Monday, 7 July 2025
COLUMNIST

‘ชินวัตร–ฮุน’ ละครระหว่าง!! สองตระกูลอำนาจ เดินเรื่องตามกลยุทธ์ที่วางมาแล้ว ใช้ชีวิตปชช.กว่า 100 ล้านคน ในสองประเทศเป็นตัวประกัน ในสงครามผลประโยชน์

(6 ก.ค. 68) ในขณะที่ชายแดนไทย-กัมพูชากำลังปะทุด้วยไฟความขัดแย้ง และเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศสั่นคลอน ท่ามกลางสงครามข่าวสาร สงครามพลังงาน และเกมการเมืองระดับภูมิภาค กลับมีคำถามใหญ่ที่น่ากังวลยิ่งกว่ากระสุนปืนและขีปนาวุธ

ทำไม "ทักษิณ ชินวัตร" จึงเงียบ?
และทำไม "ฮุน เซน" จึงตื่นตัวผิดปกติ?

คำตอบอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากมองในมุม “คนคุมเกม” ที่ไม่จำเป็นต้องออกหน้า ทักษิณในเวลานี้ไม่ใช่แค่นักการเมืองผู้ลี้ภัยกลับบ้าน แต่คือ นักยุทธศาสตร์เบื้องหลัง ที่กำลังกำกับบทละครระหว่างสองตระกูลอำนาจ: ชินวัตร–ฮุน ซึ่งเป็น “กลุ่มผลประโยชน์ร่วม” ที่ผูกโยงด้วยเงินตรา เครือข่ายทุนสีเทา และพันธมิตรธุรกิจ–การเมืองข้ามชาติ

การที่ฮุนเซนออกโรงเดินสาย ทั้งการท้าทายไทยเรื่องแรงงานเขมร บอยคอตพลังงาน และแบนสินค้าไทย เป็นมากกว่าแค่การแสดงจุดยืนทางการเมือง หากคือ “กลยุทธ์ที่วางมาแล้ว” โดยมีทักษิณช่วยประคองเกมรุกของเขมรไม่ให้สะดุด

แม้บอกว่าแบนพลังงานจากไทย แต่ก็สามารถอาศัยคอนเนกชันของทักษิณในการนำพลังงานผ่านเวียดนามเข้าสู่เขมรได้อย่างราบรื่น
แม้บอกว่าแบนสินค้าไทย แต่สินค้าไทยก็ทะลักเข้าผ่านช่องทางลาวและเวียดนามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และเมื่อราคาน้ำมันในเขมรถูกกว่าไทย มันก็สะท้อนภาพว่า “การโจมตีเชิงสื่อ” นั้นมีการวางแผนระดับสูง

แต่สิ่งที่ทั้งทักษิณและฮุนเซนลืมไปคือ “ราคาของความยืดเยื้อ” ไม่ได้จ่ายด้วยเงินหรือกลยุทธ์ แต่มันคือ ชีวิตประชาชนกว่า 100 ล้านคน ในสองประเทศที่กำลังถูกใช้เป็นตัวประกันในสงครามผลประโยชน์

ขณะที่ทักษิณมุ่งรักษาอำนาจและประโยชน์ของตระกูล
และฮุนเซนมุ่งรักษาระบอบการสืบทอดอำนาจ

ประชาชนไทยและกัมพูชากลับต้องจมอยู่กับความยากจน วิกฤตหนี้สิน และการไร้อนาคต
นี่คือสัญญาณอันตรายที่อาจทำให้เกมที่ “ดูเหมือนคุมได้” กลายเป็นระเบิดเวลาที่ไม่มีใครหยุดได้อีกต่อไป

ฝั่งไทย: ทักษิณกำลังสูญเสียความชอบธรรม จากการบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว พันธมิตรกลุ่มทุนเริ่มขาดทุนหนัก เช่น คิงเพาเวอร์ ที่ได้รับผลกระทบจากการไหลออกของแหล่งทุนสีเทาและการกวาดล้างจากสหรัฐฯ

ฝั่งเขมร: ตระกูลฮุนกำลังถูกบีบจากทั้งศัตรูภายใน (เช่น เตีย บัญ – เตีย เสฮา) และศัตรูเก่า (สม รังสี) ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการลากฮุนเซนขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

ในภาพรวมแล้ว เกมที่ทักษิณพยายามจะเล่นให้ได้ชัยชนะสองประเทศ กลับกำลังย้อนกลับมาทำลายศูนย์กลางอำนาจของเขาเอง

คำถามใหญ่: จะยื้อได้นานแค่ไหน??

เมื่อหัวใจของอำนาจคือ “เงิน” และเงินกำลังถูกตัดขาด
เมื่อเสาหลักของอำนาจคือ “ภาพลักษณ์” แต่ภาพลักษณ์กลับกลายเป็น ผู้สนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ
และเมื่อศัตรูไม่ใช่แค่ฝ่ายค้าน แต่คือ กองทัพ–ประชาชน–องค์กรโลก

คำถามสำคัญคือ
> ทักษิณจะยังสามารถเป็นผู้กำกับละครอำนาจได้อีกนานแค่ไหน??
หรือจะกลายเป็นนักแสดงที่ต้องหนีออกจากเวที...ก่อนม่านจะปิดฉากไปพร้อมกับสองตระกูล?? ...

‘ไทย–เวียดนาม’ กระชับสัมพันธ์ ‘กลาโหม’ ท่ามกลางความตึงเครียด!! ตามแนวชายแดน

(6 ก.ค. 68) ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา การเยือนอย่างเป็นทางการของ พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แห่งราชอาณาจักรไทย ไปยังกรุงฮานอย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของการทูตทางทหารที่สะท้อนถึงมิตรภาพอันมั่นคงระหว่างไทยกับเวียดนาม

การต้อนรับโดย พลเอก เหงียน เติน กื๋อง หัวหน้าคณะเสนาธิการใหญ่กองทัพประชาชนเวียดนาม และรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้เป็นเพียงพิธีการ แต่ยังเป็นเวทีหารือเชิงลึกด้านความมั่นคง โดยทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำเจตจำนงร่วมในการเสริมสร้างเสถียรภาพของภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในระดับยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม

จุดยืนร่วมและความร่วมมือเชิงปฏิบัติ

ทั้งไทยและเวียดนามได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนร่วมกันในการส่งเสริม “สันติภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา” บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นข้อพิพาททางทะเลและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ความร่วมมือที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น การแลกเปลี่ยนคณะ การฝึกร่วมระหว่างเหล่าทัพ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ถือเป็นแกนกลางของความสัมพันธ์ระหว่างสองกองทัพ

ที่สำคัญ พลเอกทรงวิทย์ได้แสดงความชื่นชมในนโยบาย “Four No’s” ของเวียดนาม ซึ่งประกอบด้วย:
1. ไม่เข้าร่วมพันธมิตรทางทหาร
2. ไม่เลือกข้างในความขัดแย้ง
3. ไม่อนุญาตให้มีฐานทัพต่างชาติในประเทศ
4. ไม่ใช้เวียดนามเป็นฐานสำหรับการโจมตีประเทศอื่น

แนวนโยบายนี้สอดคล้องกับหลักการของไทยในการไม่แทรกแซงและเคารพอธิปไตยซึ่งกันและกัน อันเป็นรากฐานของอาเซียน

มิตรภาพแท้ในเวลาวิกฤต

การเยือนของผู้นำกองทัพไทยในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียด โดยฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีแข็งกร้าว ขณะที่ไทยเลือกใช้แนวทางเตรียมพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ควบคู่กับการยึดหลักสันติวิธี

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มิตรภาพจากเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งในระดับรัฐและกองทัพ จึงมีความหมายอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่เป็นการส่งสารแห่งความเชื่อมั่นระหว่างกัน แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณต่อภูมิภาคว่า อาเซียนยังยึดมั่นในหลักความร่วมมือ มากกว่าการเผชิญหน้า
ข้อสังเกตเชิงยุทธศาสตร์

การกระชับสัมพันธ์ไทย–เวียดนามทางทหารในเวลานี้ อาจตีความได้ว่าเป็นการเสริมแนวหลังของไทย ในขณะที่แนวหน้าเผชิญกับการท้าทายจากเพื่อนบ้านทางตะวันออกเฉียงใต้ การมีพันธมิตรที่เชื่อถือได้เช่นเวียดนาม จึงเป็นทั้งกลยุทธ์การสร้างดุลอำนาจ และกลไกการคานอิทธิพลที่กำลังขยายตัวจากภายนอกภูมิภาค

บทสรุป
ท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายประเทศเลือกใช้นโยบายแข็งกร้าว ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและเวียดนามแสดงให้เห็นว่า “การทูตทางทหาร” ยังสามารถเป็นสะพานเชื่อมของมิตรภาพ ความมั่นคง และสันติภาพ

> ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน... พันธมิตรที่ไว้ใจได้ คือเสาหลักที่ไม่มีเสียง แต่หนักแน่นยิ่งกว่าคำพูดใด

‘รัสเซีย’ สร้างแรงสั่นสะเทือน!! รับรอง ‘ตอลิบาน’ การเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ท้าทายโลกตะวันตก

เมื่อวันที่ (3 ก.ค. 68) รัสเซียได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับระบบระเบียบโลกอีกครั้งด้วยการกลายเป็นประเทศแรกที่ประกาศรับรองรัฐบาลตอลิบานของอัฟกานิสถานอย่างเป็นทางการท่ามกลางกระแสการปฏิเสธและความลังเลจากประชาคมโลก ท่าทีของเครมลินในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการติดต่อทวิภาคีทั่วไปหากแต่คือการประกาศจุดยืนอันชัดเจนว่ารัสเซียพร้อมเดินสวนทางกับค่านิยมเสรีนิยมของตะวันตกและเลือกเดิมพันทางภูมิรัฐศาสตร์กับ "รัฐที่โลกเสรีพยายามลืม" นี่คือการเดินหมากของมหาอำนาจที่ถูกกดดัน ถูกโดดเดี่ยวและถูกปิดล้อมทางการทูตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่บุกยูเครนในปี ค.ศ. 2022 รัสเซียไม่ได้เพียงรับรองรัฐบาลตอลิบานเท่านั้นแต่ยังส่งสัญญาณถึงโลกว่ากำลังจัดวางพันธมิตรใหม่ภายใต้ตรรกะแห่งประโยชน์และอำนาจ มากกว่าจะผูกติดกับคุณค่าสากลที่ตะวันตกยกย่อง ท่ามกลางฉากหลังของสงคราม ความอดอยาก การก่อการร้าย และการแสวงหาอำนาจในเอเชียกลาง รัสเซียมองว่าตอลิบานไม่ใช่กลุ่มหัวรุนแรงหากแต่คือ "หุ้นส่วนที่เป็นไปได้" ซึ่งสามารถต่อรองอิทธิพลกับตะวันตกและถ่วงดุลการครอบงำในภูมิภาค คำถามจึงไม่ใช่ว่า "รัสเซียควรรับรองตอลิบานหรือไม่" แต่คือ "โลกจะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางระเบียบภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างไร" การยอมรับตอลิบานคือการเคลื่อนไหวที่สั่นคลอนหลักการเดิมของความชอบธรรมและสิทธิมนุษยชนและกำลังลากโลกเข้าสู่ยุคแห่งการทูตแบบดิบๆ (raw diplomacy) ที่ผลประโยชน์และอำนาจกลับมาครองเวทีอีกครั้ง บทความนี้มุ่งสำรวจพลวัตเบื้องหลังการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของรัสเซีย โดยวางกรอบวิเคราะห์ผ่านเลนส์ของภูมิรัฐศาสตร์ ดุลอำนาจ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการตอบโต้ระเบียบโลกฝ่ายเดียว (unipolarity) ที่ครอบงำมานานกว่าสามทศวรรษ

นับตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2021 ที่กลุ่มตอลิบานบุกยึดกรุงคาบูลและโค่นล้มรัฐบาลอัฟกานิสถานที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก โลกก็เผชิญกับคำถามทางศีลธรรม การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างหนักหน่วง การกลับมาสู่อำนาจของกลุ่มตอลิบานไม่เพียงพลิกฟื้นความทรงจำอันขมขื่นในยุคก่อนปี ค.ศ. 2001 แต่ยังเปิดฉากการทดสอบครั้งใหญ่ต่อระเบียบโลกเสรีนิยม การกลับมาของตอลิบานไม่ใช่แค่การโค่นล้มรัฐบาลเก่า แต่มันคือการฉีกหน้าระเบียบโลกที่วางอยู่บนค่านิยมเสรีนิยมตะวันตก การศึกษาสำหรับสตรี? ถูกห้าม เสรีภาพในการแสดงออก? ถูกกด สิทธิมนุษยชน? กลายเป็นวาทกรรมที่ไร้ความหมายในแดนที่กฎหมายถูกตีความผ่านอุดมการณ์ทางศาสนาแบบสุดโต่ง ในช่วงเวลากว่า 3 ปีที่ตอลิบานปกครองประเทศ กลุ่มผู้ปกครองนี้ได้พยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของตนในฐานะ "รัฐบาลแห่งเสถียรภาพ" ที่สามารถฟื้นฟูความสงบได้ดีกว่ารัฐบาลที่ตะวันตกสนับสนุน แต่ขณะเดียวกันก็กลับไปใช้นโยบายแบบอนุรักษนิยมสุดโต่งซึ่งจำกัดสิทธิสตรีอย่างรุนแรง เช่น การห้ามผู้หญิงเรียนหนังสือต่อเกรด 6 การสั่งปิดมหาวิทยาลัยสำหรับผู้หญิง และการกีดกันผู้หญิงจากแรงงานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนระดับนานาชาติ หลายประเทศจึงเลือก "เปิดช่องทางสื่อสาร" แต่ไม่ให้การรับรองทางการทูตอย่างเป็นทางการ

แม้ไม่มีประเทศใดก่อนหน้ารัสเซียให้การรับรองตอลิบานในฐานะรัฐบาลโดยชอบธรรม แต่อัฟกานิสถานกลับกลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์เงียบ” ที่หลายรัฐเข้าไปมีส่วนร่วมผ่านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การเจรจาความมั่นคง และผลประโยชน์ทางทรัพยากร โดยเฉพาะจีน ปากีสถาน กาตาร์ อุซเบกิสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ล้วนมีช่องทางการสื่อสารกับรัฐบาลตอลิบาน แม้จะไม่มีสถานะทางการทูตเต็มรูปแบบก็ตาม องค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับสถานะของรัฐบาลตอลิบานได้อย่างเป็นเอกภาพ โดยแม้ตอลิบานจะเรียกร้องให้ได้รับที่นั่งประจำในเวทีสหประชาชาติ แต่กลับถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยคณะกรรมการรับรอง (UN Credentials Committee) ภายใต้ข้ออ้างว่ายังไม่แสดงหลักฐานของการปกครองอย่างครอบคลุมและเคารพสิทธิมนุษยชน กล่าวโดยสรุป ตอลิบานดำรงอยู่ในสถานะ “รัฐเงา” (shadow state) ที่ครองอำนาจจริงแต่ไม่มีความชอบธรรมตามกรอบของประชาคมโลก เป็นรัฐบาลที่ไม่ถูกรับรอง แต่ไม่สามารถถูกมองข้าม เป็นผู้เล่นที่ไม่มีชื่อในเวที แต่มีบทบาทในภาคสนาม ทั้งในเรื่องความมั่นคง ชายแดน การค้ายาเสพติด และการอพยพข้ามพรมแดน รัฐบาลรัสเซียจึงเห็นโอกาสทางการทูตเชิงยุทธศาสตร์ในความ "ไร้ตัวตนแต่ทรงอิทธิพล" นี้ของตอลิบาน และเลือกลงมือก่อนใครด้วยการรับรองในทางเปิดเผย

ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอัฟกานิสถานมีรากฐานที่ย้อนกลับไปถึงยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะในช่วงที่สหภาพโซเวียตเข้ายึดครองอัฟกานิสถานระหว่างปี ค.ศ. 1979–1989 เพื่อสนับสนุนรัฐบาลฝ่ายซ้ายที่กำลังเผชิญการต่อต้านจากกลุ่มมุญาฮิดีน ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐอเมริกา ปากีสถาน และพันธมิตรตะวันตก ผลลัพธ์คือสงครามที่ยืดเยื้อ สูญเสียทางทหาร และผลกระทบภายในที่เร่งเร้าให้เกิดการล่มสลายของโซเวียตในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันรัสเซียไม่ได้วางตัวในฐานะ "คู่ขัดแย้ง" กับอัฟกานิสถานอีกต่อไป หากแต่ปรับบทบาทเป็นผู้มีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์ในภูมิภาค โดยเฉพาะหลังการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานในปี ค.ศ. 2021 รัสเซียแสดงบทบาทที่โดดเด่นในฐานะเจ้าภาพการประชุม “Moscow Format” ซึ่งรวบรวมประเทศต่าง ๆ ในเอเชียกลาง จีน ปากีสถาน และอิหร่าน เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางสร้างเสถียรภาพในอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตอลิบาน แม้ในขณะนั้นรัสเซียจะยังไม่รับรองรัฐบาลตอลิบานอย่างเป็นทางการก็ตาม ในทางภูมิรัฐศาสตร์อัฟกานิสถานมีความสำคัญต่อรัสเซียในฐานะรัฐกันชนที่อยู่ติดกับภูมิภาคเอเชียกลางซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัสเซียต้องการรักษาอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์และเชิงยุทธศาสตร์ไว้ให้ได้ นอกจากนี้ความกังวลเรื่องการแทรกซึมของกลุ่มหัวรุนแรงอย่าง ISIS-K เข้าสู่รัฐอดีตโซเวียต เช่น ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และเติร์กเมนิสถานยิ่งกระตุ้นให้รัสเซียมองตอลิบานในฐานะพลังที่จำเป็นต่อการรักษาเสถียรภาพ แม้จะขัดแย้งกับค่านิยมด้านสิทธิมนุษยชนของประชาคมโลกก็ตาม การตัดสินใจของรัสเซียในการรับรองตอลิบานในปี ค.ศ. 2025 จึงสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งสู่ความพยายามสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมทางความมั่นคง ภูมิรัฐศาสตร์ และการต่อต้านอิทธิพลของชาติตะวันตกในภูมิภาคที่ยังไร้เสถียรภาพแห่งนี้

การตัดสินใจของรัสเซียในการรับรองรัฐบาลตอลิบานในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2025 ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวทางการทูตเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ที่มีมิติซับซ้อนและครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคง ภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในบริบทของโลกหลังสงครามยูเครนซึ่งรัสเซียจำเป็นต้องแสวงหาพันธมิตรทางเลือกและช่องทางสร้างอิทธิพลนอกเหนือจากขั้วตะวันตก

ประการแรก รัสเซียมองว่าอัฟกานิสถานภายใต้การนำของตอลิบาน แม้จะไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล แต่สามารถมีบทบาทในฐานะ "รัฐกันชน" (buffer state) ที่ช่วยสกัดกั้นการแพร่กระจายของแนวคิดสุดโต่งและกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม Islamic State – Khorasan Province (ISIS‑K) ซึ่งมีประวัติการโจมตีผลประโยชน์ของรัสเซีย ทั้งในเอเชียกลางและในกรุงมอสโก รัสเซียจึงให้ความสำคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์กับตอลิบานเพื่อสร้างช่องทางการประสานงานด้านความมั่นคง แม้จะไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตเต็มรูปแบบมาก่อนหน้านี้

ประการที่สอง ในมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซียพยายามขยายขอบเขตอิทธิพลของตนในเอเชียกลางและเอเชียใต้ โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดตัดสำคัญของมหาอำนาจหลายฝ่าย ทั้งจีน อินเดีย อิหร่าน และชาติตะวันตก การสถาปนาความสัมพันธ์กับตอลิบานจึงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการรักษาอิทธิพลของตนในภูมิภาค และตอบโต้ความพยายามของสหรัฐฯ ที่เคยใช้การแทรกแซงในอัฟกานิสถานเป็นเครื่องมือสร้างดุลอำนาจในภูมิภาคนี้

ประการที่สาม ในด้านเศรษฐกิจ รัสเซียมองเห็นศักยภาพของอัฟกานิสถานในฐานะแหล่งแร่หายาก (rare earth minerals) และทรัพยากรธรรมชาติที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา รวมถึงการเป็นจุดผ่านของโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค เช่น โครงการท่อส่งก๊าซ TAPI หรือเส้นทางขนส่งสินค้าสายเหนือ–ใต้ ที่อาจเชื่อมโยงรัสเซียกับเอเชียใต้ผ่านอัฟกานิสถาน การเปิดสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการจึงเป็นกลไกสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยสรุปรัสเซียมิได้มองการรับรองรัฐบาลตอลิบานในกรอบของความถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน หากแต่มองผ่านแว่นของผลประโยชน์แห่งรัฐ (raison d'état) และความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของนโยบายต่างประเทศรัสเซียในยุคหลังยูเครนที่เน้นการสร้างพันธมิตรนอกกระแส ตอบโต้การโดดเดี่ยวจากตะวันตกและขยายขอบเขตของระเบียบโลกทางเลือก

การที่รัสเซียประกาศรับรองรัฐบาลตอลิบานอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 2025 นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สะท้อนถึงพลวัตของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระเบียบโลกแบบเสรีนิยม (liberal order) ไปสู่ระเบียบโลกแบบพหุขั้ว (multipolarity) ที่คุณค่าและความชอบธรรมไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดจากศูนย์กลางตะวันตกแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป ปฏิกิริยาของโลกต่อการตัดสินใจของรัสเซียแบ่งออกอย่างชัดเจนตามแนวรอยร้าวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดำรงอยู่ในช่วงหลังสงครามยูเครน โดยกลุ่มประเทศตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และแคนาดา ต่างแสดงความผิดหวังอย่างเปิดเผย โดยชี้ว่าการรับรองตอลิบานคือการมอบความชอบธรรมให้แก่รัฐบาลที่ยังคงละเมิดสิทธิสตรี ปราบปรามเสรีภาพ และขาดกลไกตรวจสอบภายในทางการเมือง ปฏิกิริยาเหล่านี้สะท้อนจุดยืนที่ยังยึดโยงกับกรอบคุณค่าของสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งยังคงเป็นแกนกลางของนโยบายต่างประเทศของชาติตะวันตก 

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มประเทศในเอเชียกลาง เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และบางประเทศในแอฟริกา กลับเลือกแสดงท่าทีแบบรอดูท่าทีหรือส่งสัญญาณในเชิงบวกต่อการรับรองของรัสเซีย โดยเฉพาะประเทศที่มีผลประโยชน์เชื่อมโยงกับอัฟกานิสถาน เช่น จีน ปากีสถาน อิหร่าน และกาตาร์ ต่างมีความสัมพันธ์ในทางปฏิบัติกับตอลิบานมาอย่างต่อเนื่อง และอาจใช้กรณีรัสเซียเป็นจุดตั้งต้นในการขยับสถานะของความสัมพันธ์ทางการทูตในอนาคต ที่น่าสนใจคือบางประเทศในโลกมุสลิม เช่น ตุรกี ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้จะยังไม่แสดงท่าทีชัดเจนแต่ก็เลือกหลีกเลี่ยงการประณามรัสเซียในลักษณะเดียวกับชาติตะวันตก สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังเชิงยุทธศาสตร์ในการรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับมอสโก และภาพลักษณ์ของตนในเวทีระหว่างประเทศ สำหรับองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ หรือองค์การเพื่อความร่วมมืออิสลาม (OIC) ยังไม่มีท่าทีอย่างเป็นทางการต่อการรับรองของรัสเซีย แต่การเคลื่อนไหวของประเทศสมาชิกอย่างรัสเซีย 

ย่อมเพิ่มแรงกดดันให้เกิดการหารือในระดับระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานะของรัฐบาลตอลิบานในอนาคต กล่าวโดยสรุป การตัดสินใจของรัสเซียได้กลายเป็นหมุดหมายที่เร่งให้เกิดการ “จัดตำแหน่งทางการเมือง” (political realignment) ที่แบ่งขั้วของโลกออกอย่างเด่นชัดขึ้นระหว่างฝ่ายที่ยึดมั่นในคุณค่าตะวันตก กับฝ่ายที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ ความมั่นคง และอำนาจรัฐเป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มนี้สอดคล้องกับกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระเบียบเดิมสู่ความไม่แน่นอนของระเบียบใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการต่อรอง

การที่รัสเซียกลายเป็นประเทศแรกที่รับรองรัฐบาลตอลิบานอย่างเป็นทางการจึงมิได้เป็นเพียงการแสดงออกเชิงนโยบายต่างประเทศระดับทวิภาคีเท่านั้น หากแต่เป็นการเคลื่อนไหวที่สั่นคลอนโครงสร้างอำนาจของระเบียบโลกยุคหลังสงครามเย็น โดยเฉพาะในบริบทที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบขั้วเดียวภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา สู่ระบบพหุขั้วที่กลุ่มอำนาจใหม่พยายามสถาปนา "ระเบียบโลกทางเลือก" (alternative world order) ขึ้นมาท้าทายศูนย์กลางเดิม ในมุมมองของรัสเซียการรับรองตอลิบานคือการใช้ “การทูตกับรัฐนอกกระแส” (pariah state diplomacy) เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพลและโต้กลับการกีดกันจากโลกตะวันตก ท่าทีนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่รัสเซียกำลังเร่งสร้างเครือข่ายพันธมิตรใหม่กับประเทศที่ถูกคว่ำบาตรหรือไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก เช่น อิหร่าน ซีเรีย เกาหลีเหนือ และเวเนซุเอลา 

โดยอาศัยความไม่สมดุลของระเบียบโลกเดิมเป็นช่องทางแสวงหาความชอบธรรมใหม่ในหมู่ประเทศที่รู้สึกว่าถูกกีดกันจากระบบโลกที่มีลำดับชั้นทางการเมือง ในขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของรัสเซียยังสะท้อนแนวคิดที่ว่าความชอบธรรมของรัฐในเวทีระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บน “ค่านิยมสากล” เพียงอย่างเดียว หากแต่สามารถตั้งอยู่บน “ข้อเท็จจริงเชิงอำนาจ” (power-based legitimacy) กล่าวคือรัฐใดก็ตามที่สามารถควบคุมอำนาจรัฐในทางปฏิบัติได้อย่างมั่นคงย่อมมีสิทธิได้รับการยอมรับจากประเทศอื่นโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศหรือเคารพหลักการประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมเสมอไป ในภาพรวมการตัดสินใจของรัสเซียจึงควรตีความในกรอบของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของระเบียบโลกที่ประเทศมหาอำนาจกำลังวางรากฐานของ "ระบบคู่ขนาน" (parallel system) ในเวทีระหว่างประเทศโดยใช้การยอมรับรัฐบาลที่โลกตะวันตกไม่รับรองเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ในการส่งสารว่า "กฎของเกมเก่าไม่สามารถผูกขาดเวทีโลกได้อีกต่อไป" ในขณะที่ชาติตะวันตกยังพยายามรักษาอิทธิพลผ่านกลไกสากลเดิม รัสเซียรวมถึงจีนกลับหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างระเบียบใหม่ผ่านกลุ่มความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เช่น BRICS, Shanghai Cooperation Organization (SCO) และ Eurasian Economic Union (EAEU) ที่เน้นอำนาจอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ของรัฐ มากกว่าการกำหนดมาตรฐานจากภายนอก

การที่รัสเซียประกาศรับรองรัฐบาลตอลิบานไม่เพียงเป็นเหตุการณ์เชิงสัญลักษณ์ หากแต่ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 2 ระยะอย่างชัดเจน: ระยะสั้นที่เน้นการเปลี่ยนแปลงในระดับยุทธศาสตร์และการทูต และระยะยาวที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างอำนาจและบรรทัดฐานในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลกระทบระยะสั้น ได้แก่ 1) เสริมบทบาทของรัสเซียในเอเชียกลาง การรับรองตอลิบานช่วยให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองในภูมิภาคเอเชียกลางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในมิติความมั่นคงและการต่อต้านลัทธิหัวรุนแรง ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับรัฐชายแดนอย่างทาจิกิสถานและอุซเบกิสถาน 2) เพิ่มแรงกดดันต่อชาติตะวันตกชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ตอลิบานได้รับความชอบธรรมทางการทูตจากประเทศมหาอำนาจอื่น 

ซึ่งอาจทำให้กลไกการโดดเดี่ยวที่ตะวันตกใช้มาตลอด 3 ปีสูญเสียประสิทธิภาพ 3) สร้างแนวโน้มของการยอมรับเชิงปฏิบัติ (de facto recognition) ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในโลกมุสลิมหรือกลุ่มที่มีผลประโยชน์ในอัฟกานิสถาน อาจเริ่มปรับนโยบายของตนให้ใกล้เคียงกับรัสเซีย ทั้งในเชิงการทูตและเศรษฐกิจ แม้จะยังไม่ถึงขั้นรับรองในทางนิติก็ตาม ในขณะที่ผลกระทบระยะยาว มีดังนี้ 1) การเปลี่ยนแปลงของบรรทัดฐานทางการทูต ความเคลื่อนไหวของรัสเซียอาจนำไปสู่การสั่นคลอนบรรทัดฐานที่ผูกโยงความชอบธรรมกับสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และการเลือกตั้ง หากรัฐมหาอำนาจเลือกยอมรับรัฐบาลที่ “มีอำนาจจริง” มากกว่ารัฐบาลที่ “ชอบธรรมตามคุณค่า” บรรทัดฐานการรับรองในเวทีโลกก็อาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 2) เสริมสร้างระเบียบโลกแบบพหุขั้ว การรับรองตอลิบานโดยรัสเซียตอกย้ำแนวโน้มที่ประเทศนอกขั้วตะวันตกเริ่มดำเนินนโยบายต่างประเทศที่อิงกับผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าการเดินตามแนวทางของโลกเสรีนิยม ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดวาง “ระบบคู่ขนาน” ทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง 3) การลดบทบาทขององค์การระหว่างประเทศ ซึ่งหากกระบวนการรับรองรัฐบาลเริ่มเกิดขึ้นผ่านกลไกทวิภาคีโดยไม่ขึ้นกับการพิจารณาขององค์การสหประชาชาติ หรือองค์กรระดับภูมิภาค ก็อาจนำไปสู่การลดทอนความน่าเชื่อถือและบทบาทของกลไกพหุภาคีในระยะยาว

บทสรุป การที่รัสเซียกลายเป็นประเทศแรกที่รับรองรัฐบาลตอลิบานในปี ค.ศ. 2025 ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่ทรงพลังในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระเบียบโลกในยุคที่อำนาจกำลังแปรผันจากศูนย์กลางเดิมสู่การกระจายตัวอย่างซับซ้อนและท้าทาย นัยสำคัญของเหตุการณ์นี้มิได้จำกัดอยู่เพียงในระดับทวิภาคีระหว่างรัสเซียกับอัฟกานิสถานเท่านั้น หากแต่ยังเปิดเผยถึงความพยายามของรัสเซียในการสร้างระเบียบโลกทางเลือกที่ยึดโยงกับผลประโยชน์ ความมั่นคง และอำนาจอธิปไตย มากกว่าการดำเนินนโยบายตามหลักการสากลที่กำหนดโดยตะวันตก ภายใต้บริบทนี้ “การรับรอง” จึงกลายเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ใช้ในการจัดวางพันธมิตร ขยายอิทธิพล และตอกย้ำภาพของรัสเซียในฐานะรัฐมหาอำนาจที่ยังคงมีบทบาทเชิงรุกในภูมิภาคเอเชียกลางและโลกมุสลิม ในขณะเดียวกันปฏิกิริยาที่แตกต่างกันของนานาประเทศต่อท่าทีของรัสเซียยังสะท้อนถึงการแบ่งขั้วของโลกอย่างชัดเจน โดยฝ่ายหนึ่งยังคงยึดมั่นในค่านิยมแบบเสรีนิยม ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มปรับนโยบายตามความจำเป็นของบริบทภูมิรัฐศาสตร์มากกว่ากรอบคุณค่าดั้งเดิม แนวโน้มนี้อาจนำไปสู่การจัดรูปแบบใหม่ของบรรทัดฐานสากลในอนาคต ซึ่งไม่จำเป็นต้องอิงกับฉันทามติของมหาอำนาจตะวันตกเสมอไป กล่าวโดยสรุปการรับรองรัฐบาลตอลิบานโดยรัสเซียไม่ได้เป็นเพียงการยอมรับรัฐบาลหนึ่งเท่านั้น แต่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านในระดับโครงสร้างของอำนาจโลก ที่กำลังเคลื่อนจากความเป็นเอกภาพ สู่ภาวะพหุขั้วที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การต่อรอง และการจัดตำแหน่งทางการเมืองใหม่อย่างต่อเนื่อง

