Friday, 30 May 2025
COLUMNIST

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#5 'มติอ่าวตังเกี๋ย' ผลักสหรัฐฯ ก้าวเข้าสู่สงครามเวียตนามเต็มตัว

ก่อนการเข้าสู่สงครามเวียตนามแบบเต็มตัวนั้น สหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนเวียตนามใต้ด้วยการมอบอาวุธยุทโธปกรณ์และที่ปรึกษาทางทหารประจำกองทัพ เวียตนามใต้ราว 1,500 นาย และด้วยความรุนแรงในเวียตนามที่ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ประธานาธิบดี Kennedy ได้สั่งให้เพิ่มจำนวนที่ปรึกษาของสหรัฐฯ ประจำกองทัพเวียตนามใต้อีกกว่าสิบเท่าเป็น 16,000 นาย

วันที่ 31 กรกฎาคม 1964 เรือพิฆาต USS Maddox ได้เริ่มภารกิจรวบรวมข่าวกรองในอ่าวตังเกี๋ย โดยมีนาวาเอก George Stephen Morrison เป็นผู้บัญชากองกำลังอเมริกันในพื้นที่ดังกล่าวจากเรือธง USS Bon Homme Richard โดย USS Maddox อยู่ภายใต้คำสั่งไม่ให้เข้าใกล้ชายฝั่งทางเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือน้อยกว่า 4 ไมล์ จากเกาะ Hon Nieu Mê โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Ticonderoga ลอยลำอยู่ใกล้ ๆ วันที่ 1 สิงหาคม 1964 เรือลาดตระเวนของเวียตนามเหนือที่ติดตาม USS Maddox ซึ่งอยู่ในภารกิจลับเพื่อสนับสนุนการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (DESOTO) ใกล้น่านน้ำเวียตนามเหนือ และมีการรบกวนการสื่อสารของ USS Maddox หลายครั้งชี้ให้เห็นว่า เวียตนามเหนือกำลังเตรียมการที่จะโจมตี USS Maddox จึงถอยห่างออกมา แต่ในวันรุ่งขึ้น 2 สิงหาคม USS Maddox ซึ่งมีความเร็วสูงสุด 28 นอตกลับมาลาดตระเวนอีกครั้ง แต่มีเรือตอร์ปิโด P-4 ของ เวียตนามเหนือ 3 ลำ แล่นด้วยความเร็วสูงสุด 50 นอต ได้แสดงท่าทีที่เป็นการคุกคาม USS Maddox มีการก่อกวนการสื่อสารแสดงให้เห็นว่า เรือตอร์ปิโด P-4 ของ เวียตนามเหนือตั้งใจจะโจมตี USS Maddox เมื่อเรือเวียตนามเหนือแล่นมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ USS Maddox จึงเปลี่ยนเส้นทางจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้ และเพิ่มความเร็วเป็น 25 นอต 

ตอนบ่ายของวันที่ 2 สิงหาคม 1964 ขณะที่เรือตอร์ปิโดเข้ามาใกล้ USS Maddox ก็ยิงเตือนไป 3 นัด จากนั้นเรือ เวียตนามเหนือก็เปิดฉากโจมตี USS Maddox ได้ส่งสัญญาณวิทยุแจ้งว่า กำลังถูกโจมตีจากเรือ 3 ลำ ในระยะ 10 ไมล์ทะเล ขณะที่แล่นอยู่ห่าง 28 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งเวียตนามเหนือในน่านน้ำสากล USS Maddox แจ้งว่า กำลังหลบหลีกการโจมตีด้วยตอร์ปิโดและได้เปิดฉากยิงโต้ตอบด้วยปืน 5 นิ้ว (127 มม.) เพื่อบังคับให้เรือตอร์ปิโดถอยออกไป แต่มีเรือตอร์ปิโด 2 ลำแล่นเข้ามาใกล้ไม่ถึง 5 ไมล์ทะเล และปล่อยตอร์ปิโดลำละลูก ซึ่งไม่เป็นผลเพราะแต่ละลูกไม่เข้าใกล้ USS Maddox เกินกว่า 100 หลาเลย ขณะที่ USS Maddox กำลังหลบอยู่นั้น เรือเวียตนามเหนือลำหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 5 นิ้วของ USS Maddox การปล่อยตอร์ปิโดเริ่มผิดพลาด เครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ F-8 4 ลำจากเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Ticonderoga จากนั้น 15 นาทีหลังจาก USS Maddox ได้ยิงกระสุนเตือนก็เปิดฉากโจมตีเรือตอร์ปิโด P-4 ซึ่งกองทัพเรือสหรัฐฯ อ้างว่า จมเรือตอร์ปิโด P-4 ได้หนึ่งลำ และเสียหายหนักอีกหนึ่งลำ และ USS Maddox ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากกระสุนขนาด 14.5 มม. จากปืนกลหนัก KPV ของเรือ P-4 เพียงนัดเดียวถูกตัวลำเรือ เมื่อกลับไปยังน่านน้ำเวียตนามใต้ USS Maddox ก็เข้าร่วมกับเรือพิฆาต USS Turner Joy ขณะที่ เวียตนามเหนืออ้างว่า USS Maddox ถูกยิงด้วยตอร์ปิโดหนึ่งลูก และมีเครื่องบินรบอเมริกันถูกยิงตก

