Friday, 30 May 2025
COLUMNIST

รู้จัก ‘Alcatraz’ คุกบนเกาะกลางอ่าวซานฟรานซิสโก ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมใช้คุมขังนักโทษร้ายแรงอีกครั้ง

โลกใบนี้มีเรือนจำบนเกาะอยู่มากมายหลายแห่ง โดยเกาะเหล่านี้แยกตัวออกมาอยู่กลางทะเลตามธรรมชาติ จึงทำให้นักโทษไม่สามารถหลบหนีได้ The Rock สมญานามของเกาะ Alcatraz เกาะเล็ก ๆ กลางอ่าวซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เกาะนี้ในอดีตเคยเป็นสถานที่ตั้งประภาคาร ป้อมปราการของกองทัพสหรัฐฯ และยังเป็นเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษ แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรือนจำแห่งนี้ รวมถึงเปิดให้เข้าชมพื้นที่ห้องขังจริง ๆ และจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้จริงของนักโทษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้กล่าวว่า เขาจะสั่งการทำการปรับปรุงเรือนจำบนเกาะ Alcatraz เพื่อเปิดใช้งานใหม่ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งให้มีการประเมินในทุกส่วนที่ยังไม่ได้รับการประเมินเพื่อกำหนดความต้องการและขั้นตอนต่อไปในการปรับปรุงเรือนจำรัฐบาลกลาง Alcatraz ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเพื่อเป็นการฟื้นฟูสัญลักษณ์อันทรงพลังของกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย และความยุติธรรม ของสหรัฐฯและรัฐบาลกลางของประเทศอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตร

เกาะแห่งนี้มีพืชพรรณเพียงเล็กน้อยและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกทะเลเมื่อได้รับการสำรวจในปี 1775 โดยร้อยโท Juan Manuel de Ayala ซึ่งตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Isla de los Alcatraces ('เกาะแห่งนกกระทุง') ต่อมาในปี 1849 ถูกขายให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เกาะนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัย เนื่องจากกระแสน้ำทะเล พืชผักที่มีปริมาณน้อยมาก และพื้นดินที่แห้งแล้ง เนื่องจากเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางอ่าวตามธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิเยือกแข็งและคลื่นลมแรง กองทัพสหรัฐฯ สร้างป้อมปราการบนเกาะ Alcatraz ขึ้นในปี 1850 มีการติดตั้งปืนใหญ่เพื่อป้องกันอ่าวจากการรุกรานจากศัตรูต่างชาติอันเนื่องมาจากการเติบโตของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิก

นอกจากนี้ยังใช้เพื่อปกป้องนคร San Francisco จากการบุกรุกในช่วงสงครามกลางเมือง ไม่นานหลังจากนั้นมันก็ได้รับการพิจารณาให้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ มีการสร้างประภาคารแห่งแรก และต่อมามีการสร้างอาคารอื่น ๆ บนเกาะ และกองทหารประจำการชุดแรกได้ตั้งกองทหารรักษาการณ์ในปี 1859 ในปี 1861 เกาะนี้ถูกกำหนดให้เป็นที่กักขังบรรดาผู้กระทำความผิดทางทหาร ต่อมามีนักโทษรวมถึง ชาวอินเดียแดงเผ่านโฮปี 19 คน จากมลรัฐแอริโซนาซึ่งต่อต้านความพยายามของรัฐบาลที่จะกลืนกลายพวกเขา ในปี 1861 เกาะนี้ได้เป็นที่รองรับนักโทษจากสงครามกลางเมืองจากรัฐต่าง ๆ และผลพวงจากสงครามสเปน-อเมริกัน ในปี 1898 ทำให้จำนวนนักโทษเพิ่มขึ้นจาก 26 คน เป็น 450 คน และในปี 1900 กักขังทหารอเมริกันที่ต่อสู้ในฟิลิปปินส์แต่แปรพักตร์เข้าร่วมกับฝ่ายฟิลิปปินส์ ในปี 1907 เกาะนี้ถูกกำหนดให้เป็นสาขาแปซิฟิกของเรือนจำทหารสหรัฐอเมริกา จากนั้นในปี 1906 ได้เกิดแผ่นดินไหวในนครซานฟานซิสโก (ซึ่งทำลายเมืองนี้อย่างรุนแรง) บรรดานักโทษจึงถูกย้ายไปบนเกาะเพื่อความปลอดภัย ในปี 1912 มีการก่อสร้างคุกขนาดใหญ่ที่ใจกลางเกาะ และในปลายทศวรรษ 1920 อาคารสามชั้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์

กองทัพสหรัฐฯ เป็นดูแลผู้รับผิดชอบเกาะแห่งนี้มามากว่า 80 ปี จากปี 1850 จนถึงปี 1933 แล้วเกาะนี้ได้ย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงยุติธรรมเพื่อใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ รัฐบาลกลางได้ใช้เป็นสถานที่กักขังที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด โดยผู้ต้องขังปราศจากสิทธิพิเศษใด ๆ เพื่อจัดการกับบรรดานักโทษ และแสดงถึงประสิทธิภาพทางกฎหมายที่รัฐบาลต้องการลดคดีอาชญากรรมที่มีมากมาย ในช่วงปี 1920 และปี 1930 ตั้งแต่ปี 1934 ถึง 1963 เรือนจำแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นเรือนจำของรัฐบาลกลางสำหรับนักโทษพลเรือนที่อันตรายที่สุดบางคนนักโทษที่ มีชื่อเสียง ได้แก่ อัล คาโปน จอร์จ เคลลี และโรเบิร์ต สตรูด มนุษย์นกแห่งเกาะ Alcatraz ('Birdman of Alcatraz') ผู้ซึ่งเลี้ยงนกและทำการวิจัยเกี่ยวกับนกขณะอยู่ในเรือนจำ” แม้ว่าเรือนจำ Alcatraz จะสามารถขังนักโทษได้ 450 คนในห้องขังที่มีขนาดประมาณ 10 x 4.5 ฟุต (3 x 1.5 เมตร) แต่ความเป็นจริงแล้วในแต่ละครั้งจะมีการขังนักโทษโดยเฉลี่ยประมาณคือ 260-275 คน (จำนวนนักโทษนี้ยังไม่ถึงปริมาณที่รองรับได้สูงสุด 336 คน ซึ่งนับได้ว่าจำนวนนักโทษของเกาะมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจำนวนนักโทษทั่วประเทศ) โดยที่นักโทษมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านักโทษที่อื่น (ตัวอย่างเช่น นักโทษหนึ่งคนต่อหนึ่งห้องขัง) ซึ่งมีนักโทษหลายคนได้ขอย้ายไปอยู่ที่เรือนจำบนเกาะเกาะ Alcatraz ความพยายามในการหลบหนีจากเรือนจำบนเกาะแห่งนี้นั้นยากมาก ๆ แต่ก็มีผู้ต้องขังเพียงไม่กี่คนที่หลบหนีออกจากเกาะได้ แต่ที่สุดไม่รู้ว่าพวกเขารอดชีวิตจากกระแสน้ำเย็นในอ่าวได้หรือไม่ การหลบหนีจากเกาะแห่งนี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Escape from Alcatraz (1979)

ในที่สุด ความยากลำบากในการขนน้ำจืดและของเสียออกจากเกาะได้ส่งผลทำให้เรือนจำบนเกาะ Alcatraz ก็ถูกปิดตัวลงในปี 1963 เนื่องจากขาดงบประมาณในการบริหารจัดการ ในเดือนมีนาคม 1964 กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันได้อ้างสิทธิ์บนเกาะนี้โดยอ้างถึงสนธิสัญญาปี 1868 อนุญาตให้ชาวอินเดียนจากเขตสงวนอ้างสิทธิ์ใน "ดินแดนของรัฐบาลที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย" อย่างไรก็ตาม พวกเขายึดครอง Alcatraz ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน 1969 นักเคลื่อนไหวชาวอินเดียนรวมถึงสมาชิกของขบวนการอินเดียนอเมริกันได้ทำการยึดครองเกาะนี้อีกครั้ง โดยเรียกร้องกรรมสิทธิ์ในเกาะและปฏิเสธที่จะออกไป จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐบาลกลางบังคับให้ออกไปในเดือนมิถุนายน 1971 และเกาะ Alcatraz ก็ถูกโอนย้ายไปอยู่ในการดูแลของสำนักอุทยานแห่งชาติในปี 1972 หลังจากนั้นจึงมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ แล้วเปลี่ยนสภาพจากเรือนจำไปเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวต้อนรับผู้เข้าชมประมาณ 1.2 ล้านคนต่อปีมาจนถึงปัจจุบัน เกาะ Alcatraz อยู่ในเขตพื้นที่สันทนาการแห่งชาติโกลเดนเกต (Golden Gate National Recreation Area) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่บริเวณชายฝั่งตะวันตกรอบ ๆ ปากอ่าวซานฟรานซิสโกกว่า 82,116 เอเคอร์ เกาะ Alcatraz ซึ่งเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมได้โดยขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือ Pier 33 จากชายฝั่งนครซานฟรานซิสโก ใช้เวลาเดินทาง 4 กิโลเมตรไปยังเกาะประมาณ 20-30 นาที นอกจากนี้ เกาะ Alcatraz ยังเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในปี 1986 อีกด้วย

ถอดรหัส ‘ปูติน’ ปฏิเสธพบ ‘เซเลนสกี’ ที่อิสตันบูล เหตุเพราะรัสเซียมองยูเครนเป็น 'รัฐหุ่นเชิด' ของตะวันตก

นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนโดยสหพันธรัฐรัสเซียในปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมา กระบวนการเจรจาสันติภาพยังคงไม่สามารถบรรลุผลในระดับสูงสุดได้ หนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการปฏิเสธของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินที่จะพบกับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน ณ กรุงอิสตันบูลซึ่งเสนอโดยตุรกีในฐานะตัวกลางแต่คำตอบจากมอสโกกลับชัดเจน "ไม่มีเหตุผลที่ต้องพบ" ประธานาธิบดีเซเลนสกีเคยกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับ The Economist ว่า ผมพร้อมเจรจากับปูติน ผมพร้อมมานานสองปีแล้วและผมเชื่อว่า หากไม่เจรจากันเราจะไม่สามารถยุติสงครามนี้ได้ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีปูตินตอบโต้ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียในช่วงปี 2022 ว่า 

“ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกับคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของวอชิงตัน หากยูเครนอยากเจรจาพวกเขาต้องแสดงให้เห็นก่อนว่ามีอำนาจตัดสินใจเป็นของตนเอง” การปฏิเสธครั้งนั้นไม่เพียงเป็นการปิดประตูเจรจา หากยังเผยให้เห็นภาพใหญ่ของสงครามที่ใหญ่กว่ายูเครน — สงครามเพื่อกำหนดระเบียบโลกใหม่ (global order) สงครามแห่งอัตลักษณ์ (identity war) และสงครามของการรับรองความชอบธรรม (legitimacy war) การตัดสินใจของปูตินไม่ใช่เพียงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ในสนามรบ หากยังเป็นคำประกาศเชิงอุดมการณ์ว่า รัสเซียจะไม่ยอมเจรจากับสิ่งที่ตนมองว่าเป็น “รัฐหุ่นเชิด” ของตะวันตก บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์การปฏิเสธครั้งประวัติศาสตร์ของผู้นำรัสเซียผ่านกรอบภูมิรัฐศาสตร์ อำนาจเชิงสัญลักษณ์และจิตวิทยาผู้นำ พร้อมผนวกบทวิเคราะห์จาก Pyotr Kozlov ผู้สื่อข่าวรุ่นใหญ่แห่ง The Moscow Times ที่ชี้ให้เห็นว่าเครมลินใช้การเจรจาเป็นเพียง 'กลยุทธ์ซื้อเวลา' (playing for time) มากกว่าความตั้งใจจริงในการหาทางออกทางการทูตแล้วเราจะเข้าใจว่า "ไม่พบ" นั้น หมายถึงอะไรที่ลึกซึ้งกว่าคำว่า "ไม่พร้อม"

1) เมื่อวิเคราะห์ด้วยกรอบทางภูมิรัฐศาสตร์จะพบว่ารัสเซียกับยูเครนอยู่บนภูมิรัฐศาสตร์ของความไม่เท่าเทียม รัสเซียไม่มองยูเครนเป็นรัฐอิสระสมบูรณ์ ในสายตาของมอสโกยูเครนไม่ใช่รัฐเอกราชหากเป็น “ดินแดนหลงทาง” ที่เคยอยู่ในครรลองของจักรวรรดิรัสเซียและยังคงถูกผูกโยงกับโครงสร้างอำนาจและอัตลักษณ์เชิงประวัติศาสตร์ของรัสเซียอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แนวคิดนี้ฝังลึกในจิตสำนึกภูมิรัฐศาสตร์ของเครมลิน โดยเฉพาะในยุคของวลาดิมีร์ ปูติน ผู้ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่าชาวยูเครนและชาวรัสเซียคือประชาชนชาติเดียวกัน... ยูเครนคือรัฐที่ถูกสร้างขึ้นเทียม ๆ ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดเล่น ๆ หากเป็นการกำหนด “ฐานคิด” ทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียที่มองความสัมพันธ์กับยูเครนผ่านกรอบของอารยธรรมร่วม (civilizational unity) มากกว่าจะยอมรับความเป็น “เพื่อนบ้านอธิปไตย” นี่คือรากเหง้าของแนวคิดความไม่เท่าเทียม (asymmetric geopolitics) ที่ทำให้การเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะมันไม่ใช่การพูดคุยระหว่างสองรัฐที่เท่าเทียมกัน แต่เป็นการ “กำหนดชะตา” ของดินแดนที่ถูกเครมลินมองว่ายังอยู่ภายใต้อิทธิพลที่ชอบธรรมของรัสเซีย ในสายตาของปูตินการนั่งเจรจากับเซเลนสกีจึงเป็นเรื่อง “น่าอับอาย” พอ ๆ กับการยอมรับว่ารัสเซียต้องขอความเห็นชอบจากใครสักคนก่อนจะจัดระเบียบ “พื้นที่หลังบ้าน” ของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการเปิดช่องให้ยอมรับอัตลักษณ์ของยูเครนในฐานะ “ชาติแยกขาด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สวนทางกับแนวคิดจักรวรรดิใหม่ของรัสเซียอย่างรุนแรง

ภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียในศตวรรษที่ 21 ถูกขับเคลื่อนด้วยความพยายามฟื้นฟู “อิทธิพลเหนือพื้นที่หลังโซเวียต” (post-Soviet space) โดยมียูเครนเป็นเสาหลักของอัตลักษณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์นี้ หากยูเครนหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงของรัสเซียไปอย่างสิ้นเชิงและกลายเป็นสมาชิกของ NATO หรือสหภาพยุโรปเมื่อไร—โครงสร้างอำนาจแบบ “โลกหลายขั้ว” ที่รัสเซียพยายามสถาปนาก็จะพังทลายลงในทันที การพบกับเซเลนสกีในฐานะ “ผู้นำที่เท่าเทียม” จึงเท่ากับการรับรองความชอบธรรมของรัฐบาลเคียฟ ซึ่งสวนทางกับกรอบความคิดหลักของรัสเซียว่ารัฐยูเครนปัจจุบันคือ puppet regime หรือรัฐบาลหุ่นเชิด ความลังเลในการยอมรับเซเลนสกีจึงเป็นผลโดยตรงจากกรอบความคิดแบบจักรวรรดินิยมใหม่ (neo-imperialism) ที่ยังฝังรากในอุดมการณ์ของผู้นำรัสเซีย โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ “Russian World” (Russkiy Mir) ซึ่งมองว่าดินแดนยูเครนเป็นพื้นที่ที่ควรถูกดึงกลับเข้าสู่อิทธิพลของมอสโกอีกครั้ง กล่าวโดยสรุป การปฏิเสธของปูตินที่จะนั่งโต๊ะเจรจากับเซเลนสกีจึงไม่ใช่เพียงการปฏิเสธข้อเสนอเพื่อสันติภาพแต่เป็นการยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่า รัสเซียไม่เคยและจะไม่ยอมรับว่ายูเครนคือ “รัฐเอกราชที่มีอำนาจเทียบเท่า” หากเป็นเพียงภูมิภาคหนึ่งของโลกที่ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของจักรวรรดิรัสเซียใหม่เท่านั้น

2) เป็นกลยุทธ์การถ่วงเวลา การไม่พบเพื่อซื้อเวลาและปรับแต้มต่อให้กับทางรัสเซีย ในโลกของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “การเจรจา” อาจไม่ใช่การเดินหน้าเพื่อหาทางออกแต่อาจเป็น “การถ่วงเวลา” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกมที่ใหญ่กว่า สำหรับรัสเซียภายใต้การนำของวลาดิมีร์ ปูติน โต๊ะเจรจาไม่ใช่ที่สำหรับสร้างสันติภาพ แต่เป็นสนามประลองเชิงจิตวิทยาที่สามารถใช้เปลี่ยนจังหวะรุกให้เป็นจังหวะตั้งรับ ตั้งรับเพื่อเก็บข้อมูล ตั้งรับเพื่อพักฟื้นยุทธศาสตร์ และตั้งรับเพื่อรุกกลับอย่างทรงพลังในจังหวะถัดไป การปฏิเสธจะพบกับเซเลนสกีในกรุงอิสตันบู ไม่ใช่การปฏิเสธเพราะไร้เหตุผล แต่เป็น “การปฏิเสธเชิงยุทธศาสตร์” ที่มาพร้อมกับการคำนวณอย่างแม่นยำ หากพบกันตอนนี้รัสเซียยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะได้เปรียบเพียงพอ ดังนั้นจึงยังไม่ควรเล่นไพ่ใบนี้แนวคิดนี้คือการเล่นกับเวลา (strategic temporality) ซึ่งเป็นกลยุทธ์คลาสสิกในสงครามและการทูตแบบมหาอำนาจ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการเปลี่ยน “สภาพแวดล้อมเชิงอำนาจ” (power environment) ให้เป็นประโยชน์ต่อฝั่งตนเองมากขึ้นเสียก่อน เช่น การรอให้อาวุธจากตะวันตกส่งไปถึงยูเครนล่าช้า การสร้างความแตกแยกในกลุ่ม NATO หรือแม้แต่การผลักความเหนื่อยล้าเข้าสู่ฝ่ายประชาชนยูเครนผ่านสงครามที่ยืดเยื้อ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปูตินอาจไม่ได้ปฏิเสธการเจรจาโดยสิ้นเชิง แต่เขาปฏิเสธ “จังหวะนี้” เพราะยังไม่ใช่เวลาที่เขาได้เปรียบมากพอ 

นี่คือสิ่งที่ Pyotr Kozlov เรียกว่า “the diplomacy of delay” การทูตที่ไม่ได้หวังข้อตกลง แต่หวังให้เวลาทำงานแทน การไม่พบจึงไม่ใช่ความล้มเหลวของการทูต แต่มันคือ “การใช้การทูตเป็นเครื่องมือในการทำสงครามแบบไม่ใช้กระสุน” หรืออีกนัยหนึ่งคือ โต๊ะเจรจากลายเป็นสนามเพาะกล้าแห่งความสับสน ที่จะเบ่งบานเป็นความได้เปรียบในสนามรบ ดังนั้นถ้าเซเลนสกีเรียกร้องให้พบหน้า ปูตินอาจไม่ได้หวั่น แต่เขาจะถามกลับว่า—"ทำไมต้องรีบ? ในเมื่อเวลาทำงานให้รัสเซียอยู่แล้ว"

