 210 เลยทีเดียว


คุณจะทำอย่างไร? ถ้าคุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่คำถามนี้เป็นสิ่งที่คิม อุงยอง ต้องเผชิญอยู่เสมอมา

คิม อุงยอง เกิดมาพร้อมกับความถนัดโดยกำเนิด และเป็นความถนัดด้านการเรียนรู้ที่ไม่สามารถหาตัวจับได้ ความสามารถทางสติปัญญาของเขาเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ความอัจฉริยะของเขาเริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้นก่อนที่เขาจะเดินได้ด้วยซ้ำ เรื่องราวของเขานั้น นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะเขามีความสามารถที่เหนือความคาดหมายที่สุดของคนปกติ และประสบความสำเร็จทางสติปัญญาอย่างน่าทึ่ง น่าแปลกที่วันนี้แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาเลย เกิดอะไรขึ้นกับ ‘คิม อุงยอง’ เด็กอัจฉริยะจากเกาหลีใต้คนนี้? 


‘Kim-Ung Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ เป็นลูกชายของ ‘Kim Soo-Sun’ บิดาผู้เป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์ของ Hanyang University และ ‘Yoo Myung-Hyun’ มารดาผู้เป็นอาจารย์ที่ Seoul National University เพราะเหตุนี้ เขาจึงดูเหมือนจะถูกลิขิตให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ทางวิชาการตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าสติปัญญาของเขาจะพัฒนาไปจนถึงขีดสุดได้อย่างไร


เขาเกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2505 ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ คิมไม่เสียเวลาเติมพลังสติปัญญาเลย เมื่อคิมอายุเพียง 4 เดือน เขาก็เริ่มพูดได้ พอ 6 เดือน เขาก็สามารถพูดจาสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เมื่ออายุ 1 ขวบ เขาก็มีความเชี่ยวชาญทั้งอักษรเกาหลีและอักษรจีนมากกว่า 1,000 ตัวแล้ว จากการเรียน Thousand Character Classic ซึ่งเป็นบทกวีจีนในศตวรรษที่ 6 ความสามารถทางสติปัญญาของเขามีความโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยมาก เขาสามารถอ่านและเขียนได้หลายภาษา อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ตอนอายุ 3 ขวบ เขาสามารถแก้โจทย์แคลคูลัสได้แล้ว นอกจากนี้ เขายังจัดพิมพ์หนังสือเรียงความ คัดลายมือ พร้อมภาพประกอบความยาว 247 หน้า ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขาได้อย่างน่าประหลาดใจ!!


สติปัญญาที่เหลือเชื่อของ คิม อุงยอง ดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด และถึงแม้จะอายุน้อย แต่พรสวรรค์ของคิมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เด็กอัจฉริยะชาวเกาหลีใต้คนนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติอย่างรวดเร็ว เมื่อเอายุได้ 5 ขวบ เขาก็สามารถพูดภาษาต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วถึง 5 ภาษา อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส เขาได้เข้าเรียนเป็นนักศึกษาพิเศษของภาควิชาฟิสิกส์ที่ Hanyang University ซึ่งมีบิดาของเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นอีกด้วย เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มแรกว่า ความสามารถอันโดดเด่นของคิมนั้นจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา และอาจเปลี่ยนกระทั่งความเป็นมนุษย์ไปตลอดกาล


Terence Tao บุคคลที่มี IQ 230 สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน


‘บุคคลที่มีไอคิวสูงที่สุดในโลก’ ความเฉลียวฉลาดอันน่าทึ่งและความสามารถพิเศษของคิมนั้น เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดความสนใจมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุ 4 ขวบ คิมสร้างความประหลาดใจด้วยการทำคะแนนแบบทดสอบ IQ ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กอายุ 7 ขวบได้อย่างน่าทึ่งถึง 210 คะแนน ความสำเร็จที่น่าประทับใจนี้ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่า ‘เป็นผู้ที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย Guinness Book of World Records (Terence Tao เป็นเจ้าของสถิติ IQ ที่สูงที่สุดในโลกที่ 230 คะแนนในปัจจุบัน)


ชื่อเสียงของเขาเผยกระจายอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาได้แสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์ทางโทรทัศน์ช่อง ‘Fuji TV’ ของญี่ปุ่น ขณะที่เขาอายุได้เพียง 4 ปี 8 เดือน คิมเคยออกรายการโทรทัศน์ แสดงความสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง ที่เรียกว่า ‘สมการดิฟเฟอเรนเชียล’ (Differential Equation) ที่ซับซ้อนได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว (ซึ่งปกติจะมีเรียนในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 3) จนบรรดาผู้ชมต่างประหลาดใจ

ในที่สุดสติปัญญาที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของคิม ก็ได้ดึงดูดความสนใจขององค์กรอวกาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ธรรมดาของ ‘คิม อุงยอง’ ทำให้เขาได้รับคัดเลือกจาก ‘NASA’ องค์การอวกาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้เข้าร่วมงานเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวเขาจึงคว้าโอกาสนั้นไว้ เขาทำงานให้กับ NASA ประมาณหนึ่งทศวรรษ ในช่วงเวลานี้ เขาทำให้เพื่อนร่วมงานประหลาดใจอย่างต่อเนื่องด้วยความจำอันยอดเยี่ยม และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน


อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ NASA นั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเท่านั้น และชีวิตใหม่ของเขาก็ไม่ง่ายเลย เขารู้สึกโดดเดี่ยวและเดียวดาย ไม่มีเพื่อนนอกจากผู้ใหญ่ที่เขาทำงานด้วย ซึ่งอายุมากกว่ามาก และยุ่งเกินกว่าจะมาสังสรรค์กับเขา แม้จะยังไม่ใช่วัยรุ่น แต่เขาก็ทำงานหนักอย่างเหลือเชื่อ และทำประโยชน์อันมีค่ามากมายให้กับองค์กร แต่ในที่สุดเขาก็ท้อแท้กับงานที่ทำอยู่ คิมรู้สึกว่างานวิจัยของเขาถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลายล้าง และบรรดาเจ้านายของเขาต่างก็ได้รับเครดิตจากการทำงานหนักและความคิดของเขา คิมรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ซ้ำยังถูกตีราคาเป็นมูลค่า และไม่มีความสุขเลย จนกระทั่งในที่สุด คิมและครอบครัวตัดสินใจเดินทางกลับเกาหลีใต้ในปี พ.ศ. 2521 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี และได้เข้าเรียนต่อจนจบ เขาสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมด และได้รับประกาศนียบัตรเทียบเท่ามัธยมปลายในเวลาเพียง 2 ปี หลังจากนั้น เขาสมัครเข้าเรียนใน Chungbuk National University ในสาขาวิศวกรรมโยธาจนจบปริญญาเอก


Kim Ung-Yong ในวัยหนุ่ม

การตัดสินใจออกจากองค์การ NASA ของคิมนั้น ทำให้สังคมเกาหลีใต้เต็มไปด้วยความสงสัยและมีคำวิจารณ์จากผู้ที่เห็นว่า การออกจากองค์การ NASA ของเขาเป็นการเสียพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้จะประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ทั้งหมด แต่ชีวิตที่เหลือ (หลังจากออกจากองค์การ NASA) ของเขาก็จะเต็มไปด้วยคำวิจารณ์ประเภทนี้ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในฐานะ ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’

โดยหลังจากจบปริญญาเอกแล้ว คิม อุงยองเข้าทำงานอย่างเงียบๆ ในบริษัทเกาหลีใต้ที่ชื่อ ‘Chungbuk Development’ โดยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลาง แม้ว่า อดีตเด็กอัจฉริยะคนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางคนว่าเป็น ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’ เนื่องจากไม่ได้ใช้ชีวิตตามสติปัญญาอันน่าทึ่งที่เขามี ถึงกระนั้น เขายังคงมองโลกในแง่ดีและค่อนข้างพอใจกับชีวิตของเขา


Kim Ung-Yong เป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University

ในปี พ.ศ. 2550 เขาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2557 ในที่สุดเขาก็สมหวัง เพราะความฝันตลอดชีวิตของเขาคือ ‘การเป็นอาจารย์’ เขาออกจากบริษัท Chungbuk Development เข้าเป็นอาจารย์ของ Shinhan University ได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ เมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557 และยังรับตำแหน่งรองประธานของ North Kyeong-gi Development Research Center หลังจากเริ่มงานใหม่ คิมได้บอกกับสื่อต่างๆ ว่า เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ โดยกล่าวว่า “ผมจะอุทิศตัวเองเพื่อสอนคนรุ่นต่อไป” แม้ว่า ประวัติของเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนว่า คิม อุงยอง จะตัดสินใจตั้งแต่อายุยังน้อยที่จะให้ความสำคัญกับ ‘ความสุข’ มากกว่า ‘สถิติโลก’ ทำให้เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับ IQ ที่สูงมากๆ และ ‘ความสำเร็จ’ ในวัยเด็กของเขา


ปัจจุบัน Kim Ung-Yong เป็นศาสตราจารย์ของ Chungbuk University

บทเรียนที่ต้องเรียนรู้จากชายที่ฉลาดที่สุดในโลก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองชีวิตของคิม อุงยอง ว่า น่าผิดหวัง หรือล้มเหลว แต่มีบทเรียนที่ดีกว่าให้เรียนรู้จากเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันและน่าสนใจของเขา การตัดสินใจของ คิม อุงยอง เป็นตัวอย่างหนึ่งในการเลือกชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขมากกว่าความรุ่งโรจน์ ความสำเร็จ หรือความมั่งคั่ง แม้ว่าเขาจะมีความสามารถพิเศษทางปัญญาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่เขากลับไม่พบความสุขกับบทบาทของเขาในฐานะ ‘เด็กอัจฉริยะ’ จนกระทั่งเขาใช้ชีวิตอย่างสงบและสบายขึ้น เขาจึงพบว่า “ตัวเองมีความสุข”


Kim Ung-Yong สรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า 
“ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

คิม อุงยอง มีส่วนในการช่วยเหลือสังคมมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย บางทีหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ได้จากเขาคือ การตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกความสุข เขากล่าวว่า “ชีวิตของเขาเป็นของเขาเอง ไม่ใช่คนรอบข้าง หรือวิสัยทัศน์ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานของพวกเขา” และเขายังกล่าวสรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า “ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

หวังว่าเรื่องราวของ คิม อุงยอง จะช่วยให้พ่อ-แม่ในสังคมไทยได้เข้าใจลูกๆ และปล่อยให้ลูกๆ ได้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากเป็น เพียงแต่พ่อ-แม่ช่วยดูแลให้ลูกอยู่ในแนวทางที่มีความเหมาะสมและพอดี โดยพิจารณาด้วยเหตุและผลที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งพ่อ-แม่ และลูกๆ ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้

‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก  เผชิญสงครามความยากจน หลังคนไร้บ้านพุ่งสูงเข้าขั้นวิกฤต



ภาพอันน่าตกใจที่แสดงให้เห็นแถวรถยนต์ชนิดต่างๆ ที่จอดเรียงรายต่อกันยาวกว่าสองไมล์ (ราวสามกิโลเมตร) ซึ่งประกอบด้วยผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน (รถ RV) รถบรรทุก และรถพ่วง บนถนนทางหลวงหมายเลข 101 ในเขตเทศมณฑลมาริน (Marin) ทางตอนเหนือของนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยถูกขับไล่ออกจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นของพวกเขา ด้วยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเขตเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ปีละ 131,000 ดอลลาร์ โดย 78% ของคนไร้บ้านเคยมีบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ก่อนที่จะถูกบังคับให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่ อันเนื่องมาจากถูกยึดทรัพย์จนต้องไปตั้งแคมป์ ดังที่เห็นตามภาพ


ภาพเหล่านี้ ถ่ายโดย DailyMail.com แสดงให้เห็นครอบครัวหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ และนำแผงพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นกระแสไฟฟ้า ขณะที่ข้าวของของพวกเขาล้นทะลักออกมาจากยานพาหนะ ในขณะเดียวกัน มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องใช้เงินมากกว่า 3 ล้านดอลลาร์ เพื่อพยายามช่วยผู้ที่อาศัยอยู่ในยานพาหนะ และเพื่อใช้ในการหาบ้านพักอาศัย ชาวบ้านหลายร้อยคนในเทศมณฑลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของนครซานฟรานซิสโก ถูกบีบให้ต้องใช้ชีวิตของพวกเขาในรถบ้าน และรถพ่วงบ้าน หลังจากถูกขับออกจากบ้านพักที่ตนอาศัยอยู่


ภาพถ่ายที่น่าตกใจแสดงให้เห็นแถวของรถบ้าน รถพ่วงบ้าน รถบรรทุก และยานพาหนะอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามทางหลวงหมายเลข 101 ซึ่งตอนนี้ทอดยาวไปกว่าสองไมล์แล้ว จนกลายเป็นค่ายพักผู้ไร้บ้านใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมืองต่างๆ ในเทศมณฑลมาริน ซึ่งบ้านโดยเฉลี่ยราคา 1.4 ล้านดอลลาร์ กำลังผลักดันให้เส้นทางเลียบทางหลวงยุติลง หลังจากจำนวนผู้อาศัยในรถยนต์เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการระบาดใหญ่


บางครอบครัวก็ใช้ธงเพื่อทำเครื่องหมายพื้นที่ถนนที่พวกเขาใช้เป็นบ้าน โดยมีหลายคนดึงผ้าใบมาคลุมรถเพื่อปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มียานพาหนะอย่างน้อย 135 คัน บนถนนบินฟอร์ด (Binford) ชานเมืองโนวาโต เนื่องจากจำนวนยานพาหนะชนิดต่างๆ ที่ถูกใช้เป็นบ้านได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ 131,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า ไม่สามารถหันไปทางไหนได้ จนผู้อยู่อาศัยในบริเวณโดยรอบต้องรวมตัวกันเพื่อพยายามช่วยให้ยุติการตั้งชุมชนผู้ไร้บ้านด้วยการยื่นมือเข้าไปช่วยผู้คนในการค้นหาบริการต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการ ทุกเดือนพวกเขาจะได้รับของอุปโภคบริโภคฟรี ความช่วยเหลือในการจัดการกรณีที่อยู่อาศัย ความช่วยเหลือทางสังคม การแพทย์ และอื่นๆ โดยชุมชนคนไร้บ้านยังต้องดิ้นรนกับปัญหาสุขภาพ อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และสุขภาพจิต และซึ่งจะมีการผลักดันให้มีการขยายบริการหลังจากที่รัฐมอบเงินทุนให้แก่ เทศมณฑลโนวาโต (Novato), ซอซาลิโต (Sausalito) และ ซาน ราฟาเอล (San Rafael) และให้แก่ เทศมณฑลมาริน สำหรับพื้นที่ที่คนไร้บ้านอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ ถนนบินฟอร์ด