การโจมตีระลอกที่ 2 ในวันที่ 4 สิงหาคม  1964 หน่วยลาดตระเวนตามภารกิจ DESOTO ลาดตระเวนนอกชายฝั่ง เวียตนามเหนือ โดย USS Maddox และ USS Turner Joy เพื่อ ทำการ "อวดธง" หลังจากเหตุการณ์โจมตีครั้งแรก คราวนี้มีคำสั่งให้เรือจะไม่เข้าใกล้เกินกว่า 11 ไมล์จากชายฝั่งของ เวียตนามเหนือ ในช่วงเย็นและเช้าตรู่ของสภาพอากาศที่รุนแรงและทะเลหนัก เรือพิฆาตได้รับสัญญาณเรดาร์ โซนาร์ และสัญญาณวิทยุที่เชื่อว่า เป็นการส่งสัญญาณเพื่อโจมตีอีกครั้งโดยกองเรือของเวียตนามเหนือ เป็นเวลา 4 ชั่วโมงที่เรือรบสหรัฐฯ ทั้งสองลำยิงไปยังเป้าหมายที่ปรากฏบนเรดาร์ และการรบดำเนินไปอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตามกองทัพเรือสหรัฐฯ อ้างว่า ได้จมเรือตอร์ปิโดโจมตีได้ 2 ลำ แต่ไม่ปรากฏซากปรักหักพัง และร่างลูกเรือ เวียตนามเหนือที่เสียชีวิต หรือหลักฐานทางกายภาพอื่น ๆ ในที่เกิดเหตุการสู้รบที่ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด 

ภายใน 30 นาทีหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมประธานาธิบดี Johnson ตัดสินใจโจมตีตอบโต้ (ตามปฏิบัติการ "Operation Pierce Arrow") ในวันเดียวกันนั้นเองประธานาธิบดี Johnson มีการใช้ "สายด่วน" (Hot Line) คุยกับกรุงมอสโก และได้รับคำรับรองว่าโซเวียตไม่มีเจตนาในการขยายสงครามในเวียตนามให้รุนแรงขึ้น ดังนั้นเช้าวันที่ 5 สิงหาคม 1964 ประธานาธิบดี Johnson ได้มีการปราศรัยต่อสาธารณชนเอเมริกันเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้โดยระบุว่า "ความมุ่งมั่นของชาวอเมริกันทุกคนที่จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่เรามีต่อประชาชนและรัฐบาล เวียตนามใต้จะทวีความรุนแรงขึ้น" ในวันที่ 5 สิงหาคม เวลา 10:40 น. หนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีหลังจากการปราศรัยของประธานาธิบดี Johnson เครื่องบินรบของสหรัฐฯ ก็ไปถึงเป้าหมายใน เวียตนามเหนือ เครื่องบินทิ้งระเบิดฐานทัพเรือ 4 แห่ง และคลังน้ำมันในเมือง Vinh

