Sunday, 6 October 2024
COLUMNIST

‘ผู้ค้ำประกันรถยนต์’ ต้องรู้!! กรณี ‘ผู้เช่าซื้อ’ ไม่ส่งค่างวด หากถูกฟ้อง ต้อง ‘ตั้งสติ-ไปศาลตามนัด’ รักษาสิทธิตนเอง

การเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ และเกื้อกูลกัน เป็นจุดเด่นที่ดีอย่างหนึ่งของสังคมไทย และคนไทยมักจะถูกสอนให้รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องต่าง ๆ โดยบางครั้งก็ไม่ได้คิดให้รอบคอบว่า ตนเองจะได้รับผลร้ายจากความมีน้ำใจนั้น

การขอให้ช่วย ‘ค้ำประกันหนี้’ ให้ เป็นสถานการณ์ซึ่งหลายท่านเคยประสบมากับตนเอง หลีกเลี่ยงได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วแต่ทักษะการเอาตัวรอดของแต่ละบุคคล

กรณีที่จะหยิบยกมาบอกเล่าในบทความนี้ คือ ‘ผู้ค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อรถยนต์’ ซึ่งมักพบว่าตนเองถูกทวงหนี้จากไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินที่ให้เช่าซื้อรถยนต์ ทั้งทางโทรศัพท์ หรือถูกทวงถามเป็นหนังสือไปถึงที่พักอาศัย ทำให้เกิดความเดือดร้อน อับอาย ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง

เมื่อผู้เช่าซื้อรถยนต์ ผิดนัดไม่จ่ายค่างวด เจ้าหนี้จะเริ่มทวงถามไปที่ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน ซึ่งในความเป็นจริง ส่วนใหญ่แล้วผู้เช่าซื้อมักจะหลบหน้า ปิดโทรศัพท์หนีหาย ปล่อยให้ผู้ค้ำประกันรับเคราะห์ตามลำพัง

ต่อมาหากถูกฟ้องเป็นคดี ให้ผู้ค้ำประกัน ‘ตั้งสติ’ ให้ดี และอ่านคำฟ้องให้ละเอียด

ให้ดูว่าถูกฟ้องที่ศาลไหน ต้องไปขึ้นศาลวัน เวลาใด ลายเซ็นในสัญญาค้ำประกันใช่ของเราหรือไม่ 

ทำสัญญากันตั้งแต่ปี พ.ศ.ไหน นับถึงวันฟ้องเกินอายุความ 10 ปี หรือไม่

เนื้อหาคำฟ้องดังกล่าว เป็นการฟ้องเรียกรถคืน หรือการฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์กรณีเจ้าหนี้ได้รถคืนไปแล้ว แต่เป็นการนำรถไปประมูลขายแล้วได้รับความเสียหาย หรือที่เรียกว่า ‘ขายขาดทุน’

มีการทวงถามมายังผู้ค้ำประกันเมื่อใด ภายในกำหนด 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลูกหนี้เบี้ยวค่างวดหรือไม่ ซึ่งถ้าเจ้าหนี้ทวงถามเกินกำหนดเวลาดังกล่าว ผู้ค้ำจะหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดค่าดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และค่าขาดประโยชน์ 

แต่ถ้าท่านอ่านฟ้องแล้วไม่เข้าใจ อาจจะไปขอคำปรึกษาจากผู้รู้หรือทนายความ

สิ่งสำคัญคือ เมื่อพบว่าตนเอง ถูกฟ้องเป็นคดี อย่าเพิกเฉย ควรไปศาลตามวันนัดเพื่อรักษาสิทธิของตนเอง

ในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล มีขั้นตอนการไกล่เกลี่ย ให้ความเป็นธรรม แก่ลูกหนี้ ทุกขั้นตอน 

ขอเพียงท่านแสดงตัว และไปศาลตามกำหนดนัด เพื่อปกป้องและรักษาสิทธิของตนเอง

อย่าหนี้ อย่าเงียบเด็ดขาด!!

เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ ‘Mỹ Lai’ โศกนาฏกรรมแห่งสงครามเวียดนาม จากน้ำมือของ ‘ทหารอเมริกัน’ และการปกปิดความผิดโดยกองทัพสหรัฐฯ

‘Mỹ Lai’ เหตุการณ์สังหารหมู่โดยทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ

มีภาพยนตร์ Hollywood มากมายที่คอยตอกย้ำให้คนชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นอดีตศัตรู ต้องตกเป็นผู้ร้ายมาโดยตลอด ไม่ว่าภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามต่าง ๆ การก่อการร้าย ฯลฯ โดยผู้ร้ายก็มักจะเป็นต่างชาติ เช่น เยอรมนี, ญี่ปุ่น, โซเวียต, อาหรับ, ตาลีบัน ฯลฯ แม้กระทั่งสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ในขณะนี้ สื่อตะวันตกต่างก็เสนอข่าวเพียงด้านเดียว กล่าวหาให้ร้ายปาเลสไตน์เป็นผู้ร้ายแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่ชาวปาเลสไตน์เป็นผู้ถูกกระทำโดยกองทัพอิสราเอลแท้ ๆ

เรื่องของการสังหารหมู่ที่ ‘Mỹ Lai’ เป็นการสังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามใต้ที่ไม่มีอาวุธมากถึง 504 คน โดยทหารสังกัดกองทัพบกสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1968 ในระหว่างสงครามเวียดนาม Mỹ Lai เป็นหมู่บ้านหนึ่งของตำบล Son My ตั้งอยู่ในจังหวัด Quang Ngai ห่างจากตัวจังหวัด Quang Ngai ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 11 กม. พื้นที่นี้ได้รับการขนานนามโดยทหารสหรัฐฯ ว่า ‘Pinkville’ เนื่องจากมีสีแดงที่ใช้บ่งบอกถึงพื้นที่ Mỹ Lai ที่มีประชากรหนาแน่นบนแผนที่ทางทหาร

เมื่อ ‘กองร้อย Charlie’ แห่งกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 20 กองพลทหารราบที่ 11 มาถึงเวียดนามในเดือนธันวาคม 1967 พื้นที่ ‘Pinkville’ ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘แหล่งซ่องสุม’ ของเวียดกงที่ใช้ในการหลบซ่อน ในเดือนมกราคม 1968 กองร้อย Charlie เป็น 1 ใน 3 กองร้อยที่ได้รับมอบหมายให้ทำลายกองพันที่ 48 ซึ่งเป็นหน่วยรบของเวียดกงที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งหน่วยดังกล่าวปฏิบัติการในจังหวัด Quang Ngai ตลอดเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม ทหารสังกัดกองร้อย Charlie ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดและกับดักไปหลายสิบคน ทั้งยังประสบความล้มเหลวในการสู้รบกับกองพันที่ 48 หลังจากความพ่ายแพ้ของการโจมตีใน ‘ปฏิบัติการตรุษญวน’ (Tet) เวียดกงได้กลับมาใช้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจร และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงกับกองกำลังสหรัฐฯ

‘ร้อยเอก Ernest Medina’ ผู้บังคับกองร้อย Charlie

หน่วยข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลว่า กองพันเวียดกงที่ 48 ได้เข้าไปซ่อนตัวในพื้นที่ของหมู่บ้าน Mỹ Lai (แต่ในความเป็นจริงแล้วกองพันเวียดกงที่ 48 ได้ฝังตัวในที่ราบสูง Quang Ngai ทางตะวันตก ซึ่งอยู่ห่างออกไปมากกว่า 65 กม.)

ในการบรรยายสรุปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ‘ร้อยเอก Ernest Medina’ ผู้บังคับกองร้อย Charlie ได้บอกกับทหารของเขาว่า ในที่สุดพวกเขาก็จะได้รับโอกาสสู้รบกับศัตรูที่หลบหนีพวกเขามานานกว่าหนึ่งเดือน ด้วยเชื่อว่า พลเรือนชาวเวียดนามใต้ได้อพยพออกจากพื้นที่ของหมู่บ้าน Mỹ Lai ไปยังเขตเมือง Quang Ngai หมดแล้ว เขาจึงสั่งว่า “ใครก็ตามที่ยังอยู่ใน Mỹ Lai จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสมาชิกหรือแนวร่วมของเวียดกง ภายใต้กฎการสู้รบเหล่านี้ ทหารมีอิสระที่จะยิงใครหรืออะไรก็ได้”

นอกจากนี้ กองทหารของกองร้อย Charlie ยังได้รับคำสั่งให้ทำลายพืชผลและสิ่งปลูกสร้าง และฆ่าปศุสัตว์ทั้งหมดด้วย

‘ร้อยโท William Calley’ ผู้บังคับหมวดที่ 1 กองร้อย Charlie

ก่อนเวลา 07.30 น. ของวันที่ 16 มีนาคม 1968 ตำบล Son My ถูกปืนใหญ่ของสหรัฐฯ ถล่มอย่างหนัก เพื่อเคลียร์พื้นที่ลงจอดสำหรับเฮลิคอปเตอร์ของกองร้อย Charlie แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงกลายเป็นการบังคับพลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่ทยอยออกจากพื้นที่ให้กลับไปที่หมู่บ้าน Mỹ Lai เพื่อหาที่กำบัง

ต่อมา หมวดที่ 1 ของกองร้อย Charlie นำโดย ‘ร้อยโท William Calley’ ได้บุกเข้าไปทางตะวันตกของหมู่บ้านขนาดเล็กที่รู้จักกันในชื่อ ‘Xom Lang’ แต่ถูกทำเครื่องหมายระบุว่า เป็นหมู่บ้าน Mỹ Lai บนแผนที่ทางทหารของสหรัฐฯ เวลา 7.50 น. ส่วนที่เหลือของกองร้อย Charlie ลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว และร้อยโท Calley นำทหารหมวดที่ 1 ไปทางทิศตะวันออกผ่านหมู่บ้าน Mỹ Lai ไป

แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบการต่อต้านเลย แต่ทหารหมวดที่ 1 ก็เริ่มสังหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้ตามอำเภอใจ ในชั่วโมงถัดมา กลุ่มของผู้หญิง เด็ก และชายสูงอายุก็ถูกล้อมและยิงทิ้งในระยะประชิด นอกจากนั้นแล้วทหารสหรัฐฯ ยังทำการข่มขืนหญิงสาวอีกหลายคน

หมวดที่ 2 ของกองร้อย Charlie เคลื่อนพลขึ้นเหนือจากเขตลงพื้น สังหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้ไปอีกหลายสิบคน ในขณะที่หมวดที่ 3 ที่ตามมาก็ได้จัดการเผาทำลายบ้านเรือนที่เหลืออยู่ของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ และผู้รอดชีวิตที่เหลือถูกกราดยิง เวลา 09.00 น. ร้อยโท Calley สั่งประหารพลเรือนชาวเวียดนามใต้มากถึง 150 คน โดยต้อนคนเหล่านั้นลงไปในคูน้ำ

ทหารสังกัดกองร้อย Charlie จัดการเผาทำลายบ้านเรือนที่ Mỹ Lai

‘จ่า Ron Haeberle’ ช่างภาพของกองทัพบกสหรัฐฯ สังกัดกองร้อย Charlie บันทึกเหตุการณ์ในวันนั้น โดยเขาใช้กล้องถ่ายภาพขาวดำสำหรับบันทึกอย่างเป็นทางการของกองทัพบก แต่ถ่ายเป็นสีด้วยกล้องส่วนตัวของเขา ภาพขาวดำหลายภาพเป็นภาพทหารขณะที่กำลังซักถามนักโทษ ค้นทรัพย์สิน และเผากระท่อม แม้ว่าการทำลายทรัพย์สินจะละเมิดคำสั่งบัญชาการของกองทัพสหรัฐฯ แต่การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องปกติของภารกิจค้นหาและทำลาย และไม่ได้เป็นหลักฐานโดยตรงในกรณีอาชญากรรมสงคราม

ภาพถ่ายสีส่วนตัวของ Haeberle ซึ่งเขาไม่ได้ส่งต่อให้กองทัพบก ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร ‘Cleveland Plain Dealer and Life’ ในเวลาต่อมา ภาพหนึ่งแสดงให้เห็นร่องรอยที่เกลื่อนไปด้วยศพผู้หญิง เด็ก และทารกที่เสียชีวิต และอีกภาพหนึ่งเป็นภาพของผู้หญิงและเด็กที่กำลังหวาดกลัวกลุ่มหนึ่ง ในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกยิง ภาพถ่ายเหล่านี้กระตุ้นการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนาม และจะกลายเป็นชุดภาพเกี่ยวกับสงครามเวียดนามที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด

‘จ่า Hugh Thompson’ นักบินเฮลิคอปเตอร์ผู้ยุติการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

มีรายงานว่าการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai สิ้นสุดลงหลังจากที่ ‘จ่า Hugh Thompson’ ซึ่งเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกสหรัฐฯ ในภารกิจลาดตระเวน เขาได้นำเฮลิคอปเตอร์ลงจอดระหว่างทหารกับชาวบ้านที่กำลังล่าถอย และขู่ว่าจะเปิดฉากยิงทหารกองร้อย Charlie หากพวกเขายังคงโจมตีพลเรือนชาวเวียดนามใต้ต่อไป

เขาบอกว่า “เราบินไปมาเรื่อย ๆ… และในเวลาไม่นานนักเราก็เริ่มสังเกตเห็นศพจำนวนมากขึ้น ทุกที่ที่เรามอง เราจะเห็นศพเหล่านี้เป็นเด็กทารก เด็กอายุ 2-3 ขวบ และ 4-5 ขวบ ผู้หญิง ผู้ชายที่แก่มาก ไม่ใช่คนในวัยฉกรรจ์แต่อย่างใด” Thompson กล่าวในเวทีการสัมมนา ‘เหตุการณ์ Mỹ Lai’ ที่มหาวิทยาลัยทูเลน เมื่อปี 1994

Thompson และลูกเรือของเขานำผู้รอดชีวิตหลายสิบคนบินไปรับการรักษาพยาบาล ในปี 1998 Thompson และลูกเรืออีก 2 คนได้รับเหรียญรางวัลทางทหาร ซึ่งเป็นเหรียญรางวัลขั้นสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ สำหรับความกล้าหาญที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรงกับศัตรู

‘พันตรี Colin Powell’ ในเวียดนามใต้

เมื่อการสังหารหมู่ Mỹ Lai สิ้นสุดลง มีผู้เสียชีวิต 504 ราย ในบรรดาเหยื่อเป็นผู้หญิง 182 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ 17 คน และเด็ก 173 คน รวมถึงทารก 56 คน เมื่อทราบข่าวการสังหารหมู่ซึ่งจะทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาว เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่บังคับบัญชากองร้อย Charlie และกองพลที่ 11 จึงพยายามมองข้ามเหตุนองเลือดนี้ทันที

อย่างไรก็ตาม กองทัพบกสหรัฐฯ ก็ได้เริ่มการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการภายใน หนึ่งในผู้สืบสวนภายในของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับการสังหารหมู่ Mỹ Lai คือ ‘พันตรี Colin Powell’ ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานคณะเสนาธิการร่วม และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศภายใต้ ‘ประธานาธิบดี George W. Bush’

ตามรายงานของ Powell ระบุว่า “แม้ว่าอาจมีบางกรณีของการปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อพลเรือนและนักโทษเชลยศึก แต่สิ่งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงทัศนคติทั่วไปของทหารทั้งกองพล”

สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องความโหดร้ายที่กระทำโดยทหารอเมริกัน Powell กล่าวว่า “ในการหักล้างโดยตรงต่อการแสดงภาพนี้คือความจริงที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกองอเมริกากับชาวเวียดนามนั้นดีเยี่ยม” คำกล่าวนี้ ทำให้นักวิจารณ์หลายคนเยาะเย้ยว่าเป็น ‘การล้างบาป’ และกล่าวหาว่า Powell เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมที่ช่วยกันปกปิดการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

‘Ronald Ridenhour’ ผู้เปิดเผยเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

การปกปิดการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งทหารในกองพลที่ 11 ซึ่งเคยได้ทราบรายงานการสังหารหมู่ ซึ่งเขาไม่ได้เข้าร่วม ได้เริ่มรณรงค์เพื่อให้เหตุการณ์ต่าง ๆ กระจ่างขึ้น หลังจากเขียนจดหมายถึง ‘ประธานาธิบดี Richard M. Nixon’ รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ ประธานคณะเสนาธิการร่วม และสมาชิกรัฐสภาหลายคน โดยไม่มีการตอบกลับ ในที่สุด Ridenhour ก็ให้สัมภาษณ์กับ Seymour Hersh นักข่าวสืบสวนซึ่งรายงานเรื่องนี้ในเดือนพฤศจิกายน 1969 ท่ามกลางความโกลาหลระหว่างประเทศและการประท้วงสงครามเวียดนาม

ซึ่งมีการติดตามการเปิดเผยของ Ridenhour กองทัพบกสหรัฐฯ สั่งให้มีการสอบสวนเป็นพิเศษเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai และความพยายามปกปิดเหตุการณ์ดังกล่าวในภายหลัง

การสอบสวนนำโดย ‘พลโท William Peers’ ซึ่งมีการเผยแพร่รายงานในเดือนมีนาคม 1970 ได้เสนอให้ตั้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ทหารไม่น้อยกว่า 28 นายที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดการสังหารหมู่ การพิจารณาคดี Mỹ Lai เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1970 ต่อมา กองทัพได้ตั้งข้อหาทหารเพียง 14 คน รวมทั้งร้อยโท William Calley, ร้อยเอก Ernest Medina และพันเอก Oran Henderson ในข้อหาก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ Mỹ Lai

‘พลตรี Julian Ewell’ เจ้าของฉายา “คนขายเนื้อแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง”