แต่ละเมืองและเทศมณฑลได้รับเงิน 500,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน โดยมลรัฐจะมอบทรัพยากรมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือแต่ละพื้นที่ ผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยในเขตเทศมณฑลมาริน บอกว่า “พวกเขาไม่มีที่ไป” เนื่องจากวิกฤตค่าครองชีพที่เกาะกุมพื้นที่นี้มาเป็นเวลานานแล้ว ‘Gary Naja-Riese’ ผู้อำนวยการสำนักงานดูแลคนไร้บ้านของเทศมณฑลมาริน กล่าวว่า “สิ่งสำคัญอันดับแรกและเร่งด่วนของพวกเขาคือ การจัดการกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ด”


จำนวนยานพาหนะยาวเกินสองไมล์และเกิดปัญหาสุขอนามัย และการแพร่ระบาดของโรค และชุมชนคนไร้บ้านดังกล่าวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายคนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนรถเพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าและปรุงอาหารในรถ RV ได้ เจ้าหน้าที่บางคนได้ผลักดันให้มีการห้ามจอดรถข้ามคืน ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ เทศมณฑลมาริน กำลังวางแผนที่จะจ้างนักสังคมสงเคราะห์เต็มเวลาเพื่อดูแลคนไร้บ้านที่อยู่อาศัยในชุมชนดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาโดยตรง เทศมณฑลมาริน ประเมินว่า มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 80 ครอบครัวอาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ดอย่างถาวร แต่ก็มีบางส่วนที่ทิ้งรถไว้ริมถนน และบางคนก็มีสุขภาพที่ดีพอที่จะทำงานเต็มเวลาได้ แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในเทศมณฑลมาริน ด้วยค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น


เมืองอื่นๆ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกกฎหมายบังคับใช้ห้ามรถบ้าน (รถ RV) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 แล้ว เนื่องจากมีผู้คนมากมายที่ได้รับผลกระทบเมื่อผู้อยู่อาศัยในรถบ้าน (รถ RV) ปฏิเสธที่จะย้าย เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เนื่องจากชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ดได้รับความช่วยเหลือหลายทาง จึงมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่เหลือของคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน ซึ่งจะไม่ถูกรบกวนจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเช่นพื้นที่อื่น ๆ ‘Zoe Neil’ ผู้อำนวยการสำนักงานถนนในเขตเมืองของเทศมณฑล Marin กล่าวว่า “ในอดีตการนอนหลับอย่างปลอดภัยในยานพาหนะหรือจุดตั้งแคมป์นอกบ้านของเทศมณฑลมารินเป็นเรื่องยาก บินฟอร์ดเป็นหนึ่งในสถานที่เดียวที่คนไร้บ้านสามารถนำรถไปจอดอยู่ได้ แม้ว่า ถนนสายดังกล่าวจะไม่ใช่ที่หลบภัยก็ตาม”


เทศมณฑลมาริน กำลังหาเงินทุนเพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านดอลลาร์ จากรัฐบาลมลรัฐ ซึ่งจะช่วยให้สามารถจ้างเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่เพิ่มได้อีก 2 คนที่จะทำงานเต็มเวลาแก้ปัญหาชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ด โดยเฉลี่ยแล้วเทศมณฑลมาริน จะหาบ้านพักให้คนไร้บ้านซึ่งมีอยู่ทั่วเทศมณฑลมาริน ได้เฉลี่ยเดือนละสิบครอบครัว โดยส่วนใหญ่ผ่านโครงการหุ้นส่วนเจ้าของบ้านของสำนักงานการเคหะของเทศมณฑลมาริน โดยประมาณ 78% ของคนไร้บ้านในพื้นที่เคยมีที่พักอาศัยในเทศมณฑลมาริน ก่อนที่จะถูกไล่ออกจากที่อยู่อาศัยเดิม


สหรัฐอเมริกาเริ่มทำสงครามต่อสู้กับความยากจน (War against poverty) ในปี ค.ศ. 1964 และต้องยอมรับต่อความพ่ายแพ้ในการทำสงครามดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 2014 หรือ 50 ปีต่อมา แม้ว่ารัฐบาลกลางจะมีเงินงบประมาณเพื่อแก้ไขได้ แต่กลับไม่ทำ และเอาเงินงบประมาณไปทุ่มกับงบกลาโหม และงานต่างประเทศจนหมด หากสหรัฐอเมริกาเลิกทำตัวเป็นตำรวจโลก ลดงบประมาณด้านการทหาร ย่อส่วนโครงการอวกาศลง สหรัฐฯ จะสามารถผันเอาเงินงบประมาณจำนวนมาก มาแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ (Domestic poverty) ได้อย่างสบายๆ

‘ROTC’ หลักสูตรกองกำลังทหารสำรองแห่งกองทัพสหรัฐฯ เส้นทางสู่การติดยศนายทหาร เพื่อเป็นองครักษ์พิทักษ์ชาติ

Reserve Officers' Training Corps : ROTC 
กองกำลังการฝึกนายทหารสำรองแห่งกองทัพสหรัฐฯ


เดิมทีสหรัฐอเมริกาก็มีการเกณฑ์ทหาร และได้ยกเลิกไปนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1972 ภายหลังทหารถอนตัวจากสงครามเวียดนาม ปัจจุบันกำลังพลของกองทัพสหรัฐฯ มาโดยความสมัครใจทั้งหมด แน่นอนที่สุดคือ การรับสมัครบุคคลเพื่อเป็นทหารโดยสมัครใจ จะต้องเพิ่มงบประมาณด้านกำลังพลอย่างมากมาย เพื่อจูงใจให้มีคนมาสมัครเป็นทหาร สำหรับ Reserve Officers’ Training Corps หรือ ‘ROTC’ แปลเป็นไทยคือ ‘กองกำลังการฝึกนายทหารสำรองแห่งกองทัพสหรัฐฯ’ ROTC เป็นระบบการรับสมัครนายทหารชั้นสัญญาบัตรอีกรูปแบบหนึ่ง ROTC เป็นกลุ่มของโปรแกรมการฝึกอบรมผู้ที่จบจากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย เพื่อฝึกอบรมเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรของกองทัพสหรัฐฯ


หลาย ๆ คนเข้าใจว่า ROTC เป็นนักศึกษาวิชาทหารที่เรียนรักษาดินแดน (รด.) แบบบ้านเรา แต่ไม่ใช่ครับ แนวคิดของ ROTC ในสหรัฐอเมริกาถูกจัดทำขึ้นโดย Alden Partridge ผู้เป็นนักเขียน สมาชิกสภามลรัฐ Vermont นักกฎหมาย นักสำรวจจัดทำแผนที่ และผู้บัญชาการโรงเรียนนายทหารสหรัฐฯ แห่งแรกที่ West Point มลรัฐ New York เป็นผู้บุกเบิกการศึกษาทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเน้นการฝึกด้วยออกกำลังกาย ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดของทหารประชาชน (Citizen Soldier) และจัดตั้งสถาบันการศึกษาทางทหารของเอกชนทั่วประเทศ รวมถึงมหาวิทยาลัย Norwich

ROTC เริ่มจาก รัฐบัญญัติ Morrill ปี ค.ศ.1862 กำหนดให้วุฒิสภาและผู้แทนราษฎรแต่ละคน มอบที่ดินของรัฐบาลกลางจำนวน 30,000 เอเคอร์ เพื่อเป็นที่ดินสำหรับการเกษตรกรรมและสร้างสถาบันการศึกษา ซึ่งกฎหมายดังกล่าวถือกันว่า เป็นกฎหมายที่วางรากฐานด้านการศึกษาขั้นสูงให้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการให้ที่ดินเพื่อจัดตั้งวิทยาลัย ซึ่งข้อกำหนดส่วนหนึ่งของรัฐบาลสำหรับโรงเรียนเหล่านี้คือ ต้องมีหลักสูตรทางการทหารเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรประจำด้วย ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ROTC 

มหาวิทยาลัยที่ ROTC เริ่มตั้งขึ้นคือ Norwich University ใน Northfield มลรัฐ Vermont ก่อตั้งขึ้นในปี 1819 โดยอดีตอาจารย์ผู้สอนในวิทยาลัยการทหาร West Point ร้อยเอก Alden ผู้เป็นเจ้าของแนวความคิดของ ‘ทหารพลเมือง’ โดยชายแต่ละคนจะได้รับการฝึกฝนให้ทำหน้าที่ในฐานะทหารเมื่อชาติต้องการ แต่สามารถปฏิบัติหน้าที่เช่นพลเรือนทั่วไปในยามสงบ ซึ่งในที่สุดความคิดนี้ก็นำไปสู่การจัดตั้งกองหนุนของแต่ละเหล่าทัพ (Reserve Force) และกองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) ด้วยการฝึกอบรมในที่ตั้งของกองกำลังพิทักษ์ชาติในท้องถิ่นนั้น


กำเนิดอีกทางหนึ่งของ ROTC สมัยใหม่ มาจาก ‘Plattsburg Idea’ ในปี ค.ศ.1915 พลตรี Leonard Wood ได้จัดตั้งหน่วยฝึกทหารพลเมือง ซึ่งการฝึกตอนแรกจะแยกความเป็นทหารออกจากการเป็นพลเรือนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีความพยายามในการจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรม และมีการบรรจุนายทหารที่มีทักษะทางทหาร หลังจากการฝึกทหารในช่วงฤดูร้อน ชายอเมริกันกว่า 5,000 นาย มาถึงเมือง Plattsburgh ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ.1917 เพื่อเป็นกองทหารอาสากลุ่มแรก ปลายปี ค.ศ.1917 มีชายอเมริกันมากกว่า 17,000 นาย ได้รับการฝึกช่วงก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐอเมริกามีกองกำลังเตรียมพร้อม รวมถึงหนึ่งในผู้ที่สำเร็จการศึกษาจาก Plattsburgh รุ่นแรกสุดคือ Theodore Roosevelt Jr. (บุตรชายคนโตของ Theodore Roosevelt ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐฯ)


กระทั่งทศวรรษ 1960 มหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ หลายแห่งจำเป็นต้องใช้ ROTC ภาคบังคับสำหรับนักศึกษาชายทุกคน อย่างไรก็ตาม จากการประท้วงต่อต้านบทบาทของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม ROTC ภาคบังคับจึงถูกยกเลิกไป คงไว้แต่โปรแกรมอาสาสมัคร ในบางแห่ง ROTC ถูกยกเลิกจากมหาวิทยาลัยโดยสิ้นเชิง

ศตวรรษที่ 21 การถกในรัฐสภาอเมริกันเน้นไปยัง ‘กฎหมายไม่ถามไม่บอก (Don't Ask, Don't Tell)’ ซึ่งลงนามในกฎหมายโดยประธานาธิบดี Bill Clinton ในปี ค.ศ.1993 และบังคับใช้จนถึงปี ค.ศ.2011 ซึ่งห้ามพวกรักร่วมเพศเข้าร่วมในกองทัพสหรัฐฯ จากการเปิดเผยถึงรสนิยมทางเพศ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกปลดประจำการ วิทยาลัยบางแห่งเชื่อว่า คำสั่งทางกฎหมายนี้จะกำหนดให้พวกเขายกเว้นหรือแก้ไขนโยบายที่ไม่เลือกปฏิบัติ


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความพยายามร่วมกันกำลังทำอยู่ที่มหาวิทยาลัยไอวี่ลีกที่เคยยกเลิก ROTC (รวมทั้ง ม.Columbia) เพื่อให้ ROTC กลับคืนสู่มหาวิทยาลัย โปรแกรม Harvard ROTC ได้รับการดำเนินการใหม่ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.2011 หลังจากมีการยกเลิกกฎหมาย Don't Ask, Don't Tell ปี ค.ศ. 2010

ภายใต้กฎหมายปัจจุบันมีโปรแกรม ROTC 3 ประเภท ซึ่งแต่ละโปรแกรมมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ได้แก่


- โปรแกรมแรก คือ โปรแกรมที่วิทยาลัยการทหารระดับสูง (Senior Military Colleges : SMCs) 6 แห่งหรือที่เรียกว่า วิทยาลัยการทหาร ได้แก่ (1) Norwich University, Northfield, Vermont (2) Texas A&M University, College Station, Texas (3) The Citadel, The Military College of South Carolina, also known as The Citadel, in Charleston, South Carolina (4) Virginia Military Institute, in Lexington, Virginia (5) Virginia Tech, in Blacksburg, Virginia และ University of North Georgia, Dahlonega, Georgia สถาบันเหล่านี้เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี (อย่างน้อยที่สุด) และจัดให้นักเรียนทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นนักเรียนนายทหารภายใต้ระเบียบวินัยทางทหาร ผู้ที่เข้าร่วมในโปรแกรมนักเรียนต้องเข้าร่วมการศึกษา ROTC อย่างน้อย 2 ปี


- โปรแกรมที่ 2 คือ ‘วิทยาลัย/มหาวิทยาลัยพลเรือน’ ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทัพบก วิทยาลัย/มหาวิทยาลัยเหล่านี้ เป็นวิทยาลัย/มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีหรือสูงกว่าปริญญาตรี และไม่ได้สอนหลักสูตรทางทหาร


