ร.7 กับข้อกล่าวหาอยู่เบื้องหลัง ‘กบฏบวรเดช’ ความเข้าใจผิดและเกมการเมืองหลังปี 2475
(24 มิ.ย. 68) ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คือรอยต่อสำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และผู้ที่ตกอยู่ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากทั้งสองฝั่งของอำนาจ คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ผู้ซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มปฏิรูปใหม่อย่างคณะราษฎร
ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาทในกองทัพและแสดงออกถึงความใฝ่ฝันในการปฏิรูปประเทศมาตั้งแต่ก่อน 2475 คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ผู้มีความคิดวิพากษ์วิจารณ์ระบบเก่าและเคยเป็นที่จับตาของราชสำนักเองในฐานะ “ผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง” ด้วยซ้ำ
จนถึงขั้นที่ว่า ในวันที่คณะราษฎรทำการยึดอำนาจในรุ่งเช้า 24 มิถุนายน 2475 ราชสำนักยังเข้าใจผิดว่าหัวหน้าคณะราษฎรคือพระองค์เจ้าบวรเดช ไม่ใช่พระยาพหลพลพยุหเสนา หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
จากผู้ใฝ่ปฏิรูป สู่ผู้นำกบฏ: ความพลิกผันของบวรเดช
พระองค์เจ้าบวรเดช ในฐานะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เคยรับราชการใกล้ชิดราชสำนักและเป็นบุคคลมีอิทธิพลในกองทัพสมัยรัชกาลที่ 6 และ 7 เคยมีแนวคิดที่ต้องการปรับปรุงประเทศให้ก้าวหน้ามาก่อนใครในหมู่ขุนนางร่วมสมัย จนเคยถูกกล่าวขานว่าเป็น “เสรีนิยมในเครื่องแบบ” คนหนึ่ง
ทว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง กลับเป็นพระองค์เจ้าบวรเดชเสียเองที่ไม่อาจยอมรับความเคลื่อนไหวของคณะราษฎรได้ เพราะทรงเห็นว่ารัฐบาลหลัง 2475 นั้นกำลังพาประเทศเข้าสู่ความโกลาหล ขาดความเคารพต่อสถาบัน และใช้อำนาจรัฐโดยปราศจากความรับผิดชอบ จึงนำไปสู่การตัดสินใจของพระองค์ในปี 2476 ที่จะนำกองทัพบางส่วนออกทำการ "กบฏบวรเดช" โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อกอบกู้ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ข้อกล่าวหาต่อรัชกาลที่ 7: เกมโต้กลับของการเมืองใหม่
ท่ามกลางความรุนแรงและความวุ่นวายที่ตามมา รัฐบาลของคณะราษฎรนำโดยพระยาพหลฯได้กล่าวหาว่า รัชกาลที่ 7 ทรงอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนบวรเดช ข้อกล่าวหานี้มีน้ำหนักอยู่ช่วงหนึ่งโดยเฉพาะในระดับสื่อและวงการทหารที่ใกล้ชิดกับคณะราษฎร โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานเงินจำนวน 200,000 บาทให้แก่กองกำลังบวรเดช”
แต่เมื่อพิจารณาในเชิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กลับพบว่าข้อกล่าวหานี้ ไม่สามารถยืนยันได้ด้วยเอกสารที่เชื่อถือได้ และนักวิชาการจำนวนมาก รวมถึงเอกสารจากสำนักพระราชวังและราชเลขาธิการในเวลานั้น ต่างยืนยันว่าพระองค์ “ไม่ทรงเกี่ยวข้องโดยตรง” กับการกบฏแต่อย่างใด
รัชกาลที่ 7: ความเป็นกลางอันน่าชื่นชม
ในช่วงเหตุการณ์กบฏบวรเดช พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพำนักอยู่ที่หัวหิน ไม่ได้เสด็จไปยังพื้นที่ความขัดแย้ง และทรงมีพระราชดำรัสหลายครั้งผ่านราชเลขาธิการแสดงจุดยืนว่า ไม่ทรงเลือกข้าง และขอให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงและหาทางเจรจา
พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่สนับสนุนการใช้กำลัง แต่ยังทรง เสนอพระองค์เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย หากคู่ขัดแย้งยินดีเปิดใจ
แนวทางของพระองค์จึงชัดเจนว่า ทรงวางพระองค์ไว้เหนือความขัดแย้ง และยังคงยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยเห็นชอบด้วยตั้งแต่แรก
บทสรุป: การป้ายสีที่ไม่อาจลบพระบารมี
เหตุการณ์กบฏบวรเดชและข้อกล่าวหาที่ตามมานั้น เป็นผลพวงของเกมการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านที่ตึงเครียด ฝ่ายรัฐพยายามลดทอนความน่าเชื่อถือของสถาบัน เพื่อรักษาอำนาจของตน และใช้อารมณ์ชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการปลุกระดมประชาชน
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ประวัติศาสตร์ได้ชำระข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่า
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับกบฏบวรเดช และทรงปฏิบัติพระองค์อย่างมีเกียรติ ในฐานะประมุขของชาติที่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชน
พระองค์จึงมิใช่เพียง “กษัตริย์ผู้สละราชบัลลังก์”
แต่คือ “กษัตริย์นักประชาธิปไตย” ผู้วางรากฐานแห่งความคิดให้ประเทศไทยเดินหน้าไปด้วยสติ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง
วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นวันครบรอบ 93 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย ทีมงาน 2475 รุ่งอรุณเหตุการณ์ปฏิวัติ ได้จัดทำหนังสือการ์ตูนปกใหม่(jacket) เพื่อ เทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ผู้เป็นศูนย์รวมใจคนไทยในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองและเป็นผู้บุกเบิกประชาธิปไตยที่แท้จริง
ผู้ใดสนใจหนังสือการ์ตูน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ปกหุ้มเพื่อเทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 7 สามารถติดตามข้อมูลและสั่งซื้อได้ที่ https://www.facebook.com/share/1AnBbfHkaE/
เรื่อง : ปราชญ์ สามสี