ทุกคนพ้นผิดยกเว้นร้อยโท Calley ซึ่งถูกตัดสินว่า ‘มีความผิดในข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าจากการสั่งยิง’ แม้ว่าเขาจะโต้แย้งว่าเขาเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของร้อยเอก Medina ผู้บังคับบัญชาก็ตาม ในเดือนมีนาคม 1971 ร้อยโท Calley ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ในฐานะผู้สั่งการในการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai

หลายคนมองว่า ร้อยโท Calley เป็นแพะรับบาป และเขาอุทธรณ์ลดโทษเหลือ 20 ปี และต่อมาได้ลดโทษเหลือเพียง 10 ปี และเขาถูกปล่อยตัวในปี 1974 หลังจากถูกจำคุกเพียง 3 ปีเท่านั้น

การสืบสวนในเวลาต่อมาเผยให้เห็นว่า การสังหารที่ Mỹ Lai ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเหตุการณ์เดียว ความโหดร้ายอื่น ๆ เช่น การสังหารหมู่พลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่ Mỹ Khe ที่คล้ายกันนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ปฏิบัติการทางทหารฉาวโฉ่ที่เรียกว่า ‘Speedy Express’ คร่าชีวิตพลเรือนชาวเวียดนามใต้ไปหลายพันคน จนกระทั่งพลเรือนชาวเวียดนามใต้ที่อาศัยอยู่บริเวนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงได้ให้ฉายา ‘พลตรี Julian Ewell’ ผู้บัญชาการในปฏิบัติการครั้งนั้นว่า “คนขายเนื้อแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง”

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 การสนับสนุนการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในเวียดนามลดน้อยลง เนื่องจากฝ่ายบริหารของ ‘ประธานาธิบดี Richard M. Nixon’ ที่ได้ดำเนินนโยบาย ‘การทำให้เป็นเวียดนาม’ (Vietnamization) ซึ่งรวมถึงการถอนกำลังทหารและโอนการควบคุมการปฏิบัติการภาคพื้นดินไปยังกองทัพเวียดนามใต้ ในบรรดากองทหารอเมริกันที่ยังอยู่ในเวียดนาม ล้วนแล้วแต่มีขวัญกำลังใจต่ำ มีความโกรธแค้นและความคับข้องใจสูง มีการใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์เพิ่มในหมู่ทหารมากขึ้นเรื่อย ๆ และรายงานอย่างเป็นทางการในปี 1971 ประมาณการว่าทหารสหรัฐฯ 1 ใน 3 หรือมากกว่านั้นติดยาเสพติด

การเปิดเผยเรื่องราวของการสังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารอเมริกันตกต่ำลดลงไปอีก เมื่อบรรดาทหารอเมริกันในเวียดนามใต้ต่างพากันสงสัยว่า ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาปกปิดความโหดร้ายอื่นใดอีก

ในสหรัฐฯ ความโหดร้ายของการสังหารหมู่ Mỹ Lai และความพยายามของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการปกปิดเหตุการณ์ดังกล่าว ยิ่งทำให้ความรู้สึกต่อต้านสงครามรุนแรงขึ้น และเพิ่มความขมขื่นต่อการปรากฏตัวของกองทัพสหรัฐฯ ในเวียดนาม ต่างจากเหตุการณ์สงครามอื่น ๆ ที่ทั้งศัตรูและอดีตศัตรูของสหรัฐฯ มักกลายเป็นผู้ร้ายในภาพยนตร์ Hollywood ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วน Mỹ Lai เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามใต้ 504 ศพ โดยทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ ไม่เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Hollywood เลย จะมีก็เพียงแต่ถูกนำมาสร้างเป็นสารคดีเท่านั้น

และในการแสดง The Lieutenant เป็นร็อกโอเปราที่มีทั้งหนังสือ ดนตรี และเนื้อร้องโดย Gene Curty, Nitra Scharfman และ Chuck Strand ได้เสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นศาลทหารของร้อยโท William Calley ในช่วงสงครามเวียดนาม โดยแสดงบนเวทีละครบรอดเวย์ ในปี 1975 และ ‘Mỹ Lai Four’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์นั้นถูกสร้างโดยผู้สร้างและทีมงานชาวอิตาลี ไม่ใช่ผู้สร้างและทีมงานชาวอเมริกันจาก Hollywood แต่อย่างใด

มีการสร้างอนุสรณ์สถานเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ Mỹ Lai ณ ตำบล Sơn Mỹ และสวนสันติภาพ Mỹ Lai ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของเหตุการณ์สังหารหมู่ เมื่อ 16 มีนาคม 1998 สวนสันติภาพนี้อยู่ห่างจากสถานที่เกิดเหตุราว 2 กม. (1 ไมล์)

‘การละเมิดอำนาจศาล’ พฤติกรรมน่าละอายที่ไม่ควรกระทำ ‘วิวาท-โวยวาย-ดูหมิ่น-ฝ่าฝืนกฎ’ เสี่ยงนอนคุกนาน 6 เดือน

ประชาชนทั่วไป ถ้าไม่มีความจำเป็นจริง ๆ คงไม่มีใครอยากไปศาล ถึงขนาดมีคำกล่าวที่ว่า ‘ให้กินของไม่ดียังดีกว่าเป็นความหรือมีคดี’ อาจจะเพราะความเชื่อที่ว่า ไปศาลจะได้พบกับบรรยากาศที่น่ากลัว เข้มขลัง มีกฎระเบียบมากมาย หากไปเผลอทำผิดกฎต่าง ๆ ก็อาจจะมีความผิด

คำว่า ‘ศาล’ ในที่นี้มีความหมาย 2 อย่าง หมายถึงตัวผู้พิพากษา และยังหมายถึงสถานที่อันเป็นที่ตั้งของที่ทำการศาลยุติธรรม

การละเมิดอำนาจศาลนั้น หมายถึงการกระทำใด ๆ ที่ไปทำให้ เกิดความวุ่นวาย หรือความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งอาจจะเกิดภายในบริเวณศาล หรือเกิดขึ้นภายนอกบริเวณศาล แต่ส่งผลให้เกิดความวุ่นวาย หรือความไม่เรียบร้อยต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาล

กฎหมายเรื่องการละเมิดอำนาจศาล มีขึ้นเพื่อให้การใช้อำนาจตุลาการ มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และรวดเร็ว

โดยมีการกำหนดไว้ว่าศาลอาจออกข้อกำหนดสำหรับคู่ความหรือบุคคลที่มาอยู่ต่อหน้าศาล หรือการละเมิดอำนาจศาลของหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ เช่น การสั่งห้ามโฆษณา ซึ่งข้อความที่เกี่ยวข้องกับคดี ซึ่งอาจทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรม หากผู้ประพันธ์ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ฝ่าฝืนก็จะมีความผิด

บทลงโทษสำหรับข้อหาละเมิดอำนาจศาล มีทั้งการไล่ออกจากบริเวณศาล หรือลงโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน ปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรืออาจจะลงโทษทั้งสองวิธีการ 

อย่างไรก็ตามศาลอื่น ๆ เช่น ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลทหาร ต่างมีข้อกำหนดหรือกฎหมายในเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นการเฉพาะของแต่ละศาล แต่ก็มีหลักการคล้าย ๆ กันกับศาลยุติธรรม

ตัวอย่างของการกระทำที่ถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล เช่น อ้างว่าจะเอาเงินไปให้ผู้พิพากษา, นำยาบ้าไปส่งมอบให้ผู้ต้องหาในศาล, ฝ่าฝืนข้อกำหนดของศาล, พกพาอาวุธเข้าไปในบริเวณศาล, ทะเลาะวิวาทชกต่อยกันในห้องพิจารณาคดี, ลงข้อความในสิ่งพิมพ์เปรียบเปรยว่าผู้พิพากษาให้เลื่อนคดีโดยไม่เป็นธรรม, ปลอมลายมือชื่อมาขอประกันตัว ฯลฯ

เนื่องจากในบริเวณพื้นที่ศาลเป็นสถานที่ซึ่งประชาชนทั่วไปผู้มีอรรถคดีเดินทางมาเพื่อแสวงหาความยุติธรรมให้กับตนเอง ซึ่งถือเป็นสถานที่สำคัญ แม้เป็นสถานที่สาธารณะ แต่ก็ต้องมีกฎระเบียบ เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากมีการประพฤติตน ในบริเวณศาล ซึ่งมีลักษณะไม่เรียบร้อย ตะโกนด่าทอด้วยเสียงดัง อันมีลักษณะเป็นการสร้างความวุ่นวาย และมีผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป ก็อาจถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลได้ ตามที่กฎหมายกำหนด

‘Apollo-Plumbat’ 2 ปฏิบัติการลับของหน่วย ‘MOSSAD’ แห่งอิสราเอล ในการโจรกรรม ‘แร่ยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง’ ซึ่งใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์

‘Apollo’ และ ‘Plumbat’ ปฏิบัติการโจรกรรมยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง 
โดยอิสราเอล

‘อิสราเอล’ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง และเชื่อกันว่า อิสราเอลมีความสามารถในการปล่อยหัวรบนิวเคลียร์ได้มากมายหลายวิธีจากอากาศยาน ขีปนาวุธร่อนที่ปล่อยจากเรือดำน้ำ และขีปนาวุธพิสัยกลางถึงข้ามทวีปแบบ ‘Jericho’ ซึ่ง Revital ‘Tally’ Gotliv สส.หญิงอิสราเอล เรียกร้องให้นำมาใช้ถล่มฉนวน Gaza หวังให้กลายเป็น ‘วันโลกาวินาศ’ (Doomsday) ของชาวปาเลสไตน์ https://thestatestimes.com/post/2023101214

โดยคาดว่า อิสราเอลเมื่อเริ่มแรกที่มีอาวุธนิวเคลียร์พร้อมใช้งานได้นั้น น่าจะเป็นในช่วงปลายปีของ ค.ศ. 1966 หรือต้นปี ค.ศ. 1967 และทำให้อิสราเอลกลายเป็นชาติที่ 6 ของโลกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม อิสราเอลรักษานโยบาย ‘จงใจคลุมเครือ’ โดยไม่เคยปฏิเสธหรือยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ย้ำตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า “อิสราเอลจะไม่ใช่ประเทศแรกที่จะเปิดฉากใช้อาวุธนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง”

นอกจากนี้ อิสราเอลยังปฏิเสธที่จะลงนามใน ‘สนธิสัญญาว่าด้วยการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์’ (the Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons : NPT) แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากนานาชาติให้ลงนามก็ตาม โดยกล่าวว่าการลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวจะขัดต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ

‘กองทัพอากาศอิสราเอล’ เปิดฉากทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรัก
ใน ‘ปฏิบัติการ Opera’ ในปี ค.ศ. 1981

นอกจากนี้ อิสราเอลยังได้พัฒนาหลักการเริ่มต้นในการต่อต้านด้วยการชิงโจมตี โดยปฏิเสธไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค สามารถซื้อหรือผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองได้ กองทัพอากาศอิสราเอลเปิดฉากทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรัก ใน ‘ปฏิบัติการ Opera’ ในปี ค.ศ. 1981 และซีเรีย ใน ‘ปฏิบัติการ Orchard’ ในปี พ.ศ. 2007 ตามลำดับ และการใช้มัลแวร์ ‘Stuxnet’ ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านในปี พ.ศ. 2010 ซึ่งเชื่อว่าได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ในปี ค.ศ. 2019

อีกทั้ง อิสราเอลยังคงเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่เชื่อว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยกำหนดให้แผน Samson เป็นกลยุทธ์การป้องกันในการตอบโต้ครั้งใหญ่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในฐานะ ‘ทางเลือกสุดท้าย’ ต่อประเทศที่ส่งกองทัพมารุกราน และ/หรือ ทำลายอิสราเอล

‘Mordechai Vanunu’ ช่างเทคนิคผู้ที่เปิดเผยรายละเอียดของโครงการอาวุธนิวเคลียร์

อิสราเอลเริ่มโครงการนิวเคลียร์ไม่นานหลังจากประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1948 และด้วยความร่วมมือของฝรั่งเศส โดยอิสราเอลได้เริ่มสร้างศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ ‘Negev’ อย่างลับ ๆ ซึ่งเป็นโรงงานใกล้ ๆ กับเมือง Dimona ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และโรงงานปรับกระบวนการที่เกี่ยวข้องในปลายทศวรรษ 1950 ก่อนจะถูกเปิดเผยครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1986 โดย ‘Mordechai Vanunu’ ช่างเทคนิคที่เคยทำงานในศูนย์แห่งนี้และอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ไม่นานหลังจากนั้น Mordechai Vanunu ก็ถูกเจ้าหน้าที่ MOSSAD ลักพาตัวและถูกนำตัวกลับมาที่อิสราเอล ซึ่งเขาถูกตัดสินจำคุก 18 ปีในข้อหากบฏและจารกรรม

บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) 
เมือง Apollo และเมือง Parks Township

แต่สิ่งสำคัญที่อิสราเอลไม่สามารถหาได้เลย คือ วัตถุดิบหลักในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ ‘ยูเรเนียม’ ที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จึงเป็นที่มาของ 2 ปฏิบัติการโจรกรรมยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง โดย ‘หน่วย MOSSAD’ ของอิสราเอล

‘ปฏิบัติการ Apollo’ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1965 โดยบริษัทของสหรัฐอเมริกา บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) เมือง Apollo และเมือง Parks Township เขตชานเมืองพิตส์เบิร์ก มลรัฐเพนซิลวาเนีย ถูกสอบสวนในข้อหาสูญเสียสารยูเรเนียมที่มีสมรรถนะสูงไปราว 200–600 ปอนด์ (91–272 กิโลกรัม) โดยสงสัยว่าได้มีการยักย้ายเข้าสู่โครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล

‘Dr. Zalman Shapiro’ ประธานฯ บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC)

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 ถึง พ.ศ. 1980 สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) ได้ทำการสอบสวน Dr. Zalman Shapiro ประธานบริษัทฯ ในเรื่องการสูญหายของยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จำนวน 206 ปอนด์ (93 กิโลกรัม) Shapiro เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจและการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอิสราเอล รวมถึงได้รับสัญญาที่จะสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้อิสราเอลด้วย คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู, สำนักข่าวกรองกลาง (CIA), หน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ และผู้สื่อข่าวที่สอบสวนได้ดำเนินการสืบสวนในลักษณะเดียวกันนี้ แต่ก็ไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ เลย

การศึกษาของสำนักงานบัญชีทั่วไปเกี่ยวกับการสืบสวนที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 ระบุว่า “เราเชื่อว่าความพยายามร่วมกันอย่างทันท่วงที ในส่วนของหน่วยงานทั้ง 3 นี้ จะช่วยได้อย่างมาก และอาจช่วยแก้ปัญหาการเบี่ยงเบนความสนใจของ NUMEC ได้ หากพวกเขาต้องการทำเช่นนั้น”

บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) 
เมือง Apollo และเมือง Parks Township

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 ‘CIA’ ได้บรรยายสรุปแก่เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (NRC) เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่า CIA เชื่อว่ายูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูงที่หายไปนั้น ถูกส่งไปยังอิสราเอล เมื่อ NRC แจ้งต่อทำเนียบขาว ส่งผลทำให้ประธานาธิบดี ‘Jimmy Carter’ เมื่อได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการสอบสวน จึงสั่งให้ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติประเมินผล ซึ่งผลสรุปว่า “ข้อสรุปของ CIA มีความเป็นไปได้ แม้ว่าจะไม่ได้ข้อสรุปก็ตาม” บางคนยังคงเชื่อว่า อิสราเอลได้รับยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จำนวน 206 ปอนด์ (93 กิโลกรัม) หรือมากกว่าจาก NUMEC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้รับหลังการมาเยือนของ ‘Rafi Eitan’ ซึ่งถูกเปิดเผยในภายหลัง ว่าเป็นสายลับอิสราเอลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘Jonathan Pollard’ ในเวลาต่อมา

เหตุการณ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1986 นักวิเคราะห์ ‘Anthony Cordesman’ บอกกับสำนักข่าว United Press International (UPI) ว่า “ไม่มีเหตุผลที่เป็นไปได้ใด ๆ สำหรับ Eitan ที่จะไปยังโรงงาน Apollo นอกจากไปเพื่อวัสดุนิวเคลียร์” การสอบสวนในภายหลังได้ดำเนินการโดยคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (ต่อจาก AEC) เกี่ยวกับยูเรเนียมจำนวน 198 ปอนด์ (90 กิโลกรัม) ซึ่งพบว่าหายไประหว่างปี ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1976 หลังจากที่บริษัท Babcock & Wilcox และ Dr. Shapiro ได้ซื้อโรงงานดังกล่าว การสืบสวนพบว่า ยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง น้ำหนักมากกว่า 110 ปอนด์ (50 กิโลกรัม) อาจถูกเรียกว่า ‘กลไกการสูญเสียที่ไม่สามารถระบุได้ และไม่มีเอกสารก่อนหน้านี้’ รวมถึง ‘การปนเปื้อนของเสื้อผ้าของคนงาน การสูญเสียจากระบบขัดพื้น วัสดุที่ฝังอยู่ในพื้น และคราบตกค้างในอุปกรณ์แปรรูป’ โดยอีกหนึ่งในผู้สืบสวนหลัก ‘Carl Duckett’ ได้กล่าวว่า “ผมไม่พบอะไรเลยที่บ่งชี้ว่า Shapiro มีความผิด”

