เรื่องราวของพันตรี Deeksha เป็นมากกว่าความสำเร็จของเธอ ด้วยความปรารถนาของเธอที่จะมุ่งมั่นที่จะตอบแทนประเทศชาติ ภาพของเธอที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตกลายเป็นแรงจูงใจและกระตุ้นให้ชาวอินเดียในการเข้าร่วมกับกองทัพเป็นจำนวนมาก ผู้พวกเขาประกอบอาชีพในกองทัพ ทั้งนี้ พันตรี Deeksha มาจากเมือง Davangere รัฐ Karnataka เริ่มต้นจากการฝึกฝนอบรมใน National Cadet Corps (NCC) เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ (MOBC) ที่ Army Medical Corps Center ในเมืองลัคเนา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทหารอันน่าทึ่งของเธอ ต่อมาเข้าฝึกฝนอบรมในหลักสูตร CDS Exam OTA Online Coaching ในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในกองทัพบกอินเดีย
นอกจากนี้ เรื่องราวของดร. Vivien Thomas ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ของ PBS เป็นสารคดีเรื่อง ‘Partners of the Heart’ และภาพยนตร์โทรทัศน์ของ HBO เรื่อง ‘Something the Lord Made’ อีกด้วย
Sex Volunteers (2004) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการที่ผู้พิการได้รับการ ‘บริการ’ ทางเพศโดยอาสาสมัครทางเพศที่มีชื่อเดียวกันนี้ อันเนื่องมาจากการขาดคู่รักทางเพศของผู้พิการ สิ่งนี้จุดประกายให้เกิดประเด็นในระดับชาติเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำระหว่างความพิการและเรื่องเพศ และหนังสือชื่ออื้อฉาวอีกมากมาย อาทิ ‘ฉันเป็นคนขายบริการทางเพศสำหรับผู้พิการ (I Was a Sex Worker for People with Disabilities)’ ความตื่นตระหนกทางศีลธรรมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากมายต่อความพิการและครอบครัว ประชาธิปไตยและความรับผิดชอบต่อสังคม และอนาคตของระบบการดูแลสุขภาพของประเทศ จากประสบการณ์ของ Kawai ในการติดตามผู้ป่วย ผู้พิการ ฯลฯ อาทิ ชายอายุ 72 ปี ที่ต้องพึ่งถังออกซิเจนหลังการผ่าตัด ขณะที่เขาไปที่สถานที่ให้บริการทางเพศพร้อมกับผู้ดูแล โดย Kawai มองว่า แม้เพศสัมพันธ์จะเสี่ยงต่อชีวิตของชายผู้นั้นเป็นอย่างมาก แต่พฤติกรรมของชายคนนั้นแสดงให้เห็นว่าเซ็กซ์ยังคงเป็นหนึ่งในข้อกำหนดพื้นฐานของชีวิต
ด้วยประสบการณ์อันยาวนานเกี่ยวกับประเทศจีน Chang จึงเป็นผู้บรรยายสรุปให้สภาข่าวกรองแห่งชาติ สำนักข่าวกรองกลาง กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ และเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา เขาเป็นอดีตผู้ร่วมให้ข้อมูลใน The Daily Beast งานเขียนของเขาเกี่ยวกับจีนและเกาหลีเหนือปรากฏใน The New York Times, The Wall Street Journal, International Herald Tribune, Commentary, National Review และ Barron's และอื่น ๆ อีกมากมาย และเขาได้ปรากฏตัวทาง CNN, Fox News, MSNBC, CNBC, PBS , Bloomberg Television และอื่น ๆ รวมถึงรายการ The Daily Show กับ Jon Stewart รวมทั้งได้บรรยายที่มหาวิทยาลัย Columbia, Cornell, Harvard, Penn, Princeton, Yale และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ
Chang เป็นบรรณาธิการร่วมของ 19FortyFive ซึ่งเป็นเว็บไซต์กิจการระหว่างประเทศออนไลน์ และทำหน้าที่ในคณะกรรมการที่ปรึกษาของ Global Taiwan Institute ซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะนโยบายในกรุง Washington, D.C เขายังเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของการประชุมการดำเนินการทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative Political Action Conference : CPAC) ด้วย
‘ข้อวิจารณ์ต่อหนังสือ The Coming Collapse of China’ Dexter Roberts จาก Bloomberg Businessweek บรรยายถึงหนังสือเล่มนี้ว่า “เป็นการมองโลกในแง่ร้ายในวงกว้าง” ในปี 2012 Julia Lovell จาก The Observer ระบุว่า แม้ว่าการที่จีนเข้าสู่องค์การการค้าโลกสามารถให้โอกาสแก่นักลงทุนชาวตะวันตกได้มากมาย แต่หนังสือของ Chang ก็รวบรวมหลักฐานไว้เพียงพอที่จะรองรับความคาดหวังดังกล่าว ในปี 2011 Patrick Tyler จาก The New York Times เขียนเมื่อ 9 กันยายน 2011 ว่า “ดังที่ Chang ค้นพบ จีนเป็นชาติที่มีความขัดแย้ง อุตสาหกรรมของรัฐหลายแห่งแทบจะล้มละลาย ระบบธนาคารตั้งอยู่บนภูเขาแห่งหนี้เสียที่ไม่รู้จัก เกษตรกรรมยังเป็นแบบดั้งเดิม มลพิษอยู่นอกเหนือการควบคุม และการแทรกแซงและการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลกำลังทำลายธุรกิจใหม่จำนวนหนึ่ง...” Roland Boer นักวิชาการระบุถึงหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นตัวอย่างของแนวคิด ‘วันสิ้นโลกของจีน’ ต่อลัทธิทำลายล้างทางประวัติศาสตร์ Christopher Marquis และ Kunyuan Qiao นักวิชาการบอกว่า The Coming Collapse of China ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด และสรุปว่าการปกครองของ CCP ของจีนจะดำเนินต่อไปในอนาคต และ ปีเตอร์ ธาล ลาร์เซน เขียนในรอยเตอร์ว่าหนังสือเล่มนี้ "ปัจจุบันส่วนใหญ่เรียกว่าเป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการคาดการณ์อนาคตของประเทศอย่างเจาะจงมากเกินไป"