- ประเภทที่ 3 คือ หลักสูตรที่วิทยาลัยทหารชั้นผู้น้อย (Programs at military Junior Colleges (MJC)) เหล่านี้ เป็นโรงเรียนทหารที่ให้การศึกษาระดับมัธยมศึกษา/อนุปริญญา (โดยทั่วไปคือ AS หรือ AA) โรงเรียนเหล่านี้ไม่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี แต่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดอื่น ๆ ของวิทยาลัยการทหาร (หากเข้าร่วมในโครงการอบรม Early Commissioning Program : ECP ก่อน) และนักเรียนนายทหารจะต้องผ่านมาตรฐานทางทหารเช่นเดียวกับโรงเรียนอื่น ๆ (หากลงทะเบียนใน ECP) ตามที่คำสั่งระบุไว้ว่า นักเรียนนายทหารจะเข้าเป็นนายทหารยศร้อยตรีในกองทัพบก/กองกำลังพิทักษ์ชาติเมื่อเรียนจบ เมื่อทำสัญญาแล้ว ร้อยตรีเหล่านี้จะต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันอื่น (ตามที่นายทหารแต่ละคนได้เลือก) ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยของตน เมื่อได้รับปริญญาตรี ร้อยตรี (ECP) สามารถรับการประเมินการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องในยศร้อยโท มีเพียงกองทัพเท่านั้นที่เสนอโปรแกรมการบรรจุล่วงหน้า ในช่วงสงคราม MJC มีบทบาทสำคัญในการสร้างนายทหารให้กับกองทัพบก ในช่วงสงครามเวียดนาม ความต้องการนายทหารสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีนั้น ไม่ได้มีผลบังคับใช้ ดังนั้น เมื่อมีบรรจุนายทหารก็สามารถตรงไปทำหน้าที่ในตำแหน่งที่รับผิดชอบได้เลย


เมื่อเข้าร่วมในโครงการ ROTC ที่เลือกได้จากมหาวิทยาลัยมากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ มี เหตุผลหลัก 2 ประการที่ทำให้ ROTC เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ คือ (1) มีโอกาสได้รับทุนการศึกษาและ (2) ผู้สำเร็จการศึกษาแล้วจะได้เข้าร่วมกองทัพในตำแหน่งนายทหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับยศ ‘ร้อยตรี’ มีโปรแกรมแยกต่างหาก สำหรับกองทัพบก, กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน สำหรับ Coast Guard ไม่มีโปรแกรม ROTC นักศึกษา ROTC จะได้รับผลประโยชน์ทางการเงิน โดยมีทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนใน ROTC หากได้รับการคัดเลือก สามารถได้รับการสนับสนุนทางการเงินไม่เกิน 4 ปีสำหรับ ค่าเล่าเรียน, ห้องพัก, ค่าอาหาร และค่าหนังสือ มีทุนการศึกษามากมายผ่านทางการฝึกทหาร แต่ ROTC ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะได้รับการศึกษาผ่านทางการทหาร หากเคยทำหน้าที่ในกองทัพแล้ว คุณสามารถเรียนต่อระดับวิทยาลัยในฐานะทหารผ่านศึกได้


ประเภทของ ROTC : กองทัพบก ด้วยวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยกว่า 1,100 แห่ง ที่ร่วมโปรแกรม ROTC กองทัพบก มีสาขาวิชาและวิทยาเขตที่หลากหลายเป็นตัวเลือก ผู้สำเร็จการศึกษาได้รับมอบหมายให้เป็นร้อยตรี จากเว็บไซต์กองทัพบกสหรัฐฯ จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลา 8 ปี หากได้รับทุนการศึกษา หากไม่ได้รับทุนการศึกษาจะต้องเป็นนายทหารกำลังสำรองที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลา 5 ปีหรือ 3 ปี


กองทัพเรือ จากเว็บ NROTC ของกองทัพเรือสหรัฐฯ มีสถาบันการศึกษา 75 แห่งทั่วประเทศที่เป็นหน่วยร่วม NROTC มี 3 เส้นทางอาชีพ พยาบาลทหาร และเรือตรีสังกัดกองทัพเรือ ร้อยตรีสังกัดนาวิกโยธิน กองทัพเรือ และหน่วยบัญชานาวิกโยธินต้องใช้ทุน 8 ปีหลังจากสำเร็จการศึกษาจากการเรียนตามโครงการ ROTC วิทยาลัย/มหาวิทยาลัย 4่ ปี


กองทัพอากาศ จากเว็บ AFROTC วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยกว่า 1,100 แห่งร่วมโครงการ ROTC กองทัพอากาศ หลังจากจบการศึกษาแล้วผู้เข้ารับการฝึกจะได้รับยศเป็น เรืออากาศตรี ส่วนใหญ่ต้องทำหน้าที่เพื่อใช้ทุน เป็นเวลา 4 ปีในกองทัพอากาศสหรัฐฯ บางสาขาต้องการความมุ่งมั่นที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นนักบินจะต้องทำหน้าที่ใช้ทุนเป็นเวลา 10 ปี


ทางเลือกในอาชีพ คุณสมบัติสำหรับนักศึกษา ROTC ผู้สมัครจะต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา มีส่วนสูงและน้ำหนักตามมาตรฐานเฉพาะเจาะจง และอยู่ในช่วงอายุตามที่กำหนด การเข้าร่วมโครงการ ROTC ของวิทยาลัยตั้งแต่ภาคการศึกษาแรกของวิทยาลัย/มหาวิทยาลัย ถือเป็นเส้นทางที่จะก้าวไปสู่การเป็นนายทหารที่บรรจุแต่งตั้งในกองทัพสหรัฐฯ ตามเหล่าทัพที่เลือกสมัคร มีโอกาสในการทำงานในสาขาต่าง ๆ หลังจากสำเร็จการศึกษาหลังจากที่ภาระหน้าที่ทางทหารเสร็จสิ้นแล้ว สามารถเลือกที่จะเป็นนายทหารต่อ หรือเปลี่ยนอาชีพไปอยู่ในภาคเอกชนพลเรือน


อาจสรุปได้ว่า นายทหารหลักของกองทัพสหรัฐฯ มาจากโรงเรียนนายทหารของเหล่าทัพต่าง ๆ และจากโปรแกรม ROTC จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งโปรแกรม ROTC สามารถผลิตนายทหารเป็นกำลังสำรองให้เหล่าทัพต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อไล่เรียงดูนายทหารยศพลเอก (4 ดาว) ของกองทัพบกสหรัฐฯ ปรากฏว่า มาจากโครงการ ROTC ที่รู้จักมากที่สุดท่านหนึ่ง คือ พลเอก Colin Powell อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ อดีตประธานคณะเสนาธิการร่วม กองทัพสหรัฐฯ เป็นผู้จบปริญญาตรี ด้านธรณีวิทยา จาก City College of New York (CCNY) ก็เป็นนายทหารตามโครงการ ROTC 

สำหรับบ้านเราหากเรียนรักษาดินแดน 3 ปี ได้ยศเป็นสิบเอก แล้วจะได้รับการปลดเป็นทหารกองหนุนไม่ต้องเกณฑ์ทหาร หากเรียน 5 ปี ได้รับยศว่าที่ร้อยตรี แล้วปลดเป็นทหารกองหนุนเช่นกัน สิทธิพิเศษไม่มี ยกเว้นศูนย์การบินทหารบกจะรับสมัครศิษย์การบินจากนายทหารชั้นสัญญาบัตร สังกัดกองทัพบก และผู้ที่จบทั้งปริญญาตรี และ รด.ปี 5 ปัจจุบันการรับสมัครนายทหารจากพลเรือนของกองทัพไทย แยกสมัครตามแต่ความต้องการตามความรู้ความสามารถตามที่เหล่าทัพต่าง ๆ โดยไม่มีการนำผลการเรียนวิชาทหารมาพิจารณาแต่อย่างใด หากเหล่าทัพต่าง ๆ รับสมัครนายทหารจากบุคคลพลเรือนทั่วไป โดยนำผลการเรียนวิชาทหารมาพิจารณา น่าจะทำให้ นักเรียน นิสิต นักศึกษา สนใจเรียนวิชาทหารมากขึ้น และจะเรียนต่อจนจบชั้นปีที่ 5 มากขึ้น จะได้บุคลากรที่มีพื้นฐานทางทหาร มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นทหารมากขึ้น และเหล่าทัพต่าง ๆ ก็จะได้นายทหารจากพลเรือนที่มีคุณภาพมากขึ้นด้วย

เรื่องราวที่ ‘Ferrari’ ไม่เคยได้รับการบอกเล่า  ช่างซ่อมรถชาวเม็กซิกันช่วยชีวิตบริษัทได้อย่างไร?


‘Carrera Panamericana’ เป็นงานแข่งรถแรลลี่ของรถสต็อก รถทัวร์ริ่ง และรถสปอร์ต บนถนนโล่ง ๆ ในเม็กซิโก ซึ่งคล้ายกับการแข่งขันรถสนาม Mille Miglia และสนาม Targa Florio ในอิตาลี ซึ่ง ‘Carrera Panamericana’ ซึ่งได้จัดการแข่งขันติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึง ค.ศ. 1954 เป็นแข่งขันรถแรลลี่ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เป็นการแข่งขันที่อันตรายที่สุดในโลก เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ทดสอบความอดทนทั้งของรถและตัวนักแข่งที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นสนามแข่งที่ทดสอบรถยนต์ที่ดีที่สุดด้วยนักแข่งที่มีประสบการณ์และกล้าหาญที่สุดในยุคนั้น


โดยบริษัท Ferrari ได้ส่ง Umberto Maglioli ลงแข่งด้วยรถ Ferrari 375 Plus ของเขา ในยุคนั้นแม้ว่า Ferrari จะเป็นรถที่มีชื่อเสียงในยุโรป แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ และแบรนด์ Ferrari ในตอนนั้นยังห่างไกลจากการเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ Ferrari จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิสูจน์ให้คนอเมริกันเห็นว่า รถของพวกเขาเหนือกว่า รวดเร็วกว่า และเชื่อถือได้ การชนะการแข่งขัน Carrera Panamericana จะทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก และสร้างยอดขายในสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ Ferrari รอดพ้นจากการล้มละลาย


Umberto Maglioli เข้าร่วมการแข่งขันด้วยรถ Ferrari 375 Plus ในขณะเขาเป็นผู้นำใน Stage ที่ 4 และอยู่ระหว่างจากแข่งขันใน Stage ที่ 5 อันเป็น Stage สุดท้ายของการแข่งขัน ไม่นานก่อนจะจบ Stage ที่ 4 รถ Ferrari 375 Plus ของเขาเริ่มเสีย ด้วยอาการน้ำมันรั่วผ่านรูในคาร์บูเรเตอร์ ท่ามกลางความห่างไกลและไม่มีชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับส่วนสำคัญของรถ ความหวังที่จะจบการแข่งขันแทบจะเป็นศูนย์

และเมื่อรถ Ferrari 375 Plus ของเขาจวนจะหยุดทำงาน Umberto Maglioli ก็ได้หยุดรถกลางถนนเมื่อเขาเห็นอู่ซ่อมรถยนต์เล็ก ๆ ชื่อว่า ‘El Milagro’ ซึ่งมี Renato Martinez เป็นเจ้าของและช่างเครื่องเพียงคนเดียวของอู่ ที่อยู่ในที่สถานที่ห่างไกลและกันดารแห่งนี้ หลังจากตรวจดูอาการขอรถ Ferrari 375 Plus แล้ว Martinez ช่างและเจ้าของอู่ก็ยืนยันกับ Maglioli ว่า อาการแท้จริงแล้วเกิดจากน้ำมันรั่วในห้องข้อเหวี่ยง และเขามีวิธีแก้ไขที่ ‘สร้างสรรค์’ เพื่อซ่อมแซมโดยใช้เวลาไม่นาน อย่างน้อยก็จะสามารถทำให้ Maglioli เสร็จสิ้นการแข่งขันของเขาได้

ว่าแล้ว Martinez ก็เอาถังน้ำและสบู่ก้อนใหญ่ออกมา ก่อนที่จะเริ่มทำงาน เขายังได้หยิบน้ำอัดลมสามขวดเล็กส่งให้ Maglioli แล้วพูดว่า “ในขณะที่คุณดื่มน้ำอัดลมนี้ ผมก็จะซ่อมรถของคุณ” แม้ Maglioli จะไม่เชื่อว่า Martinez ทำได้ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ดื่มน้ำอัดลมและรอปาฏิหาริย์ ในขณะเดียวกัน Martinez ก็จัดการรื้อเครื่องยนต์ของรถ Ferrari 375 Plus แล้วใช้สบู่ค่อย ๆ ถูบริเวณที่ชำรุดเสียหายของเครื่องยนต์อย่างใจเย็น จากการถูเสียดสีสบู่ก็ค่อย ๆ ละลาย กลายเป็นแผ่นสบู่ที่สามารถปิดรูรั่ว โดยสบู่จะป้องกันน้ำมันรั่ว และเกาะติดกับโลหะในห้องข้อเหวี่ยง แล้วเมื่อแข็งตัวสบู่ก็จะแข็งเหมือนหิน

Maglioli รู้สึกประหลาดใจ และขอบคุณ Renato พร้อมทั้งดึงกล้อง Rolleiflex ขนาดเล็กออกมาจากรถ Ferrari ซึ่งเขาใช้จับภาพช่วงเวลาอันน่าอัศจรรย์นั้น เป็นภาพถ่าย ณ อู่ ‘El Milagro’ โดย Renato Martinez ซึ่งยืนถัดจากรถ Ferrari 375 Plus ซึ่งอยู่ระหว่างการซ่อมแซม และต่อมารูปนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในรูปอมตะของบริษัท Ferrari


Umberto Maglioli ขับรถ Ferrari 375 Plus ของเขา จบการแข่งขันใน Stage ที่ 5 เป็นที่ 1 และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของบริษัท Ferrari ไปตลอดกาล หลังจากนั้นไม่นาน Renato Martinez ก็ได้รับรูปถ่ายที่ Maglioli ถ่ายในช่วงเวลานั้นทางไปรษณีย์ ภาพถ่ายได้รับมีข้อความว่า “ถึงเพื่อนของผม Renato M. จาก Umberto Maglioli” ภาพถ่ายนี้มาพร้อมกับจดหมายขอบคุณ Renato ซึ่งเขียนว่า “Renato, The Mexican Miracle ผู้ซึ่งได้ช่วยบริษัท Ferrari” เอาไว้ จดหมายนั้นลงนามโดย Enzo Ferrari

 

ย้อนรอย 48 ปี วิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นปัจฉิมบทของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และปฐมบทแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน

บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์

เมื่อการเลือกตั้งในบ้านเราจบลง พรรคการเมืองที่มหาอำนาจชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา วาดหวังที่จะให้เป็นรัฐบาลก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งและสอง ด้วยหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสนับสนุน บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ จนได้เป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และยินยอมเปิดรับการกลับเข้ามาฟิลิปปินส์ของสหรัฐฯ หลังจาก โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงบทบาทท่าที่แข็งกร้าวกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตลอด 

สนามบินอู่ตะเภา

ด้วยจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯ ที่จะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้คือ การใช้ประเทศในภูมิภาคนี้เป็นพันธมิตรในการปิดล้อมจีน และสิ่งที่สหรัฐฯ หมายมั่นปั้นมือที่สุดในไทยคือ การกลับเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาอันเป็นสนามบินที่สหรัฐฯ สร้างเอาไว้ในยุคสงครามเย็น โดยเป็นฐานทัพอากาศที่มีเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ประจำการ และใช้เป็นฐานปฏิบัติการในการทิ้งระเบิดในเวียดนาม ลาว เพราะสนามบินอู่ตะเภามีความพร้อมในการรองรับกองกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ที่ครอบคลุมทะเลจีนใต้ (มหาสมุทรแปซิฟิก) และทะเลอันดามัน (มหาสมุทรอินเดีย) ซึ่งจะทำให้ราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคน กลับมาอยู่ในวงของความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีนโดยตรง เช่นที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะสงครามอินโดจีนหรือสงครามเวียดนาม อีกครั้งหนึ่ง


สำหรับวิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นจุดจบของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และจุดเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ขณะที่เรือสินค้า SS Mayaguez บรรทุกอาหาร และเวชภัณฑ์เดินเรือในน่านน้ำสากลจากฮ่องกง ผ่านใกล้ชายฝั่งกัมพูชาเพื่อไปยังท่าเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้ถูกเรือติดอาวุธของรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) ยึดเรือ และจับลูกเรือ 39 คนเป็นตัวประกัน โดยอ้างเรือสินค้า SS Mayaguez ว่ารุกล้ำน่านน้ำกัมพูชา (ในเขตน่านน้ำซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งของประเทศกัมพูชาประมาณ 60 ไมล์) รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการตอบโต้อย่างแข็งกร้าวและรวดเร็ว เพราะเห็นเป็นโอกาสอันดีที่ผู้นำสหรัฐฯ จะสามารถแสดงอำนาจและความเด็ดขาดให้ปรากฏแก่ชาวโลก เนื่องจากว่าเพียงแค่เดือนก่อนหน้านั้นทั้งกัมพูชาและเวียดนามใต้ได้พ่ายแพ้แก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ ซึ่งสร้างความสั่นคลอนอย่างยิ่งแก่เกียรติภูมิและความภูมิใจแห่งชาติของชาวอเมริกัน


ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ เพื่อชิงเรือ SS Mayaguez คืนเกิดขึ้นโดยนาวิกโยธินอเมริกันจากเกาะโอกินาวาและอ่าวซูบิก ที่ถูกส่งมายังฐานทัพอเมริกันที่อู่ตะเภาในวันที่ 13 พฤษภาคม ได้บุกจู่โจมชิงเรือ SS Mayaguez และลูกเรือคืนในเช้ามืดวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพอเมริกันที่อุดรธานีและโคราชออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. การใช้ดินแดนไทยเพื่อปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งมิได้รับรู้ถึงปฏิบัติการครั้งนี้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แจ้งแก่อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในวันที่ 13 พฤษภาคม แล้วว่า ไทยไม่ยินยอมให้ใช้ดินแดนไทยในทางการทหารใด ๆ เพื่อตอบโต้กัมพูชา แม้ว่า ก่อนการดำเนินภารกิจนี้ สถานทูตสหรัฐฯ ได้แจ้งแผนการใช้กำลังต่อพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ที่สหรัฐฯ ติดต่อด้านการทหารเป็นประจำ พลเอกเกรียงศักดิ์ได้ให้อนุญาต โดยมิได้แจ้งแก่รัฐบาลไทย และรัฐบาลไทยซึ่งรับรู้สถานการณ์ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ดำเนินภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้แถลงว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการละเมิดอธิปไตยไทย และได้ยื่นบันทึกประท้วงต่ออุปทูตสหรัฐฯ พร้อมทั้งระบุให้ถอนนาวิกโยธินออกทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนกว้างไกล กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้แสดงปฏิกิริยาประท้วงและประณามสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วและอย่างสอดคล้องกัน ซึ่งขัดแย้งกับบริบทการเมืองไทยขณะนั้น ที่มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรงในสังคม (ไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้) ดังที่บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ระบุว่า “ไม่มีครั้งใดในการเมืองไทยที่คนไทยทั้งชาติจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อรัฐบาลสหรัฐฯรุนแรงเท่าครั้งนี้” การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านทุกพรรคได้เรียกร้องให้เปิดประชุมสภาวิสามัญ เพราะเห็นว่าเหตุการณ์เป็นภาวะคับขันและเกี่ยวข้องกับเอกราชและอธิปไตยของชาติ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับของไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกัน เพื่อให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน แต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุดมาจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดการชุมนุมประท้วงสหรัฐฯ ที่สนามหลวงและมีผู้เข้าร่วมหลายพันคน ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่งบันทึกประท้วงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมทั้งเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ กลับ พร้อมทั้งประกาศที่จะทบทวนสัญญาและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีทั้งหมด ส่วนการชุมนุมที่นำโดยศูนย์นิสิตนักศึกษาฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขีดเส้นตายให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องขอโทษไทยภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากที่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มายังหน้าสถานทูตสหรัฐฯ อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้เข้าร่วมด้วย เช่น นายธีรยุทธ บุญมี และ นายเสกสรร ประเสริฐกุล เป็นต้น

นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งแกนนำการประท้วงสหรัฐฯ ในขณะนั้น

ในวันที่สามของการชุมนุมประท้วงมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนถึงกว่าหนึ่งหมื่นคน สหภาพกรรมกร 61 แห่งได้ประกาศเข้าร่วมด้วย และขู่จะทำลายธุรกิจของบริษัทที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของถ้าสหรัฐฯยังไม่ขอโทษไทย นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ด้วย ผู้ชุมนุมที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯได้เผาหุ่นประธานาธิบดีฟอร์ดและ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีความผิดตามคำพิพากษาของ “ศาลประชาชน” คือ “เป็นฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าประชาชนหลายหมื่นคนในอินโดจีนและหลอกลวงประชาชนไทย”


นายธีรยุทธ บุญมี ได้ประกาศด้วยว่าหากประธานาธิบดีฟอร์ดไม่ขอโทษประชาชนไทยเองภายใน 24 ชั่วโมง ก็จะเผาธงชาติอเมริกันซึ่ง “เป็นการทำลายสัญลักษณ์ของจักรวรรดินิยมอเมริกา” การชุมนุมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมกรูกันเข้าไปแกะตราสถานทูตฯซึ่งเป็นรูปนกอินทรีลงกระทืบและติดรูปอีแร้งแทน ป้ายชื่อสถานทูตถูกทับด้วยป้าย ‘ซ่องโจร’ และขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวเป็นชาวเวียดนามกระชากธงชาติอเมริกันลงมาปัสสาวะรดกลางที่ชุมนุม ซี่งในขณะเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น กำลังตำรวจที่ดูแลบริเวณนั้นมิได้เข้าจัดการหรือขัดขวางใด ๆ

 



สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้นำรัฐบาลมาก และต้องการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด ดังนั้น เมื่ออุปทูตสหรัฐฯ ขอพบเพื่อหารือสถานการณ์ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ขอให้ส่งสารขอโทษไทย ในเช้าวันต่อมาอุปทูตสหรัฐฯ ได้ยื่นบันทึกของอุปทูตต่อพลตรีชาติชาย ซึ่งมีใจความบางตอนว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าใจถึงปัญหาที่ได้สร้างให้แก่รัฐบาลไทย…และขอย้ำว่า มีความเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สหรัฐฯ ยังคงมีนโยบายที่จะเคารพต่ออธิปไตยและเอกราชของไทยเสมอ…และเหตุการณ์ทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” พลตรีชาติชายกล่าวในเวลาต่อมาว่า พอใจต่อบันทึกนี้ และคำขอโทษจากประธานาธิบดีฟอร์ดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และได้ส่งสำเนาบันทึกแก่ผู้นำการชุมนุมที่หน้าสถานทูต กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขอขมาแล้ว” และประกาศก่อนเลิกการชุมนุมว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนจุดสุดท้ายคือการขับไล่ฐานทัพอเมริกันทั้งหมดออกไป



ปฏิกิริยารุนแรงของนักศึกษาและสาธารณชน ต่อเหตุการณ์มายาเกวซเกิดขึ้นในบริบทการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่มีข้อเรียกร้องจากหลายกลุ่มให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระจากสหรัฐฯ กลุ่มเหล่านี้ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองพลเรือนและนักศึกษา มีทัศนะว่า นโยบายต่างประเทศที่ผูกพันกับสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นนั้นถูกกำหนดโดยผู้นำทหารซึ่งมีผลประโยชน์สอดคล้องกับสหรัฐฯ และเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ มากกว่า โดยเฉพาะฐานทัพและทหารอเมริกันในประเทศไทยก็คือ สัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันที่ต้องให้หมดไปโดยเร็ว อีกทั้งทำให้ไทยสูญเสียอธิปไตยและไร้เกียรติภูมิประเทศ นักวิชาการ เช่น ดร.เขียน ธีระวิทย์ กล่าวใน พ.ศ. 2518 ว่า หากฐานทัพอเมริกันยังอยู่ต่อไป “จะสร้างความแตกแยกให้คนในชาติมากขึ้น อาจเกิดการตั้งขบวนการสังหารชาวอเมริกันและทหารอเมริกันในไทย เพราะคนไทยทุกวันนี้มีความเกลียดชังทหารอเมริกัน” ส่วนนักศึกษาฝ่ายซ้ายกลุ่มหนึ่งในเวลานั้นก็ได้ผลิตงานเขียนหรือกล่าวเสมอในที่สาธารณะว่า สหรัฐฯ เป็น ‘จักรวรรดินิยม’ ที่เอาเปรียบประเทศเล็กทั่วไปรวมทั้งไทยด้วย การชุมนุมของนักศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนประสบความสำเร็จเพราะรัฐบาลได้ตอบโต้สหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของรัฐบาลยังเป็นเพราะสาเหตุอื่นด้วย กล่าวคือ ผู้นำพลเรือนกลุ่มหนึ่งก็มีทัศนะว่าจะต้องปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกันที่มีลักษณะ ‘ลูกพี่ – ลูกน้อง’ และเน้นด้านการทหารให้มีลักษณะที่สมดุลมากขึ้น เหตุการณ์ ‘เรือ SS Mayaguez’ จึงเป็นโอกาสที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองแก่สหรัฐฯ และประเทศเพื่อนบ้านอินโดจีนที่รัฐบาลกำลังพยายามสร้างไมตรีด้วย นอกจากนี้ ก็เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะมีบทบาทในเรื่องความมั่นคงที่ก่อนหน้านั้น ถือเป็นเรื่องของฝ่ายทหารที่รัฐบาลพลเรือนช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม แทบไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็ทำให้รัฐบาลไทยอยู่ในฐานะลำบากเพราะฝ่ายทหารยังคงมีอำนาจในการเมืองไทย และต้องการความช่วยเหลือด้านการทหารจากสหรัฐฯ ต่อไป ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังคงเป็นมหาอำนาจที่ผู้นำไทยทุกกลุ่มให้ความสำคัญมากที่สุด และหากจำเป็นก็ยังคงหวังพึ่งพามากที่สุดด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงต้องยุติเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วโดยการยอมรับ ‘สารแสดงความเสียใจ’ จากอุปทูตอเมริกันประจำประเทศไทยที่มิใช่ ‘คำขอโทษ’ จากรัฐบาลอเมริกัน ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี จึงนำคณะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งแรก โดยมีโอกาสพบกับผู้นำของจีน ทั้งประธานเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล และ รองนายกรัฐมนตรี เติ้ง เสี่ยวผิง รวมทั้งได้มีพิธีลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน



ในปี พ.ศ. 2518-2519 คนรุ่นใหม่สมัยนั้นเป็นคนไล่ฐานทัพอเมริกันออกไป แต่พอ พ.ศ. 2566 คนรุ่นใหม่สมัยนี้กลับมาสนับสนุนพรรคการเมือง ที่มีแนวโน้มจะให้ฐานทัพอเมริกันกลับมาในประเทศไทยอีก

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
 

รู้จัก ‘Hope Cooke’ สตรีอเมริกัน ผู้ยอมสละสัญชาติ เพื่อเป็นพระราชินี (องค์สุดท้าย) แห่ง ‘ราชอาณาจักรสิกขิม’

หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่า ‘ราชอาณาจักรสิกขิม’ ผมจึงขอเล่าถึง ‘ราชอาณาจักรสิกขิม’ ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ได้ทราบเป็นสังเขปก่อนครับ

‘ราชอาณาจักรสิกขิม’ ก็คือ ‘รัฐสิกขิม’ ของสาธารณรัฐอินเดียในปัจจุบัน โดยรัฐสิกขิมเป็นรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย มีพื้นที่ติดต่อกับทิเบต ประเทศภูฏาน ประเทศเนปาล และรัฐเบงกอลตะวันตก

รัฐสิกขิมเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดของอินเดีย และมีพื้นที่น้อยที่สุดเป็นอันดับสอง พื้นที่ของรัฐนี้ประมาณ 35% อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติคางเชนดองซา อันเป็นแหล่งมรดกโลก อีกทั้ง ‘ราชอาณาจักรสิกขิม’ เป็นประเทศที่สูญเสียเอกราชให้กับอินเดียด้วยลัทธิประชาธิปไตย

ราชอาณาจักรสิกขิม ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 17 และปกครองโดยกษัตริย์นักบวชชาวพุทธซึ่งเรียกว่า ‘โชเกล (Chogyal)’ ราชอาณาจักรสิกขิมเป็นราชอาณาจักรที่ปกครองยาวนานมาเป็นเวลา 333 ปี ปกครองโดย ‘โชเกล’ ซึ่งได้รับการสถาปนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2185 (ค.ศ 1642) ราชอาณาจักรสิกขิมกลายเป็นเป็นรัฐในอารักขาของจักรวรรดิบริติชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861)