‘ปฏิบัติการ Plumbat’ เชื่อกันว่าเป็น ‘ปฏิบัติการลับ’ ของอิสราเอลในปี ค.ศ. 1968 เพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘Yellowcake’ (แร่ยูเรเนียมแปรรูป) เพื่อนำมาใช้สนับสนุนในความพยายามด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล สาเหตุมาจากการที่ฝรั่งเศสหยุดจัดหาเชื้อเพลิงยูเรเนียมให้กับอิสราเอล สำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ Dimona หลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล ในปี ค.ศ. 1967 แหล่งข่าวจำนวนมากเชื่อว่าในปี ค.ศ. 1968 อิสราเอลได้รับ Yellowcake (แร่ยูเรเนียมแปรรูป) ราว 200 ตันจาก ‘Union Minière’ บริษัทเหมืองแร่ของเบลเยียม และจัดส่งยูเรเนียมแปรรูปที่ขุดในคองโก จากเมืองแอนต์เวิร์ปไปยังเมืองเจนัว ให้กับบริษัทแนวหน้าของยุโรป โดยทำการขนถ่ายย้ายแร่ไปยังเรือลำอื่นกลางทะเล

ปฏิบัติการลับของ MOSSAD นี้ เป็นการละเมิดมาตรการควบคุมวัสดุนิวเคลียร์ของ ‘Euratom’ (The European Atomic Energy Community) โดยสมบูรณ์ ชื่อของปฏิบัติการ Plumbat มาจากภาษาละตินว่า ‘plumbum’ ซึ่งหมายถึง ‘ตะกั่ว’ อันเป็นวัสดุไม่อันตรายในการขนส่ง Yellowcake โดยสายลับของ MOSSAD ได้จัดตั้งบริษัทสมมติชื่อ ‘Biscayne Trader's Shipping Corporation’ ในไลบีเรีย เพื่อซื้อเรือขนส่งสินค้าทางทะเล จากเมือง Scheersberg A. (เมืองทางตอนเหนือของเยอรมนี ใกล้ชายแดนติดกับเดนมาร์ก) ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ผู้เป็นมิตรของบริษัทปิโตรเคมีของเยอรมนี มีการจ่ายเงิน 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Union Minière เพื่อซื้อ Yellowcake จำนวน 200 ตัน Yellowcake เหลืออยู่ในสินค้าคงคลังจากยูเรเนียมที่ขุดได้จาก Shinkolobwe ใน Katanga ตอนบน โดยบรรทุก Yellowcake นี้ลงบนเรือบรรทุกสินค้าที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อใหม่ และมีการทำสัญญากับบริษัทสีสัญชาติอิตาลี เพื่อดำเนินการผลิต Yellowcake

‘Yellowcake’ (แร่ยูเรเนียมแปรรูป)

‘Yellowcake’ ถูกบรรทุกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1968 ในถังที่มีเครื่องหมาย ‘PLUMBAT’ (ผลิตภัณฑ์ตะกั่วที่ไม่เป็นอันตราย) ลูกเรือชาวสเปนถูกแทนที่ด้วยกะลาสีเรือที่ MOSSAD เตรียมไว้ และได้รับหนังสือเดินทางปลอมที่จัดเตรียมไว้ให้ เรือสินค้าลำนี้แล่นไปยังเมืองเจนัว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1968 หลังจากเดินทางได้ประมาณ 7 วัน เรือก็พบกับเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอิสราเอล ภายใต้ความมืดบริเวณที่ใดที่หนึ่งทางตะวันออกของเกาะครีต สินค้าถูกขนถ่ายไปอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เรือรบของอิสราเอลคอยเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ หลังจากบรรทุก Yellowcake แล้ว ก็ออกเดินทางสู่เมืองท่าไฮฟา และในที่สุดก็ถึงอุโมงค์ซึ่งเป็นโรงงานเคมีอัตโนมัติระดับ 6 เพื่อทำการแปรรูปให้เป็น ‘พลูโตเนียม’ ที่เมือง Dimona เมื่อเรือ Scheersberg A. เข้าเทียบท่าที่ตุรกี 8 วันต่อมา โดยไม่มีการขนส่งสินค้าใด ๆ สัญญากับบริษัทสีสัญชาติอิตาลีจึงถูกยกเลิก บันทึกของเรือหายไปหลายหน้าโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ บริษัทสีอิตาลีสันนิษฐานว่า สินค้าสูญหายเนื่องจากการปล้น

คำสารภาพของฝ่ายปฏิบัติการ MOSSAD ในปี ค.ศ. 1973 ‘Dan Ert’ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ Mossad ถูกจับกุมในนอร์เวย์ โดยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการลอบสังหารผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์คนหนึ่ง ที่สังหารนักกีฬาอิสราเอล 11 คน ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี ค.ศ. 1972 ที่นครมิวนิก ซึ่งได้เล่าเรื่องราวขณะถูกคุมขังเพื่อพิสูจน์ให้ชาวนอร์เวย์เห็นว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของ MOSSAD เรื่องราวดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อตรวจสอบพบว่า Ert ได้รับเลือกให้เป็นประธานของบริษัทขนส่งในไลบีเรียที่เคยซื้อเรือ Scheersberg A. ในปี 1977 เรื่อง Plumbat Affair ถูกเปิดเผยโดย ‘Paul Leventhal’ อดีตนิติกรของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ในการประชุมลดอาวุธ เขากล่าวว่า “การขนส่ง Yellowcake ที่ถูกขโมยมานั้น เพียงพอที่จะเดินเครื่องปฏิกรณ์เช่นที่ Dimona ได้นานถึง 10 ปี”

ในตอนแรกเจ้าหน้าที่อิสราเอลนิ่งเงียบเมื่อมีการสอบสวน จากนั้น จึงออกมาปฏิเสธทุกแง่มุมในเรื่องราวที่อิสราเอลที่เกี่ยวข้องกับ Yellowcake ที่ถูกขโมย ปัจจุบันประมาณการว่า คลังอาวุธของอิสราเอลมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ระหว่าง 80 ถึง 400 หัว

ไขข้อข้องใจ!! หลากวิธีที่อาจส่อคุกคามทางเพศ แม้ 'ชมหยอก' แต่อีกฝ่าย 'หวาดกลัว-อับอาย' เท่ากับเสี่ยง

อุปนิสัย ใจคอของคนไทยเรา เป็นคนใจดี ร่าเริง สนุกสนาน ยิ้มง่าย การพูดจาหยอกล้อ ระหว่างคนในครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน เพื่อเรียกเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม พฤติกรรมเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่อยู่กับสังคมไทยมาช้านาน 

แต่ในบางครั้ง เมื่อผู้พูดมีเจตนาไปในทางไม่เหมาะสม เช่นการพูดเรื่องสองแง่ สองง่าม พูดตลกเรื่องเพศ คู่สนทนาอาจไม่ได้มีความรู้สึกคล้อยตามคำพูดต่าง ๆ ของผู้พูด และทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ หรือเกิดความกลัว สิ่งเหล่านี้จะถือเป็นการคุกคามทางเพศต่อผู้ฟังหรือไม่ และมีโทษทางกฎหมายอย่างไร

ตามประมวลกฎหมายอาญา กำหนดความผิดเกี่ยวกับความผิดทางเพศไว้ 4 ประเภทได้แก่ 

1.ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา  
2.ความผิดฐานกระทำอนาจาร 
3.ความผิดฐานค้าบุคคลเพื่อความใคร่ 
4. ความผิดฐานค้าสิ่งลามกอนาจาร 

ความผิดเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ แต่มีบททั่วไป วางเกณฑ์กว้าง ๆ ไว้ว่า ถ้ากระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่นอันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคามหรือ กระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ จะเป็นความผิดและมีโทษ 

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำในที่สาธารณสถาน หรือต่อหน้าธารกำนัลหรือเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางที่จะล่วงเกินทางเพศ ก็จะได้รับโทษหนักขึ้น 

และหากอาศัยเหตุที่ผู้กระทำมีอำนาจเหนือผู้ถูกกระทำอันเนื่องจากความสัมพันธ์ในฐานะผู้บังคับบัญชาชา นายจ้าง หรือผู้มีอำนาจที่เหนือ ประการอื่น ก็จะต้องรับโทษหนักขึ้นไปอีก

การคุกคามทางเพศมีหลายวิธีการ เช่น การคุกคามทางเพศทางวาจาเช่น “ห้องพี่ว่างนะ” “มีค่าเทอมรึยัง”   การคุกคามทางเพศโดยการสัมผัสร่างกาย เช่น การตั้งใจยืนเบียดบนรถโดยสาร การคุกคามทางเพศโดยกิริยาท่าทาง เช่น การแสดงท่าทางที่ไม่เหมาะสม ผิวปากแซว หรือการคุกคามทางเพศทางออนไลน์ เช่นการส่งรูปเปลือยหรือรูปที่ไม่เหมาะสม ให้ผู้อื่น

ดังนั้น ตามที่ปรากฏข่าวว่ามีท่าน สส.ผู้ทรงเกียรติ ส่งข้อความชวนคุยเรื่องเพศ ถึงทีมงานหาเสียงในสังกัดของท่าน ที่เป็นสุภาพสตรี ไม่ว่าจะเกิดจากการ ‘ชมหยอก’ หรือเจตนาอื่น ซึ่งทำให้สุภาพสตรีท่านนั้น รู้สึกหวาดกลัว อับอาย หรือเดือดร้อนรำคาญ คนส่งอาจจะสนุกฝ่ายเดียว แต่ผู้รับคงไม่รู้สึกสนุกด้วย  และอาจมีความผิดตามกฎหมาย 

‘จ่า Gander’ ยอดสุนัขทหารแห่งกองทัพแคนาดาในสงครามโลกครั้งที่ 2 สัญญลักษณ์ของความภักดีและกล้าหาญ ในยุทธการที่เมือง Lye Mun

‘จ่า Gander’ ยอดสุนัขทหารแห่งกองทัพแคนาดา

ในโลกแห่งความจริงแล้ว สุนัขเป็นสัตว์ที่สุดยอด ไม่ใช่เพียงแค่ความวิเศษของสุนัขที่มีข้อมูลสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรักและภักดี ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของสุนัขมาโดยตลอดอีกด้วย ความภักดีของพวกมันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความกล้าหาญได้ และสิ่งนี้ทำให้พวกมันมีบทบาทอยู่ในสนามรบตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้มีสุนัขสงครามที่ต่อสู้เคียงข้างกับทหารของชาติต่าง ๆ จนกระทั่งปัจจุบัน และเรื่องที่น่าจดจำนี้เป็นเรื่องของสุนัขในกองทัพแคนาดาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

‘Gander’ เป็นสุนัขพันธุ์ Newfoundland ที่ได้ช่วยชีวิตทหารแคนาดาจำนวนหนึ่งระหว่างยุทธการ Lye Mun บนเกาะฮ่องกงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1940 ชื่อเดิมของมันคือ ‘Pal’ เป็นสุนัขของครอบครัว Hayden ที่อาศัยอยู่ในเมือง Gander บนเกาะ Newfoundland

‘จ่า Pal’ ชอบเล่นกับเด็ก ๆ ในละแวกบ้าน และมันมักถูกใช้เป็นสุนัขลากเลื่อน ดังที่เห็นจากภาพถ่าย สุนัขพันธุ์ Newfoundland เป็นสุนัขตัวใหญ่ที่น่าอัศจรรย์ (มีการบันทึกว่า ‘จ่า Gander’ มีน้ำหนักถึง 130 ปอนด์) 

แต่วันหนึ่งในขณะที่มันกำลังเล่นกับเด็ก ๆ เจ้า Pal ได้บังเอิญไปข่วนใบหน้าของ ‘Eileen’ เด็กหญิงวัย 6 ขวบเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ครอบครัว Hayden จึงต้องตัดสินใจว่า จะสังหารเจ้า Pal หรือมอบให้คนอื่นที่สามารถนำไปเลี้ยงต่อ พวกเขาเลือกที่จะมอบมันให้กับหน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดา (Royal Rifles of Canada) ซึ่งประจำการที่ฐานทัพอากาศ Gander

หลังจากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Gander’ โดยมีชื่อ-ตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า ‘Regimental Mascot Sgt. Gander’ สุนัขตัวนี้จึงกลายเป็น Mascot ประจำกองพันที่ 1 ของหน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาไปโดยปริยาย

มันสนุกกับการใช้ชีวิตอยู่ในฐานทัพอากาศ และชอบใช้เวลาบนทางวิ่งของเครื่องบินมาก เพราะมันมักจะวิ่งไล่เครื่องบินขณะที่กำลังจะลงจอด 

จ่า Gander กับทหารกองพันที่ 1 หน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดา
ระหว่างเดินทางไปยังฮ่องกง

ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม ค.ศ. 1941 กองพันที่ 1 หน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาถูกส่งไปประจำการยังฮ่องกง เพื่อเตรียมป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น แทนที่จะทิ้งจ่า Gander ไว้ข้างหลัง กองพันที่ 1 ของหน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาก็พามันเข้าร่วมกับในภารกิจของพวกเขา โดย ‘พลทหาร Fred Kelly’ ทำหน้าที่ดูแลจ่า Gander ระหว่างที่มันอยู่ในฮ่องกง

พลทหาร Kelly ปล่อยให้จ่า Gander เล่นน้ำเย็นเป็นเวลานาน ๆ เพื่อช่วยให้มันสามารถรับมือกับอากาศที่ร้อนมาก ๆ ของฮ่องกงได้ ตามที่พลทหาร Kelly เล่าว่า จ่า Gander ก็เป็นคอเบียร์ด้วยเช่นกัน

การยอมจำนนต่อกองทัพญี่ปุ่นของกองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษ
เมื่อ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1941

สงครามป้องกันอาณานิคมฮ่องกง’ ระหว่างกองทัพญี่ปุ่นกับกองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยทหารอังกฤษ อินเดีย และแคนาดา รวมถึงกองกำลังสำรอง และกองกำลังป้องกันอาสาสมัครฮ่องกง (HKVDC) เริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม จนถึง 25 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เป็นหนึ่งในการรบครั้งแรก ๆ ของสงครามแปซิฟิกในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในเช้าวันเดียวกับการโจมตีอ่าวเพิร์ลของกองทัพญี่ปุ่น ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์กองทหารอังกฤษก็สูญเสียพื้นที่ 2 ใน 3 ของดินแดนฮ่องกง (เกาลูน และ New Territories) ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ ไม่ถึงสองสัปดาห์ต่อมา เมื่อไม่สามารถป้องกันที่มั่นสุดท้ายของพวกเขาบนเกาะฮ่องกง กองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษจึงต้องยอมจำนน

ในการรบระหว่างกองทัพญี่ปุ่นกับกองกำลังป้องกันอาณานิคมอังกฤษ จ่า Gander มีส่วนในการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อคลื่นของทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามา จ่า Gander ก็รีบวิ่งเข้าไปหาโดยเห่าและพุ่งเข้ากัดขาของทหารญี่ปุ่น ครั้งที่สองเกิดขึ้นในเวลากลางคืน มีทหารแคนาดาที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มหนึ่งนอนอยู่บนถนน และในขณะที่ทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งก็กำลังเข้ามาหาพวกเขา จ่า Gander ก็วิ่งเข้าไปหาพวกทหารญี่ปุ่นจนทำให้ทหารญี่ปุนกลุ่มนั้นต้องเปลี่ยนเส้นทาง เข้าสกัดโดยการคำราม วิ่งเข้าใส่ทหารศัตรู และกัดส้นเท้าของทหารญี่ปุ่น

‘พลทหาร Reginald Law’ เล่าว่า การต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน และขนสีดำของจ่า Gander ทำให้ทหารญี่ปุ่นมองเห็นมันได้ยาก ผลก็คือ แทนที่จะยิงมัน ทหารญี่ปุ่นกลับต้องวิ่งหนีมันออกจากที่นั่น เพื่อให้รอดพ้นจากความโกรธเกรี้ยวของจ่า Gander ต่อมาทหารญี่ปุ่นสอบปากคำเชลยศึกชาวแคนาดาเกี่ยวกับ ‘สัตว์ร้ายสีดำ’ ด้วยเกรงว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำการฝึกสัตว์ดุร้ายเพื่อใช้ในทำสงคราม

หลังเที่ยงคืนของวันที่ 19 ธันวาคม ยุทธการที่เมือง Lye Mun (เมืองเล็ก ๆ ในเขตฮ่องกงใกล้ ๆ กับนคร Shenzhen) ก็ปะทุขึ้น จ่า Gander เข้าร่วมสู้รบกับทหารญี่ปุ่นเหมือนเช่นเคย จนกระทั่งระเบิดมือลูกหนึ่งถูกขว้างเข้าใกล้กลุ่มทหารแคนาดาที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อมันรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น Gander ก็คาบระเบิดมือลูกนั้นขึ้นมาด้วยปากของมัน และวิ่งออกไป ระเบิดมือระเบิดขึ้น แล้ว จ่า Gander ก็เสียชีวิต แต่การกระทำเช่นนั้นของมันได้ช่วยชีวิตทหารแคนาดาไว้ได้ถึง 7 นาย เป็นการแสดงความกล้าหาญของจ่า Gander เป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากความพยายามของพิพิธภัณฑ์สงครามแคนาดา สมาคมทหารผ่านศึกฮ่องกง และสมาคมอนุสรณ์ทหารผ่านศึกฮ่องกง อีก 60 ปี หลังจากการเสียชีวิตของจ่า Gander มันก็ได้รับ ‘Dickin Medal for Gallantry’ จาก The People's Dispensary For Sick Animals (PDSA) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลด้านสัตวแพทย์ในสหราชอาณาจักร (โดยหลักแล้วรางวัลนี้คือ ‘Victoria Cross’ สำหรับสัตว์) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2000 ซึ่งถือเป็นรางวัลแรก โดยไม่มีการมอบรางวัลมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 แต่ PDSA รู้สึกว่า ‘จ่า Gander’ สมควรที่จะได้รับที่สุด