‘ข้อตกลงอับราฮัม’ สันติภาพเพื่อชาวอิสราเอล แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้ชาวปาเลสไตน์

หลังจากสงคราม 12 วันระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ด้วยความบอบช้ำทั้งสองฝ่าย โดยอิหร่านได้เปรียบอยู่บ้าง และน่าจะสามารถยืนระยะต่อได้อีกพักหนึ่ง หากสงครามไม่ถูกแทรกแซงโดยชาติมหาอำนาจ สำหรับอิสราเอลที่บอบช้ำจากสงครามในครั้งนี้ ซึ่งถือว่า มากที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อร่างสร้างประเทศเป็นต้นมา โดยอิสราเอลได้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ป้ายแสดงผู้นำสหรัฐฯ อิสราเอล และอาหรับหลายชาติตาม 'ข้อตกลงอับราฮัม' อย่างแพร่หลาย

'ข้อตกลงอับราฮัม' เป็นชุดสนธิสัญญาที่มุ่งไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) บาห์เรน ซูดาน และโมร็อกโก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม 2020 โดยในช่วงเวลาสั้น ๆ ห้าเดือน รัฐอาหรับทั้งสี่แห่งนี้ได้ร่วมกับอียิปต์และจอร์แดนในการทำข้อตกลงสันติภาพกับอิสราเอล ข้อตกลงดังกล่าวเรียกว่า 'ข้อตกลงอับราฮัม' เพื่อเป็นเกียรติแก่อับราฮัม ผู้นำของทั้งศาสนายิว คริสต์ และอิสลาม

คำประกาศ 'ข้อตกลงอับราฮัม' มีความดังนี้:
“ข้าพเจ้าผู้ลงนามด้านล่างตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาและเสริมสร้างสันติภาพในตะวันออกกลางและทั่วโลกโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันซึ่งกันและกัน รวมถึงการเคารพศักดิ์ศรีและเสรีภาพของมนุษย์ รวมทั้งเสรีภาพทางศาสนาด้วย เราส่งเสริมความพยายามในการส่งเสริมการสนทนาข้ามศาสนาและข้ามวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพระหว่างศาสนาอับราฮัมทั้งสามศาสนาและมนุษยชาติทั้งหมด

เราเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาคือความร่วมมือและการเจรจา และการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างรัฐต่าง ๆ จะส่งเสริมผลประโยชน์ของสันติภาพที่ยั่งยืนในตะวันออกกลางและทั่วโลก

เราแสวงหาความอดทนและความเคารพต่อทุกคนเพื่อให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับชีวิตที่มีศักดิ์ศรีและความหวัง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเชื้อชาติ ความเชื่อ หรือชาติพันธุ์ใดก็ตาม

​เราสนับสนุนวิทยาศาสตร์ ศิลปะ การแพทย์ และการพาณิชย์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่มวลมนุษย์ เพิ่มศักยภาพของมนุษย์ และทำให้ประเทศต่างๆ ใกล้กันมากขึ้น

เรามุ่งมั่นที่จะยุติการรุนแรงและความขัดแย้งเพื่อให้เด็ก ๆ ทุกคนมีอนาคตที่ดีกว่า ​เราแสวงหาวิสัยทัศน์แห่งสันติภาพ ความปลอดภัย และความเจริญรุ่งเรืองในตะวันออกกลางและทั่วโลก ​ด้วยจิตวิญญาณนี้ เรายินดีต้อนรับและให้กำลังใจกับความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแล้วในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิสราเอลและเพื่อนบ้านในภูมิภาค ภายใต้หลักการของข้อตกลงอับราฮัม เราได้รับกำลังใจจากความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเสริมสร้างและขยายความสัมพันธ์ฉันมิตรดังกล่าวโดยยึดตามผลประโยชน์ร่วมกันและความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่ออนาคตที่ดีกว่า”

'ข้อตกลงอับราฮัม' ซึ่งลงนามที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2020 ในช่วงการบริหารชุดแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในด้านการทูตตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ข้อตกลงดังกล่าวส่งผลให้เกิดข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และโมร็อกโกในเวลาต่อมาไม่นาน อิสราเอลยังได้ริเริ่มกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ปกติกับซูดาน แต่ไม่ได้นำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ปกติเนื่องจากความขัดแย้งภายในประเทศของซูดาน เริ่มต้นจากข้อตกลงอิสราเอล-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในเดือนสิงหาคม 2020 โดยที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอิสราเอลไม่เคยมีการสู้รบกันมาก่อนเลย แต่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็มีส่วนร่วมในการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของสันนิบาตอาหรับ ซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อตั้งอิสราเอลในปี 1948 ข้อตกลงดังกล่าวเป็นผลจากผลประโยชน์ร่วมกันเกี่ยวกับภัยคุกคามจากอิหร่านและความร่วมมืออย่างเงียบ ๆ และเป็นความลับมานานหลายปีแล้ว

อิสราเอลได้เปิดสำนักงานการทูตระหว่างประเทศในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในปี 2015 โดย โยสซี โคเฮน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลได้แอบเดินทางอย่างลับ ๆ ไปที่นั่นหลายครั้ง และรัฐบาลทั้งสองก็ร่วมมือกันต่อสู้กับการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา ทั้งสองประเทศมีความสนใจในการเพิ่มความหลากหลายทางเศรษฐกิจและร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น อิสราเอลตกลงที่จะระงับแผนการผนวก/การใช้อำนาจอธิปไตยในเขตเวสต์แบงก์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง ข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ทางการทูตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความร่วมมือระดับรากหญ้าระหว่างประชาชนในทั้งสองประเทศด้วย นับตั้งแต่มีการลงนามข้อตกลงในเดือนกันยายน มีชาวอิสราเอล 130,000 คนเดินทางไปเยือนดูไบ และการค้าระหว่างอิสราเอลและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีมูลค่าถึง 1 พันล้านเดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ในความเคลื่อนไหวที่หลายคนมองว่า มีความเกี่ยวข้องกับข้อตกลงอับราฮัมคือ การที่สหรัฐฯ ได้ตกลงที่จะขายเครื่องบินขับไล่แบบ F-35 ให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของอิสราเอลกังวลว่า เครื่องบินเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้คุกคามอิสราเอลในอนาคต เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และอิสราเอลได้หารือกันในประเด็นนี้ และดูเหมือนว่า จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการทำให้แน่ใจว่า อิสราเอลสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อิสราเอลและบาห์เรนประกาศข้อตกลงที่คล้ายกันในเดือนกันยายน 2020 ทั้งสองประเทศได้ลงนามในปฏิญญาสันติภาพ โดยตกลงที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต เจรจาสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ และไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่จากทั้งสองประเทศก็เริ่มทำงานร่วมกันในรายละเอียดว่าทั้งสองประเทศจะให้ความร่วมมือกันในด้านต่างๆ อย่างไร คล้ายกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความร่วมมืออย่างเงียบ ๆ มานานระหว่างอิสราเอลและบาห์เรน กษัตริย์บาห์เรนประณามการคว่ำบาตรอิสราเอลของสันนิบาตอาหรับในปี 2017 ในปี 2020 บาห์เรนเป็นเจ้าภาพการประชุม "สันติภาพสู่ความเจริญรุ่งเรือง" ซึ่งนำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ และถูกคว่ำบาตรโดยผู้นำปาเลสไตน์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรนประกาศว่า พวกเขาจะร่วมมือกับอิสราเอลเพื่อนำเสนอแนวร่วมหนึ่งเดียวกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านและโครงการขีปนาวุธพิสัยไกลของระบอบอิหร่าน

อิสราเอลและซูดานลงนามข้อตกลงฟื้นฟูความสัมพันธ์ในเดือนตุลาคม 2020 ข้อตกลงนี้มีความซับซ้อนมากกว่าข้อตกลงอื่นๆ เนื่องจากรัฐบาลของซูดานกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านโดยมีเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะต้องมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีปัญหาบางประการในการปฏิบัติตามข้อตกลงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ กล่าวคือ ซูดานจะต้องยกเลิกกฎหมายในประเทศที่ห้ามมีความสัมพันธ์กับอิสราเอลเสียก่อน นอกจากนี้ ความก้าวหน้ายังล่าช้าลงเนื่องมาจากการคัดค้านจากกลุ่มต่างๆ ในซูดานและการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลที่ไม่มั่นคง

อิสราเอลและโมร็อกโกประกาศข้อตกลงการสร้างความสัมพันธ์ปกติในเดือนธันวาคม 2020 โมร็อกโกมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างเปิดเผย ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาวยิวในโมร็อกโก ซึ่งหลายคนหนีออกจากประเทศไปยังอิสราเอล รัฐบาลโมร็อกโกได้พยายามรักษาประวัติศาสตร์ของชาวยิวและต้อนรับชาวยิวโมร็อกโกที่มาเยือนประเทศนี้ สหรัฐฯ ยอมรับการอ้างสิทธิ์ของโมร็อกโกในดินแดนที่เป็นข้อพิพาทในซาฮาราตะวันตก เพื่อเป็นแรงจูงใจให้รัฐบาลโมร็อกโกฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิสราเอล การตัดสินใจครั้งนี้เป็นที่ถกเถียงกัน และยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้จุดยืนเดียวกันนี้หรือไม่

โดยทั้งนี้ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า ในประเทศอาหรับที่ได้ลงนามข้อตกลงการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิสราเอล ประชาชนส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงลบต่อ 'ข้อตกลงอับราฮัม' ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ผู้ตอบแบบสอบถามชาวซาอุดีอาระเบีย 76% กล่าวว่า พวกเขามีมุมมองเชิงลบต่อข้อตกลงอับราฮัม ตามการสำรวจที่ดำเนินการโดยสถาบันวอชิงตันเพื่อการกำหนดนโยบายตะวันออกใกล้ระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายนถึง 6 ธันวาคม 2023 ผู้เข้าร่วมการสำรวจชาวซาอุดีอาระเบีย 96% เชื่อว่า ชาติอาหรับควรตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอล และชาวซาอุดีอาระเบียเพียง 16% เท่านั้นที่กล่าวว่า ฮามาสควรยอมรับแนวทางสองรัฐ

ผู้นำปาเลสไตน์ได้ประณามข้อตกลงอับราฮัมอย่างรุนแรง ทางการปาเลสไตน์กล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กับอิสราเอลเป็นการทรยศโดยสิ้นเชิง และโจมตีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮามาสตอบสนองตามที่คาดไว้ โดยกล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าว “เป็นไปตามแนวทางของพวกไซออนิสต์” และรัฐอาหรับควรจะดำเนินการต่อต้านการทำให้ปกติต่อไป คำกล่าวเหล่านี้ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ในโลกอาหรับ รวมถึงการสัมภาษณ์ที่ยาวนานโดยอดีตเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐอเมริกา เจ้าชายบันดาร์ บิน สุลต่าน ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่อสาธารณชนอย่างรุนแรง และไม่เคยมีมาก่อนต่อผู้นำปาเลสไตน์ จากการสำรวจของศูนย์นโยบายและการวิจัยปาเลสไตน์พบว่า ชาวปาเลสไตน์ร้อยละ 80 ได้บรรยายความรู้สึกของตนต่อ “ข้อตกลงอับราฮัม” ว่า “เป็นการทรยศ การทอดทิ้ง และการดูหมิ่น” ซ่ง เดนนิส รอสส์ อดีตทูตสันติภาพของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง ได้บอกเอาไว้ว่า การเคลื่อนไหวของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ "ควรจะเป็นการส่งสัญญาณไปยังชาวปาเลสไตน์ด้วยว่า คนอื่นจะไม่รอพวกเขา" เพื่อสร้างสันติภาพกับอิสราเอล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้วิเคราะห์ และประเมินว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาโดยตลอดก็คือ “หากไม่มีความมุ่งมั่นที่มีความน่าเชื่อถือต่อความเป็นรัฐของปาเลสไตน์แล้ว (ซึ่งเป็นประเด็นขัดแย้งที่ “ข้อตกลงอับราฮัม” พยายามหลีกเลี่ยง) การสร้างความปกติจากพื้นฐานที่เป็นอยู่อาจกลายเป็นภารกิจที่ยากจะเข้าใจและสำเร็จลุล่วงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้จะมีการทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่เคยเสร็จสมบูรณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว”

‘ฮุน เซน’ ยอมรับเขมรเสียเปรียบในวิกฤตชายแดน แต่ไร้ทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญหน้า

ฮุน เซนรับตรง ๆ “กัมพูชาเสียเปรียบ” ในวิกฤตชายแดน ชี้ไม่มีทางเลือกนอกจากอดทน พนมเปญ — ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในขณะนี้ เป็นสถานการณ์ที่ กัมพูชาเสียเปรียบ และ “ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญหน้า”

จากรายงานของ Khmer Times ฮุน เซนระบุว่า
> “นี่คือสถานการณ์แบบ lose–lose ที่ไม่มีใครชนะ แต่เราจะทำอย่างไรได้ มันไม่ใช่ปัญหาที่เราสร้างขึ้น กัมพูชาไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้”

อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังคงทรงอิทธิพลสูงในรัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า ตนได้เสนอแนะต่อลูกชายคือฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีว่า

> “เราไม่ควรกังวลว่าชายแดนจะเปิดหรือปิด สิ่งที่เราต้องการคือการกลับไปสู่ภาวะปกติ เหมือนก่อนวันที่ 7 มิถุนายน 2025 โดยไม่จำเป็นต้องเจรจาใด ๆ”

พร้อมตอกกลับไทยว่า
> “ไทยไม่มีสิทธิจะมาสั่งการกัมพูชา หากพวกเขาอยากเปิดด่าน ก็จงแจ้งให้ประชาชนของตนเองทราบ เราก็จะดำเนินการตามปกติ”

แม้ถ้อยแถลงจะดูแข็งกร้าวในเชิงจุดยืนทางการเมือง แต่ก็สะท้อนชัดว่า ฝ่ายกัมพูชากำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งทางเศรษฐกิจ การค้าชายแดน และเสถียรภาพในประเทศ — จนต้องยอมรับว่า “ไม่มีทางเลือก” และอาจต้องอดทนกับความเสียเปรียบในระยะนี้

โพสต์ต่างชาติแฉ ‘จอร์จ โซรอส’ วัย 94 รับเงิน 260 ล้านดอลลาร์ จาก USAID

(3 ก.ค. 68) ปราชญ์ สามสี โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า.. คุณโดมส่งต่อ! โพสต์ร้อนจากต่างประเทศกล่าวหา George Soros รับเงิน 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID

ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยชื่อ "Dome Wuttipol Khirin" ได้เผยแพร่ภาพโพสต์จากบัญชีต่างประเทศที่กำลังเป็นประเด็นร้อน โดยเป็นโพสต์จากบัญชี “Mila Joy” บนแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ที่กล่าวอ้างว่า George Soros มหาเศรษฐีผู้มีบทบาททางการเมืองและสิทธิมนุษยชนระดับโลก ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงาน USAID ของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นจำนวนกว่า 260 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9,500 ล้านบาท

ในโพสต์ดังกล่าวมีเนื้อหาระบุว่า “เขาไม่ได้ใช้เงินของตัวเองในการทำลายระบบยุติธรรมของอเมริกา เขาใช้ของเรา”

พร้อมภาพถ่ายของ Soros และคำบรรยายที่อ้างว่า “ก่อนที่โครงการจะถูกปิด USAID ได้โอนเงินทุนไปยัง...”

