Sunday, 6 October 2024
COLUMNIST

'วันจันทร์ทมิฬ' ฝันร้ายของนักลงทุนทั่วโลก ความผันผวนที่แม้จะหยุดซื้อขายก็ยังเอาไม่อยู่

ข่าวร้ายเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะ GDP ที่ไม่โต, สงครามที่ยืดเยื้อ รวมไปถึงสถานการณ์การเมืองในหลายประเทศ ล้วนแต่ส่งผลในนักลงทุนหลายคนเริ่มบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้คือ อีกหนึ่งปีที่ยากสำหรับการลงทุนจริงๆ ค่ะ 

นี่ยังไม่นับรวมความโกลาหลจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยแค่วันนั้นวันเดียว ตลาดหุ้นของญี่ปุ่นทั้งดัชนี TOPIX และ NIKKEI 225 ที่มีช่วงที่ร่วงลงต่ำกว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ Black Monday 1987 และไปทำราคาปิดที่ -12.40% ซึ่งในวันนั้นมีการใช้ Circuit Breaker เพื่อหยุดความผันผวนชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผลค่ะ 

ในวันนั้นตลาดปิดไปด้วยมูลค่าตลาดที่ลดลงเหลือเพียงแค่ 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และถึงแม้ว่าตลาดจะเด้งกลับในวันต่อมา แต่ทุกคนก็พากันขนานนามเหตุการณ์ว่า Black Monday 2024 ซึ่งเป็นการร่วงลงของตลาดหุ้นที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday ปี 1987 เลยทีเดียวค่ะ 

วันนี้เลยอยากพาทุกคน ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ Black Monday 1987 หรือวันจันทร์ทมิฬ กันค่ะ เพื่อที่เราจะได้ศึกษาเรื่องราวในวันนั้นและเก็บเอาไว้เป็นบทเรียนสำหรับการลงทุนในอนาคตค่ะ 

ย้อนกลับไปในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987 หรือเมื่อ 37 ปีที่แล้ว วันนั้นเป็นเหมือนฝันร้ายของนักลงทุนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและลามไปทั่วทั้งโลกค่ะ เพราะเพียงแค่วันเดียวดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงไปถึง 22.61% หรือร่วงลงกว่า 500 จุด และดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 30% ซึ่งนั่นทำให้ความมั่งคั่งของชาวสหรัฐหายไปถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ค่ะ ซึ่งนับเป็นการร่วงลงที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นตลาดหุ้น NIKKEI ร่วงลงไป 14.9% 

และแม้ว่าจนถึงวันนี้จะยังไม่มีใครสรุปสาเหตุของวันนั้นได้ว่าเกิดจากอะไร แต่หนึ่งในสาเหตุของวันนั้นคือ Algorithm Trading ค่ะ ซึ่ง Algorithm Trading นี้เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่เหล่ากองทุนใช้เพื่อการซื้อขายหุ้น และในวันนั้นมี Algorithm อยู่ตัวหนึ่งที่ทำงานผิดพลาดค่ะ โดยได้มีการส่งคำสั่งขายหุ้นออกมาจำนวนมาก ทำให้ราคาหุ้นร่วงลงอย่างรวดเร็วค่ะ ซึ่งการเทขายแบบนั้นมันได้ไปส่งสัญญาณใน alogorithm ตัวอื่นเทขายหุ้นของตัวเองออกมาบ้างค่ะ หุ้นที่ร่วงอยู่แล้วก็ยิ่งลงเร็วและแรงกว่าเดิมค่ะ 

พอนักลงทุนที่เข้ามาเห็นราคาหุ้นที่ร่วงลงอย่างรุนแรง ก็พากันแตกตื่นและรีบขายหุ้นตัวเองออกมา เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Panic Sell หรือเป็นการขายหุ้นแบบหนีตายค่ะ ทุกคนจะแย่งกันขายหุ้นตัวเองออกมา จนทำให้เมื่อจบวันดัชนีดาวโจนส์ลดลงไปอย่างมากสุดเป็นประวัติการณ์ค่ะ 

เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้มีการคิดค้นระบบที่เรียกว่า Circuit Breaker ขึ้นมาค่ะ อย่างที่บอกไปตอนต้นนะคะว่า มันคือการหยุดซื้อขายชั่วคราว และการหยุดนี้ ก็เพื่อให้นักลงทุนได้มีเวลาคิดไตร่ตรอง หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะลงมือทำอะไรค่ะ 

นอกจากประเด็นเรื่องของ Algorithm Trading แล้ว บางคนก็บอกว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นเพราะว่าเงินเฟ้อของสหรัฐเอง ก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว นั่นคือปรับตัวขึ้นมาถึง 4% ประกอบกับดัชนีดาวโจนส์ก็ขึ้นมาอย่างร้อนแรงตลอดทางจากระดับ 2,000 จุดไปที่ระดับ 2,747 จุด ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือน จนทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แย่จากการขาดดุลทางการค้าและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ค่ะ

โดยหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ดัชนีดาวโจนส์ต้องใช้เวลายาวนานถึง 14 เดือน เพื่อที่จะกลับไปจุดเดียวกันกับก่อนที่ร่วงลงมาได้ และมีนักลงทุนจำนวนมากที่ต้องออกจากตลาดเพราะความสูญเสียจากเหตุการณ์นั้นค่ะ 

ส่วนตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วันนั้นเช่นเดียวกันค่ะ โดย SET ของเราร่วงลงภายในเวลา 2 เดือนหลังจากเหตุการณ์วันนั้น จากจุดสูงสุดที่ 472.86 จุดตอนเดือนตุลาคม 1987 มาอยู่ที่จุดต่ำสุดที่ 243.97 จุดในเดือนธันวาคมปีเดียวกันค่ะ 

ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ‘คุกนรกแอตติกา’ ปี 1971 ในสหรัฐอเมริกา นักโทษนับพันก่อจลาจล เพียงเพราะต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เมื่อ 53 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในเรือนจำแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ประเทศสุดยอดประชาธิปไตยของเหล่าบรรดาที่หลงไหลคลั่งไคล้ในอิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียม ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงเลยบนโลกใบนี้ แม้แต่ประเทศสหรัฐฯ เองก็ตามที ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เรือนจำแอตติกา (Attica) ในปี 1971

เรือนจำแอตติกาเป็นเรือนจำของมลรัฐในเมืองแอตติกา เทศมณฑลไวโอมิ่ง มลรัฐนิวยอร์ก แอตติกาเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรราว 8,000 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ต้องขังของเรือนจำความมั่นคงสูงแอตติกา และทัณฑสถานความมั่นคงระดับกลางไวโอมิง เจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำและครอบครัว เรือนจำแอตติกาเป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งดำเนินการโดยกรมราชทัณฑ์และการควบคุมของมลรัฐนิวยอร์ก เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษปี 1930 เป็นเรือนำที่มีการติดตั้งระบบแก๊สน้ำตา (ก๊าซ CS : chlorobenzylidine malononitrile) อยู่ในโรงอาหารและพื้นที่อุตสาหกรรม ซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อระงับความขัดแย้งในพื้นที่เหล่านี้ ปัจจุบันเรือนจำแห่งนี้คุมขังผู้ต้องขังจำนวนมากที่รับโทษหลายประเภท (ตั้งแต่ระยะสั้นจนถึงตลอดชีวิต) โดยมากผู้ต้องขังที่ถูกส่งมาที่เรือนจำแห่งนี้เนื่องจากมีปัญหาทางวินัยในเรือนจำอื่น ๆ โดยเรือนจำแห่งนี้เป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด

เหตุการณ์จลาจลในเรือนจำแอตติกาเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Black Power และ การเคลื่อนไหว New Left ในสหรัฐฯ และการปราบปรามการเคลื่อนไหวเหล่านี้โดยรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐต่าง ๆ ที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงผู้ต้องขังที่เป็นอดีตทหารผ่านศึก  ผู้ต้องขังในเรือนจำแอตติกาส่วนหนึ่งเข้าร่วมการจลาจล เพราะพวกเขาต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำแอตติกา ก่อนการจลาจลมีสภาพดังนี้ “นักโทษต้องใช้เวลา 14 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวันในห้องขัง จดหมายของพวกเขาถูกอ่าน สื่อสิ่งพิมพ์ถูกจำกัด ญาติ ๆ ต้องเข้าเยี่ยมผ่านตะแกรงตาข่าย การดูแลรักษาทางการแพทย์ที่เลวร้าย ระบบทัณฑ์บนที่ไม่มีความเท่าเทียม มีการเหยียดเชื้อชาติทุกหนทุกแห่ง การแออัดยัดเยียดทำให้เกิดสภาพที่ย่ำแย่ เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำเพิ่มขึ้นจาก 1,200 คน (ตามการออกแบบ) เป็น 2,243 คน”

นอกจากนี้ เช่นเดียวกับในเรือนจำของอเมริกาหลายแห่ง ความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติยังมีอยู่ในเรือนจำแอตติกาอีกด้วย ในจำนวนประชากรในเรือนจำที่ถูกคุมขัง 54% เป็นคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน 9% เป็นชาวเปอร์โตริโก และ 37% เป็นคนผิวขาว เจ้าหน้าที่คุมขังทั้งหมดเป็นคนผิวขาว (มีเจ้าหน้าที่ควบคุมผิวสีเพียง 1 คน) เจ้าหน้าที่คุมขังมักจะทิ้งจดหมายที่เขียนเป็นภาษาสเปนที่ส่งถึงหรือมาจากนักโทษชาวเปอร์โตริโก และกักขังนักโทษผิวสีให้ทำงานที่มีรายได้ต่ำที่สุด และถูกคุกคามทางเชื้อชาติอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์อีกด้วย โดยผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังส่วนใหญ่มาจากเขตเมือง รวมถึงเขตมหานครนิวยอร์ก ในขณะที่เจ้าหน้าที่คุมขังส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคท้องถิ่น

ในวันที่ 9 กันยายน 1971 ผู้ต้องขัง 1,281 คน จากทั้งหมดประมาณ 2,200 คน ที่ถูกคุมขังในเรือนจำแอตติกาได้ก่อจลาจลและเข้ายึดเรือนจำ โดยจับเจ้าหน้าที่ 42 นายไว้เป็นตัวประกัน โดยเจ้าหน้าที่นายหนึ่งถูกทุบตีจนเสียชีวิต ในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน ตำรวจของมลรัฐนิวยอร์กได้ยึดเรือนจำคืนได้เกือบทั้งหมด แต่ผู้ต้องขัง 1,281 คน ได้เข้ายึดลานออกกำลังกายที่เรียกว่า D Yard ซึ่งพวกเขาจับเจ้าหน้าที่ 39 นายเป็นตัวประกันเป็นเวลา 4 วัน หลังจากการเจรจาหยุดชะงักลง Nelson Rockefeller ผู้ว่าการมลรัฐนิวยอร์กในขณะนั้น (หลังจากหารือกับประธานาธิบดี Richard M. Nixon แล้ว) ได้สั่งให้ตำรวจมลรัฐนิวยอร์กปฏิบัติการด้วยอาวุธเพื่อยึดเรือนจำคืน

ตอนเช้าขณะที่ฝนตกของวันจันทร์ที่ 13 กันยายน มีการยื่นคำขาดให้ผู้ต้องขัง โดยสั่งให้พวกเขามอบตัว ผู้ต้องขังได้ตอบโต้ด้วยการเอามีดจ่อคอตัวประกันเอาไว้ จนกระทั่งเวลา 9.46 น. เฮลิคอปเตอร์ได้บินผ่านลาน D Yard และเปิดฉากยิงแก๊สน้ำตา ขณะที่ตำรวจมลรัฐและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บุกเข้ามาพร้อมด้วยการยิงกระสุนจริงกว่า 3,000 นัดท่ามกลางหมอกควันแก๊สน้ำตา ทำให้ผู้ต้องขังเสียชีวิตไป 29 ราย และตัวประกันอีก 10 ราย มีผู้บาดเจ็บอีก 89 ราย ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ถูกยิงจากการเปิดฉากยิงถล่มแบบไม่เลือกหน้าในตอนแรก แต่มีผู้ต้องขังอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งถูกยิงหรือเสียชีวิตหลังจากที่พวกเขายอมมอบตัวแล้ว ภายหลังการบุกจู่โจมจนกลายเป็นการนองเลือด เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ต้องขังได้สังหารตัวประกันที่เสียชีวิตด้วยการเชือดคอ ตัวประกันคนหนึ่งถูกตัดอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม ผลการชันสูตรพลิกศพแสดงให้เห็นว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเท็จ และตัวประกันทั้ง 10 คนล้วนแล้วแต่ถูกตำรวจที่บุกเข้าไปยิงเสียชีวิต ความพยายามปกปิดดังกล่าวทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต่างพากันประณามการบุกจู่โจมครั้งนี้มากขึ้น และกระตุ้นให้รัฐสภาดำเนินการสอบสวน

เหตุการณ์จลาจลที่แอตติกาถือเป็นเหตุการณ์จลาจลในเรือนจำที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 43 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต 39 รายจากการบุกของฝ่ายรัฐ และผู้ต้องขังอีก 3 รายถูกสังหารโดยนักโทษด้วยกันในช่วงต้นของการจลาจล และเจ้าหน้าที่ 1 รายเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากการบาดเจ็บที่ได้รับระหว่างการจลาจลครั้งแรก ในสัปดาห์แรกหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ใช้กำลังปราบปรามนักโทษอย่างรุนแรง โดยบังคับให้พวกเขาด้วยกระบองยาวและให้เปลือยกายคลานบนเศษกระจกแตก นอกจากนี้ ยังมีการทรมานนักโทษอีกหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บ และให้การรักษาทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานแก่นักโทษเหล่านั้น

ในเดือนมกราคม 2000 มลรัฐนิวยอร์กได้ยอมความในคดีความที่ผู้ต้องขังในเรือนจำแอตติกาฟ้องร้องเจ้าหน้าที่เรือนจำและมลรัฐนิวยอร์กในคดีนี้ ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา 26 ปี โดยผู้ต้องขังทั้งในอดีตและปัจจุบันต้องทนทุกข์ทรมานจากการบุกเข้าตรวจค้นต่อมาอีกหลายสัปดาห์ โดยพวกเขายอมรับเงิน 8 ล้านดอลลาร์ (12 ล้านดอลลาร์หักค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย) เพื่อยุติคดี เพื่อชดเชยความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นและยุติคดี ในปี 2005 รัฐบาลมลรัฐนิวยอร์กได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่เรือนจำที่รอดชีวิตและครอบครัวของเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ถูกสังหารเป็นเงิน 12 ล้านเหรียญ

ผลกระทบต่อระบบเรือนจำของรัฐนิวยอร์ก ส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองต่อการจลาจลในเรือนจำแอตติกา กรมราชทัณฑ์ของมลรัฐนิวยอร์กได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ รวมถึง :

-จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมากขึ้น เช่น ห้องอาบน้ำ สบู่ การดูแลทางการแพทย์ และการเยี่ยมครอบครัวมากขึ้น
-แนะนำขั้นตอนการร้องเรียนซึ่งผู้ต้องขังสามารถรายงานการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดนโยบายที่เผยแพร่
-จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานซึ่งผู้ต้องขังเลือกตัวแทนเพื่อพูดแทนพวกเขาในการประชุมกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ
-จัดสรรเงินทุนให้กับ Prisoners Legal Services ซึ่งเป็นเครือข่ายทนายความทั่วทั้งมลรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขัง
-จัดให้มีการเข้าถึงการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
-ให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ผู้ต้องขังมากขึ้น

แม้ว่าจะมีการปรับปรุงสภาพในเรือนจำในช่วงหลายปีหลังจากการลุกฮือทันที แต่ในช่วงยุค ‘การปราบปรามอาชญากรรมอย่างโหดร้าย’ ในทศวรรษ 1980 และ 1990 การปรับปรุงเหล่านี้หลายอย่างกลับถูกพลิกกลับ อาทิ ร่างกฎหมายอาชญากรรมปี 1994 ได้ยกเลิกเงินช่วยเหลือสำหรับนักโทษทั้งหมด ส่งผลให้มีการระงับการให้ทุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยภายในเรือนจำ ส่งผลให้โปรแกรมการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดในเรือนจำสิ้นสุดลงโดยไม่มีทางเลือกด้านการศึกษาอื่นสำหรับผู้ต้องขัง ปัญหาความแออัดยัดเยียดเลวร้ายลง โดยประชากรในเรือนจำของนิวยอร์กเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 12,500 คนในช่วงที่เกิดการจลาจลแอตติกาในปี 1971 เป็น 72,600 คนในปี 1999

และในปี 2011 หลังจากชายคนหนึ่งที่ถูกคุมขังในเรือนจำแอตติกาถูกเจ้าหน้าที่คุมขังทุบตีอย่างโหดร้าย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมลรัฐนิวยอร์ก เจ้าหน้าที่คุมขังถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่คุมขังรับสารภาพผิดในข้อหาประพฤติมิชอบในปี 2015 เพื่อหลีกเลี่ยงโทษจำคุก ในข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ต้องขังทั้งในปัจจุบันและอดีตของเรือนจำแอตติกาได้รายงานว่าเรือนจำแห่งนี้ได้รับชื่อเสียงในฐานะ ‘สถานที่ที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กลุ่มเล็ก ๆ ลงโทษผู้ต้องขังอย่างรุนแรงโดยที่ไม่ต้องรับโทษใด ๆ’ และผู้ต้องขังยังได้เล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่และการปฏิบัติที่รุนแรงของผู้คุม