พิธีนี้มีสมาชิกที่รอดชีวิตจากกองทหารของกองพันที่ 1 หน่วยปืนเล็กยาวหลวงแห่งแคนาดาเข้าร่วม 20 นาย โดยพลทหาร Fred Kelly ผู้ดูแล ซึ่งมีสุนัข Newfoundland อยู่ข้าง ๆ รับเหรียญในนามของจ่า Gander เหรียญนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สงครามแคนาดาในออตตาวา นอกจากนี้ เมื่อมีการสร้างกำแพงอนุสรณ์ทหารผ่านศึกฮ่องกงในปี ค.ศ. 1977 ชื่อของจ่า Gander ก็ปรากฏอยู่เคียงข้างรายชื่อของทหารชาวแคนาดาที่เสียชีวิตระหว่างการสู้รบครั้งนั้นด้วย

อนุสาวรีย์ของจ่า Gander และทหารผู้ดูแล ณ เมือง Gander มณฑล Newfoundland

ในปี ค.ศ. 1975 ด้วยการยืนกรานของผู้รอดชีวิตจากการสู้รบ ชื่อของมันก็ปรากฏอยู่บนกำแพงอนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกฮ่องกงในเมือง Ottawa มณฑล Ontario แคนาดา และวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 อนุสาวรีย์ของจ่า Gander และทหารผู้ดูแลได้ทำพิธีเปิด ณ อุทยานอนุสรณ์มรดก Gander ในเมือง Gander มณฑล Newfoundland

รูปปั้นจ่า Gander ณ อนุสาวรีย์วีรบุรุษที่ถูกลืม
ภายในอุทยานอนุสรณ์ทหารผ่านศึก Cobequid

อนุสาวรีย์ ‘การเปลี่ยนแปลง’

อนุสาวรีย์ ‘The Broken’

สวนแห่งความโศกเศร้า

สวนแห่งความทรงจำ

สวนแห่งความหวัง


ต้นเมเปิลแดง

‘อุทยานอนุสรณ์ทหารผ่านศึก Cobequid’ อนุสรณ์อุทยานแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงทหารที่เคยรับใช้ และที่ยังคงรับใช้ในการรักษาสันติภาพของกองทัพแคนาดา ประกอบสวน 3 แห่ง ได้แก่

1.) สวนแห่งความโศกเศร้า ซึ่งรำลึกถึงทหารแคนาดาในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
2.) สวนแห่งความทรงจำ เตือนผู้มาเยือนถึงความน่าสะพรึงกลัวของสงคราม ความจำเป็นในการจดจำ
3.) สวนแห่งความหวัง ซึ่งเป็นสวนนานาชาติที่มีชีวิตชีวาและความหวังในสันติภาพ

และอนุสาวรีย์หินแกรนิตสีดำแปดแห่งที่มีรายชื่อของทหารแคนาดาหลายร้อยนายตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน ต้นเมเปิลสีแดงรำลึกถึงทหารแคนาดาที่สูญเสียไปในอัฟกานิสถาน

อนุสาวรีย์ ‘การเปลี่ยนแปลง’ เป็นโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความน่าสะพรึงกลัวของสงครามและความหวังในสันติภาพ

อนุสาวรีย์ ‘วีรบุรุษที่ถูกลืม’ ซึ่งอุทิศให้กับสัตว์สงคราม มีชื่อสัตว์ต่าง ๆ หลายร้อยชื่อและผู้ดูแล

อนุสาวรีย์ ‘The Broken’ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับทหารผ่านศึกที่ต้องทนทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และทหารผ่านศึกที่ฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา อุทยานอนุสรณ์แห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นอุทยานอนุสรณ์ที่ดีที่สุดในแคนาดาในปี ค.ศ. 2013 โดย ‘Communities in Bloom’

3 เหตุผลขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน เพื่อ ‘ปกป้องชีวิตทรัพย์สิน-ล่าสัตว์-การกีฬา’

การใช้ปืนยิงทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีโทษตามกฎหมายสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต แต่เมื่อผู้ก่อเหตุเป็นเพียงเด็ก เหตุใดผู้ก่อเหตุจึงสามารถมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองได้

สถิติการครอบครองปืนในประเทศไทยมีมากถึง 10.3 ล้านกระบอก มากเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ซึ่งสิงค์โปร์เป็นประเทศในอาเซียนที่ประชาชนมีปืนในครอบครองน้อยที่สุดเพียง 20,000 กระบอก

ในประเทศไทยหากต้องการมีปืนสักกระบอก ต้องทำอย่างไรบ้าง และจะมีปืนไว้เพื่อประโยชน์อะไร

พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการครอบครองปืนของประชาชน ทำให้รัฐสามารถควบคุม เก็บข้อมูลและและเป็นการจำกัดจำนวนของปืนที่มีอยู่ในประเทศไทย

หากประชาชนทั่วไปจะมีปืนสักกระบอกต้องเป็นไปเพื่อ 
1.ป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน 
2.ใช้ล่าสัตว์ 
3.เพื่อการกีฬา

ใบอนุญาตเกี่ยวกับอาวุธปืนที่สำคัญได้แก่ 
-การขออนุญาตซื้อขายปืน (แบบ ป.3)

-การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) มีสองประเภทคือชั่วคราว 6 เดือน และแบบถาวร

-ใบพกพา ทั่วราชอาณาจักร หรือในเขตจังหวัด (แบบ ป.12)

การพกพาอาวุธปืนไปในทางหรือที่สาธารณโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะเป็นปืนที่มีทะเบียนก็เป็นความผิด เว้นแต่มีเหตุจำเป็น เช่น การใช้ป้องกันทรัพย์สิน หรือการนำปืนไปใช้ในการแข่งขันกีฬา

ยกเว้นอาวุธสงคราม ที่จะไม่มีการอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถครอบครองได้

ปืน BB GUN หรือปืน แบลงค์ กัน ถือเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืน หมายถึง สิ่งซึ่งมีรูปและลักษณะอันน่าจะทำให้หลงชื่อว่าเป็นอาวุธปืน การจะมีไว้ครอบครองไม่ต้องขออนุญาตเหมือนปืนจริง

ถึงเวลาแล้วที่การให้มีใบอนุญาตครอบครองอาวุธ ควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น การกำหนดระยะเวลาใบอนุญาต การประเมินสภาพจิตก่อนออกใบอนุญาต เพื่อให้การควบคุมจำนวนปืน เป็นประโยชน์ในการป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับสุจริตชน

‘Zhang Xinyang’ สุดยอดเด็กจีนอัจฉริยะ จบโทตอน 15 ต่อเอกตอน 16 สู่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักโต เพราะพิษผลพวงจากความคาดหวังของพ่อ-แม่

‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะ...ผู้ล้มเหลว

ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ของ ‘พ่อ-แม่’ อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของผู้เป็นลูก ข่าวของเด็กชายวัย 14 ปี ที่ใช้อาวุธปืนกราดยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน นำมาซึ่งความหดหู่เศร้าใจแก่สังคมไทยอย่างมาก มีเรื่องราวที่กล่าวถึงมากมาย ซึ่งรวมแล้วสรุปความได้ว่า “ความคาดหวังต่อลูกของพ่อ-แม่นั้น เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการกำหนดชะตาชีวิตของเด็ก”

เคยนำเรื่องของ ‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’  https://thestatestimes.com/post/2023061701 มาเล่าแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้จะขอนำเรื่องราวของ ‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะชาวจีน ผู้ซึ่งจบปริญญาตรีในวัยเพียงอายุ 13 ปี จบปริญญาโท และเรียนปริญญาเอกด้วยวัยเพียง 16 ปี ปัจจุบันนี้เขาอายุ 28 ปีแล้ว แม้จะมีวุฒิปริญญาเอกติดตัว แต่ทุกวันนี้เขายังต้องขอเงินพ่อ-แม่ใช้อยู่เลย

‘Zhang Xinyang’ วัย 28 ปี ผู้ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘สุดยอดเด็กอัจฉริยะของจีน’ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “การนั่งเฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือกุญแจสู่ความสุขตลอดชีวิต” ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมานั้น Zhang กล่าวว่า ตอนนี้เขากำลังทำงานฟรีแลนซ์ และเขายังต้องขอพึ่งพาทางการเงินจากพ่อแม่ของเขาอยู่

Zhang เข้าเรียนปริญญาตรีที่วิทยาลัยวิศวกรรม Tianjin เมื่ออายุ 10 ขวบ โดยพ่อของเขาต้องลาออกจากงานเพื่อตามมาดูแล และแม่ของเขาซึ่งเป็นครู ต้องย้ายมาสอนที่โรงเรียนใกล้ ๆ ครอบครัวต้องพักอาศัยอยู่รวมกันในหอพักของมหาวิทยาลัย และเมื่ออายุ 13 ปี เขาได้เข้าเรียนในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง ซึ่งสร้างสถิติใหม่ในฐานะบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดของจีน ในปี ค.ศ. 2011 เด็กชายวัย 16 ปีผู้นี้กลายเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ที่มหาวิทยาลัย Beihang ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของกรุงปักกิ่ง

และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็เรียกร้องให้พ่อ-แม่ให้ซื้ออพาร์ตเมนต์มูลค่า 2 ล้านหยวน ในกรุงปักกิ่งให้เขา หากพวกท่านไม่ยอมซื้อ Zhang บอกกับพ่อ-แม่ของเขาว่า จะไม่ยอมสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของเขา และจะปฏิเสธข้อเสนอทุนระดับปริญญาเอกสำหรับเขาอีกด้วย

“พ่อ-แม่คาดหวังให้ผมอยู่ในปักกิ่งมากกว่าใคร ๆ ดังนั้น พ่อ-แม่จึงต้องพยายามเพื่อสิ่งนี้ด้วยอย่างหนัก” Zhang บอกกับพ่อแม่ของเขา ซึ่งมาจากเมืองเล็ก ๆ ในมณฑลเหลียวหนิง

ความต้องการของ Zhang ในขณะนั้น เกิดจากความเชื่อของเขาที่ว่า การเป็นเจ้าของบ้าน การได้งานที่ดี และการได้จดทะเบียนเป็นผู้อาศัยในกรุงปักกิ่ง ถือเป็นจุดเด่นของความสำเร็จในชีวิต และเพื่อเอาใจเขา พ่อ-แม่ของ Zhang ต้องลงเอยด้วยการเช่าอพาร์ตเมนต์ในกรุงปักกิ่ง แล้วโกหกลูกชายว่าเป็นอพาร์ตเมนต์ที่พวกเขาซื้อ นักวิจารณ์ออนไลน์บางคนกล่าวโทษพ่อ-แม่ของ Zhang ที่หมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังให้ Zhang เป็นเด็กอัจฉริยะ แต่ในที่สุดแล้ว… เด็กก็คือเด็ก

แม้ว่าในที่สุด หลังจากใช้เวลาศึกษามากว่า 8 ปี Zhang จึงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี ค.ศ. 2019 จากนั้นแล้ว Zhang Xinyang ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย Ningxia เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะลาออกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 ปัจจุบัน Zhang ทำงานอิสระ อาศัยเช่าอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในนครเซี่ยงไฮ้ และมีเงินในบัญชีธนาคารเพียงแค่ไม่กี่พันหยวน แต่ได้รับเบี้ยเลี้ยง 10,000 หยวนจากพ่อ-แม่ทุก ๆ 2-3 เดือน Zhang อ้างว่า “พวกเขาเป็นหนี้ผม” พร้อมเสริมว่า “อพาร์ทเมนต์ที่พวกเขาไม่เคยซื้อให้ผม ในตอนนี้น่าจะมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวนแล้ว”

อดีตเด็กอัจฉริยะรายนี้กล่าวต่อไปว่า เขาพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของเขา Zhang พร้อมพูดถึงรายได้ที่น้อยนิดของเขาว่า “ผมสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต ไม่เพียงแต่ผมสามารถพึ่งพาพ่อแม่ได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปู่-ย่า และ ตา-ยายอีกด้วย”

นอกจากนี้เขายังยอมรับว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างห่างเหินและเย็นชากับพ่อ-แม่ เพราะเขารู้สึกว่า พวกท่านทั้ง 2 คน ควบคุมเขามากจนเกินไป “เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการให้คำแนะนำกับผม” Zhang กล่าว

มุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปของ Zhang และการพึ่งพาพ่อแม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสนทนาออนไลน์อย่างดุเดือด อาทิ “เขามีพรสวรรค์ที่ดี” สมาชิก Weibo รายหนึ่งกล่าว “แต่เพราะพ่อ-แม่ของเขาหมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังความเป็นอัจฉริยะ และในที่สุดเขาก็ชดเชยกระบวนการเติบโตที่ขาดหายไปในอีกทางหนึ่ง” บางคนรู้สึกเสียดาย เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของ Zhang โดยระบุว่า มันเป็น ‘ความล้มเหลวของอัจฉริยะ’

และในทางกลับกัน มีอีกหลาย ๆ คน ที่รู้สึกว่า ยังไม่สายเกินไปที่ Zhang จะกลับตัวเพื่อพลิกสถานการณ์ อาจารย์ Zhang Yuehui ผู้เคยสอนเขาในระดับปริญญาตรีบอกกับสื่อว่า เขารู้สึกว่าอดีตนักศึกษาของเขายังสามารถบรรลุ ‘สิ่งที่ยิ่งใหญ่’ ได้ ถ้าเขาต้องการ เพียงแต่ Zhang จะต้อง ‘ไม่ยอมแพ้และย่อท้อ’

ความสุขที่แท้จริงของพ่อ-แม่แล้ว ต้องเป็น การที่ได้รับรู้ว่า “ลูก ๆ ของพวกเขาเป็นคนดี”

‘การค้น’ เครื่องมือสำคัญสำหรับจับโจร อำนาจ จนท.ตามหลักปฏิญญาสากล

ก่อน พ.ศ. 2540 การค้นเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อทำการสืบสวน จับกุม ผู้กระทำผิด

เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำคัญเกี่ยวกับการค้นว่า... 

การค้นสถานที่ส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า ที่รโหฐาน จะกระทำไม่ได้ถ้าไม่มีคำสั่งหรือหมายค้นที่ออกโดยศาล

ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ตามหลักที่ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในเคหสถาน 

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็ได้มีการระบุหลักเกณฑ์สำคัญดังกล่าวไว้เช่นกัน โดยการค้นตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์หลักๆ อยู่ 2 ประการ…

ประการที่ 1 ค้นเพื่อหาคน ทั้งคนร้ายและผู้ที่อาจถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้
ประการที่ 2 ค้นเพื่อหาสิ่งของ ได้แก่สิ่งของที่ผิดกฎหมายเพื่อพบและยึดสิ่งของนั้นๆ

>> ผู้มีอำนาจค้น 1.ตำรวจ (ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป) 2.พนักงานฝ่ายปกครอง (ระดับสามขึ้นไป)

>> วิธีการค้น ตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครอง สั่งให้เข้าของหรือคนอยู่ในนั้น ยินยอมให้เข้าไปค้นได้ ถ้าไม่ยินยอม มีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไปได้ ในกรณีจำเป็นจะเปิดหรือทำลาย ประตูหรือช่องทางต่างๆ หรือสิ่งกีดขวางได้ ต้องพยายามมิให้เกิดความเสียหายหรือกระจัดกระจายเท่าที่จะทำได้

>> ช่วงเวลาที่ค้นได้ ต้องทำการค้นในเวลากลางวัน ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก ยกเว้น ค้นตั้งแต่เวลากลางวันแล้วยังไม่แล้วเสร็จ หรือในกรณีฉุกเฉินหรือมีกฎหมายอื่นให้ค้นได้ หรือการค้นเพื่อจับผู้ร้ายสำคัญแต่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล

ประชาชนทั่วไปหากมีเหตุการณ์ถูกค้นบ้าน ให้ตั้งสติและดำเนินการดังนี้…

1.ตรวจสอบหมายค้น เช่น ศาลที่ออกหมาย ฐานความผิด รายละเอียดต่างๆ ในเอกสาร
2.สอบถามรายละเอียดของเจ้าหน้าที่ผู้ถือหมายว่ามาจากหน่วยงานใด 
3.หากอยู่ตามลำพังควรขอให้เจ้าหน้าที่รอให้มีผู้ที่เราไว้วางใจเดินทางมาถึงที่ตรวจค้นก่อนจึงอนุญาตให้ค้น ทั้งนี้ต้องไม่เป็นการประวิงเวลาเพื่อการอื่น 
4.ควรอนุญาตให้ตรวจค้นทีละห้อง ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพขณะเจ้าหน้าที่ตรวจค้น 
5.เมื่อการตรวจค้นแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่จะทำรายละเอียดการตรวจค้น ควรให้เจ้าหน้าที่ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานและเก็บเอกสารดังกล่าวไว้

อย่างไรก็ตาม หากการค้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าของบ้านสามารถอ้างสิทธิป้องกันตามกฎหมายได้ 

ทั้งนี้ ในส่วนของข้อยกเว้นหมายค้นนั้น หากเจ้าบ้านยินยอม อาจไม่ต้องมีหมายค้น ก็สามารถทำการตรวจค้นได้ แต่ผู้ยินยอมต้องเป็นเจ้าของบ้านหรือคู่สมรส

สำหรับการค้นบ้านพักบิ๊กตำรวจที่เป็นกระแสในระหว่างนี้ ในหมายค้นไม่จำเป็นต้องระบุชื่อบิ๊กคนดังกล่าว หมายค้นก็ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในหมายค้นไม่จำเป็นต้องระบุชื่อเจ้าบ้านแต่อย่างใด อีกทั้งในขั้นตอนการออกหมายค้น จะต้องมีหลักฐานพอสมควร ที่ทำให้ศาลเชื่อว่ามีบุคคลที่กระทำความผิด หรือมีสิ่งของที่เป็นความผิดหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาล ไม่ว่าบ้านพักดังกล่าวจะเป็นของใคร