แม้ยังไม่มีการยืนยันจากทางการสหรัฐฯ หรือ USAID เกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจในวงกว้าง ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะในหมู่ผู้ใช้งานที่ให้ความสนใจเรื่องบทบาทของทุนต่างประเทศต่อการเมืองโลก

‘โดรน’ อุตสาหกรรมความมั่นคงใหม่ของรัสเซีย ภายใต้เงาสงคราม – การคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก

(3 ก.ค. 68) ในขณะที่สมรภูมิยูเครนยังคงเป็นพื้นที่สู้รบที่ลุกเป็นไฟและกินเวลานานกว่าสองปี รายงานจากหน่วยงานวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของรัสเซีย (Russian think tank) ได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์สำคัญที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบงันแต่ทรงพลัง การเร่งผลิตโดรนทางทหารในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ความเปลี่ยนแปลงนี้มิใช่เพียงกลไกเสริมยุทธศาสตร์รบหากแต่เป็นบทพิสูจน์ถึงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัสเซียในเงาของการคว่ำบาตรและเป็นการส่งสัญญาณทางภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกไม่อาจมองข้าม สงครามรัสเซีย - ยูเครนทำให้ “โดรน” เปลี่ยนสถานะจากเพียงเครื่องมือสนับสนุนกลายเป็นหัวใจของการสู้รบทั้งเชิงรุกและรับ โดยเฉพาะฝั่งรัสเซียที่เริ่มใช้โดรนอย่างเป็นระบบและมียุทธศาสตร์มากขึ้น ตั้งแต่โดรนลาดตระเวนเพื่อเก็บภาพจากแนวหน้า ไปจนถึง “โดรนพลีชีพ” (Kamikaze drones) อย่าง Lancet หรือ Geran-2 ที่สามารถเจาะแนวรับของฝ่ายยูเครนได้อย่างแม่นยำและต้นทุนต่ำ

การผลิตโดรนในรัสเซียช่วงกลางปี ค.ศ. 2025 ทะยานสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจการผลิตรายงานว่า อัตราการผลิตในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 16.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลอดปี 2024 ถึง 1.6 เท่า แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างเข้มข้นของรัฐในการผลักดันโดรนให้เป็นสินค้าหลักในยุทธศาสตร์สงคราม สำหรับปี ค.ศ. 2024 รัสเซียผลิตโดรนพลเรือนกว่า 16,400 ลำ เพิ่มขึ้นกว่า 2.5 เท่าจากปีก่อนหน้า พร้อมกับการจัดตั้งโรงงานผลิตโดรนมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ และดึงภาคเอกชนกว่า 200 บริษัทเข้าร่วมโครงการระดับชาติ National Drone Project เพื่อสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีการบินไร้คนขับอย่างครบวงจร ทั้งด้านการผลิต วิจัย ฝึกอบรม และซ่อมบำรุง โดรนจึงกลายเป็น “อุตสาหกรรมใหม่” ที่รัฐใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่กับการเสริมสร้างอธิปไตยทางเทคโนโลยี ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรตะวันตก รายงานจากศูนย์วิเคราะห์ยุทธศาสตร์และเทคโนโลยี (CAST) เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2025 ระบุว่า รัสเซียเพิ่มกำลังการผลิตโดรนทหารมากกว่า 400% ในเวลาไม่ถึง 18 เดือน พร้อมก่อตั้งสายการผลิตใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ตาตาร์สถาน อูราล และไซบีเรีย นอกจากนี้ ภาครัฐยังสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีขนาดกลางและเล็กให้เข้าร่วมในห่วงโซ่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ สร้าง “military startup ecosystem” ในรูปแบบรัสเซีย 

ในที่ประชุมทางยุทธศาสตร์ที่เมืองโตลยัตตี แคว้นซามารา «Самарская область» ประธานาธิบดี
วลาดิมีร์ ปูติน ประกาศว่าในปี ค.ศ. 2024 การผลิตโดรนพลเรือนของรัสเซียเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นความสำเร็จของนโยบายเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมโดรนภายในประเทศ รัฐบาลจึงตั้งเป้าให้โดรนเป็นหัวใจสำคัญในโครงสร้างยุทธศาสตร์ชาติ ไม่เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารเท่านั้น แต่ยังเน้นส่งเสริมเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมควบคู่กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนี้รัฐบาลรัสเซียได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนอย่างมหาศาลผ่านทุนสนับสนุน เงินอุดหนุน และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ รวมมูลค่าหลายพันล้านรูเบิล พร้อมส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชน เปิดโอกาสให้บริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพเข้าร่วมโครงการผลิตโดรนในระดับอุตสาหกรรม รายงานจาก CNews ระบุว่าแผนลงทุนพัฒนาด้านโดรนของรัสเซียมีมูลค่าถึง 126 พันล้านรูเบิล ภายใน 7 ปีจนถึงปีค.ศ. 2030 โดยมุ่งผลิตโดรนหลากหลายรูปแบบถึง 59 รุ่น ครอบคลุมทั้งโดรนลาดตระเวน โดรนโจมตี และโดรนพลเรือนสำหรับงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมองโดรนไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางทหารแต่ยังเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งอนาคต

เบื้องหลังความสำเร็จในการเร่งผลิตโดรนของรัสเซียไม่ได้เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจากยุทธศาสตร์ “สายฟ้าแลบ” ที่ผสมผสานการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ การลักลอบจัดหาชิ้นส่วนผ่านเครือข่ายพันธมิตร และการ “แกะกล่อง” หรือ reverse engineering เทคโนโลยีของต่างชาติอย่างมีระบบ รายงานจากแหล่งข่าวด้านเทคนิคในรัสเซียระบุว่า ในปี ค.ศ. 2024 สัดส่วนของชิ้นส่วนโดรนที่นำเข้าจากจีนมีมากถึง 70% ขณะที่การผลิตในประเทศยังจำกัดอยู่ราว 30% โดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญอย่างมอเตอร์ไฟฟ้า (electric motors) ซึ่งผลิตภายในได้เพียง 5% เท่านั้น จุดแข็งของรัสเซียจึงอยู่ที่ความสามารถในการดัดแปลง ปรับใช้ และพัฒนาต้นแบบของต่างชาติให้กลายเป็นอาวุธของตนเอง ตัวอย่างชัดเจนคือโครงการผลิตโดรน Geran-2 ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากต้นแบบของ Shahed-136 ซึ่งได้รับความร่วมมือเชิงเทคนิคจากอิหร่าน โดยมีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ที่เมืองเยลาบูกา «Елабуга»  ในสาธารณรัฐตาตาร์สถาน «Республика Татарстан» เป็นศูนย์กลาง การพัฒนานี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงหนึ่งปีหลังจากเริ่มได้รับโดรนจากอิหร่านมาใช้จริงในยูเครน แสดงให้เห็นถึงความเร็วและประสิทธิภาพของระบบการพึ่งพาตนเองเชิงกึ่งอัตโนมัติภายใต้แรงกดดันจากสงครามและการคว่ำบาตร 

รัสเซียจึงไม่เพียงแต่ผลิตโดรนแต่กำลังสร้างระบบอุตสาหกรรมที่สามารถ “ประกอบสงคราม” ได้ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การลอกแบบจนถึงการนำไปใช้จริงในสนามรบ ในสนามรบยุคใหม่โดรนรัสเซียทำหน้าที่เป็นทั้ง “กองกำลังสนับสนุน” ที่เติมเต็มข้อมูลข่าวสารและความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ให้กับกองกำลังอย่างไม่ขาดสาย และ “อาวุธโจมตี” ที่ใช้โจมตีเป้าหมายสำคัญด้วยความแม่นยำและต้นทุนต่ำ ด้วยการส่งโดรน FPV จำนวนหลายพันเครื่องต่อวันเข้าสู่แนวหน้า รัสเซียสามารถเพิ่มความต่อเนื่องในการลาดตระเวนและเฝ้าระวัง ลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันโดรนพลีชีพอย่าง Geran-2 และ Lancet ถูกใช้ในยุทธวิธีการโจมตีเชิงลึกกับศูนย์บัญชาการ โครงสร้างพื้นฐาน และแหล่งเก็บอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ผลที่เกิดขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในยุทธศาสตร์การป้องกันของยูเครนที่ต้องรับมือกับการโจมตีจากโดรนปริมาณมหาศาลซึ่งเกินกว่าที่เคยประสบมาก่อน รายงานจากสำนักข่าว Kommersant และ TASS ยังยืนยันถึงการใช้งานโดรนอย่างเป็นระบบตั้งแต่การเก็บข้อมูลเชิงลึกไปจนถึงการประสานและโจมตีเป้าหมายที่เจาะจงอย่างแม่นยำ สร้างสมดุลระหว่างการสอดแนมที่ต่อเนื่องและการโจมตีที่มีความลับคมเฉียบซึ่งเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการรบในสนามยุคใหม่อย่างสิ้นเชิง

แม้เผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรด้านเทคโนโลยีขั้นสูงจากตะวันตก รัสเซียสามารถเร่งผลิตโดรนได้อย่างรวดเร็วสะท้อนถึงการก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีชาตินิยม (techno-nationalism) และการสร้างอุตสาหกรรมสงครามพึ่งตนเอง (sovereign military-industrial complex) ซึ่งรัฐผลักดันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 เดิมรัสเซียพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์จากยุโรปและจีนสำหรับอาวุธนำวิถีและโดรน แต่หลังถูกคว่ำบาตรอย่างเข้มข้นจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รัฐหันมาใช้นโยบายทดแทนการนำเข้า (import substitution) อย่างเร่งด่วน รายงาน FSB ปลายปี ค.ศ. 2024 เผยการลักลอบนำเข้าไมโครชิปและชิ้นส่วนผ่านเครือข่ายในเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ แสดงถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัวของรัฐในสงครามเศรษฐกิจการเติบโตของอุตสาหกรรมโดรนจึงมิใช่ผลจากภาวะสงครามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการตอบโต้การครอบงำเทคโนโลยีตะวันตกที่รัสเซียมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของตน ภายใต้แรงกดดันจากการถูกตัดขาดในห่วงโซ่อุปทาน รัฐจึงเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภายในประเทศ ผ่านโครงการอย่าง National Drone Project พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนที่เข้ามาเป็นเครือข่ายนวัตกรรมทางทหาร โดยมุ่งลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญ ยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการลอกแบบ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมครอบคลุมตั้งแต่การวิจัย พัฒนา ผลิต จนถึงการใช้งานจริงในสนามรบ ซึ่งสะท้อนความพยายามของรัสเซียในการแยกตัวจากอิทธิพลตะวันตก สร้างความเข้มแข็งจากภายใน และส่งสัญญาณว่าอนาคตสงครามและความมั่นคงจะขึ้นอยู่กับผู้ควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูงได้ก่อน

นอกจากความหมายด้านเทคโนโลยีและกำลังรบ การเร่งพัฒนาโดรนยังมีนัยสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์อย่างลึกซึ้ง การสร้างระบบผลิตโดรนภายในประเทศช่วยเสริมความมั่นคงยุทธศาสตร์โดยลดการพึ่งพาชิ้นส่วนต่างชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ถูกรุมคว่ำบาตรหนัก โดรนยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับภูมิภาคและโลก ผ่านสมรภูมิแบบไฮบริดและสงครามสมัยใหม่ที่เน้นการโจมตีเป้าหมายแม่นยำ เพิ่มศักยภาพควบคุมพื้นที่ ลดต้นทุนการรบ และสะท้อนอำนาจใหม่ในฐานะมหาอำนาจเทคโนโลยีด้านความมั่นคง ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์การพัฒนาโดรนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยเทคโนโลยี” (technological sovereignty) ที่มุ่งลดความเปราะบางจากการถูกตัดขาดจากระบบเทคโนโลยีโลก พร้อมเป็นเครื่องมือสร้างพันธมิตรและขยายเครือข่ายทางทหารกับพันธมิตร เช่น อิหร่านและจีน ส่งผลต่อการเปลี่ยนสมดุลอำนาจในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และเอเชียกลาง โดยรวมแล้ว การลงทุนในโดรนไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีหรือสงคราม แต่เกี่ยวพันลึกซึ้งกับการรักษาอธิปไตยและการวางตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียในเวทีโลกยุคศตวรรษที่ 21

การเติบโตของอุตสาหกรรมโดรนกำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของรัสเซียในลักษณะที่เรียกว่า military Keynesianism หรือการใช้การผลิตทางทหารเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดในปี 2024–2025 ที่ GDP ภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในรอบทศวรรษโรงงานผลิตโดรนและศูนย์วิจัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ดึงดูดแรงงานไอที วิศวกร AI และนักพัฒนาอุปกรณ์สื่อสารเข้าสู่ภาครัฐหรือบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหม เทคโนโลยีของโดรนจึงกลายเป็นพื้นที่บรรจบกันระหว่างภาครัฐ-เอกชน-ทหารในแบบที่เรียกว่า complex military-civilian innovation networkอย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการ “ทหารนิยม” (militarization) ของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ทรัพยากรและงบประมาณของรัฐไหลออกจากภาคพลเรือนไปสู่ภาคสงครามอย่างต่อเนื่อง

การที่รัสเซียผลิตโดรนเองจำนวนมากไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภายในประเทศ แต่ยังส่งผลในระดับภูมิรัฐศาสตร์อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะในมิติของการปรับความสัมพันธ์กับพันธมิตรนอกตะวันตก เช่น อิหร่าน จีน เบลารุสและกลุ่มประเทศในเอเชียกลาง 

กับอิหร่าน: รัสเซียเคยพึ่งพาโดรน Shahed-131/136 จากอิหร่าน แต่ภายหลังเริ่มมีการ reverse engineering และผลิตในชื่อ Geran-2 เองในประเทศ การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากอิหร่านจึงเป็นจุดตั้งต้นของการสร้างอุตสาหกรรมโดรนแบบรัสเซีย

กับจีน : แม้จะไม่มีความร่วมมือทางทหารอย่างเปิดเผย แต่บริษัทจีนบางรายถูกพบว่ามีการส่งชิ้นส่วนให้รัสเซียผ่านประเทศที่สาม ซึ่งสะท้อนความคลุมเครือของ “สงครามพรางทางเทคโนโลยี”

กับพันธมิตรอื่น: ความสามารถในการผลิตโดรนของรัสเซียทำให้กลุ่มประเทศต่อต้านตะวันตกเริ่มมองว่ารัสเซียคือแหล่งความรู้และเทคโนโลยีทางทหารทางเลือก อาจนำไปสู่การส่งออกเทคโนโลยีโดรนในอนาคต

บทสรุป การพัฒนาและผลิตโดรนอย่างรวดเร็วของรัสเซียไม่เพียงสะท้อนถึงความพยายามเสริมสร้างอธิปไตยทางเทคโนโลยีและความมั่นคงของชาติในยุคสงครามสมัยใหม่แต่ยังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการทำสงครามในระดับยุทธศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์อย่างลึกซึ้ง โดรนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญทั้งในด้านการลาดตระเวนและการโจมตีที่แม่นยำ ตอกย้ำยุทธศาสตร์เทคโนชาตินิยมและการพึ่งพาตนเองของรัสเซียภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตร การขยายตัวของอุตสาหกรรมโดรนยังช่วยสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมทางทหารที่ผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้รัสเซียมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์เหนือยูเครนในสมรภูมิแห่งอนาคต ในขณะเดียวกัน การพัฒนาโดรนยังสะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ที่รัฐที่มีเทคโนโลยีโดรนขั้นสูงจะสามารถรักษาอธิปไตยและขยายอิทธิพลได้มากกว่า ในโลกที่สงครามถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูง โดรนจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือสงคราม แต่เป็นตัวชี้วัดและตัวขับเคลื่อนสำคัญของอำนาจรัฐในศตวรรษที่ 21

เมื่อ ‘ผู้นำเขมรผยอง’ สั่งหยุดนำเข้าน้ำมันจากไทย ราคาหน้าปั๊มดีดจาก 30 -31 บาท/ลิตร แตะ 39–45 บาท/ลิตร

หลังจากรัฐบาลกัมพูชาประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันจากไทยตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2568 ราคาน้ำมันในประเทศก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เคยอยู่ในช่วงประมาณ 30–31 บาทไทยต่อลิตร กลายเป็นแตะระดับกว่า 39–45 บาทในเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยล่าสุด ราคาหน้าปั๊มในเมืองชายแดนอย่างปอยเปตแสดงว่าดีเซลอยู่ที่ 4,800 เรียล (ประมาณ 39.00 บาท) และเบนซินพรีเมียมสูงถึง 5,550 เรียล หรือประมาณ 45.05 บาทไทย

โดยในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ตามป้ายราคาหน้าปั๊มน้ำมัน PTT Station และ L.H.R ที่ปรากฏในพื้นที่ชายแดนใกล้ตลาดปอยเปต ปรากฏราคาน้ำมันดังนี้:

ประเภทน้ำมัน ราคากัมพูชา (KHR) คำนวณเป็นบาทไทย (ประมาณ)
ดีเซล (Diesel) 4,800 ~39.00 บาท
เบนซิน Regular 4,950 ~40.20 บาท
เบนซิน Super 5,550 ~45.05 บาท

แม้รัฐบาลกัมพูชาจะอ้างว่ามีแหล่งพลังงานสำรองจากประเทศเพื่อนบ้านและไม่จำเป็นต้องพึ่งไทย แต่โครงสร้างการค้าระหว่างประเทศที่พึ่งพาชายแดนตะวันตกเป็นหลักกลับสะท้อนความจริงอีกด้านหนึ่ง เมื่อขาดซัพพลายจากฝั่งไทย ตลาดน้ำมันภายในจึงเกิดภาวะชะงักงันทันที ราคาจึงดีดตัวตามกลไกและความกังวลของผู้บริโภคที่เร่งกักตุน

บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ชัดเจนว่า การใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือในการตอบโต้ทางการเมือง อาจสร้างภาพลักษณ์เข้มแข็งให้กับรัฐบาลในระยะสั้น แต่ผลลัพธ์ระยะยาวกลับเป็นภาระหนักอึ้งที่ตกอยู่กับประชาชนโดยตรง ซึ่งต้องแบกรับราคาค่าครองชีพที่สูงขึ้นในทุกมิติของชีวิตประจำวัน

รู้จัก ‘ฉนวนกาซา’ ความขัดแย้งอิสราเอล – ปาเลสไตน์ สู่การเรียนรู้!! ผลลัพธ์อันเหี้ยมโหดของสงคราม

(29 มิ.ย. 68) ใดๆdigest ep.นี้ พามารู้จักกับหนึ่งในพื้นที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และการสู้รบที่ทำให้เกิดความสูญเสียกับทุกฝ่ายมาอย่างยาวนานครับ 

ดินแดนที่เรียกกันว่า "ฉนวนกาซา" มีขนาดความยาวเหนือจรดใต้ 41 กิโลเมตร ขณะที่มีความกว้างเพียง 10 กิโลเมตร ขนาบข้างพื้นที่ทางเหนือและตะวันออกด้วยเขตแดนของอิสราเอล ชายแดนทางใต้ติดกับอียิปต์ ส่วนชายทะเลด้านตะวันตกเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีขนาดพื้นที่ประมาณ 360 ตร.กม.เล็กกว่า จ.สมุทรสงคราม ของประเทศไทย ที่มีขนาด 416.7 ตร.กม. เพียงเล็กน้อย 

"กาซา"เป็นที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์มีผู้คนอาศัยอยู่ในฉนวนกาซากว่า 2.3 ล้านคนโดยประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กถึงร้อยละ 75 และเป็นผู้อพยพลี้ภัยที่อาศัยอยู่ตามแคมป์ที่สหประชาชาติจัดไว้ให้ ส่วนใหญ่ของผู้ลี้ภัยเหล่านี้เกิดในพื้นที่ฉนวนกาซา แต่ก็มีบางส่วนที่อพยพมาตั้งแต่หลังช่วง สงครามอาหรับ-อิสราเอล ครั้งแรกในปี 1948  และถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สาเหตุที่ถูกเรียกว่า "ฉนวนกาซา" เนื่องจากเขตแดนส่วนนี้ถูกกำหนดขึ้นจากข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์หลัง สงครามอาหรับ-อิสราเอล ครั้งแรก เมื่อปี 1948 ให้เป็นคล้ายกับเขตกันชนระหว่าง 2 ฝ่าย ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า กว่า 80% ของผู้ที่อาศัยในฉนวนกาซาต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากนานาชาติ และประมาณ 1 ล้านคนต้องขอรับความช่วยเหลือด้านอาหารในแต่ละวัน

หลังปี 1948 ฉนวนกาซ่าถูกปกครองโดยอียิปต์ แต่อียิปต์ก็ไม่ได้ผนวกรวมเอาดินแดนส่วนนี้เป็นของตน จนกระทั่งอิสราเอลชนะสงครามหกวัน ในปี 1967 ทำให้ฉนวนกาซ่าเป็นหนึ่งในดินแดนที่อิสราเอลเข้ายึดครอง อย่างไรก็ตาม อิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ทำสนธิสัญญาออสโลร่วมกันในปี 1993 ซึ่งส่วนหนึ่งในข้อตกลงนั้นคือ การอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในเขตฉนวนกาซ่า

ต่อมาในปี 2005 อิสราเอลจึงได้ดำเนินการถอนทหารและนิคมชาวยิวที่ผิดกฏหมาย ออกจากฉนวนกาซ่าทั้งหมด จากนั้น เมื่อกลุ่มฮามาสชนะการเลือกตั้งปี 2006 ฉนวนกาซ่าจึงเป็นเขตอิทธิพลของรัฐบาลฮามาสจนกระทั่งถึงปัจจุบัน กลุ่มฮามาสมีจุดยืนแข็งกร้าวไม่ยอมรับการยึดครองของอิสราเอลอย่างเด็ดขาดและมักก่อเหตุโจมตีอิสราเอลทั้งการส่งมือปืนและมือระเบิดฆ่าตัวตายเข้าไปในอิสราเอลบ่อยครั้ง การบุกจู่โจมอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัว  กลุ่มฮามาสนี้ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ซึ่งนับถือนิกายชีอะห์และสืบทอดอุดมการณ์จากขบวนการภราดรภาพมุสลิม ซึ่งก่อตั้งขึ้นในอียิปต์ช่วงทศวรรษ 1920

ลักษณะทางกายภาพของฉนวนกาซานั้นเป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร แถมยังเป็นที่อยู่ของผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ที่ไม่มีงานทำ เสียเป็นส่วนใหญ่  สภาพอย่างนี้ โดยปกติชาวกาซ่าก็มีความเป็นอยู่ที่ลำบากอยู่แล้ว แต่ในช่วงหลายปีหลังนับตั้งแต่ 2007 อิสราเอลยังใช้มาตรการปิดล้อมกาซ่า จำกัดการนำเข้าอาหารการกิน ยารักษาโรค วัสดุก่อสร้าง และสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ด่านพรมแดนต่างๆ ทั้งที่จะข้ามไปอียิปต์และอิสราเอลก็ถูกปิด สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนเปรียบเสมือนถูกลงโทษอยู่ใน ‘คุกเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งมีคนตายจำนวนมากในกาซ่าอันเกิดจากมาตรการปิดล้อมดังกล่าวนี้ ไม่ว่าจะเกิดจากการโจมตีของอิสราเอลครั้งต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต หรือการตายอันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเพราะไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษา โรคเพียงพอ ที่แย่กว่านั้นคือ เด็กปาเลสไตน์กว่าครึ่งในฉนวนกาซ่าเป็นโรคขาดสารอาหาร ทั้งหมดเป็นผลมาจากการปิดล้อมกาซ่าของอิสราเอลตลอด 7 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ อิสราเอลยังเป็นผู้ควบคุมน่านฟ้าเหนือเขตกาซา รวมถึงตลอดแนวชายฝั่งทะเลของกาซาด้วย โดยจำกัดผู้คนและสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกตามแนวพรมแดน เช่นเดียวกับอียิปต์ที่ควบคุมการเข้าออกของผู้คนบริเวณพรมแดนที่ติดกับกาซา โดยอิสราเอลและอียิปต์ให้เหตุผลว่าที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะเหตุผลด้านความมั่นคง

สถานการณ์ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อทางการอิสราเอลประกาศที่จะยึดครองเขตฉนวนกาซาแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอลที่เกิดขึ้นหลายครั้ง  ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดขาดการลำเลียงอาหาร น้ำ และเชื้อเพลิงเข้าไปยังเขตกาซาด้วย

มาตรการปิดล้อมกาซ่ามีเป้าหมายประการหนึ่ง คือ ต้องการโดดเดี่ยวกาซ่าภายใต้การปกครองของกลุ่มฮามาส อิสราเอลตั้งใจให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซ่าเจอปัญหาความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ จากนโยบายปิดล้อม และตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกอิสราเอลโจมตีอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้เพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซ่าลุกฮือต่อต้านกลุ่มฮามาส แต่ผลที่ปรากฏออกมากลับตรงข้าม นับวันฮามาสยิ่งมีคะแนนนิยมมากขึ้น บ้านเมืองในฉนวนกาซ่ามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น หลักนิติธรรมถูกนำมาใช้อย่างเคร่งครัด แม้ประชาชนจะได้รับความทุกข์ยากจากการถูกกีดกันทางเศรษฐกิจก็ตาม ที่สำคัญคือ กองกำลังฮามาสมีความเข้มแข็งและถูกจัดตั้งอย่างเป็นระบบมากขึ้น 

จุดยืนที่ชัดเจนของ "กลุ่มฮามาส" คือ ไม่ยอมรับการยึดครองของอิสราเอล และมักใช้วิธีการรุนแรงโจมตีอิสราเอล จนทำให้นานาชาติทั้ง อิสราเอล สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ และแคนาดา ประกาศขึ้นบัญชีกลุ่มฮามาสเป็น "องค์กรก่อการร้าย" แต่ขณะเดียวกันฮามาสก็มีพันธมิตรที่คอยหนุนหลัง ได้แก่ อิหร่าน ซีเรีย และกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธมุสลิม นิกายชีอะห์ในเลบานอน ซึ่งในระยะหลังกลุ่มฮามาสกลายเป็นกลุ่มที่มีบทบาท และใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก

สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้อิสราเอลต้องใช้กำลังเข้ามาโจมตีกาซ่าอย่างที่เราเห็นกันในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน แม้อิสราเอลเคยบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับอียิปต์และจอร์แดน แต่อิสราเอลและปาเลสไตน์ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายได้ ความไม่ไว้วางใจระหว่างสองฝ่ายยังคงลึกซึ้งนำไปสู่การสู้รบที่ยังคงคุกกรุ่นอยู่ในพื้นที่ฉนวนกาซามาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง 

ไม่มีใครที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส จะสิ้นสุดเมื่อใด ดูตามปัจจัยหลายข้อจากสถานการณ์ความรุนแรงระดับภูมิภาคนี้ ความขัดแย้งนี้มีรากฐานจากความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ในภูมิภาค การเจรจาสันติภาพในอดีตก็มักล้มเหลวเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน 

ส่วนองค์กรระหว่างประเทศและประเทศที่มีอำนาจ ก็ได้พยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในกาซา แต่การเจรจาเหล่านี้มักเผชิญกับความล้มเหลวเนื่องจากข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกัน เช่น ฮามาสเรียกร้องให้มีการยุติการปิดล้อมกาซา ขณะที่อิสราเอลยืนกรานว่าต้องมีการหยุดการโจมตีจากฮามาสอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน ความรุนแรงทางทหารก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ และผู้ที่รับผลจากการสู้รบที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานนี้ก็คือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั่นเอง 

สิ่งที่เราทุกคนควรเรียนรู้จากเรื่องความขัดแย้งอิสราเอล – ปาเลสไตน์ และการสู้รบในฉนวนกาซานี้ก็คือ สงครามไม่เคยเป็นการแก้ปัญหาอย่างแท้จริงและยั่งยืนให้กับฝ่ายใดได้เลย ความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายมีแต่จะฝังรากลึกลงไปในจิตใจของผู้สูญเสียและเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้เจริญเติบโตต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ทุกร่างที่ทิ้งตัวลงทับถมบนแผ่นดินเปื้อนเลือดและถูกพรากเอาชีวิตไปล้วนเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนของใครสักคนเสมอ ลูกที่สูญเสียพ่อไปจากความเกลียดชังก็จะโตขึ้นไปพรากเอาชีวิตของพ่อใครซักคนไปด้วยความเกลียดชังเป็นวังวนต่อไปอีกหากมนุษย์ไม่เรียนรู้ที่จะให้อภัยและไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน 

ใดๆdigest หวังว่าทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้จะเข้าใจภัยร้ายแรงของสงคราม และปรารถนาการแก้ไขทุกความขัดแย้งด้วยสันติวิธีในทุกกรณีโดยตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ในตัวของผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกันและแสวงหาการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในทุกๆความขัดแย้งเป็นสำคัญครับ 

ขอไว้อาลัยและแสดงความคารวะต่อดวงวิญญาณทุกดวงที่จาก ไป และขอให้สันติสุขบังเกิดขึ้นโดยเร็ว

‘ฮุน เซน’ ขอทวง ‘ตาเมือนธม’ จากไทย อ้าง!! ประวัติศาสตร์ เคยเป็นของกัมพูชา

(29 มิ.ย. 68) ฮุน เซนอ้างขอทวง “ตาเมือนธม” จากไทย โดยใช้ประวัติศาสตร์เป็นข้ออ้างว่าเคยเป็นของกัมพูชา

ถ้าจะเปิดช่องให้ “อดีต” กลายเป็นเหตุผลในการอ้างสิทธิ์

ไทยก็มีสิทธิเช่นกันที่จะพูดถึง “มณฑลบูรพา” ที่เราเคยเสียให้ฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2449 

ฝากไว้ให้คิด

‘ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรี’ สหรัฐฯ บุกอิหร่านครั้งแรก เป้าช่วยตัวประกันแต่ผลลัพธ์พังพาบสังเวยทหาร 8 นาย

ปฏิบัติการครั้งนี้ประสบกับความล้มเหลว ทำให้ต้องสูญเสียทหารอเมริกันไป 8 นาย และต้องล้มเลิกแผนการในการใช้กองกำลังติดอาวุธเพื่อช่วยเหลือนักการทูตอเมริกันที่ถูกจับเป็นตัวประกันในอิหร่าน

ห้วงเวลานี้สงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเข้ามายุ่งเกี่ยวพัวพันด้วยกำลังเป็นประเด็นที่โลกต้องจับตามอง จึงขอนำเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอิหร่าน 1979 ซึ่งเป็นการโค่นราชวงศ์ปาห์ลาวีภายใต้ “ชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (Shah Pahlavi)” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และการแทนที่ด้วยสาธารณรัฐอิสลามภายใต้ “อยาโตลาโคมัยนี” ผู้นำการปฏิวัติ ผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การฝ่ายซ้าย และองค์การอิสลามหลายแห่ง รวมทั้งขบวนการนักศึกษาอิหร่าน

ต่อมา วันที่ 4 พฤศจิกายน 1979 กลุ่มนักศึกษาปฏิวัติมุสลิมเคร่งศาสนา โกรธแค้นที่รัฐบาลสหรัฐฯ รับอดีตกษัตริย์ชาห์ ปาห์เลวี (Shah Pahlavi) แห่งอิหร่านให้ลี้ภัยในนสหรัฐอเมริกาได้ จึงได้บุกเข้ายึดและจับตัวผู้ที่ทำงานในสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน (Tehran) โดยนักการทูตอเมริกัน 52 คน ถูกกักตัวไว้นานถึง 444 วัน และที่สุดตัวประกันซึ่งเป็นนักการทูตของสหรัฐฯ ก็ได้รับการปล่อยตัว แต่การกักตัวทูตและนักการทูตในครั้งนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องความละเมิดที่มิได้เกี่ยวกับสถานที่ของคณะผู้แทนทางการทูต ตามข้อ22 แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายทางการทูต ปี 1961

โดยช่วงเวลาที่มีการกักตัวประกันไว้ในสถานทูตนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีความพยายามช่วยตัวประกัน โดยมี “ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีย์” (Operation Eagle Claw) ในวันที่ 24 เมษายน 1980 อันเป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านเป็นครั้งแรก ซึ่งปฏิบัติการนี้น่าจะเป็น “ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีหัก” (Operation Eagle Claw Broken) เสียมากกว่า เพราะว่าปฏิบัติการครั้งนี้ประสบกับความล้มเหลว ทำให้ต้องสูญเสียทหารอเมริกันไป 8 นาย และต้องล้มเลิกแผนการในการใช้กองกำลังติดอาวุธเพื่อช่วยเหลือนักการทูตอเมริกันที่ถูกจับเป็นตัวประกันในอิหร่าน

ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีย์ (Operation Eagle Claw) เป็นปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐฯ ตามคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นคือ Jimmy Carter ซึ่งพยายามยุติวิกฤติการณ์ตัวประกันในอิหร่านด้วยการส่งกำลังเข้าไปช่วยเหลือนักการทูต 52 คนที่ถูกควบคุมตัวภายในสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ณ กรุงเตหะราน เมื่อวันที่ 24 เมษายน 1980 ความล้มเหลวนำไปสู่การขายหน้าที่เกิดขึ้นเป็นการทำลายชื่อเสียงของสหรัฐฯ ไปทั่วโลก ทำให้ประธานาธิบดี Jimmy Carter ถูกตำหนิ จนเป็นผลให้พ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในปี 1980 อันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการช่วยเหลือตัวประกันสหรัฐฯ ให้เป็นอิสระ

“ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีย์” ถูกวางแผนไว้เป็นภารกิจ 2 คืน ในคืนแรกเครื่องบินทหารของสหรัฐฯ จะบินเข้าอิหร่านทางพื้นที่ชายฝั่งห่างไกล 60 ไมล์ (100 กม.) ทางตะวันตกของเมือง Chabahar และบินไปยังจุดรวมพล Desert One (พิกัด 33 ° 04′23″ N 55 ° 53′33″ E) ผ่านทางทะเลทราย Dasht-e Lut โดยจุดรวมพล Desert One จะได้รับการจัดตั้งและคุ้มกันโดยมีกองกำลังป้องกัน และมีน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 6,000 แกลลอนสหรัฐ (22,700 ลิตร) เตรียมไว้สำหรับอากาศยาน ซึ่งถูกนำเข้าพื้นที่โดยบรรจุในถังเชื้อเพลิงที่สามารถยุบตัวได้ ซึ่งโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 มีเครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ EC-130Es 3 ลำ (นามเรียกขาน : Republic 4, 5, และ 6) ทำหน้าที่ส่งยุทโธปกรณ์และเสบียง และ MC-130E Combat Talons (นามเรียกขาน : Dragon 1 ถึง 3) นำหน่วย Delta Force พร้อมกับอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปยังพื้นที่ปฏิบัติการ

ระหว่างการวางแผนมีการเตรียมเฮลิคอปเตอร์ชองกองทัพเรือสหรัฐฯแบบ RH-53D Sea Stallion ไว้ที่เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz โดยลูกเรือของ Nimitz ไม่ทราบสาเหตุของการปรากฏตัวของเฮลิคอปเตอร์ 8 ลำบนเรือของพวกเขาเป็นเวลาหลายเดือน พวกเขาได้รับเพียงการบอกเล่าว่า เฮลิคอปเตอร์ใช้ในภารกิจปฏิบัติการกวาดทุ่นระเบิด แผนดังกล่าวกำหนดให้เฮลิคอปเตอร์รับการเติมเชื้อเพลิงและบินนำทหารหน่วย Delta Force เป็นระยะทาง 260 ไมล์ (420 กม.) ไปยังจุดนัดพบ Desert Two (พิกัด 35 ° 14′00″ N 52 ° 09′00″ E) อยู่ห่างจากกรุงเตหะรานราว 52 ไมล์ (84 กม.) ด้วยเวลาที่ใกล้เช้ารุ่งเช้า เฮลิคอปเตอร์และกองกำลังภาคพื้นดินจะถูกซ่อนพรางตัวในระหว่างกลางวัน ณ จุด Desert Two โดยการปฏิบัติการกู้ภัยจะเกิดขึ้นในคืนที่สอง เริ่มจากสายของ CIA ในอิหร่านจะนำรถบรรทุกไปยังจุด Desert Two ร่วมกับกองกำลังภาคพื้นดิน (หน่วย Delta Force) จากนั้นจะขับรถจากจุด Desert Two ไปยังกรุงเตหะราน ในขณะที่กองกำลังจู่โจมหลักกำลังเคลื่อนไปยังกรุงเตหะราน กองกำลังสหรัฐหน่วยอื่น ๆ จะตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่เพื่อชะลอการตอบโต้ใด ๆ จากกองกำลังของอิหร่าน ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องบิน Gunship แบบ AC-130 จะบินไปยังกรุงเตหะรานเพื่อทำการยิงสนับสนุนในกรณีที่จำเป็น

ท้ายสุดแล้ว กองกำลัง Ranger จะทำการยึดฐานทัพอากาศ Manzariyeh ที่อยู่ใกล้เคียง (พิกัด 34 ° 58′58″ N 50 ° 48′20″ E) เพื่อให้เครื่องบิน C-141 Starlifter ลงจอด กองกำลังภาคพื้นดินจะทำการโจมตีสถานทูต และกำจัดผู้คุม หลังจากนั้นจะพาตัวประกันและกองกำลังไปยังจุดนัดพบกับเฮลิคอปเตอร์ในฝั่งตรงข้ามบริเวณสนามกีฬา Amjadieh แล้วเฮลิคอปเตอร์จะพาทุกคนไปยังฐานทัพอากาศ Manzariyeh ขึ้น C-141s เพื่อบินพาทุกคนกลับไปยังดินแดนที่เป็นมิตร การป้องกันทางอากาศจะให้ กองบินนาวีที่ 8 (CVW-8) ปฏิบัติการจาก USS Nimitz และ กองบินนาวีที่ 14 (CVW-14) ปฏิบัติการจาก USS Coral Sea ในปฏิบัติการนี้เครื่องบินรบจะติดแถบพิเศษเพื่อระบุตัวตนที่ปีกขวา ประกอบด้วย กองบินนาวีที่ 14 (CVW-14) เครื่องบินรบแบบ F-4Ns ติดแถบสีแดงสำหรับกองบินขับไล่โจมตีนาวิกโยธินที่ 323 (VMFA-323) หรือสีเหลืองสำหรับกองบินขับไล่โจมตีนาวิกโยธินที่ 323 (VMFA-531) แถบสีดำ 2 แถบของกองบินนาวีที่ 14 (CVW-14) เครื่องบินจู่โจมแบบ A-7s และ A-6s มีแถบสีส้มล้อมรอบด้วยแถบสีดำ 2 แถบ เพราะมีเครื่องบินซึ่งคล้ายกัน (เพื่อช่วยแยกแยะเครื่องบินสหรัฐจากเครื่องบินอิหร่านที่ซื้อจากสหรัฐอเมริกา) คือ เครื่องบินขับไล่แบบ F-14 Tomcats และ F-4 Phantoms

แต่เมื่อมีการปฏิบัติจริง มีเพียงการส่งหน่วยระวังป้องกัน/ทีมกู้ภัย อุปกรณ์ และเชื้อเพลิงโดยเครื่องบิน C-130 เท่านั้นที่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หน่วยปฏิบัติการพิเศษออกจากฐานบินบนเกาะ Masirah ประเทศโอมาน และบินไปยังจุด Desert One โดย Dragon 1 บินถึงเวลา 22:45 ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากมีการเปิดไฟที่ซ่อนอยู่ การลงจอดภายใต้สภาพที่มืดมิดโดยใช้ระบบแสงอินฟราเรดบนลานบิน ซึ่งสามารถเห็นได้ด้วยแว่นมองกลางคืนเท่านั้น ด้วย Dragon 1 บรรทุกน้ำหนักมหาศาล ในการลงจอด แม้จะมีตรวจสอบว่าไม่มีสิ่งกีดขวางบนทางวิ่ง แต่ก็เกิดความเสียหายต่อปีกเครื่องบินจากการปะทะสิ่งกีดขวาง และต้องทำการซ่อมบนภาคพื้นดินในภายหลัง แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และเครื่องบินยังคงบินได้

กองกำลังภาคพื้นดินประกอบด้วยหน่วย Delta Force 93 นายเตรียมบุกโจมตีสถานทูต โดยหน่วยจู่โจมพิเศษ 13 คนจากหน่วย "A" กองพล Berlin จะเข้าจู่โจมกระทรวงการต่างประเทศ Ranger อีก 12 นาย จะจัดตั้งแนวกีดขวาง และกำลังผสมอิหร่านและอเมริกันซึ่งพูดฟาร์ซีได้ 15 นาย ซึ่งส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นคนขับรถบรรทุก ทีมควบคุมการปฏิบัติการรบ (Combat Control Team : CCT) จัดตั้งเขตลงจอดขนานทางตอนเหนือของถนนลูกรัง และติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ TACAN เพื่อเป็นแนวลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน MC-130s ลำที่ 2 และ 3 ลงจอดโดยใช้ทั้งรันเวย์ และปล่อยส่วนที่เหลือของหน่วย Delta Force หลังจากที่ Dragon 1 และ 2 บินออกในเวลา 23:15 เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับ EC-130 และ ฮ. RH-53D 8 ลำ และกลับไปที่ ฐานบิน ซึ่งจะอนุญาตให้ลูกเรือเตรียมพร้อมสำหรับการปฏิบัติการในคืนที่สอง

ไม่นานหลังจากที่ลูกเรือคนแรกลงพื้น และเริ่มเฝ้าระวัง จุด Desert One มีรถบรรทุกซึ่งขนน้ำมันเถื่อนวิ่งผ่านจึงถูกยิงจนระเบิดด้วยจรวดประทับไหล่โดยทีมกั้นถนนของหน่วย Ranger ขณะพยายามหลบหนีออกจากพื้นที่ คนในรถบรรทุกเสียชีวิต แต่คนขับพยายามหลบหนีด้วยรถกระบะที่มาด้วยกัน ในขณะที่รถบรรทุกน้ำมันที่ถูกประเมินว่า มีส่วนร่วมในการลักลอบขนน้ำมันโดยตัวคนขับรถก็ไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของภารกิจ แต่เปลวไฟที่เกิดขึ้นสว่างมากในยามค่ำคืนเห็นได้ในระยะหลายไมล์ จึงเป็นการชี้ทางไปยังจุด Desert One สำหรับเฮลิคอปเตอร์ที่ยังไม่ลงจอด รถบัสพร้อมคนขับและผู้โดยสารพลเรือนชาวอิหร่าน 43 คน ซึ่งเดินทางบนถนนสายเดียวกัน ซึ่งตอนนั้นเป็นรันเวย์สำหรับเครื่องบินถูกบังคับให้จอด และทั้งหมดถูกควบคุมตัวในเครื่องบิน Republic 3

ระหว่างทาง เฮลิคอปเตอร์ Bluebeard 6 ต้องลงจอดฉุกเฉินกลางทะเลทราย เมื่อนักบินอ่านค่าของเซ็นเซอร์ซึ่งระบุว่า ใบพัดร้าว โดย ฮ. Bluebeard 8 ได้รับเอาลูกเรือของฮ. Bluebeard 6 ออกจากพื้นที่ เฮลิคอปเตอร์ที่เหลือบินเข้าไปในสภาพอากาศที่ไม่คาดคิดที่รู้จักกันในชื่อ Haboob (เมฆฝุ่นขนาดมหึมาที่เกือบจะทึบแสงซึ่งเกิดตามพายุฝนฟ้าคะนอง) Bluebeard 5 บินเข้า haboob ต้องละภารกิจ และบินกลับไปยัง USS Nimitz เมื่ออุปกรณ์เครื่องวัดประกอบการบินทำงานผิดปกติ ทำให้ต้องบินโดยปราศจากอุปกรณ์ฯ แต่การบินด้วยสายตาก็เป็นไปไม่ได้ การก่อตัวกระจัดกระจายมาถึงจุด Desert One นาน 50 ถึง 90 นาที ตามกำหนดการ Bluebeard 2 มาถึง Desert One เมื่อเวลา 01:00 น. ด้วยระบบไฮดรอลิกชุดหนึ่งเกิดขัดข้อง แต่ระบบดังกล่าวมี 2 ชุด จึงทำให้มีระบบไฮดรอลิกเพียงชุดเดียวในการควบคุมเฮลิคอปเตอร์ให้บินได้

ดังนั้นจึงเหลือเฮลิคอปเตอร์เพียง 5 ลำเท่านั้นที่จะบินส่งทหารและอุปกรณ์ไปยัง Desert Two ซึ่งผบ.ภาคสนามคิดว่า ภารกิจคงต้องยกเลิก และแล้วภารกิจก็มาถึงจุดจบ เมื่อนักบินปฏิเสธที่จะใช้เฮลิคอปเตอร์ Bluebeard 2 ในภารกิจ ขณะที่ผบ.ภาคสนามเองก็ปฏิเสธที่จะลดขนาดทีมกู้ภัย ซึ่งคาดว่า อาจจะสูญเสียเฮลิคอปเตอร์เพิ่มในเวลาต่อมา จึงมีการแจ้งขอยกเลิกภารกิจผ่านวิทยุสื่อสารดาวเทียมถึงประธานาธิบดี หลังจากนั้นสองชั่วโมงครึ่งก็ได้รับคำสั่งให้ยกเลิกภารกิจ

ขณะถอนกำลังเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งชนเข้ากับเครื่องบินลำเลียงโดยใบพัดหลักฟันกับแพนหางของเครื่องบินและลำตัวชนเข้ากับโคนปีกจนเกิดเพลิงไหม้ เป็นเหตุให้ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ซึ่งสังกัดกองกำลังนาวิกโยธิน 3 ใน 5 นายเสียชีวิต ลูกเรือเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศเสียชีวิต 5 จาก 14 นาย ระหว่างการอพยพไปยังเครื่องบินลำเลียงแบบ EC-130s ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์พยายามในการค้นเอกสารภารกิจลับ และทำลายเฮลิคอปเตอร์ ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดขึ้นเครื่อง EC-130s โดยทิ้งเฮลิคอปเตอร์ RH-53 ทั้ง 5 ลำไว้ข้างหลัง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสภาพไม่บุบสลาย และบางส่วนได้รับความเสียหายจากกระสุน ต่อมาเฮลิคอปเตอร์ Bluebeards 2 และ 8 ถูกกองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านนำไปใช้งาน เครื่องบิน EC-130E (Republic 5) ซึ่งกลับมาอย่างปลอดภัย และถูกปลดจากกองทัพอากาศสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2013 ปัจจุบันตั้งแสดง ณ พิพิธภัณฑ์การบิน Carolinas

เครื่องบิน EC-130s ได้นำกำลังที่เหลือกลับไปยังสนามบินที่เกาะ Masirah โอมาน โดยมีเครื่องบินลำเลียงทางการแพทย์แบบ C-141 2 ลำจากฐานทัพอากาศ Wadi Abu Shihat, อียิปต์ เพื่อรอรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ สมาชิกหน่วย Rangers และ หน่วย Delta Force ถูกพากลับไปฐานทัพอากาศ Wadi Kena ส่วนผู้บาดเจ็บถูกส่งไปยังฐานทัพอากาศ Ramstein ในเยอรมันตะวันตก (ขณะนั้น) ทีม CIA ประจำกรุงเตหะรานถอนตัวออกจากอิหร่านโดยไม่ทิ้งร่องรอย

ทำเนียบขาวประกาศว่า ปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันล้มเหลวเมื่อเวลา 01:00 น. ของวันถัดไป ตัวประกันในสถานทูตได้ถูกกระจายไปทั่วประเทศอิหร่านในภายหลังเพื่อให้การช่วยเหลือครั้งที่ 2 เป็นไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่ของกองทัพอิหร่านพบศพ 9 ศพ เป็นชาวอเมริกัน 8 ศพ และพลเรือนอิหร่านอีก 1 ศพ ส่วนพลเรือนชาวอิหร่าน 44 คนบนรถบัสที่ถูกกักตัวก็ได้เล่าเรื่องราวของปฏิบัติการนี้ให้เจ้าหน้าที่ของกองทัพอิหร่าน มีการจัดทำแผ่นป้ายรำลึกถึงทหารรสหรัฐ 8 นาย ซึ่งเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ในสุสานแห่งชาติ Arlington วันที่ 25 เมษายน 1980 พลตรี Robert M. Bond ได้อ่านคำสดุดีของประธานาธิบดี Jimmy Carter ที่พิธีศพเพื่อแสดงความระลึกถึงพวกเขาเหล่านั้น พลเรือเอก James L. Holloway III (เกษียณ) อดีตผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการกองทหารเรือ ได้ทำการสอบสวนอย่างเป็นทางการในปี 1980 อ้างถึงข้อบกพร่องในการวางแผนของภารกิจ คำสั่ง และการควบคุม และความสามารถในการปฏิบัติการร่วม และกลายเป็นตัวเร่งให้มีการจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม และรัฐบัญญัติ Goldwater-Nichols ในปี 1986

ความล้มเหลวของการปฏิบัติการร่วม ซึ่งขาดความพร้อมเพรียงทำให้เกิดการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ๆ ในอีกหลายปีต่อมา ได้แก่ หน่วยปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐอเมริกา (USSOCOM) เริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 16 เมษายน 1987 โดยแต่ละเหล่าทัพมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษของตนเองภายใต้การควบคุมปฏิบัติการร่วมโดย USSOCOM การขาดนักบินเฮลิคอปเตอร์ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี มีความสามารถในการบินกลางคืนระดับต่ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับภารกิจในปฏิบัติการของหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ทันสมัย ทำให้เกิดหน่วยบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 (SOAR) (Night Stalkers) นอกจากหน่วยบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 (SOAR) แล้ว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังได้ฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์จำนวนมากให้สามารถบินเจาะทะลุในระดับต่ำ สามารถเติมน้ำมันกลางอากาศ และใช้แว่นมองกลางคืน ทำการบินเฮลิคอปเตอร์แบบ MH-47, CH-53E, MH-60 และ MV-22 รวมถึงเพิ่มความสามารถในการบินเพื่อปฏิบัติการพิเศษ ความล้มเหลวนำมาสู่การพัฒนาเทคนิควิธีในการปฏิบัติการพิเศษมากมาย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจประจำของ USSOCOM่

ประธานาธิบดี Carter ยังคงพยายามให้ตัวประกันถูกปล่อยตัว ก่อนการสิ้นสุดของสมัยของประธานาธิบดี Carter วันที่ 20 มกราคม 1981 ไม่กี่นาทีหลังจากสิ้นสุดวาระของ Carter ตัวประกัน 52 คนที่ถูกกักขังในอิหร่านได้รับการปล่อยตัว สิ้นสุด 444 วันวิกฤติตัวประกันอเมริกันในอิหร่าน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ Cyrus R. Vance เชื่อว่า ปฏิบัติการนี้จะไม่ประสบผล และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวประกัน จึงเลือกที่จะลาออก โดยไม่คำนึงว่าภารกิจสำเร็จหรือไม่ Ruhollah Khomeini ประณามประธานาธิบดี Carter และในคำพูดหลังจากเหตุการณ์โดยอ้างพระเจ้าโยนทรายเพื่อปกป้องอิหร่าน เขากล่าวว่า "ใครเป็นคนทำลายเฮลิคอปเตอร์ของ Carter? เราทำ? ทรายทำ! ตัวแทนของพระเจ้า ลมเป็นตัวแทนของพระเจ้า ... ทรายเหล่านี้เป็นตัวแทนของพระเจ้า พวกเขา (อเมริกัน) สามารถลองของได้อีก!