จะเห็นได้ว่าแม้แต่ระบบยุติธรรมในมลรัฐที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจสูงสุดของสหรัฐฯ เอง ก็ยังมีปัญหาในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย โดยชาวอเมริกัน 91% ระบุว่า กระบวนการยุติธรรมมีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จึงสมควรที่จะดำเนินการปรับปรุง แก้ไข จัดการในปัญหาที่เกิดขี้นภายในประเทศของตนเองให้เรียบร้อย ถูกต้อง และเป็นธรรม ก่อนที่จะไปการก้าวก่าย แทรกแซง ในเรื่อง สิทธิมนุษยชน อิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียม ฯลฯ ของประเทศอื่น ๆ
 

รู้จัก ‘Colin Huang Zheng’ ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ แพลตฟอร์ม E-commerce เขย่าโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันทุกวันนี้นี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะจับจ่ายซื้อขายผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Platform E-commerce ชื่อดังในบ้านเราอย่าง LAZADA และ SHOPEE แต่ไม่นานมานี้มีน้องใหม่เข้ามาในตลาด E-commerce เพิ่มขึ้นอีกหลายราย อาทิ SHIEN และที่มาแรงที่สุดคือ ‘TEMU’

‘TEMU’ เป็น Platform E-commerce ที่ดำเนินการโดย PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซจีน แต่จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน และยังระบุว่าเป็นสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงดับลิน (ซึ่งทั้งสองแห่งมีมาตรการทางภาษีที่เอื้อต่อเจ้าของกิจการที่จดทะเบียนในแต่ละแห่งอย่างมากมาย) โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ตั้งราคาลดพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่จัดส่งจากจีนถึงผู้บริโภคโดยตรง รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ช่วยให้บริษัทได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แรงงานบังคับ ทรัพย์สินทางปัญญา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด บริษัทมีข้อพิพาททางกฎหมายกับคู่แข่งอย่าง SHEIN

นอกจากนี้แล้ว PDD Holdings ยังเป็นเจ้าของ Pinduoduo ซึ่งเป็น Platform E-commerce ยอดนิยมในประเทศจีนอีกด้วย โดย ‘TEMU’ เริ่มใช้งานในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2022 ในเดือนมีนาคม 2023 เปิดตัวในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเดือนต่อมาได้เปิดตัวในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และสหราชอาณาจักร ในที่สุด ‘TEMU’ ก็ขยายเข้าสู่ตลาดละตินอเมริกา และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2024 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ 49 เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ‘TEMU’ ได้ลงโฆษณา Super Bowl หลายรายการ เป็นมูลค่าราว 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการค้นหาชื่อและการเข้าชม ‘TEMU’ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ใช้งานจริงในสหรัฐอเมริกากว่า 100 ล้านคน มีดาวน์โหลด Application มากกว่า 130 ล้านครั้งทั่วโลก และมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ประมาณ 420 ล้านครั้งต่อเดือน ตามข้อมูลของ Semrush 

รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ยินยอมให้ผู้ขายในประเทศจีนขายและจัดส่งโดยตรงถึงลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้จัดจำหน่ายคนกลางในประเทศปลายทาง ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง แต่ผู้ขายหลายรายระบุว่า ‘TEMU’ ขอให้พวกเขาลดราคาลงจนกระทั่งถึงจุดที่ขายสินค้าขาดทุน นอกจากนั้น ‘TEMU’ เสนอสินค้าฟรีให้กับผู้ใช้รายที่แนะนำผู้ใช้ใหม่ผ่านรหัสพันธมิตรโซเชียลมีเดีย และเกมมิฟิเคชัน การซื้อออนไลน์บน ‘TEMU’ สามารถทำได้โดยใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตหรือผ่านแอปมือถือเฉพาะ และ ‘TEMU’ ยังใช้แคมเปญโฆษณาออนไลน์ขนาดใหญ่บน Facebook และ Instagram

นอกจากนี้แล้ว ‘TEMU’ ยังกำหนดให้ผู้ขายต้องเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่พบใน AliExpress เมื่อผู้ขายหลายรายเสนอขายผลิตภัณฑ์เดียวกัน ‘TEMU’ จะอนุญาตเฉพาะผู้ขายที่เสนอราคาต่ำที่สุดเท่านั้น สินค้าที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดการขายขั้นต่ำของ ‘TEMU’ (30 ชิ้นและ 90 ดอลลาร์ใน 14 วัน) จะถูกลบออกจากแพลตฟอร์ม การโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักในแอปมือถือ และลงโฆษณาทางทีวีในรายการ Super Bowl ส่งผลให้ ‘TEMU’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากผลการวิจัยของ Sensor Tower เปิดเผยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ผู้ใช้ ‘TEMU’ ใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาทีต่อสัปดาห์บนแอป เมื่อเทียบกับ 18 นาทีบน Amazon และ 22 นาทีบน eBay 

‘Colin Huang Zheng’ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1980 ในเขตชานเมืองหางโจวเจ้อเจียง พ่อแม่ของเขาเป็นพนักงานระดับกลางในโรงงาน เข้าเรียนที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจว เป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของบริษัท Pinduoduo ซึ่งปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในจีน หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เขาได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison หลังจากนั้นได้เข้าทำงานกับ Google ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2004 เวลานั้น Microsoft มีมูลค่าตลาดมากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ Google ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ Huang ก็เลือกเดินทางไปกับ Google

ในปี 2006 Huang กลับสู่มาตุภูมิในฐานะส่วนหนึ่งของทีมเปิดตลาดเมืองจีนให้กับ Google อย่างไรก็ตาม 1 ปีต่อมา Huang ก็ตัดสินใจตามสัญชาตญาณตัวเองอีกครั้ง เขาเลือกลาออกจาก Google โดยไม่แม้กระทั่งจะรอให้ตัวเองมีความพร้อมเสียก่อนด้วยซ้ำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิถีผู้ประกอบการของเขา ในปี 2015 Huang ได้ตั้งบริษัท Pinduoduo ขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ มีรายได้ 1.4 พันล้านหยวน (280 ล้านดอลลาร์) ในปี 2017 และในปี 2019 บริษัทสร้างรายได้ 4.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (30.14 พันล้านหยวน) ธุรกิจเติบโต และบริษัทเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลังการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ในชื่อหลักทรัพย์ว่า ‘PDD’ เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ด้วยมูลค่ามากถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มสูงขึ้นในเวลาต่อมา Huang ซึ่งมีหุ้นอยู่ในบริษัท 47% มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 13 ของจีนในปี 2018

วันที่ 1 กรกฎาคม 2020 Huang ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Pinduoduo แต่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเช่นเดิม ต่อมาเมื่อ 17 มีนาคม 2021 Huang ได้ทำการสละตำแหน่งประธาน และมอบสิทธิในการออกเสียงของหุ้นของเขาให้กับคณะกรรมการบริหาร โดยบริษัท Pinduoduo ระบุว่า Huang ต้องการที่จะแสวงหา ‘โอกาสใหม่ในระยะยาว’ ต่อไป ในเดือนมิถุนายน 2020 หลังจาก Huang ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น Pinduoduo ของเขาลงเหลือ 29.4% โดยบริจาค 2.37% ให้กับมูลนิธิการกุศล และ 7.74% ให้กับบรรดาหุ้นส่วนของ Pinduoduo

หุ้น 2.37% ที่เขาบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคม และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ใจบุญชั้นนำในรายชื่อ Hurun China Philanthropy List ในปี 2021 หลังจากที่เขาให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงิน 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Huang และทีมผู้ก่อตั้ง Pinduoduo ได้บริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.37% ของหุ้น Pinduoduo) ให้กับ Starry Night Charitable Trust เพื่อ “สนับสนุนการวิจัยพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ เกษตรกรรม และอาหาร”

“การตัดสินใจที่ถูกต้องนั้นสำคัญกว่าการทำงานหนัก การมีสามัญสำนึกนั้นสำคัญกว่าการมีความรู้”  ‘Colin Huang Zheng’

'หม่อมไกรสร' ไพรีผู้พินาศ ประมาทเพราะอำนาจ กำเริบน้อยไปถึงมาก พาชีวิตพลาดจนตัวตาย

หากจะพูดถึงเจ้านายที่ชีวิตขึ้นสุด ลงสุดคือ มีอำนาจวาสนาถึงสูงสุด มียศศักดิ์ได้ทรงกรมถึง 'กรมหลวง' ร่วงลงต่ำสุด จนถูกถอดยศเหลือแค่ 'หม่อม' ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว 

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร นั้นถือได้ว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจบารมีมาก ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองเริ่มเข้ารูปเข้ารอย และเจ้านายเริ่มเข้ามามีบทบาทในการกำกับกิจการบ้านเมือง 

พระองค์เจ้าไกรสรเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ได้เข้ามามีส่วนในการจัดระเบียบพระสงฆ์ ส่งเสริมกิจการของพระพุทธศาสนา ได้กำกับ 'กรมสังฆการี' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการศึกษาและพระราชศรัทธาของพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเจ้านายเพียงไม่กี่พระองค์ที่ได้สถาปนาให้ทรงกรม โดยแรกได้ทรงกรมที่ 'กรมหมื่นรักษ์รณเรศ' เคียงคู่กับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ ๒ คือ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' ซึ่งกาลต่อมาก็คือ 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๓ เรียกได้ว่าทรงงานคู่กันมาตลอดรัชกาล แม้จะมีศักดิ์เป็น 'พระปิตุลา' หรือ อา ของรัชกาลที่ ๓ แต่ว่าทั้งสองพระองค์มีพระชันษารุ่นราวคราวเดียวกัน ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานต่อเนื่องเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนยากของ ร.๓ เลยก็ว่าได้ 

พระองค์เจ้าไกรสร เป็นกำลังสำคัญในการก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาชของรัชกาลที่ ๓ เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะนอกเหนือจากบุญญาบารมีทางการเมืองของในหลวงรัชกาลที่ ๓ แล้ว พระองค์เจ้าไกรสรทรงเป็นโต้โผหลักร่วมกับเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ อาทิ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์, กรมหมื่นศักดิพลเสพ, เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค), พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค) ในการสนับสนุนให้ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และพยายามกำจัดคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' ซึ่งกาลต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ให้ต้องพลาดจากราชบัลลังก์ ทั้งยังตั้งตัวเป็นศัตรูมาอย่างต่อเนื่องอย่างที่เรียกว่า 'จองเวร' ก็ว่าได้ 

เริ่มต้นความเป็น 'ไพรี' หรือ 'ศัตรู' ของพระองค์เจ้าไกรสรที่มีต่อ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' นั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งเมื่อรัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะพระองค์เป็นหนึ่งในโต้โผตามที่กล่าว ทั้งยังแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากการ 'หน่วงเหนี่ยว กักขัง' 'วชิรญาณภิกขุ' ซึ่งผนวชมาก่อนสวรรคตราว ๒ สัปดาห์ 

เมื่อรัชกาลที่ ๒ สวรรคต ก็ได้ลวงว่ามีพระบรมราชโองการให้เข้าเผ้า ฯ แต่เมื่อมาถึงพระราชวังหลวงกลับถูก 'กักบริเวณ' เพื่อจัดการเรื่องผู้สืบราชสมบัติเสร็จสิ้นเสียก่อน ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว แล้วแจ้งความจริงแก่พระองค์ (ดีที่พระองค์ทรงเตรียมใจด้วยทรงปรึกษาเรื่องการขึ้นครองราชย์มาก่อนแล้ว โดยเจ้านายผู้ใหญ่ที่นับถือทรงบอกกล่าวแล้วว่ายังมิควร เรื่องนี้จึงช่วยได้เยอะ) 

จากนั้นเมื่อทรงทราบทุกเรื่องแจ้งตลอดแล้วจึงได้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ แต่ก็ทรงโดนพระองค์เจ้าไกรสรเข้าประกบพร้อมทรง 'ข่มขู่' จาก 'บันทึกความทรงจำ' พระยาสาปกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ระบุไว้ว่า “พระจอมเกล้าฯ เสด็จเข้าไป พอเห็นสวรรคตแล้วก็ทรงพระกรรแสงโฮขึ้น หม่อมไกรสรก็เข้าไปกอดไว้แล้วคลําดู ดูที่จีวรกลัวจะซ่อนพระแสงเข้าไป พระจอมเกล้าฯ ก็ตกพระทัยรับสั่งว่าขอชีวิตไว้อย่าฆ่าเสียเลย พระนั่งเกล้าฯ รับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทําอะไรหรอกอย่าตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น ทําอย่างไรได้เวลานั้นโดยท่านตกพระทัย พระบังคลไหลออกมาเปียกสบงเป็นครึ่งผืน” 

นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอย่างยาวนานกว่า ๒๗ พรรษา

ครั้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 'พระองค์เจ้าไกรสร' ได้รับการสถาปนาให้เป็น 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ทรงกำกับกรมวัง มีหน้าที่ตัดสินคดีความ คุมเบี้ยหวัดของพระราชวงศ์และขุนนาง ทรงคุม 'กรมสังฆการี' อยู่ในกำมือ เรียกว่ามีอำนาจอิทธิพลมาก นั่นทำให้พระราชวงศ์หลายพระองค์ต้องทรงมีอาการหมางเมินต่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ด้วยความกริ่งเกรง 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นั่นเอง 

แต่ถึงจะครองเพศบรรพชิตก็ใช่ว่าจะแกล้งไม่ได้ 'พระวชิรญาณภิกขุ' ขึ้นชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา มีภูมิรู้ทางภาษาบาลีอย่างเอกอุ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบในด้านนี้ของพระองค์ วันหนึ่งจึงทรงอาราธนาพระองค์เข้าสอบความรู้พระปริยัติธรรมสนามหลวงโดยมีรัชกาลที่ ๓ ทรงเสด็จฯ ออกทรงฟังการสอบความรู้พระปริยัติธรรมด้วยทุกวัน ซึ่งปรากฏว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' แปลบาลีได้อย่างไม่ติดขัดจนถึงประโยคที่ ๕ เมื่อผ่านพ้นการแปลในประโยคนี้รวม ๓ วัน ก่อนจะขึ้นในวันใหม่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ก็ได้เข้ามาทรงทักท้วงกับ พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกยาราม กลางที่ประชุมกรรมการแปลโดยเสียงที่ได้ยินกันทั่วว่า...

"นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน" คืออารมณ์ว่าจะปล่อยให้แปลไปสบาย ๆ แบบนี้ได้ยังไง จน 'พระวชิรญาณภิกขุ' ต้องทูลฯ รัชกาลที่ ๓ ขอหยุดแปล ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบก็ไม่ทรงขัดศรัทธา อีกทั้งยังทรงพระราชทานพัดยศเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติชั้นสูงสุดแห่งคณะสงฆ์ไทยให้ทรงถือ ก็แสดงให้เห็นชัดว่า ร.๓ ท่านไม่ได้ทรงขุ่นข้องหมองใจใด ๆ ยกเว้นเพียง พระองค์เจ้าไกรสรที่ยังทรงคิดรังควานต่อไป 

เมื่อเล่นงานตรง ๆ ไม่ได้เพราะ ร.๓ ไม่ทรงเล่นด้วย พระองค์เจ้าไกรสร ก็หันมาปล่อยข่าวปลอม สืบเนื่องจากความเป็นปราชญ์ในด้านบาลีของพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ อีกทั้งยังทรงเป็นนักศึกษา นักค้นคว้า ทำให้มีผู้คนไปนมัสการพระองค์ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ซึ่งพระองค์จำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีการปล่อยข่าวว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' ซ่องสุมผู้คนเพื่อหวังผลทางการเมือง ครั้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบเข้าจึงให้ย้ายพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ ๒๓๗๙ เพื่อให้พ้นข้อครหา

ปล่อยข่าวปลอมไม่สำเร็จงั้นก็แกล้งอย่างอื่นต่อ หลังจากที่ 'พระวชิรญาณภิกขุ' มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ได้ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้น โดยยึดพระวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งการนุ่งห่มก็เรียบร้อย พระภิกษุต้องสำรวมขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดที่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นำมากลั่นแกล้งได้อีก โดยคราวนี้พระองค์ให้คนในสังกัดไปดักรอใส่บาตรพระธรรมยุติ โดยสิ่งที่ใส่ในบาตรคือ 'ข้าวต้ม' ร้อน ๆ คือ ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าในสมัยก่อนยังไม่มี 'ถลกบาตร' หรือ 'สลกบาตร' ซึ่งเสมือนถุงที่ใส่บาตรให้พระได้ถือกันร้อน มีแต่เชิงบาตรไว้ตั้งเมื่อรับบาตรเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อโยมในสังกัดของ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ตักบาตรข้าวต้มร้อนๆ แก่พระธรรมยุติ พระท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ แถมยังต้องสำรวม ในการรับบาตรนี้พระทั้งหลายก็มือพอง แขนพอง กลับวัดกันไป นี่ก็อีกหนึ่งวิบากที่ร่ำลือกันถึงความ 'จองเวร' จาก 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' 

แต่มีอำนาจก็เสื่อมอำนาจได้ หากมิมีคุณธรรมควบคุมตนกรณีของ พระองค์เจ้าไกรสรก็เช่นกัน พระองค์ทรงมีความหวังว่าพระองค์จะได้เป็นวังหน้าในครั้งที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงทิวงคต อีกทั้งยังทรงกระทำการด้วยอำนาจบาตรใหญ่หลายเรื่อง เช่น การตัดสินคดีความอย่างลำเอียงด้วยเห็นแก่สินบน ซ่องสุมผู้คนอย่างมิเหมาะควร กระทำตนเยี่ยงพระมหากษัตริย์ในงานลอยประทีป ณ กรุงเก่า และเมืองเขื่อนขันธ์ ซึ่งมีผู้คนเห็นกันอย่างถ้วนทั่ว หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนพระองค์ที่ทรงมิได้ร่วมหลับนอนกับพระชายาหรือหม่อมห้ามในวัง แต่กลับไปคลุกอยู่กับคนโขนละครซึ่งเป็นชายแต่โปรดฯ ให้แต่งกายเป็นหญิง ซึ่งนับว่าออกลูกมั่นใจว่าไม่มีใครกล้าเป็น 'ศัตรู' กับพระองค์มากไปสักหน่อย 

จากเหตุดังกล่าวในปี พ.ศ. ๒๓๙๑ 'ไพรี' ของพระองค์ จึงเริ่มขึ้นในรูปใบฏีกาที่ยื่นร้องทุกข์การปฏิบัติราชการและพฤติกรรมของพระองค์เป็นจำนวนมาก มากจนเกิดเป็นการจับกุมและต้องตั้งศาลเพื่อตัดสินคดีความของพระองค์ขึ้น ไล่จากเบาคือ เรื่องไม่บรรทมกับพระชายาหรือหม่อมห้าม ซึ่งเป็นเรื่องส่วนพระองค์โดยพระองค์ให้การว่า "ใช้มือกำคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ของกันและกันจนสุกกะ (น้ำกาม) เคลื่อนเท่านั้น" อีกทั้ง "การไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน" เรื่องทำตนเทียมกษัตริย์นั้น ในงานลอยประทีปนั้นก็มีมูลเพียงรับไว้บางส่วน 

แต่ก็ยังไม่ร้ายแรงที่สุด มาหนักตรงเรื่อง 'กินสินบาทคาดสินบน' ซึ่งมีการพิสูจน์ได้หลายเรื่อง โดยเรื่องที่บันทึกไว้ก็มีเรื่องของ 'พระยาธนูจักรรามัญ' ซึ่งถวายฎีกาฟ้องพระองค์ว่าตัดสินคดีไม่ชอบ เมื่อตุลาการชำระความก็ปรากฏว่าผิดจริง นำไปสู่การรื้อการพิจารณาอีกหลายคดี ส่วนเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือการซ่องสุมผู้คน ซึ่งว่ากันว่าขุนนางคนไหนที่มีไพร่พล หากยอมสวามิภักดิ์พระองค์ก็จะนับว่าเป็นพวก แต่ถ้าใครไม่ยอมก็จะจองเวรหาเรื่องเอาผิดอยู่เนือง ๆ ซึ่งเรื่องการซ่องสุมผู้คน พระองค์ทรงให้การว่า...

“พระองค์มิได้ทรงจะก่อการกบฏ แต่เป็นการเตรียมไว้หากจะมีการผลัดแผ่นดิน ก็จะไม่ยอมเป็นข้าใคร" คือถ้ารัชกาลที่ ๓ สวรรคต ใครจะครองราชย์ต่อไม่ได้หากไม่ใช่พระองค์เอง ทั้งยังให้การกับตุลาการว่าหากได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะตั้ง 'กรมขุนพิพิธโภคภูเบนทร์' เป็นวังหน้า ซึ่งคำให้การทั้งปวง ทำให้ตุลาการผู้ชำระความที่เป็นทั้งพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ต้องประชุมกันอย่างเคร่งเครียด

ไล่ ๆ กับที่ 'พระองค์เจ้าไกรสร' กำลังเริ่มโดนไต่สวน มีเกร็ดเล่าว่ามีผู้มาถวายพระพุทธรูปองค์หนึ่งแด่ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ ครั้นเมื่อได้มาแล้วบรรดาศัตรูผู้คิดปองร้ายแก่พระองค์ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตนเอง พ่ายลงไปเสียสิ้น พระองค์จึงถวายนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า 'พระไพรีพินาศ' อันหมายถึงการสิ้นศัตรูในคราวแรก ทั้งยังทรงตั้งนามเจดีย์ศิลาเล็ก ๆ องค์หนึ่งว่า 'พระไพรีพินาศเจดีย์' อีกด้วย โดยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ได้มีค้นพบว่าในพระเจดีย์มีกระดาษแผ่นหนึ่งประทับตราสีแดงและปรากฏข้อความว่า "พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่าพระไพรีพินาศ ตตเทอญ" และอีกด้านเขียนว่า "เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ" ซึ่งหากนับแล้วไม่เพียงแต่ พระองค์เจ้าไกรสร แต่ยังมีคณะบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องพินาศไป ซึ่งจะนำมาเสนอในบทความต่อ ๆ ไป 

กลับมาที่พระองค์เจ้าไกรสร เมื่อตุลาการพิจารณาเป็นความสัตย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๓ จึงทรงให้ถอด 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ให้เหลือแต่เพียง 'หม่อมไกรสร' และตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ ซึ่งส่วนหนึ่งของคำพิพากษาระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "…การที่ตัวได้ดีมียศศักดิ์ขึ้นกว่าแต่ก่อนก็ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ยิ่งกว่าเจ้านายทุกๆ พระองค์ จึงได้คิดกำเริบใจขึ้น แต่ก่อนนั้นยังกำเริบน้อยๆ เดี๋ยวนี้มากขึ้นๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้ ๒๕ ปีแล้ว บัดนี้ก็ถึงปรารถนาจะเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้ตัวรำลึกถึงความหลังดู ... ความชั่วของตัวมันฟุ้งเฟื่องเลื่องฦๅไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง หาควรไม่เลย ต่างคนต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูง จะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่คนเขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน…"

แต่เรื่องความ 'จองเวร' ของ 'หม่อมไกรสร' ก็จัดว่าไม่ธรรมดา แม้จะถูกตัดสินความผิดถึงประหาร จนในวาระสุดท้าย ที่ 'วชิรญาณภิกขุ' จะขอขมาเพื่อจะทรงยกโทษกรรมเวรที่ทรงกระทำต่อกันมาด้วยดอกไม้ธูปเทียน นอกจากหม่อมไกรสรจะไม่รับแล้ว ยังกลับไปกำทรายแล้วตอบกลับว่า "จะขอผูกเวรไปทุกชาติเท่าเม็ดกรวดเม็ดทราย!!" ซึ่งเรื่องนี้ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงประทานเล่าไว้ในคราหนึ่ง 

'หม่อมไกรสร' ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ณ วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ ขณะนั้นหม่อมไกรสรมีพระชันษาได้ ๕๖ ปี และนับเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายที่ถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้

Sahm Rule คืออะไร? ทำไมทุกคนถึงกลัว? จนต้องหันมามองการลดดอกเบี้ยอย่างจริงจัง

ช่วงสัปดาห์นี้ เราจะได้ยินข่าวที่น่าเป็นกังวลสำหรับนักลงทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอย การว่างงานที่สูงขึ้น และตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาแย่ จนทำให้มีการกดดันให้ธนาคารกลางหรือ FED ปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่ากำหนดการที่ตอนแรกจะเป็นในเดือนกันยายนค่ะ 

โดยมีอยู่คำหนึ่งที่จะเริ่มได้ยินจากบรรดานักวิเคราะห์พูดซ้ำ ๆ มากขึ้น นั่นก็คือคำว่า Sahm Rule ซึ่งคำนี้มีที่มาจากการตั้งตามชื่อของ Claudia Sahm อดีตนักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารกลางสหรัฐ โดยกฎนี้จะนำเอา 'อัตราการว่างงานรายเดือน' มาเปรียบเทียบส่วนต่างระหว่างอัตราการว่างงานเฉลี่ยย้อนหลังสามเดือนกับอัตราการว่างงานที่ต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา และถ้าส่วนต่างอันนี้สูงกว่า 0.50% ก็จะหมายถึงว่าเศรษฐกิจนั้นอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปเรียบร้อยแล้วค่ะ 

(เศรษฐกิจถดถอย Economic Recession คือ ภาวะการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ และกินเวลาหลายเดือน และยังต้องมีตัวชี้วัดหลายตัวร่วมด้วย ได้แก่ 1. รายได้ของบุคคลหักด้วยรายจ่าย 2.ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร 3.ตัวเลขการจ้างงานของครัวเรือน 4.รายจ่ายเพื่อการบริโภค 5.ยอดขายสินค้า และ 6.การผลิตในภาคอุตสาหกรรม ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

ก่อนหน้านี้ได้มีการนำเอากฎ Sahm Rule มาใช้และก็สามารถคาดการณ์วิกฤตได้อย่างแม่นยำในการเกิดวิกฤตถดถอยทั้ง 11 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาค่ะ และคนก็มักเอามาใช้เพื่อให้บรรดาผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายสามารถเตรียมรับมือได้ทันท่วงทีค่ะ 

และที่ทุกคนต่างพากันกลัว ก็เป็นเพราะทุกครั้งที่ตัวเลขนี้มากกว่า 0.50% ก็มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงถดถอยไปแล้วอย่างน้อย 2-5 เดือน แต่ก็มีบางครั้งที่ตัวเลขนี้เกิดขึ้นช้ากว่าการเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยถึง 8 เดือนอย่างในปี 1974 และจะเกิดก่อนที่หน่วยงานสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติหรือ NBER จะประกาศภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการ 

โดยรอบนี้ตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ที่มีการรายงานไปเมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมามีการรายงานตัวเลขอัตราการว่างงานเดือนกรกฎาคมที่สูงขึ้นจาก 4.1% ไปแตะที่ระดับ 4.3% ซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ทำให้อัตราเฉลี่ยสามเดือนสูงกว่าผลเฉลี่ย 3.6% ของปีที่แล้ว และส่งผลให้ตัวเลข Sahm Rule มาที่ระดับใกล้ 0.50% ค่ะ

เราต้องรอดูกันค่ะว่าถ้า Sahm Rule เกิดขึ้นจริงในรอบนี้ก็อาจจะทำให้ FED ต้องหันมาพิจารณาเรื่องการลดดอกเบี้ยอย่างจริงจังค่ะ

วัฒนธรรม ‘ญี่ปุ่น’ ในมุมที่ชาวต่างชาติไม่เคยรู้!! เผยให้เห็นหลากเรื่องราว 'แปลกๆ' ที่ทำให้ต้องรู้สึก ‘ทึ่ง’

ชาวต่างชาติมักไม่ค่อยเชื่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งพวกเขาได้เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นเอง หลังจากที่ได้ไปญี่ปุ่นหลายครั้ง ก็ได้สรุปข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับประเทศนี้ที่ชาวต่างชาติไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ มักจะทำให้ผู้มาเยือนต้องประหลาดใจอยู่เสมอ

รอยสักที่เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น เรื่องราวของรอยในญี่ปุ่นสักมักจะเกี่ยวข้องกับยากูซ่า ดังนั้นสถานที่สาธารณะหลายแห่ง เช่น บ่อน้ำพุร้อน (ออนเซ็น) ยิม และสระว่ายน้ำ จึงไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีรอยสักที่มองเห็นได้ชัดใช้บริการ ซึ่งสถานการณ์นี้กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป เพราะปัจจุบันผู้คนในทุกประเทศต่างนิยมการสัก แต่รอยสักก็ยังเป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับชาวต่างชาติผู้มาเยือนจำนวนมาก

ห้องน้ำสาธารณะที่สุดแปลกและน่าทึ่ง นอกเหนือจากห้องน้ำของญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีที่สุดล้ำแล้ว ห้องน้ำสาธารณะของญี่ปุ่นมักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ เครื่องใช้ในห้องน้ำฟรี ที่นั่งชักโครกที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ และแม้แต่ที่นั่งสำหรับเด็กที่มีการติดตั้งไว้ภายในห้องน้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ห้องน้ำหลายแห่งยังเปิดเพลงหรือเสียงธรรมชาติเพื่อกลบเสียงระบายของเสียที่น่าอับอายอีกด้วย

ขนม KitKat ตามแต่ฤดูกาล ในญี่ปุ่นมีขนม KitKat รสชาติต่าง ๆ มากมายที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่รส ชาเขียว สาเก ไปจนถึงรส วาซาบิ และมันเทศ

การนอนในที่สาธารณะ การเห็นคนงีบหลับในที่สาธารณะ เช่น ร้านกาแฟ บนรถไฟ หรือแม้กระทั่งที่โต๊ะทำงานนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการขี้เกียจ แต่กลับเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า คน ๆ นั้นได้ทำงานอย่างหนักและทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่

ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่ไม่เหมือนใคร ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของญี่ปุ่นไม่ได้ขายแค่เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวเท่านั้น ยังสามารถซื้อ ไข่สด ผัก แบตเตอรี่ ร่ม หรือแม้แต่อาหารร้อน ๆ จากตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเหล่านี้ได้

วัฒนธรรมการไม่ให้ทิป ในญี่ปุ่นไม่มีการให้ทิป และอาจถือเป็นความหยาบคายด้วยซ้ำ หากมีการให้ทิป เพราะบริการที่ดีเยี่ยมเป็นสิ่งที่ทั้งผู้ให้และรับบริการต่างก็คาดหวังเอาไว้ และการให้บริการที่ดี ถือเป็นมาตรฐานของสังคมญี่ปุ่น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องมีการจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด

ระบบเลขที่อยู่ที่มีความซับซ้อน ระบบเลขที่อยู่ของญี่ปุ่นแตกต่างจากประเทศตะวันตกหลาย ๆ ประเทศ โดยเลขที่อยู่จะอิงตามพื้นที่และหมายเลขบล็อกแทนที่จะใช้ชื่อถนน ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับชาวต่างชาติผู้มาเยือนได้

การซดบะหมี่ไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับมารยาทที่ดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทานบะหมี่จนหมดชาม มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นในการทาน นั่นก็คือการซดบะหมี่ด้วยเสียงอันดัง การซดบะหมี่เป็นการแสดงความสุข และยังช่วยทำให้บะหมี่เย็นลงขณะที่ทานอีกด้วย ด้วยการจับตะเกียบไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วโน้มตัวไปเหนือชาม บางครั้งจะมีผ้ากันเปื้อนให้ชาวต่างชาติ แต่ก่อนออกจากร้าน ควรจะเช็ดชามที่มีฝาสีขาวจนสะอาดเสียก่อน

อาหารคริสต์มาสอีฟแบบดั้งเดิมคือ KFC มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ร่วมการเฉลิมฉลองคริสต์มาส แต่รสชาติของอาหารในเทศกาลนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังในญี่ปุ่น ดังนั้นการไปทานมื้อค่ำที่ร้าน KFC สาขาใกล้บ้านในวันคริสต์มาสอีฟจึงถือเป็นประเพณี คาดว่า ชาวญี่ปุ่นประมาณ 3.6 ล้านคนจะออกมาทานอาหารค่ำในวันคริสต์มาสอีฟที่ร้าน KFC ซึ่งต้องรอคิวยาวและต้องสั่งจองอาหารล่วงหน้าหลายสัปดาห์ หลายคนบอกว่า ไก่งวงไม่ค่อยมีขาย ดังนั้นพันเอก Sanders จึงต้องมาญี่ปุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการนี้

ญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่เมือง เมืองที่มีประชากรหนาแน่นถือเป็นจุดเด่นของญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศที่มีป่าเขาน้อย เพราะพื้นที่ประมาณ 70% ของญี่ปุ่นประกอบด้วยป่าและภูเขา ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเกษตรหรืออยู่อาศัย มีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่มากกว่า 100 ลูก และภูเขาที่สูงที่สุดคือภูเขาไฟฟูจิอันโด่งดังซึ่งมีความสูง 3,776 เมตร

เกาะกระต่ายในญี่ปุ่น แม้ว่าญี่ปุ่นประกอบด้วยเกาะเกือบ 7,000 เกาะ เกาะโอคุโนะชิมะ (Okunoshima) ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ นั้นมีชื่อเสียงที่สุดจากประชากรกระต่ายที่อยากรู้อยากเห็นและมีหูโต เกาะแห่งนี้เคยถูกใช้เพื่อทดสอบอาวุธเคมีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และว่ากันว่า หลังสงครามสัตว์ทดลองเหล่านี้สามารถเดินเตร่ไปมาบนเกาะอย่างอิสระ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม จำนวนสัตว์ทดลองก็เพิ่มจำนวนขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสัตว์นักล่า (ห้ามสุนัขและแมวเข้ามาในพื้นที่) และปัจจุบันเกาะโอคุโนะชิมะก็กลายเป็นจุดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกระต่าย