3) การเมืองภายใน การแสดงถึงความเข้มแข็งของผู้นำกับความชอบธรรมในสายตาประชาชน สำหรับวลาดิมีร์ ปูตินการเมืองระหว่างประเทศไม่เคยแยกขาดจากการเมืองภายในประเทศหากแต่เป็นกระจกสะท้อน “ภาพลักษณ์ของผู้นำ” ที่ต้องแกร่ง แน่น และแน่วแน่ “ไม่มีวันอ่อนข้อ ไม่มีวันอ่อนแอ” โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ระบอบการปกครองของเขากำลังเผชิญความท้าทายจากแรงต้านภายใน ทั้งเศรษฐกิจที่บีบคั้นจากมาตรการคว่ำบาตรและความล้าจากสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเกินกว่าที่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐจะกลบได้ทั้งหมด การพบกับเซเลนสกีในโต๊ะเจรจา ณ กรุงอิสตันบูล จึงไม่ใช่แค่เรื่องนโยบายต่างประเทศแต่คือเกมเดิมพันภาพลักษณ์ของผู้นำสูงสุดที่ต้อง “แข็งกร้าวพอที่จะไม่ต่อรองกับศัตรูที่ด้อยกว่า” ในสายตาของรัฐเครมลิน “ถ้าจะคุยก็ต้องคุยกับวอชิงตัน ไม่ใช่กับหุ่นเชิดในเคียฟ” 

ซึ่งเป็นคำกล่าวไม่เป็นทางการของเจ้าหน้าที่รัสเซียรายหนึ่งที่หลุดออกมาทางสื่อ ซึ่งสะท้อนจุดยืนว่า เซเลนสกีไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะได้ “เกียรติ” มานั่งโต๊ะกับปูตินในจิตสำนึกของระบอบอำนาจนิยมแบบรัสเซีย ความชอบธรรม (legitimacy) ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการ “แสดงให้เห็นว่าผู้นำคือผู้ปกป้องชาติ” โดยไม่ยอมก้มหัวต่อแรงกดดันใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตกหรือตัวแทนจากยูเครน เพราะการที่ปูตินจะ “พบหน้า” กับเซเลนสกี หมายถึงการยอมรับอีกฝ่ายว่าอยู่ในสถานะเท่าเทียม และนั่นคือภาพที่อาจทลายความชอบธรรมที่เขาสร้างมาตลอดกว่า 20 ปี ยิ่งไปกว่านั้นในบริบทของรัสเซียหลังปี ค.ศ. 2022 ความเข้มแข็งของปูตินไม่ได้ถูกวัดจากผลลัพธ์ของสงครามเท่านั้นแต่ยังวัดจากท่าทีเชิงสัญลักษณ์ เช่น การปฏิเสธไม่พบ การไม่เดินทางไปเจรจา หรือแม้แต่การปล่อยข่าวลือเรื่องการเจรจาที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพื่อรักษาอำนาจเชิงวาทกรรมไว้กับเครมลินเพียงฝ่ายเดียว ในโลกของเครมลิน “การไม่พูด” อาจดังกว่า “การพูด” และการ “ไม่พบ” ก็อาจทรงพลังยิ่งกว่าการ “พบแล้วแพ้”

4) รัสเซียมองว่าอิสตันบูลเป็นพื้นที่กึ่งกลางที่ไม่เป็นกลาง ในทางภูมิรัฐศาสตร์ “เมือง” ไม่ได้เป็นเพียงจุดบนแผนที่ หากแต่คือ “สัญลักษณ์” ของอำนาจ วาระ และตำแหน่งทางการเมือง อิสตันบูลเป็นเมืองแห่งสองทวีปและอดีตศูนย์กลางของจักรวรรดิออตโตมัน แม้ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่เจรจาที่ “กึ่งกลาง” ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก แต่สำหรับรัสเซียแล้วอิสตันบูลไม่เคยเป็นกลางและไม่เคย “ว่างเปล่าจากความหมายทางอำนาจ” ทำไมปูตินจึงไม่อยากเจรจาในอิสตันบูล? คำตอบอยู่ในประวัติศาสตร์ ความรู้สึกและกลยุทธ์ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะเจรจา ในสายตาของเครมลินอิสตันบูลคือเวทีของตะวันตกในคราบตะวันออกเป็นพันธมิตร NATO ที่แฝงความไม่ไว้ใจ เป็นประเทศที่แม้จะ “ไม่คว่ำบาตรรัสเซียแบบเปิดหน้า” แต่กลับเปิดประตูให้อาวุธตะวันตกเดินทางเข้าสู่ยูเครนทางอ้อม และที่สำคัญคือ ผู้ที่สนับสนุน Bayraktar TB2 โดรนรบที่ยูเครนใช้โจมตีเป้าหมายของรัสเซีย อย่างได้ผลในช่วงต้นสงคราม นอกจากนี้ตุรกีเองก็เล่นเกมสองหน้าในแบบ “เออร์โดกันสไตล์” ที่พร้อมจะเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของตน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงธัญพืชยูเครน (Black Sea Grain Deal) หรือการเสนอเป็นคนกลางในการปล่อยเชลยศึก 

ซึ่งรัสเซียมองว่าตุรกีไม่ได้เป็นกลาง แต่คือผู้หวังผลจากการสวมบทกลาง “To sit in Istanbul is to play Erdogan’s game.” นี่คือคำพูดที่นักวิเคราะห์การเมืองรัสเซียคนหนึ่งกล่าวไว้แบบตรงไปตรงมา อิสตันบูลจึงกลายเป็น “พื้นที่ที่ดูเหมือนกลาง แต่ไม่เคยกลางจริง” เป็นเหมือนสนามแข่งขันที่วางกับระเบิดทางการเมืองไว้ใต้โต๊ะ สำหรับปูตินการเลือกสถานที่เจรจาคือการเลือก “สัญญะของอำนาจ” และเขาไม่มีวันยอมเสียแต้มด้วยการไปปรากฏตัวในสถานที่ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็น “สนามของอีกฝ่าย” ไม่ว่าจะโดยภาพถ่าย การแถลงข่าว หรือข่าวกรองที่เล็ดลอดออกมา เพราะแค่ปรากฏตัวก็อาจตีความได้ว่าอ่อนข้ และในสงครามที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีชาติ เรื่องแบบนี้คือสิ่งที่เครมลินรับไม่ได้ อิสตันบูลจึงไม่ใช่พื้นที่แห่งความหวังในสายตาของรัสเซีย แต่มันคือเวทีที่ “ข้างหนึ่งหวังจะเจรจา ขณะที่อีกฝ่ายหวังจะซื้อเวลา” และนั่นทำให้โต๊ะเจรจาไม่มีวันเกิดขึ้นจริงแม้จะปูพรมไว้พร้อมแล้วก็ตาม

5) สงครามที่ใหญ่กว่ายูเครน การประลองเชิงอารยธรรมและโครงสร้างโลก สงครามในยูเครนไม่ใช่แค่การยึดดินแดน ไม่ใช่แค่การแย่งเมือง ไม่ใช่แค่สงคราม “ชายแดน” แต่มันคือสงคราม “ชายขอบของระเบียบโลก” สงครามที่เปิดฉากขึ้นเพื่อท้าทายโครงสร้างโลกเสรีนิยมตะวันตกที่ปกครองโลกมานับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น ในมุมมองของเครมลิน ยูเครนไม่ใช่เพียงประเทศเพื่อนบ้าน แต่คือ “แนวหน้า” ของสงครามอารยธรรม  การต่อสู้ระหว่างอารยธรรมรัสเซียแบบยูเรเชีย (Eurasianism) กับอารยธรรมตะวันตกแบบแองโกล-แซกซัน การเมืองของวลาดิมีร์ ปูตินไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์แห่งรัฐ แต่คือการฟื้นฟู “อารยธรรมรัสเซีย” ที่เขาเชื่อว่าตะวันตกพยายามจะบดขยี้ให้เหลือเพียงรอยจารึกในพิพิธภัณฑ์ “ยูเครนไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่คือเวทีแรกของการรบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น” เป็นวาทกรรมที่สะท้อนออกมาจากทั้งสื่อรัฐและนักคิดสายภูมิรัฐศาสตร์ในรัสเซียอย่างชัดเจน การปฏิเสธที่จะพบกับเซเลนสกีจึงไม่ใช่แค่การดูแคลนเชิงบุคคลหรือการชะลอการเจรจาแต่มันคือการปฏิเสธที่จะ “ลดสงครามเชิงอารยธรรม” ให้กลายเป็นแค่ข้อพิพาทระดับทวิภาคีเพราะในสายตาของปูตินและวงการนโยบายรัสเซีย ยูเครนไม่ใช่ผู้เล่นที่แท้จริงแต่อเมริกาต่างหากคือศัตรูที่เขากำลังประจันหน้า และในเกมระดับนี้การนั่งโต๊ะกับเซเลนสกีเท่ากับลดระดับการต่อสู้ครั้งนี้ลงเป็นแค่ “ความขัดแย้งชายแดน” เท่านั้น 

ขณะเดียวกันโลกก็กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของระเบียบอำนาจ — จากโลกแบบขั้วเดียว (unipolarity) ที่อเมริกาครองอำนาจนำมาเป็นโลกแบบหลายขั้ว (multipolarity) ที่จีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่า และกลุ่มประเทศโลกใต้เริ่มโผล่หัวขึ้นมาเรียกร้อง “อธิปไตยเชิงอารยธรรม” ของตนเอง รัสเซียไม่ใช่แค่พยายามเอาชนะยูเครน แต่กำลังขยับบทบาทตนในฐานะ “ทัพหน้าแห่งการต่อต้านโลกาภิวัตน์แบบตะวันตก”ดังนั้นโต๊ะเจรจาที่มีแค่เซเลนสกีจึงไม่ใหญ่พอสำหรับปูติน และไม่เพียงพอสำหรับ “โครงการฟื้นฟูรัสเซียในฐานะขั้วอำนาจโลก” ที่เขาหวังจะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ สงครามนี้จึงไม่ได้เกี่ยวกับแผนที่ แต่เกี่ยวกับแบบแผนโลกไม่ใช่แค่เรื่องดินแดน แต่เป็นเรื่อง “ความหมายของการมีอยู่” ของอารยธรรมตะวันออกท่ามกลางโลกที่ตะวันตกเขียนบทมาตลอดศตวรรษ

ปีเตอร์ โคซลอฟ (Pyotr Kozlov) นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสแห่งหนังสือพิมพ์ The Moscow Times ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่าไม่ได้มองการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนว่าเป็นความพยายามทางสันติภาพอย่างแท้จริง หากแต่เขาขยี้ให้เห็นชัดว่านี่คือ “สงครามอีกรูปแบบหนึ่งที่เงียบกว่า แต่อันตรายไม่แพ้สนามรบจริง” โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายรัสเซียเป็นผู้ถือไพ่ในเกมนี้ Kozlov ชี้ว่าตั้งแต่ต้นสงครามรัสเซียไม่เคยตั้งใจเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งอย่างแท้จริงแต่กลับใช้ “การเจรจา” เป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายตะวันตกและเป็นการซื้อเวลาให้กับกองทัพในการจัดระเบียบยุทธศาสตร์ใหม่ อีกทั้งยังใช้โต๊ะเจรจาเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงจิตวิทยาเพื่อปลูกฝังความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ยูเครนและชาติตะวันตกตายใจ 

สำหรับเครมลิน การเจรจาไม่เคยเป็นของจริง มันคือฉากบังหน้าเพื่อเบี่ยงแรงกดดันในขณะที่รัสเซียปรับยุทธศาสตร์ใหม่ การทูตที่แท้จริงได้ตายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือการแสดงสำหรับผู้ชมจากต่างประเทศ เขายังชี้ว่าเหตุผลที่ปูตินปฏิเสธจะพบเซเลนสกีไม่ใช่เพราะไม่สามารถพูดคุยกันได้ แต่เป็นเพราะ “การไม่พบ” นั้นทรงพลังกว่า “การพบ” หลายเท่า เพราะมันทำให้ยูเครนตกอยู่ในภาวะคลุมเครือ (strategic ambiguity) ไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ และบั่นทอนความชอบธรรมของเซเลนสกีในฐานะผู้นำที่มีสิทธิเจรจาโดยตรงกับรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้น Kozlov ยังชี้ให้เห็นว่า เครมลินไม่ได้มองเซเลนสกีในฐานะ “คู่เจรจา” แต่เป็นเพียง “ตัวแทน” ของตะวันตกเท่านั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่ปูตินจะต้องลดตัวลงไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับผู้นำที่ถูกมองว่า “ไร้อำนาจตัดสินใจจริง” ในสายตาของมอสโก สิ่งที่ชัดเจนในบทวิเคราะห์ของโคซลอฟคือภาพของ “โต๊ะเจรจา” ในบริบทของรัสเซีย คือสนามที่รบด้วยถ้อยคำ บิดเบือนด้วยเวลา และสั่นคลอนด้วยการเล่นกับความหวังของฝ่ายตรงข้าม ยิ่งเครมลินลากเกมออกไปนานเท่าไร พันธมิตรของยูเครนก็จะเริ่มเหนื่อยล้า แตกแถว และหมดความอดทน นี่คือสงครามแห่งความอึดและจิตวิทยา ที่ปูตินรู้ดีว่าตนได้เปรียบในเกมยืดเยื้อ

บทสรุป การที่วลาดิมีร์ ปูตินปฏิเสธที่จะพบกับโวโลดีมีร์ เซเลนสกีในอิสตันบูลไม่ใช่การปฏิเสธเจรจาเฉพาะหน้า แต่คือการปฏิเสธ 'กรอบการรับรู้' ที่ตะวันตกพยายามจะวาดภาพสงครามให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองรัฐ ทว่าในมุมมองของรัสเซียมันคือศึกชี้ชะตาแห่งอารยธรรมการต่อสู้เพื่อยึดคืนสมดุลของโลกที่เปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ภายใต้ฉากหน้าของการทูต ยังมีเกมที่ใหญ่กว่า การซื้อเวลา การกำหนดพื้นที่ต่อรองและการรักษาภาพผู้นำล้วนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มองเกินกว่ายูเครน มองทะลุไปถึงความพยายามในการจัดระเบียบโลกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับอำนาจตะวันตก โต๊ะเจรจาในอิสตันบูลจึงไม่ใช่จุดหมายแต่มันเป็น “สนามทดลอง” ที่รัสเซียเลือกจะเดินหนีเพื่อไปยังสมรภูมิอื่นที่เดิมพันสูงกว่าและหากความขัดแย้งครั้งนี้คือสงครามเพื่ออารยธรรมการเจรจากับผู้นำที่รัสเซียไม่ยอมรับความชอบธรรมก็ย่อมไม่ต่างจากการประกาศยอมแพ้โดยไม่จำเป็น สงครามในยูเครนจึงยังไม่จบ ไม่ใช่เพราะขาดข้อตกลงแต่เพราะขาด 'ความเข้าใจร่วม' ว่าเรากำลังต่อสู้อยู่ในสงครามแบบไหนและเพื่ออะไร

บทวิเคราะห์พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 กับพลวัตด้านอาวุธของ ‘รัสเซีย’ สะท้อน!! การเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ ในการต่อสู้ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

(12 พ.ค. 68) พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 ที่จัดขึ้นในกรุงมอสโกเป็นเวทีที่สะท้อนภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารของรัสเซียหลังจากที่เผชิญกับสงครามยูเครนมาเกือบสองปี อาวุธและขีปนาวุธในขบวนของปีนี้มีจำนวนที่น้อยลงกว่าเดิม ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า “รัสเซียอาวุธหมดแล้วหรือ?” ท่าทีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางทหารของรัสเซียแต่ยังสะท้อนยุทธศาสตร์การรับรู้ (perception management) ที่เครมลินอาจตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความกดดันจากภายนอกและภายในประเทศ

หนึ่งในสัญญาณที่เห็นได้ชัดในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 คือการลดลงของการปรากฏตัวของอาวุธหนักที่เคยมีความโดดเด่นในขบวนสวนสนามปีที่ผ่านๆมา จากที่เคยเต็มไปด้วยรถถัง T-90, T-14 Armata, และขีปนาวุธ Iskander ปีนี้กลับถูกแทนที่ด้วยการเลือกไม่แสดงอาวุธหนักอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ แต่ยังทำให้เกิดคำถามถึงสภาพจริงของอำนาจทางทหารของรัสเซียในปัจจุบัน ทรัพยากรทหารที่จำกัดได้กลายมาเป็นปัญหาหลักที่รัสเซียต้องเผชิญ สงครามในยูเครนทำให้การใช้กำลังรบที่มีอยู่ต้องถูกนำไปใช้ในแนวหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่มีหยุดพักทำให้การนำอาวุธหนักที่อาจมีความสำคัญสูงออกมาจัดแสดงในพิธีสวนสนามไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้
ในขณะเดียวกันแนวทางการสงวนพลัง (Resource Allocation) ก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน รัสเซียไม่สามารถเสี่ยงส่งทรัพยากรทางทหารที่มีจำกัดออกมาให้เห็นเพียงเพื่อโชว์ในพิธีการ เมื่อการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในยุทธศาสตร์ “การยืดเยื้อ” และการต่อสู้ระยะยาวต้องได้รับการจัดลำดับความสำคัญใหม่ การแสดงอาวุธหนักที่น้อยลงในปีนี้จึงไม่ใช่แค่การขาดแคลนอาวุธ แต่สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าและการวางแผนระยะยาวที่จะไม่สูญเสียทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์

ดังนั้นการที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงขีปนาวุธรุ่นใหม่หรืออาวุธหนักในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 จึงเป็นกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่รัสเซียเลือกใช้เพื่อควบคุมการรับรู้ (perception management) ทั้งในและนอกประเทศ รัสเซียเลือกใช้วิธีนี้เป็นเครื่องมือทางการทูตและการทหารที่มีความลึกซึ้งมากกว่าที่ตาเปล่าจะมองเห็นซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องโอ้อวดหรือแสดงออกทางทหารในขณะที่ยังคงมีความสามารถในการต่อสู้ โดยสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ดังกล่าวของรัสเซียได้ดังนี้

1) การจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ 
การที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 เป็นการจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศที่แยบยล ในสถานการณ์ที่ถูกคว่ำบาตรหนักและเผชิญกับสงครามยืดเยื้อรัสเซียต้องการส่งสัญญาณว่าสามารถดำเนินสงครามได้โดยไม่ต้องโอ้อวดพลังทหาร การไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของคู่แข่งโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ซึ่งทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังเกี่ยวกับศักยภาพทางทหารที่ซ่อนเร้นของรัสเซีย การไม่แสดงพลังทหารยังเป็นการส่งสัญญาณไม่ต้องการยั่วยุซึ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในสงคราม และยังสะท้อนถึงการรักษาความสงบภายในประเทศโดยไม่ทำให้ประชาชนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงคราม ขณะเดียวกันรัสเซียยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงซึ่งช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามยังอาจสะท้อนถึงการส่งสัญญาณความพร้อมในการเจรจาโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจายังคงเป็นทางเลือกที่เปิดกว้างซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มโอกาสในการหาทางออกทางการทูต

2) สัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ต่อฝ่ายตะวันตก 
ในด้านการทูตการเลือกที่จะ “เงียบ” ในการแสดงพลังทหา อาจเป็นกลยุทธ์การส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกและพันธมิตรว่า รัสเซีย ไม่จำเป็นต้องแสดงขีดความสามารถทหารในที่สาธารณะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกถึงความ “เบาบาง” หรือ “สงบ” ในสถานการณ์แม้ว่าภายในจริงๆ แล้วอาจมีการเตรียมพร้อมในรูปแบบอื่นๆ อย่างลับๆ หรือไม่แสดงออกให้เห็นโดยตรง

3) การสะท้อนอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องถูกแสดงออก
รัสเซียอาจต้องการส่งข้อความไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตรว่า “เราไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธเพื่อแสดงพลัง” หรือแม้กระทั่งการใช้ "ความเงียบ" ในการแสดงให้เห็นว่า “เรายังคงมีกลยุทธ์และความสามารถที่แฝงตัวอยู่” การเลือกที่จะไม่แสดงออกอาจเป็นการทำให้โลกเห็นว่ารัสเซียไม่ต้องการการยั่วยุหรือไม่ต้องการให้ทุกฝ่ายเห็นความสามารถที่แท้จริงของตนในสนามรบ

4) การสร้างอารมณ์ในประเทศ
ในมุมมองภายในประเทศการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามอาจเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนรับรู้ถึงความมั่นคงว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธหนักเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งและการสงวนพลังนั้นเป็นการเตรียมพร้อมในระยะยาว แม้ในเวลาที่มีการท้าทายจากต่างประเทศการแสดงความมั่นใจโดยไม่ต้องแสดงพลังทหารสามารถทำให้ประชาชนรู้สึกถึงการควบคุมสถานการณ์และไม่จำเป็นต้องเกิดความวิตกกังวล