หลังจากนั้น รัฐสภาอเมริกันได้ทำการออก "มติอ่าวตังเกี๋ย" (Gulf of Tonkin Resolution) อันมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในเวลาต่อมาโดยเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งกำลังทหารสหรัฐฯ เข้าไปใน เวียตนามใต้ เพราะมติดังกล่าวมอบอำนาจแก่ ประธานาธิบดี Johnson ให้ใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ต้องรอมติการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการจากรัฐสภาเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มติดังกล่าวมอบอำนาจแก่ประธานาธิบดีในการกระทำการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุน "สมาชิกหรือรัฐภาคีใด ๆ ของสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (SEATO) ซึ่งรวมไปถึงการใช้กำลังทหารด้วย มติดังกล่าวได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ในสภาผู้แทนราษฎร ต่อมารัฐบาลของประธานาธิบดี Johnson อาศัยอำนาจตามมติดังกล่าวเริ่มต้นการยกระดับความเกี่ยวข้องทางทหารของสหรัฐใน เวียตนามใต้ และเป็นการทำสงครามโดยเปิดเผยระหว่างเวียตนามเหนือกับสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหรัฐฯ ถอนทหารจาก เวียตนามใต้ใน ปี 1973 ตามข้อตกลงสันติภาพปารีส 1973 (ลงนามเมื่อ 27 มกราคม 1973) เชลยศึกอเมริกันได้รับการปล่อยตัวโดยเวียตนามเหนือเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ และกำลังทหารอเมริกันถอนออกจากเวียตนามใต้ในวันที่ 29 มีนาคมในปีเดียวกัน 

ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) เกี่ยวกับเหตุการณ์การรบทางเรือที่อ่าวตังเกี๋ย ปี 1964 โดย John White อดีตนายทหารเรือได้เขียนจดหมายถึงบรรณาธิการ New Haven (CT) Register ในปี 1967 ว่า "ผมขอยืนยันว่าประธานาธิบดี Johnson รัฐมนตรีกลาโหม McNamara และประธานเสนาธิการร่วมได้ให้ข้อมูลเท็จแก่รัฐสภา ในรายงานของพวกเราเกี่ยวกับเรือพิฆาตสหรัฐฯ ซึ่งถูกโจมตีในอ่าวตังเกี๋ย" ต่อมาในปี 1968 White ได้เดินทางมามาวอชิงตันเพื่อพบกับวุฒิสมาชิก Fulbright เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวลของเขาโดยเฉพาะรายงานความผิดพลาดของโซนาร์ ต่อมาในปี 1981 นาวาเอก Herrick และ Robert Scheer นักข่าวตรวจสอบบันทึกปูมเรือของ Herrick อีกครั้ง เพื่อหาความจริงในการถูกยิงด้วยตอร์ปิโดจากรายงานครั้งแรกเมื่อ 4 สิงหาคม 1964 ซึ่ง Herrick ได้ระบุว่า "เกิดการโจมตี" ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีมูลความจริง บทความในปี 1981 ของ Herrick และ Scheer สรุปความไม่ถูกต้องของรารยงานครั้งแรกซึ่งแสดงว่า ไม่มีการโจมตีโดยเรือรบของเวียตนามเหนือในขณะนั้น แต่ผบ.และลูกเรือของ USS Maddox ทั้งหมดกล่าวว่า พวกเขามั่นใจว่ามีการโจมตีเกิดขึ้น เป็นผลให้มีการโจมตีฐานทัพเรือของเวียตนามเหนือ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านเชื้อเพลิงในระหว่างปฏิบัติการ Operation Pierce Arrow 

พลเรือตรี James Stockdale อดีตเชลยศึกใน เวียตนามเหนือ ผู้เป็นหนึ่งในนักบินของสหรัฐฯ ที่บินโจมตีในระลอกที่สอง เขียนไว้ในหนังสือ Love and War ปี 1984 ว่า "ผมอยู่ในที่นั่งที่ดีที่สุดเพื่อดูเหตุการณ์นั้น เรือพิฆาตของเราก็ยิงไปที่เป้าหมายผี เพราะไม่มีเรือ P-4 ที่นั่น ไม่มีอะไรที่นั่นเลย ทะเลที่มืดสนิทสว่างไปด้วยอำนาจการยิงของเรือรบอเมริกัน" โดย Stockdale ระบุอีกครั้งว่า “เห็น USS Turner Joy เล็งปืนไปยัง USS Maddox” Stockdale กล่าวว่า “เขาถูกผู้บังคับบัญชาสั่งให้ปกปิดเรื่องนี้” หลังจากที่ถูกยิงตก กลายเป็นเชลยศึกในเวียตนามเหนือ เรื่องนี้กลายเป็นภาระหนัก เขาได้กล่าวในภายหลังว่า เขากังวลว่าผู้ที่จับกุมจะบังคับให้เขาเปิดเผยสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์โจมตีในระลอกที่ 2 