ต่อมาในปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) ภายใต้สนธิสัญญา Tumlong สิกขิมกลายเป็นรัฐมหาราชาหนึ่งภายใต้บริติชอินเดียจนถึงปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) และเป็นรัฐในอารักขาของประเทศอินเดียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ.1950) จนถึงปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) (โดยในปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) เกิดการจลาจล ฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมได้เข้ายึดพื้นที่บริเวณหน้าพระราชวังของช็อกยัลเพื่อต่อต้านระบอบกษัตริย์สิขขิม)

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) อินเดียได้ส่งกองกำลังเข้ายึดครองกรุงกังต็อก นครหลวงของราชอาราจักรสิกขิมเพื่อปราบปรามการจลาจล และตามด้วยการจัดทำประชามติในเรื่องเกี่ยวกับการปกครองและสถาบันพระมหากษัตริย์ของสิกขิมในปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ซึ่งปรากฏผลคะแนนให้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ และเข้าร่วมเป็นรัฐที่ 22 ของสาธารณรัฐอินเดีย วันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 สิกขิมได้เข้าเป็นรัฐสมาชิกของสาธารณรัฐอินเดีย โดยรัฐสิกขิมเป็นรัฐมีอัตราการรู้หนังสือสูงที่สุดในบรรดารัฐหิมาลัย

ในส่วนของสตรีที่เราจะพูดถึงในวันนี้ เธอมีชื่อว่า ‘Hope Cooke’ เกิดวันที่  24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ที่นครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา บิดาของเธอ คือ John J. Cooke อเมริกันเชื้อสายไอริช ประกอบอาชีพเป็นครูการบิน ส่วนมารดาของเธอคือ Hope Noyes เป็นนักบินหญิง

Hope Cooke ถูกเลี้ยงดูและนับถือศาสนาคริสต์นิกาย Episcopal ด้วย Hope Noyes มารดาของเธอเสียชีวิตเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) ขณะมีอายุได้ 25 ปี จากเหตุเครื่องบินตก Hope Cooke และพี่สาวต่างบิดาถูกส่งไปให้คุณตา คุณยาย เลี้ยงดู ตาของเธอเป็นประธานบริษัท J. H. Winchester & Co ซึ่งเป็นนายหน้าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ แต่พอเมื่อคุณตา คุณยายของเธอเสียชีวิต เธอก็ถูกส่งไปอยู่ในการปกครองของคุณป้าและลุงเขย คือ Selden Chapin อดีตเอกอัครรัฐทูตสหรัฐประจำอิหร่านและเปรู ซึ่งทำให้เธอจบการศึกษาระดับไฮสคูลในอิหร่าน

Hope Cooke จัดว่า เป็นสตรีชั้นสูง (Celebrity) ของสังคมอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) Cooke ได้เข้าศึกษาภาควิชาเอเชียศึกษาของวิทยาลัย Sarah Lawrence และเช่าห้องร่วมกับนักแสดงสาว Jane Alexander ซึ่งเรียนวิทยาลัยเดียวกัน

ในขณะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งด้วยการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ เธอได้เดินทางไปอินเดียในช่วงฤดูร้อน และได้พบกับ สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgyal แห่งสิกขิมวัย 36 ชันษา ซึ่งเคยเสกสมรสแล้ว (ในขณะนั้นยังทรงเป็นมกุฎราชกุมารแห่งสิกขิม) ที่ภัตคารของโรงแรมวินดาเมียร์ เมืองดาร์จิลิงของอินเดีย (ขณะนั้น Cooke อายุเพียง 19 ปี)

ทั้งสองรักใคร่ชอบพอกันด้วยเห็นว่า มีชีวิตวัยเด็กที่โดดเดี่ยวคล้ายคลึงกัน ในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) มีการประกาศการหมั้น แต่พิธีอภิเษกสมรสถูกเลื่อนไปกว่าหนึ่งปี เพราะโหราจารย์ทั้งในสิกขิมและอินเดียต่างเตือนว่า ปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) นั้นเป็นปีไม่มงคลสำหรับการสมรส

ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม พศ. 2506 (ค.ศ. 1963) มกุฎราชกุมาร Palden Thondup Namgyal ได้อภิเษกสมรสกับ Hope Cooke ด้วยราชพิธีมงคลสมรสแบบศาสนาพุทธนิกายมหายาน โดยมีพระลามะ 14 รูป และผู้ที่มาร่วมราชพิธีดังกล่าวมีทั้งราชนิกุลของอินเดีย นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของทั้งอินเดียและสิกขิม และเอกอัครรัฐทูตสหรัฐอเมริกาประจำอินเดีย

โดย Cooke ยอมสละสัญชาติอเมริกันตามกฎหมายของสิกขิม เพื่อไม่ให้ชาวสิกขิมเห็นว่า เธอยังเป็น ‘คนอเมริกัน’ ในประเทศแถบเทือกเขาหิมาลัย แม้ว่ามกุฎราชกุมารจะนับถือศาสนาพุทธ แต่ Hope Cooke ก็ไม่ได้เปลี่ยนศาสนาจากคริสต์เป็นพุทธอย่างเป็นทางการ แม้ว่าในช่วงยังเยาว์ เธอเคยปฏิบัติพิธีแบบพุทธศาสนาก็ตาม สื่อต่างชาติตีพิมพ์เรื่องราวที่ดูราวกับเทพนิยายของทั้งสอง ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรส 1 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์

ในช่วงนั้นทั้งชาวอเมริกันและชาวโลกแทบไม่มีใครที่รู้จักราชอาณาจักรเล็ก ๆ อย่างสิกขิมเลย เมื่อมีการตีพิมพ์ลงข่าวเรื่องราวของการอภิเษกเสกสมรส พวกเขาก็เชื่อว่า ประเทศนี้เล็ก ๆ น่ารัก เป็นมิตร ผู้คนเคร่งศาสนา และสงบสุข แต่ความตึงเครียดเกิดขึ้นเมื่ออินเดียพยายามขยายลัทธิสาธารณรัฐนิยมไปยังประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียง และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งในจีนและทิเบตก็ส่งผลกระทบต่อราชอาณาจักรสิกขิมด้วย

สมเด็จพระราชาธิบดี Tashi Namgyal ซึ่งทรงเป็นโชเกล (Chogyal) พระองค์ที่ 11 แห่งราชอาณาจักรสิกขิม ซึ่งครองราชย์มายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) ได้ลงนามในสนธิสัญญากับอินเดียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) โดยให้สาธารณรัฐอินเดียมีอำนาจเหนืออธิปไตยของราชอาราจักรสิกขิม ส่งผลให้อินเดียเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของสิกขิมบ่อยครั้ง เพื่อจะได้หาโอกาสผนวกเอาราชอาณาจักรสิกขิมเข้าเป็นรัฐหนึ่งของอินเดีย ด้วยอินเดียหวาดกลัวจีนคอมมิวนิสต์ที่อาจจะใช้สิกขิมและภูฏานเป็นด่านหน้าในการโจมตีอินเดีย

สมเด็จพระราชาธิบดี Tashi Namgyal ทรงประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ แม้ว่าสิกขิมจะเป็นราชอาณาจักรเล็ก ๆ โดดเดี่ยว ทรัพยากรน้อย แต่ชาวสิกขิมกลับมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเพื่อนบ้านอย่าง เนปาล และภูฏาน อัตราการรู้หนังสือและรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรของราชอาณาจักรสิกขิมมีสูงกว่า อินเดีย (ช่วงที่เริ่มต้นการพัฒนา) เนปาล และภูฏาน แต่อำนาจทางการทหารนั้นมีน้อยกว่าอินเดียมากจนไม่อาจเทียบได้

วันที่ 2 ธันวาคม พศ. 2506 (ค.ศ. 1963) สมเด็จพระราชาธิบดี Tashi Namgyal สวรรคต มกุฎราชกุมารได้ครองราชย์เป็น สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya โชเกลพระองค์ที่ 12 แห่งสิกขิม และ Hope Cooke ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินี Hope (Queen Hope) พิธีราชาภิเษกของพระองค์ในปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) ได้รับความสนใจจากสังคมโลกไม่น้อย ด้วยสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya เมื่อคราวยังเป็นเจ้าชายมกุฏราชกุมารเคยทรงเป็นตัวแทนเจรจาความสัมพันธ์สิกขิมและอินเดียในคราวที่อินเดียได้รับเอกราช

แต่เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ทรงราชย์สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่คือ บรรดาฝักฝ่ายทางการเมืองในสิกขิม โดยอินเดียให้การสนับสนุนพรรคคองเกรสแห่งชาติสิกขิม (Sikkim National Congress) อันเป็นพรรคการเมืองที่นิยมอินเดีย และปรารถนาให้อินเดียผนวกสิกขิมอย่างเบ็ดเสร็จ มีการให้ร้าย-โจมตีสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ว่า ทรงไร้ความสามารถ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่เป็นที่เคารพของประชาชน และไม่มีประสิทธิภาพในการทรงงาน

ขบวนการต่อต้านพระมหากษัตริย์ดำเนินการโดยนักการเมืองมืออาชีพจากพรรคคองเกรสที่อินเดียสนับสนุน จากนั้นก็ขยายกลุ่มไปสู่ข้าราชการชาวเนปาลที่เข้ามาทำงานในประเทศ ได้เดินขบวนเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ซึ่งเป็นการเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กว่า 300 ปีของราชอาณาจักรสิกขิม โดยมองว่า การปกครองขององค์โชเกลไม่เป็นประชาธิปไตย จึงต้องการให้ ‘อินเดียเข้ามาชี้นำประชาธิปไตยในประเทศ’

ความล้มเหลวของสถาบันพระมหากษัตริย์สิกขิมเกิดจากอำนาจและมนต์ขลังความเป็นพระมหากษัตริย์ในพระพุทธศาสนาเสื่อมลงตามกาลเวลา การขาดปฏิสัมพันธ์กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ การเรียกร้องประชาธิปไตยเกิดขึ้นหลังจากที่อำนาจการปกครองอยู่ในมือขององค์โชเกลเป็นเวลานาน แต่พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนหรือแม้กระทั่ง สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ที่ทรงมีแนวคิดสมัยใหม่ แต่ก็ไม่ทรงปฏิรูปการเมืองให้เป็นไปในแนวทางประชาธิปไตยเลย แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ฝ่ายการเมืองนั้นก็ขึ้นอยู่กับองค์โชเกล พอมาถึงปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ระบอบเดิมจึงสั่นคลอน

จากความตึงเครียดทางการเมืองส่งผลถึงความตึงเครียดในครอบครัวด้วย สมเด็จพระราชินี Hope ซึ่งทรงมีความรักอันหวานชื่นกับ สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya กลับต้องเกิดความระหองระแหง ด้วยสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ทรงหลบลี้พระมเหสีไปคบหากับสตรีชาวเบลเยียมที่มีสามีแล้ว

ส่วนสมเด็จพระราชินี Hpoe ก็ทรงแก้แค้นด้วยการไปคบหากับเพื่อนชายชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองวุ่นวายนี้ สมเด็จพระราชินี Hope ทรงละทิ้งพระสวามี และเสด็จไปนครนิวยอร์กพร้อม พระโอรส พระธิดา ทรงปล่อยให้ สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ต้องทรงรับมือกับสภาวะความวุ่นวายในสิกขิม

Hope ได้เล่าให้สัมภาษณ์ในเวลาหลายปีต่อมาว่า "ฉันทูลพระองค์แล้วว่า ฉันเกลียดหล่อน ฉันทนไม่ได้"

การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ฝ่ายพรรคการเมืองนิยมอินเดียได้รับเสียงข้างมาก และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ทรงเดินหมากทางการเมืองผิดพลาด พระองค์ทรงกีดกั้นรังเกียจรัฐบาลนี้ และทรงปฏิเสธรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พรรคนี้ร่าง

สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ทรงต่อต้านแต่ก็ไร้ซึ่งพลัง พระองค์ไม่สามารถเอาชนะในช่วงที่การเมืองถูกครอบงำโดยพรรคคองเกรสแห่งชาติสิกขิม พระองค์จึงทรงต้องยอมรับรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ราชอาราจักรสิกขิมกลายเป็นรัฐหนึ่งของอินเดีย และรัฐบาลจึงเสนอให้มีการจัดให้มีการลงประชามติเพื่อยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์ ซึ่งรัฐบาลเห็นว่ามีปัญหาในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) แต่ก็ไม่ได้มีการจัดการลงประชามติดังกล่าวขึ้น เพราะสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ไม่ทรงยอม โดยพระองค์ทรงเรียกร้องให้เป็นการลงประชามติที่อิสระและยุติธรรม ไม่ใช่ภายใต้การครอบงำของพรรคคองเกรสแห่งชาติสิกขิม

ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) กลุ่มฝูงชนที่รัฐบาลพรรคคองเกรสแห่งชาติสิกขิมซึ่งรัฐบาลอินเดียสนับสนุนได้บุกเข้าพระราชวังเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้นายกรัฐมนตรี Indira Gandhi แห่งอินเดียส่งกองทัพเข้ายึดครองราชอาณาจักรสิกขิม อินเดียจึงจัดประชามติเพื่อยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์ในปีเดียวกันและผลคือให้ยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์และราชอาณาจักรสิกขิม จากนั้นก็ผนวกสิกขิมเข้ากับอินเดียในเวลาเดียวกัน ด้วยคะแนนกว่า 97% เห็นชอบให้เป็นรัฐของอินเดีย (มีรายงานว่า ผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนในครั้งนั้นกลับเป็นชาวอินเดียที่เข้ามาอาศัยในสิกขิม แต่ชาวสิกขิมพื้นถิ่นไม่ได้รับสิทธิในการลงคะแนนเลย)

สมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ทรงประณามการลงคะแนนประชามติครั้งนี้ว่า “ผิดกฎหมายและไม่เป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ” อดีตสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ทรงถูกเนรเทศ และสุดท้ายทรงหย่ากับอดีตพระราชินี Hope ในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) และในปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) อดีตสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya ก็สวรรคตในนครนิวยอร์ก ด้วยโรคมะเร็ง สิริพระชนมายุ 58 พรรษา