เป็นไปตามหลักปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ว่า ทุกคนเสมอภาคกันตามกฎหมายและมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด

ประธานาธิบดียอดอัจฉริยะ ฉายา ‘บิดาแห่งเทคโนโลยี’ ของอินโดนีเซีย ผู้ปฏิวัติความปลอดภัยและยกระดับประสิทธิภาพระบบการบินของโลก

‘B.J. Habibie’ ประธานาธิบดียอดอัจฉริยะแห่งอินโดนีเซีย

‘ประธานาธิบดี’ เป็นตำแหน่งประมุขของประเทศที่มีการปกครองแบบสาธารณรัฐ (Republic) และในอีกหลายประเทศที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นทั้งตำแหน่งประมุขของประเทศและประมุขฝ่ายบริหาร เช่น สหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศใกล้ ๆ บ้านเราที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นทั้งตำแหน่งประมุขของประเทศและประมุขฝ่ายบริหาร ได้แก่ อินโดนีเซีย
.
หากนึกถึงประธานาธิบดีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผู้คนอาจนึกถึงประธานาธิบดีเหล่านี้ อาทิ Abraham Lincoln, John F. Kennedy, Nelson Mandela หรือ Barack Obama แต่เชื่อหรือไม่ ว่ามีประธานาธิบดีคนหนึ่งที่ได้รับสิทธิบัตรในสาขาการบินถึง 46 ฉบับ เขาผู้นั้น คือ ‘Bacharuddin Jusuf Habibie’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘B.J. Habibie’ ประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (ค.ศ. 1998-1999)

‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ เกิดเมื่อ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1936 จังหวัดซูลาเวซีใต้ ขณะนั้นอินโดนีเซียยังเป็นหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ (เนื่องจากเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์) หลังจากจบการศึกษาสถาบันเทคโนโลยีบันดุง เมืองบันดุง แล้ว ประธานาธิบดี Habibie ได้เดินทางไปยังเมือง Delft ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อศึกษาวิชาการบินและอวกาศที่ Technische Hogeschool Delft (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Delft) แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง (กรณีพิพาทนิวกินีตะวันตก ระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอินโดนีเซีย) เขาจึงต้องย้ายไปศึกษาต่อที่ Technische Hochschule Aachen (มหาวิทยาลัย RWTH Aachen) ในเมือง Aachen ประเทศเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1960 ประธานาธิบดี Habibie ได้รับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ของเยอรมนี (Diplom-Ingenieur) และยังคงอยู่ในเยอรมนีในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัยของ ‘Hans Ebner’ ที่ Lehrstuhl und Institut für Leichtbau, RWTH Aachen เพื่อทำการวิจัยในระดับปริญญาเอก

‘ประธานาธิบดี Habibie’ แต่งงานกับแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun’ วันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1962

ในปี ค.ศ. 1962 ประธานาธิบดี Habibie ได้ลาหยุดเพื่อเดินทางกลับอินโดนีเซียเป็นเวลา 3 เดือน ช่วงเวลานี้เองที่ เขาได้พบกับแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun’ เพื่อนในวัยเด็กสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลายที่ SMA Kristen Dago (โรงเรียนมัธยม Dago Christian) เมืองบันดุง ทั้งสองได้เข้าพิธีสมรสในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1962 และเดินทางกลับเยอรมนี หลังจากนั้นไม่นาน Habibie และภรรยาของเขา ก็ได้ตั้งรกรากในเมือง Aachen ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะย้ายไปยังเมือง Oberforstbach ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1963 โดยพวกเขาได้ให้กำเนิดลูกชาย คือ ‘Ilham Akbar Habibie’

ต่อมา ประธานาธิบดี Habibie ได้ร่วมงานกับบริษัทค้าหุ้นการรถไฟ ‘Waggonfabrik Talbot’ ซึ่งเขาได้เป็นที่ปรึกษาในการออกแบบตู้รถไฟ ในปี ค.ศ. 1965 ประธานาธิบดี Habibie ทำวิทยานิพนธ์ในสาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศ และได้รับคะแนน ‘ดีมาก’ ทำให้เขาได้รับ ‘Doktoringenieur’ (Dr.-Ing.) ในปีเดียวกันนั้น เขายอมรับข้อเสนอของ Hans Ebner ที่จะวิจัยต่อเกี่ยวกับ Thermoelastisitas และทำงานด้าน Habilitation แต่เขาปฏิเสธข้อเสนอที่จะเข้าร่วมกับ RWTH ในตำแหน่งศาสตราจารย์ วิทยานิพนธ์ของเขานั้นยังดึงดูดข้อเสนอการจ้างงานจากบริษัทต่าง ๆ เช่น Boeing และ Airbus ซึ่งประธานาธิบดี Habibie ก็ได้ปฏิเสธอีกครั้ง

‘ประธานาธิบดี Habibie’ ได้ร่วมงานกับ ‘Messerschmitt-Bölkow-Blohm’ ในเมือง Hamburg ที่นั่น เขาได้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับอุณหพลศาสตร์ การก่อสร้าง และอากาศพลศาสตร์ที่เรียกว่า ‘อุณหพลศาสตร์’ (Habibie Factor) เขามีส่วนในการพัฒนาเครื่องบินโดยสาร ‘Airbus A-300B’ ในปี พ.ศ. 2517 ต่อมาเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัท ในปี ค.ศ. 1974 ‘ประธานาธิบดี Suharto’ ได้ขอให้เขากลับไปยังอินโดนีเซีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศ

ในตอนแรก ประธานาธิบดี Habibie ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพิเศษของ ‘Ibnu Sutowo’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทน้ำมันของรัฐ Pertamina และประธานหน่วยงานเพื่อการประเมินและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Badan Pengkajian dan Penerapan Teknologi (BPPT)) อีก 2 ปีต่อมา เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ของ ‘Industri Pesawat Terbang Nurtanio’ (IPTN) หรือ ‘Nurtanio Aircraft Industry’ โดยในขณะนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย ซึ่งในปี ค.ศ. 1985 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘Industri Pesawat Terbang Nusantara’ (Nusantara Aircraft Industry หรือ ‘IPTN’) และเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Indonesia Aerospace’ (PT. Dirgantara Indonesia) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000


เครื่องบินโดยสาร ‘N-250 Gatotkaca’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบเพียง 2 ลำ

ในปี ค.ศ. 1978 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการวิจัยและเทคโนโลยี (Menteri Negara Riset dan Teknologi, Menristek) แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญใน ‘เชิงกลยุทธ์’ ของ IPTN โดยในช่วงทศวรรษ 1980 IPTN เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเชี่ยวชาญด้านการผลิตเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก และกลายเป็นผู้ผลิตเครื่องบิน ซึ่งรวมถึงเฮลิคอปเตอร์แบบ Puma และเครื่องบิน CASA และเป็นผู้บุกเบิกออกแบบและสร้างเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก ‘N-250 Gatotkaca’ ในปี ค.ศ. 1995 แต่โครงการนี้ประสบความล้มเหลวในเชิงพาณิชย์ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของอินโดนีเซีย ประธานาธิบดี Habibie ได้นำแนวทางที่เรียกว่า ‘เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุดและสิ้นสุดที่จุดเริ่มต้น’ วิธีการนี้ องค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การวิจัยขั้นพื้นฐาน จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องให้ความสำคัญ ในขณะที่การผลิตเครื่องบินจริงถือเป็นวัตถุประสงค์แรกที่สำคัญที่สุด

ไม่ถึง 3 เดือน หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนที่ 7 เมื่อ 11 มีนาคม พ.ศ. 2541 ประธานาธิบดี Habibie ก็ต้องเข้ารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดี Suharto ซึ่งลาออกหลังจากดำรงตำแหน่งมา 32 ปี ในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงจุดสังเกตในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการปฏิรูป

เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาได้เปิดให้กฎหมายสื่อและพรรคการเมืองของอินโดนีเซียมีอิสระเสรีมากขึ้น และจัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก่อนกำหนดถึง 3 ปี ซึ่งส่งผลให้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาสิ้นสุดลง ด้วยวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 517 วันและรองประธานาธิบดี 71 วัน ซึ่งถือว่าสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย

ขณะที่ดำรงตำแหน่งนั้น ประธานาธิบดี Habibie ต้องประสบพบเจอกับปัญหาหลายประการ ได้แก่
• การเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย
• การถูกโจมตีว่าเขาไม่สามารถก้าวพ้นจากอำนาจของประธานาธิบดี Suharto ได้
• ไม่มีฐานการเมืองมาสนับสนุนอย่างจริงจัง กล่าวคือ ‘พรรคกลการ์’ (Golkar : Partai Golongan Karya) ของอดีตประธานาธิบดี Suharto ไม่ได้ให้การสนับสนุนเขา 
• การลดจำนวนที่นั่งในรัฐสภาของทหาร และห้ามข้าราชการทำกิจกรรมทางการเมือง ทำให้กองทัพอินโดนีเซียก็ไม่ให้การสนับสนุนเขา
• เรื่องทุจริตอื้อฉาวเกิดขึ้นเกี่ยวกับธนาคารบาหลี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าลูกชายของเขามีส่วนเกี่ยวข้อง

แต่ประธานาธิบดี Habibie ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติ ในเรื่องการจัดการกับปัญหา ‘ติมอร์ตะวันออก’ แม้ว่า ประธานาธิบดี Habibie จะไม่เห็นด้วยกับการให้ติมอร์ตะวันออกเป็นเอกราช แต่เขาเห็นสมควรว่า ชาวติมอร์ตะวันออกควรลงประชามติเลือกว่าจะอยู่กับอินโดนีเซียต่อไปหรือเป็นเอกราช ซึ่งท้ายที่สุด ชาวติมอร์ตะวันออกก็ต้องการเป็นอิสระ ประธานาธิบดี Habibie จึงให้เอกราชแก่ติมอร์ตะวันออก จนทำให้ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ไม่พอใจ ด้วยมองเป็นการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในชาติ

รัฐบาลของประธานาธิบดี Habibie ทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีเสถียรภาพ เมื่อเผชิญกับวิกฤติการเงินในเอเชีย และความวุ่นวายในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ของประธานาธิบดี Suharto รัฐบาลของประธานาธิบดี Habibie มีท่าทีประนีประนอมต่อชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีน ซึ่งตกเป็นเป้าหมายในการจลาจลในปี ค.ศ. 1998 เนื่องจากความเหลื่อมล้ำของสถานะทางชนชั้นในเรื่องเศรษฐกิจ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1998 ประธานาธิบดี Habibie ได้ออก ‘คำสั่งของประธานาธิบดี’ ห้ามใช้คำว่า ‘pribumi’ และ ‘non-pribumi’ เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างชาวอินโดนีเซียพื้นถิ่น และชาวอินโดนีเซียที่ไม่ใช่ชนพื้นถิ่น

และสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยทราบกันเกี่ยวกับตัวประธานาธิบดี B.J. Habibie ก็คือ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรผู้ค้นพบทฤษฎีที่ก้าวล้ำ ซึ่งปฏิวัติความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเครื่องบิน จนได้รับฉายาว่า ‘Mr.Crack’ เนื่องจากความเป็นอัจฉริยะ ที่สามารถออกแบบวิธีคิดคำนวณรอยแตกร้าวบนโครงสร้างโลหะของเครื่องบิน ประธานาธิบดี Habibie มีระดับ IQ (Intelligence Quotient) ประมาณ 200 ซึ่งสูงกว่า IQ ของ ‘ประธานาธิบดี John Quincy Adams’ ที่มีระดับ IQ ประมาณ 175 ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคน

นอกจากนั้นแล้ว ประธานาธิบดี Habibie ยังได้รับเลือกให้เป็นประธานคนแรกของ ‘สมาคมปัญญาชนมุสลิมแห่งอินโดนีเซีย’ (ICMI) ในปี ค.ศ. 1990 และเนื่องจากเขามีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างเครื่องบินเป็นลำแรกในประเทศอินโดนีเซีย จึงได้รับตำแหน่ง ‘บิดาแห่งเทคโนโลยี’ ของอินโดนีเซียด้วย

เครื่องบินโดยสารแบบ R-80 ขนาด 80 ที่นั่งที่ออกแบบและผลิตโดย ‘Regio Aviasi Industri’ (RAI) 

ในปี ค.ศ. 2012 เขาได้ก่อตั้ง ‘Regio Aviasi Industri’ (RAI) บริษัทผลิตเครื่องบิน ซึ่งกำลังพัฒนาเครื่องบินโดยสารแบบ R-80 ขนาด 80 ที่นั่ง และได้รับคำสั่งซื้อแล้ว 150 ลำ

ประธานาธิบดี Habibie ผู้เป็นยอดอัจฉริยะทางวิศวกรรมการบิน เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐอินโดนีเซียได้เพียงสมัยเดียว เพราะความอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงตรรกะแห่งความจริงและความถูกต้องทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่สามารถเอาชนะทางการเมืองได้ และทุกประเทศบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่แล้วก็มักเป็นเช่นนั้น

พิธีฝังศพของ ‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ ณ สุสานวีรบุรุษ Kalibata

ช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 2019 เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารบก Gatot Soebroto เนื่องจากเขาเป็น ‘โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม’ และถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2019 เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไปของประธานาธิบดี Habibie รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศให้ไว้ทุกข์ทั้งประเทศเป็นเวลา 3 วัน (12-14 กันยายน ค.ศ. 2019) และประกาศลดธงชาติอินโดนีเซียครึ่งเสา

ประธานาธิบดี B.J. Habibie เป็นประธานาธิบดีของอินโดนีเซียคนแรกที่ได้รับการฝัง ณ สุสานวีรบุรุษ Kalibata เคียงข้างหลุมฝังศพของแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun Habibie’ ผู้เป็นภรรยาของเขา


อนุสาวรีย์ของ ‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ ใกล้กับท่าอากาศยาน Jalaluddin จังหวัด Gorontalo

จอดรถอย่างไรให้ถูกใจทุกคน ไม่ละเมิดสิทธิ ไม่ผิดกฎหมาย

ปี 2566 ในประเทศไทยมีรถยนต์ที่จดทะเบียนมากถึง 41 ล้านคัน ต่อจำนวนประชากร 66 ล้านคน โดยเฉลี่ยแล้ว ในประชากร 100 คน มีรถยนต์มากถึง 61 คน ปัญหาที่ตามมานอกจากปัญหามลภาวะ ปัญหาการใช้พลังงาน และที่เป็นปัญหาไม่แพ้กันคือปัญหาที่จอดรถ 

ในบางประเทศเช่น ประเทศญี่ปุ่น มีข้อกฎหมาย กำหนดว่าหากใครต้องการซื้อรถยนต์ต้องมีเอกสารรับรองจากหน่วยงานรัฐว่ามีที่จอดรถ ถึงจะสามารถซื้อรถยนต์ได้ เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนและป้องกันปัญหาที่จอดรถยนต์ไม่เพียงพอ 

ในประเทศสิงคโปร์มีกฎหมายจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนบางเส้นที่มีการจราจรหนาแน่น และมีการเรียกเก็บภาษีรถยนต์ในอัตราสูง เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนรถยนต์

ในประเทศไทยมีแนวคิดการกำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีรถยนต์ประจำปี กรณีรถยนต์ที่มีอายุเกินสิบปีเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนรถยนต์และเหตุผลเรื่องมลภาวะ ซึ่งยังไม่มีการประกาศใช้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามเมื่อมีรถยนต์แล้ว ลองมาดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า เราจะจอดรถอย่างไรให้ถูกใจทุกคน และไม่เกิดปัญหาทางกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สองอย่างคือ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นเพื่อสร้างความปลอดภัย เนื่องมาจากการใช้รถ จึงกำหนดไว้ว่าห้ามจอดรถในที่ต่างๆ ดังนี้ เช่น ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง, บนทางเท้า, บนสะพานหรือในอุโมงค์, ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ, ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ, ในเขตปลอดภัย หรือในลักษณะกีดขวางทางจราจร หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 การกระทำการต่อผู้อื่น...ให้เดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือที่เรียกว่าความผิดลหุโทษ 

กรณีการจอดรถในหมู่บ้านจัดสรร ในซอยแคบ หรือในสถานที่ต่างๆ ในลักษณะที่ขวางทางเข้า-ออก ของเพื่อนบ้าน หรือกีดขวางการสัญจรโดยปกติของประชาชนทั่วไป โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น จึงอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากกรณีปัญหาจากการจอดรถนี้ หากเกิดขึ้นในหมู่บ้านจัดสรร ที่มีคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย สามารถออกกฎหรือระเบียบ การจอดรถเพื่อประโยชน์ร่วมกันของสมาชิกในหมู่บ้านได้  หากมีการฝ่าฝืนกฎหรือระเบียบของหมู่บ้านก็สามารถมีมาตรการดำเนินการได้ตามที่ระเบียบของแต่ละหมู่บ้านกำหนด

แต่หากปัญหาการจอดรถเกิดขึ้นนอกเหนือพื้นที่หมู่บ้านจัดสรร ท่านสามารถแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเพื่อบังคับใช้กฎหมายได้ 

แต่ทุกปัญหา สามารถแก้ไขได้ด้วยการหันหน้ามาพูดคุยกัน โดยเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งครับ

‘กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี’ วีรชนแห่งสมรภูมิรบเกาหลี จากนักเรียนธรรมดา สู่ทหารผู้ยืนหยัดปกป้องชาติด้วยความหาญกล้า

กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี (Korea Student Volunteer Force)