5) ความหมายของการสงวนพลังในระยะยาว
การเลือกที่จะ “เงียบ” และไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามนั้นอาจสะท้อนถึงความคิดที่ว่ารัสเซียกำลังมองไปข้างหน้าในสงครามระยะยาวที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความเข้มแข็งเพียงแค่ในวันนั้น ๆ แต่ต้องมีการจัดการทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปในสนามรบในอีกหลายปีข้างหน้า ดังนั้น การแสดง “ความเงียบ” จึงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้พลังอย่างมีกลยุทธ์ในอนาคต

นักวิชาการรัสเซียมองว่าการไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามเป็นการดำเนินกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับการรักษาภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารในระดับโลก แม้รัสเซียจะเผชิญกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทูตแต่การจัดแสดงอาวุธในระดับใหญ่จะไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงภายในและการคงสถานะของประเทศในเวทีการทูต เช่นเดียวกับการหลีกเลี่ยงการยั่วยุฝ่ายตะวันตก ในทัศนะของ ดร. เซอร์เกย์ คารากานอฟ (Sergey Karaganov) นักวิชาการด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซียมองว่าการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักเป็นการบ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์และไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นจุดอ่อนในพลังทหารของรัสเซีย ในขณะที่อเล็กซานเดอร์ ดูกิน (Alexander Dugin) ได้อธิบายถึงการใช้ความสงบในพิธีสวนสนามเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รัสเซียสามารถควบคุมสถานการณ์และดำเนินการสงครามได้ในลักษณะที่ไม่ต้องแสดงพลังทหารอย่างโจ่งแจ้ง การที่รัสเซียไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงในพิธีสวนสนามเป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายตะวันตกว่า รัสเซียไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถทางทหารทั้งหมด การเลือกใช้การสงวนพลัง (power preservation) ถือเป็นกลยุทธ์ที่รัสเซียใช้เพื่อไม่ให้คู่แข่งสามารถคาดเดาทิศทางของรัสเซียได้

สื่อมวลชนฝั่งรัสเซียเช่น RT และ Sputnik News ได้เสนอบทวิเคราะห์ที่สนับสนุนการตัดสินใจไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 โดยให้เหตุผลว่าการแสดงออกเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการทูตที่มุ่งเน้นการลดความตึงเครียดระหว่างประเทศ และส่งสัญญาณว่าแม้รัสเซียจะเผชิญกับสงครามในยูเครน แต่รัสเซียยังคงมีอำนาจทางทหารที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง การเลือกที่จะสงวนอาวุธหนักทำให้รัสเซียสามารถรักษาภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงได้ในขณะที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในด้านการทหาร ในขณะที่ Izvestia ได้รายงานเกี่ยวกับการที่รัสเซียยังคงสามารถผลิตอาวุธและใช้เทคโนโลยีทหารที่ทันสมัย เช่น โดรน และ สงครามไซเบอร์ โดยไม่ต้องแสดงอาวุธหนักในการแสดงในที่สาธารณะ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ "สงครามรูปแบบใหม่" ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการแสดงพลังทหารในสนามรบแบบเดิม ๆ การแสดงในพิธีสวนสนามเป็นเพียงแค่การแสดงออกทางการเมืองที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับความสามารถจริงในสนามรบ

อย่างไรก็ตามมุมมองจากฝั่งตะวันตกมองว่ารัสเซียอาจกำลังเผชิญกับการขาดแคลนอาวุธระยะยาว เช่น ขีปนาวุธที่มีระยะยิงไกลและเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถเข้าถึงเป้าหมายในระยะไกลได้ องค์กรInternational Institute for Strategic Studies (IISS) หรือ The Economist ได้ชี้ว่า รัสเซียประสบปัญหาในการผลิตกระสุนและอาวุธบางประเภทที่ใช้ในการสงคราม เช่น กระสุนหนักสำหรับปืนใหญ่และอาวุธปล่อยที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งมีผลมาจากการคว่ำบาตรจากตะวันตกและการขาดแคลนเทคโนโลยีที่ทันสมัย รัสเซียต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากพันธมิตรเช่น จีนและอิหร่านเพื่อเติมเต็มช่องว่างในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามปัญหานี้ยังคงเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการดำเนินสงครามอย่างยั่งยืน นักวิชาการบางคนมองว่าการที่รัสเซียไม่มีอาวุธเหล่านี้ในมือเทียบเท่ากับในอดีตอาจเป็นสัญญาณของการที่ประเทศกำลังสูญเสียความสามารถในการขยายสงครามไปยังพื้นที่อื่น ๆ และมุ่งเน้นการต่อสู้ภายในยูเครนเท่านั้น นักวิเคราะห์จากฝ่ายตะวันตกยังชี้ว่าการคว่ำบาตรจากตะวันตกได้จำกัดการเข้าถึงชิ้นส่วนและวัสดุที่จำเป็นในการผลิตอาวุธขั้นสูงอาทิ ชิปเซ็ต เทคโนโลยีการผลิตมิสไซล์หรืออุปกรณ์การผลิตที่ล้ำสมัยซึ่งจำกัดความสามารถของรัสเซียในการผลิตอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทสรุป การเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 ไม่เพียงแค่เป็นกลยุทธ์ทางการทูตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในเวทีโลก แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของฝ่ายตรงข้าม การไม่ยั่วยุ และการสร้างความมั่นคงภายในประเทศ โดยทั้งนักวิชาการและสื่อรัสเซียมองว่า การแสดงพลังทหารในที่สาธารณะอาจไม่จำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบันที่การจัดการกับวิกฤติโดยไม่แสดงพลังทางทหารให้เห็นนั้นเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม

‘Song Wencong’ วิศวกรผู้ออกแบบ และสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ ‘J – 10’ ราคา 30 ล้านเหรียญ สามารถยิงเครื่องบินขับไล่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกได้

(11 พ.ค. 68) เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อเครื่องบินขับไล่แบบ J-10C ที่มีราคา 30 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยจีนของกองทัพอากาศปากีสถานสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ราคา 200 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยฝรั่งเศสของกองทัพอากาศอินเดียตก ผลลัพธ์ของการรบทางอากาศระหว่างอินเดียและปากีสถานสร้างความตกตะลึงให้กับโลก และเครื่องบินขับไล่ J-10 ก็ได้เปิดฉากช่วงเวลาสำคัญนี้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการกว่าจะมาถึงการสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 เป็นความยากลำบากที่มีเพียงไม่กี่คนที่ยังจำได้ เริ่มต้นในปี 1956 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานเหมาเจอตงได้เรียกร้องครั้งสำคัญให้จีน “เดินหน้าสู่วิทยาศาสตร์” โดยเลือกเส้นทางของการพึ่งพาตนเองและการพัฒนาที่เป็นอิสระ โดยจีนยุคใหม่ได้นำพาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่การพัฒนาประเทศ

ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1964 ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างจีนและสหภาพโซเวียต บุคลากรด้านการบินของจีนใหม่เริ่มพัฒนาเครื่องบินขับไล่ตามแนวคิดของประธานเหมาฯ ที่ว่า "พึ่งพาตนเองเป็นหลัก" และภารกิจพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-8 และ J-9 ได้รับการเสนอและดำเนินการโดยสถาบัน 601 และหน่วยงานอื่น ๆ ในเมืองเสิ่นหยางตามลำดับ เครื่องบินขับไล่ J-7 ลำก่อนหน้านี้ที่จีนผลิตนั้นเป็นเพียงสำเนาของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 2 ของอดีตสหภาพโซเวียตซึ่งก็คือเครื่องบินขับไล่ MiG-21 ตามแผนเดิม J-8 ถือเป็นเครื่องบินขับไล่ MiG-21 สองเครื่องยนต์รุ่นขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่ J-9 ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในด้านตัวบ่งชี้การออกแบบและแผนงานเมื่อเทียบกับ J-8 และได้ก้าวไปถึงระดับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 3 ของโลกในขณะนั้นแล้ว

ในปี 1970 จีนตัดสินใจเร่งพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากทางเหนือ ในปีเดียวกัน Song Wencong ซึ่งเคยเป็นวิศวกรอากาศยานในสงครามเกาหลี ได้ย้ายจากเมืองเสิ่นหยางไปยังนครเฉิงตูพร้อมกับนักออกแบบเครื่องบินกว่า 300 คน ด้วยความฝันที่จะพัฒนาเครื่องบินขับไล่ ในเวลานั้น พวกเขามีชื่อรหัสเพียงว่า “สถาบัน 611” ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากคือการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 ที่สามารถแข่งขันกับเครื่องบินรบที่ทรงพลังที่สุดในโลกได้ นักออกแบบเหล่านี้ที่เพิ่งมาถึงนครเฉิงตูได้เริ่มต้นความฝันในการสร้างเครื่องบินขับไล่ขั้นสูงภายใต้เงื่อนไขทางวัสดุที่เรียบง่าย ในขณะที่พวกเขาต้องสร้างบ้านด้วยตัวเอง ปลูกข้าวและธัญญพืช และแม้กระทั่งต้องขนปุ๋ยคอกและใส่ปุ๋ยเอง

พวกเขาได้ออกแบบเครื่องบินขับไล่ J-9 ทีละขั้นตอนโดยจากแบบร่างเปล่า ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากดังกล่าว ทำให้ชุดแบบจำลองการออกแบบชุดแรกที่มีปีกหน้าสามเหลี่ยม (Canard) และเริ่มทำการทดสอบในอุโมงค์ลมความเร็วสูง ในปี 1974 หลังจากใช้งานและแก้ไขข้อบกพร่องมานานกว่า 5 ปี เครื่องยนต์ 910 (WS-6 ซึ่งเลิกผลิตไปแล้วในภายหลัง) ของ J-9 ในที่สุดก็แก้ปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญได้ ทำความเร็วได้ 100% และเข้าสู่การทดสอบการทำงานความเร็วสูง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1975 คณะกรรมการวางแผนของรัฐและสำนักงานอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศตกลงที่จะทดลองผลิต J-9 จำนวน 5 ลำ โดยต้องบินครั้งแรกในปี 1980 และเสร็จสิ้นในปี 1983 และอนุมัติในหลักการให้จัดสรรค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมอีก 400 ล้านหยวน (400 ล้านหยวนถือเป็นตัวเลขที่สูงลิบลิ่วในขณะนั้น)

ในช่วงต้นปี 1976 สถาบัน 611 ได้ปรับโครงร่างอากาศพลศาสตร์โดยรวมและพารามิเตอร์การออกแบบเพิ่มเติมตามประเภท J-9VI โดยปรับปรุง J-9VI-2 ให้มีช่องรับอากาศทั้งสองด้านเป็นระบบมัลติเวฟแบบปรับไบนารีแบบผสมการบีบอัด เครื่องบินติดตั้งเรดาร์แบบ 205 ที่มีระยะตรวจจับ 60-70 กิโลเมตรและระยะติดตาม 45-52 กิโลเมตร ปืนกล Gatling 30 มม. 6 ลำกล้อง ขีปนาวุธสกัดกั้น PL-4 4 ลูก ซึ่งแบ่งออกเป็นสองระบบการค้นหาที่แตกต่างกันได้แก่ (1) เรดาร์กึ่งแอคทีฟประเภท PL-4A ที่มีระยะสูงสุด 1B:F- เมตร และ (2) อินฟราเรดแบบพาสซีฟประเภท PL-4B ที่มีระยะที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 8 กิโลเมตร เครื่องบินติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน 6 ที่มีแรงขับสถิตท้ายเครื่องยนต์เต็มกำลัง 124 kN

J-9VI-2 มีรูปทรงทางอากาศพลศาสตร์ของ J-9VI-2 นั้นมีความคล้ายคลึงกับ J-10 มาก เพียงแต่ Canard เป็นแบบตายตัวและไม่คล่องตัวเท่า J-10 เท่านั้นเอง J-10C ก่อนหน้านี้ ผู้คนจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศต่างพากันปล่อยข่าวลือว่า J-10 นั้นได้ต้นแบบมาจาก Lavi ของอิสราเอล และ Gripen ของสวีเดน และ J-10 นั้นใช้เทคโนโลยีของอิสราเอล ซึ่งนั่นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี หาก J-9 ไม่ถูกยกเลิก ก็จะกลายเป็นเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์เดียวลำแรกของโลกที่มีเลย์เอาต์แบบ Canard ก่อน Gripen ของสวีเดนอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 1978 ตามคำแนะนำ โครงการ J-9 ถูกยกเลิกเนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงการของหน่วยพัฒนา และมีการจัดเก็บข้อมูลไว้ ในปี 1980 อันเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติในขณะนั้น โครงการ J-9 จึงถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง

ในเดือนพฤศจิกายน 1979 ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง เครื่องยนต์ WS-6 ได้บรรลุการทำงานที่มั่นคงในระยะยาวที่ความเร็วสูง เมื่อโครงการ J-9 สิ้นสุดลงและนำเครื่องยนต์ Spey มาใช้ การพัฒนาเครื่องยนต์ WS-6 ที่เข้าคู่กันก็หยุดลงโดยสิ้นเชิงในเดือนกรกฎาคม 1983 และแผนการพัฒนาก็ถูกหยุดลงโดยสิ้นเชิงในช่วงต้นปี 1984 เรดาร์ขับไล่แบบ 205 ที่รองรับ J-9 ก็หยุดการพัฒนาเช่นกันในปี 1981 ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ PL-4 อยู่ในสถานะ "เฝ้าระวัง" เป็นเวลานานหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบต้นแบบ หลังจากการทดสอบร่วมกันในช่วงปลายปี 1985 ก็หยุดการพัฒนา ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิก

ในความเป็นจริงแล้ว J-9 ใช้เงินไปเพียง 20 ล้านเหรียญสหรัฐในการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น แต่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและวัสดุใหม่ ๆ มากมายแล้ว มีการผลิตโมเดล ชิ้นส่วนทดสอบ และอุปกรณ์ทดสอบมากกว่า 500 ชิ้น และทดสอบอุโมงค์ลมความเร็วสูงและความเร็วต่ำ 12,000 ครั้ง รวมถึงทดสอบโครงสร้าง ความแข็งแรง ระบบ และวัสดุพิเศษ 258 ครั้ง มีการรวบรวมโปรแกรมคำนวณ 154 โปรแกรม วิเคราะห์การคำนวณมากกว่า 15,000 ชั่วโมง และแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญมากกว่า 20 ปัญหา น่าเสียดายที่ J-9 ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การสะสมทางเทคนิคของ J-9 ได้กลายเป็นทรัพย์สินอันมีค่าสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการบินของจีนในเวลาต่อมา ตัวอย่างเช่น การจัดวางแบบแคนาร์ดส่งผลกระทบต่อ J-10 และ J-20 อย่างมากมายในเวลาต่อมา มีการเก็บรักษาอุปกรณ์ทดสอบและทีมงานของ WS-6 ไว้ ซึ่งวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเครื่องยนต์ Kunlun ในเวลาต่อมา จึงเป็นการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับวางรากฐานการวิจัยและพัฒนาสำหรับการพัฒนาเรดาร์และอาวุธในเวลาต่อมา

หลายคนยังคงให้ร้าย J-9 ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวจากการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ โดยกล่าวว่าการยุติการผลิต J-9 เป็นผลจากความทะเยอทะยานเกินไป แต่ความถูกผิดนั้นอยู่ในใจของผู้คน ข้อเท็จจริงสามารถให้ความรู้แก่ผู้คนได้ดีที่สุด ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แนวคิดที่ว่า "การซื้อดีกว่าการผลิต" ได้รับความนิยม และกองทัพอากาศก็เริ่มสนใจ Mirage 2000 ของฝรั่งเศสและ F16 ของอเมริกา ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงหวานชื่น และการจัดซื้อ F16 ดูเหมือนจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาต้องการขาย F16 ที่ใช้เครื่องยนต์ด้วยที่ล้าสมัย และราคาซื้อขายที่ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สหรัฐฯ จะขาย F16 ให้กับจีนในราคา 35 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากกลางทศวรรษ 1980 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโซเวียตและสหรัฐอเมริกากับโซเวียตเริ่มคลี่คลายและดีขึ้นทีละน้อย และสหรัฐอเมริกาก็สูญเสียความต้องการเชิงยุทธศาสตร์ในการ "เป็นพันธมิตรกับจีนเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต" ช่วงเวลาหวานชื่นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาจึงสิ้นสุดลง และในที่สุด แผนการจัดหา F16 ก็พังทลายลง

ในที่สุด ความฝันที่จะการแปลงโฉม J-8 ในที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น เดือนมกราคม 1986 คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการป้องกันประเทศแห่งชาติได้ประกาศ “อนุมัติการพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 3 ของประเทศ เครื่องบินขับไล่แบบ J-10 ซึ่งมีชื่อรหัสว่า Project No. 10 โดย Song Wencong วิศวกรอากาศยานซึ่งอายุ 56 ปีในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ออกแบบเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 หลังจากความสำเร็จของ J-10 สื่อบางสำนักได้ทบทวนประวัติของ J-10 และมักกล่าวถึงว่าโครงการ J-10 ใหม่นั้น "ได้รับการลงทุนในช่วงเริ่มต้นประมาณ 500 ล้านหยวน" ไม่ชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวได้รับเงินมากมายขนาดนั้นในช่วงเริ่มต้นหรือไม่ เมื่อ Song Wencong เริ่มต้นการทำงานกับทีมของเขา โดยเขายังคงใช้แนวทางดั้งเดิมที่สุดในการพัฒนาเครื่องบินขับไล่! ทีมของ Song Wencong ไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์เพราะต้องรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด นักออกแบบเครื่องบินของสาธารณรัฐใช้พัดลมที่ดังสนั่นไหวทำงานในโกดังที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส สวมเสื้อกั๊กและกางเกงขาสั้น และวาดแบบร่างด้วยมือถึง 67,000 ภาพ! สำหรับทีมของ Song Wencong นอกจากจะมีปัญหาทางเทคนิคแล้ว ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือการขาดเงิน! เนื่องจากครอบครัวของเขาประสบปัญหาทางการเงิน Song Wencong จึงต้องขายบะหมี่ที่แผงขายของหลังเลิกงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ในเมื่อหัวหน้านักออกแบบยังเป็นแบบนี้ สถานการณ์ที่บรรดานักวิจัยและพัฒนาคนอื่น ๆ เผชิญก็ยิ่งจินตนาการได้ยากยิ่งไปกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการไม่มีเงินและไม่มีเทคโนโลยีก็คือ Song Wencong กังวลอยู่เสมอว่า J-10 จะประสบชะตากรรมเดียวกับ J-9 ในปี 1989 จีนได้จัดคณะผู้แทนทางทหารชุดใหญ่เพื่อเยือนสหภาพโซเวียต และ Song Wencong ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมคณะผู้แทนด้วย หลังจากการเยี่ยมชมเครื่องบินขับไล่แบบ Su-27SK ซึ่งเครื่องบินรบล้ำสมัยของโซเวียตในขณะนั้นทำให้คณะผู้แทนจากจีนต้องตกตะลึง หลังจากกลับถึงจีน มีคนเสนอทันทีว่า "เมื่อเทียบกับJ-10 แล้ว Su-27 มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก จึงควรเลิกผลิต J-10 แล้วประหยัดเงินเพื่อซื้อ Su-27 แทน น่าจะคุ้มทุนกว่า"