อดีตสมเด็จพระราชินี Hope กลับมาเป็น Hope Cooke เช่นเดิม เธอเลี้ยงดูโอรสธิดาที่เมืองแมนฮัตตัน แต่ก็ไม่ได้รับสัญชาติอเมริกันคืน ด้วยเพราะทำการละสัญชาติไปแล้ว เธอจึงเป็นชาวสิกขิม Hope Cooke ได้รับเงินค่าเลี้ยงดูโอรสธิดาจากอดีตสมเด็จพระราชาธิบดี Palden Thondup Namgya และได้รับมรดกจาก ปู่ ย่า ตา ยาย ของเธอเอง จึงสามารถเช่าอพาร์ตเมนต์ที่ย่าน Yorkville ในนครนิวยอร์ก และเริ่มสร้างตัวด้วยตนเอง ในฐานะที่เคยศึกษาด้านประวัติศาสตร์ เธอเริ่มศึกษาเอกสารเก่าของชาวดัตช์ จากคำเทศนาในโบสถ์เก่า ๆ และบทความหนังสือพิมพ์เก่า ๆ เกี่ยวกับเมืองนิวยอร์ก และได้เป็นอาจารย์สอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สังคมของนครนิวยอร์ก รวมทั้งได้เขียนคอลัมน์ประจำสัปดาห์ในเรื่อง ‘Undiscovered Manhattan’ ลงในหนังสือพิมพ์ New York Daily News จากนั้นเธอได้เขียนหนังสือที่ได้รับรางวัล คืออัตชีวประวัติของเธอในช่วงที่อยู่สิกขิมในชื่อ Sikkim, Time Change: An Autobiography (1981)

Hope Cooke แต่งงานใหม่ในปี พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) กับ Mike Wallace นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ดีเด่นจากวิทยาลัยกระบวนการยุติธรรมทางอาญา John Jay (John JayCollege of Criminal Justice)

แต่ต่อมาก็หย่ากัน บุตรชายของ Hope คือ เจ้าชาย Palden เป็นนายธนาคารและที่ปรึกษาการเงินในนครนิวยอร์ก ปัจจุบัน Hope Cooke อาศัยอยู่ในเมือง Brooklyn ทำงานเป็นนักเขียน นักประวัติศาสตร์ และอาจารย์สอนในวิทยาลัย และมีงานเขียนมากมายเกี่ยวกับทิเบตวิทยา ปัจจุบันอายุ 80 ปี

เธอเคยถูกสัมภาษณ์จากนักข่าวในช่วงที่เอกราชของสิกขิมสิ้นสุดลงว่า "คุณยังคิดถึงราชอาณาจักรแห่งเทพนิยายนั้นอยู่หรือไม่" เธอตอบว่า "ถ้าฉันมีความเป็นตัวของตัวเองในช่วงชีวิตตอนแต่งงาน ฉันก็คงไม่สูญเสียราชอาณาจักรเอเชียแห่งนี้ไป"

Hope ได้สาบานว่า จะไม่กลับไปเหยียบสิกขิมอีก “ไม่ ไม่” เธอกล่าวด้วยเสียงเบาลง “มันเจ็บปวดเกินไป (ที่จะกลับไปสิกขิมอีก)”

มีผู้คนในสังคมไทยมากมายที่สนใจและห่วงใยในเรื่องราวแบบนี้ ซึ่งเกิดในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะ ประเทศแถบเทือกเขาหิมาลัย ความล่มสลายของราชอาณาจักรต่าง ๆ นั้น เกิดจากความห่างเหิน ความไม่เข้าใจ การขาดปฏิสัมพันธ์ ความมุ่งมั่น ความอดทน ความเสียสละ ตลอดจนความรักระหว่างสถาบันฯ กับประชาชน ฯลฯ

ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดและจะไม่มีวันเกิดในบ้านเมืองของเรา อย่าได้สนแรงยุ เรื่องราวที่เสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นเพื่อค่อยป่วน การรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยสติที่หนักแน่นมั่นคง ไตร่ตรองเหตุและผลในความจริงที่เป็นและเห็นอยู่ ไม่ใช่ด้วยลมปาก หรือคำพูด ความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันตายและปรากฏอยู่ตลอดไป ขอยืนยันว่า ชาติบ้านเมืองจะอยู่รอดด้วยความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย เจริญก้าวหน้าอย่างสงบสุข ก็ด้วยเราท่านคนไทยทุกคน ดั่งเช่นที่เป็นมาร่วมพันปี และจะเป็นไปเช่นนี้ตลอดไป

‘วีรชน...คนธรรมดา’ ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องการช่วยชีวิตเด็กชายชาวอุยกูร์ สะท้อนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน

สารพัดข่าวและเรื่องราวที่สื่อตะวันตกสาดสีใส่ไข่รัฐบาลจีน กรณีการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย ‘ชาวอุยกูร์’ อย่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ย้อนแย้งอย่างสิ้นเชิงกับเหตุการณ์จากภาพยนตร์เรื่องนี้ 

วีรชน...คนธรรมดา! (Ordinary Hero) ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 เมษายน ค.ศ. 2021 ด้วยมีผู้คนมากมายที่ต้องทำงานแข่งขันกับเวลาเพื่อช่วยชีวิตเด็กชายชาวอุยกูร์วัย 7 ขวบจากเมือง Hotan เขตปกครองตนเอง Xinjian ซึ่งประสบอุบัติเหตุถูกรถไถตัดแขนขวาขาด

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของทีมแพทย์ ลูกเรือ ผู้โดยสาร ตำรวจ และผู้คนอื่น ๆ อีกมากมายจากทุกสาขาอาชีพในเขตปกครองตนเอง Xinjian ซึ่งต่างได้ร่วมมือร่วมใจกันเพื่อที่จะพาเด็กชายชาวอุยกูร์วัย 7 ขวบจากเมือง Hotan เดินทาง 1,400 กิโลเมตรมายังโรงพยาบาลที่ทันสมัยและมีความพร้อมในนคร Urumqi เพื่อที่จะรับการผ่าตัดต่อแขนที่ขาดให้ทันภายในเวลา 8 ชั่วโมงนับจากเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ

ทั้งนี้ Hotan เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตปกครองตนเอง Xinjian ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน 

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ หมู่บ้าน Kumairik เกิดอุบัติเหตุกับ Merdan เด็กชายชาวอุยกูร์วัย 7 ขวบถูกเครื่องมือเก็บเกี่ยวของรถไถตัดแขนขวาตรงไหล่จนขาด หลังจากเกิดเหตุทันทีที่ตั้งสติได้ Abdul ผู้เป็นพี่ชายรีบขับรถพา Merdan น้องชายกับแม่เข้าเมืองเพื่อไปโรงพยาบาลทันที

เมื่อมาถึงตัวเมืองรถของ Abdul ก็เจอเข้ากับตลาดนัดซึ่งมีฝูงชนมากมาย เขาบีบแตรเพื่อขอทางจนพ่อค้าผู้หนึ่งซึ่งกำลังเข็นรถเข็นขายของอยู่ไม่พอใจ จึงเดินมาที่รถแต่เมื่อมองเข้าไปในรถก็เห็น Merdan ซึ่งเลือดโชกอยู่บนตักแม่ เขารีบหันกลับไปยังรถเข็นหยิบโทรโข่งขึ้นมาประกาศขอทางให้รถของ Abdul จนสามารถแล่นผ่านไปได้ 

เมื่อรถของ Abdul สามารถผ่านย่านชุมชนที่แสนจะแออัดและจอแจไปได้แล้ว Abdul ก็รีบขับต่อไปยังโรงพยาบาล โดยพยายามฝ่าไฟแดงจนถูก Ainur ตำรวจจราจรหญิงสกัดไว้ เมื่อเธอเข้ามาถึงรถแล้วเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอจึงรีบวิทยุแจ้งศูนย์ควบคุมจราจรทันที ศูนย์ฯ ได้ประสานให้รถพยาบาลออกมารับ Merdan ทันที จากนั้นตำรวจจราจรหญิง Ainur รีบขี่มอเตอร์ไซต์เปิดไฟฉุกเฉินพารถของ Abdul ไปจนพบกับรถพยาบาล ด้วยความช่วยเหลือของศูนย์ฯ และได้ย้าย Merdan ไปยังรถพยาบาลแล้วเดินทางต่อจนถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด Hotan

ภาพจากเหตุการณ์จริง

ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด Hotan นายแพทย์ Akbar ศัลยแพทย์กระดูกและข้ออาวุโสได้ทำการตรวจและทำความสะอาดบาดแผล หลังจากตรวจดูแขนแล้ว เขาแนะนำว่าเนื่องจากอาการบาดเจ็บของ Merdan รุนแรงมาก จึงต้องผ่าตัดนำแขนที่ขาดต่อกลับเข้าไปใหม่เพื่อให้เส้นประสาทและชิ้นส่วนกระดูกเรียงตัวกันอย่างเหมาะสม มิฉะนั้น Merdan จะพิการไปตลอดชีวิต 

นายแพทย์ Akbar ได้แจ้งพี่ชายกับแม่ของ Merdan ว่า โรงพยาบาลประจำจังหวัด Hotan ไม่มีศักยภาพพอที่จะทำการผ่าตัดเพื่อต่อแขนของ Merdan ได้ วิธีเดียวที่จะรักษาแขนของ Merdan คือ การพาเขาไปรับการผ่าตัดต่อแขนยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยแพทย์แห่ง Xinjian ที่นคร Urumqi ซึ่งอยู่ห่างออกไป 1,400 กิโลเมตร ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พร้อมกว่ามาก เนื่องจากอุบัติเหตุเกิดขึ้นประมาณ 19.30 น. ดังนั้นต้องต่อผ่าตัดต่อหลอดเลือดใหม่ให้ทันภายในเวลา 03.30 น. 

ภาพจากเหตุการณ์จริง

เมื่องได้ยินอย่างนั้น พี่ชายและแม่ของ Merdan ก็พยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้มาถึงสนามบินให้ทันเที่ยวบิน CZ6820 ของสายการบิน China Southern Airlines เที่ยวบินสุดท้ายจากจังหวัด Hotan ไปยังนคร Urumqi ในคืนวันนั้น

เมื่อ Merdan และ Abdul พี่ชายไปถึงสนามบิน เมื่อกัปตัน Xie Huiyang และลูกเรือ ซึ่งมี Zhou Yan หัวหน้าพนักงานต้อนรับของเที่ยวบิน CZ6820 รวมทั้งสำนักงานประจำสนามบิน Hotan ของ China Southern Airlines และหอบังคับการบิน Hotan เมื่อทราบเรื่องของ Merdan ต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยรายงานสถานการณ์นี้ต่อหน่วยงานระดับสูงอย่างรวดเร็ว หลังจากการประสานงานอย่างเร่งด่วนจากฝ่ายต่าง ๆ และความยินยอมของผู้โดยสาร 101 คน China Southern Airlines จึงอนุญาตให้กัปตัน นำเครื่องกลับหลุมจอดและเปิดประตูรับ Merdan ทั้ง ๆ ที่เครื่องบินอยู่บนรันเวย์แล้ว เพื่อให้ทันช่วงเวลาทอง 8 ชั่วโมงในการรักษา 

ทางสนามบิน Hotan ได้เปิดทางเดินสีเขียว และใช้เปลขนาดเล็กเพื่อส่ง Merdan ไปยังเครื่องบิน เนื่องจากมีที่นั่งเต็มแต่ก็มีครอบครัวที่มีสมาชิกสามคนยอมสละที่นั่งให้ ในที่สุดเที่ยวบิน CZ6820 ก็ออกเดินทางจากสนามบิน Hotan ในเวลา 00:09 น. 

ย้อนประวัติโหด 2 คู่หูนักปล้น ในเขต North Hollywood สู่การยิงปะทะกับตำรวจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

สวัสดีนักอ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมหยิบยกเรื่องราวการยิงปะทะกันระหว่างคนร้ายและตำรวจสหรัฐฯ มาเล่าสู่กันฟังครับ หลายๆ ท่านคงคุ้นชินกับเรื่องการพกพาปืนของชาวสหรัฐฯ กันมาพอสมควร เนื่องด้วยมักจะมีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่าเกิดเหตุกราดยิงระทึกขวัญตามสถานที่ต่างๆ สุดท้ายมักจบลงด้วยคราบน้ำตาของผู้สูญเสีย ทว่า ปัญหากราดยิงของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขจนเป็นที่น่าพอใจของคนในประเทศ

เรื่องที่ผมยกมาเล่านี้ ต้องกล่าวย้อนกลับไปเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 เกิดเหตุการปล้นในนครลอสแองเจลลิส และต่อมาก็กลายเป็นการยิงปะทะกันต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างตำรวจกับผู้ร้าย และถือเป็นการยิงปะทะที่ดุเดือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรมตำรวจแห่งนครลอสแองเจลลิส (LAPD)

เหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายสาดกระสุนใส่กันเกือบสองพันนัด โดยฝ่ายตำรวจยิงไปราว 650 นัด และคนร้ายยิงอีกราว 1,100 นัด มีผู้เสียชีวิต 2 คน เป็นคนร้ายทั้งคู่ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 20 คน

นับเป็นเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจการยิงที่ด้อยกว่าคนร้าย

คนร้ายทั้งสองคือ Larry Eugene Phillips Jr. และ Ștefan Emilian ‘Emil’ Mătăsăreanu (เกิดที่ประเทศโรมาเนีย) พบกันครั้งแรกที่โรงยิม Gold เมืองเวนิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1989 พวกเขามีความสนใจร่วมกันในเรื่องการยกน้ำหนัก การเพาะกาย และอาวุธปืน

แต่ก่อนรู้จักกัน ‘Phillips’ เป็นผู้ที่พฤติกรรมเป็นคนร้ายเกี่ยวข้องกับการต้มตุ๋นด้านอสังหาริมทรัพย์ และการโจรกรรมในร้านค้า ส่วน Emil เป็นวิศวกรไฟฟ้าและทำธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์ที่ค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จ

20 กรกฎาคม ค.ศ. 1993 Phillips และ Emil ได้ปล้นรถหุ้มเกราะซึ่งจอดอยู่นอกธนาคาร First Bank ในเมือง Littleton มลรัฐโคโลราโด

วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1993 ทั้งสองถูกจับที่เมือง Glendale ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครลอสแองเจลิสในข้อหาขับรถเร็วเกินกำหนด จากการค้นรถ หลังจากที่ Phillips ยอมจำนนพร้อมอาวุธปืนที่พกติดตัว ตำรวจพบปืน AK-47 กึ่งอัตโนมัติ 2 กระบอก, ปืนพก 2 กระบอก, กระสุนปืนขนาด 7.62 × 39 มม. มากกว่า 1,600 นัด, กระสุนขนาด 9 × 19 มม. และ .45 ACP อีก 1,200 นัด, วิทยุรับฟังความถี่ตำรวจ, ระเบิดควัน, อุปกรณ์ประกอบระเบิด, เสื้อเกราะ, และป้ายทะเบียนของรัฐแคลิฟอร์เนีย 3 แผ่นที่เลขแตกต่างกัน

ในขั้นต้นทั้งสองถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิดที่จะก่อการปล้น ทั้งสองติดคุก 100 วัน และถูกคุมประพฤติ 3 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัวทั้งสองได้รับคืนทรัพย์สินส่วนใหญ่ ยกเว้นอาวุธปืนและวัตถุระเบิด

14 มิถุนายน ค.ศ. 1995 ทั้งคู่ได้ปล้นรถหุ้มเกราะของบริษัท Brinks ในเมือง Winnetka มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยได้สังหาร Herman Cook พนักงานรักษาความปลอดภัย และพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกคนถูกยิงบาดเจ็บสาหัส

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1996 ได้ปล้นธนาคารแห่งอเมริกา 2 สาขาในพื้นที่ San Fernando Valley ในนครลอสแองเจลิสได้เงินไปประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Phillips และ Emil ถูกขนานนามว่าเป็น ‘จอมโจรอุบัติการณ์สูง (High Incident Bandits)’ โดยเจ้าหน้าที่สอบสวน จากอาวุธที่ใช้ในการปล้น 3 ครั้งก่อนที่จะเกิดเหตุการยิงกันที่เขต North Hollywood

วันเกิดเหตุ Phillips และ Emil ขับรถ Chevrolet Celebrity สีขาว ปี ค.ศ.1987 มาถึงธนาคารแห่งอเมริกาสาขาแยกถนน Laurel Canyon และถนน Archwood ในเขต North Hollywood ราว 09.17 น. และได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แปดนาที เป็นการประมาณเวลาที่ตำรวจจะมาถึงหลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุ

ในช่วงเวลานี้ Phillips ใช้วิทยุรับฟังความถี่ตำรวจ เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของตำรวจก่อนการปล้น ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปยังธนาคารก็ถูกพบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ LAPD 2 นาย Loren Farrell และ Martin Perello ที่กำลังขับรถสายตรวจเพื่อตรวจตราตามถนน Laurel Canyon เจ้าหน้าที่ Perello แจ้งวิทยุขอความช่วยเหลือ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุ 211 ที่ธนาคารแห่งอเมริกา ‘211’ คือรหัสแจ้งว่ามีการปล้น

ขณะที่ Phillips และ Emil เข้าไปในธนาคาร พวกเขาอาวุธประกอบด้วย ปืนไรเฟิล Norinco Type 56 S-1 Phillips และ Emil สั่งให้ลูกค้าออกจากโถงที่มี ATM ใกล้กับทางเข้าธนาคารและนอนลงกับพื้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของธนาคารเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นโจร 2 คนพร้อมอาวุธหนัก จึงวิทยุเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ที่ลานจอดรถให้เรียกตำรวจ แต่ไม่มีการตอบรับ

Phillips ตะโกนว่า "ชูมือขึ้น! ก่อนที่จะเปิดฉากยิงเพดานเพื่อข่มขู่พนักงานธนาคารและลูกค้าประมาณ 30 คน เพื่อไม่ให้ขัดขืน Phillips ยิงเพื่อเปิดประตูกันกระสุน (ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันกระสุนความเร็วต่ำเท่านั้น) และสามารถเข้าถึงเคาเตอร์และตู้นิรภัย ได้บังคับให้ John Villigrana ผู้ช่วยผู้จัดการ เปิดตู้นิรภัย Villigrana จึงจำเป็นต้องเปิดและเริ่มนำเงินใส่ถุงเงิน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับมอบของธนาคารห้องนิรภัยจึงมีเงินน้อยกว่า 750,000 ดอลลาร์ตามที่ Phillips และ Emil คาดเอาไว้ ทำให้ Phillips โกรธจนเกิดการโต้เถียงกับ Villigrana และเรียกให้ Villigrana หาเงินให้มากขึ้น และแสดงความหงุดหงิดที่ชัดเจนด้วยการยิงปืนเข้าไปในตู้เซฟของธนาคารถึง 75 นัด ทำลายเงินที่เหลืออยู่ 

Phillips พยายามที่จะเปิดตู้ ATM ของธนาคาร แต่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายผู้จัดการสาขาไม่สามารถเข้าถึงเงิน ATM ได้อีก

ก่อนจะหนี Phillips และ Emil ได้ขังตัวประกันในห้องนิรภัยของธนาคาร ท้ายที่สุดทั้งสองก็เหลือเงินสด 303,305 ดอลลาร์ ซึ่งมีสีระเบิดสามซองซึ่งต่อมาก็เกิดระเบิดทำให้เกิดตำหนิบนเงินที่พึ่งปล้นมาทั้งหมด

ด้านนอกเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดแรกได้ยินเสียงปืนจากธนาคาร และวิทยุเรียกกำลังเสริม ก่อนที่จะหลบเข้าหลังรถสายตรวจเล็งปืนไปยังประตูธนาคาร ในขณะที่โจรยังคงอยู่ข้างใน ตำรวจสายตรวจและสายสืบมาถึง และเข้าประจำตำแหน่งกำบังที่เหมาะสมทั้งสี่มุมรอบ ๆ ธนาคารอย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาประมาณ 9:24 น. Phillips เดินออกทางประตูทางเหนือ และพบกับตำรวจห่างราว 200 ฟุต (60 ม.) จึงเปิดฉากยิงเป็นเวลาหลายนาที ทำให้ตำรวจบาดเจ็บ 7 นาย และพลเรือนอีก 3 คน

นอกจากนี้ Phillips ยังยิงเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ตำรวจซึ่งบินตรวจการณ์ด้านบน จนต้องบินห่างออกมาในระยะปลอดภัย Phillips ถอยกลับเข้ามาข้างในสักพัก ก่อนโผล่ออกทางประตูด้านเหนือ ขณะที่ Emil เดินออกจากประตูทางทิศใต้

Phillips และ Emil เริ่มยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ โดยยิงไปยังรถสายตรวจที่จอดอยู่ตามถนน Laurel Canyon หน้าธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอาวุธปืนมาตรฐาน ได้แก่ ปืนพกแบบ Beretta 92F/FS ขนาด 9 มม. ปืนพกลูกโม่ S&W Model 15 ขนาด .38 และปืนลูกซอง Ithaca แบบโยนลำ (Pump action) Model 37 ขนาด 12 ทันทีที่เจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้กระสุนของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเจาะผ่านชุดเกราะที่ Phillips และ Emil สวมใส่ได้ ด้วยปืนพกของเจ้าหน้าที่ LAPD ส่วนใหญ่ไม่มีอานุภาพเพียงพอ และในระยะไกลมีความแม่นยำต่ำ มีเสียงตำรวจ LAPD เตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นว่า "อย่าหยุดยานพาหนะหลบหนี เพราะพวกเขามีอาวุธปืนอัตโนมัติ ไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้" 

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังถูกตรึงไว้ด้วยห่ากระสุนจาก Phillips และ Emil ทำให้ยากต่อการพยายามยิงตรงศีรษะ (ซึ่งไม่มีเกราะป้องกัน) เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายจึงได้ไปขอยืมปืน AR-15 จำนวน 5 กระบอกจากร้านขายปืนใกล้เคียงเพื่อนำมาใช้ยิงต่อสู้กับ Phillips และ Emil

มีสองตำแหน่งที่อยู่ติดกับลานจอดรถด้านทิศเหนือที่เหมาะจะกำบังเจ้าหน้าที่ และสามารถยิง Phillips ด้วยปืนพก ขณะที่ Phillips กำลังยิง และหลบใกล้กับรถ 4 คันที่จอดอยู่ติดกับกำแพงด้านเหนือของธนาคาร และสถานที่แห่งหนึ่งที่ เจ้าหน้าที่ Zielenski กองตำรวจจราจร Valley ใช้เป็นที่กำบังคือ ร้านอาหาร Del Taco สาขา West wall ห่างจาก Phillips ราว 351 ฟุต เจ้าหน้าที่ Zielenski ยิง Phillips ไป 86 นัด และอาจยิงถูกอย่างน้อยหนึ่งนัด ตำแหน่งอื่นที่เป็นประโยชน์เจ้าหน้าที่ LAPD คือสนามหลังบ้านเลขที่ 6641 ถนน Agnes ผนังบล็อกช่วยกำบังเจ้าหน้าที่ที่ทำการยิงต่อสู้ และอาจยิงถูก Phillips ด้วยกระสุน 9 มม. จากปืนพกของนักสืบ Bancroft ซึ่งยิงไป 17 นัด และนักสืบ Harley ยิงไปอีกราว 15 ถึง 24 นัด ถูก Phillips ในระยะประมาณ 55 ฟุต

หลังจากที่ Emil เคลื่อนรถ Chevrolet Celebrity ออกจากพื้นที่จอดรถคนพิการในลานจอดรถทางตอนเหนือ Phillips อาจถูกยิงที่มือซ้าย (อ้างอิงจากภาพข่าวเฮลิคอปเตอร์ที่แสดงให้เห็นว่า เขามีอาการบาดเจ็บ) ในเวลาเดียวกันกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่ LAPD ยิงถูกปืน H&K 91 ที่ Phillips ใช้ยิงจนขัดข้องและใช้งานไม่ได้ เจ้าหน้าที่ LAPD ยิง Phillips บาดเจ็บจากสองจุดกำบังและป้องกันไม่ให้ Phillips สามารถหลบหนีได้ง่าย ๆ

ขอสัญชาติ...ไม่ง่าย ส่อง15 ประเทศที่ให้สัญชาติแก่ต่างชาติยากที่สุด!! ด้วย ‘ขั้นตอน-เงื่อนไข-เวลา’ 3 ตัวแปรที่อาจทำให้ท้อใจ

 

            

เรื่องนี้ คนที่สนใจอยากจะอพยพไปอยู่ในบ้านอื่นเมืองอื่นคงสนใจ แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีมากมายหลายประเทศที่ยอมให้สัญชาติแก่ผู้คนที่อพยพมาจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ก็มีรัฐบาลของหลายประเทศเช่นกันที่ชาวต่างชาติจะขอสัญชาติได้ยากยิ่ง หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างถาวรในประเทศนั้น ๆ ได้ ในบทความนี้มี 15 ประเทศที่ขอสัญชาติเพื่อเป็นพลเมืองได้ยากที่สุด
 

                

1. กาตาร์ (Qatar) เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติ กระบวนการนี้ยาวนานและมีความซับซ้อน และมีช่องทางน้อยมากที่จะสมัครเป็นพลเมืองได้ พลเมืองส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวชาวกาตาร์หรือได้รับสัญชาติผ่านการแต่งงานกับชาวกาตาร์ มิฉะนั้นโดยทั่วไปแล้ว สัญชาติจะให้เฉพาะผู้ที่รัฐบาลจ้างมาติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี หรือเป็นผู้ที่มีการลงทุนเป็นจำนวนมากในประเทศเท่านั้น

                   

2. นครรัฐวาติกัน (Vatican City) นครรัฐวาติกันเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก มีประชากรเพียง 800 กว่าคน และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติอีกด้วย มีเพียงสองวิธีในการเป็นพลเมืองของนครวาติกันคือ (1) เกิดที่นั่น หรือ (2) ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปา หากคุณไม่ได้เกิดในนครรัฐวาติกัน 

ความหวังเดียวในการเป็นพลเมืองคือการได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปา และนั่นค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะสมเด็จพระสันตะปาปาจะทรงแต่งตั้งบุคคลเป็นพลเมืองสำหรับผู้ที่มีบทบาทเฉพาะภายในวาติกันเท่านั้น เช่น เป็นพระคาร์ดินัลที่อาศัยอยู่ในนครรัฐวาติกันหรือกรุงโรม หรือหากอาศัยอยู่ในนครวาติกันเพราะเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการของคริสตจักรคาทอลิก นักการทูต หรือสมาชิกของ Swiss Guard ดังนั้นจึงยากมาก ๆ ที่จะได้เป็นพลเมืองของนครรัฐวาติกัน
                    

3. ลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein) เป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดและร่ำรวยที่สุดในยุโรป โดยอาณาเขตซึ่งตั้งอยู่ระหว่างออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ มีประชากรเพียง 37,000 คน ข้อกำหนดการเป็นพลเมืองของประเทศนี้เป็นข้อกำหนดที่เข้มงวดที่สุดในโลก ผู้สมัครจะต้องอาศัยอยู่ในลิกเตนสไตน์เป็นเวลาอย่างน้อย 30 ปี หรือหากแต่งงานกับพลเมืองลิกเตนสไตน์ และอาศัยอยู่ในประเทศลิกเตนสไตน์อยู่แล้ว ระยะเวลาก็จะสั้นลงเหลือ 5 ปีของการแต่งงาน และต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีความมั่นคงทางการเงิน และได้รวมเข้ากิจกรรมต่าง ๆ กับชุมชน แล้วยังต้องผ่านการทดสอบภาษาด้วย ด้วยข้อกำหนดเหล่านี้ จึงไม่แปลกใจเลยที่การได้รับสัญชาติลิกเตนสไตน์เป็นเรื่องยากมาก ๆ ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละปีมีเพียงประมาณ 20 คนเท่านั้นที่ได้รับสัญชาติด้วยการอนุมัติจากรัฐสภาของลิกเตนสไตน์

                  