ปี 1995 Võ Nguyên Giáp อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของเวียดนามได้พบกับอดีตรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ McNamara โดย Võ Nguyên Giáp ปฏิเสธว่า เรือรบเวียตนามเหนือไม่ได้โจมตีเรือพิฆาตอเมริกันในวันที่ 4 สิงหาคม 1964 ในขณะที่ยอมรับการโจมตีในวันที่ 2 สิงหาคม เทปการสนทนาของการประชุมหลายสัปดาห์หลังจากมติอ่าวตังเกี๋ย ถูกเผยแพร่เมื่อ ปี 2001 แสดงว่า McNamara ได้อธิบายข้อสงสัยให้กับประธานาธิบดี Johnson ว่า มีการโจมตีเรือรบอเมริกันเกิดขึ้น ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1999 Eugene Poteat อดีตเจ้าหน้าที่ CIA เขียนว่า เขาถูกถามในต้นเดือนสิงหาคม 1964 เพื่อตรวจสอบรายงานของเจ้าหน้าที่เรดาร์แสดงถึง การโจมตีของเรือตอร์ปิโดเวียตนามเหนือว่า เป็นจริงหรือเป็นการจินตนาการ เขาได้ขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวลาสภาพอากาศและสภาพผิวน้ำ แต่ไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด ในท้ายที่สุดเขาได้สรุปว่า ไม่มีเรือตอร์ปิโดในคืนที่สงสัย และทำเนียบขาวให้ความสนใจในการยืนยันว่า "มีการโจมตี ไม่ใช่ ไม่มีการโจมตี "

ในเดือนตุลาคม 2012 พลเรือตรี Lloyd "Joe" Vasey (เกษียณ) ถูกสัมภาษณ์โดย David Day ใน Asia Review และได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม พลเรือตรี Vasey ซึ่งอยู่บนเรือ USS Oklahoma City เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธชั้น Galveston ซึ่งแล่นอยู่ในอ่าวตังเกี๋ยด้วย และเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้บัญชาการกองเรือที่ 7 โดย USS Turner Joy ทำการส่งสัญญาณวิทยุรบกวนวิทยุสื่อสารของเวียตนามเหนือ ซึ่งสั่งการให้เรือตอร์ปิโดเปิดฉากโจมตี USS Turner Joy และ USS Maddox หลังจากนั้นไม่นานเรดาร์ได้รับ "หลายรายสัญญาณความเร็วสูง" ถูกล็อกและบันทึกโดย USS Turner Joy ซึ่งได้ยิงทำลายเป้าหมายที่ล็อกได้ โดยมีพยาน 18 นายทั้งลูกเรือและนายทหารซึ่งรายงานทุกแง่มุมในการโจมตี อาทิ ควันจากเรือตอร์ปิโดที่ถูกยิง (รายงานโดยบุคคลที่แยกกัน 4 นาย บนเรือพิฆาตแยกลำสอบสวน) การพบเห็นเรือตอร์ปิโดที่แล่นผ่าน ตลอดจนแสงไฟต่าง ๆ พยานทั้ง 18 นายเป็นพยานในการพิจารณาคดีที่เมืองโอลองกาโป ประเทศฟิลิปปินส์ โดยคำให้การของพวกเขาถูกจัดเก็บเป็นบันทึกสาธารณะ ในปี 2014 ซึ่งครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น John White ได้เขียน เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย – ห้าสิบปีต่อมา : เชิงอรรถเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสงคราม เวียตนาม ได้สรุปยืนยันว่า รายงานโซนาร์ของ USS Maddox ทำงานผิดพลาด โดยที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี Johnson เองก็รับรู้ ดังนั้น เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยตามเรื่องนี้จะ ถูก ผิด เท็จ จริง เป็นเช่นไรนั้น คงเป็นเรื่องที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าหาความจริงกันต่อไป แต่สิ่งที่เรียกคืนไม่ได้ก็คือ ชีวิตของมนุษยชาติหลายล้านคนที่สูญสิ้นไปด้วยผลของสงครามที่เกิดจากเหตุการณ์นี้

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

'ไซบีเรียที่กำลังลุกไหม้' วิกฤตไฟป่ารัสเซียทวีความรุนแรง ท่ามกลางภาวะสงครามและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไฟป่าได้กลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงและต่อเนื่องในรัสเซีย โดยเฉพาะในภูมิภาคไซบีเรียที่มีพื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ ความรุนแรงของไฟป่าในปี ค.ศ. 2024 และต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 2025 ได้จุดกระแสความวิตกกังวลทั้งในประเทศและในเวทีระหว่างประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังดำเนินอยู่ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไฟป่าในไซบีเรียจึงมิใช่เพียงแค่ภัยธรรมชาติ หากแต่เป็นภาพสะท้อนของความเปราะบางในเชิงนโยบายรัฐ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในยุคแห่งความไม่แน่นอน