เลข 4 เป็นเลขอับโชคอย่างมาก ชาวญี่ปุ่นมักหลีกเลี่ยงเลข 4 (‘Shi’) เนื่องจากออกเสียงคล้ายกับคำว่าความตายในภาษาญี่ปุ่นมากเกินไป หากสังเกตให้ดีในญี่ปุ่น จะเห็นว่า อาคารต่าง ๆ ไม่มีชั้นที่สี่ สินค้าต่าง ๆ จะขายเป็นชุดละ 3 หรือ 5 ชิ้น และมีการระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอเลขนี้ในชีวิตประจำวัน

เทศกาลเปลือยกาย ฮาดากะมัตสึริ ญี่ปุ่นมีชื่อเสียงในเรื่องเทศกาลมากมายไม่หยุดหย่อน แต่เทศกาลฮาดากะมัตสึริ (Hadaka Matsuri) อาจเป็นหนึ่งในเทศกาลที่แปลกประหลาดที่สุด เมื่อชายชาวญี่ปุ่นหลายพันคนเปลือยกายในที่สาธารณะเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดจัดขึ้นที่เมืองโอกายามะ โดยมีชายชาวญี่ปุ่นประมาณ 9,000 คนออกมาเดินขบวนที่เรียกว่า ‘ฟุนโดชิ’

รถไฟญี่ปุ่นเป็นรถไฟที่ตรงเวลาที่สุดในโลก รถไฟญี่ปุ่นล่าช้าเฉลี่ยเพียง 18 วินาที อะไรทำให้รถไฟญี่ปุ่นตรงเวลาได้ขนาดนี้? เพราะ...พนักงานขับรถไฟได้รับการฝึกฝนในเครื่องฝึกจำลองที่สมจริงสุด ๆ และขับรถไฟเพียงสายเดียวเท่านั้น หลายคนไม่จำเป็นต้องใช้มาตรวัดความเร็วเพื่อให้รู้ว่ารถไฟวิ่งเร็วแค่ไหนเสียด้วยซ้ำ การแข่งขันระหว่างบริษัทรถไฟก็ดุเดือดเช่นกัน ดังนั้นการตามหลังจึงไม่ช่วยอะไร พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาจำนวนผู้โดยสารรถไฟของญี่ปุ่นที่แม้ว่าจะมีจำนวนมากเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม (แม้ว่าจะต้องสร้างห้างสรรพสินค้าสุดหรูหราในสถานีรถไฟก็ตาม)

ชาวญี่ปุ่นทุกคนมีตราประทับเป็นของตัวเอง ในญี่ปุ่นไม่มีลายเซ็น แต่พวกเขามีตราประทับเป็นของตัวเอง ตราประทับที่เรียกว่า ‘ฮังโกะ (Hanko)’ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นชื่อของคนญี่ปุ่นที่แปลเป็นอักษรคันจิ และทำจากไหมหรือแป้งพืช ผู้ใหญ่จะมีตราประทับนี้สามอัน อันหนึ่งไว้สำหรับเซ็นชื่อในจดหมายและเรื่องส่วนตัว อันหนึ่งไว้สำหรับประทับตราธนาคาร และอีกอันไว้สำหรับแสดงตัวตน ตราประทับเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นสามารถหาซื้อตราประทับนี้เองได้จากร้านค้าเล็ก ๆ ทั่วไปในท้องถิ่น

พื้นป้องกันนินจามีอยู่จริง ในช่วงยุคศักดินา ขุนนางญี่ปุ่นผู้มั่งคั่งจะสร้างบ้านที่มีพื้นที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด (เรียกว่า พื้นไนติงเกล) เพื่อป้องกันนินจา นักรบรับจ้างในตำนานของญี่ปุ่นในยุคศักดินาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีนั้น มีตำนานและนิทานพื้นบ้านกล่าวกันว่า นินจาสามารถ เดินบนน้ำ ล่องหน และควบคุมธาตุต่าง ๆ ตามธรรมชาติได้ นั่นคงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำพื้นใหม่

การเดินทางไปญี่ปุ่นแต่ละครั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็จะ พบเห็น เจอะเจอ วัฒนธรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์และมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสุขมากมาย และมีการค้นพบเรื่องราวต่าง ๆ ในแบบที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนเลย

รู้จัก FOMC การประชุมของ FED ที่ผู้กุมนโยบายการเงินทั่วโลกต่างจับตา เพราะทุกทีท่า ล้วนกระทบเสถียรภาพทาง ศก. 'ระดับชาติ-ระดับโลก'

ถ้าใครติดตามข่าวการลงทุนอยู่เรื่อย ๆ ก็คงสังเกตได้ว่า ช่วงไหนที่มีข่าวการประชุม FOMC หรือการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee - FOMC) ตลาดสินทรัพย์ทุกประเภทก็มักจะมีความผันผวน โดยนักลงทุนบางส่วนก็มีการขายสินทรัพย์ออกมาเพื่อลดความเสี่ยงลง เพื่อรอดูผลของการประชุมเสมอ

การประชุมนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของระบบธนาคารกลางของสหรัฐฯ ซึ่งคณะกรรมการนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 12 คน ได้แก่ สมาชิก 7 คนจากคณะกรรมการผู้ว่าการของธนาคารกลางสหรัฐฯ, 1 คนเป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง New York และอีก 4 คนจะหมุนเวียนกันมาจากผู้ว่าการธนาคารกลางอีก 11 เขตที่เหลือในแต่ละปีค่ะ

โดยวัตถุประสงค์หลักของ FOMC คือ การดูแลและกำหนดนโยบายการเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค, ทบทวนสภาพเศรษฐกิจและการเงิน, ประเมินความเสี่ยงต่อเป้าหมายระยะยาว และหารือเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินที่เหมาะสม เช่น ราคาที่มีเสถียรภาพ, ระดับอัตราการจ้างงานสูงสุด และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคณะกรรมการนี้จะประชุมกัน 8 ครั้งต่อปี เพื่อหารือและตัดสินใจในมาตรการและนโยบายต่าง ๆ ร่วมกัน

โดยหัวข้อสำคัญ ๆ ที่มักจะถูกพูดถึง คือ...

1. อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม: ในการประชุมจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารกลาง ซึ่งมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และการจ้างงาน

2. ตัวชี้วัดเศรษฐกิจต่าง ๆ: จะมีการนำเอาตัวเลขที่ใช้การชี้วัดเช่น การเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และการใช้จ่ายของผู้บริโภคมาพิจารณา 

ส่วนหัวข้อสำคัญรองลงมาจะเป็น...

3. สภาพตลาดการเงิน: การประเมินสภาพในตลาดการเงินและผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วไป

4. พัฒนาการเศรษฐกิจทั่วโลก: การพิจารณาสภาพเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

เมื่อพิจารณาหัวข้อดังกล่าวแล้ว ก็จะนำมาซึ่งการกำหนดนโยบายการเงิน โดยการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในการประชุม FOMC นั้น จะมีผลโดยตรงต่อทิศทางของนโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารกลาง ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอัตราดอกเบี้ยนี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการจ้างงานต่อไป

ไม่เพียงเท่านี้ ผลกระทบต่อการตัดสินใจดังกล่าว จะส่งผลต่อตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดการเงินทั้งในสหรัฐฯ เองและทั่วโลก รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายของแหล่งเงินทุนทั่วโลกอีกด้วย

ดังนั้น ผลการประชุมนี้ จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยตลาดและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก ภายใต้บทบาทสำคัญของ FOMC ที่จะส่งผลต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งในระดับชาติและระดับโลก 

อ้อ!! แล้วนอกจากการประชุมของธนาคารสหรัฐฯ แล้ว ในโลกก็ยังมีการประชุมธนาคารประเทศอื่น ๆ ที่สำคัญระดับโลกอีกด้วย อย่างเช่น การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE), การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ขณะที่ไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ก็จะมีการประชุมเพื่อกำหนดกรอบนโยบายและสร้างเสถียรภาพทางการเงินเช่นเดียวกัน

สำหรับการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมามีขึ้นในวันที่ 30-31 กรกฎาคม แม้จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% แต่ผู้ว่าการธนาคารกลางอย่างนายเจอโรม พาวเวล ก็ได้แสดงท่าทีที่อ่อนโยนลง และระบุว่า ถ้าเงินเฟ้อกำลังมีทิศทางที่ชะลอตัวลง, ตลาดแรงงานลดความร้อนแรงลง 'เฟด' (FED) เอง ก็พร้อมที่จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ค่ะ

เปิดเรื่องราว ‘ชาวฮ่องกง’ ผู้ถือ ‘พาสปอร์ต BNO’ หวังหนี ‘จีน’ ซบ ‘อังกฤษ’ ไร้สิทธิประโยชน์-อยู่ต่ำกว่าพลเมืองในประเทศ สุดท้ายมีคนจบชีวิตประท้วง

ก่อนและหลัง...สหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งที่ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งถึงทำก็คือ ‘การอพยพ’ ไปอยู่ประเทศอื่น ๆ อาทิ แคนาดา ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ ประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม โดยการอพยพไปอยู่อังกฤษนั้น ชาวฮ่องกงใช้สถานะความเป็น ‘พลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล)’ หรือ British National (Overseas) ซึ่งจะได้หนังสือเดินที่เรียกว่า ‘British National (Overseas) passport หรือ BN(O) passport’

โดยสถานะดังกล่าวได้มาจากการลงทะเบียนโดยสมัครใจของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับดินแดนอดีตอาณานิคมฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นพลเมืองในดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ (British Overseas Territories citizen : BDTC) ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1997 การลงทะเบียนสถานะ BN(O) จำกัดเฉพาะช่วงเวลา 10 ปีก่อนการโอน โดยถือเป็นการจัดเตรียมชั่วคราวสำหรับอดีต BDTC ผู้ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน (หลังปี 1997) ไม่สามารถได้รับสถานะนี้ได้

BN(O) ถือเป็นพลเมืองของเครือจักรภพ จึงไม่ใช่พลเมืองอังกฤษ ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเข้าสู่สหราชอาณาจักรเหมือนชาวต่างชาติอื่น ๆ ทั้งยังไม่มีสิทธิ์ในการพำนักในอังกฤษโดยอัตโนมัติ และชาวฮ่องกงที่เลือกเป็น BN(O) แล้ว ทุกคนจะต้องสละสัญชาติจีน(ฮ่องกง) โดยมีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในฮ่องกงหลังจากที่รัฐบาลจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (ซึ่งก่อให้เกิดการจลาจลในฮ่องกงในปี 2019-2020) สหราชอาณาจักรได้อนุญาตให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) และสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในความอุปการะของพวกเขาสามารถสมัครวีซ่าถิ่นที่อยู่แบบต่ออายุทุก 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2021

BN(O) ทำให้ผู้ถือได้รับสถานะพิเศษเมื่ออาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะช่วยให้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ได้รับสัญชาติอังกฤษภายใต้กระบวนการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถดำรงตำแหน่งสาธารณะหรือตำแหน่งในรัฐบาล มีผู้ถือ BN(O) ประมาณ 2.9 ล้านคน โดยประมาณ 720,000 คนในจำนวนนี้ถือหนังสือเดินทางอังกฤษที่ถูกต้อง และได้รับความคุ้มครองจากกงสุลเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนไม่รับรองหนังสือเดินทางประเภทนี้ว่าเป็นเอกสารการเดินทางที่ถูกต้อง และจำกัดไม่ให้ผู้ถือ BN(O) เข้าถึงการคุ้มครองจากกงสุลอังกฤษหรือจากคณะผู้แทนทางการทูตของสหราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและสาธารณรัฐประชาชนจีน

หนังสือเดินทาง BN(O) ยุคแรกจนถึงปี 1990

สำหรับชาวฮ่องกงผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้มีการจัดทำโครงสร้างโครงการปลอดวีซ่าอย่างชาญฉลาด ซึ่งปัจจุบันปี 2024 ผู้ที่ต้องการอพยพออกจากฮ่องกงส่วนใหญ่เพื่อค้นหา 'ประชาธิปไตย' และ 'เสรีภาพ' และที่มากกว่านั้นคือ กลุ่มหัวรุนแรงรุ่นใหม่ที่เคยเป็นแกนกลางของการประท้วงต่อต้านรัฐบาล/การจลาจล/การก่อการร้ายในปี 2019 แต่กลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์ย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากเกิดหลังจากการส่งมอบในปี 1997 และ BN(O) ของผู้ปกครองไม่สามารถส่งต่อไปยังพวกเขาได้ ดังนั้น สหราชอาณาจักรจึงสามารถหลีกเลี่ยงการอพยพเข้ามาของเยาวชนที่ปัญหาเหล่านี้ได้

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1990-1997

นอกจากนี้ สำหรับพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่เกิดหลังปี 1997 มีน้อยมาก ๆ ที่จะยอมต้องทิ้งลูก ๆ ไว้ข้างหลังหรือจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูก ๆ ได้รับการศึกษาในสหราชอาณาจักรในฐานะนักเรียนต่างชาติ ส่วนผู้ประกอบการอิสระส่วนใหญ่มักจะไม่ยินยอมอพยพแบบถอนรากถอนโคนและเริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่ต้นในประเทศใหม่ที่ต่างไปกว่าเดิม เว้นแต่พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำ สื่อตะวันตกอาจนำเสนอภาพที่ชาวฮ่องกงถูกกดขี่ ข่มเห่ง แต่ความเป็นจริงแล้ว ฮ่องกงคือแหล่งทำมาหาเงินของพวกเขา

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1997-2020

ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) เมื่อย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักรจะไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ได้จนกว่าจะได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ ดังนั้นพวกเขาจะต้องดำรงชีวิตด้วยเงินออมที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ย่ำแย่ จะมีชาวฮ่องกงสักกี่คนที่หางานได้ดีกว่างานที่ใช้ทักษะธรรมดา สำหรับงานระดับบริหารในสหราชอาณาจักรปิดโอกาสสำหรับผู้ถือ BN(O) แทบจะโดยสิ้นเชิง ผู้ที่ไม่สามารถหางานประจำได้ก่อนที่เงินออมจะหมดจะถูกบังคับให้หาทางออกต่าง ๆ ผู้ที่มีทรัพยากรมากกว่าสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตนเองได้ แต่ต้องหาเขตที่คนท้องถิ่นมีอัธยาศัยดีต่อผู้อพยพมาก ๆ 

หนังสือเดินทาง BN(O) ปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2020

เมื่อวีซ่า 5 ปีหมดอายุ และภายใน 1 ปีหลังวีซ่าหมดอายุจะไม่มีการรับประกันการได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหางานได้ค่าตอบแทนดี รัฐบาลอังกฤษอาจแค่บอกว่า “คุณอยู่มานานมากแล้วและขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา” หลังจากแยกผู้ที่มีศักยภาพที่จะอยู่ต่อออกจากมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีภาระผูกพันด้านสวัสดิการระยะยาว ในขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรได้รับการสนับสนุนทางการเมืองบางส่วนจากพันธมิตรตะวันตก เนื่องจากความมีมนุษยธรรมที่ชัดเจนในการช่วยเหลือชาวฮ่องกง 'หลายล้านคน' ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของ 'จีน(ที่ชั่วร้าย)' ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรัฐบาลไม่ขัดแย้งกับรายงานของสื่อที่บอกเป็นนัยว่าประชากรฮ่องกงทั้งหมดมีสิทธิ์ในการต่อต้านจีน 

ท้ายที่สุด จำนวนผู้ที่ไปนับหมื่นครอบครัวและผู้ที่อยู่ระยะยาวจะยิ่งลดน้อยลงไปอีก ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ‘Ho Yik-king’ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง ฆ่าตัวตายในอังกฤษ หลังชีวิตในสหราชอาณาจักรแทบไม่มีอะไรดั่งที่เธอฝัน เพราะชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) ถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ ‘ต่ำชั้นกว่าพลเมืองในประเทศ’ เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอันเป็นชีวิตจริงของหญิงสาวนักเคลื่อนไหว ผู้เรียกร้องเอกราชฮ่องกงจากจีน ‘Ho Yik-king’ (โฮ ยิก-คิง) ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮ่องกง เธอประพฤติตัวดีเสมอมา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเอเชียศึกษาและนานาชาติ ด้วยความชื่นชอบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เธอจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยเจนีวาจนสำเร็จปริญญาโท