ผู้นำในยุคนั้นบางคนพูดตรง ๆ ว่าการพัฒนา J-10 คือความ "ต้องการปีนกำแพงเมืองจีนด้วยเงินเพียง 5 เซนต์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้"! แต่คนรุ่นเก่าในวงการการบินที่นำโดย Song Wencong นั้นมีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้! ตลอด 18 ปีของการพัฒนา J-10 ที่ยากลำบาก นักออกบบและวิศวกรหลักหลายคนเสียชีวิตระหว่างทำงาน อาทิ Yang Baoshu ผู้จัดการทั่วไปของ Chengfei มีส่วนสนับสนุนอย่างมากในการพัฒนา J-10 แต่โชคร้ายที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดและเสียชีวิตในวัย 60 ปี Su Dor รองหัวหน้าหน่วยบินทดสอบ J-10 ป่วยเป็นมะเร็งทวารหนักและอุจจาระเป็นเลือดวันละ 3-4 ครั้ง แต่เขายังคงยืนกรานที่จะทำงานจนเสียชีวิต Zhou Zhichuan หัวหน้าวิศวกรการบินทดสอบ อายุ 63 ปีแล้วในขณะนั้น แต่เขาอาศัยอยู่ในฐานบินทดสอบนาน 10 เดือน และเป็นหมดสติหลายครั้งระหว่างการทำงาน แต่สั่งอย่างเคร่งครัดให้แพทย์ที่เดินทางไปด้วย "อย่าบอกใคร" ในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ J-10 ขึ้นบินเป็นครั้งแรก

รู้จัก ‘Muhammad Mahmood Alam’ ผู้ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทียิงเครื่องบินรบอินเดียตก 5 ลำ

ข่าวการสู้รบระหว่างอินเดียและปากีสถานในขณะนี้เป็นที่จับตามองของชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทั้ง 2 ชาติต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ผลจากการปะทะในครั้งนี้อินเดียต้องสูญเสียเครื่องบินรบสมรรถนะสูงไปถึง 5 ลำ โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 กองทัพอากาศอินเดียได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale พร้อมขีปนาวุธ SCALP และระเบิด AASM Hammer ออกปฏิบัติการในช่วงเช้าตรู่เพื่อโจมตีค่ายก่อการร้ายหลายแห่งในปากีสถาน ซึ่งปากีสถานระบุว่าได้ยิงเครื่องบินอินเดียตก 5 ลำที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale จำนวน 3 ลำ ก่อนหน้านี้ ปากีสถานได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สามารถต่อต้านระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ของอินเดียได้สำเร็จ ตามรายงานของ CNN เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้ยืนยันถึงการสูญเสียเครื่องบิน Rafale 1 ลำ และกำลังสืบสวนการสูญเสียในการรบเพิ่มเติม โดยปรากฏภาพของชิ้นส่วนเครื่องบิน Rafale หมายเลขประจำเครื่อง BS001 ของกองทัพอากาศอินเดียบนโซเชียลมีเดีย ปากีสถานระบุว่า เครื่องบินรบของอินเดียถูกยิงตกโดยขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาห์ (อากาศสู่อากาศ) แบบ PL-15Es จากเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE (ซึ่งทั้งคู่ผลิตโดยจีน) ในเวลาต่อมา สำนักข่าวรอยเตอร์ได้อ้างว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่เปิดเผยชื่อได้ยืนยันการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกอย่างน้อย 2 ลำ (รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale) โดยเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE ของปากีสถาน

อันที่จริงแล้ว กองทัพอากาศปากีสถานมีขีดความสามารถในการรบทางอากาศเหนือกว่ากองทัพอากาศอินเดียมานานแล้ว ตั้งแต่การรบทางอากาศในสงครามระหว่างอินเดียและปากีสถานในปี 1965 โดยสงครามครั้งนั้น กองทัพอากาศอินเดียสูญเสียเครื่องบินรบในราว 60-75 ลำ ขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานสูญเสียเครื่องบินรบในราว 19-20 ลำ คิดเป็นอัตราส่วนความสูญเสียของอินเดีย-ปากีสถานที่ 3-3.5 ต่อ 1 ในยุคนั้นกองทัพอากาศอินเดียประจำการด้วยเครื่องบินรบจากอังกฤษ อดีตเจ้าอาณานิคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานใช้เครื่องบินรบส่วนใหญ่จากสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre และ F-104

หนึ่งในเสืออากาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของกองทัพอากาศปากีสถาน ได้แก่ นาวาอากาศเอก(พิเศษ) Muhammad Mahmood Alam (6 กรกฎาคม 1935 – 18 มีนาคม 2013) เป็นที่รู้จักในชื่อ M.M. Alam หรือ มังกรน้อย (Little dragon) หรือ M.M. Sabre เป็นนักบินขับไล่และวีรบุรุษสงครามแห่งปากีสถาน เขาเป็นเสืออากาศที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากกองทัพอากาศปากีสถานว่าสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของอินเดียตกได้ 5 ลำในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาทีในสงครามอินเดีย-ปากีสถานในปี 1965 M.M. Alam เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1935 ในครอบครัวชาวเบงกอลมุสลิม เขาเกิดและเติบโตในนครกัลกัตตา เบงกอล จักรวรรดิอินเดียของอังกฤษในขณะนั้น เขาพูดภาษาเบงกอลได้คล่องเนื่องจากเป็นภาษาแม่ ด้วยมารดามีเชื้อสายเบงกอลและบิดามีเชื้อสายบิฮารี โดยอพยพมาจากปัตนาและต่อมาตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดเบงกอล ต่อมาครอบครัวของเขาอพยพมาอพยพต่อไปยังดินแดนเบงกอลตะวันออก (ซึ่งต่อมากลายเป็นปากีสถานตะวันออกและบังกลาเทศในปัจจุบัน) หลังจากก่อตั้งปากีสถานในปี 1947 เขาจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในปากีสถานตะวันออก โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐบาลในเมืองธากาในปี 1951 เขาเข้าร่วมกองทัพอากาศปากีสถานในปี 1952 โดยเข้าประจำการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1953 เนื่องจากเป็นพี่คนโตในบรรดาพี่น้อง 11 คน เขาจึงไม่ได้แต่งงานเนื่องจากต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดูครอบครัว น้องชายของเขาเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในทางวิชาการที่หลากหลาย อาทิ M. Shaheed Alam นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น บอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และ M. Sajjad Alam นักฟิสิกส์อนุภาคแห่งมหาวิทยาลัยออลบานี (SUNY) มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

วันที่ 7 กันยายน 1965 ในช่วงสงครามอินเดีย-ปากีสถาน M.M. Alam ประจำการอยู่กับฝูงบินที่ 11 ฐานทัพอากาศ Sargodha และทำการบินด้วยเครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre เขาประสบความสำเร็จในภารกิจสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์การรบทางอากาศ โดยสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของกองทัพอากาศอินเดียตกเพียงลำพังได้ถึง 5 ลำภายในเวลาไม่ถึงสองนาที โดย 4 ลำใช้เวลาเพียง 30 วินาทีเท่านั้น โดยมีการกล่าวอ้างว่า ครั้งนั้นเขาสามารถยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกถึง 7 ลำ แต่ 2 ลำในจำนวนนี้ถูกจัดว่า "น่าจะ" ถูกยิงตก (ซึ่งไม่มีการยืนยัน) โดยเขาเล่าว่าในขณะนั้น เขาได้บิน "หมุนตัว 270 องศาด้วยความเร็วประมาณ 12 องศาต่อวินาที และยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกไป 4 ลำรวด และต่อมาอีก 1 ลำ" ผลงานอันน่าทึ่งนี้ทำให้เขาได้รับการยอมรับทั่วโลกและได้รับเกียรติอันหายากในการเป็น 'สุดยอดเสืออากาศในหนึ่งวัน' ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มอบให้กับนักบินขับไล่ที่สามารถยิงเครื่องบินของศัตรูตกได้ตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไปในหนึ่งวัน ผลงานของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ทักษะ ความแม่นยำ และความกล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้ภายใต้การโจมตี ตำนานของ M.M. Alam ยังคงสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากมายให้กับชาวปากีสถาน และชื่อของเขายังได้รับการจารึกไว้ในปากีสถานผ่านเกียรติยศต่างๆ เช่น ถนน M. M. Alam ซึ่งเป็นถนนสายหลักในเมืองลาฮอร์ รัฐปัญจาบ ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา ในสงครามปากีสถาน-อินเดียปี 1965 ในการสู้รบทางอากาศ เขาสามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกได้ทั้งหมด 9 ลำ (และน่าจะยิงตกอีก 2 ลำ)

M.M. Alam เป็นนักบินขับไล่คนแรกของกองทัพอากาศปากีสถานที่ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อหอเกียรติยศ (Hall of Fame) ของพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศปากีสถาน ในนครการาจี และได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติของปากีสถาน รางวัล 'Sitara-e-Jurat' และเหรียญ BAR อีกด้วย ในปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการฝูงเครื่องบินขับไล่แบบ Dassault Mirage III ฝูงบินแรกที่กองทัพอากาศปากีสถานจัดหา ในปี 1982 เขาเกษียณอายุราชการและย้ายไปอยู่ที่นครการาจี เขาปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดในช่วงบั้นปลายชีวิต ในบางครั้ง เขาจะรับเชิญให้ไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในปากีสถาน เขาสะสมหนังสือเป็นจำนวนมาก และอ่านหนังสือพิมพ์วันละหลายฉบับเพื่อติดตามข่าวสาร หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของปากีสถานระบุว่า "M.M. Alam เป็นชายที่เคารพตัวเองมาก เขาใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและนับถือตัวเองอย่างที่สุด เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นกันเองกับเพื่อนที่เขาไว้ใจ" M.M. Alam เข้ารับการรักษาปัญหาทางเดินหายใจเป็นเวลา 18 เดือนที่โรงพยาบาล PNS Shifa ของฐานทัพเรือปากีสถานในนครการาจี และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2013 สิริอายุ 77 ปี มีการสวดภาวนาเพื่อไว้อาลัย ณ ฐานทัพอากาศ PAF Masroor ซึ่งเป็นที่ที่เขาประจำการใช้ในช่วงหลายปีที่สำคัญในอาชีพทหาร เขาถูกฝังที่สุสาน Shuhuda (ผู้พลีชีพ) ซึ่งตั้งอยู่ภายในฐานทัพอากาศ Masroor

BRN แถลงเสียใจ!! แต่ความรุนแรงยังต่อเนื่องสวนทางกับคำขอโทษ กลบไม่มิดความจริง…เมื่อคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ถูกใช้เพื่อแลกกับชีวิตเด็ก พระ และครู

(6 พ.ค. 68) จากโพสต์ล่าสุดของเพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี ถึงเรื่อง “คำขอโทษที่ลอยอยู่เหนือซากศพ: ความจริงที่สวนทางกับคำแถลงของ BRN”

แม้ BRN หรือแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี จะออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือน” และอ้างว่ายึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนใต้กลับตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้—ว่าพลเรือนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่องจากการกระทำที่มีลักษณะเป็นการมุ่งเป้าโดยตรงจากกลุ่มติดอาวุธที่อ้างชื่อ BRN เอง

ในเดือนเมษายน 2568 กลุ่มติดอาวุธได้ยิงถล่มรถที่พระภิกษุและสามเณรใช้บิณฑบาตในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ส่งผลให้สามเณรอายุ 16 ปีเสียชีวิต และเด็กชายวัย 12 ปีได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการออกแถลงการณ์ และไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ชีวิตของเยาวชนต้องดับสูญเพียงเพราะความรุนแรงที่กลุ่มติดอาวุธอ้างว่า “ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี”

ย้อนไปเมื่อปี 2560 ห้างบิ๊กซีในจังหวัดปัตตานีถูกโจมตีด้วยระเบิดสองลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 56 ราย รวมถึงเด็กเล็ก ขณะที่ปี 2562 จุดตรวจในจังหวัดยะลาถูกลอบโจมตีด้วยอาวุธสงคราม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสียชีวิตถึง 15 ราย—ล้วนเป็นบุคคลไร้อาวุธ ผู้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น

ยิ่งไปกว่านั้น สถิติการสังหารครูในพื้นที่ภาคใต้ระหว่างปี 2547–2556 ระบุว่าครูอย่างน้อย 157 รายถูกสังหาร ไม่ใช่เพราะมีบทบาททางทหาร แต่เพียงเพราะทำหน้าที่ให้ความรู้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือมีรายงานว่าเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไปถูกกลุ่มติดอาวุธเกณฑ์เข้าฝึกและใช้เป็นผู้สอดแนม นั่นย่อมขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”

ในบริบทนี้ การที่ BRN ออกแถลงการณ์เสียใจภายหลังการสังหารเด็ก คนชรา หรือพระสงฆ์ แทนที่จะกล่าวถึงความรับผิดชอบหรือแสดงเจตจำนงที่จะยุติการใช้ความรุนแรง กลับยิ่งทำให้แถลงการณ์กลายเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมแต่อย่างใด

เพราะการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีนั้น ต้องไม่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และไม่ควรมีเด็กคนใดต้องโตมากับเสียงปืนเพื่อให้ใครบางคน “ได้สิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

หากการต่อสู้ของ BRN ยังคงดำเนินไปด้วยแนวทางเดิม แถลงการณ์ใดๆ ที่ตามมาจะเป็นเพียงฉากหน้าของการใช้กำลังที่ไร้ความชอบธรรม และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากสังคมไทยหรือประชาคมโลกได้อย่างแท้จริง

BRN ใช้!! ‘ความเงียบ’ เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้าย ซุ่มยิง ลอบสังหาร ฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนพิการ อย่างโหดเหี้ยม

(5 พ.ค. 68) ขณะที่ประเทศไทยกำลังสลดกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ — เด็กหญิงวัย 9 ขวบถูกยิงเสียชีวิต ผู้หญิงตาบอดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม — กลับมีบางเสียงในสังคมผลักดันให้รัฐไทย "เจรจา" กับกลุ่มผู้ก่อเหตุภายใต้หน้ากากคำว่า "สันติภาพ" และ "หยุดยิงชั่วคราว" 15 วัน จากกลุ่ม BRN

ข้อเสนอของ BRN ดังกล่าวถูกส่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” และ “บรรยากาศสันติภาพ” แต่ตลอดช่วงเวลากว่าสามเดือนหลังจากนั้น — แทนที่เราจะได้เห็นท่าทีสงบ — กลับเต็มไปด้วยข่าวการซุ่มยิง การลอบสังหาร และที่รุนแรงที่สุดคือการฆ่าเด็ก ผู้หญิง และผู้พิการ

นั่นคือหลักฐานชัดเจนว่า BRN ไม่ได้รอการตอบรับ — แต่ใช้ “ความเงียบ” เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้ายต่อ

1. ข้อเสนอที่ขาดความจริงใจ ไม่ใช่หนทางของประเทศไทย
“สันติภาพ” ที่ปราศจากจริยธรรม ไม่ใช่สันติภาพที่ประเทศไทยควรยอมรับ ข้อเสนอของ BRN ฟังดูหรูหราทางเทคนิค แต่ในทางคุณธรรม มันคือการขอคืนภาพลักษณ์จากสังคมโลก โดยไม่ต้องไถ่โทษให้เหยื่อแม้แต่รายเดียว ประเทศไทยจะให้รางวัลกับความรุนแรงหรือ??

2. หยุดยิง 15 วัน หรือหยุดเพื่อตั้งลำยิงใหม่?
ข้อเสนอ “หยุดยิงสองฝ่าย” โดยตั้งทีมติดตามจาก CSO และ NGO ที่ไร้ความชัดเจนในจุดยืน อาจเป็นเพียงกลไกให้ BRN ซุ่มสะสมกำลังใหม่ พื้นที่หยุดยิงคือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่สำหรับประชาชน

3. ความเงียบของทางการไทย คือหลักประกันว่าประเทศนี้ไม่อ่อนข้อให้ความตาย
การที่ไทยยังไม่ตอบรับตลอด 3 เดือน ไม่ได้แปลว่าไม่ใส่ใจ แต่เป็นการแสดงจุดยืนอย่างมีหลักการ เพราะความเงียบไม่ควรถูกตอบแทนด้วยกระสุนที่ยิงใส่เด็กวัย 9 ขวบ หรือคนชราที่ไร้อาวุธ

4. หาก BRN จริงใจ – หยุดยิงโดยไม่ต้องต่อรอง
ประเทศไทยไม่ใช่ผู้เริ่มความรุนแรง และไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายยื่นมือก่อน หาก BRN ต้องการเจรจาจริง — ขอให้ปลดอาวุธ หยุดทุกการกระทำอันเป็นภัยต่อประชาชน และแสดงความเสียใจกับเหยื่อ เสียก่อน

5. ยื่นข้อเสนอแล้วฆ่าเด็ก = เจตนาไม่บริสุทธิ์
การที่ BRN ยื่นข้อเสนอหยุดยิง แต่กลับดำเนินความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่อเป้าหมายที่อ่อนแอที่สุดของสังคม คือ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อแนวคิด “สันติภาพ”

หากยังมีใครพยายามผลักให้ประเทศไทยยอมอ่อนข้อในสถานการณ์เช่นนี้ — จงอย่าหลอกตัวเองว่านั่นคือสันติภาพ แต่คือการเปิดประตูให้กับการทำร้ายซ้ำอีกครั้ง

3 วันแห่งสันติภาพ หรือ 3 วันแห่งกลยุทธ์ ปูติน ประกาศหยุดยิงชั่วคราวในสมรภูมิยูเครน วิเคราะห์!! วัตถุประสงค์การหยุดยิงของรัสเซียในช่วง ‘วันแห่งชัยชนะ’ ปี ค.ศ. 2025

เมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2025 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินประกาศหยุดยิงชั่วคราวในสมรภูมิยูเครนระหว่างวันที่ 8 ถึง 11 พฤษภาคม เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะของสหภาพโซเวียตเหนือเยอรมนีนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง การหยุดยิงดังกล่าวมีนัยทางการเมืองที่สำคัญและชวนให้ตั้งคำถามว่า “นี่คือสัญญาณแห่งสันติภาพที่แท้จริง หรือเป็นเพียงช่วงเวลาพักรบเพื่อวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์?” แม้จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากรัสเซียว่าเป็น “การเคารพต่อประวัติศาสตร์และความเสียสละของผู้คน” ฝ่ายยูเครนกลับแสดงความระแวง โดยมองว่าหยุดยิงดังกล่าวอาจถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการจัดทัพใหม่ หยั่งเชิง หรือแม้แต่ขยายอิทธิพลในเชิงสัญลักษณ์ต่อสายตานานาชาติ การหยุดยิงที่กินระยะเวลาเพียงสามวันจึงไม่ใช่เพียงการ “ลดเสียงปืน” ชั่วคราว หากแต่เป็นจุดตัดของประวัติศาสตร์ การเมือง และยุทธศาสตร์—ที่ซึ่งอดีตถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือปั้นแต่งปัจจุบัน เพื่อเป้าหมายแห่งอนาคตที่อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงสันติภาพ บทความนี้จะวิเคราะห์การหยุดยิงดังกล่าวผ่านมุมมองของภูมิรัฐศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ (historical geopolitics) และ การเมืองของความทรงจำ (politics of memory) โดยพิจารณาความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่อย่าง “Victory Day” และพฤติกรรมของรัฐที่มีผลต่อทั้งสนามรบและสนามการทูตในระดับโลก

“Victory Day” หรือ День Победы ในวันที่ 9 พฤษภาคม ไม่ได้เป็นเพียงวันหยุดราชการหรือการรำลึกถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น หากแต่เป็นหนึ่งใน “เสาหลัก” ของการประกอบสร้างอัตลักษณ์ชาติรัสเซียยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินที่ใช้วันแห่งชัยชนะนี้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์เพื่อย้ำภาพของรัสเซียในฐานะ “ผู้ปลดปล่อยยุโรปจากลัทธินาซี” และ “มหาอำนาจผู้เสียสละ”ในเวทีภายในประเทศ Victory Day กลายเป็นพิธีกรรมทางการเมืองที่ช่วยหล่อเลี้ยงความชอบธรรมของรัฐ ผ่านการจัดสวนสนามทางทหาร การเดินพาเหรด "ผู้ไม่ตาย" «Бессмертный полк» และสื่อสารถึงความต่อเนื่องของความยิ่งใหญ่จากอดีตสู่ปัจจุบัน ประชาชนได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักถึงบทบาทของรัสเซียในประวัติศาสตร์โลก พร้อมกับเสริมสร้างความภูมิใจในชาติและ “ความรักต่อมาตุภูมิ” «патриотизм»  ซึ่งถูกยกขึ้นมาเป็นคุณค่าสูงสุดของพลเมืองรัสเซีย ในเวทีระหว่างประเทศ Victory Day ถูกใช้เป็น “ทุนทางสัญลักษณ์” ในการส่งสารทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในบริบทของสงครามยูเครนการอ้างถึงชัยชนะเหนือฟาสซิสม์มักถูกใช้ในการเปรียบเทียบยูเครนหรือชาติตะวันตกว่าเป็น “ภัยคุกคามทางอุดมการณ์แบบเดียวกับในอดีต” สิ่งนี้ทำให้การเมืองของความทรงจำ (memory politics) กลายเป็นกลไกสำคัญที่รัสเซียใช้ในการสร้างกรอบการรับรู้ใหม่ ซึ่งผู้ฟังไม่ใช่เพียงประชาชนของตน แต่รวมถึงประชาคมระหว่างประเทศที่กำลังมองดูรัสเซียอย่างใกล้ชิด