ภูมิภาคไซบีเรียมีลักษณะเป็นพื้นที่ทุนธรรมชาติที่สำคัญของโลกโดยเฉพาะป่าทุนดราและไทกาซึ่งทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ แต่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในภูมิภาคนี้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงสองเท่าส่งผลให้แหล่งพีตและดินเยือกแข็ง (permafrost) เริ่มละลายทำให้เชื้อไฟเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันฝุ่นควันจากไฟป่าได้แพร่กระจายไกลถึงแคนาดาและยุโรปส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และคุณภาพอากาศโลก

จากรายงานจากหน่วยงานควบคุมป่าไม้ของรัสเซีย «Рослесхоз» ระบุว่า ในช่วงเมษายน ค.ศ. 2025 พื้นที่ป่าที่ได้รับความเสียหายจากไฟมีมากกว่า 500,000 เฮกตาร์ในไซบีเรียตะวันออกและตะวันตก โดยเฉพาะในแคว้นครัสโนยาสค์ «Красноярский край»  แคว้นอีร์คุตสค์ «Иркутск» สาธารณรัฐบูเรียทเทีย «Бурятия» และสาธารณรัฐซาฮาหรือยาคูเทีย «Республика Саха (Якутия)» สาเหตุหลักเกิดจากอุณหภูมิที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและความแห้งแล้งยาวนาน ซึ่งเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ทั้งนี้ไฟป่าไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในไซบีเรีย แต่ขอบเขตของมันในช่วงหลังเริ่มมีลักษณะเรื้อรังและควบคุมได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ไฟป่าส่วนใหญ่เกิดจากการเผาหญ้าในไร่ที่ควบคุมไม่ได้ ผนวกกับสภาพอากาศแห้งจัดและลมแรง ทำให้ไฟลุกลามรวดเร็ว หลายหมู่บ้านถูกตัดขาด การอพยพดำเนินได้อย่างจำกัดเพราะทรัพยากรฉุกเฉินไม่เพียงพอ

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้ไฟป่ามีความรุนแรงมาจาก 1) สภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิสูงผิดปกติ: ภูมิภาคไซบีเรียเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทำให้พื้นดินแห้งและเป็นเชื้อเพลิงที่ดีสำหรับไฟป่า 2) ไฟซอมบี้ (Zombie Fires) หรือที่บางครั้งเรียกว่า “Holdover Fires” หรือ “Overwintering Fires” คือไฟป่าที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ใต้ดินในชั้นพีต (peat) หรืออินทรียวัตถุในดินแม้ผ่านฤดูหนาวไปแล้วกลับมาปะทุอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนที่มีสภาพอากาศแห้งและมีเชื้อเพลิงเพิ่มเติม โดยแทบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ไฟเหล่านี้สามารถปะทุขึ้นมาอีกครั้งและลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยคำว่า “ซอมบี้” ใช้อุปมาว่าไฟพวกนี้เหมือนซากที่ไม่ยอมตายแม้จะถูกฝัง (ด้วยหิมะหรือความเย็น) แต่ก็ยังคง “มีชีวิต” อยู่ในความมืดใต้พื้นดิน แล้วกลับมา “ลุกขึ้น” ใหม่อย่างเงียบเชียบและอันตราย โดยนักวิทยาศาสตร์จาก Copernicus Atmosphere Monitoring Service (CAMS) และ University of Alaska ได้ระบุว่าไฟซอมบี้อาจกลายเป็นปรากฏการณ์ประจำปีของไซบีเรีย 3) การขาดแคลนทรัพยากรในการดับไฟ: เนื่องจากรัสเซียมีการส่งทหารจำนวนมากไปยังแนวรบในยูเครน ทำให้กำลังพลและอุปกรณ์ในการควบคุมไฟป่ามีจำกัด ส่งผลให้การดับไฟเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ทั่วถึง