ในปี 2018 ฮ่องกงต้องประสบกับการประท้วงอันความสับสนอลหม่านภายใน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสนอให้แก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหัวรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลจีน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลุ่มบุคคลหัวรุนแรงเหล่านี้ จึงได้จัดการประท้วงอย่างต่อเนื่องบนท้องถนนย่านใจกลางเมืองฮ่องกง และเมื่อไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้เพิ่มความรุนแรงในการประท้วงของพวกเขา โดยหันไปใช้วิธีทำลายล้าง หรือแม้แต่โจมตีต่อประชาชนชาวฮ่องกงทั่วไป ในช่วงเวลานี้ ภายใต้อิทธิพลของบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอ ‘Ho Yik-king’ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยสมบูรณ์ และได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างแข็งขัน ที่สุดเธอจึงกลายเป็นบุคคลสำคัญในหมู่คนหัวรุนแรงเหล่านี้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแสดงมุมมองที่รุนแรง และมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลฮ่องกง เชื่อกันว่า เธอได้การสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษในการเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง และเธอถูกรัฐบาลฮ่องกงพยายามจับกุม

หลังจากเธอขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองในฮ่องกงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษ โดยเธอได้รับหนังสือเดินทาง ‘BNO’ (British National Overseas) อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเดินทางไปอยู่ในอังกฤษแล้ว เธอแทบไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐบาลอังกฤษเลย จะหางานทำ หรือเปิดบัญชีธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะพาสปอร์ต BNO ไม่สามารถทำให้เธอมีสิทธิเช่นเดียวกับพลเมืองอังกฤษ และสิ่งที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจที่สุด คือ เธอไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องอันแสนแพงได้ ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทานอาหารเพียงวันละมื้อเดียว ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ชีวิตของ Ho Yik-king จึงเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ให้ค่า ครั้นเธอจะกลับฮ่องกงก็จะต้องติดคุก ปริญญา 2 ใบของเธอ ไม่ได้ช่วยให้เธอได้ตาสว่างแต่อย่างใด ด้วยเพราะตำราที่เธอเรียนจนได้ปริญญา 2 ใบนั้น เขียนโดยชาติตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับบุคคลที่มีภูมิทางการศึกษาดี แต่เลือกเส้นทางและความเชื่อในทางที่ผิด และเมื่อสืบค้นเรื่องราวของเธอใน Google แล้วจะพบเพียงหนึ่งเรื่องใน YouTube คือ https://www.youtube.com/watch?v=vFbjcZEfxFY และใน X มีผู้ใช้ชื่อว่า Richard Seeto @richseeto ได้นำเรื่องราวของเธอใน YouTube ไปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นราวกับว่า เธอไม่เคยมีตัวตนปรากฏอยู่เลย

นี่คือเรื่องราวของชาวฮ่องกง ที่แต่แรกเริ่มเดิมทีต่างพากันเห็นว่า หนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล) หรือ British National (Overseas) passport (BN(O) passport คือ หนังสือเดินทางที่จะนำพาพวกตนและครอบครัวไปสู่แดนสวรรค์ในสหราชอาณาจักร แต่พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่จริงแล้ว กลับกลายเป็นเหมือนกับการตกอยู่ในนรกทั้งเป็น ถือเป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ของบรรดาผู้ที่ชังชาติ อยากย้ายประเทศจนตัวซีดตัวสั่นทั้งหลาย ว่า “ไม่เจอ...ก็ไม่รู้ ไม่เจ็บ...ก็ไม่จำ”

ชวนรู้จัก ‘ตั๋วแลกเงิน หรือ Bill of Exchange’ อีกทางเลือกในยามที่กู้เงินจากแบงก์ไม่ได้

ข่าวใหญ่ที่เราเห็นกันเต็มหน้าสื่อในสัปดาห์นี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นข่าวของบริษัทในตลาดหุ้นที่ขอเลื่อนเวลาชำระตั๋ว BE ซึ่งในช่วงหลัง ๆ มานี้น้อยครั้งที่เราจะเห็นข่าวที่เกี่ยวกับตั๋วนี้ เพราะข่าวของบริษัทที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นในรูปของการผิดชำระหุ้นกู้เสียมากกว่า 

วันนี้เลยจะพาไปเจาะลึกตั๋ว BE แบบ 101 กันว่าตั๋วนี้คืออะไร? และทำงานอย่างไร?

ตั๋วแลกเงิน BE หรือ Bill of Exchange เป็นตราสารหนี้รูปแบบหนึ่งที่ถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความสำคัญในการทำธุรกิจ และถือว่าเป็นหนึ่งในการระดมทุนของบริษัทเช่นเดียวกันกับหุ้นกู้

แต่อดีตตั๋วแลกเงินเป็นผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารใช้เพื่อปล่อยกู้ให้กับบริษัทเอกชน และธนาคารนำไปขายต่อให้กับนักลงทุนอีกทอดหนึ่ง โดยธนาคารจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นการค้ำประกันตั๋วแลกเงินหรือที่เรียกว่า ‘การอาวัลตั๋ว’ โดยธนาคารจะร่วมรับผิดชอบหากผู้กู้เงินไม่สามารถชำระเงินคืนได้ แต่หลัง ๆ มาก็มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นบริษัทเอกชนออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้กับนักลงทุนโดยตรง โดยไม่ผ่านตัวกลางอย่างธนาคารค่ะ

การระดมทุนรูปแบบนี้เป็นไปเพราะบริษัทเอกชนต้องการเงินทุนในการดำเนินงานและต้นทุนในการกู้เงินที่ต่ำกว่าการกู้ธนาคาร หรือไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ โดยผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้ก็จะได้รับผลตอบแทนการจากให้กู้ค่ะ แต่ความต่างระหว่างหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินจะอยู่ที่ระยะเวลาอายุของตราสารหนี้นั้น ๆ กล่าวคือ ถ้าตราสารหนี้นั้นมีอายุมากกว่า 1 ปี เราจะเรียกว่าตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งมาในรูปแบบของหุ้นกู้ แต่ถ้าตราสารหนี้ไหนที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น ตั๋วแลกเงิน (BE), หุ้นกู้ระยะสั้น (Short-Term Debenture) หรือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Permission Note: P/N)

ซึ่งตั๋ว BE เองก็ถูกจัดอันดับความน่าเชื่อถือเช่นเดียวกับหุ้นกู้ หรือที่เรียกว่า Credit-Rating และไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะนำเอาหุ้นกู้ของตนเองไปทำ Credit-Rating ค่ะ เพราะมันถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องให้บริษัทจัดอันดับเข้ามาประเมินสถานะบริษัท หรือถ้าบริษัทไหนที่มีสถานะทางการเงินที่มีความเสี่ยงก็จะต้องชดเชยการถูกจัดอันดับนั้นด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อจูงใจนักลงทุนค่ะ ซึ่งการจัดอันดับจะมีทั้งระดับที่ลงทุนได้และระดับที่เสี่ยง หรือแบบ Non-rated BE ซึ่งแบบหลังนี้ก็จะมีกฎตามมาด้วยว่าจะขายให้ได้เฉพาะสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้นค่ะ

และเพราะตั๋ว BE มีอายุสั้น ผลตอบแทนที่ได้รับจากอยู่ในรูปของส่วนลด (Discount) แทนที่จะเป็นดอกเบี้ยอย่างหุ้นกู้ระยะยาว อย่างเช่น ตั๋วแลกเงินมูลค่า 1,000,000 บาท ส่วนลด 10% ระยะเวลา 1 ปี เพราะฉะนั้นผู้ซื้อตั๋วแลกเงินหรือผู้ให้กู้ก็จะให้เงินเพียงแค่ 900,000 บาท โดยมีส่วนลด 100,000 บาท และตอนคืนเงินผู้กู้ก็จะต้องคืนเงินจำนวน 1,000,000 บาทค่ะ

ข้อดีของตั๋วแลกเงินอีกอย่างที่นอกเหนือจากระยะเวลาถือครองสั้นแล้วที่ทำให้ตั๋วแลกเงินเป็นที่นิยม คือการเปลี่ยนมือได้ ผู้ให้กู้อาจขายตั๋วที่ได้รับ ไปให้ผู้อื่น และผู้ที่ซื้อตั๋วหรือผู้ถือตั๋วเงินมีสิทธิรับเงินโดยตรงจากผู้ออกตั๋วหรือผู้จ่ายเงินได้ แต่ถ้าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ คนที่ซื้อตั๋วต่อไปจะไม่สามารถไปตามเอากับคนที่มีชื่ออยู่บนหลังตั๋วหรือคนที่ขายให้ได้

ข้ามมาดูในด้านความเสี่ยงกันบ้าง การลงทุนในตั๋วแลกเงินจะมีความเสี่ยงในด้านการผิดนัดชำระหนี้หรือว่าเกิด Default ก็คือการที่ผู้ออกตั๋วไม่สามารถชำระเงินได้เนื่องจากปัญหาจากตัวธุรกิจเองหรือปัญหาอื่น ๆ หรือความเสี่ยงด้านราคา

ในกรณีที่ผู้ให้กู้อยากขายก่อนครบกำหนด อาจจะทำให้ต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น รวมไปถึงความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่อง เพราะเนื่องจากตลาดรองในการขายตั๋วแลกมีสภาพคล่องไม่มากทำให้ผู้ให้กู้อาจจะไม่สามารถขายได้ในทันทีค่ะ 

นอกจากกรณีของ EA แล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีหลายบริษัทจดทะเบียนที่เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินตามที่เราเห็นได้จากข่าวค่ะ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นอย่างละเอียด และดูไปถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเราด้วยค่ะ

เอกลักษณ์แห่งรัชสมัย ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ความหมายนัยแห่งองค์พระประมุข

‘ตราพระราชลัญจกร’ คือตราประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมื่อเริ่มต้นรัชกาลในแต่ละรัชกาล เพื่อทรงใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานราชการแผ่นดิน 

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลปรากฏหลักฐานว่ามีใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระราชลัญจกรนี้ประกอบด้วยพระเอกลักษณ์อันเป็นนัยของแต่ละพระองค์ เป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงความเป็นพระประมุขของชาติ พระอิสริยยศ พระบรมเดชานุภาพ โดยผมได้เรียบเรียงมานำเสนอ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ ก.ค. ๒๕๖๗ ไล่เรียงจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้…

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นรูปปทุมอุณาโลมมีลักษณะเป็นม้วนกลม คล้ายลักษณะความหมายของพระปรมาภิไธยว่า ‘ด้วง’ จึงได้ใช้อักขระ ‘อุ’ เป็นมงคลแก่พระปรมาภิไธยอยู่กลางล้อมรอบด้วยกลีบบัว อันเป็นพฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใช้ประทับในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ ปรากฏมีใช้ประทับในเงินพดด้วงสําหรับซื้อขาย ชําระหนี้ ผลิตออกใช้คราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. ๒๓๒๘ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๒

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นรูปครุฑยุตนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘ฉิม’ ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือพญาครุฑในเทพนิยาย เทวะกำเนิดเป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่งแต่ยอมเป็นเทพพาหนะสำหรับพระนารายณ์ ปกติสถิตอยู่ ณ วิมานฉิมพลี ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาให้ใช้รูปครุฑยุตนาคเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์แทนพระปรมาภิไธย พระราชลัญจกรนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้ประทับในต้นเอกสารสำคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ นอกจากนั้นยังปรากฏมีใช้ประทับในเงินพดด้วงสำหรับซื้อขาย ชำระหนี้ เช่นเดียวกับในครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๓

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘ทับ’ หมายความว่า ที่อยู่หรือเรือน ดังนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระปรมาภิไธย ทรงใช้ประทับในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ และมีปรากฏใช้ประทับในเงินพดด้วงสําหรับซื้อขาย ชําระหนี้ เช่นเดียวกัน 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๔

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี ลายกลางพระราชลัญจกรเป็นรูป ‘พระมหาพิชัยมงกุฎ’ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘มงกุฎ’ ซึ่งเป็นศิราภรณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้างที่ขอบทั้งสองข้าง มีพานทองสองชั้นวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรมาจากฉายา ที่ทรงผนวชว่า ‘วชิรญาณ’ ส่วนสมุดตำรามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ ปรากฏในเงินพดด้วงและเงินเหรียญกษาปณ์ นอกจากนี้ยังอัญเชิญพระราชลัญจกรไปสลักหรือปั้นนูนเพื่อประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถพระอารามหลวงที่พระองค์ทรงสร้างหรือทรงปฏิสังขรณ์ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๕ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี กลางพระราชลัญจกรมีพระราชสัญลักษณ์สำคัญคือ ‘พระเกี้ยว’ คือพระจุลมงกุฎเปล่งรัศมี ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธย ‘จุฬาลงกรณ์’ ซึ่งแปลความหมายว่า ‘ศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ’ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้าง ที่ริมขอบทั้งสองข้างมีพานแว่นฟ้าวางพระแว่นสุริยกานต์ ข้างหนึ่งวางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์และสมุดตำรานั้นเป็นการเจริญรอยจำลองพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นสมเด็จพระชนกนาถ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ ซึ่ง ‘ไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน’ เช่น ใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในประกาศนียบัตรเหรียญรัตนาภรณ์ของพระองค์ ใช้ประทับในเงินพดด้วงและเหรียญกษาปณ์ ใช้เป็นตราหน้าหมวกทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถพระอารามหลวงที่ได้ทรงสร้างและทรงปฏิสังขรณ์

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๖

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี ประกอบด้วย ‘วชิราวุธ’ มีรัศมีเป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘วชิราวุธ’ ซึ่งหมายความถึง ‘ศัตราวุธของพระอินทร์’ เรียกว่าพระราชกัญจกรพระวชิระประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ตั้งอยู่เหนือตั่ง มีฉัตรกลีบบัวบริวาร ๒ ข้าง ในหลวงรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเครื่องหมายราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ ทั้งยังใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในประกาศนียบัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ ตราวชิรมาลา เหรียญรัตนาภรณ์ของพระองค์ ทรงให้ใช้ปักบนธงเครื่องหมายประจํากองเสือป่า ปักผ้าทิพย์หน้ามุขเด็จพลับพลาที่ประทับในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ทั้งยังเชิญไปประดิษฐานที่หน้าบันโรงเรียนวชิราวุธ อีกด้วย

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๗

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรีเรียกว่า ‘พระราชลัญจกรพระแสงศร’ รูปพาดพระแสงศร ๓ องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรอัคนีวาต พระแสงศรประลัยวาต พระแสงศร ๓ องค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘ประชาธิปกศักดิเดชน์’ ซึ่งมาจากความหมายของศัพท์วรรคสุดท้ายที่ว่า ‘เดชน์’ แปลว่า ‘ลูกศร’ ส่วนเบื้องบนมีรูปพระแสงจักรและพระแสงตรีศูลอยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ มีบังแทรกตั้งอยู่ ๒ ข้าง กับมีลายกนกแทรกอยู่ระหว่างพื้น พระราชลัญจกรนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น สําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๘ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีลักษณะเป็นรูปกลมโดยมีรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ดอกบัว ห้อยพระบาทขวาเหนือบัวบาน หมายถึง ‘แผ่นดิน’ พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูมและมีเรือนแก้วด้านหลังแทนรัศมี มีแท่นรองรับตั้งฉัตรบริวาร ๒ ข้างเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘อานันทมหิดล’ ซึ่งแปลความหมายว่า ‘เป็นที่ยินดีของแผ่นดิน’ พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย โดยความยินดีของประชาชนชาวไทย เปรียบประหนึ่งพระองค์เป็น ‘พระโพธิสัตว์’ เสด็จฯ มาประทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทวยราษฎร์ทั้งมวล พระราชลัญจกรนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๙

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีลักษณะเป็นรูปกลมรีแนวตั้ง ประกอบด้วยรูป ‘พระที่นั่งอัฐทิศ’ ประกอบด้วยวงจักร ตรงกลางจักรมีอักขระเป็น ‘อุ’ หรือ ‘เลข ๙’ รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ฉัตรตั้งอยู่บนพระที่นั่ง อัฐทิศ แปลความหมายว่า ทรงมีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน โดยมีวันพระบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ได้เสด็จประทับเหนือพระที่นั่ง อัฐทิศ สมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษกจากทิศทั้งแปด นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ทรงรับน้ำอภิเษกจากสมาชิกรัฐสภาแทนที่จะทรงรับจากราชบัณฑิต ซึ่งแตกต่างจากรัชกาลก่อน ๆ 
.
พระราชลัญจกรนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตรานี้แก่สถาบันอุดมศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ พร้อมพระราชทานนาม ‘ราชภัฏ’ แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งหมายถึง ‘คนของพระราชา’ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ใช้เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในเครือ ทั้งยังมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นภาพประธานในตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ ในรัชกาลของพระองค์ ได้แก่ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ อีกด้วย

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑๐

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑๐ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันแห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ มีลักษณะเป็นรูปกลมรี โดยประกอบด้วย ‘พระวชิระ’ คือ เทพศาสตราของพระอินทร์ นอกจากนี้ยังแปลว่า ‘สายฟ้าและเพชร’ นอกจากนั้นยังมีแบบตามพระราชนิยมในรัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ โดยด้านบนของพระวชิระมี ‘พระเกี้ยว’ ซึ่งเป็นแบบตามพระราชนิยมในรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวงแทนคำว่า ‘อลงกรณ์’ ซึ่งแปลว่า ‘เครื่องประดับ’ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย ‘มหาวชิราลงกรณ’ เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า พร้อมด้วยฉัตรบริวารอยู่ทั้ง ๒ ข้าง 