‘การปรับปรุงแก้ไข’ ในปี 2010 Chang ได้เขียนไว้ใน The Christian Science Monitor ว่า ‘จีนอาจจะล่มสลายในไม่ช้า’ โดยคาดการณ์ถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ วันที่ 21 พฤษภาคม 2016 The National Interest ได้ตีพิมพ์อีกบทความหนึ่งของ Chang เรื่อง ‘การปฏิวัติที่กำลังมาของจีน’ ในนั้น เขาอ้างว่า ชนชั้นปกครองในจีนกำลังแตกแยก และไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจได้ Chang อ้างว่า จะนำไปสู่การปฏิวัติซึ่งจะโค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เขาไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัดว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด
และต่อไปนี้คือข้อความต้นฉบับจาก FO 371/129653, Whittington to Foreign Office, 15 May 1957
(I have received a report that Rawle Knox, at present believed to be in Phnom Penh, has filled a dispatch with the “Observer” covering an interview with Madame Phoonsuk Phanomyong, in which she suggests that, if he really wants to know the truth about the regicide of 1946, he should ask the King; she then referred to “the case of the Spanish Princes”, with obvious implications.)
(The publication of any such story at the present juncture when, for internal political reason the Royalists are under heavy attack in the Thai Press, could have serious repercussions. I should be grateful if you could talk to Knox very urgently and, assuming this report to be anywhere near the truth, try to persuade him at least to have his story held up until we have had an opportunity of discussing the matter with him on his return to Bangkok next week.”
โดยการอ้างวิทยานิพนธ์ของณัฐพล จึงเป็น ‘ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน’ เพราะเอกสารชิ้นนี้ (FO 371/1/129653 From Bangkok to Foreign Office. 15 May 1957) ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิงคโปร์เลยด้วยซ้ำ
(ข้อความต้นฉบับคือ…
1. Knox is prepared to discuss his article (which has been mailed and will not be published until May 19) with you on Saturday May 18, when he will be in Bangkok. You may, however, be wise to get hold of him rather than await his [?]
2. Knox was surprised at your consternation and remarked that Robert Swam or Ribett Carnac must have given you an unnecessarily lurid account. Your information would, however, appear to be substantially correct.)
ทั้งสองส่วนนี้ ณัฐพล ใจจริง ได้อ้างที่มาจากเอกสารชั้นต้นชิ้นเดียวกันจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ได้แก่ NARA, RG 59 Central Decimal File 1950-1954 Box 4187, Memorandum of Conversation; Kukrit Pramote, George M. Widney, 29 April 1954
2. ข้อค้นพบ
เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเด็นของณัฐพลที่พวกเรา ทุ่นดำ-ทุ่นแดง ได้ทำการตรวจสอบมา การอ้างอิงหลักฐานของ ณัฐพล ในชิ้นนี้ ก็ผิดพลาดเช่นเคย กล่าวคือ เอกสาร NARA, RG 59 Central Decimal File 1950-1954 Box 4187, Memorandum of Conversation; Kukrit Pramote, George M. Widney, 29 April 1954 มีเนื้อหาระบุเพียงว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชย์ เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรง ‘เสด็จออกชนบท’ (gone to the country) เพื่อไปหาเสียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทรรศนะของพระองค์เองเกี่ยวกับกรณีหรือนโยบายใด ๆ (views on an issue) และไม่เคยคิดที่จะทรงแสวงหาชื่อเสียง (publicity กระแสความสนใจจากสาธารณะ) จากการเสด็จออกชนบทด้วย แต่ความคิดของพระองค์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลก็เป็นที่รับรู้โดยอ้อมผ่านการที่ทรงชะลอการลงพระปรมาภิไธยในร่างกฎหมายฉบับต่าง ๆ (ซึ่งเป็นพระราชอำนาจปกติของระบอบพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ - ทุ่นดำทุ่นแดง)
ข้อความต้นฉบับ (NARA, RG 59 Central Decimal File 1950-1954 Box 4187, Memorandum of Conversation; Kukrit Pramote, George M. Widney, 29 April 1954) คือ
“I [Geroge M. Widney] asked Kukrit if the general public got to know of the King’s actions and views in such cases where he withheld or delayed royal approval. He was emphatic in saying that the public does, and that this is a source of strength for the King. Kukrit asserted, however, that the King had never “gone to the country” to justify his views on an issue nor had he ever sought to generate publicity for such actions. But his views nevertheless have become well known”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประโยคจากเอกสารชั้นต้นที่ระบุว่า “the King had never ‘gone to the country’ to justify his views on an issue nor had he ever sought to generate publicity for such actions” ซึ่งแปลได้ว่า “ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้เสด็จไปชนบทเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือความนิยมในหมู่ประชาชนแต่อย่างใดเลย”