สังคมปัจจุบัน เมื่อพูดถึง ‘ความรักชาติ’ แล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวที่พ้นสมัยของคนเฒ่าชะแรแก่ชราในยุคก่อน ทั้ง ๆ ที่เรื่องของ ‘ความรักชาติ’ นั้น เป็นปกติวิสัยทั่วไป เพราะเป็นหน้าที่ของพลเมืองตามแต่ละประเทศที่เกิดและอาศัยอยู่ เป็นเรื่องธรรมดาของพลเมืองในทุกชาติบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่ยังคงอยู่ในสภาวะสงคราม เช่น สาธารณรัฐเกาหลี หรือ ‘เกาหลีใต้’ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงการหยุดยิงกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเกาหลี หรือ ‘เกาหลีเหนือ’ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 หรือ 70 ปีมาแล้ว และจนทุกวันนี้ ทั้งสองเกาหลียังไม่มีการทำสนธิสัญญาสงบศึก หรือสนธิสัญญาสันติภาพ อันเป็นการยุติสงครามระหว่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่อย่างใด

กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี กำลังขึ้นรถไฟเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพเกาหลีใต้

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ชาวเกาหลีใต้ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ชายเกาหลีใต้ทุกคนจึงต้องเป็นทหารกองประจำการโดยไม่มีการยกเว้น ไม่มีอภิสิทธิพิเศษใด ๆ รวมทั้งแทบไม่มีการผ่อนผันเลย เว้นแต่บางกรณี เช่น เป็นนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งยังต้องฝึกซ้อมเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศ ในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ 

เมื่อสงครามเกาหลีปะทุขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 เกาหลีใต้ได้มีการจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนอยู่ในเกาหลีใต้ และนักเรียนเกาหลีที่ไปเรียนในญี่ปุ่น (เกาหลีเคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2) ในช่วงสงครามเกาหลี นักเรียนเกาหลีจำนวน 642 คน ได้รวมตัวกันเดินกลับมายังเกาหลีใต้ และอาสาสมัครเข้าร่วมสู้รบภายใต้กองทัพสาธารณรัฐเกาหลี และกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีก็ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในการรบมากมายหลายครั้งหลายหน

สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีจำนวนมาก ต้องสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ โดยไม่มี ยศ สังกัด หรือแม้แต่หมายเลขประจำตัวทหาร

‘กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี’ (학서의용군 อ่านว่า Hak Do Ui Yong Gun) โดยนักเรียนอาสาสมัครเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 14–17 ปี ซึ่งอายุต่ำกว่าอายุครบเกณฑ์ทหาร 18 ปี (ในขณะนั้น การแจ้งเกิดมักจะล่าช้า ดังนั้น อายุที่แท้จริงของนักเรียนอาสาสมัครจึงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 16–19 ปี) หลังจากสงครามสองเกาหลีปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1950 กองทัพเกาหลีใต้สามารถระดมกำลังนักเรียนอาสาสมัครได้ถึง 198,380 นาย จัดกำลังเป็น กองพลทหารราบ 10 กองพล, กองพลยานเกราะ 1 กองพล และหน่วยยานยนต์ 1 หน่วย และระหว่างสงครามจนถึงการหยุดยิงระหว่าง 2 เกาหลี มีนักเรียนประมาณ 275,200 คน เข้าร่วมรบในสงครามกับกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ทั้งทำการรบ ทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือประชาชน การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ

‘การจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในยามฉุกเฉิน’ (비상학 시단) โดยนักเรียน 200 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมนักเรียนอาสาปกป้องประเทศ (학 서호성단) จากทั่วกรุงโซลได้มารวมตัวกันที่ซูวอน นับเป็นครั้งแรกที่นักเรียนถูกเกณฑ์ให้ร่วมรบเช่นทหารประจำการ อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ได้มอบหมายให้กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนส่วนใหญ่ รับผิดชอบภารกิจในพื้นที่ด้านหลังแนวรบ ซึ่งรวมถึงการบรรเทาทุกข์ ช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัย การแจ้งข่าว และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามท้องถนน แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนไม่พอใจกับภารกิจในแนวหลัง ต่อมากองทัพเกาหลีใต้ได้มอบภารกิจในการสู้รบเพื่อรักษาแนวป้องกันแม่น้ำนักดงให้แก่กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ซึ่งถือเป็นป้อมปราการแห่งสุดท้ายในขณะนั้น และกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนก็ประสบความสำเร็จในการรักษาแนวป้องกันดังกล่าว แม้ไม่มีการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ไม่มียศทางทหาร แต่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเข้าร่วมกับกองทัพเกาหลีใต้ และกองทัพสหประชาชาติ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปกป้องประเทศ ซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีเข้าร่วมในปฏิบัติการยกพลขึ้นบกอินชอน โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังสหประชาชาติ, ปฏิบัติการยกพลขึ้นบกที่วอนซันและอิวอน, ปฏิบัติการยึดคืนของกัปซันและฮเยซันจิน, ยุทธการที่อ่างเก็บน้ำจางจิน และยุทธการที่เนินเขาแบกมา ฯลฯ

ภาพวาดของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ขณะเดินทางเข้าสู่สนามรบ

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1951 เมื่อกองทัพสาธารณรัฐเกาหลีและกองกำลังสหประชาชาติ สามารถตีโต้กองทัพเกาหลีเหนือและกองทัพจีน จนข้ามเส้นขนานที่ 38 กลับไปในเขตเกาหลีเหนือได้แล้ว ‘Syngman Rhee’ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้ออกประกาศให้กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนกลับไปโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ และออกคำสั่งคืนสถานะ โดยตามคำสั่งคืนสถานะนี้ กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ต้องถอดเครื่องแบบทหารและเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นนักเรียนตามเดิม โดย

1.) นักเรียนทุกคนจะต้องกลับคืนสู่หน้าที่เดิม ซึ่งก็คือการเรียนของตน
2.) การยอมรับการเป็นทหารของนักเรียนที่ถูกระงับการเรียน เนื่องจากการเป็นทหาร เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจะต้องยอมรับการกลับมาที่โรงเรียนของนักเรียนเหล่านั้น อย่างไม่มีเงื่อนไข
3.) โรงเรียนในแต่ละระดับ จะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ สำหรับนักเรียนที่กลับมาจากการเป็นทหาร
4.) นักเรียนที่พลาดการเลื่อนระดับชั้นในขณะที่เป็นทหาร จะได้รับอนุญาตให้เลื่อนระดับชั้นได้ตามความต้องการ

อย่างไรก็ตาม นักเรียนที่เป็นสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ต่างยืนกรานที่จะสู้รบจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด และได้รับยศ หมายเลขประจำตัวทหาร และเข้าร่วมในการสู้รบ โดยมีวีรกรรมสำคัญบางเหตุการณ์ ได้แก่

• การรบที่โรงเรียนมัธยมสตรี P'ohang จังหวัด Gyeongsang-do เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1950 ซึ่งสมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียนจำนวน 71 นาย สู้รบกับทหารเกาหลีเหนือ หน่วยที่ 766 โดยฝ่ายเกาหลีเหนือมียานเกราะ 5 คันสนับสนุน การสู้รบกินเวลา 11 ชั่วโมง สมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียนเสียชีวิตไป 48 นาย เหลือรอดชีวิตเพียง 23 นาย วีรกรรมครั้งนั้นถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘71 : Into the Fire’

ภาพยนตร์เรื่อง 71 : Into the Fire

• การรบที่หาด Jangsari อำเภอ Yeongdeok จังหวัด Gyeongsang-do ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน ค.ศ. 1950 โดยสมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียน 560 นาย ร่วมกับทหารของกองทัพเกาหลีใต้ ได้รับการจัดตั้งเป็น ‘กองพันกองโจรอิสระที่ 1’ รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจเพื่อลวงกองกำลังเกาหลีเหนือ ให้คิดว่ากองกำลังสหประชาชาติจะเปิดฉากการรุกอย่างเด็ดขาดที่นั่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการยกพลขึ้นบกที่ Inchon สมาชิกของกองพันกองโจรอิสระที่ 1 เสียชีวิตไป 139 นาย และการยกพลขึ้นบกที่ Inchon ประสบความสำเร็จด้วยดี และวีรกรรมนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘The Battle of Jangsari’

ภาพยนตร์เรื่อง The Battle of Jangsari

ตัวเลขสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี มีผู้เสียชีวิต 2,464 นาย และบาดเจ็บ 3,000 นาย ในจำนวนนี้มี 347 นาย ถูกฝังอยู่ในสุสานแห่งชาติ อีก 1,188 นาย ถูกจารึกไว้บนป้ายแห่งความทรงจำ และอีก 929 ราย ที่ไม่มีศพหรือแผ่นจารึกที่ระลึกเลย ส่วนสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนที่รอดชีวิตมักจะไม่กลับไปเรียนต่อ และยังคงอยู่ในกองทัพ แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

อนุสาวรีย์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี

‘อนุสาวรีย์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี’ ตั้งอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมหญิง P'ohang ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน 71 นาย เพื่อเป็นเกียรติแก่การเสียสละอันสูงส่งของพวกเขา เมือง P'ohang จึงสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1977 และจัดพิธีรำลึกขึ้นทุกปี

หออนุสรณ์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน เมือง P'ohang

‘หออนุสรณ์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน เมือง P'ohang’ เปิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2002 ในสวนสาธารณะ Yongheung เพื่อเป็นเกียรติแก่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ในการร่วมรบที่เขตเมือง P'ohang ในช่วงสงครามเกาหลี ในห้องนิทรรศการมีโบราณวัตถุประมาณ 200 ชิ้น เช่น ไดอารี่ ภาพถ่าย เสื้อผ้าที่สวมใส่ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนใช้ในขณะนั้น นอกจากนี้ ยังมีการฉายสารคดีเกี่ยวกับสงครามในห้องโสตทัศนูปกรณ์อีกด้วย

อนุสรณ์สถานกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนาม

‘อนุสรณ์สถานกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนาม’ ตั้งอยู่ที่สุสานแห่งชาติ กรุงโซล ด้านหลังเป็นหลุมศพสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนามจำนวน 48 นาย ที่เสียชีวิตในเขตเมือง P'ohang ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1968 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มอบรางวัลแก่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่จะได้รับ ซึ่งมีสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนจำนวน 317 นาย ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ ในปี ค.ศ. 1996 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มอบรางวัลดังกล่าว ให้กับสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนอีก 45 คน ที่ยังไม่เคยได้รับมาก่อน

ภาพจำลองแสดงเหตุการณ์ที่ยุวชนทหารสู้รบกับทหารญี่ปุ่น
ที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร

ย้อนกลับมาดูบ้านเรา เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกตลอดอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดปัตตานีถึงจังหวัดสมุทรปราการ ขอเดินทัพผ่านไทยโดยไม่บอกล่วงหน้า คนไทยในที่เกิดเหตุแทนที่จะวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง แต่ทั้งทหาร ตำรวจ และประชาชนต่างเข้ารักษาแผ่นดินไทยโดยไม่คิดชีวิต ทุกแห่งมียุวชนทหารเข้าร่วมด้วย และได้สร้างวีรกรรมไว้หลายแห่ง โดยเฉพาะที่เชิงสะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร ยุวชนทหาร 30 คน ได้ทำการสู้รบกับทหารญี่ปุ่นอย่างกล้าหาญ จนกระทั่งได้รับคำสั่งจาก ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สั่งให้ยุติการต่อต้าน และปล่อยให้ทหารญี่ปุ่นผ่านไปได้ และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น จึงถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดไปทั่ว แต่ก็มียุวชนทหารเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยจากการทิ้งระเบิด โดยไม่เกรงกลัวอันตรายแต่อย่างใด ยุวชนทหารในสมัยนั้นได้มีพัฒนาการต่อเนื่อง และกลายมาเป็นนักศึกษาวิชาทหารในสมัยนี้

อนุสาวรีย์ยุวชนทหาร 
ริมทางหลวงหมายเลข 4001 สายชุมพร-ปากน้ำ
ตำบลบางหมาก เชิงสะพานท่านางสังข์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกในขณะนี้ คือการเกิดสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย จึงมีความเป็นไปได้ที่สงครามอาจจะเกิดขึ้นอีกในเวลาใดเวลาหนึ่งก็เป็นได้ และไม่ได้หมายถึงสงครามที่ต้องรบกันด้วยกำลังทหารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสงครามที่ทุกคนในชาติจะต้องร่วมรบด้วยกัน ต้องร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

แต่น่าเป็นห่วงที่คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง ที่หลงผิดคิดว่า ภยันตรายที่คุกคามความมั่นคงของชาตินั้นได้หมดไปแล้ว หากพินิจพิจารณาอย่างถ้วนถี่เยี่ยงปัญญาชนและวิญญูชนแล้วจะพบว่า ไทยอยู่ในตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดทางยุทธศาสตร์ ในการเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจ

วิธีเดียวที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อชาติน้อยที่สุดคือ การรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและชัดเจน บนพื้นฐานของความมั่นคงของชาติในทุก ๆ มิติ รวมทั้งกำลังทหารที่มีความพร้อมต่อการรุกรานของอริราชศัตรูตลอดเวลา ซึ่ง “พลังอำนาจทางการรบ” ตลอดจน “ศักย์สงคราม” จะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงเข้มแข็ง และหากเมื่อต้องเผชิญกับภยันตรายใด ๆ ที่คุกคามแล้ว ชาติบ้านเมืองก็จะมีพร้อมต่อภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และเมื่อเหตุการณ์สร่างซาสงบลงแล้ว ประเทศชาติก็จะมีความบอบช้ำที่น้อยที่สุด

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘Anny Divya’ หญิงแกร่งแห่งอินเดีย ผู้ก้าวข้ามกำแพงอคติทางเพศ จนสามารถเป็นกัปตันหญิงของ Boeing 777 ที่อายุน้อยที่สุดในโลก

‘Anny Divya’ กัปตันเครื่องบินโดยสาร Boeing 777 หญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก

“ผู้หญิงแบกค้ำฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง” เป็นคำกล่าวของประธาน ‘เหมา เจ๋อตง’ ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่องราวแบบนี้จากบอกเล่าเพื่อให้ผู้ที่รู้สึกว่า ขาดโอกาส ท้อแท้ สิ้นหวังได้มีพลังใจเช่นเดียวกับ ‘Anny Divya’ หญิงสาวผู้ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ จนประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเกิดเป็น ‘หญิงชาวอินเดีย’ ด้วยในสังคมฮินดูนั้น ผู้หญิงถูกจัดให้มีสถานะที่ด้อยกว่าชายในแทบทุกด้านมาตั้งแต่ในอดีต ธรรมเนียมสังคมฮินดูมีลักษณะที่เป็นแบบ ‘ชายเป็นใหญ่’ หรือ ‘Patriarchy’ ทำให้สถานะความเป็นหญิงเสียเปรียบชายในแทบทุกด้าน เห็นได้จากปัญหาความไม่เท่าเทียมทางกฎหมายในอินเดีย อาทิ ภรรยาไม่สามารถฟ้องร้องสามีตัวเองได้ ในกรณีที่ฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์นอกสมรส หญิงไม่ได้รับโอกาสได้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่ดีอย่างเพียงพอ ฯลฯ

กัปตัน ‘Anny Divya’ เกิดที่เมืองปาทานโกต รัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย เมื่อปี ค.ศ. 1987 ในครอบครัวที่ใช้ภาษาเตลูกู (ภาษาที่พูดโดยชาวเตลูกูในรัฐอานธรประเทศกับรัฐเตลังคานาในอินเดีย) พ่อของเธอเคยเป็นทหารในกองทัพบกอินเดีย ครอบครัวของเธอเคยอาศัยอยู่ใกล้กับฐานทัพในเมืองปาทานโกต รัฐปัญจาบของอินเดีย หลังจากที่พ่อของเธอเกษียณ ครอบครัวของพวกเขาก็ย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองวิชัยวาทะ รัฐอานธรประเทศ ซึ่งเธอเข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองนี้ ญาติ ๆ ของเธอนอกเหนือจากครอบครัวใกล้ชิดของเธอ ต่างไม่เห็นด้วยกับความคิดที่เธอจะเป็นนักบิน อย่างไรก็ตาม เธอไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอท้อแท้แต่อย่างใด แต่พ่อ-แม่ของเธอสนับสนุนให้เธอทำตามความฝันอยู่เสมอ และไม่เคยขอให้เธอประกอบอาชีพที่พ่อ-แม่เลือก ซึ่งต้องขอบคุณพ่อ-แม่และคุณครูของเธอ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เธอเป็นเธอในวันนี้

หลังจากสำเร็จมัธยมศึกษาในวัย 17 ปี เธอได้ลงทะเบียนเรียนที่ Indira Gandhi Rashtriya Uran Akademi (IGRUA) ซึ่งเป็นโรงเรียนการบินในรัฐอุตตรประเทศ และจบการศึกษาเมื่ออายุ 19 ปี แล้วเริ่มอาชีพนักบินกับแอร์อินเดีย เธอเดินทางไปสเปนเพื่อฝึกบินด้วยเครื่องบิน Boeing 737 เมื่ออายุ 21 ปี เธอถูกส่งไปรับการฝึกเพิ่มเติมที่สหราชอาณาจักร ซึ่งเธอเริ่มบินด้วยเครื่องบิน Boeing 777 ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีพิสัยบินไกลที่สุด และเป็นเครื่องบินไอพ่นสองเครื่องยนต์ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ปัจจุบันเธอเป็นกัปตันหญิง วัย 36 ปี ของเครื่องบินโบอิ้ง 777 ที่อายุน้อยที่สุดของอินเดียและในโลก (เธอเป็นกัปตันตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี) อีกทั้ง เธอยังได้บินไปที่นครนิวยอร์ก นครชิคาโก และนครซานฟรานซิสโก เป็นประจำอีกด้วย