พระราชลัญจกรนอกจากเนื้อหาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้นยังเป็นเครื่องมงคลที่แสดงถึงพระราชอิสริยยศอีกด้วย ดังที่ปรากฏอยู่ในหมวดพระราชสิริซึ่งประกอบด้วย พระสุพรรณบัตร ดวงพระราชสมภพและ พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ซึ่งจะต้องเชิญขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พร้อมกับเครื่องมงคลอื่น ๆ ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของพระราชลัญจกรประจำรัชกาลต่าง ๆ ในมหาจักรีบรมราชวงศ์

‘ญี่ปุ่น’ แม้เจริญสุดขีด แต่ก็ประสบปัญหา ‘คนไร้บ้าน’ เรื้อรัง หลังพวกเขาพ่ายแพ้ต่อเศรษฐกิจแปรปรวน กลายเป็นคนว่างงาน

ปัญหาคนไร้บ้านนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะบ้านเรา แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแทบทุก ๆ ประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ ‘ญี่ปุ่น’ ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในทวีปเอเชีย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวญี่ปุ่นหลายคนกลายเป็นคนไร้บ้าน เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกทิ้งระเบิดและพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงทศวรรษ 1960 จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกกันว่า ‘ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น’ ทำให้จำนวนคนไร้บ้านลดลงอย่างรวดเร็ว แต่กลับมาเพิ่มจำนวนอย่างเห็นได้ชัดในสังคมญี่ปุ่นอีกครั้ง จากการล่มสลายของฟองสบู่ราคาทรัพย์สินของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990 และส่งผลให้เกิด ‘ทศวรรษที่หายไป’ จากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะไร้ที่อยู่อาศัย จำนวนคนไร้บ้านสูงมากจนถึงจุดสูงสุด

ปัญหาคนไร้บ้านในญี่ปุ่นเป็นปัญหาทางสังคมที่มักเกิดขึ้นกับชายวัยกลางคนและผู้สูงอายุเป็นหลัก เชื่อกันว่า ในทศวรรษที่ 1990 อันเป็นผลมาจากการแตกของฟองสบู่ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ของญี่ปุ่นลดลงเป็นอันมากนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตาม ‘พระราชบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนการพึ่งตนเองของคนไร้บ้าน’ ให้นิยามของคำว่า ‘คนจรจัดหรือคนไร้บ้าน’ หมายถึง ‘ผู้ที่ใช้สวนสาธารณะในเมือง ริมฝั่งแม่น้ำ ถนน สถานีรถไฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา’

ทั้งนี้ ลักษณะเฉพาะบางประการของคนไร้บ้านชาวญี่ปุ่นนั้น มีสาเหตุมาจากโครงสร้างทางสังคมของสังคมญี่ปุ่น ในอดีตซึ่งฝ่ายชายเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว บรรดาบริษัทญี่ปุ่นต่างเชื่อกันว่า ชายที่แต่งงานแล้วจะทำงานได้ดีกว่าชายโสดที่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะชายที่แต่งงานแล้วจะรู้สึกว่า มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อครอบครัวมากกว่า ดังนั้นไม่เพียงแต่ชายสูงอายุเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภาวะสูงอายุและไม่สามารถหางานทำได้ แต่ชายโสดที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ก็มีปัญหาในการหางานเช่นกัน ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดจำนวนชายที่ยากจนโดยเฉลี่ย แต่กลับมีความแปรปรวนมากกว่า โดยมีทั้งจำนวนชายที่ร่ำรวยและยากจนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้มีชายไร้บ้านจำนวนมากกว่าหญิงไร้บ้านในญี่ปุ่น นอกจากนี้แล้ว ครอบครัวญี่ปุ่นมักจะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือสมาชิกที่เป็นหญิงมากกว่าชาย

ในปี 1997 เทศบาลกรุงโตเกียวยอมรับการมีอยู่ของตัวแทนกลุ่มคนไร้บ้าน และเริ่มรับฟังปัญหาของพวกเขา ในปี 1998 ทางการระบุว่า มีคนไร้บ้านในกรุงโตเกียวเพียงแห่งเดียวประมาณ 3,700 คน แต่กลุ่มที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านประเมินไว้ว่า มีคนไร้บ้านราว 5,000 คน ในกรุงโตเกียว และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ในญี่ปุ่นมีการจ้างงานนอกเวลาและการจ้างงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีกว่า 20 ล้านตำแหน่งงาน ค่าจ้างนอกเวลาและการจ้างงานชั่วคราวมักจะเท่ากับค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในปี 1986 และ 1999 โดยการเช่าที่พักในญี่ปุ่นมักจะต้องวางเงินมัดจำและค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน แฟลตแบบหนึ่งห้องนอนในกรุงโตเกียว ค่าเช่ารายเดือนมากกว่า 50,000 เยน (ราว 11,488 บาท) ทำให้ผู้ที่ไม่มีงานประจำเข้าถึงได้ยากมากขึ้น ปัญหาคนไร้บ้านจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ตามข้อมูลของกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นระบุว่า มีคนไร้บ้านในญี่ปุ่นไม่ถึง 1 หมื่นคน โดยจำนวนคนไร้บ้านมากที่สุดอยู่ในเขตมหานครโตเกียว ราว 2,700 คน รองลงเป็นอันดับสองคือ นครโอซาก้า ราว 2,500 คน และอันดับสามคือจังหวัดคานากาว่า ราว 1,814 คน ในเดือนสิงหาคม 2002 ได้มีการประกาศใช้ ‘พระราชบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนการพึ่งตนเองของคนไร้บ้าน’ คนไร้บ้านในญี่ปุ่นจึงเริ่มได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากทางการ รวมทั้งมีการสำรวจคนไร้บ้านทั่วประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 และมีการสำรวจอีกครั้งในเดือนเมษายน 2007 ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่ไม่มีรายได้ เงินออม หรือทรัพย์สินเพียงพอต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐานสามารถรับความคุ้มครองเพื่อการดำรงชีพได้ หญิงที่หลบหนีจากความรุนแรงในครอบครัวหรือจากอดีตคู่รักที่ต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ในอดีตอีกครั้งสามารถรับการสนับสนุนจากสถาบันดูแลสตรี ศูนย์หลบภัย และสถานสงเคราะห์ได้ ในกรณีของผู้เยาว์ มีการจัดรูปแบบความช่วยเหลือ เช่น สถาบันสวัสดิภาพเด็ก 

โดยที่ญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่อง ในปี 2011 เป็นต้นมา จึงมีการเปิดกิจการร้านไซเบอร์คาเฟ่ (หรือโรงแรมแคปซูล) โดยคนไร้บ้านสามารถเข้าพักได้ ไซเบอร์คาเฟ่ ให้บริการห้องพักซึ่งมีพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ และห้องอาบน้ำ พร้อม โทรทัศน์ น้ำอัดลม และอินเทอร์เน็ต ในราคา 1,500 ถึง 2,000 เยน (ราว 344 ถึง 460 บาท) ต่อคืน ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา มีการประเมินกันว่า ในกรุวโตเกียวเพียงเมืองเดียวมีชาวญี่ปุ่นอย่างน้อย 15,000 คน อาศัยอยู่ในร้านไซเบอร์คาเฟ่ ซึ่งมากกว่าจำนวนคนไร้บ้านอย่างเป็นทางการถึง 5 เท่า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นจะมีอัตราการไร้ที่อยู่อย่างเป็นทางการต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แต่สัดส่วนของคนญี่ปุ่นที่ยากจนในญี่ปุ่นนั้นกลับสูงกว่าในสหรัฐฯ แม้ว่าบางคนจะกลายเป็นคนไร้บ้าน แต่หลายคนในจำนวนนี้รเลือกอาศัยอยู่ในไซเบอร์คาเฟ่ อันเนื่องมาจากแรงกดดันทางสังคม พวกเขาชอบที่จะรักษาเรื่องราวส่วนตัวของตนไว้เป็นความลับ และสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและประชาชนชาวญี่ปุ่นทั่วไปต่างก็ต้องการให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นไปเช่นนั้นด้วย

การควบรวมของ 'สองบริษัท-มากกว่า' เพื่อสร้างบริษัทใหม่ 'ทรัพย์สิน-หนี้สิน-สิทธิทั้งหมด' จะถูกควบรวมเข้าด้วยกัน

ถ้าใครได้ตามข่าวในแวดวงการลงทุนล่าสุด ก็คงจะเห็นข่าวใหญ่ของปีอย่างกรณีการควบรวมกิจการยักษ์ใหญ่อย่าง GULF ที่ควบรวมเข้ากับ INTUCH และก่อตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) ขึ้นมาค่ะ และขณะเดียวกันก็คงจะเริ่มผ่านตากับคำว่า Amalgamation อยู่หลายครั้งด้วย

สำหรับ Amalgamation คือ การควบรวมหรือการผนวกสองบริษัท หรือ มากกว่าเข้าด้วยกัน เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาค่ะ โดยบริษัทที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวนี้จะมีทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิทั้งหมดเเละความรับผิดชอบของบริษัทที่ถูกควบรวมเข้าด้วยกัน 

ส่วนบริษัทที่ถูกควบรวมนั้น จะหมดสภาพการเป็นนิติบุคคลค่ะ อย่างเช่น บริษัท ก. รวมกับบริษัท ข. และมาตั้งเป็นบริษัท ค. (ก.+ข.= ค.) ค่ะ โดย Amalgamation มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ...

1. Amalgamation แบบ Merger: การควบรวมบริษัทแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อสองบริษัทหรือมากกว่า รวมตัวกัน โดยทั้งสองบริษัทที่ถูกผนวกจะหยุดการดำเนินการ และเกิดบริษัทใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งมีการโอนสินทรัพย์ และหนี้สินทั้งหมดไปยังบริษัทใหม่ และ

2. Amalgamation แบบ Purchase: การควบรวมแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อบริษัทหนึ่ง (บริษัทผู้ซื้อ) ซื้อสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทอื่น (บริษัทผู้ขาย) โดยบริษัทผู้ขายจะหยุดการดำเนินการ และบริษัทผู้ซื้อจะยังคงดำเนินการต่อไป

โดยประโยชน์ของการทำ Amalgamation จะแบ่งได้เป็น...

1) Economies of Scale โดยการควบควมกิจการจะช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เนื่องจากขนาดการผลิตที่ใหญ่ขึ้น 

2) Increased Market Shares โดยบริษัทใหม่นี้จะมีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น อีกทั้งถ้าแต่ละบริษัทมีความชำนาญที่แตกต่างกันออกไปก็อาจจะเกิดการประสานงานหรือที่เราเรียกว่า Synergy ทำให้การทำธุรกิจโตแบบก้าวกระโดดได้ 

และ 3) เกิด Diversification เพราะการควบรวมนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการขยายสินค้าหรือบริการไปยังตลาดใหม่ ๆ ได้ค่ะ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะคะ เพราะการควบรวมกิจการ ก็ย่อมหมายถึงบางตำแหน่งงานที่มีความทับซ้อนกันต้องหายไป ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานในตำแหน่งนั้น ๆ และการกำกับดูแลของภาครัฐที่เข้ามามีส่วน ก็อาจจะมากขึ้นตามขนาดของบริษัทที่ใหญ่ขึ้นด้วยค่ะ เช่น อาจจะมีการนำเอากฎหมายการทางค้ามาใช้เพื่อป้องกันการผูกขาด และอาจจะไปกระทบการทำธุรกิจของบริษัทได้ค่ะ 

นอกจากกรณีของ GULF กับ INTUCH แล้ว ในอดีตที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทที่ทำ Amalgamation ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2006 ที่ Walt Disney ควบรวมเข้ากับ Pixar Animation Studios ซึ่งการควบรวมนี้ทำให้ Disney สามารถเพิ่มศักยภาพในการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันได้มากขึ้น 

หรือจะเป็นการทำ Amalgamation ครั้งที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่บริษัทโทรคมนาคมจากสหราชอาณาจักรอย่าง Vodafone ที่ควบรวมกับบริษัทโทรคมนาคมในเยอรมนีอย่าง Mannesmann ในปี 2000 ซึ่งการควบรวมนี้มีมูลค่าสูงถึง 183 พันล้านดอลลาร์เเละทำให้ Vodafone กลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ 

หรือจะเป็นตอนที่สองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Exxon เเละบริษัท Mobil ควบรวมเข้าด้วยกันในปี 1999 ซึ่งทำให้บริษัท Exxonmobil กลายเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น

ส่วนก่อนหน้านี้ ในไทยเองก็จะเป็นกรณีที่บริษัทโทรคมนาคมอย่าง TRUE ควบรวมกิจการเข้ากับ DTAC ค่ะ

ยลโฉมกระบวนพยุหยาตราและเรือพระที่นั่งประจำรัชกาล ลำใดสร้างขึ้นเมื่อไร ลำที่เท่าใด ลำใดปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว

ในช่วงนี้เราคงได้ชมภาพการอัญเชิญเรือพระที่นั่งลงน้ำเพื่อเตรียมการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ที่กำหนดการจัดให้มีขึ้นในวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ นี้ ซึ่งทุก ๆ ท่านคงจะได้รู้จักเรือพระที่นั่งสำคัญ อย่าง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ กันอยู่แล้ว แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าเรือพระที่นั่งลำใดสร้างขึ้นในรัชกาลใดและเป็นลำที่เท่าไหร่ และเรือพระที่นั่งลำใดที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว 

ส่วนตัวผมได้เคยเป็นผู้จัดการแข่งขัน ‘เรือยาวขุด’ ประเพณีชิงถ้วยพระราชทานเมื่อหลายปีก่อน ซึ่ง ‘เรือขุด’ คือเรือยาวที่นำเอาต้นไม้ทั้งต้นมาขุด และผ่านกรรมวิธีเฉพาะแบบโบราณจนได้เรือยาวที่พร้อมลงน้ำในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นเรือชนิดใด ถ้าเป็นเรือที่ใช้เพื่อการสำคัญก็ล้วนแล้วแต่ใช้วิธีการสร้างแบบนี้ ซึ่ง ‘เรือขุด’ ที่ถือได้ว่างดงามและสำคัญที่สุดก็คือ ‘เรือพระที่นั่ง’ ในกระบวนเรือพระราชพิธี ซึ่งในครั้งนั้นผมได้รวมรวมเนื้อหาเพื่อนำเสนอในนิทรรศการ ‘มหกรรมเรือยาวขุดประเพณี’ ซึ่ง ‘เรือพระที่นั่ง’ ลำต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเรือขุดโบราณที่ถือได้ว่าเป็นมรดกสำคัญของชาติ ในครั้งนี้ผมจึงขอนำเอาเรื่องของเรือพระที่นั่งและกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคของแต่ละรัชกาล ที่เรียบเรียงในครั้งนั้นมานำเสนอให้ทุกท่านได้ติดตามกัน ดังนี้...

รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระนครหลวงจากกรุงธนบุรี มาฝั่งกรุงเทพมหานคร บริเวณทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตามที่บันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์เป็นกระบวนหลวงซึ่งเป็นกระบวนพยุหยาตราอย่างโบราณในการอัญเชิญพระแก้วมรกตแห่ข้ามฟากมาประดิษฐานเหนือบุษบกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๗ ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่งที่โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นใหม่ คือ เรือพระที่นั่งบัลลังก์แก้วจักรพรรดิ เรือพระที่นั่งสวัสดิชิงชัย เรือพระที่นั่งบัลลังก์บุษบกพิศาล เรือพระที่นั่งพิมานเมืองอินทร์ เรือพระที่นั่งบัลลังก์ทินกรส่องศรี เรือพระที่นั่งสำเภาทองท้ายรถ เรือพระที่นั่งมณีจักรพรรดิ เรือพระที่นั่งศรีสมรรถไชย เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ ทั้งยังซ่อมแซมเรือพระที่นั่งลำอื่น ๆ พร้อมด้วยเรือประกอบกระบวนอื่น ๆ เพื่อให้กระบวนเป็นไปอย่างพร้อมสมบูรณ์ 

รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แต่งเรือในกระบวนเรือพยุหยาตราชลมารค อย่างยิ่งใหญ่ในการเสด็จฯ ไปถวายผ้าพระกฐิน ปรากฏหลักฐานว่าทรงสร้างเรือพระที่นั่งเพียงลำเดียว แล้วพระราชทานนามว่า ‘เรือพระที่นั่งประจำทวีป’ โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่สำคัญก็คือการอัญเชิญ ‘พระแก้วขาว’ หรือ ‘พระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมลมณีมัย’ พระแก้วประจำรัชกาลที่ ๒ จากวัดเขียน นนทบุรี เข้ามาประดิษฐานบนพระแท่นทอง ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงใช้ ‘เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย’ เป็นเรือพระที่นั่งประจำพระองค์ เรือลำนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เพื่อทดแทนเรือพระราชพิธีลำเดิมที่ถูกทำลายไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จัดเป็นเรือประเภทเรือพระที่นั่งเอกชัย หรือเรือชัย ‘เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย’ เป็นชื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชทาน เป็นเฉพาะของพระองค์ โดยแรกเริ่มนั้นใช้เป็นเรือพระที่นั่งนำเสด็จฯ ก่อนเรือพระที่นั่งทรง ซึ่งน่าจะเป็น ‘เรือพระที่นั่งชัยสุวรรณหงส์’ ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ใน ‘ลิลิตกระบวนพยุหยาตราเพชรพวง’ ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก่อนที่จะเปลี่ยนเรือพระที่นั่งตามที่ ‘ลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทางสถลมารคและทางชลมารค’ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้บันทึกไว้ว่า เรือพระที่นั่งทรงของพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีพระราชทานผ้าพระกฐินทางชลมารค ได้ทรงเปลี่ยนเป็น ‘เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย’ โดยเรือลำนี้เป็นเรือที่มิได้มีการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมให้กลับมาใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคแต่อย่างใด ปัจจุบันยังเรือพระที่นั่งลำนี้ยังเก็บรักษาทั้งลำสภาพชำรุดไว้ที่โรงเก็บเรือแผนกเรือราชพิธี กองเรือเล็กกรมการขนส่งทางเรือ กองทัพเรือ 

รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันศุกร์ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการเสด็จฯ เลียบพระนครทางชลมารค ในวันพุธที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ซึ่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเต็มตามตำรา โดยพระองค์เป็นพระองค์ที่ ๒ ที่เสด็จฯ ตามกระบวนนี้ โดยเรือพระที่นั่งสำคัญในรัชสมัยของพรองค์ก็คือ ‘เรือพระที่นั่งศรีประภัสสรชัย’ ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเช่นเดียวกับเรือพระที่นั่งชลพิมานชัย ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) กล่าวว่า ‘เรือพระที่นั่งศรีประภัสสรชัย’ เป็นเรือพระที่นั่งทรงของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จเลียบพระนครทางชลมารคหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ต่อภายหลังพระองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนมาใช้ ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ เป็นเรือพระที่นั่งทรงแทน ‘เรือพระที่นั่งศรีประภัสสรชัย’ ซึ่งเป็นเรือพระที่นั่ง ๑ ใน ๒ ลำที่มิได้มีการสร้างขึ้นใหม่หรือซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้เป็นเรือพระที่นั่งแต่อย่างใด ปัจจุบันสามารถไปชมโขนของเรือพระที่นั่งลำนี้ได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี

รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการจัดกระบวนพยุหยาตราเลียบพระนครทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๖ ดังปรากฏหลักฐานใน ‘จดหมายเหตุบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๕ ครั้งหลังพุทธศักราช ๒๔๑๖’ แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดกระบวนเรือมากนัก พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่งลำนี้ จัดเป็นเรือพระที่นั่งศรี ในลำดับชั้นรอง เดิมนั้นสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการลำลอง แต่ต่อมาได้นำเข้าสู่กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคโดยเรียกว่า ‘เรือพระที่นั่งรอง’ ซึ่ง ‘เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ เป็นเรือพระที่นั่งลำเดียวที่สร้างเสร็จสิ้นในรัชกาลที่ ๕ เพราะนอกจาก ‘ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ ในช่วงปลายรัชกาลยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ ทดแทน ‘เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์’ ลำเดิมที่สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แต่มิทันเสร็จก็ทรงสวรรคตเสียก่อน 

รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จฯ โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคจากท่าราชวรดิฐไปยังวัดอรุณราชวรารามโดยเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๕๔ โดยปรากฏอยู่ใน ‘จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ซึ่ง ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ นั้นแล้วเสร็จในรัชสมัยของพระองค์คือปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ พอดี ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ แทนเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชลำแรกที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แต่มาเริ่มใช้ในกระบวนพยุหยาตราชลมารคในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ชำรุดทรุดโทรม ซึ่งกระบวนเรือได้ใช้ ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ รัชกาลที่ ๖ มาจนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๔เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ 

รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จประปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงวางหลักเกณฑ์การจัดระเบียบกระบวนเรือสำหรับเสด็จฯ ทางชลมารคขึ้นใหม่ดังนี้...

กระบวนพยุหยาตราใหญ่ เดิมใช้ว่า ‘กระบวนพยุหยาตราอย่างใหญ่’ ใช้ในโอกาสพระราชทานพระกฐิน หรือในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางชลมารค จัดเป็น ๔ สาย มีเรือนำกระบวนเป็นเรือพิฆาต เรือดั้ง เรือรูป สัตว์ เรือเอกไชย ๒๑ คู่ เรือพระที่นั่ง ๓ องค์ และเรือตามกระบวน ๔ คู่ รวม ๔๙ ลำ

กระบวนพยุหยาตราน้อย เดิมใช้ว่า ‘กระบวนพยุหยาตราอย่างน้อย’ โดยปรกติจัดในการพระราชทานพระกฐินทางชลมารค จัดเป็น ๒ สาย มีเรือนำกระบวน ๑๖ คู่ เรือพระที่นั่ง ๒ องค์ และเรือตามกระบวน ๔ คู่ รวม ๔๓ ลำ 

กระบวนราบใหญ่ทางชลมารค ๔) กระบวนราบน้อยทางชลมารค และ ๕) กระบวนราบย่อทางชลมารค

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นชอบ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถือเป็นระเบียบปฏิบัติได้ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นต้นมา โดยพระองค์เสด็จฯ เลียบพระนครทางด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (เป็นกระบวนพยุหยาตราใหญ่) ครั้งแรก เนื่องใน ‘พระราชพิธีบรมราชาภิเษก’ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ โดยเสด็จฯ จากท่าราชวรดิฐด้วย ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ ไปยังวัดอรุณราชวราราม เมื่อเรือพระที่นั่งเทียบท่าวัดอรุณฯ มีเรืออเนกชาติภุชงค์ทอดบัลลังก์กัญญาเป็นเรือพลับพลา จากนั้นเสด็จฯ ไปทรงนมัสการพระประธานในพระอุโบสถ ถวายผ้าทรงสะพัก ทรงสักการะพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ก่อนจะเสด็จฯ คืนพระบรมมหาราชวัง โดยเสด็จฯ ลงประทับในเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ด้วยกระบวนหยุหยาตราทางชลมารคเช่นเดิม อันเป็นการเสร็จสิ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยสมบูรณ์ ส่วนครั้งที่ ๒ นั้น เสด็จฯ ด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) ในพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปี เมื่อ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ 

รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มิได้มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค มิได้มีการสร้างเรือพระที่นั่งลำใหม่ขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งอู่เรือพระที่นั่งปากคลองบางกอกน้อยเดิมถูกลูกระเบิดถล่มจนเรือเสียหายไปหลายลำ ในช่วงนี้จึงเน้นหนักในการซ่อมแซมเรือและป้องกันมิให้เรือพระที่นั่งถูกทำลายเสียหาย หลังจากนั้นได้มีการโอนเรือพระราชพิธี ๓๖ ลำ ให้กรมศิลปากรดูแล และนำไปเก็บรักษาไว้ที่อู่เรือพระราชพิธีปากคลองบางกอกน้อยซึ่งห่างออกมาจากที่เดิม และส่วนที่เหลืออีกราว ๓๒ ลำ เป็นพวกเรือตำรวจ เรือดั้ง เรือแซง กองทัพเรือเก็บรักษาไว้ดังเดิม 

รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังจากพระราชพิธีในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปี ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคอีกเลยจนมาถึงรัชกาลที่ ๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นปีที่ทางราชการได้จัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษขึ้น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูประเพณีเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้นอีกครั้ง หลังจากว่างเว้นมานานถึง ๕๐ ปี 

ซึ่งครั้งเรียกว่า ‘กระบวนพุทธพยุหยาตรา’ ซึ่งจัดรูปกระบวนเรือคล้ายรูปกระบวนพยุหยาตราน้อย แต่ไม่ครบเนื่องจากเรือพระราชพิธีชำรุดเสียหายไปบางส่วน หลังจากนั้นก็ได้มีพระราชพิธีเสด็จฯ ด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคมาอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งที่สำคัญและเป็นที่น่าจดจำ ก็คือการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เพื่อเฉลิมฉลองในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ซึ่งทรงครองราชย์นานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในอดีต เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม ในครั้งนี้ได้มีเรือพระพระที่นั่งลำใหม่ คือ ‘เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙’ 

ซึ่งกองทัพเรือและกรมศิลปากรร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย โดยได้นำโขนหรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ มาเป็นแม่แบบ ในรัชกาลที่ ๙ นี้ มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ครั้ง และจัดกระบวนเรือพระราชพิธี จำนวน ๒ ครั้ง สำหรับกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในรัชกาลที่ ๙ ส่วนใหญ่จะเป็นการเสด็จฯ ไปทอดผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ส่วนการจัดกระบวนเรือพระราชพิธี ๒ ครั้ง ได้แก่ การจัดกระบวนเรือพระราชพิธี เนื่องในการประชุมเอเปก ๒๐๐๓ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ และอีกครั้งคือการจัดกระบวนเรือในโอกาสที่ สมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินี และ ผู้แทนพระประมุขต่างประเทศ ร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยการจัดกระบวนเรือพระราชพิธี ๒ ครั้งนี้เป็นเพียงการสาธิตการแห่กระบวนเรือซึ่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มิได้เสด็จฯ ในกระบวนเรือด้วย

รัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นพิธีเบื้องปลาย ขึ้นในวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ (เลื่อนจาก ๒๔ ตุลาคม ปีเดียวกันเนื่องจากกระแสนำของแม่น้ำเจ้าพระยา) เป็นการจัดรูปกระบวนพยุหยาตราชลมารค (ใหญ่) จากท่าวาสุกรี พระราชวังดุสิต ไปยังท่าราชวรดิฐ พระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วยเรือพระราชพิธีจํานวน ๕๒ ลํา กําลังพลฝีพาย จํานวน ๒,๒๐๐ นาย แบ่งออกเป็น ๕ ริ้ว ๓ สาย ดังนี้...

ริ้วสายกลาง ซึ่งเป็นเรือสายสำคัญประกอบด้วยเรือพระที่นั่ง ๔ ลำมีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ พร้อมด้วยประกอบอื่น ๆ 

ริ้วสายใน ขนาบข้างสายเรือพระที่นั่ง มีเรือทองขวานฟ้า เรือทองบ้าบิ่น เรือเสือทยานชล เรือเสือคำรณสินธุ์ เป็นเรือพิฆาตเรือรูปสัตว์ ๘ ลำ มีเรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทอง เป็นเรือคู่ชัก 

ริ้วสายนอก ประกอบด้วยเรือดั้ง และเรือแซง สายละ ๑๔ ลำ 

เรือพระราชพิธีทุกลําขุดขึ้นจากไม้ มีอายุยาวนาน โดยเฉพาะเรือพระที่นั่ง ทั้ง ๓ ลํา คือ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ สร้างในรัชกาลที่ ๕ มีอายุกว่า ๑๐๒ ปี เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ สร้างในรัชกาลที่ ๕ แล้วเสร็จสิ้นในรัชกาลที่ ๖ มีอายุ ๑๐๘ ปี เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช สร้างในรัชกาลที่ ๖ มีอายุ ๙๕ ปี ส่วนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ มีอายุ ๒๓ ปี ส่วนเรืออื่น ๆ ในขบวน โดยเฉพาะเรือรูปสัตว์แต่ละลํา มีอายุการสร้างนับร้อยปี เรือทุกลำที่ประกอบกันในริ้วกระบวนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาติไทยที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่สำคัญคือ ‘เรือขุด’ จากภูมิปัญญาแห่งอุษาคเนย์ที่มีค่าประเมินมิได้ 

เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้นอีกครั้ง วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ นี้ โดยมีเรือในกระบวนเรือพระราชพิธีจำนวน ๕๒ ลำ จัดเป็น ๕ ริ้ว ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่มีขบวนพยุหยาตราทางชลมารคลำดับที่สองในรัชสมัย

‘Secret Service’ ผู้พิทักษ์ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา  ความอุ่นใจของ 'อดีตปธน.' ที่จะได้รับการอารักขาไปตลอดชีวิต

The United States Secret Service (USSS or Secret Service) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางภายใต้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (The Department of Homeland Security) ซึ่งมีภารกิจในการสอบสวนทางอาญาและปกป้องผู้นำของสหรัฐฯ และครอบครัว ตลอดจนประมุขแห่งรัฐหรือผู้นำรัฐบาลที่มาเยือนสหรัฐฯ 

ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2408 จนถึงปี พ.ศ. 2546 Secret Service เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง (The Department of the Treasury) สืบเนื่องจากหน่วยงานก่อตั้งเพื่อต่อสู้กับการปลอมแปลงเงินสหรัฐฯ ที่แพร่หลายในขณะนั้น (พ.ศ. 2408 หรือค.ศ. 1865)

The United States Secret Service จัดตั้งตามความเห็นชอบของรัฐสภาแห่งสหรัฐฯ เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านความมั่นคงแห่งชาติที่แตกต่างกันสองภารกิจ ได้แก่ 1. การปกป้องผู้นำของประเทศ และ 2. การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา 

ในระยะแรก ๆ มีหน้าที่สอบสวนกรณีเกี่ยวกับเงินปลอม หรืออาชญากรรมอื่น ๆ จากรายงานการหมุนเวียนของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสมัยนั้น ปรากฏว่า ปริมาณเงินที่หมุนเวียนหนึ่งในสามเป็นเงินปลอม 

ด้าย Abraham Lincoln ประธานาธิบดีในขณะนั้นได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นเพื่อศึกษาและให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา The United States Secret Service จึงถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2408 ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อปราบปรามเงินดอลลาร์ปลอม

โดย William P. Wood หัวหน้าหน่วยคนแรก ได้ทำการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งต่อ Hugh McCulloch รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เข้ารับตำแหน่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในฐานะ ‘Secret Service Division’ ของกระทรวงการคลัง โดยมีภารกิจหลักในการปราบปรามการปลอมแปลงเงินดอลลาร์ปลอม

แต่ต่อมาหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกลอบสังหารขณะอยู่ในตำแหน่งไปแล้ว 3 คน คือ  Abraham Lincoln (14 เมษายน พ.ศ. 2408 หรือค.ศ. 1865) , James A. Garfield (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2424 หรือค.ศ. 1881) และ William McKinley (6 กันยายน พ.ศ. 2444 หรือค.ศ. 1901) และคนที่ 4 คือ John F. Kennedy (22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 หรือค.ศ. 1963)
หลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดี William McKinley ในปี พ.ศ. 2444 รัฐสภาแห่งสหรัฐฯ จึงได้มอบภารกิจในการปกป้องประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ให้กับ The United States Secret Service รับผิดชอบจนทุกวันนี้

ปัจจุบันภารกิจของ The United States Secret Service ประกอบด้วย… 

1. ภารกิจในการคุ้มกันอารักขา Secret Service ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี ของสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดี ว่าที่รองประธานาธิบดี ที่ได้รับเลือกของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนครอบครัวใกล้ชิดของพวกเขา อดีตประธานาธิบดี คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 16 ปี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนสำคัญและคู่สมรส และการเยี่ยมเยือนของประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลต่างประเทศ 

ตามธรรมเนียมแล้ว ยังให้การคุ้มครองแก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ ตามคำสั่งของประธานาธิบดี (โดยปกติคือ หัวหน้าเสนาธิการประจำประธานาธิบดี และที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น) ตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ต้องไม่ปฏิเสธการคุ้มกันนี้  

นอกจากนี้ Secret Service ยังต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทางกายภาพสำหรับทำเนียบขาว อาคารกระทรวงการคลังที่อยู่ใกล้เคียง บ้านพักรองประธานาธิบดี บ้านพักส่วนตัวหลักของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และอดีตประธานาธิบดี รวมถึงเจ้าหน้าที่การทูตต่างประเทศทั้งหมดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีภารกิจสนับสนุนการคุ้มกันอารักขา อาทิ การปฏิบัติการเพื่อประสานงานกำลังคนและการขนส่งกับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐและท้องถิ่น ความก้าวหน้าในการป้องกันเพื่อดำเนินการประเมินสถานที่สำหรับผู้ได้รับการคุ้มกันอารักขา Secret Service เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการวางแผน การประสานงาน และการดำเนินการด้านความปลอดภัยสำหรับกิจกรรมที่กำหนดให้เป็นเหตุการณ์ความมั่นคงพิเศษแห่งชาติ (NSSE) ตามภารกิจของหน่วยในการป้องกันเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดขึ้น หน่วยงานอาศัยการทำงานล่วงหน้าอย่างพิถีพิถันและการประเมินภัยคุกคามที่พัฒนาโดยแผนกข่าวกรอง เพื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ซึ่งได้รับการคุ้มกันอารักขา

2. ภารกิจสืบสวนสอบสวน Secret Service ยังมีภารกิจในการปกป้องระบบการชำระเงินและการเงินของสหรัฐอเมริกาจากอาชญากรรมทางการเงินและทางไซเบอร์ที่หลากหลาย การตรวจสอบทางการเงินรวมถึงการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ การฉ้อโกงธนาคารและสถาบันการเงิน การฉ้อโกงทางไปรษณีย์ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์ การดำเนินการด้านการเงินที่ผิดกฎหมาย และการสมคบคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสืบสวนทางไซเบอร์รวมถึงอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต การบุกรุกเครือข่าย การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การฉ้อโกงอุปกรณ์การเข้าถึง การฉ้อโกงบัตรเครดิต และอาชญากรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา 