เหตุวิกฤติจบลงในที่สุด เมื่อมีการลงนามในสัญญา Algiers Accords ในประเทศอัลจีเรียในวันที่ 19 มกราคม 1981 และมีการปล่อยตัวประกันเมื่อวันที่ 21 มกราคม 1981 ในข้อตกลง มีการปล่อยตัวคนอเมริกันที่ถูกกักตัวในอิหร่าน และอีกด้านหนึ่ง มีการปล่อยตัวคนสัญชาติอิหร่านที่ต้องโทษในสหรัฐอเมริกา แต่สนธิสัญญานี้ครอบคลุมเพียงด้านกฎหมาย แต่ในวันที่ 7 เมษายน 1980 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในวันที่ 24 เมษายน 198เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 

‘กัมพูชา’ เมื่อเกมการเมืองกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง ผยองตัดไฟฟ้าประชดไทยสุดท้ายเศรษฐกิจชายแดนเจ๊ง

จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากัมพูชาเดินเกมทางการเมืองเหมือนจะดูดุดันนะครับ แต่จริง ๆ แล้วกลับออกแนว 'ร้อน' เหมือนคนแก่เล่น Facebook อารมณ์ไม่นิ่ง เดี๋ยวดิ้น เดี๋ยววีน แล้วก็พลาดซ้ำซาก ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังครับ

เริ่มกันที่กรณี 'ตัดไฟฟ้าประชดไทย' ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และตอนนี้กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างชัดเจน

การที่กัมพูชาตัดไฟในเขตปอยเปตนั้น แม้จะดูเหมือนเป็นมาตรการตอบโต้ทางการเมืองที่แข็งกร้าว แต่เบื้องหลังก็เต็มไปด้วยการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดซ้ำซ้อน และความพยายามเล่นเกมทูตแบบย้อนแย้งไร้แผนรองรับ

ต้องย้อนกลับไปดูช่วงแรกของวิกฤตชายแดน กัมพูชามีท่าที 'ชะล่าใจ' ค่อนข้างมาก ขุดคูเลตทหาร โชว์กำลัง กดดันไทยว่าเขามีสิทธิ์ในพื้นที่ โดยเชื่อว่าไทยจะไม่กล้าตอบโต้แรง เพราะตอนนั้นรัฐบาล โดยเฉพาะคุณแพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ยังนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวใด ๆ ทำให้ฝั่งเขาเชื่อไปว่าไทยไม่กล้าปิดด่านจริงจัง

ในทางกลับกัน ฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยกลับแสดงท่าทีขึงขัง ชัดเจนว่า “อธิปไตยไทยไม่ใช่ของเล่น” มีการใช้มาตรการเบื้องต้น เช่น ปรับเวลาเข้า–ออกด่าน และเตือนว่า “หากกัมพูชายังคุกคาม จะตัดไฟ”

แต่ฝั่งกัมพูชากลับคิดว่าไทยไม่กล้า ด้วยความมั่นใจที่อาจมาจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติ จึงตัดสินใจบลัฟกลับ โดยอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายจะปิดด่านก่อน แล้วก็เลยตัดไฟฟ้าเอง เป็นการ “ประชดกลับ” แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่การ “อ่านเกมผิด” ครั้งนี้ ทำให้พังทั้งกระดาน

แม้รัฐบาลไทยจะลังเลในตอนแรก แต่เมื่อแรงกดดันจากสังคมและภาครัฐเพิ่มขึ้น การปิดด่านก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคืนวันที่ 23 มิ.ย. 68

สิ่งที่ตามมาคือ “ภาวะช็อก” ของผู้นำกัมพูชา ที่ประเมินผิดทุกจุด

แก๊งพนันออนไลน์ในปอยเปตเริ่มอพยพออกจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจชายแดนกลายเป็นอัมพาตทันที

แม้กัมพูชาจะพยายามปล่อยข่าวว่าตัวเองมีไฟฟ้าใช้ได้ตามปกติ แต่ข้อเท็จจริงคือ ไฟฟ้าในประเทศมีไม่เพียงพอ (ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของประเทศถูกนำเข้ามาจากประเทศไทย  การตัดไฟที่โชว์ไปแต่แรกก็เป็นเพียงแค่การบลัฟ เพียงเล็กน้อย เพราะยังซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยอยู่อีกหลายจุดแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าว) และการจะหันไปซื้อไฟจากเวียดนามก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งจากข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและปริมาณกำลังผลิต

การบลัฟว่ามีไฟสำรองจ่ายนั้น หลอกได้แค่คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง เพราะ…
1. ไฟฟ้าในเวียดนามผลิตได้พอใช้แค่ภายในประเทศ
2. ไม่มีเส้นทางส่งไฟฟ้าจากเวียดนามมายังฝั่งตะวันตกของกัมพูชา
3. หากจะสร้างโครงข่ายสายส่งใหม่ ต้องใช้เวลาหลายปีและเงินมหาศาล
และที่พังยิ่งกว่าคือ การกระทำของกัมพูชา กลับไปกระทบเวียดนามอย่างจัง

ข้อมูลบางส่วนระบุว่า กัมพูชาอาจปิดด่านล่วงหน้าโดยหวังโยนความผิดให้ไทย แล้วหวังว่าไทยจะเปิดก่อน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเองในสายตาต่างประเทศ

แต่กลายเป็นว่า “ไทยไม่เดือดร้อน” กลับเป็น “เวียดนามซวยแทน”

เพราะเส้นทางนำเข้าสินค้าจากไทยไปเวียดนามจำนวนมากต้องผ่านกัมพูชา เมื่อด่านปิด เวียดนามก็ถูกตัดเส้นทางทันที ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

อีกด้านหนึ่ง กัมพูชาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไทยลังเลจะปิดด่าน จึงรีบ “แสดงบทแข็ง” หวังจะชิงพื้นที่สื่อและปลุกกระแสภายในประเทศ เพื่อเอาใจฐานเสียงเดิมและฟื้นภาพลักษณ์ของตระกูลฮุน

แต่ผลที่ได้ คือ คนเวียดนามและไทย “พร้อมใจกันไม่ประทับใจ”

สิ่งที่สำคัญคือ การปิดด่านนี้ทำลายเศรษฐกิจของกัมพูชาเองอย่างจัง เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของฝั่งปอยเปต มาจากระบบเศรษฐกิจ “สีเทา” ไม่ว่าจะเป็นบ่อนพนันออนไลน์, call center, hacker ฯลฯ ซึ่งเมื่อช่องทางเข้า–ออกถูกตัด รายได้พวกนี้ก็เหือดหายไปทันที และหากปิดยาว ก็ยิ่งเจ็บลึก

ขณะที่การคว่ำบาตรไม่ซื้อน้ำมันจากไทยก็เป็นอีกการตัดสินใจที่ย้อนแย้ง เพราะน้ำมันไม่ใช่สินค้าที่สั่งวันนี้ได้พรุ่งนี้

ในตลาดโลกตอนนี้ ประเทศต่าง ๆ เริ่มอั้นน้ำมันเพื่อใช้ภายใน การจะหาน้ำมันจากแหล่งอื่นต้องใช้เวลา 3–6 เดือน เพราะเป็นระบบสัญญาล่วงหน้า ราคาก็สูงกว่าไทยอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะหันไปสิงคโปร์ ก็ยังต้องรอขนส่งอีกหลายเดือน ขณะที่กัมพูชาไม่มีระบบน้ำมันสำรองเหมือนไทย จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นคนเขมรแห่กักตุนจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่เรื่อย ๆ

สุดท้าย ท่าทีของกัมพูชาที่ดึงดันเดินเกมนี้นานขึ้น ยิ่งทำให้เพื่อนบ้านในภูมิภาคหมดความอดทน โดยเฉพาะเวียดนามและลาว

การกระทำของกัมพูชาจึงไม่ใช่แค่พลาดทางยุทธศาสตร์ แต่กำลังเร่งให้ภูมิภาคหมดความเกรงใจในตัวเขา

สุดท้ายแล้ว คนที่ควรได้รับผลกระทบจากเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ควรเป็นแค่ประชาชนตาดำ ๆ ที่หาเช้ากินค่ำ จำเป็นต้องเดินทางข้ามแดนไทย–กัมพูชาเพื่อเอาตัวรอด แต่กลับต้องกลายเป็นผู้รับกรรมในเกมการเมืองที่ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่พวกชนชั้นนำหรือครอบครัวตระกูลฮุนหรอกครับที่จะลำบากอะไร
พวกเขายังอยู่ในคฤหาสน์ มีไฟฟ้าใช้ มีรถกันกระสุน มีน้ำมันเติม

แต่ชาวบ้าน? ต้องอยู่กับความเสี่ยง ไฟดับ น้ำไม่ไหล น้ำมันแพง และข้าวของขึ้นราคาแบบทวีคูณ
ทั้งหมดนี้เพียงเพราะ 'อีโก้' ของผู้นำประเทศ ที่อยากเอาชนะให้ได้ในเกมที่ตัวเองเป็นคนเริ่ม

และหากพูดถึงเรื่อง 'ดินแดน' — ถ้าไทยยืนยันหนักแน่นว่านั่นคือแผ่นดินไทย กัมพูชาก็ไม่มีวันได้อยู่ดี ต่อให้กดดันแค่ไหน ก็เท่ากับทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้นเอง

‘ซาน่า เอ็นริเก้’ เด็กหญิงตัวน้อยผู้กลายเป็นดวงดาว ส่องนำทางสู่ชัยชนะให้แก่พ่อผู้หัวใจแตกสลายของเธอ

(25 มิ.ย. 68) หากใครได้ชมการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champions League นัดชิงชนะเลิศเมื่อค่ำคืนวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ระหว่างทีมอินเตอร์มิลานจากอิตาลี vs ปารีสแซงแชร์กแมง (PSG) จากฝรั่งเศส ก็คงจะสังเกตเห็นแผ่นป้ายผ้าใบขนาดยักษ์อันสวยงาม หรือ Tifo บนอัฒจันทร์ฝั่งกองเชียร์ทั้งสองฝั่ง 

ปกติแล้วภาพผืนผ้าใบยักษ์หรือ Tifo นี้จะเป็นภาพที่แสดงออกถึงความฮึกเหิม หรืออัตลักษณ์สำคัญของทีมนั้นๆ เพื่อเป็นการส่งพลังไปให้กับนักฟุตบอลในสนามเพื่อลงไปใส่ให้เต็มที่กับคู่แข่ง 

และเมื่อบวกกับเสียงเชียร์อันดังสนั่นจากกองเชียร์แล้วก็เหมือนเป็นการ “ข่ม” คู่แข่งและกองเชียร์ฝั่งตรงข้ามไปด้วยในตัวนั่นเอง เช่น Tifo จากทางฝั่งอินเตอร์มิลานก็เป็นรูปงูดูดุดันน่าเกรงขาม ซึ่งงูก็เป็นสัญลักษณ์อันโด่งดังที่รู้จักกันดีของสโมสรอินเตอร์มิลานในขณะที่ Tifo บนอัฒจันทร์ฝั่ง PSG กลับเป็นรูปที่ไม่ได้แสดงออกถึงความขึงขัง ฮึกเหิม ดุดันอะไรแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นรูปชายคนหนึ่งกำลังปักธงของ PSG บนพื้นสนาม โดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งใส่ชุดแข่งของ PSG เบอร์ 8ยืนมองอยู่

บนหลังของเธอสลักชื่อว่า Xana 

ชายที่กำลังปักธงก็คือ หลุยส์ เอ็นริเก้ เฮดโค้ชคนปัจจุบันของ PSG ที่ทำผลงานในฤดูกาลนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม นำ PSG คว้า 2 แชมป์ใหญ่ในประเทศและกำลังพาทีมของเขาสร้างประวัติศาสตร์เข้าชิงชนะเลิศถ้วยที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปเพื่อเป็น Treble Champs หรือคว้า 3 ถ้วยสำคัญได้ภายในปีเดียวเหมือนที่เขาเคยทำได้ครั้งหนึ่งกับสโมสรบาเซโลนาเมื่อปี 2015 มาแล้ว 

ส่วนเด็กผู้หญิงในภาพก็คือ ซาน่า เอ็นริเก้ ลูกสาวคนสุดท้องของเขานั่นเอง โดยภาพๆนี้ เป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นจริงในปี 2015 เมื่อหลุยส์ เอ็นริเก้ นำสโมสรบาเซโลนาคว้า 3 แชมป์ได้สำเร็จ ในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองการขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกฟุตบอลของหลุยส์ ซาน่าในวัย 5 ขวบได้วิ่งเข้าไปหาพ่อของเธอเป็นคนแรก และก็อยู่กับพ่อของเธอด้วยตลอดการเฉลิมฉลองอันยาวนานในค่ำคืนนั้น 

โดยเธอใส่เสื้อบาเซโลน่าเบอร์ 8 และโมเม้นท์สำคัญสำหรับคนทั้งคู่ก็คือ ซาน่าได้ช่วยพ่อของเธอปักธงบาเซโลน่าลงบนพื้นสนาม โดยภาพๆนี้ได้กลายเป็นภาพจำของซาน่าในฐานะนางฟ้าแห่งชัยชนะของหลุยส์ และบรรดาแฟน ๆ ของ PSG ก็ได้นำเอาภาพนี้มาทำเป็น Tifo โดยเปลี่ยนแค่ชุดของซาน่าและธงในมือของหลุยส์จากบาเซโลนาเป็น PSG เท่านั้น โดยคงรายละเอียดอื่นๆของภาพไว้ครบถ้วน หากแต่ว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมจากค่ำคืนอันสวยงามนั้นก็คือ ในวันที่หลุยส์ เอ็นริเก้กำลังจะนำ PSG สร้างประวัติศาสตร์คว้า Treble Champ เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งที่สองในอาชีพกุนซือของเขานั้น ซาน่ากลับไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับพ่อของเธออีกแล้ว…. 