ในช่วงที่เรียนหนังสือ เธอเป็นนักเรียนที่สดใสและมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก เธอเรียนที่ Kendriya Vidyalaya ในเมืองวิชัยวาทะ ใน Grade 11 เธอสามารถสอบได้คะแนนเต็ม 100 ในทุกวิชา ยกเว้นภาษาอังกฤษได้ 92 คะแนน และสันสกฤตได้ 98 คะแนน อีกทั้ง เธอยังทำได้ดีเป็นพิเศษในการสอบ Grade 12 และในขณะที่ทำงานกับ Air India เธอเข้าเรียนปริญญาตรีสาขาการบินจนจบ นอกจากนี้ เธอยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมายจาก Rizvi Law College of University of Mumbai และยังเป็นทนายความอีกด้วย

อาชีพนักบินของกัปตัน Anny ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินของครอบครัวเธอด้วย เธอสามารถส่งน้องชายให้เรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย และสามารถส่งพี่สาวของเธอเรียนต่อในสหรัฐอเมริกาได้ สามารถซื้อบ้านหลังใหม่ให้พ่อแม่ของเธอในเมืองวิชัยวาทะ และลงทุนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในนครไฮเดอราบัดได้อีกด้วย

กัปตัน Anny กล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉันก็สงสัยเกี่ยวกับการที่ได้บินอยู่เหนือเมฆ เมื่อฉันเล่าความฝันที่จะบินให้แม่ฟัง แม่บอกฉันว่า ฉันไม่มีปีกที่ทำให้บินได้ และเพื่อจะบิน ได้ฉันจะต้องได้ปีกจากการเป็นนักบิน” เธอเล่าต่อว่า “ในสมัยนั้น การเป็นนักบินเป็นเรื่องรองจากการฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนรอบตัวฉันต่างเลือกอาชีพด้านการแพทย์ วิศวกรรม ข้าราชการ ฯลฯ เป็นอาชีพ” อย่างไรก็ตาม เธอยังคงยึดมั่นในความฝันของเธอ

กัปตัน Anny เล่าว่า “การมาจากเมืองเล็ก ๆ และมาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี และช่วยขัดเกลาการใช้ภาษาอังกฤษให้ดียิ่งมากขึ้น คือหนึ่งในความท้าทายแรก ๆ และขอย้ำอีกครั้งว่า ฉันไม่มีพื้นฐานด้านการบินเหมือนเพื่อน ๆ ของฉัน” แม้ว่า โรงเรียนการบินอาจมีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ แต่กัปตัน Anny รู้สึกว่า เรื่องราวเกี่ยวกับการบินกำลังเปลี่ยนไป เธอบอกว่า อุตสาหกรรมการบินกำลังพัฒนา ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาทำงานมากขึ้น กัปตัน Anny เน้นย้ำว่า อคติทางเพศของอินเดียมีมากกว่าในประเทศอื่น ๆ

กัปตัน Anny นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งว่า “ฉันบินในเที่ยวบินโดยที่นักบินผู้ช่วยของฉันเป็นชายต่างชาติ เขาให้ความเห็นว่า ผู้หญิงควรอยู่ในครัวและไม่ควรขับเครื่องบิน ฉันบอกว่า เราควรเลือกงานโดยพิจารณาจากสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด และฉันไม่รังเกียจที่จะอยู่ในครัว แต่ถ้าฉันบินได้ดีกว่า ฉันควรจะได้บิน และถ้าคุณทำอาหารเก่ง คุณก็ควรลองอยู่ในครัวดู และบางทีคุณอาจจะอยู่ที่นั่นได้ดีกว่า” กัปตัน Anny กล่าวว่า เธอเริ่มต้นการเดินทางในอาชีพนักบิน โดยมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้อย่างช้า ๆ ทีละก้าว จนเธอมาถึงจุดที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้

“ฉันพูดเสมอว่าแม้จะไม่รู้ แต่ก็ไม่เป็นไรที่จะไม่เรียนรู้” เธอยังกล่าวอีกว่า ทุกความท้าทายถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเธอ กัปตัน Anny มองว่า อคติต่อผู้หญิงเป็นย่างก้าวให้ผู้หญิงได้ไปสู่ความเป็นเลิศในชีวิตและอาชีพ เธอกระตุ้นให้บรรดาหญิงสาวมีศรัทธา และยอมรับทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จอย่างซาบซึ้ง ซึ่งจะกลายเป็นความสำเร็จ ให้คำปรึกษาแก่ผู้หญิงในรุ่นของเธอ กัปตัน Anny บอกว่า “ผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะสาว ๆ ฉันอยากให้คุณทุกคนบรรลุสิ่งที่คุณฝันไว้ สิ่งที่สังคมสอนไม่มีถูกหรือผิด แต่จงฟังหัวใจของคุณและหาทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

กัปตัน Anny ยังเข้าร่วมกลุ่มผู้นำอินเดียในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม LinkedIn Influencer มากกว่า 500 คน รวมถึง Narendra Modi, Bill Gates, Priyanka Chopra, Oprah Winfrey, Sachin Tendulkar และ Kiran Mazumdar Shaw ฯลฯ และปัจจุบันในฐานะ LinkedIn Influencer ที่เธอแบ่งปัน เรื่องราวของเธอกับสมาชิกหลายล้านคนของ LinkedIn ทั่วโลก เกี่ยวกับการที่เธอต้องต่อสู้กับอนุสัญญาทางสังคม อุปสรรคทางภาษา และความกดดันจากครอบครัว เพื่อประสบความสำเร็จในอาชีพที่เคยมีแต่ผู้ชายเท่านั้น

Air India Boeing 777

‘Marianne Williamson’ หญิงแกร่งแห่งพรรค Democratic ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ที่วาดฝันจะสามารถเปลี่ยนสหรัฐฯ ได้

โลกใบนี้จะเปลี่ยนไป… หากในปี ค.ศ. 2024 ‘Marianne Williamson’
ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดบนโลกใบนี้ นับเนื่องมายาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ บทบาทการเป็นผู้นำโลกเสรี แม้กระทั่งประเทศผู้นำของคอมมิวนิสต์ขั้วตรงข้ามอันได้แก่ ‘สหภาพโซเวียต’ จะถึงกาลอวสานล่มสลายไปแล้วก็ตาม แต่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในบทบาทนี้มาโดยตลอดจนทุกวันนี้

ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐนั้นเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของชาวอเมริกันผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ทุก 4 ปี และมีวาระในการดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ปีหน้า ค.ศ. 2024 จะเป็นปีที่ Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งครับ 4 ปีในวาระแรก ซึ่งโดยปกติแล้วประธานาธิบดีในตำแหน่งมักจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 โดยอัตโนมัติ ถ้าไม่มีคู่แข่งขันหรือผู้ท้าชิงภายในพรรค เว้นแต่จะวางมือทางการเมืองเอง

แต่สำหรับการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2024 ปรากฏว่า ภายในพรรค Democratic มีผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีก 2 คน คนแรกคือ ‘Robert F. Kennedy Jr.’ หรือ ‘RFK Jr. วัย 69 ปี จากตระกูลคหบดีและนักการเมืองเก่าแก่ Kennedy ซึ่งเขาเป็นบุตรชายของ ‘Robert Kennedy’ ผู้เป็นน้องชายของประธานาธิบดี Kennedy วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐ Massachusetts และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของพี่ชาย Robert Kennedy ผู้ที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต ขณะรณรงค์หาเสียง เพื่อชิงตำแหน่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับ Robert F. Kennedy Jr. ผู้เป็นลูก ซึ่งจะเป็นผู้เข้าท้าชิงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี ค.ศ. 2024 เป็นทนายความด้านสิ่งแวดล้อม นักเขียน และนักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน mRna

และคนต่อมา ซึ่งคือผู้ที่เราจะได้นำเรื่องราวและแนวคิดของเธอมาบอกเล่าคือ ‘Marianne Deborah Williamson’ (เกิด 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1952) วัย 71 ปี เธอเกิดที่เมือง Houston รัฐ Texas เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้ง 3 คนของ ‘Samuel Sam Williamson’ ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน และ ‘Sophie Ann Kaplan’ แม่บ้านและอาสาสมัครในชุมชน Peter พี่ชายของเธอเป็นทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานเหมือนกับบิดาของเขา พี่สาวผู้ล่วงลับของเธอ ‘Elizabeth Jane’ เป็นคุณครู บิดาของเธอและปู่ย่าตายายของเธอเป็นผู้อพยพชาวยิว-รัสเซีย ปู่ของเธอเปลี่ยนนามสกุลจาก ‘Vishnevetsky’ เป็น ‘Williamson’ หลังจากเห็นป้ายโฆษณา ‘บริษัท Alan Williamson จำกัด’ บนรถไฟ เธอได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่นับถือศาสนายิวแบบอนุรักษ์นิยม จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาของโลก และความยุติธรรมทางสังคมจากครอบครัว Williamson บรรยายตัวเองว่าเป็น ‘สาวยิว’ ในการให้สัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 2022 เธอเริ่มสนใจในการสนับสนุนและเข้าร่วมในเรื่องราวสาธารณะต่าง ๆ เมื่อเธอเห็น ‘Rabbi’ นักบวชในศาสนายิวของเธอ กล่าวต่อต้านสงครามเวียดนาม และทำให้เธอมีแนวคิดแบบเสรีนิยมมาจนทุกวันนี้

เธอผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เธอมีชีวิตแต่งงานช่วงสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1979 กับนักธุรกิจชาว Houston เธอบอกว่า การแต่งงานของเธอใช้เวลาเพียง ‘นาทีครึ่ง’ เท่านั้น ในปี ค.ศ. 1990 เธอให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ‘India Emmaline’ และมีหลานยายหนึ่งคน ในปี ค.ศ. 2012 การสำรวจความคิดเห็นของ Newsweek เสนอให้เธอเป็นหนึ่งใน ‘50 baby boomers’ (ผู้ที่เกิดในยุค baby boom) ที่มีอิทธิพลมากที่สุด

‘Marianne Williamson’ เป็นนักเขียน เธอแต่งหนังสือ 14 เล่ม ส่วนใหญ่เกี่ยวเรื่องของจิตวิญญาณ รวมถึงบทภาพยนตร์ ‘Advice, How To and Miscellaneous’ หนังสือที่เธอแต่ง 7 เล่ม อยู่รายชื่อหนังสือขายดีของ ‘The New York Times’ โดย 4 เล่มที่เปิดตัวมียอดขายสูงสุด ในปี ค.ศ. 1998 เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Peace Alliance’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง ‘Project Angel Meal’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งให้บริการอาหารฟรี สำหรับผู้ที่ป่วยเกินกว่าจะซื้อของและปรุงอาหารเองได้ โดยให้บริการในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเทศมณฑล Los Angeles กับ Los Angeles ตอนใต้ และนคร Los Angeles เป็นพื้นที่ให้บริการที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งขององค์กรนี้ ในปี ค.ศ. 2017 ผู้รับบริการคือ ชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกและลาติโน 39% ชาวแอฟริกันอเมริกัน 29% คนขาว 21% และเชื้อชาติอื่น ๆ อีก 11%

เธอไปออกรายการ ‘The Oprah Winfrey Show’ หลายครั้ง จนกลายเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณของ ‘Oprah Winfrey’ ด้วย เธอเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (ผู้สมัครอิสระ) เขตรัฐสภาที่ 33 ของมลรัฐ California ในปี ค.ศ. 2014 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เธอสมัครเป็นสมาชิกพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2019 และลงสมัครชิงตำแหน่งผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2020 ในที่สุดก็ถอนตัว และหันไปสนับสนุน ‘Bernie Sanders’ แทน แต่ก็พ่ายให้กับ Joe Biden ผู้ซึ่งชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และครั้งนี้เธอลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี ค.ศ. 2024 ในเวทีรณรงค์หาเสียง ในตำแหน่งผู้แทนพรรคเพื่อเป็นผู้สมัครประธานาธิบดี Williamson เรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ การจ่ายค่าชดเชยสำหรับความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ การจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง และการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา

การรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 2024 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 เธอยืนยันว่า เธอจะเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ปี ค.ศ. 2024 เธอเริ่มการรณรงค์หาเสียงในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2023 โดยมีนโยบายในด้านต่าง ๆ ดังนี้

- สิทธิในการทำแท้ง เธอสนับสนุนการเข้าถึง การทำแท้ง การบริการ และทางเลือกต่าง ๆ เธอได้พูดสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ที่ได้รับการประกันภายใต้การคว่ำบาตรในขณะนี้ ตามคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1973 (Roe v. Wade)

- การชดเชยสำหรับชาวอเมริกันผิวสี เธอสนับสนุนการจัดสรรเงินค่าชดเชยผู้ที่เคยเป็นทาส หรือลูกหลานทายาท มูลค่า 200-500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกระจายไปตลอด 20 ปี สำหรับ ‘โครงการทางเศรษฐกิจและการศึกษา’ โดยจะจ่ายตามคำแนะนำของกลุ่มผู้นำผิวสีที่ได้รับเลือก

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน เธอถือว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘ความท้าทายทางศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน’ เธอสนับสนุนข้อตกลงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้งโดยทันที และระบุว่า เธอยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือภาคพื้นแปซิฟิก หากมีการรวมการคุ้มครองคนงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเธอยังสนับสนุนการอุดหนุนโดยตรงของสหรัฐฯ จากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงถ่านหิน และลงทุนใหม่ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา

- การควบคุมอาวุธปืน เธอสนับสนุนการควบคุมอาวุธปืน โดยอธิบายว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เธอได้กล่าวปาฐกถาสำคัญแก่สตรีมุสลิมและชาวยิวหลายร้อยคน ที่การประชุม Sisterhood of Salaam-Shalom ในเมือง Doylestown มลรัฐ Pennsylvania แปดวันหลังจากชาวยิว 11 คนถูกสังหารที่โบสถ์ยิว ‘Tree of Life’ ในเมือง Pittsburgh เธอคัดค้านความกลัวที่ว่า ‘เรื่องนี้จะถูกใช้เป็นพลังทางการเมือง’ และสนับสนุนการทดแทนด้วยการมอบความรักต่อกัน

- การดูแลสุขภาพและการฉีดวัคซีน เธอสนับสนุนการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าภายใต้ ‘แผน Medicare for All’ และสนับสนุนกฎระเบียบที่เป็นอิสระของอุตสาหกรรมยา เพื่อป้องกันสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘การปฏิบัติแบบน่าล่า’

- การย้ายถิ่นฐาน เธอไม่สนับสนุนการเปิดพรมแดน แต่เรียกร้องให้สิ่งที่เธออธิบายว่า เป็นแนวทางที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นต่อนโยบายเรื่องพรมแดน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 เธอวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ในขณะนั้น เกี่ยวกับนโยบายการเข้าเมืองของเขา หลังจากมีรายงานว่า เด็กถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกส่งตัวเข้าศูนย์กักกัน เธอเรียกการกระทำเหล่านี้ว่า ‘อาชญากรรมที่รัฐสนับสนุน’ หลังจาก Trump ประกาศว่า “ICE จะเริ่มการส่งผู้อพยพจำนวนมากกลับประเทศ” เธอกล่าวว่า “ไม่แตกต่างกับสิ่งที่ชาวยิวเผชิญกับนาซีเยอรมนีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2” นอกจากนั้น เธอยังสนับสนุนการดำเนินการรอการตัดบัญชีสำหรับการมาถึงในวัยเด็ก (DACA) และขยายการคุ้มครองและการแปลงสัญชาติให้กับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งถูกนำตัวมายังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยไม่คำนึงถึงอายุปัจจุบันของพวกเขา

- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงของชาติ เธอสนับสนุนการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยในการออกแบบที่เธอเสนอใหม่ ซึ่งรวมถึงแผนการจัดตั้งสถาบันสันติภาพ ซึ่งจำลองมาจากสถาบันการทหาร แต่ยังคงสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางทหาร เมื่อชาติพันธมิตร NATO ถูกคุกคาม เมื่อสหรัฐอเมริกาตกอยู่ภายใต้การคุกคามของการโจมตี หรือ ‘เมื่อระเบียบด้านมนุษยธรรมของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง’ เธอสนับสนุนการถอนทหารสหรัฐฯ ทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด และจะพิจารณาใช้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติดำเนินการแทน เธอกล่าวว่า “สหรัฐฯ มีฐานทัพในต่างประเทศมากถึง 750 แห่ง หากสามารถลดทอนงบประมาณด้านการทหารลงได้ จะสามารถนำไปใช้ดำเนินการโครงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้อีกมาก”

- เธอสนับสนุนสหรัฐฯ อย่างจริงจัง โดยใช้จุดยืนของตน เช่น ผ่าน CFIUS : The Committee on Foreign Investment in the United States (คณะกรรมการร่วมของหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบธุรกรรมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา และธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์บางอย่างโดยบุคคลต่างชาติ เพื่อพิจารณาผลกระทบของธุรกรรมดังกล่าวต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) เพื่อป้องกันไม่ให้จีนซื้อบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเธอเชื่อว่าจะช่วยปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผลประโยชน์ และสิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกับในกรณีของชาวอุยกูร์และผู้อยู่อาศัยในฮ่องกง เธอสนับสนุนการกลับเข้าร่วมแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (JCPOA : Joint Comprehensive Plan of Action) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งบรรลุในกรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ระหว่างประเทศอิหร่านกับ P5+1 (สมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกาบวกเยอรมนี) และสหภาพยุโรปอีกครั้ง และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ที่ยกระดับความตึงเครียดกับอิหร่าน เธอสนับสนุนการแก้ปัญหา 2 รัฐ ต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์