นักวิชาการรัสเซียจำนวนมากให้ความสนใจต่อบทบาทของ Victory Day ในฐานะ "เครื่องจักรแห่งความทรงจำของชาติ" ที่รัฐใช้เพื่อควบคุมการตีความอดีต ตัวอย่างเช่น นิโคไล มิทโรฟานอฟ (Nikolai Mitrofanov) นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรัฐมอสโกชี้ว่า "ชัยชนะในสงครามมหาบูรพาคือปัจจัยหลักที่หล่อหลอมภาพลักษณ์ความเป็นมหาอำนาจของรัสเซียหลังยุคโซเวียต" โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายจากภายนอกขณะเดียวกัน นักรัฐศาสตร์สายภูมิรัฐศาสตร์อย่าง อันเดรย์ ซูซดาลเซฟ «Андрей Иванович Суздальцев» มองว่า Victory Day ไม่ได้เป็นเพียง “ความทรงจำร่วมของประชาชน” แต่เป็น “เครื่องมือของรัฐในการจัดเรียงลำดับศัตรู-มิตรใหม่” โดยเฉพาะในยุคสงครามยูเครน ที่ความทรงจำเกี่ยวกับชัยชนะถูกนำมาใช้เพื่อเปรียบเทียบยูเครนกับลัทธินาซีในอดีต นักคิดชาตินิยมคนสำคัญอย่างอเล็กซานเดอร์ 

ดูกิน (Alexander Dugin) ยังกล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า "Victory Day เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางการเมืองที่เชื่อมรัสเซียเข้ากับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของยุโรปและโลก" สำหรับดูกินการหยุดยิงในช่วงดังกล่าวจึงเป็น “พิธีกรรมของรัฐ” «государственный ритуал»  มากกว่าจะเป็นการเปิดทางสู่การเจรจาทางสันติ ด้วยเหตุนี้ บริบทของ Victory Day ในสายตานักวิชาการรัสเซียจึงมีความลึกและซับซ้อนมากกว่าการเฉลิมฉลองทั่วไป เพราะมันคือการแสดงออกของ “รัฐในฐานะผู้ควบคุมอดีต” (state as memory manager) และใช้สัญลักษณ์แห่งชัยชนะมาเป็นเครื่องมือกำหนดยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน ดังนั้นการประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ปี ค.ศ. 2025 จึงไม่อาจแยกขาดจากบริบทนี้ เพราะมันคือการใช้สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์เพื่อห่อหุ้มพฤติกรรมทางยุทธศาสตร์ สันติภาพที่ถูกนำเสนอในครั้งนี้จึงมีความเป็น “พิธีกรรม” มากพอ ๆ กับความเป็น “นโยบาย”

แม้การประกาศหยุดยิงของรัสเซียในช่วงวันแห่งชัยชนะหรือ Victory Day ปี ค.ศ. 2025 จะถูกเสนอในนามของ “สันติภาพ” และ “เกียรติยศแห่งความทรงจำ” ฝ่ายยูเครนกลับปฏิเสธที่จะตอบรับหรือประกาศหยุดยิงตอบโดยอ้างเหตุผลหลักสองประการคือ 1) ความไม่ไว้วางใจในเจตนารมณ์ของรัสเซีย และ 2) ความกลัวต่อการใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ สำหรับยูเครน Victory Day ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการปลดปล่อยหากแต่เป็นร่องรอยของอิทธิพลโซเวียตที่ยังหลงเหลืออยู่ในโครงสร้างอำนาจปัจจุบันของรัสเซีย ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีได้ปรับเปลี่ยนวันที่ระลึกชัยชนะให้ตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคมตามแบบสากลและยกเลิกการจัดขบวนพาเหรดทางทหารเพื่อ “ตัดขาดจากวาทกรรมชัยชนะของมอสโก” จึงไม่น่าแปลกใจที่การหยุดยิงโดยใช้ Victory Day เป็นกรอบความชอบธรรมจะถูกมองว่าเป็นการ “ครอบงำเชิงสัญลักษณ์” มากกว่าจะเป็นการแสดงความจริงใจทางการทูต ในทางยุทธศาสตร์ยูเครนมีประสบการณ์ตรงจากช่วงปี ค.ศ. 2022–2023 ที่การหยุดยิงเฉพาะกิจในบางพื้นที่กลับกลายเป็นโอกาสให้กองทัพรัสเซียจัดแนวรบใหม่หรือเสริมกำลังอย่างเงียบ ๆ ตัวอย่างเช่นในช่วง “หยุดยิงคริสต์มาส” เดือนมกราคม ค.ศ. 2023 ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่ารัสเซียใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการเคลื่อนพลและเสริมเสบียงจึงเป็นเหตุให้รัฐบาลยูเครนในปี ค.ศ. 2025 ปฏิเสธที่จะ “ลดการระวังภัย” แม้ในช่วงเวลาที่ถูกนำเสนอว่าเป็น “โอกาสทองแห่งการรำลึกและคืนดี”นอกจากนี้ ยูเครนยังมองว่า รัสเซียกำลังใช้การหยุดยิงเป็นเครื่องมือในการ “ตีกรอบทางจริยธรรม” (moral framing) โดยวาดภาพฝ่ายตรงข้ามว่า “ปฏิเสธสันติภาพ” หากไม่ตอบรับข้อเสนอของรัสเซีย สิ่งนี้อาจสร้างความกดดันต่อยูเครนในสายตาประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เริ่มลังเลต่อความยืดเยื้อของสงครามในบริบทเช่นนี้ความไม่ไว้วางใจจึงไม่ใช่เพียงปฏิกิริยาเชิงอารมณ์แต่คือกลยุทธ์ในการปกป้องอธิปไตยและการเล่าเรื่อง (narrative) ของตนเอง ซึ่งยูเครนพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมในเวทีระหว่างประเทศ

การประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ของรัสเซียไม่เพียงแค่มีผลต่อฝ่ายสงครามในสนามรบหากแต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อยุทธศาสตร์ทางการทูตและภาพลักษณ์ของรัสเซียในระดับโลก การหยุดยิงในช่วงเวลาดังกล่าวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมการรับรู้ของประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะในแง่การสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในฐานะรัฐที่มีความรับผิดชอบและเคารพต่อ “สันติภาพ” ที่ถูกเน้นย้ำในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง การหยุดยิงในวันดังกล่าวสามารถมองได้ว่าเป็นความพยายามของรัสเซียในการส่งสัญญาณถึงสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกว่ารัสเซียเปิดทางให้การเจรจาทางการทูตแม้ในขณะที่ความขัดแย้งในยูเครนยังดำเนินต่อไป สัญญาณนี้อาจมีจุดประสงค์ในการบีบให้ฝ่ายตะวันตกแสดงท่าทีเกี่ยวกับการหาทางออกสงครามหรือแม้แต่เสนอทางเลือกในการเจรจาที่เป็นมิตรกับผลประโยชน์ของรัสเซีย ซึ่งในทางการทูตถือเป็นการ "เคลื่อนไหวเชิงภาพลักษณ์" ที่มีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมั่นและขยายการยอมรับจากประเทศต่างๆ ในขณะเดียวกัน การประกาศหยุดยิงยังเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันทางสัญลักษณ์ต่อประเทศที่ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน โดยเฉพาะประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าใกล้ชิดกับรัสเซีย เช่น จีน อินเดีย และบางประเทศในอาเซียน การแสดงออกเช่นนี้ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของรัสเซียกับประเทศเหล่านี้ดูดีขึ้นในสายตาของสาธารณชน โดยการส่งสัญญาณว่า "รัสเซียพร้อมที่จะยุติสงคราม หากฝ่ายอื่นยินดีที่จะหารือ"

เมื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ในอดีตการหยุดยิงในช่วง Victory Day ยังสะท้อนให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ทางการทูตในลักษณะคล้ายคลึงกับที่รัสเซียใช้ในช่วงสงครามเย็น ในช่วงเวลานั้นสหภาพโซเวียตใช้การหยุดยิงหรือข้อตกลงทางการทูตในช่วงเวลาสำคัญเพื่อทำลายความเป็นเอกภาพของฝ่ายตะวันตกและสร้างแรงกดดันให้เกิดความลังเลในการสนับสนุนประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง ในกรณีนี้รัสเซียอาจพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ทำให้ชาติตะวันตกและยูเครนต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทำตามข้อเรียกร้องของรัสเซียหรือไม่โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้การหยุดยิงครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้รัสเซียแสดงบทบาทในฐานะ “ผู้เสนอทางออก” ต่อความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ซึ่งในทางการทูตถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่รัสเซียสามารถชูขึ้นมา เป็นรัฐที่ไม่เพียงแค่เป็นผู้โจมตีหากแต่เป็น “ตัวกลาง” ที่ช่วยลดความรุนแรงในระดับสากล แม้ในความเป็นจริงการหยุดยิงนี้ยังไม่สามารถสะท้อนถึงความตั้งใจในการยุติความขัดแย้งอย่างถาวร ในแง่การเมืองภายในรัสเซียอาจมองว่าการประกาศหยุดยิงนี้จะช่วยเพิ่มความชอบธรรมในสายตาของประชาชนและชดเชยความสูญเสียในระยะยาวของสงครามขณะที่ยังคงรักษาสถานะของตนในฐานะมหาอำนาจที่มีบทบาทในเวทีโลก

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นจากการประกาศหยุดยิงในช่วง Victory Day ของรัสเซียคือ “มันจะนำไปสู่การเจรจาสันติภาพที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการทูตที่ใช้สร้างภาพลวงตา?” ในขณะที่รัสเซียเสนอการหยุดยิงเพื่อรำลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายยูเครนและหลายประเทศในประชาคมระหว่างประเทศต่างตั้งคำถามถึงความจริงใจและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของรัสเซีย การหยุดยิงในช่วงนี้ถูกมองว่าเป็นโอกาสในการปูทางสู่การเจรจาสันติภาพ หากฝ่ายต่างๆ พร้อมที่จะกลับมาร่วมโต๊ะเจรจา หลังจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อมาเกือบสองปี อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ของการเจรจาที่ยั่งยืนนั้นยังคงอยู่ในความสงสัย รัสเซียเองไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการลดความเข้มข้นของการปฏิบัติการทางทหารหรือให้สัญญาที่เป็นรูปธรรมในการยุติสงคราม

แม้การหยุดยิงจะถูกนำเสนอว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” สำหรับการเจรจาแต่หลายฝ่ายมองว่ามันเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ที่รัสเซียใช้ในการสร้างกรอบการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศตนเอง และอาจถูกใช้เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ฝ่ายยูเครนยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมในอนาคต ยูเครนและพันธมิตรตะวันตกยืนยันว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับการเจรจาที่ไม่คำนึงถึงอธิปไตยและดินแดนของยูเครนโดยเฉพาะเมื่อรัสเซียยังคงยืนยันในข้อเสนอที่เป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศและหลักการสากลในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่มั่นใจในความจริงใจของรัสเซียในการหยุดยิงครั้งนี้สะท้อนจากการกระทำในอดีตเมื่อครั้งที่รัสเซียเคยละเมิดข้อตกลงทางการทูตหลายครั้งในช่วงสงคราม การหยุดยิงในกรอบเวลานี้อาจถูกมองว่าเป็นเพียงการใช้ช่วงเวลาที่มีความสำคัญทางสัญลักษณ์เพื่อเจรจาในเงื่อนไขที่รัสเซียจะได้ประโยชน์มากขึ้นในระยะยาว มากกว่าการจริงจังในการหาทางออกที่แท้จริง ข้อเสนอการหยุดยิงในช่วงวัน Victory Day ยังสร้างความสงสัยในหลายประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัสเซียในสงครามยูเครน อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองบางประการที่เชื่อว่าการประกาศหยุดยิงในช่วงวันสำคัญเช่นนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนโดยเฉพาะหากมีการสร้างความเชื่อมั่นจากทั้งสองฝ่ายว่าการเจรจาจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการสร้างภาพลวงตา หากแต่เป็นการจริงจังที่จะยุติสงคราม สุดท้ายนี้ การหยุดยิงในช่วงวัน Victory Day จึงเป็นการทดสอบที่สำคัญสำหรับประชาคมระหว่างประเทศและทั้งสองฝ่ายในสงครามหากการหยุดยิงนี้นำไปสู่การเจรจาที่แท้จริงก็จะถือเป็นสัญญาณของความพร้อมในการยุติสงคราม แต่หากเป็นเพียงกลยุทธ์ในการสร้างความสงบเพื่อเตรียมการรุกทหารใหม่ก็จะยิ่งเพิ่มความไม่มั่นใจและการต่อต้านจากทั้งยูเครนและพันธมิตรของพวกเขา

บทสรุป การประกาศหยุดยิงของรัสเซียในช่วงวันครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งกำหนดระหว่างวันที่ 8–11 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 เป็นการแสดงออกที่มีความหมายทางการทูตและการเมืองอย่างลึกซึ้ง สำหรับรัสเซียการหยุดยิงนี้ไม่ได้เพียงแค่เป็นการรำลึกถึงความสำเร็จทางทหารในอดีตแต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในฐานะประเทศที่เปิดช่องทางสู่สันติภาพแม้ในขณะที่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินอยู่อย่างไรก็ตามการหยุดยิงนี้ได้รับการตอบสนองที่แตกต่างกันจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากยูเครนและพันธมิตรตะวันตกซึ่งมองว่าเป็นการใช้ช่วงเวลาสัญลักษณ์เพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์มากกว่าจะเป็นการยุติสงครามที่แท้จริง ยูเครนไม่เชื่อมั่นในความจริงใจของรัสเซียและมีความกังวลว่ารัสเซียอาจใช้การหยุดยิงนี้เพื่อเสริมกำลังและจัดการแนวรบใหม่ในขณะเดียวกัน แม้บางฝ่ายจะมองว่าการหยุดยิงในช่วงนี้อาจเป็นการเปิดโอกาสให้เริ่มต้นการเจรจาสันติภาพแต่ยังคงมีคำถามถึงความจริงใจของรัสเซียและความพร้อมในการยุติสงครามอย่างถาวร ในขณะที่ยูเครนยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาอธิปไตยและความสมบูรณ์ของดินแดนท้ายที่สุดการหยุดยิงนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันต่อฝ่ายยูเครนและพันธมิตรของพวกเขาหรืออาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการเจรจาสันติภาพขึ้นอยู่กับการตอบสนองและท่าทีของทั้งสองฝ่ายในอนาคต การจับตาและวิเคราะห์การดำเนินการในช่วงเวลาเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของสงครามและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต

บทเรียนราคาแพง จากไฟดับ ในทวีปยุโรป ไม่มีแสง ไร้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ‘วิทยุ’ ที่เคยถูกมองว่าล้าสมัย!! กลับกลายเป็น ‘สิ่งจำเป็นในยามวิกฤต’

(3 พ.ค. 68) ในค่ำคืนที่ไฟฟ้าทั้งระบบดับลงพร้อมกันทั่วกรุงมาดริดและหลายเมืองใหญ่ในสเปนและโปรตุเกส—ไม่มีแสง ไม่มีสัญญาณ ไม่มีอินเทอร์เน็ต—สิ่งที่กลับถูกถามหามากที่สุดไม่ใช่โทรศัพท์รุ่นใหม่ ไม่ใช่แท็บเล็ต แต่คือ วิทยุ

“ยังมีวิทยุเหลือไหม?” เป็นคำถามที่ร้านขายของชำเล็ก ๆ ในมาดริดได้ยินถี่ที่สุดในช่วงไฟดับ ผู้คนพากันต่อคิวถามหาไฟฉาย แบตเตอรี่ เทียนไข และวิทยุทรานซิสเตอร์ ราวกับย้อนเวลากลับไปในยุคก่อนสมาร์ตโฟน

เรเยส พาแตร์นา แม่ลูกสองที่กำลังพาลูกกลับบ้านบอกว่า “ไม่มีอะไรใช้ได้เลย โทรศัพท์ก็เงียบ เรายังมีของใช้เด็กนิดหน่อย แต่ไม่รู้จะหาข่าวจากไหน เรามีเตาแคมป์ก็จริง แต่ไม่แน่ใจว่ากระป๋องแก๊สจะยังเหลือไหม”

บนถนนสายหนึ่งในย่านชุมชน คนขับรถจอดรถ เปิดกระจกรถ แล้วเปิดวิทยุดัง ๆ ให้คนอื่นมารวมตัวฟังข่าวด้วยกัน บางคนเอาเก้าอี้มานั่งฟัง สร้าง 'ชุมชนคลื่นเสียง' ขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

มาเรีย รามิเรซ นักข่าวจาก elDiario.es ซึ่งรายงานเหตุการณ์นี้ กล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดไม่ใช่แค่การฟื้นฟูไฟฟ้าใน 12 ชั่วโมง แต่คือความสงบและสามัญสำนึกของประชาชน—กับวิทยุเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่ออีกครั้ง”

แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่ในภาวะสงบนิ่งเช่นนั้น แท็กซี่ตะโกนว่า “รับเฉพาะเงินสด!” และมีคนบางกลุ่มแซงคิวหญิงตั้งครรภ์ขึ้นรถ บ่งชี้ว่าเมื่อระบบล่ม ความเป็นระเบียบก็อาจล่มสลายตาม

มานูเอล ปาสเตอร์ วัย 72 ปี ส่ายหัวพลางลากรถเข็นใส่อาหารกระป๋องกลับบ้าน “เราหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาภายในวันสองวัน ถ้าเกินกว่านั้นคนจะเริ่มตื่นตระหนก แล้วจะเกิดเรื่องเหมือนตอนโควิดอีก”

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำข้อเท็จจริงอันเจ็บปวดว่า แม้ในโลกที่ก้าวหน้าที่สุด หากไร้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกสิ่งอาจหยุดชะงัก และสิ่งที่คนเคยหัวเราะเยาะว่า "ล้าสมัย" อย่างวิทยุ กลับกลายเป็นของมีค่าเหนือเทคโนโลยีใด ๆ

มันไม่ใช่แค่เครื่องส่งสัญญาณเสียง แต่มันคือสื่อกลางของความหวัง ความมั่นใจ และการเชื่อมโยงมนุษย์ในยามที่โลกดิจิทัลพังลง

ถึงเวลาหรือยังที่เราจะกลับไปมองสิ่งพื้นฐานด้วยความเคารพ ไม่ใช่เหยียดว่า “เชย”

เพราะในวันที่โลกไร้แสง สิ่งเดียวที่อาจยังพาเรากลับมาหากันได้ คือเสียงจากวิทยุเครื่องเก่า

‘The Mandela Rules’ เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ สำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ส่งผลอย่างมาก!! ต่อนโยบาย และแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ความสำคัญกับความทุกข์ยากของนักโทษและความรับผิดชอบที่ซับซ้อนของเจ้าหน้าที่เรือนจำมาโดยตลอด ดังนั้นในปี 1955 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติจึงได้นำกฎเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners: SMRs) มาใช้ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งแรกว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการจัดการสถานที่ในเรือนจำและการปฏิบัติต่อนักโทษมาเป็นเวลากว่า 60 ปี กฎเกณฑ์เหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