Secret Service เป็นสมาชิกของกองกำลังเฉพาะกิจก่อการร้ายร่วมของ FBI (JTTF) ซึ่งสืบสวนและต่อสู้กับการก่อการร้ายทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ Secret Service ยังสืบสวนหาเด็กที่หายตัวไปและถูกทารุณ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ National Center for Missing & Exploited Children (NCMEC)

ความรับผิดชอบเบื้องต้นตามภารกิจสืบสวนของ Secret Service คือ การสืบสวนการปลอมแปลงสกุลเงินของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา หน่วยงานดังกล่าวต่อมาจึงกลายเป็นหน่วยข่าวกรองในประเทศแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา 

ภารกิจเดิมของหน่วยงานหลายอย่างถูกถ่ายโอนไปยังหน่วยงานที่จัดตั้งในภายหลังต่อมา เช่น สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI), สำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA), สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA), สำนักงาน แอลกอฮอล์, ยาสูบ, อาวุธปืน และวัตถุระเบิด (ATF) และหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกรมสรรพากร (IRS-CI)

3. ภารกิจอื่น ๆ Secret Service รวมความรับผิดชอบทั้งสองเป็นสองวัตถุประสงค์ที่ไม่ซ้ำกันภารกิจหลักสองประการในการปกป้องและการสืบสวนประสานกับภารกิจอื่น โดยให้ประโยชน์ที่สำคัญแก่เจ้าหน้าที่พิเศษในระหว่างการทำงาน ทักษะที่พัฒนาขึ้นในระหว่างการสืบสวนซึ่งยังใช้ในหน้าที่ปกป้องเจ้าหน้าที่พิเศษแต่ไม่จำกัดเพียงแต่…

- ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักงานภาคสนามและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในแต่ละท้องถิ่นระหว่างการสืบสวนสอบสวน ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขาและประสานงานเพื่อการคุ้มกันอารักขา

- ทักษะในการปฏิบัติการทางยุทธวิธี (เช่น การสอดส่อง การจับกุม และตรวจค้น) และทักษะการเขียนของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (เช่น คำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร หลังรายงานการดำเนินการ และแผนปฏิบัติการ) ถูกนำไปใช้กับทั้งหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนและภารกิจการคุ้มกันอารักขา

- ความชำนาญในการวิเคราะห์เทคนิคการเขียนด้วยลายมือ หรือลายเซ็น และการปลอมแปลง จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และภัยคุกคามจากบรรจุภัณฑ์ที่ต้องสงสัย เพื่อใช้ในการตรวจสอบสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา

- ความเชี่ยวชาญในการสืบสวนอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และการเงิน ถูกนำมาใช้ในการสืบสวนสำหรับภารกิจการคุ้มกันอารักขา และภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นกับผู้นำของประเทศ

โดยงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service มีการแข่งขันที่สูงมาก ๆ ในปี พ.ศ. 2554 มีผู้สมัครในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษ ผ่านการคัดเลือกของ Secret Service น้อยกว่า 1% จากจำนวนผู้สมัคร 15,600 คน 

ผู้สมัครเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service จะต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา มีใบขับขี่ มีสุขภาพและสภาพร่างกายที่ดีเยี่ยม สายตาผิดปกติไม่เกิน 20/100 และจะต้องมีระหว่างอายุ 21-37 ในขณะนั้น เว้นแต่ทหารผ่านศึกที่มีสิทธิ์ยื่นสมัครเมื่ออายุเกิน 37 ปี ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติที่ได้รับการตรวจสอบ TS/SCI (ข้อมูลที่มีความลับสุดยอด / ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน) และได้รับการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด รวมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก การคัดกรองสารเสพติด และการวินิจฉัยทางการแพทย์

ผู้ที่ผ่านเข้าการคัดเลือกจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service สองหลักสูตร รวมประมาณ 31 สัปดาห์ 
หลักสูตรแรก โครงการฝึกอบรมผู้สืบสวนคดีอาญา (CITP) ดำเนินการที่ศูนย์ฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FLETC) ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 13 สัปดาห์ 

หลักสูตรที่สอง หลักสูตรการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่พิเศษ (SATC) ดำเนินการที่สถาบัน The United States Secret Service ศูนย์ฝึกอบรม James J. Rowley (JJRTC) นอกกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในเมืองลอเรล มลรัฐแมรี่แลนด์ ใช้เวลาประมาณ 18 สัปดาห์

เส้นทางอาชีพเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ขึ้นอยู่กับผลงานและการเลื่อนตำแหน่งที่จะส่งผลต่อการมอบหมายงานในแต่ละภารกิจ เริ่มต้นด้วยหกถึงแปดปีแรกจะได้รับมอบหมายให้ประจำสำนักงานภาคสนาม ซึ่งจะได้รับคำแนะนำให้ระบุตำแหน่งและพื้นที่ของสำนักงานที่ต้องการในระหว่างขั้นตอนการสมัคร และเมื่อได้รับข้อเสนองานในขั้นสุดท้ายแล้ว มักจะมีสำนักงานหลายแห่งให้เลือก หลังจากมีประสบการณ์ในสำนักงานภาคสนามแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษมักจะถูกย้ายไปยังงานเฉพาะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเป็นเวลาสามถึงห้าปี 

หลังจากที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มกันอารักขา เจ้าหน้าที่พิเศษหลายคนก็กลับไปประจำที่สำนักงานภาคสนามตลอดเวลาอายุที่เหลือจนเกษียณ หรือเลือกรับมอบหมายงานจากสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 

ในระหว่างการทำงาน เจ้าหน้าที่ยังมีโอกาสได้ทำงานตามสาขาของหน่วยงานในต่างประเทศอีกด้วย โดยปกติแล้วจะต้องมีการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศเพื่อให้แน่ใจว่ามีความสามารถทางภาษาเมื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศ

เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ได้รับเงินจัดสรรสำหรับการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement Availability Pay : LEAP) ซึ่งเป็นค่าล่วงเวลาแบบพิเศษซึ่งให้โบนัสเพิ่มเติม 25% แก่พวกเขานอกเหนือจากเงินเดือน 

เนื่องจากเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ต้องทำงานโดยเฉลี่ย 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับปกติทั่วไป 40 ชั่วโมง เงินเดือนรายปีจะอยู่ที่ $73,666 จนถึง $176,300 เนื่องจากลักษณะงานและลักษณะเฉพาะของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลาง (เช่น FBI, DEA, ATF, ICE) เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service จึงมีสิทธิ์ได้รับค่าล่วงเวลาตามกำหนด (นอกเหนือจาก LEAP) เป็นประจำ และได้รับค่าจ้างสูงสุดตามกฎหมาย $203,700 ต่อปี 

ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษที่ Secret Service รับภารกิจคุ้มกันอารักขา มีเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจคุ้มกันอารักขาประธานาธิบดี คือ Leslie W. Coffelt ซึ่งปฏิบัติภารกิจคุ้มกันอารักขา ประธานาธิบดี Harry S. Truman 

ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 หรือค.ศ.1950 เกิดเหตุชาย 2 คนพยายามบุกเข้าไปทำร้ายประธานาธิบดี Truman แต่ Leslie มาเจอก่อนจึงเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น กระสุนจากผู้ร้ายพุ่งทะลุร่างของ Leslie ถึง 3 นัด แต่ Leslie ก็ยังกัดฟันยิงตอบโต้ โดนคนร้ายเสียชีวิตไป 1 ศพ ส่วนอีกรายบาดเจ็บ และถูกจับ แต่โชคร้ายที่ Leslie ไม่รอด จนถึงปัจจุบันเขาเป็นจึงเจ้าหน้าที่ Secret Service รายแรกและรายเดียวที่เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่

เจ้าหน้าที่ Secret Service อีกรายที่ถือว่า รอดอย่างฉิวเฉียด คือ เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim McCarthy ผู้ได้ชื่อว่าเป็น วีรบุรุษของสหรัฐอเมริกา และถูกจดจำในฐานะคนที่รับกระสุนแทนประธานาธิบดี Ronald Reagan ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2524 หรือค.ศ.1981 ขณะนั้นประธานาธิบดี Reagan เพิ่งจะรับตำแหน่งผู้นำประเทศได้เพียง 2 เดือน ถูก John Hinckley Jr. หนุ่มสติไม่สมประกอบบุกยิงด้วยปืนพกขนาด .22 ไป 6 นัด ระหว่างชุลมุนนั้น เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim ได้กระโดดเข้าไปเพื่อบังกระสุนให้ประธานาธิบดี ซึ่งตอนนั้นถูกกระสุนเข้าไปแล้ว 1 นัด ทำให้เจ้าหน้าที่พิเศษ Tim ถูกกระสุนอีก 1 นัด เข้าที่อกขวา แต่โชคดีที่ทั้งประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่พิเศษ Tim แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ปลอดภัยในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่ Secret Service อีกนายหนึ่งที่ชาวอเมริกันรู้จักกันดี คือ เจ้าหน้าที่พิเศษ Clinton J. Hill ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์สังหารประธานาธิบดีที่โด่งดังที่สุดในโลก John F. Kennedy ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ในวัย 90 ปี ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 หรือค.ศ.1963 เมื่อกระสุนซึ่งในขณะนั้นยังไม่รู้ว่ามาจากทิศทางไหน พุ่งเข้าใส่ร่างประธานาธิบดี Kennedy เจ้าหน้าที่พิเศษ Hill รีบปีนขึ้นไปบนรถของประธานาธิบดี Kennedy เพื่ออารักขาผู้นำและภรรยาที่กำลังตื่นตระหนก แล้วคุ้มกันทั้งคู่ไปจนถึงโรงพยาบาล แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถรักษาชีวิตของประธานาธิบดี Kennedy ไว้ได้

เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เมื่อมีเรื่องดีย่อมมีเรื่องไม่มี หน่วยงาน The United States Secret Service ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน เรื่องอื้อฉาวล่าสุดของเจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ว่า สมาชิก 2 นายของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับบ้านก่อนการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียของประธานาธิบดี Jo Biden ซึ่งพวกเขาควรจะปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างการเยือนประเทศเกาหลีใต้ของประธานาธิบดี Biden แต่กลับต้องถูกส่งตัวกลับบ้านด้วยข้อกล่าวหาว่า ‘เมาแล้วอาละวาด’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องอื้อฉาวครั้งแรก 

ในปี พ.ศ. 2555 หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า สมาชิกของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับบ้านจากการเดินทางไปเยือนประเทศโคลอมเบียของประธานาธิบดี Barack Obama เนื่องจากประพฤติตัวไม่เหมาะสม ดื่มสุราจนมึนเมาแล้วอาละวาด รวมถึงการใช้บริการโสเภณี 

ในปี พ.ศ. 2557 สมาชิก 3 นายของ Secret Service ของสหรัฐฯ ถูกส่งกลับจากเนเธอร์แลนด์ หลังจากพบว่า หนึ่งในนั้นเมาจนหมดสติในกรุงอัมสเตอร์ดัม

ปัจจุบัน The United States Secret Service มีเจ้าหน้าที่ราว 7,000 นาย ปฏิบัติภารกิจด้านการคุ้มกันอารักขาอยู่ราว ๆ 3,000 นาย เจ้าหน้าที่พิเศษของ Secret Service ได้รับการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีและทันสมัยที่สุดสำหรับใช้งาน

งบประมาณของ The United States Secret Service อยู่ที่มากกว่า ๒.๒๓ พันล้านดอลลาร์ต่อปี (ราว 76,220 ล้านบาท) แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่า ชีวิตของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาจะปลอดภัยไร้กังวล เพราะอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอบนโลกที่สุดแสนร้อนระอุใบนี้

***หมายเหตุ : หน่วยอารักขาส่วนตัวตลอดชีพ

แรกเริ่มเดิมทีหน่วยรักษาความปลอดภัยแก่อดีตประธานาธิบดี หรือ Secret Service จะมีระยะเวลาแค่ 10 ปี ทว่าในปี 2013 ประธานาธิบดีโอบาม่าแก้กฎหมายส่วนนี้ใหม่เป็นได้รับสวัสดิการหน่วยอารักขาส่วนตัวตลอดชีพ หน่วย Secret Service จะทำหน้าที่ครอบคลุมหลายอย่าง อาทิ สอดส่องความเรียบร้อย ดูแลความปลอดภัย ไปจนถึงเปิด-ปิด ประตูรถ หรือขับรถให้อดีตประธานาธิบดี

นอกจากนี้ หน่วยรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องขับรถให้อดีตผู้นำ เนื่องจากกฎหมายด้านความปลอดภัยระบุไว้ชัดเจนว่า ประธานาธิบดีและอดีตประธานาธิบดีไม่สามารถขับรถบนท้องถนนได้ แต่ถึงอย่างนั้นกฎหมายยังพอเปิดช่องว่างให้กับอดีตผู้นำที่ชื่นชอบการขับขี่ สำนักข่าวต่างประเทศเคยตีข่าวว่าอดีตประธานาธิบดีคนที่ 40 โรนัลด์ เรแกน และ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 43 จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ใช้เวลาหลังเกษียณขับรถเล่นอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองอยู่บ่อย ๆ

วังวน!! Trade War สงครามการค้าที่ไม่มีใครชนะ ศึกวัดพลังที่ลุกลามไปทั่วโลกจาก 2 บิ๊กมหาอำนาจ

'สงครามการค้า' เป็นความขัดแย้งหรือการต่อสู้กันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจากการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งต้องการที่จะคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศของตัวเอง ตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า รวมไปถึงความต้องการที่จะกีดกันทางการค้า โดยการกีดกันนี้มักจะใช้มาตรการทางภาษี (Tariff), การจำกัดปริมาณการนำเข้า (Quota) เป็นเครื่องมือ ซึ่งถ้าในกรณีที่รุนแรงก็อาจจะนำไปสู่สงครามการลดการค้าระหว่างประเทศได้ค่ะ

ตัวอย่างของสงครามทางการค้าที่โด่งดังมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ทั้งสองประเทศนับเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกทั้ง 2 ประเทศ โดยสงครามการค้าเกิดขึ้นมาในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2018 ค่ะ 

ตอนนั้นสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าถึง 6 แสนล้านเหรียญ โดยขาดดุลหลักๆ ให้กับประเทศจีนค่ะ ทรัมป์เลยต้องการที่จะลดการขาดดุลทางการค้ารวมถึงต้องการจำกัดการถ่ายโอนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปที่บริษัทจีน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่เขาเคยได้หาเสียงไว้ นั่นคือ 'Make America Great Again' แถมในตอนนั้นเองสหรัฐฯ ยังกังวลถึงนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่อยากให้ประเทศจีนกลายเป็นฐานการผลิตโลกภายใต้นโยบาย 'Made in China 2025' และนโยบาย 'อี่ไต้อี่ลู่' หรือ 'One Belt, One Road' ที่เป็นนโยบายการฟื้นฟูเส้นทางสายไหมที่จะเชื่อมโยงทวีปเอเชีย, ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกันค่ะ 

โดยสหรัฐฯ เริ่มต้นเก็บภาษีการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน และจีนก็โต้กลับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่าถึง 3 พันล้านดอลลาร์ และสหรัฐฯ ก็ตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนกว่า 800 รายการเป็นมูลค่าสูงถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และจีนเองก็ต่างตอบโต้กันอย่างดุเดือดค่ะ

การตอบโต้ของทั้งสองประเทศดำเนินไปอย่างเข้มข้นและรุนแรง จนมาผ่อนคลายชั่วคราวในช่วงปี 2020 และพอเข้าปีที่ 2022 รูปแบบ Trade War ก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมคือ กลายเป็นสงครามการค้าที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวกลางหรือที่เราเรียกว่า Tech War แทน สงครามการค้า 

Tech War ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป Nvidia ไปยังจีน เพื่อให้จีนเข้าไม่ถึงชิปที่ทันสมัย และยังไม่รวมถึงการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ที่จะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยในรอบนี้จะมีการขึ้นภาษีทั้งในรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ด้วยค่ะ 

แต่นอนว่า สงครามการค้าที่รุนแรงและยื้อเยื้อนี้ ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก รวมทั้งลามไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างเช่นประเทศแถบยุโรปที่เริ่มหันมาเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ EV จากจีน หลังจากที่พวกเขาเองก็ประสบปัญหาการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ทำให้จีนเองต้องตอบโต้ด้วยการเริ่มตรวจสอบการทุ่มตลาดเนื้อหมูจาก EU กลับ

ส่วนในไทยเองแม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกอาจจะอ่อนแอลงไป แต่ไทยก็อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องสงครามการค้าจากการย้ายฐานการผลิตมายังไทย และการส่งออกสินค้าไปทั้งสหรัฐฯ และจีนได้มากขึ้นในบางสินค้าอย่าง เช่น การส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน และการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ ค่ะ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top