ภายใต้ยุคของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน การจัดการไฟป่ามีลักษณะเฉพาะ 3 ประการ
1) การรวมศูนย์อำนาจ (Centralization) นับตั้งแต่การปฏิรูปรัฐบาลภูมิภาคในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินพยายามลดบทบาทของผู้ว่าการท้องถิ่น โดยให้รัฐบาลกลางควบคุมการแต่งตั้งบุคลากรเจ้าหน้าที่และทรัพยากร ส่งผลให้เมื่อเกิดไฟป่าหน่วยงานท้องถิ่นมีอำนาจจำกัดในการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ
2) การจัดการเชิงภาพลักษณ์ (Symbolic Leadership) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินมักลงพื้นที่หรือมีการประชุมวิดีโอแสดงความห่วงใยทุกครั้งที่เกิดไฟป่าใหญ่ เช่น เหตุการณ์ในแคว้นครัสโนยาสค์ หรือยาคูเทีย แต่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ตามมา ทำให้เกิดคำวิจารณ์ว่าภาวะผู้นำของปูตินเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
3) การโยนความรับผิดชอบ (Blame Deflection) รัฐบาลมักอ้างว่าสาเหตุของไฟป่ามาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หรือ พฤติกรรมมนุษย์ โดยหลีกเลี่ยงการพูดถึงข้อจำกัดของกลไกรัฐ ในบางกรณีประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินออกมาตำหนิรัฐบาลท้องถิ่นและสั่งการผ่านสื่อโดยไม่มีกลไกสนับสนุนอย่างเป็นระบบ

ท่ามกลางภาวะสงครามงบประมาณรัฐจำนวนมากถูกเบนไปยังการทหาร ทำให้ขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติลดลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจาก Greenpeace Russia ระบุว่าในปี ค.ศ. 2023 พื้นที่ไฟป่าในไซบีเรียเกิน 4 ล้านเฮกตาร์ ขณะที่รัฐสามารถควบคุมได้เพียงไม่ถึงครึ่ง เนื่องจากหน่วยงานดับเพลิงในบางพื้นที่ขาดงบประมาณและบุคลากรเนื่องจากทรัพยากรถูกเบนไปสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน จากรายงานของสื่ออิสระ The Insider มีการเปิดเผยว่าเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์สำหรับดับเพลิงในบางภูมิภาคถูกปรับใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารในยูเครน  เจ้าหน้าที่ภาคสนามจำนวนมากถูกส่งไปเป็นทหารหรือขาดงบในการฝึกอบรม ส่งผลให้ไฟป่าหลายแห่งลุกลามโดยไม่มีหน่วยงานรัฐเข้าไปควบคุมได้ทันท่วงที ทำให้เจ้าหน้าที่ดับไฟในหลายภูมิภาคต้องทำงานภายใต้ทรัพยากรจำกัด ในขณะที่การสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับภัยไฟป่ากลับไม่โปร่งใส ระบบเตือนภัยและการสื่อสารชำรุดล้าสมัยไม่ได้รับการพัฒนา เนื่องจากงบประมาณด้านความมั่นคงเน้นที่การทหาร ทั้งนี้วิกฤตไฟป่าจึงสะท้อนความล้มเหลวของรัฐในการวางนโยบายสิ่งแวดล้อมและจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน  สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “รัฐบาลของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินสามารถรักษาความมั่นคงภายในได้จริงหรือไม่ ขณะที่ประเทศกำลังสู้รบภายนอก?”

ไฟป่าในไซบีเรียมีผลกระทบของต่อความมั่นคงและทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างมาก ไฟป่าได้เผาทำลายพื้นที่ป่าไทกา (Taiga) ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญของโลก นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติของรัสเซีย เช่น น้ำมัน แร่ และไม้ ซึ่งไซบีเรียมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจพลังงาน ไฟป่าอาจกระทบต่อเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมระหว่างรัสเซีย จีน และเอเชียตะวันออกไฟป่ายังส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพาการทำป่าไม้ การล่าสัตว์ และการเกษตร ทั้งยังทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและเครือข่ายไฟฟ้า ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลจำนวนมากต้องอพยพ โดยไม่มีการชดเชยหรือการดูแลอย่างเป็นระบบ ในระดับมหภาคเศรษฐกิจรัสเซียที่เผชิญการคว่ำบาตรจากตะวันตกอยู่แล้วยิ่งได้รับผลกระทบซ้ำจากภัยพิบัติดังกล่าว สถานการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายลงในพื้นที่ที่มีความตึงเครียดเชิงชาติพันธุ์ เช่น แคว้นที่อยู่ทางด้านตะวันออกที่ประชากรเป็นชนกลุ่มน้อย 