เมื่อกฎหมายระหว่างประเทศและความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางอาญาและสิทธิมนุษยชนได้รับการพัฒนา ประเทศสมาชิกสหประชาชาติก็ตระหนักว่ามาตรฐานการลงโทษจะได้รับประโยชน์จากการทบทวน ในปี 2011 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลขึ้นเพื่อปรับปรุงมาตรฐานการลงโทษให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 โดยไม่ลดมาตรฐานที่มีอยู่ใด ๆ ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปี 2015 ประเทศสมาชิกได้หารือเกี่ยวกับลักษณะและขอบเขตของการแก้ไขโดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยังได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมด้วย

หลังจากวิเคราะห์ความก้าวหน้าของกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับการลงโทษ และแนวทางปฏิบัติด้านการบริหารจัดการเรือนจำที่ดีตั้งแต่ปี 1955 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้เสนอให้แก้ไขกฎเกณฑ์เดิมมากกว่าหนึ่งในสามในเก้าประเด็นหลัก ได้แก่ ศักดิ์ศรีของนักโทษในฐานะมนุษย์ กลุ่มนักโทษที่เปราะบาง บริการด้านการดูแลสุขภาพ ข้อจำกัด วินัย และการลงโทษ การสืบสวนการเสียชีวิตและการทรมานในระหว่างการควบคุมตัว การเข้าถึงตัวแทนทางกฎหมายของนักโทษ การร้องเรียนและการตรวจสอบ การอบรมเจ้าหน้าที่เรือนจำ และคำศัพท์ที่ต้องปรับปรุง ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติที่แก้ไขใหม่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ โดยเกณฑ์ดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า 'The Mandela Rules' เพื่อเป็นเกียรติแก่ 'Nelson Mandela' อดีตประธานาธิบดีแห่งแอฟริกาใต้ ซึ่งเคยถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปีเนื่องจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

'The Mandela Rules' เป็น 'Soft law (กฎหมายอ่อน)' ซึ่งหมายความว่าข้อกำหนดนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย กฎหมายของประเทศมีอำนาจเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อกำหนดเหล่านี้ไม่มีความสำคัญ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนระหว่างประเทศได้นำข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ตกลงกันโดยสากล ประเทศสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากได้นำบทบัญญัติของข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้ในกฎหมายในประเทศของตนหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ ฝ่ายตุลาการในประเทศนั้น ๆ อาจใช้ข้อกำหนดเหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลรองเมื่อตัดสินว่าแนวทางปฏิบัติในเรือนจำของประเทศนั้นถูกต้องตามธรรมนูญดังกล่าวหรือไม่

“The Mandela Rules” เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2015 หลังจากผ่านกระบวนการแก้ไขเป็นเวลา 5 ปี ประกอบด้วย "ข้อกำหนด" 122 ข้อ ซึ่งไม่ใช่ข้อกำหนดทั้งหมด บางข้อเป็นหลักการ เช่น ความเท่าเทียมกันในสถาบันและปรัชญาของการกักขัง ข้อกำหนดดังกล่าวได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1955 ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดจัดขึ้นที่เจนีวาและได้รับการอนุมัติโดยคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาติในมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1957 และ 13 พฤษภาคม 1977

ตั้งแต่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมได้รับรองเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners : SMR) ในปี 1957 เป็นต้นมา เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ แม้ว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่มีข้อผูกมัดทางข้อกำหนดหมาย แต่เกณฑ์ดังกล่าวก็มีความสำคัญทั่วโลกในฐานะแหล่งข้อมูลสำหรับข้อกำหนดหมายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการบริหารจัดการเรือนจำตามกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศสำหรับพลเมืองที่ถูกคุมขังในเรือนจำและการควบคุมตัวในรูปแบบอื่น ๆ หลักการพื้นฐานที่อธิบายไว้ในมาตรฐานดังกล่าวคือ "จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่น ๆ ชาติกำเนิดหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิดหรือสถานะอื่น ๆ"

ภาคที่ 1 ประกอบด้วยเกณฑ์การใช้ทั่วไป ประกอบด้วยมาตรฐานที่กำหนดว่าอะไรเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติต่อนักโทษและการจัดการสถาบันเรือนจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ: มาตรฐานขั้นต่ำของที่พัก (ข้อกำหนดข้อที่ 12 ถึง 17); สุขอนามัย ส่วนบุคคล (18); เครื่องแบบและเครื่องนอน* (19 ถึง 21); อาหาร (22); การออกกำลังกาย (23); บริการทางการแพทย์ (24 ถึง 35); วินัยและการลงโทษ (36 ถึง 46); การใช้เครื่องมือควบคุม (47 ถึง 49); การร้องเรียน (54 ถึง 57); การติดต่อกับโลกภายนอก (58 ถึง 63); ความพร้อมของหนังสือ (64); ศาสนา (65 และ 66); การยึดทรัพย์สินของนักโทษ (67); การแจ้งการเสียชีวิต การเจ็บป่วย การย้าย (68 ถึง 70); การเคลื่อนย้ายนักโทษ (73); คุณภาพและการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่เรือนจำ (74 ถึง 82); และการตรวจสอบเรือนจำ (83 ถึง 85)

*เครื่องแบบนักโทษคือชุดเสื้อผ้ามาตรฐานที่นักโทษสวมใส่ โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเสื้อผ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนเพื่อบ่งบอกว่าผู้สวมใส่เป็นนักโทษ โดยแตกต่างจากเสื้อผ้าของทางการอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ระบุตัวนักโทษได้ทันที จำกัดความเสี่ยงผ่านวัตถุที่ซ่อนอยู่ และป้องกันการบาดเจ็บผ่านวัตถุที่สวมบนเสื้อผ้าที่ไม่ได้ระบุตัวตน เครื่องแบบนักโทษยังสามารถทำลายความพยายามหลบหนีได้ เพราะเครื่องแบบนักโทษโดยทั่วไปใช้การออกแบบและรูปแบบสีที่สังเกตเห็นและระบุได้ง่ายแม้จะอยู่ห่างไกลออกไป การสวมเครื่องแบบนักโทษมักจะทำอย่างไม่เต็มใจและมักถูกมองว่าเป็นการตีตราและละเมิดอำนาจการตัดสินใจของตนเอง โดยในกฎข้อที่ 19 กำหนดว่า 
- ผู้ต้องขังทุกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเอง จะต้องได้รับชุดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและเพียงพอที่จะรักษาสุขภาพที่ดี เสื้อผ้าดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือทำให้ผู้อื่นอับอายแต่อย่างใด
- เสื้อผ้าทั้งหมดต้องสะอาดและอยู่ในสภาพที่เหมาะสม เสื้อผ้าชั้นในจะต้องเปลี่ยนและซักบ่อยเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาสุขอนามัย
- ในสถานการณ์พิเศษ เมื่อใดก็ตามที่นักโทษถูกนำตัวออกไปนอกเรือนจำเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต นักโทษจะได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเองหรือเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาอื่น ๆ

ภาคที่ 2 ประกอบด้วยเกณฑ์ที่บังคับใช้กับนักโทษประเภทต่างๆ รวมถึงนักโทษที่ถูกพิพากษาโทษ มีหลักเกณฑ์หลายประการ (ข้อกำหนดข้อที่ 86 ถึง 90) การปฏิบัติ (การฟื้นฟู) นักโทษ (91 และ 92) การจำแนกประเภทและการทำให้เป็นรายบุคคล (93 และ 94) สิทธิพิเศษ (95) การทำงาน[ 4 ] (96 ถึง 103) การศึกษาและการพักผ่อนหย่อนใจ (104 และ 105) ความสัมพันธ์ทางสังคมและการดูแลภายหลัง (106 ถึง 108) ภาคที่ 2 ยังมีเกณฑ์สำหรับนักโทษที่ถูกจับกุมหรืออยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดี (โดยทั่วไปเรียกว่า "การพิจารณาคดีระหว่างพิจารณาคดี") เกณฑ์สำหรับนักโทษทางแพ่ง (สำหรับประเทศที่ข้อกำหนดหมายท้องถิ่นอนุญาตให้จำคุกเนื่องจากหนี้สิน หรือตามคำสั่งศาลสำหรับกระบวนการที่ไม่ใช่ทางอาญาอื่นๆ) และเกณฑ์สำหรับบุคคลที่ถูกจับกุมหรือคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

ในปี 2010 สมัชชาใหญ่ได้ขอให้คณะกรรมาธิการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลที่เปิดกว้างเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านเรือนจำและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ใด ๆ จะไม่ส่งผลให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง สมัชชาใหญ่ยังได้เน้นย้ำถึงหลักการหลายประการที่ควรเป็นแนวทางสำหรับกระบวนการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง รวมถึง (ก) การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์มาตรฐานใดๆ ไม่ควรทำให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง แต่ควรปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านการบริหารขัดการเรือนจำ และแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย ความมั่นคง และสภาพความเป็นมนุษย์ของนักโทษ และ (ข) กระบวนการแก้ไขควรคงขอบเขตการใช้เกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ และยังคงคำนึงถึงความแตกต่างทางสังคม ข้อกำหนดหมาย และวัฒนธรรม ตลอดจนภาระผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิก

ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่ได้มีมติเห็นชอบมติ 70/175 เรื่อง "ข้อกำหนดขั้นต่ำมาตรฐานของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (“The Mandela Rules”) การอ้างอิงนี้ไม่เพียงแต่เพื่อรับทราบถึงการสนับสนุนอย่างสำคัญของแอฟริกาใต้ต่อกระบวนการแก้ไขเท่านั้น แต่ยังเพื่อเป็นเกียรติแก่“Nelson Mandela” ผู้ซึ่งใช้เวลา 27 ปีในเรือนจำระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ ดังนั้น สมัชชาใหญ่จึงได้ตัดสินใจขยายขอบเขตของ “วัน Nelson Mandela สากล” (18 กรกฎาคม) เพื่อใช้เพื่อส่งเสริมสภาพการจำคุกในเรือนจำอย่างมีมนุษยธรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ว่านักโทษเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเพื่อให้เห็นคุณค่าของการทำงานของเจ้าหน้าที่เรือนจำในฐานะบริการสังคมที่มีความสำคัญ

เว็บไซต์นอร์เวย์ เปิดบันทึกพระราชหัตถเลขา ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเขียนถึง พระธิดา ทรงทำนายตั้งแต่ปี 1907 ไว้ว่า ‘ในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพา ที่เล็กเท่านาฬิกาพก’

(1 พ.ค. 68) พอดีไปเจอบทความต่างประเทศฉบับหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เป็นเรื่องราวจากเว็บไซต์นอร์เวย์ชื่อ Mykles.com ที่เล่าเหตุการณ์เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) และได้เสด็จถึงประเทศนอร์เวย์ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นดินแดนแห่งเทคโนโลยีพลังน้ำที่ก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ว่ากันว่า พระองค์ทรงเดินทางไปยังเมืองโนโทดเดิน (Notodden) เพื่อศึกษาดูงานด้านไฟฟ้า และได้พบกับวิศวกรผู้มีชื่อเสียงคือ แซม ไอเด (Sam Eyde) ผู้ก่อตั้งบริษัท Norsk Hydro ซึ่งเป็นผู้ผลิตปุ๋ยจากไนโตรเจนด้วยกระแสไฟฟ้า

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ — ในบันทึกพระราชหัตถเลขาที่พระองค์ทรงเขียนถึงพระธิดา (เจ้าหญิงน้อย) ที่กรุงเทพฯ พระองค์ได้เล่าถึงบทสนทนาในค่ำคืนหนึ่งว่า:
> “คงไม่เกินเลยนักหากจะทำนายว่าในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพาที่เล็กเท่านาฬิกาพก เมื่อคุณต้องการสนทนา เพียงพูดกับนาฬิกา แล้วแนบหูฟังเสียงจากอีกฝ่าย...”

หลายคนที่ได้อ่านตรงนี้อาจจะตกใจ เพราะนี่มันคือภาพของ 'สมาร์ตวอทช์' อย่างแท้จริง — แต่ถูกจินตนาการไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907!!

บทความนั้นเล่าอีกว่า พระองค์ทรงเสด็จแบบ 'in cognito' หรือไม่ได้เปิดเผยสถานะความเป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้สามารถสังเกตสังคมนอร์เวย์ในเวลานั้นได้อย่างลึกซึ้ง — ทั้งความยากจน ความตั้งใจของผู้คน และความมุมานะในการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์

นอกจากเรื่องโทรศัพท์พกพาแล้ว พระองค์ยังสนทนากับนักวิทยาศาสตร์นามว่า คริสเตียน บีร์เคอลันด์ (Kristian Birkeland) ถึงเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า ปืนไฟฟ้า การทำฝนเทียม และการสื่อสารแบบไร้สายด้วยพลังน้ำฟ้า — ซึ่งก็ล้ำยุคไม่แพ้กัน

บทความนี้ทำให้เรากลับมาทบทวนอีกครั้งว่า พระมหากษัตริย์ไทยในอดีต มิได้ทรงเป็นเพียง 'ผู้อุปถัมภ์' เท่านั้น หากยังทรงเป็น 'นักวิทยาศาสตร์' และ 'นักพยากรณ์เทคโนโลยี' ผู้เห็นไกลเกินยุคสมัย

ในวันที่พวกเราสวมสมาร์ตวอทช์ไว้ที่ข้อมือ และคุยโทรศัพท์ผ่านนาฬิกาได้จริง ๆ นั้น... ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่กษัตริย์ไทยเคยจินตนาการไว้เมื่อ 100 ปีก่อน

ถอดรหัส 'การส่งออกก๊าซระหว่างรัสเซียและอิหร่าน' การสร้างพันธมิตรทางพลังงานและผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์

ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในแง่ของการค้าพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก การตกลงของรัสเซียที่จะเริ่มการส่งก๊าซไปยังอิหร่านในปีนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ในความร่วมมือทางพลังงานระหว่างสองประเทศนี้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและอิหร่าน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทิศทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจในระดับโลกได้

อิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทรัพยากรพลังงานสำคัญ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติในขณะที่รัสเซียก็เป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของโลก การที่ทั้งสองประเทศสามารถทำข้อตกลงในเรื่องการส่งก๊าซจะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจในการควบคุมตลาดพลังงานในภูมิภาคและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันการร่วมมือด้านพลังงานนี้ยังช่วยเสริมสร้างบทบาทของทั้งสองประเทศในฐานะ "ผู้เล่นสำคัญ" ในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีความขัดแย้งและการแทรกแซงจากประเทศภายนอกรวมถึงสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก

จากมุมมองของรัสเซียการส่งก๊าซไปยังอิหร่านไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างพันธมิตรทางพลังงานที่สามารถช่วยให้รัสเซียมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวแต่ยังเป็นการแสดงออกถึงอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ซึ่งการมีอำนาจในตลาดพลังงานเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันอิหร่านก็จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มการจัดหาก๊าซในตลาดภายในประเทศและเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้ากับหนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามข้อตกลงนี้ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองภายในสองประเทศเท่านั้นแต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิรัฐศาสตร์โลกโดยเฉพาะในแง่ของการยกระดับความตึงเครียดกับชาติตะวันตกและการสร้างแนวทางใหม่ในการคัดค้านการแทรกแซงจากมหาอำนาจต่างๆ การขยายตัวของความสัมพันธ์พลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่เพียงแต่ในแง่ของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแต่ยังมีผลต่อการปรับเปลี่ยนทิศทาง ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ในด้านเศรษฐกิจรัสเซียได้เผชิญกับผลกระทบจากการคว่ำบาตรที่เข้มข้นจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในด้านการส่งออกพลังงาน ทำให้ต้องหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนการสูญเสียตลาดยุโรปที่มีมูลค่าสูง ขณะเดียวกันการขยายตลาดไปยังเอเชียกลางและตะวันออกกลางช่วยให้รัสเซียสามารถรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดพลังงานโลก อิหร่านเองก็มีสถานการณ์คล้ายกัน เนื่องจากการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรทำให้การส่งออกก๊าซและน้ำมันของประเทศถูกจำกัด การมีพันธมิตรในรัสเซียจึงเป็นโอกาสที่อิหร่านสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการคว่ำบาตรและเพิ่มการเข้าถึงตลาดพลังงานใหม่ๆ ทั้งในแง่ของการส่งออกและการบริโภคในประเทศ การตกลงเพื่อส่งก๊าซระหว่างทั้งสองประเทศจึงมีความสำคัญในฐานะการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจของทั้งรัสเซียและอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การกดดันทางเศรษฐกิจจากประเทศตะวันตกยังคงมีอยู่

ผลประโยชน์ที่ทั้งสองชาติจะได้รับจากการส่งออกก๊าซ
รัสเซีย: การส่งก๊าซไปยังอิหร่านถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคที่มีความต้องการพลังงานสูงในช่วงนี้ การมีตลาดพลังงานใหม่ในอิหร่านและพื้นที่ตะวันออกกลางจะทำให้รัสเซียสามารถกระจายการพึ่งพาตลาดยุโรปได้มากขึ้น นอกจากนี้การเป็นผู้ส่งออกก๊าซหลักไปยังอิหร่านจะช่วยเพิ่มบทบาทของรัสเซียในฐานะผู้นำทางพลังงานของโลกในระดับภูมิภาคและทั่วโลก

อิหร่าน: สำหรับอิหร่านการรับก๊าซจากรัสเซียจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในด้านพลังงานภายในประเทศ ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาการผลิตพลังงานภายในที่ลดลงจากการคว่ำบาตรต่างๆ การมีรัสเซียเป็นพันธมิตรทางพลังงานจะช่วยให้การจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกและสะดวกสบายยิ่งขึ้นซึ่งจะมีผลดีต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานภายในประเทศและยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในทางภูมิรัฐศาสตร์ความร่วมมือทางพลังงานนี้ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างรัสเซียและอิหร่าน โดยทำให้ทั้งสองประเทศสามารถรับมือกับการแทรกแซงจากต่างชาติได้ดีขึ้นทั้งในระดับเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้พวกเขามีอิทธิพลมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ

การตอบสนองของโลกตะวันตกต่อการขยายอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาค
ข้อตกลงระหว่างรัสเซียและอิหร่านในเรื่องการส่งออกก๊าซธรรมชาติได้สร้างความวิตกกังวลในหมู่ประเทศตะวันตกที่อาจมองว่าการร่วมมือทางพลังงานระหว่างสองประเทศนี้อาจเสริมสร้างอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่รัสเซียและอิหร่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความมั่นคงทางทหารและภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสองประเทศต่างมีความมุ่งมั่นที่จะท้าทายอิทธิพลของสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกในตะวันออกกลางและพื้นที่อื่น ๆ การที่รัสเซียสามารถส่งออกก๊าซให้กับอิหร่านได้มากขึ้น น่าจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างกัน ซึ่งสามารถมีผลต่ออำนาจการต่อรองในหลาย ๆ สนาม

การขยายความสัมพันธ์ทางพลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านคงจะไม่ได้ผ่านไปอย่างราบรื่น เนื่องจากโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปมีท่าทีต่อต้านการพัฒนาเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการส่งออกพลังงานในปริมาณมาก สิ่งนี้สามารถเสริมสร้างสถานะของอิหร่านในฐานะผู้ผลิตพลังงานสำคัญในภูมิภาคและลดผลกระทบของการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ และ EU ได้ใช้กับอิหร่านมาก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรในยุโรปอาจตอบสนองด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เช่น การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงาน หรือการห้ามการลงทุนในโครงสร้างพลังงานของอิหร่าน นอกจากนี้อาจมีการใช้มาตรการทางการทูตเพื่อกดดันรัสเซียและอิหร่านให้ลดความร่วมมือในภาคพลังงานรวมถึงการขยายการคว่ำบาตรจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติหรือ G7 เพื่อลดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ

การร่วมมือระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานสร้างความท้าทายทางการทูตที่ซับซ้อนสำหรับโลกตะวันตก โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯ และพันธมิตรไม่สามารถหาทางออกที่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของความสัมพันธ์นี้ได้ ความพยายามที่จะจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรพลังงานและการส่งออกของอิหร่านอาจทำให้เกิดปัญหาทางการทูตในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น การขยายบทบาทของรัสเซียในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น ในซีเรีย หรือลงลึกไปในการช่วยเหลือด้านพลังงานที่อาจสนับสนุนโครงการทางทหารของอิหร่านที่มีความเสี่ยงสูง

ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสองขั้วอำนาจนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรอาจมีการปรับกลยุทธ์ทางการทูตเพื่อเผชิญหน้ากับการพัฒนาความสัมพันธ์ทางพลังงานของรัสเซียและอิหร่าน โดยการเจรจากับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือการสนับสนุนการดำเนินการทางการทูตที่มีลักษณะเชิงรุกมากขึ้น การขยายมาตรการคว่ำบาตรและเพิ่มแรงกดดันต่อทั้งรัสเซียและอิหร่านอาจกลายเป็นเครื่องมือหลักในการปกป้องผลประโยชน์ของโลกตะวันตกและสกัดกั้นการเติบโตของอิทธิพลรัสเซียในตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่น ๆ การพัฒนาความสัมพันธ์ทางพลังงานนี้ยังอาจเป็นการทดสอบการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงประเทศในเอเชียกลางที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ในบริเวณนี้ ท่ามกลางความกังวลที่มีต่อการขยายอิทธิพลของรัสเซียและอิหร่านในเชิงพลังงานและการเมือง

ผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
การตกลงระหว่างรัสเซียและอิหร่านในการส่งออกก๊าซธรรมชาติอาจเสริมสร้างอำนาจของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับประเทศในภูมิภาคมีความเข้มแข็งขึ้น รัสเซียได้เข้ามามีบทบาทในหลายพื้นที่สำคัญของตะวันออกกลาง อาทิเช่น ซีเรีย โดยที่การสนับสนุนของรัสเซียต่อรัฐบาลของบาชาร์ อัล-อัสซาดยังคงมีบทบาทสำคัญในการคงอำนาจของรัฐบาลในดามัสกัสและการป้องกันไม่ให้กลุ่มอำนาจตะวันตกขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้การที่รัสเซียสามารถส่งออกก๊าซไปยังอิหร่านได้มากขึ้นยิ่งทำให้รัสเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักทางเศรษฐกิจในภูมิภาคซึ่งสามารถขยายอิทธิพลในระดับภูมิรัฐศาสตร์โดยการใช้พลังงานเป็นเครื่องมือในการต่อรองและการสร้างพันธมิตรกับประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง การมีส่วนร่วมของรัสเซียในการดำเนินการทางพลังงานของอิหร่านและการส่งออกก๊าซยังช่วยเสริมความสามารถของรัสเซียในการเข้าถึงตลาดพลังงานที่สำคัญของโลกซึ่งจะทำให้รัสเซียสามารถใช้พลังงานเป็นเครื่องมือในการปรับกลยุทธ์ทางการทูตและภูมิรัฐศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะที่การขยายความร่วมมือทางพลังงานกับรัสเซียจะมีผลกระทบสำคัญต่อทิศทางการดำเนินนโยบายพลังงานของอิหร่านโดยเฉพาะในด้านการส่งออกก๊าซและน้ำมันที่สำคัญ อิหร่านที่เคยต้องพึ่งพาความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคและตะวันตกในการค้าขายพลังงานอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพึ่งพารัสเซียมากขึ้นในการพัฒนาและส่งออกก๊าซธรรมชาติ การร่วมมือในโครงการพลังงานกับรัสเซียจะช่วยให้การส่งออกพลังงานของอิหร่านเติบโตขึ้นขณะเดียวกันก็ช่วยลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่โลกตะวันตกได้ใช้กับอิหร่านก่อนหน้านี้ นอกจากนี้อิหร่านยังสามารถใช้ความสัมพันธ์ทางพลังงานกับรัสเซียเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน เช่น การขุดเจาะและขนส่งก๊าซรวมถึงการสร้างงานในภาคพลังงานภายในประเทศโดยเฉพาะในช่วงที่อิหร่านมีความพยายามในการหลีกเลี่ยงการพึ่งพิงจากประเทศตะวันตก

การขยายความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบต่อรัสเซียและอิหร่านเท่านั้นแต่ยังส่งผลกระทบต่อลักษณะของความสัมพันธ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางในหลาย ๆ ด้าน ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ หรือชาติในยุโรปอาจรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการขยายอำนาจของรัสเซียและอิหร่าน การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลรัสเซียในภูมิภาคอาจทำให้ประเทศเหล่านี้มองว่าการร่วมมือระหว่างรัสเซียและอิหร่านเป็นการท้าทายอำนาจของตะวันตกในตะวันออกกลาง สำหรับประเทศที่เคยพึ่งพาพลังงานจากอิหร่านหรือรัสเซีย เช่น ประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ประเทศเหล่านี้อาจต้องปรับตัวในด้านการพัฒนาพลังงานและการตลาดใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการขยายตัวของความสัมพันธ์ทางพลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านที่อาจทำให้การแข่งขันในตลาดพลังงานเพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มความร่วมมือในด้านพลังงานระหว่างสองประเทศนี้ยังอาจทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคที่มีอยู่แล้วระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ทวีความรุนแรงขึ้นและอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพลังงานของประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง

บทสรุป ข้อตกลงการส่งก๊าซระหว่างรัสเซียและอิหร่านในปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่มีผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในด้านพลังงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศแต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งในการเจรจาทางการทูตของทั้งรัสเซียและอิหร่านในเวทีโลก นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างอำนาจของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางและสามารถปรับสมดุลพลังงานในตลาดโลกได้ การส่งออกก๊าซไปยังอิหร่านไม่เพียงแค่ช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของทั้งสองประเทศ แต่ยังเสริมสร้างอำนาจและอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีการแข่งขันสูง ข้อตกลงนี้ยังสามารถเป็นเครื่องมือในการลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรของตะวันตกและช่วยให้รัสเซียและอิหร่านมีความสามารถในการต่อรองทางเศรษฐกิจและการทูต ในอนาคต ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะในด้านพลังงานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การส่งออกก๊าซจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างอิทธิพลของทั้งสองประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้เกิดการปรับตัวของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อรักษาความสมดุลและผลประโยชน์ทางพลังงานของตนเอง ความร่วมมือนี้อาจมีผลต่อทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคในระยะยาวและกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอนาคตของการเมืองโลก

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#20 'ทำไมสหรัฐฯ จึงไม่ชนะในสงครามอินโดจีน'

สงครามอินโดจีนที่สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมคงต้องใช้คำว่า “ไม่ชนะ” แทนคำว่า “พ่ายแพ้” เพราะอันที่จริงแล้วศักยภาพของกองทัพอเมริกันและพันธมิตรสามารถเอาชนะสงครามอินโดจีนได้ หากเป็นการรบตามแบบ และไม่คำนึงถึงปัญหาอุปสรรคอันเกิดจากข้อจำกัดต่าง ๆ ตลอดจนการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศของสหรัฐฯ เอง รวมทั้งการไม่สามารถเอาชนะทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และจิตวิทยาภายในเวียตนามทั้งเหนือและใต้อีกด้วย สงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ผ่านการบริหารประเทศโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึง 5 คน ได้แก่ Truman, Eisenhower, Kennedy, Johnson และ Nixon

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วย OSS (ต้นกำเนิดของ CIA ในปัจจุบัน) ได้ขบวนการเวียตมินห์ (ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นกองทัพประชาชนเวียตนาม) ซึ่งโฮจินมินห์เป็นผู้ก่อตั้งเป็นพันธมิตรในการสู้รบกับญี่ปุ่น ด้วยการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อให้เวียตมินห์ช่วยเหลือนักบินอเมริกันที่ถูกยิงตกและหาข่าวให้กับ OSS หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงในปี 1945 ความผิดพลาดของสหรัฐฯ ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1946 เมื่อประธานาธิบดี Truman ได้ปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือของโฮจิมินห์ในการขับไล่ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม โดยเลือกที่จะสนับสนุนฝรั่งเศสแทน ทั้ง ๆ ที่ตัวโฮจิมินห์เองรู้สึกขอบคุณและชื่นชมสหรัฐฯ ที่ช่วยขบวนการเวียตมินห์จนสามารถขับไล่ญี่ปุ่นจากการยึดครองเวียตนามต่อจากฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิม อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สหรัฐฯไม่สามารถเอาชนะทั้ง “จิตใจและแนวคิด” ของชาวเวียตนามได้ ซ้ำร้ายผลจากสงครามเย็นทำให้สังคมอเมริกันโดยรวมถูกกระแสต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าครอบงำ จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับเวียตนามเหนือไม่เป็นไปด้วยดีตาม แล้วก็เข้าสู่สงครามในที่สุด

ประธานาธิบดี Harry S. Truman จึงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ทำให้สหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในปี 1945 เขาได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศด้านกิจการเอเชีย ภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt (ผู้ซึ่งต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมหรือการล่าอาณานิคม) ซึ่งเสียชีวิตในตำแหน่ง ว่า การกลับมาปกครองเวียตนามของฝรั่งเศสจะนำไปสู่ "การนองเลือดและความไม่สงบ" แต่ประธานาธิบดี Truman กลับยอมรับต่อการกลับเข้าปกครองอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสอีกครั้ง ด้วยหวังว่า เรื่องดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเกื้อหนุนเศรษฐกิจและเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับฝรั่งเศส (ซึ่งพ่ายแพ้ต่อเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหมดรูป) อีกครั้งหนึ่ง ไม่ช้าฝรั่งเศสก็กลับมาปกครองเวียตนามพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์จากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และเปิดฉากสู้รบกับกองทัพประชาชนเวียตนามหรือเวียตมินห์ของของโฮจิมินห์ในทันที โดยแรก ๆ นั้น สหรัฐอเมริกายังคงดำรงความเป็นกลางอย่างเป็นทางการ หลีกเลี่ยงการติดต่อใด ๆ กับโฮจิมินห์ อย่างไรก็ตามต่อมาในปี 1947 ประธานาธิบดี Truman ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ คือการช่วยเหลือประเทศที่ยืนหยัดต่อการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ สงครามเกาหลีในปี 1950 รวมถึงความช่วยเหลือจากจีนและสหภาพโซเวียตต่อเวียตหมินห์ทำให้ประธานาธิบดี Truman กลับมาพิจารณาและให้จัดเวียตนามเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการทำสงครามเย็น ด้วยความกลัวว่า ที่สุดเวียตนามจะกลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ เขาได้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมกับที่ปรึกษาทางทหารจำนวน 35 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ มอบให้แก่ฝรั่งเศส และยิ่งถลำลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปลายสมัยที่สองของประธานาธิบดี Truman สหรัฐฯ ได้ทุ่มงบมากกว่าหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายในการทำสงครามในเวียตนามให้กับฝรั่งเศส และในที่สุดได้เพิ่มจำนวนเงินงบประมาณเป็นประมาณ 80% ของค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม

ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 2 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในปี 1954 ฝรั่งเศสประสบความพ่ายแพ้ชนิดหมดรูปที่เดียนเบียนฟู ทำให้ความพยามในการครอบครองอาณานิคมของพวกเขาสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนได้เสนอให้ทำการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อรักษาสถานภาพของฝรั่งเศส แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ปฏิเสธ เพราะสงครามเกาหลีพึ่งจะสงบลงได้ไม่นานนัก ประธานาธิบดี Eisenhower ได้เขียนไว้ในบันทึกของเขา ว่า “ผมเชื่อมั่นว่าจะไม่มีชัยชนะทางทหารเกิดขึ้นเหมือนอดีตอีกแล้ว” แต่ด้วยเขาเป็นผู้ที่เชื่อใน "ทฤษฎีโดมิโน" ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า หากประเทศใดประเทศหนึ่งพ่ายแพ้ต่อลัทธิคอมมิวนิสต์แล้ว จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามมา จึงปฏิเสธที่ปล่อยเวียตนามโดยสิ้นเชิง ที่สุดเวียตนามถูกแบ่งเป็นสองประเทศโดยมีโฮจินมินห์เป็นผู้นำเวียตนามเหนือ และ Ngo Dinh Diem ผู้ซึ่งเป็นพวกนิยมชาติตะวันตกได้รับการสนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดีของเวียตนามใต้ แต่เขาเป็นชาวเวียตนามเชื้อสายจีนจากตระกูลที่มั่งคั่ง ซ้ำยังเป็นแคทอลิก ในขณะที่ชาวเวียตนามใต้ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธและมีฐานะยากจน การเลือกตั้งซึ่งควรจะเกิดขึ้นเพื่อรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน แต่ถูกประธานาธิบดี Diem หยุดไว้ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ด้วยเกรงว่า โฮจินมินห์จะชนะการเลือกตั้งและมีความชอบธรรมที่จะรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน

แม้ว่า ประธานาธิบดี Diem จะถูกขุดคุ้ยตรวจสอบและประจักษ์ชัดว่า เป็นพวกเผด็จการและทุจริตโกงกิน แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ก็เรียกเขาว่า "รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" และ "ตัวอย่างของผู้คนที่เกลียดชังทรราชและรักเสรีภาพ" ที่สำคัญกว่านั้นเขายังได้จัดหาเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ ประธานาธิบดี Diem โดยมอบเงินช่วยเหลือจำนวนมากในระหว่างปี 1955 ถึง 1960 และเพิ่มจำนวนที่ปรึกษาทางทหารเพิ่มเป็น 1,000 นาย เมื่อประธานาธิบดี Eisenhower หมดวาระการดำรงตำแหน่ง การสู้รบอย่างเปิดเผยระหว่างกองกำลังทหารของประธานาธิบดี Diem กับเวียตกง ในเวียตนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียตนามเหนือก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 3 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี John F. Kennedy หลังจากไปเยือนเวียตนามในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 1951 เขาได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อสาธารณชนที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือแก่ฝรั่งเศสในเวียตนาม โดยเขากล่าวว่า การกระทำนั้น “เป็นการท้าทายความเป็นชาตินิยมโดยรู้ล่วงหน้าว่าจะล้มเหลวอยู่แล้ว” และอีก 3 ปีต่อมาเขาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ผมเชื่อในความเชื่อที่ว่า ไม่มีความช่วยเหลือทางทหารของอเมริกันจำนวนมาก…จะสามารถพิชิตศัตรูได้ทุกที่ในเวลาเดียวกัน” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1960 ด้วยความกังวลว่า จะถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี Kennedy ได้จัดหาเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินลำเลียง เรือลาดตระเวนลำน้ำ และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ให้กับเวียตนามใต้ นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ใช้ Napalm และ สารพิษ เช่น ฝนเหลือง (Agent Orange) และเพิ่มที่ปรึกษาทางทหารเป็น 16,000 คน บางนายมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการรบอย่างลับ ๆ ต่อมาประธานาธิบดี Diem ผู้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนถูกรัฐประหารและสังหารในปี 1963 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดี Kennedy จะถูกลอบสังหาร โดยก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน เขาเคยบอกกับคณะทำงานของเขาว่า เขาอาจจะถอนกำลังและการสนับสนุนออกจากเวียตนามภายหลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า เขาจะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่

ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 4 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม หลังการลอบสังหารของประธานาธิบดี Kennedy การมีส่วนร่วมในสงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ยังค่อนข้างจำกัด แต่สิ่งนั้นได้เปลี่ยนไปในเดือนสิงหาคม 1964 “เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย” ทำให้รัฐสภาอเมริกันมอบอำนาจในการทำสงครามอย่างไม่จำกัดให้กับประธานาธิบดี Johnson ผู้ซึ่งพึ่งเข้าดำรงตำแหน่ง เพราะตระหนักว่า รัฐบาลและกองทัพเวียตนามใต้กำลังจะล่มสลาย ประธานาธิบดี Johnson ได้ส่งกำลังรบสหรัฐเข้าสู่สนามรบในเวียตนามเป็นครั้งแรกในต้นปี 1965 และให้มีการทิ้งระเบิดขนานใหญ่ในชื่อรหัสว่า Operation Rolling Thunder ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวดำเนินต่อเนื่องมาอีกหลายปี ในไม่ช้าร่างรัฐบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสงครามเวียตนามใต้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย พร้อมกับการต่อต้านร่างกฎหมายเหล่านั้น ในปี 1967 มีทหารอเมริกันราว 500,000 นายในเวียตนามใต้ และในปีเดียวกันนั้นมีก็การประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต่างยืนยันกับประธานาธิบดี Johnson ว่า ชัยชนะกำลังใกล้เข้ามา แต่ต่อมาเมื่อเอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถูกเปิดเผยในภายหลังกลายเป็นว่า ความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เข้าใจผิดอย่างมากมาย ในความเป็นจริงแล้วการสู้รบในเวียตนามใต้นั้นได้กลายเป็นหลุมใหญ่และลึกไปเสียแล้ว สงครามเวียตนามกลายเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก และประธานาธิบดี Johnson ก็กลายเป็นพวกกระหายสงคราม ในที่สุดประธานาธิบดี Johnson ก็ตัดสินใจที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1968

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 5 คนสุดท้ายที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี Richard Nixon ในการรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Nixon สัญญาว่า จะยุติสงครามเวียตนาม อย่างไรก็ตามภายหลังปรากฏว่า มีพยายามขัดขวางการเจรจาสันติภาพเพื่อทำให้คะแนนเสียงของเขาดีขึ้น ในฐานะประธานาธิบดี ประธานาธิบดี Nixon ค่อยๆ ทยอยถอนทหารอเมริกันออกจากเวียตนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Vietnamization” แต่เขาก็เพิ่มความขัดแย้งในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การอนุมัติการโจมตีทางอากาศอย่างลับ ๆ ในกัมพูชาในปี 1969 ต่อมาส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปยังกัมพูชาในปี 1970 และอนุมัติการบุกลาวในปี 1971 ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์อย่างยิ่งในการทำลายเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยกองกำลังเวียตกง นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดี Nixon ยังสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงที่สุดในสงคราม ซึ่งส่งผลเวียตนามเหนือถูกทิ้งระเบิดถึง 36,000 ตัน ในช่วงปลายปี 1972 ในเดือนมกราคมปี 1973 เมื่อกรณีอื้อฉาว Watergate ถูกเปิดเผย ประธานาธิบดี Nixon จึงยุติบทบาทการมีส่วนร่วมโดยตรงของสหรัฐฯ ในเวียตนาม โดยกล่าวว่า ปฏิบัติการ "สันติภาพอย่างมีเกียรติ" ประสบความสำเร็จ แม้จะปรากฏว่า การสู้รบในเวียตนามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1975 กระทั่งกองกำลังทหารเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกงสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อ 30 เมษายน 1975 เมืองหลวงของเวียตนามใต้ และรวมประเทศเข้าด้วยกันภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์เวียตนาม

สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในอินโดจีนด้วยเหตุผลคือ การป้องกันการแผ่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต และสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ โดยยอมละเลยอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยของตนด้วยการสนับสนุนให้กองทัพที่เป็นพวกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนและยอมทำตามสหรัฐฯ ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นี้คือ อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ พ่ายแพ้ในภูมิภาคนี้ด้วยผู้นำทางทหารเหล่านั้นเมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้วแทนที่จะพัฒนาชาติบ้านเมือง กลับกลายเป็นเผด็จการทรราชทำการทุจริตโกงกินคอร์รัปชันกันอย่างมากมายมหาศาล เมื่อนายทหารใหญ่ ๆ กลายเป็นเผด็จการทรราชทุจริตโกงกินแล้ว คุณภาพของกองทัพก็ลดลงทั้งวินัย ขวัญกำลังใจ และความสามารถในการรบ อุดมการณ์รักชาติกลายเป็นอุดมกินแสวงหาผลประโยชน์เงินทองในหมู่ทหารทุกระดับชั้น เมื่อมีความสุขสบาย ความรักตัวกลัวตายจึงเกิด อีกทั้งความช่วยเหลือที่ได้รับจากสหรัฐฯ นั้นมากมายมหาศาล ในขณะที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยังคงยึดถืออุดมการณ์รักชาติ เพื่อชาติ อยู่เช่นเดิม

เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโดจีนถูกเผยแพร่ตีแผ่ในสื่อต่าง ๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะโทรทัศน์ ชาวอเมริกันได้เห็นปฏิบัติการรบ ทำให้ส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจจึงการเกิดการประท้วงต่อต้านสงครามอยู่ตามมหาวิทยาลัยและตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ เด็กหนุ่มอเมริกันซึ่งแต่เดิมสหรัฐฯ ใช้ระบบการเกณฑ์ทหารต่างก็หวาดกลัวจึงพากันต่อต้านและอพยพหลบหนีออกจากประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบในเวียตนาม ความเบื่อหน่ายต่อสงครามซึ่งสหรัฐฯ เข้าร่วมตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองต่อเนื่องมา ทั้งอเมริกันชนไม่เห็นประโยชน์ในการทำสงครามเวียตนาม ทั้งสูญเสียชีวิตทหารอเมริกันเกือบหกหมื่นนาย รัฐบาลสหรัฐฯ จึงยอมเจรจาสงบศึกและทยอยถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกจากเวียตนามในปี 1973 แต่ยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลเวียตนามใต้ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล โดยหวังว่า กองทัพเวียตนามใต้จะนำประชาชนจับอาวุธต่อสู้กับกองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกง ด้วยความผิดพลาดจากการทำให้กองทัพเวียตนามใต้เสพติดการทุจริตคอร์รัปชันโกงกิน ใช้อำนาจในการรังแกประชาชนจนขาดความยกย่อง นับถือ และเชื่อมั่น จึงไม่มีใครร่วมที่จะต่อสู้เลย ซ้ำร้ายทหารเวียตนามใต้เองเมื่อขาดวินัย ขวัญกำลังใจต่ำมาก ๆ จึงพากันถอดเครื่องแบบหนีทัพ ที่สุดแล้วอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายมหาศาลเหล่านั้นก็ตกอยู่มือของกองทัพเวียตนามเหนือ (กองทัพเวียดนามในปัจจุบัน) แม้จะสูญเสียไปในการรบกับจีนในสงครามจีนสั่งสอนเวียตนาม สงครามในกัมพูชา รบกับกองทัพไทย ไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมากและบางส่วนยังไม่เคยได้นำออกมาใช้งานเลย

การที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเอาชนะในสงครามครั้งนั้นได้ ด้วยเพราะการบริหารที่ผิดพลาดทั้งการทหารและการเมือง เมื่อบริหารร่วมกันในการทำสงครามเวียตนามแล้วยิ่งผิดพลาดจนไปกันใหญ่ แม้จนปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ จะยังคงเป็นกองทัพอันดับหนึ่งของโลกก็ตาม หากแต่พิจารณาถึงสงครามที่สงครามต่าง ๆ ในระยะหลังที่กองทัพสหรัฐฯ เข้าไปมีบทบาทนั้น กองทัพสหรัฐฯ จะถูกมองในบทบาทของผู้รุกรานมากกว่าบทบาทของผู้ช่วยเหลือหรือผู้ปลดปล่อย ภาพปรากฏจึงกลายเป็นศัตรูมากกว่ามิตร เปรียบเหมือนกับกองทัพสหรัฐฯ นั้นใช้พระเดช (อำนาจ) มากกว่าพระคุณ (ไมตรีจิต-มิตรภาพ-จริงใจ-ช่วยเหลือ-ห่วงใย-ใส่ใจ) ความสำเร็จในการทำสงครามในมุมมองของผู้เขียนคือ การบริหารพระเดชและพระคุณให้เกิดความเหมาะสมสมดุล ไม่ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยจนเกินไป แต่ใช้ทั้งสองอย่างให้เหมาะสม ตามแต่บริบทของพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ๆ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) คือ สัจธรรมที่มนุษยชาติต้องประสบพบเจอ ไม่เว้นแม้แต่ สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งเราท่านน่าจะมีโอกาสได้เห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นในเวลาต่อไป

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

‘มิน อ่อง หล่าย’ อาจวางมือ…ปิดฉากยุคกองทัพคุมประเทศ วิเคราะห์เบื้องหลัง? คาดเจอแรงกดดันหนักจากแผ่นดินไหวและเกมของมหาอำนาจ

(1 พ.ค. 68) มีข่าวสะพัดออกมาในช่วงที่เอย่าเดินทางไปมัณฑะเลย์ เพื่อพบปะกับเจ้าหน้าที่คนไทยที่เข้าไปช่วยกู้ภัยในเมียนมา ซึ่งข่าวนี้ทำให้เอย่าต้องหูผึ่ง จนต้องเขียนบทความในครั้งนี้ เพราะเป็นข่าวลือที่ว่า 'นายพล มิน อ่อง หล่าย' จะลาออกจากตำแหน่งผู้นำกองทัพเมียนมา

แต่ก่อนที่เราจะมาคุยเรื่องนี้ เอย่าขอเล่าให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจบริบทในเมียนมาก่อน เพราะมีสื่อโซเชียลบางส่วนพยายามโจมตีภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหารเมียนมาว่าไม่เหลียวแลประชาชนเลย ซึ่งคนอ่านก็ด่าตามโดยไม่ไตร่ตรอง

เอาแบบนี้… มาตั้งสติแล้วคิดตามเอย่าสักนิดนะคะ

หลังเกิดแผ่นดินไหว ประเทศไทยที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าเมียนมา ได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายเท่า ยังต้องตั้งกองทุนฟื้นฟูเพื่อซ่อมแซมบ้าน ดูแลผู้ประสบภัย และจัดการอาคารที่เสียหาย แล้วถามกลับว่า รัฐบาลเมียนมาชุดนี้ ที่ถูกคว่ำบาตรจากนานาประเทศ และยังถูกบางกลุ่มในไทยใส่ร้าย สนับสนุนกลุ่มต่อต้าน ทั้งเรื่องที่พักพิง อาวุธ และแหล่งเงินทุน พวกเขาจะมีทรัพยากรพอแค่ไหน? ขนาดไทยยังแจกค่าซ่อมบ้านแค่หลักร้อยหลักพัน แล้วจะให้เมียนมาทำได้ขนาดไหน?

คนเมียนมาที่ให้ข้อมูลกับเอย่าบอกว่า เขาอยากทำแบบไทยมาก แต่ก็ทำได้เท่าที่งบประมาณมี ดังนั้น หากใครเป็นสื่อแต่ไม่เข้าใจคำว่า 'จรรยาบรรณ' แล้วอ้างคำว่า 'เสรีภาพสื่อ' เพื่อทำข่าวตามใจผู้จ่ายเงิน ก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าสื่อ และควรเลิกอ้างว่ารักประเทศเมียนมา เพราะหากรักจริง ต้องช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่ซ้ำเติมประเทศของเขา

ว่าแล้ว… มาต่อเรื่องข่าวของเราดีกว่าค่ะ ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวลือหนาหูว่า 'มิน อ่อง หล่าย' อยากจะลาออก โดยแหล่งข่าวของเอย่าระบุว่า ครั้งนี้เขาเสียใจจริง ๆ จนสภาพจิตใจย่ำแย่ ส่งผลต่อสุขภาพที่แย่ลง และมีข่าวว่าอาจลาออกถาวรหลังการเลือกตั้ง และจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ อีก

จริงๆ แล้วข่าวลือเรื่องลาออกนั้นมีมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว โดยมีรายงานว่าจีนเคยกดดันให้ 'มิน อ่อง หล่าย' ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แลกกับการที่จีนจะช่วยคืนเมืองล่าเสี้ยวและอีก 2 เมืองที่ถูกกลุ่มชาติพันธุ์ยึดไว้ แต่สุดท้าย แทนที่จะทำตาม จู่ ๆ ผู้นำเมียนมากลับไปร่วมมือกับปูติน ผู้นำรัสเซีย ทำให้จีนต้องหันกลับมาง้อ พร้อมอาสาจัดการคืนเมืองต่าง ๆ แทนแบบที่เมียนมาไม่ต้องออกแรงเลย

แต่ข่าวลาออกรอบนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์มาเป็นสามสาย

อันแรกคือเป็นไปได้ที่ผู้นำเมียนมาจะลาออกแล้วลงเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว

อันที่ 2 คือลาออกแล้วมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำ SAC เดี่ยวๆเลย เพื่อควบคุมรัฐบาลที่เลือกตั้งมาอีกที

อันสุดท้ายที่มีคนพม่าจำนวนไม่มากเชื่อว่ารอบนี้อาจจะลาออกจริงเพื่อไปพักแล้ว เพราะจากสถานการณ์แผ่นดินไหวนี้ได้สร้างความบอบช้ำในจิตใจของนายพล มิน อ่อง หล่าย ไม่น้อย และนี่อาจจะเป็นเวลาที่ดีที่ลงจากตำแหน่ง

มีคนพม่าในไทยบางคนเปรียบเปรยว่า 'มิน อ่อง หล่าย' คล้ายกับ 'ลุงตู่' ที่ขณะดำรงตำแหน่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่หากวันหนึ่งไม่มีเขา คนอาจกลับมาคิดถึง และนั่นอาจเป็นบทเรียนของเมียนมาก็ได้... ดั่งเสียงเรียกร้องให้ลุงตู่กลับมาในโลกโซเชียลที่ดังขึ้นทุกวัน — แต่วันนั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะเราไม่เห็นค่าของเขาในวันที่เขายังอยู่

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#19 'Saigon, the Last Day' 30 เมษายน 1975 วันสุดท้าย 'กรุงไซ่ง่อนและสาธารณรัฐเวียตนาม'

วันนี้ ย้อนหลังไป 50 ปีก่อนเป็นวันล่มสลายของสาธารณรัฐเวียตนามหรือเวียตนามใต้ รำลึกนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยบทความที่แปลจากบันทึกของคุณ Loren Jenkins อดีตบรรณาธิการอาวุโสฝ่ายต่างประเทศของสำนักข่าว NPR ขณะเป็นนักข่าวของ Newsweek ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ขณะกรุงไซ่ง่อนล่มสลายจากการยึดครองของกองทัพเวียตนามเหนือ และกองกำลังเวียตกงในปลายเดือนเมษายน 1975 เขาเล่าให้ฟังถึงชั่วโมงสุดท้ายที่สุดวุ่นวายในสถานเอกอัครรัฐทูตสหรัฐฯ ซึ่งเขาเขียนและเผยแพร่ในขณะที่ยังเป็นบรรณาธิการอาวุโสฝ่ายต่างประเทศของสำนักข่าว NPR

สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับวันสุดท้ายในเวียตนาม ผมตื่นขึ้นมาก่อนรุ่งสางจากเสียงและแรงระเบิด ในช่วงครึ่งหลับครึ่งเคลิ้มผมกลิ้งไปบนพื้น ดึงที่นอนที่อยู่ด้านบนแล้วนอนหลับต่อ ปฏิกิริยานั้นเป็นสัญชาตญาณ Pavlovian Reflex เพื่อหลีกเลี่ยงเศษกระจกที่แตกกระจายหากมีการระเบิดใกล้ ๆ แต่แล้วผมก็ตื่นขึ้น และตระหนักว่า การระเบิดนั้นเป็นการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ไปยังสนามบิน Ton Son Nhut กองกำลังเวียตนามเหนือเคลื่อนที่ไปทางใต้เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว โดยก่อนหน้านั้นคลื่นขนาดยักษ์ของผู้ลี้ภัย ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็มาถึงกรุงไซ่ง่อน หลังจากเวลาผ่านไปสิบปีสงครามก็กำลังจะสิ้นสุดลง

เมื่อฝ่ายเวียตนามเหนือกำลังเข้ายังมีนักข่าวมากมายที่พูดคุยกันไม่หยุดหย่อนในลานของโรงแรม Continental Palace ซึ่งเป็นที่พักของนักข่าวต่างประเทศ เราควรจะอยู่เพื่อบันทึกการเข้ายึดครองกรุงไซ่ง่อนที่เราอยู่มานานของกองทัพเวียตนามเหนือเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหรือไม่? หรือเราควรปฏิบัติตามแผนการของสถานทูตสหรัฐฯ ที่จะส่งรถบัสมารับไปยังสนามบิน Ton Son Nhut เพื่อขึ้นเครื่องบินอพยพไปยังเกาะกวมซึ่งบินมารอแล้วหลายสัปดาห์หรือไม่? แผนการอพยพของสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนการผจญภัยในสหรัฐอเมริกา แต่เกิดขึ้นในเวียตนาม เมื่อมีการตัดสินใจที่จะดึงปลั๊กปฏิบัติการในเวียตนามใต้เป็นครั้งสุดท้าย เพลง "White Christmas" จะถูกเปิดโดยสถานีวิทยุของกองทัพสหรัฐฯ นั่นจะเป็นสัญญาณให้คนอเมริกันหลายพันคนที่ยังคงอยู่ในกรุงไซ่ง่อนรีบเดินทางไปยังสถานที่ที่ได้รับการเตรียมการทั่วเมืองเพื่อรอรถบัสที่จะมารับและพาไปยังสนามบิน Ton Son Nhut

แต่ในฐานะผู้สื่อข่าวของ Newsweek ซึ่งติดตามปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของอเมริกาในเวียตนาม การไปสนามบินเป็นความคิดที่ตัดทิ้งไปเลย ขณะที่กรุงไซ่ง่อนล่มสลายสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำ เมื่อประธานาธิบดี ฟอร์ดสั่งให้การอพยพของชาวอเมริกันในกรุงไซ่ง่อนเริ่มต้น เนื่องจากการโจมตีสนามบินผมเลือกที่จะบันทึกนาทีสุดท้ายของปฏิบัติการของสหรัฐฯในเวียตนามที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงไซ่ง่อนแทน สถานทูตฯ ล้อมรอบด้วยกำแพงคอนกรีตสีขาวยาว 15 ฟุต เสริมด้วยขดลวดหนาม อาคารสถานทูตหกชั้นเป็นป้อมปราการที่ทันสมัยตั้งตระหง่านอยู่เหนืออาคารทรงเตี้ยที่ล้อมรอบ ที่นั่นนโยบายของสหรัฐฯ ถูกนำมาปฏิบัติมายาวนาน และที่นี่ในที่สุด Graham Martin เอกอัครรัฐทูตประจำสาธารณรัฐเวียตนาม ผู้ซึ่งต้องปฏิบัติตามนโยบายฯ เป็นคนสุดท้าย

ผมจำได้ว่า เมื่อเช้านั้นได้พบกับ David Greenway แห่ง The Washington Post ที่แผนกต้อนรับของ Continental Palace เขาค่อย ๆ ควักเงินเวียตนามที่กำลังจะหมดค่าออกมาจ่ายค่าโรงแรม โดยพูดว่า ไม่มีสุภาพบุรุษคนไหนออกจากโรงแรมโดยไม่จ่ายบิล และเราขับรถไปที่สถานทูตฯ ด้วยรถยนต์โตโยต้าของ The Washington Post ไปตามถนนที่ไม่มีการจราจรซึ่งผิดปกติ บนถนนเกลื่อนไปด้วยเครื่องแบบและรองเท้าบู๊ทของทหารเวียตนามใต้ถอดทิ้งเอาไว้ เมื่อเรามาถึงสถานทูตฯ ประตูปิดอยู่ และนาวิกโยธินติดอาวุธยืนเฝ้าอยู่เหนือกำแพงคอนกรีต เมื่อชาวเวียตนามนับพันเริ่มร้องขอให้นำอพยพออกมาพร้อมกับชาวอเมริกัน เราทั้งผลักทั้งดันกลุ่มคนเวียตนาม แสดงหนังสือเดินทางของสหรัฐฯ และกดบัตรที่ประตู แล้วมีคนมาเปิดและให้พวกเราเข้าไปในสถานทูตฯ

ภายในมีความวุ่นวาย ไร้ระเบียบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนาวิกโยธิน เจ้าหน้าที่ซีไอเอ และอาสาสมัครของกระทรวงการต่างประเทศเดินไปมาทั่วบริเวณ และจัดวางกำลังพร้อมอาวุธหลากหลายประเภท ตั้งแต่ปืนกลมือทอมสันโบราณไปจนถึงมีดล่าสัตว์ติดกับเข็มขัด ชาวเวียตนามหลายพันคนที่กำลังสิ้นหวัง กรีดร้อง และกำลังพยายามปีนกำแพง และมุดผ่านขดลวดหนาม ซึ่งก็ถูกผลักกลับเข้าไปในถนนด้วยปืน M16 อย่างไร้ความปราณี ต้นมะขามขนาดใหญ่ที่บังเงาให้รถของเอกอัครรัฐทูตพึ่งถูกตัดและลากไปไว้ด้านข้างเพื่อเปลี่ยนลานจอดรถให้เป็นจุดลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ ยิ่งไปกว่านั้นมีคนหลายร้อยถูกปล่อยให้เข้ามา เพราะทำงานร่วมกับชาวอเมริกันรวมตัวกันอยู่กลางกองกระเป๋าเดินทาง กล่องกระดาษแข็งและเสื้อผ้า มีนายพลเวียตนามใต้อย่างน้อยสามคนในชุดเครื่องแบบกับครอบครัว นักการเมืองเวียตนามใต้ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไซ่ง่อน หัวหน้าหน่วยดับเพลิงและคนของเขาอีกสิบคนยังคงสวมหมวกเหล็ก ชาวเวียตนามคนอื่น ๆ บุกเข้าไปในโรงอาหารของสถานทูตเพื่อค้นหาเครื่องดื่ม และอาหารเท่าที่พวกเขาสามารถหาได้

ชั้นบนสุดของอาคารซึ่งจัดเก็บเอกสารลับสุดยอดไว้ เอกสารที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เรียงซ้อน และทิ้งออกนอกหน้าต่างออก มีควันจากสำนักงานบางแห่งที่มีการเผาเอกสารอื่น ๆ และจนถึงจุดหนึ่งเจ้าหน้าที่ซีไอเอสามคนในเสื้อแจ็กเก็ตเลื่อนรถเข็นที่เต็มไปด้วยธนบัตรร้อยดอลลาร์จากตู้เซฟ และทิ้งลงในเตาเผาขยะด้านนอก จากนั้นก็มีเสียงของใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่บินลงมาจากท้องฟ้าสีคราม เฮลิคอปเตอร์ CH-46 ขนาดใหญ่บินจากเรือรบของกองเรือที่ 7 แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ลอยลำอยู่ในทะเลจีนใต้ ความวุ่นวายเป็นกิจวัตรเช่นนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาและบินจากไป ในที่สุดเวลา 18 ชั่วโมงหลังจากการอพยพเริ่มขึ้น ประธานาธิบดีฟอร์ดได้สั่งให้ยุติการอพยพโดยทีมเฮลิคอปเตอร์ 80 ลำที่บินแล้วจนหมดแรงแล้ว 495 เที่ยว มีการบอกกล่าวอย่างเงียบ ๆ กระจายออกไปว่าจะมีเพียงชาวอเมริกันที่เหลือเท่านั้นที่จะได้รับการอพยพ ทหารนาวิกโยธินบนกำแพงถอยกลับเข้าไปในอาคารสถานทูตฯ ประตูถูกปิดและพวกเราข้างในก็ขยับขึ้นไปบนหลังคา

ในที่สุดประมาณตี 4 ทูต Graham Martin ปรากฏตัวเงียบ ๆ พร้อมกับทีมงานบนหลังคาอาคารอย่างเงียบ ๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอิดโรย มีธงชาติสหรัฐฯ ของสถานทูตฯ ที่พับแล้วอยู่ใต้วงแขนของเขา ผมเข้าไปร่วมกับเลขานุการส่วนตัวของเขาและ Nitnoy สุนัขพุดเดิ้ลสีดำสัตว์เลี้ยงของเขา (น่าจะเป็นชื่อไทยว่า “นิดหน่อย” ด้วยตัวทูต Graham Martin เคยเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย) ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ CH-46 ลำหนึ่งบนหลังคา ในขณะที่เฮลิคอปเตอร์ CH-46 ยกตัวออกมา มุมมองสุดท้ายต่อประเทศที่เขาเป็นดั่งอุปราชอเมริกันคือ ภาพของพลุดอกไม้ไฟขนาดยักษ์ที่เกิดจากบรรดากระสุนที่ทิ้งไว้ในค่าย Bien Hoa ทางทิศเหนือเกิดระเบิดขึ้น และแสงไฟจากรถบรรทุกที่ยาวเหยียดไกลสุดสายตา ซึ่งสามารถเห็นได้ว่า ขบวนรถของกองทัพเวียตนามเหนือมุ่งลงไปทางใต้เพื่อชัยชนะ

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top