4. ภูฏาน (Bhutan) เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติ ประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลบนเทือกเขาหิมาลัย มีประชากรเพียง 700,000 คน และมีอัตราการแปลงสัญชาติที่ต่ำมาก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา มีชาวต่างชาติเพียงประมาณ 1,000 คนที่ได้รับสัญชาติภูฏาน ขั้นตอนการเป็นพลเมืองภูฏานนั้นใช้เวลานานและซับซ้อน ผู้ยื่นขอสัญชาติจะต้องอาศัยอยู่ในประเทศอย่างน้อยเป็นเวลา 20 ปี ไม่มีประวัติอาชญากรรม และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงไม่มีประวัติการพูดหรือการกระทำการอันเป็นการต่อต้านพระมหากษัตริย์หรือประเทศมาก่อน มีความเชี่ยวชาญในภาษาซองคา และยังต้องผ่านการสอบอันเข้มงวดเพื่อทดสอบความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนาของภูฏาน ถึงกระนั้น ก็ไม่รับประกันการเป็นพลเมือง ด้วยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐบาลว่า จะให้สัญชาติแก่ผู้สมัครหรือไม่ เหตุที่การเป็นพลเมืองภูฏานเป็นเรื่องยากมาก ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภูฏานต้องการรักษาวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ รัฐบาลยังกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจากผู้อพยพ โดยเฉพาะผู้ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินเดีย และจีน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เห็นได้ชัดว่า การขอสัญชาติภูฏานไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย

                 
5. ซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia) ถือเป็นประเทศที่ขอ Permanent Residence (PR) หรือใบอนุญาตอยู่ถาวรยากที่สุดในโลก มีเหตุผลหลายประการ รวมถึงความจริงที่ว่า ซาอุดีอาระเบียไม่อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนต้องเป็นมุสลิม นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงอายุขั้นต่ำ 21 ปีและข้อกำหนดในการพำนักในประเทศเป็นเวลาห้าปี

                    
6. คูเวต (Kuwait) เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติ สาเหตุหลักเป็นเพราะคูเวตมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก ซึ่งพวกเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น 

รัฐบาลมีการคัดเลือกอย่างมากกว่าจะอนุญาตให้ใครเข้ามาในประเทศ และพวกเขามีข้อกำหนดที่เข้มงวดซึ่งต้องปฏิบัติตามจึงจะได้รับสัญชาติ ในการได้รับการพิจารณาให้เป็นพลเมืองคูเวต ต้องได้รับใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่ก่อน นี่อาจเป็นกระบวนการที่ยากในตัวเอง เนื่องจากมีจำนวนใบอนุญาตที่จำกัดในแต่ละปี เมื่อได้รับใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่แล้ว ต้องอาศัยอยู่ในคูเวตเป็นเวลา 20 ปีหรือ 15 ปีสำหรับพลเมืองของประเทศอาหรับอื่น ๆ สามารถยื่นขอสัญชาติได้ แต่ต้องเป็นมุสลิมโดยกำเนิดหรือเปลี่ยนใจเลื่อมใส หากเปลี่ยนศาสนา ต้องผ่านการฝึกฝนด้านศาสนามาแล้วห้าปี และต้องพูดภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว และแม้ว่าจะมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ทั้งหมด แต่ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะได้รับสัญชาติ การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับรัฐบาลคูเวต และพวกเขาสามารถปฏิเสธใบสมัครขอสัญชาติไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
                    

7. สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ประเทศซึ่งเป็นที่รู้จักจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและหมู่บ้านที่งดงาม รวมถึงนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด การเป็นพลเมืองในสวิตเซอร์แลนด์เป็นเรื่องยากกว่าจะได้มา และกระบวนการอาจใช้เวลายาวนานและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง มีข้อกำหนดหลายประการที่ต้องปฏิบัติตามจึงจะมีสิทธิ์ได้รับสัญชาติสวิส ประการแรก ผู้สมัครขอสัญชาติจะต้องอาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ปี โดยมีใบอนุญาตทำงานที่เรียกว่าใบอนุญาต C ซึ่งอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำงานในประเทศได้ ประการที่สอง เขาต้องแสดงให้เห็นถึงการรวมเข้ากับสังคมสวิสผ่านความรู้ในภาษาประจำชาติและการมีส่วนร่วมในชุมชน ในที่สุดจะต้องผ่านการสอบพลเมืองซึ่งทดสอบความรู้ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสวิส แม้ว่าจะเป็นไปตามข้อกำหนดเหล่านี้ทั้งหมด ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะได้รับสัญชาติ เพราะที่สุดแล้วการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับหน่วยงานของรัฐที่ตรวจสอบแต่ละคำขอเป็นกรณีไป

                    
8. จีน (China) หากกำลังคิดว่าประเทศใดยากที่สุดในการขอสัญชาติ คำตอบคือประเทศจีน ในการเป็นพลเมืองจีน ผู้สมัครขอสัญชาติต้องมีเชื้อสายจีน ซึ่งหมายความว่า ต้องมีญาติพี่น้องที่มีสัญชาติจีนอย่างน้อยหนึ่งคน หากไม่มีเชื้อสายจีนแล้วจะไม่มีสิทธิ์ได้รับสัญชาติเลย แม้จะมีข้อยกเว้นบางประการสำหรับกฎนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ สัญชาติจีนสามารถได้รับจากการแต่งงานกับพลเมืองจีน อย่างไรก็ตามการสมรสจะต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐบาลจีนเพื่อให้ได้รับการยอมรับ นอกจากนี้ ทั้งคู่ต้องอาศัยอยู่ในประเทศจีนเป็นเวลาอย่างน้อยสองปีก่อนที่จะสามารถยื่นขอสัญชาติได้ หากมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด สามารถเริ่มขั้นตอนการสมัครได้โดยส่งเอกสารที่จำเป็นไปยังสถานทูตหรือสถานกงสุลจีนที่ใกล้ที่สุด ขั้นตอนการสมัครอาจใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ (แนะนำให้ใช้บริการทนายความเพื่อช่วยในเรื่องเอกสาร)
                       

9. เกาหลีเหนือ (North Korea) เป็นอีกประเทศที่ยากที่สุดในการขอ Permanent Residence (PR) หรือใบอนุญาตอยู่ถาวร เหตุผลหลายประการรวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเกาหลีเหนือไม่อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนต้องสละสัญชาติเดิมของตน นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้สมัคร ซึ่งรวมถึงอายุขั้นต่ำ 21 ปี ประวัติอาชญากรรมที่สะอาด และการศึกษาในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ผู้ขอสัญชาติเกาหลีเหนือยังต้องผ่านขั้นตอนการสมัครที่ใช้เวลานานและยุ่งยาก ซึ่งรวมถึงการสัมภาษณ์และการสอบที่ไม่ง่ายเลยอีกด้วย

                      

10. ญี่ปุ่น (Japan) ประเทศหมู่เกาะซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ขอสัญชาติได้ยากที่สุดประเทศหนึ่ง กระบวนการนี้ใช้เวลานานและลำบาก และต้องใช้ทั้งเวลาและเงินจำนวนมาก ในการเริ่มต้น ผู้สมัครที่คาดหวังจะต้องอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเป็นเวลาอย่างน้อยห้าปี ในช่วงเวลาดังกล่าว ต้องมีวีซ่าทำงานที่ถูกต้องและไม่มีประวัติอาชญากรรม และยังต้องผ่านการทดสอบภาษาญี่ปุ่นที่เข้มงวดด้วย เมื่อคุณสมบัติครบตามข้อกำหนดเหล่านี้แล้ว จะต้องส่งใบสมัครโดยละเอียดไปยังกระทรวงยุติธรรม ใบสมัครประกอบด้วยลายนิ้วมือ รูปถ่าย และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ โดยอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีกว่าจะได้รับการตอบกลับจากกระทรวงว่า ใบสมัครได้รับการอนุมัติหรือปฏิเสธ และแม้ว่าผู้สมัครจะโชคดีพอที่จะได้รับสัญชาติญี่ปุ่น แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่มาพร้อมกับการขอสัญชาติ ตัวอย่างเช่น ชาวญี่ปุ่นไม่ได้รับอนุญาตให้ถือสองสัญชาติ โดยต้องสละสัญชาติเดิม และสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น

คนหนุ่มสาวไร้ความหวัง ‘การว่างงาน’ มหาวิกฤตทางเศรษฐกิจในทวีปแอฟริกา สู่ความหวั่นวิตกเกิดเหตุจลาจลคล้าย ‘Arab Spring’

ปัญหาการว่างงานเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่สำหรับบ้านเราแล้วอัตราว่างงานเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ต่ำกว่าร้อยละ 1 กว่าสิบปีแล้วที่หน่วยงานด้านแรงงานของไทยสามารถทำงานอย่างได้ผล อัตราว่างงานแกว่งตัวระหว่างต่ำกว่าหนึ่งและหนึ่งกว่า ๆ มาอย่างต่อเนื่อง และปัญหาการว่างงานที่หนักหนาสาหัสบนโลกนี้ ขณะนี้เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา

บัณฑิตจบใหม่ในแอฟริกาใส่ครุยประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ได้งานทำ

คนหนุ่มสาวราวครึ่งหนึ่งในแอฟริกาใต้ว่างงาน ขณะที่ในยูกันดา บัณฑิตกว่า 1.2 ล้านคนไม่มีงานทำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานกล่าวว่า การริเริ่มในการทำธุรกิจเป็นของตัวเองมากขึ้นช่วยบรรเทาปัญหาการว่างงานในทวีปแอฟริกาได้ 

ผู้คนต้องถือป้ายบอกความถนัดของแต่ละคนให้ผู้สัญจรไปมาได้เห็น

‘Steven Moyo’ ตื่นนอนทุกวันเวลาตี 5 เพื่อหางานทำตามท้องถนนในนครโจฮันเนสเบิร์ก เมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของแอฟริกาใต้ Moyo เป็นช่างไฟฟ้า ในวันที่อากาศดี เขามีรายได้สูงสุด 30 ยูโร (ประมาณ 31.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่นับวันจะมีน้อยลง

บัณฑิตจบใหม่ในแอฟริกาประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ได้งานทำ 
กลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนพบเห็นจนคุ้นชินแล้ว

แอฟริกาใต้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรง หลังจากการระบาดของโควิด-19 “สถานการณ์แย่ลง ไม่มีใครจ้างเรา” Moyo บอก และไม่รู้จะหาเงินค่าอาหารและค่าเช่าห้องได้จากไหน เรื่องราวอย่างที่เกิดขึ้นกับ Moyo ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยในประเทศแอฟริกาใต้ ในแอฟริกาใต้มีผู้สำเร็จการศึกษามากกว่าตำแหน่งงาน 

ในเมืองเคปทาวน์ ‘Namhla Mcimbi’ บอกว่า เธอต้องละทิ้งการศึกษาด้านจิตวิทยา เพราะเธอไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ เช่นเดียวกับเพื่อนนักเรียนหลายคนของเธอ ตอนนี้ Mcimbi ตกอยู่ในภาวะว่างงาน “ผู้คนให้ญาติพี่น้องของพวกเขาทำงานในบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับบุคคลภายนอกที่จะได้งาน” เธอกล่าว

นามิเบียก็เช่นกัน บัณฑิตจบใหม่สวมครุยออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ได้งานทำ

อัตราการว่างงานสุดเลวร้ายก็เกิดขึ้นในนามิเบียและไนจีเรียเช่นกัน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในแอฟริกาใต้ย่ำแย่ โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 34 ปีตกงาน ตัวเลขอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่าอัตราการว่างงานฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย แต่อยู่ที่ 32.7% ในไตรมาสที่สี่ของปี 2565 ซึ่งยังคงเป็นอัตราที่สูงที่สุดในแอฟริกาและทั่วโลก

มิตรภาพไม่จืดจาง ‘Demi Moore’ ย้ายมาอยู่กับ ‘Bruce Willis’ อดีตสามี เพื่อร่วมต่อสู้กับอาการภาวะสมองส่วนหน้าเสื่อม

มีรายงานว่า Demi Moore นักแสดงสาวใหญ่ วัย 60 ปี ได้ย้ายมาอยู่กับครอบครัวของ Bruce Willis อดีตสามีของเธอ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับ Emma Heming ภรรยาคนปัจจุบันของเขา และลูกสาวสองคนของพวกเขาเพื่อให้ความช่วยเหลือหลังจากการวินิจฉัยของ Willis พบอาการของภาวะสมองส่วนหน้าเสื่อม

นักแสดงหญิงวัย 60 ปี Demi Moore และ Bruce Willis อดีตสามีของเธอยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนับตั้งแต่แยกทางกันและยังคงแบ่งปันการเลี้ยงดูลูกสาวสามคนด้วยกัน

Moore ย้ายเข้ามาเพื่อบรรเทาเบาคลายความกดดันของครอบครัว Bruce Willis เมื่ออาการของเขาแย่ลง ตามรายงาน หญิงทั้งสองทำงานร่วมกันเพื่อดูแล Bruce Willis ดาราฮอลลีวูดวัย 67 ปีให้ดีที่สุด

Emma Heming ภรรยาคนปัจจุบันของ Bruce Willis ซึ่งอายุ 44 ปี กล่าวว่า เธอหวังว่า จะใช้อาการป่วยของสามีและเสียงของเธอเพื่อช่วย ‘สร้างความตระหนัก’ ถึงอาการของภาวะสมองส่วนหน้าเสื่อม เธอยกย่องผู้ดูแลและเรียกพวกเขาว่า ‘วีรบุรุษที่ไม่มีใครรู้จัก’

แหล่งข่าวบอกระบุว่า Moore ย้ายเข้ามาแล้ว และเธอจะไม่จากไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของ Willis

มีรายงานว่า Demi Moore นักแสดงสาวใช้เวลาส่วนใหญ่กับครอบครัวของ Willis ในช่วงที่ไวรัสโคโรน่าระบาด

แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ในตอนแรกไม่มีใครนอกครอบครัวสามารถเข้าใจได้ว่า Demi Moore กำลังทำอะไรอยู่กับอดีตสามีและภรรยาใหม่ของเขา แต่ตอนนี้เข้าใจเหตุผลแล้ว 

Moore ช่วยทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว และมุ่งมั่นที่จะทำให้แน่ใจว่า ทุกวันก่อนที่ Willis จะจากไป ในโลกของเขาจะเต็มไปด้วยความรัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top