การปล่อยให้ไฟป่าลุกลามในพื้นที่กว้างโดยไม่สามารถควบคุมได้ อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงในหลายระดับ ดังนี้ 
1) ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม: ไฟป่าทำลายระบบนิเวศ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก และเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน 
2) ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ: สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมไม้ การเกษตร และสุขภาพของประชาชน
3) ความมั่นคงทางสังคมและการเมือง: ความไม่พอใจของประชาชนในภูมิภาคที่รู้สึกว่าไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะในบริบทของสงครามอาจจุดชนวนให้เกิดการต่อต้านหรือกระแสชาตินิยมระดับภูมิภาคได้

โดยดานิล เบซโซนอฟ «Даниил Безсонов» นักรัฐศาสตร์ชาวรัสเซียเคยชี้ว่า “ปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติที่ไม่สามารถควบคุมได้นั้นเป็นเหมือนสัญญาณอ่อนแอ (weak signal) ที่บ่งบอกถึงการเสื่อมถอยของกลไกรัฐในระดับภูมิภาค” นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศหลายคนได้ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียหันมาสนใจปัญหาภายในประเทศก่อน โดยเฉพาะเรื่องไฟป่าในไซบีเรีย ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่จัดการอย่างจริงจัง อาจกลายเป็นมหันตภัยรุนแรงซ้ำรอยอดีตอีกครั้ง องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและประชาชนทั่วไปมีการเปิดคำร้องผ่านเว็บไซต์ change.org เรียกร้องให้ทางการจัดการไฟป่าอย่างจริงจัง ซึ่งล่าสุดมีการรวบรวมลายมือชื่อมากกว่า 800,000 คน

การจัดการไฟป่าที่ล้มเหลวกลายเป็นแหล่งความไม่พอใจในบางภูมิภาคของไซบีเรีย เช่น การประท้วงในยาคูเตียและคราสโนยาร์สค์ที่ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลกลางสนับสนุนการดับไฟมากขึ้น รวมถึงการวิจารณ์จาก NGOs และสื่ออิสระที่ถูกจำกัดการนำเสนอข้อมูลโดยรัฐ องค์กร NGOs เช่น Greenpeace Russia ที่นำเสนอข้อมูลด้านลบถูกประกาศเป็น 'องค์กรต่างชาติ' (foreign agent)

การรับมือกับไฟป่าในไซบีเรียยังมีมิติเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากฝุ่นควันจากไฟป่าได้เคลื่อนข้ามพรมแดน และรัสเซียเองก็เป็นภาคีในความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่การบริหารจัดการภายในประเทศกลับสวนทางกับพันธะสัญญานานาชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ของรัสเซียในเวทีโลกเสื่อมถอยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญหาไฟป่าในไซบีเรียกลายมาเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานวิพากษ์นโยบายรัฐรัสเซียที่ให้ความสำคัญกับสงครามมากกว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยรัสเซียถูกกล่าวหาว่าละเลยพันธะในสนธิสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยเฉพาะเมื่อไฟป่าในไซบีเรียเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงต่อเนื่องกันหลายปี

บทสรุป ไฟป่าในไซบีเรียคือวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เชื่อมโยงกันระหว่างสงคราม การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และการบริหารจัดการของรัฐในระยะยาว หากไม่มีการปฏิรูประบบจัดการสิ่งแวดล้อมและคืนอำนาจแก่ท้องถิ่นในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ไฟป่าจะไม่เพียงเผาผลาญต้นไม้ แต่จะกัดกร่อนเสถียรภาพของรัฐและความมั่นคงในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมกันนั้นสถานการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความลักลั่นในการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลกลางที่ให้ความสำคัญกับสงครามภายนอกมากกว่าสวัสดิภาพของประชาชนภายใน หากรัฐไม่สามารถหาจุดสมดุลระหว่าง “ความมั่นคงทางทหาร” กับ “ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและมนุษย์” ได้ในระยะยาว ปัญหาอย่างไฟป่าอาจกลายเป็นชนวนเรื้อรังที่คุกคามเสถียรภาพของรัสเซียจากภายในต่อไปในอนาคต

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#4 “สงครามกลางเมืองในกัมพูชา” คร่าชีวิตคนนับล้าน