- ชุมชน LGBTQ เธอสนับสนุนรัฐบัญญัติความเท่าเทียมกัน

- ค่าแรงขั้นต่ำ เธอสนับสนุนการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายของ Marianne Williamson ค่อนข้างจะมีทัศนคติเชิงบวกต่อความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่จากสรุปผลสำรวจเปรียบเทียบระหว่างผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ทั้ง 3 คนแล้ว เธอมาเป็นอันดับ 3 ท้ายสุด ห่างจาก Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้นำในทุก Poll มาก ส่วน Robert F. Kennedy Jr. ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ก็ถูกประธานาธิบดี Biden นำชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ส่วน Marianne Williamson เธอมีคะแนนที่เลือกเพียงครึ่งเดียวของ Robert F. Kennedy Jr. เท่านั้น จึงเป็นการยากมาก ๆ ที่เธอจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เพื่อไปชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Republican กอปรกับคณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ได้แสดงการสนับสนุนประธานาธิบดี Biden อย่างเต็มที่แล้ว

และ ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 คณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ก็ยังไม่มีแผนที่จะจัดเวที debate เบื้องต้น ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรคอย่างเป็นทางการใด ๆ ซึ่ง Marianne Williamson ได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น ‘แผนการที่มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว’ และ ‘เป็นกระบวนการกีดกันผู้สมัครรายอื่น’ ด้วยแนวคิดและนโยบายของเธอ แม้ว่าจะเป็นมิตรกับความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่นโยบายเช่นนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของบรรดากลุ่มทุนการเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เธอจึงไม่น่าที่จะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เลยแม้แต่น้อย

‘George Stinney Jr.’ เด็กชายผิวสี ผู้ถูกพรากความเป็นธรรม จนกลายเป็นนักโทษประหารที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เมื่อความยุติธรรมในสหรัฐฯ ไม่มีอยู่จริง!! ‘George Stinney Jr.’ วัยเพียง 14 ปี… ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยมิชอบ

‘George Stinney Jr.’ เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจและเป็นโศกนาฏกรรมที่สุด ที่ออกมาจากประวัติศาสตร์กระบวนการยุติธรรมอเมริกัน เมื่อ ‘George Stinney Jr.’ เด็กชายผิวสี ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 14 ปี ถูกตัดสินโดยมิชอบ ในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิงผิวขาวสองคนในเมือง Alcolu มลรัฐ South Carolina เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1944 จากการพิจารณาคดีที่ที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง นำไปสู่การตัดสินลงโทษที่ไม่มีความยุติธรรม โดยอาศัยคำสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือของเด็กชาย ซึ่งถูกบังคับภายใต้การบังคับขู่เข็ญของตำรวจ

ในปี ค.ศ. 1944 George Stinney Jr. เด็กชายวัย 14 ปี อาศัยอยู่ที่เมือง Alcolu มลรัฐ South Carolina กับ ‘George Stinney Sr.’ ผู้เป็นพ่อ ‘Aimé’ ผู้เป็นแม่ ‘John’ พี่ชาย อายุ 17 ปี ‘Charles’ น้องชาย อายุ 12 ปี น้องสาว ‘Katherine’ วัย 10 ขวบ และ ‘Aime’ วัย 7 ขวบ พ่อของ Stinney ทำงานที่โรงเลื่อยในเมือง และครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในบ้านของบริษัท Alcolu เป็นเมืองอุตสาหกรรมเล็ก ๆ ที่ชนชั้นแรงงานอาศัยอยู่ ซึ่งย่านที่พักอาศัยของคนผิวขาวและผิวสีนั้น ถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยทางรถไฟ ในสมัยนั้นเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ธรรมดาทั่วไปทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองพวกค่อนข้างจำกัด เมื่อพิจารณาจากโรงเรียนและโบสถ์ที่แยกจากกัน สำหรับคนผิวขาวและคนผิวสี

วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1944 ศพของเด็กหญิง ‘Betty June Binnicker’ อายุ 11 ปี และ ‘Mary Emma Thames’ อายุ 7 ปี ถูกพบในคูน้ำทางฝั่งของคนผิวสีของเมือง Alcolu หลังจากที่เด็กหญิงทั้งสองไม่กลับบ้านเมื่อคืนก่อน (22 มีนาคม) พ่อของ Stinney ก็เป็นคนหนึ่งที่ออกช่วยในการค้นหา สภาพศพเด็กหญิงทั้งสองถูกทุบตีด้วยอาวุธ ซึ่งรายงานระบุว่า เป็นชิ้นส่วนโลหะจากรางรถไฟ เด็กหญิงทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บจากการใช้อาวุธที่มีลักษณะทื่ออย่างรุนแรง ที่แผลกะโหลกของเด็กหญิงทั้งสองคนถูกเจาะด้วยอาวุธดังกล่าว ตามรายงานของแพทย์นิติเวชระบุว่า บาดแผลเหล่านี้ ‘เกิดจากเครื่องมือทื่อที่มีหัวกลม ขนาดประมาณค้อน’ รายงานนิติเวชยังระบุอีกว่า ไม่มีหลักฐานการล่วงละเมิดทางเพศของ Binnicker เด็กหญิงที่โตกว่า แม้ว่าอวัยวะเพศของ Binnicker จะมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยก็ตาม

  

ดอก ‘Maypops’

รายงานการสอบสวนระบุด้วยว่า มีผู้พบเห็นเด็กผู้หญิงครั้งสุดท้ายขี่จักรยานเพื่อมองหาดอกไม้ ขณะที่พวกเขาผ่านบ้านของครอบครัว Stinneys พวกเขาได้ถาม George และ Aime น้องสาวของเขาว่า จะหาดอก ‘Maypops’ ซึ่งเป็นชื่อท้องถิ่นของดอกเสาวรสได้จากที่ไหน ตามคำบอกเล่าของ Aime เธออยู่กับ George ตามเวลาที่ตำรวจระบุในภายหลังว่า “เป็นเวลาที่การฆาตกรรมเกิดขึ้น” ตามบทความในรายงานของ ‘Wire Services’ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1944 ตำรวจท้องที่ได้ประกาศว่า ได้ทำการจับกุม ‘George Junius’ และระบุว่า เด็กชายได้สารภาพและนำเจ้าหน้าที่ไปที่ ‘วัตถุสังหารที่ถูกซ่อนอยู่’

George และ John พี่ชายของเขาถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิง ต่อมาตำรวจได้ปล่อยตัว John แต่ George ถูกควบคุมตัวไว้ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบพ่อแม่ของเขา จนกระทั่งหลังจากการพิจารณาคดีและถูกพิพากษาลงโทษแล้ว ตามข้อความที่เขียนด้วยลายมือ เจ้าหน้าที่จับกุมของเขาคือ ‘H.S. Newman’ เจ้าหน้าที่ตำรวจของเทศมณฑล Clarendon ซึ่งกล่าวว่า “ผมได้จับกุมเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ‘George Stinney Jr.’ จากนั้นเขาก็รับสารภาพและบอกผมว่า จะหาวัตถุสังหารได้ที่ไหน มันยาวประมาณ 15 นิ้ว โดยที่เขาบอกว่า เขาเอามันไปทิ้งในคูน้ำห่างจากจักรยานราว 6 ฟุต”

หลังจากการจับกุม Stinney พ่อของเขาถูกไล่ออกจากงานที่โรงเลื่อยในท้องถิ่นทันที และครอบครัว Stinney ต้องย้ายออกจากที่พักอาศัยของบริษัทด้วย ครอบครัวกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา พ่อแม่ของ Stinney ไม่เจอเขาอีกเลยก่อนการพิจารณาคดี เขาไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ เลยในระหว่างการคุมขัง และระหว่างการพิจารณาคดี 81 วัน เขาถูกควบคุมตัวที่เรือนจำในเมือง Columbia ห่างจากเมือง Alcolu ราว 50 ไมล์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกประชาทัณฑ์ Stinney ถูกสอบสวนเพียงลำพัง โดยไม่มีพ่อแม่หรือทนายความ แม้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตรา 6 จะรับประกันการได้คำปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ต้องหา แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1963 ซึ่งระบุว่า “การดำเนินคดีทางอาญาผู้ต้องหาจำเป็นต้องมีทนายความทำหน้าที่เป็นตัวแทน”

 

ลายพิมพ์นิ้วมือของ George Stinney Jr.

การดำเนินคดีทั้งหมดต่อ Stinney รวมถึงการคัดเลือกคณะลูกขุนเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1944 ทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลของ Stinney คือ ‘Charles Ploughden’ ทนายความคดีภาษี (คนผิวขาว) ซึ่งไม่ได้ทักท้วงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 คน ที่ให้การเป็นพยานว่า Stinney รับสารภาพในข้อหาฆาตกรรม นอกจากนี้ เขายังไม่ได้ทักท้วงการนำเสนอคำสารภาพด้วยวาจาของ Stinney 2 ครั้งที่มีความแตกต่างกันของฝ่ายโจทก์ ในคำสารภาพแรก Stinney ถูกเด็กหญิงทำร้ายหลังจากที่เขาพยายามช่วยเด็กหญิงคนหนึ่งที่ตกลงไปในคูน้ำ และเขาฆ่าพวกเธอเพื่อป้องกันตัว ในอีกคำสารภาพหนึ่งระบุว่า เขาได้ติดตามเด็กหญิง โดยทำร้าย Mary Emma Thames ก่อน จากนั้น จึงทำร้าย Betty June Binnicker ซึ่งไม่มีบันทึกคำสารภาพของ Stinney เป็นลายลักษณ์อักษรเลย นอกเหนือจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ Newman

 

นอกเหนือจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นายแล้ว อัยการยังได้เรียกพยานอีก 3 ราย ได้แก่ สาธุคุณ ‘Francis Batson’ ผู้พบศพของเด็กหญิงทั้งสอง และแพทย์ 2 คนที่ทำชันสูตรพลิกศพ ศาลอนุญาตให้มีการพูดคุยถึง ‘ความเป็นไปได้’ ของการข่มขืน เนื่องจากอวัยวะเพศของ Betty June Binnicker มีรอยช้ำ นอกจากนั้น แล้วที่ทนายความของ Stinney ยังไม่ได้เรียกพยานใด ๆ ทั้งยังไม่ได้ซักถามพยานเลย และแทบจะไม่ได้เสนอข้อแก้ต่างเลย โดยการไต่สวนใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

 

ผู้พิพากษา ‘Philip H. Stoll’

ชาวอเมริกันผิวขาวมากกว่า 1,000 คน มารวมตัวกันในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่อนุญาตให้ชาวอเมริกันผิวดำเข้ามาแม้แต่คนเดียว และในเวลานั้น Stinney ถูกพิจารณาคดีต่อหน้าคณะลูกขุนผิวขาวทั้งหมด (ในปี ค.ศ. 1944 ชาวอเมริกันผิวสีส่วนใหญ่ในภาคใต้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ ดังนั้น จึงไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ที่พร้อมจะทำหน้าที่ในคณะลูกขุน) หลังจากพิจารณาในเวลาไม่ถึง 10 นาที คณะลูกขุนตัดสินว่า “Stinney มีความผิดฐานฆาตกรรม” ผู้พิพากษา Philip H. Stoll ตัดสินให้ประหารชีวิต Stinney ด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ไม่มีหลักฐานประกอบการพิจารณาคดีอื่น ๆ อีก และไม่มีการยื่นอุทธรณ์โดยทนายความของ Stinney เลย

  

ครอบครัว โบสถ์ และชุมชนคนผิวสีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ‘Olin D. Johnston’ ผู้ว่าการมลรัฐ South Carolina เพื่อขอลดโทษ เมื่อพิจารณาจากอายุของเด็กชาย แต่กลุ่มคนผิวขาวก็เรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐปล่อยให้การประหารชีวิตดำเนินต่อไป ซึ่งเขาก็ยอมทำตามนั้น และ 2 วันก่อนการประหารชีวิต ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เขาได้ไปเยี่ยม George Stinney Jr. ในแดนประหาร (Death House) และผู้ว่า Johnston ได้เขียนตอบต่อการอุทธรณ์ขอลดโทษครั้งสุดท้ายโดยระบุว่า “ผมเพิ่งพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่จับกุมในคดีนี้ มันอาจจะน่าสนใจสำหรับคุณที่รู้ว่า Stinney ได้ฆ่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เพื่อข่มขืนเด็กหญิงที่ตัวโตกว่า จากนั้นเขาก็ฆ่าและข่มขืนศพของเธอ 20 นาทีต่อมา เขากลับมาและพยายามข่มขืนเธออีกครั้ง แต่ศพของเธอเย็นจนเกินไป ซึ่งทั้งหมดนี้เขายอมรับสารภาพเอง” ระหว่างช่วงเวลาที่ Stinney ถูกจับกุมและการประหารชีวิต พ่อแม่ของเขาได้รับอนุญาตให้พบเขาอีกครั้งหลังจากการพิจารณาคดี เมื่อเขาถูกควบคุมตัวในเรือนจำ Columbia ภายใต้การข่มขู่ว่าจะมีการประชาทัณฑ์ และพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับ George อีกเลย

 

George Stinney Jr. ถูกนำตัวไปประหารชีวิต

Stinney ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เวลา 07.30 น. เขาเตรียมพร้อมสำหรับการประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า โดยใช้พระคัมภีร์เสริมรองนั่ง เนื่องจาก Stinney ตัวเล็กเกินไปสำหรับเก้าอี้ตัวนั้น จากนั้น เขาก็ถูกจับผูกแขน ขา และลำตัวไว้กับเก้าอี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถาม George ว่าเขามีคำพูดสุดท้ายที่จะพูดก่อนการประหารชีวิตเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เขาเพียงแค่ส่ายศีรษะเท่านั้น เพชฌฆาตดึงสายรัดออกจากเก้าอี้แล้วปิดปากของ George  ทำให้เขาน้ำตาไหล จากนั้น เขาก็วางหน้ากากไว้บนใบหน้าของเขา ซึ่งมีขนาดที่ไม่พอดีกับเขาเช่นกัน และในขณะเขาก็ยังคงสะสะอีกสะอื้นต่อไป เมื่อมีการปล่อยกระแสไฟฟ้า หน้ากากที่ปิดอยู่ก็หลุดออก เผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบหน้าของ Stinney ศพของเขาถูกฝังในหลุมศพที่ไม่มีป้ายเครื่องหมายในเมือง Crowley มลรัฐ Louisiana ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุด ที่มีการบันทึกอายุที่ถูกประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกา

จนกระทั่ง 70 ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 2014) ในที่สุดคดีของ George Stinney Jr. ก็ได้รับการพิจารณาใหม่ หลังจากมีหลักฐานใหม่ออกมาสนับสนุนความบริสุทธิ์ของเขา ซึ่งพิสูจน์ว่า “ไม่เคยมีหลักฐานสำคัญใดที่เชื่อมโยงเขาหรือใครก็ตามในเรื่องการฆาตกรรมครั้งนั้นเลย” สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าและความอยุติธรรมให้กับคดีนี้ และสร้างความเศร้าสะเทือนใจให้กับผู้ที่รับรู้เรื่องราวของ George Stinney Jr. มากยิ่งขึ้น

‘Carmen Mullen’ ผู้พิพากษาผู้กลับคำตัดสินในคดีของ Stinney

Katherine Stinney Robinson

Aime Stinney Ruffner

น้องสาวสองคนของ George Stinney Jr. ให้การเป็นพยานในการพิจารณาคดี เพื่อเปิดการพิจารณาคดีของ George Stinney Jr. พี่ชายของพวกเธอใหม่อีกครั้งในเมือง Sumter มลรัฐ South Carolina และแทนที่จะอนุมัติให้มีการพิจารณาคดีใหม่ วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2014 Carmen Mullen ผู้พิพากษาได้กลับคำตัดสินในคดีที่ตัดสินแล้วเมื่อ 70 ปีก่อนของ Stinney โดยเธอตัดสินว่า “เขาไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม เนื่องจากเขาไม่ได้รับการปกป้องอย่างมีประสิทธิภาพ และสิทธิ์ในการแก้ต่างตามรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ของเขาถูกละเมิด” คำตัดสินดังกล่าวเป็นการใช้วิธีการเยียวยาทางกฎหมายที่ถือว่าเป็นไปได้ยากยิ่ง ผู้พิพากษา Mullen ระบุว่า “คำสารภาพของเขามีแนวโน้มว่าจะ ‘ถูกบังคับ’ และด้วยเหตุนี้ การตัดสินจึงไม่อาจที่จะยอมรับได้” นอกจากนี้ เธอยังระบุว่า “การประหารชีวิตเด็กอายุ 14 ปีถือเป็น ‘การลงโทษที่โหดร้ายและผิดปกติ’ และทนายความของเขาไม่ได้เรียกพยานหรือไม่พยายามที่จะรักษาสิทธิในการอุทธรณ์ของเขาเอาไว้” Mullen จำกัดการตัดสินของเธอไว้ในกระบวนการของการฟ้องร้อง โดยให้ข้อสังเกตว่า Stinney ‘อาจจะเป็นผู้ก่ออาชญากรรมนี้ได้’ โดยอ้างอิงจากกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งผู้พิพากษา Mullen ได้ตัดสินว่า “ไม่มีใครสามารถพิสูจน์เหตุผลให้เด็กอายุเพียง 14 ปี ซึ่งถูกกล่าวหา ถูกพิจารณาคดี ถูกตัดสินลงโทษ และถูกประหารชีวิตจนแล้วเสร็จภายในเวลาเพียง 84 วันได้” แม้จะมีการกลับพิพากษาไม่ว่าจะมีการอ้างเหตุใดก็ตาม ชีวิตของ George Stinney Jr. ก็ไม่มีวันฟื้นคืน เช่นนี้แล้ว สหรัฐอเมริกายังมีความยุติธรรมมีอยู่จริงหรือ?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top