ซาน่า เอ็นริเก้ จากโลกนี้ไปในปี 2019 ด้วยวัยเพียง 9ขวบจากอาการของโรคมะเร็งกระดูกชนิดหายาก ในช่วงระหว่างการต่อสู้กับโรคมะเร็งของซาน่านั้น หลุยส์และครอบครัวได้ดูแลเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาพาเธอไปรักษากับหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็งกระดูกที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก ทุ่มเงินทั้งหมดที่เขามี มอบเวลาแทบจะทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอโดยวางฟุตบอลไว้เป็นเรื่องรอง 

แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครสามารถฝืนชะตาได้ ในวันที่ซาน่าจากไปอย่างสงบนั้น หลุยส์ได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า เหมือนกับว่าแสงสว่างทั้งหมดในชีวิตของเขานั้นได้ดับมืดลงไปพร้อมกับชีวิตของซาน่าด้วย เขาเปรียบการสูญเสียลูกสาวว่าเหมือนกับการสูญเสียดวงดาวนำทางของชีวิตไปอย่างไม่มีวันหวนคืน 

แต่อย่างไรก็ดี สำหรับหลุยส์แล้ว ซาน่าจากไปเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ความรักและจิตวิญญาณของเธอยังคงอยู่กับเขาเสมอ รวมถึงความทรงจำอันสวยงามตลอด 9 ปี ที่เธอเกิดมาเป็นลูกสาวอันแสนงดงามและสดใสของเขาก็ยังคงเป็นพลังและแรงส่งให้เขาเสมอมาไม่เปลี่ยนแปลง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลุยส์ได้ไปเยี่ยมแม่ของเขาภายหลังจากที่ซาน่าจากไปไม่นานแล้วพบว่าที่บ้านแม่ของเขาไม่มีรูปของซาน่าเหลืออยู่อีกเลย 

เขาจึงได้ถามแม่ของเขาว่า รูปของซาน่าทั้งหมดในบ้านหายไปไหน แม่ของหลุยส์ก็ได้ตอบว่าเธอได้เก็บรูปของซาน่าทั้งหมดไว้ในห้องเก็บของเพราะเธอทำใจไม่ได้และร้องไห้ด้วยความเสียใจทุกครั้งที่ได้เห็นรูปของซาน่า หลุยส์ตอบแม่ของเขาไปว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ถูกต้อง เพราะถึงแม้ว่าซาน่าจะได้จากไปแล้ว แต่เธอก็ได้ฝากความทรงจำที่มีความสุขและพลังงานดี ๆ มากมายไว้ให้กับคนที่เธอรักและรักเธอ 

ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรจะจมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ และกำจัดความเศร้านั้นด้วยการพยายามลืมเธอหรือไม่นึกถึงเธอ นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกในการบำบัดหัวใจที่แตกร้าวเพราะการสูญเสีย ในทางกลับกันพวกเราควรระลึกถึงเธอเสมอโดยเฉพาะความสุขและความรักที่เธอมอบให้เราอย่างเต็มเปี่ยมมาตลอดชีวิตอันสว่างไสวของเธอ และเราควรจะระลึกอยู่เสมอว่าเราโชคดีเพียงไรที่ได้มีโอกาสได้รับความสุขนั้นจากเธอถึง 9 ปี นั่นต่างหากถึงจะเป็นการตอบสนองที่ถูกต้องและแสดงความเคารพต่อตัวตนของเธอ ความทรงจำของเธอ และความรักที่เธอฝากไว้ให้กับพวกเรา 

และในค่ำคืนแห่งฟุตบอลนัดสำคัญที่สุดนัดหนึ่งในชีวิตของหลุยส์ แฟนบอลของ PSG ได้เลือกที่จะแสดงความรักต่อผู้นำทัพของพวกเขาด้วยการแสดงออกถึงความเคารพและระลึกถึงซาน่าประดุจแสงดาวนำทางสู่ความสำเร็จตามที่หลุยส์เคยกล่าวถึงเธอไว้ด้วยความรักอย่างที่สุด 

ผลการแข่งขันในค่ำคืนแห่งโชคชะตานี้ปรากฏว่า PSG ชนะไปถึง 5-0 ชนิดที่อินเตอร์มิลานสู้ไม่ได้ในทุกเหลี่ยมมุม ทำให้ PSG ภายใต้การนำของหลุยส์เถลิงบัลลังก์จุดสูงสุดของยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรและเป็นการทำ Treble Champ เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตของหลุยส์ 

ส่งผลให้ชื่อของเขาได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลทันทีว่าเป็นโค้ชคนที่ 6 ในโลกนี้ที่ทำทีมเป็นแชมป์สโมสรยุโรปได้จาก 2 สโมสร (บาเซโลนา และ PSG) 

และในวินาทีที่กรรมการเป่านกหวีดยาวหมดเวลาการแข่งขันเป็นการย้ำชัดเจนถึงการเป็นเจ้ายุโรปและ Treble Champ ของ PSG หลุยส์ก็ได้เปลี่ยนเสื้อเตรียมขึ้นรับถ้วยรางวัลที่สำคัญที่สุดถ้วยหนึ่งในชีวิตของเขาเป็นเสื้อยืดลายการ์ตูนของมูลนิธิซาน่า เอ็นริเก้ที่เขาและครอบครัวก่อตั้งขึ้นภายหลังการจากไปของซาน่า 

โดยมูลนิธินี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงทุกโรคไม่เพียงแต่มะเร็งเท่านั้น เพราะหลุยส์รู้ซึ้งดีถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียซาน่าและเขาไม่ต้องการให้ใครต้องรู้สึกแตกสลายเช่นเดียวกันกับเขาอีก

หลุยส์ เอ็นริเก้ แม้จะเศร้าโศกจากการสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักสักเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้และลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เพราะเขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าลูกสาวอันเป็นที่รัก จะเฝ้ามองเขาอยู่จากที่ใดที่หนึ่งอันไกลแสนไกลและเธอจะรับรู้ได้ถึงความสุขและความทุกข์ของเขาดังเช่นที่เคยเป็นมา 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าการจากไปของซาน่าจะทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ในหัวใจของเขา แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บเอาความทรงจำอันสว่างไสวของลูกสาวมาเป็นพลัง และเอาความรักอันเปี่ยมล้นที่มีต่อเธอเป็นดั่งแสงดาวนำทางให้ชีวิตของเขาก้าวเดินต่อไปสู่ความสำเร็จ เพราะเขารู้ว่าในวันที่เขามีความสุขและประสบความสำเร็จซาน่าก็จะมีความสุขและร่วมยินดีไปกับเขาด้วยเหมือนที่เป็นมาเสมอนั่นเอง 

หลุยส์ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนนัดชิงถ้วยสโมสรยุโรปในครั้งนี้ไว้ว่า "ผมจำภาพถ่ายที่น่าทึ่งภาพหนึ่งได้ เป็นภาพที่ผมถ่ายกับเธอหลังคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ที่กรุงเบอร์ลิน ขณะกำลังปักธง บาร์เซโลน่า ลงบนสนาม"

"ผมหวังว่าจะได้ทำแบบนั้นอีกครั้งกับ เปแอสเช แม้ว่าลูกสาวของผมจะไม่ได้อยู่ที่นั่นทางร่างกาย แต่เธอจะอยู่ที่นั่นในทางจิตวิญญาณ และนั่นสำคัญกับผมมากจริงๆ"

และแฟนบอล PSG ก็ตอบสนองต่อความรักระหว่างหลุยส์กับซาน่าได้อย่างงดงามและน่าจดจำอย่างที่สุด และเป็นอีกครั้งที่พวกเราได้เห็นว่าฟุตบอลนั้นสวยงามเพียงไร 

ใดๆdigest หวังว่าเรื่องราวของหลุยส์กับซาน่า เอ็นริเก้ คงจะช่วยปลอบโยนใครก็ตามที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และขอแสดงความเคารพต่อดวงจิตทุกดวงที่สร้างความทรงจำอันสว่างไสวและมอบความรักอันสวยงามให้กับผู้คน 

ขอให้ความรักนำทางทุกท่านครับ 

Xana Enrique 
ด้วยจิตคารวะ

ร.7 กับข้อกล่าวหาอยู่เบื้องหลัง ‘กบฏบวรเดช’ ความเข้าใจผิดและเกมการเมืองหลังปี 2475

(24 มิ.ย. 68) ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คือรอยต่อสำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และผู้ที่ตกอยู่ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากทั้งสองฝั่งของอำนาจ คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ผู้ซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มปฏิรูปใหม่อย่างคณะราษฎร

ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาทในกองทัพและแสดงออกถึงความใฝ่ฝันในการปฏิรูปประเทศมาตั้งแต่ก่อน 2475 คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ผู้มีความคิดวิพากษ์วิจารณ์ระบบเก่าและเคยเป็นที่จับตาของราชสำนักเองในฐานะ “ผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง” ด้วยซ้ำ

จนถึงขั้นที่ว่า ในวันที่คณะราษฎรทำการยึดอำนาจในรุ่งเช้า 24 มิถุนายน 2475 ราชสำนักยังเข้าใจผิดว่าหัวหน้าคณะราษฎรคือพระองค์เจ้าบวรเดช ไม่ใช่พระยาพหลพลพยุหเสนา หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม

จากผู้ใฝ่ปฏิรูป สู่ผู้นำกบฏ: ความพลิกผันของบวรเดช
พระองค์เจ้าบวรเดช ในฐานะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เคยรับราชการใกล้ชิดราชสำนักและเป็นบุคคลมีอิทธิพลในกองทัพสมัยรัชกาลที่ 6 และ 7 เคยมีแนวคิดที่ต้องการปรับปรุงประเทศให้ก้าวหน้ามาก่อนใครในหมู่ขุนนางร่วมสมัย จนเคยถูกกล่าวขานว่าเป็น “เสรีนิยมในเครื่องแบบ” คนหนึ่ง

ทว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง กลับเป็นพระองค์เจ้าบวรเดชเสียเองที่ไม่อาจยอมรับความเคลื่อนไหวของคณะราษฎรได้ เพราะทรงเห็นว่ารัฐบาลหลัง 2475 นั้นกำลังพาประเทศเข้าสู่ความโกลาหล ขาดความเคารพต่อสถาบัน และใช้อำนาจรัฐโดยปราศจากความรับผิดชอบ จึงนำไปสู่การตัดสินใจของพระองค์ในปี 2476 ที่จะนำกองทัพบางส่วนออกทำการ "กบฏบวรเดช" โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อกอบกู้ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

ข้อกล่าวหาต่อรัชกาลที่ 7: เกมโต้กลับของการเมืองใหม่
ท่ามกลางความรุนแรงและความวุ่นวายที่ตามมา รัฐบาลของคณะราษฎรนำโดยพระยาพหลฯได้กล่าวหาว่า รัชกาลที่ 7 ทรงอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนบวรเดช ข้อกล่าวหานี้มีน้ำหนักอยู่ช่วงหนึ่งโดยเฉพาะในระดับสื่อและวงการทหารที่ใกล้ชิดกับคณะราษฎร โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานเงินจำนวน 200,000 บาทให้แก่กองกำลังบวรเดช”

แต่เมื่อพิจารณาในเชิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กลับพบว่าข้อกล่าวหานี้ ไม่สามารถยืนยันได้ด้วยเอกสารที่เชื่อถือได้ และนักวิชาการจำนวนมาก รวมถึงเอกสารจากสำนักพระราชวังและราชเลขาธิการในเวลานั้น ต่างยืนยันว่าพระองค์ “ไม่ทรงเกี่ยวข้องโดยตรง” กับการกบฏแต่อย่างใด

รัชกาลที่ 7: ความเป็นกลางอันน่าชื่นชม
ในช่วงเหตุการณ์กบฏบวรเดช พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพำนักอยู่ที่หัวหิน ไม่ได้เสด็จไปยังพื้นที่ความขัดแย้ง และทรงมีพระราชดำรัสหลายครั้งผ่านราชเลขาธิการแสดงจุดยืนว่า ไม่ทรงเลือกข้าง และขอให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงและหาทางเจรจา

พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่สนับสนุนการใช้กำลัง แต่ยังทรง เสนอพระองค์เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย หากคู่ขัดแย้งยินดีเปิดใจ

แนวทางของพระองค์จึงชัดเจนว่า ทรงวางพระองค์ไว้เหนือความขัดแย้ง และยังคงยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยเห็นชอบด้วยตั้งแต่แรก

บทสรุป: การป้ายสีที่ไม่อาจลบพระบารมี

เหตุการณ์กบฏบวรเดชและข้อกล่าวหาที่ตามมานั้น เป็นผลพวงของเกมการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านที่ตึงเครียด ฝ่ายรัฐพยายามลดทอนความน่าเชื่อถือของสถาบัน เพื่อรักษาอำนาจของตน และใช้อารมณ์ชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการปลุกระดมประชาชน

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ประวัติศาสตร์ได้ชำระข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่า

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับกบฏบวรเดช และทรงปฏิบัติพระองค์อย่างมีเกียรติ ในฐานะประมุขของชาติที่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชน

พระองค์จึงมิใช่เพียง “กษัตริย์ผู้สละราชบัลลังก์”

แต่คือ “กษัตริย์นักประชาธิปไตย” ผู้วางรากฐานแห่งความคิดให้ประเทศไทยเดินหน้าไปด้วยสติ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นวันครบรอบ 93 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย  ทีมงาน 2475 รุ่งอรุณเหตุการณ์ปฏิวัติ ได้จัดทำหนังสือการ์ตูนปกใหม่(jacket) เพื่อ เทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ผู้เป็นศูนย์รวมใจคนไทยในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองและเป็นผู้บุกเบิกประชาธิปไตยที่แท้จริง

ผู้ใดสนใจหนังสือการ์ตูน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ปกหุ้มเพื่อเทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 7 สามารถติดตามข้อมูลและสั่งซื้อได้ที่ https://www.facebook.com/share/1AnBbfHkaE/

‘กัมพูชา’ เผชิญ 3 วิกฤตหลังปิดด่านประชดไทย โรคระบาด – พลังงาน - เสื่อมศรัทธาทางการทูต

(23 มิ.ย. 68) กัมพูชากำลังเข้าสู่ “สามวิกฤต” ซ้อน - สุขภาพ พลังงาน และศรัทธาระหว่างประเทศ หลังปิดด่านประชดไทย

ณ เวลานี้ กัมพูชากำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้านพร้อมกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จนอาจกล่าวได้ว่าประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ “สามวิกฤตรุมเร้า” ซึ่งประกอบด้วยภัยสาธารณสุข ภัยเศรษฐกิจ และภัยทางการทูตอย่างรุนแรง

1. ไข้หวัดนกระบาดหนัก – ชายแดนไทย–กัมพูชาส่อปิดยาว
สถานการณ์ไข้หวัดนกในกัมพูชากำลังทวีความรุนแรง โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ติดต่อสู่คนได้ ทำให้อัตราการตายสูงเกิน 50% ในหลายกรณี (เช่น H5N1)มีความเป็นไปได้สูงครับว่า ภาครัฐของไทยมีแนวโน้มจะพิจารณาปิดด่านชายแดนเพื่อจำกัดการแพร่ระบาด ถ้าเกิดขึ้นไม่เพียงแต่กระทบแรงงานข้ามชาติ แต่ยังทำให้เศรษฐกิจชายแดนของกัมพูชาแทบหยุดชะงักไปยาวๆอีกสักพักนึงเลยครับ

2. วิกฤตน้ำมัน – ราคาพุ่งจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ
จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงแบบฉับพลัน กัมพูชาในฐานะประเทศที่พึ่งพาน้ำมันนำเข้าเกือบทั้งหมดต้องรับผลเต็ม ๆ โดยเฉพาะเมื่อชายแดนไทยที่เคยเป็นเส้นทางลำเลียงพลังงานทางบกกลับมีแนวโน้มจะปิดตามมาตรการสาธารณสุข วิกฤตพลังงานจึงกลายเป็นวิกฤตต้นทุนชีวิตของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้เนี่ยมือถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดโดยกัมพูชาโดยตรงเพราะว่าคนที่ออกนโยบายสกัดกั้นน้ำเป็นน้ำมันจากไทยนั้นก็ไม่ออกเลยรัฐบาลกัมพูชาซึ่งเพิ่งประกาศใช้ไปเมื่อวานนี้เอง

3. เสียหน้าในเวทีระหว่างประเทศ – พฤติกรรมทางการทูตสะท้อนความไม่เป็นมืออาชีพ
แม้รัฐบาลกัมพูชาจะพยายามใช้การเปิดคลิปเสียงโจมตีผู้นำไทยเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ตกต่ำในสายตานานาชาติ การนำข้อมูลลับทางการทูตออกมาเปิดเผยเพื่อหวังผลทางการเมืองภายใน ถือเป็นการทำลายความเชื่อถือของระบบการทูตระหว่างประเทศโดยตรง ประเทศใดที่ไม่เคารพหลักการพื้นฐานของการทูต ย่อมถูกมองว่า “ไม่สามารถไว้วางใจได้”

เรื่องนี้อย่าทำให้เห็นภาพชัดว่าฮุนเซนกำลังเผชิญกับการสูญเสียภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะการทำลายมิตรภาพที่ยาวนานกว่าหลาย 10 ปีเพียงเพื่อการเอาชนะในสรภูมิการเมืองเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

บทสรุป
ในขณะที่ประชาคมโลกเผชิญกับความผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์ กัมพูชากลับเผชิญ “ไฟสามด้าน” พร้อมกัน ทั้งโรคระบาด วิกฤตพลังงาน และความเสื่อมศรัทธาทางการทูต

คำถามสำคัญคือ—ผู้นำกัมพูชาจะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร โดยไม่ยิ่งซ้ำเติมประชาชน และไม่พาประเทศให้ถลำลึกสู่ความโดดเดี่ยวทางการเมืองมากไปกว่านี้?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top