(15 เม.ย. 68) อีกหนึ่งสมรภูมิในสงครามอินโดจีนคือ “สงครามกลางเมืองในกัมพูชา” หลังจากนาวิกโยธินสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบกในเวียตนามใต้ในเดือนมีนาคม 1965 ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความพยายามในการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในเวียตนามใต้ ในไม่ช้าหน่วยอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกาก็ตามมา กองกำลังคอมมิวนิสต์ (เวียตนามเหนือและเวียตกง) ได้เพิ่มการโจมตีทั้งกองทหารอเมริกันและกองทัพเวียตนามใต้ สหรัฐฯ จึงส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายในเวียตนามเหนือ เมื่อเจ้าสีหนุกษัตริย์กัมพูชาทรงตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา และทรงเสริมสร้างความสัมพันธ์กับเวียตนามเหนือ แม้ว่าพระองค์จะทรงรู้สึกไม่ไว้วางใจเวียตนามเช่นเดียวกับเขมรแดงก็ตาม ในปี 1967 กองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังกบฏเวียตนามใต้ (เวียตกง) ปฏิบัติการจากเขตป่ารักษาพันธุ์ซึ่งตั้งอยู่ในกัมพูชา กองกำลังสหรัฐและเวียตนามใต้ได้ทำการตอบโต้ด้วยการบุกข้ามพรมแดนมาโจมตีกองกำลังดังกล่าวในกัมพูชา 

เดือนมีนาคม 1969 ในความพยายามที่จะทำลายเส้นทางการขนส่งเสบียงของเวียตนามเหนือ ประธานาธิบดีนิกสันได้สั่งการทางลับให้กองทัพอากาศสหรัฐทำการทิ้งระเบิดโดยไม่มีการจำกัดพื้นที่ในเขตกัมพูชาตะวันออก ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้าสีหนุได้ทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา แต่ในขณะนั้น สถานะของพระองค์ในกัมพูชากลับไม่มั่นคงอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม 1970 ขณะที่พระองค์เสด็จเยือนสหภาพโซเวียต สมัชชาแห่งชาติกัมพูชาได้ลงมติถอดถอนพระองค์ออกจากตำแหน่งประมุข หลังจากที่มีการประท้วงอย่างกว้างขวางในเมืองหลวงเพื่อต่อต้านการมีอยู่ของกองทัพเวียตนามเหนือในประเทศ ในเวลาต่อมาจอมพล Lon Nol ได้เข้าควบคุมรัฐบาลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประขาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ราชอาณาจักรกัมพูชา) เป็นประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ (สาธารณรัฐกัมพูชา) เจ้านโรดมสีหนุจึงเสด็จไปประทับยังกรุงปักกิ่ง และทรงรับคำแนะนำจากจีนให้ทรงต่อต้านการรัฐประหารโดยการเข้าควบคุมรัฐบาลแนวร่วมพลัดถิ่น ซึ่งรัฐบาลดังกล่าวเป็นพันธมิตรกับจีนและเวียตนามเหนือ และใช้กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) ที่นำโดย Saloth Sar ซึ่งเพียงไม่กี่วันก่อนนั้นได้สู้รบกับกองทัพกัมพูชาของพระองค์เอง

รัฐบาลใหม่ของจอมพล Lon Nol ได้รับความนิยมในช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคำมั่นสัญญาอันเพ้อฝันของเขาที่จะกำจัดกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียตนามออกจากกัมพูชา แต่ในความเป็นจริง การเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นได้ลากกัมพูชาเข้าสู่ความขัดแย้งในเวียตนามอย่างสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 1970 กองกำลังเฉพาะกิจของกองทัพสหรัฐและเวียตนามใต้บุกโจมตีกัมพูชาตะวันออก แต่กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้ล่าถอยไปทางตะวันตกแล้ว จากนั้นรัฐบาล Lon Nol ได้เปิดฉากขึ้นโจมตีสองครั้ง และถูกกองทัพเวียตนามเหนือโจมตีกลับ แล้วหลังจากนั้น กองทัพของรัฐบาล Lon Nol ก็เริ่มตั้งรับ เมื่อการสนับสนุนเขมรแดงของเวียตนามเหนือลดลงในปี 1973 หลังจากข้อตกลงหยุดยิงที่ปารีสกับกองทัพสหรัฐ แต่เขมรแดงปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง แต่พวกเขายังคงถูกโจมตีทางอากาศจากสหรัฐฯ อย่างหนัก แม้ว่า สหรัฐฯ และกัมพูชาจะไม่ได้อยู่ในสภาวะสงครามต่อกัน และกองทหารสหรัฐเองก็ไม่ประสบภัยอันตรายจากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม แม้ว่าการทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ทำให้การโจมตีของเขมรแดงต่อกรุงพนมเปญช้าลง แต่กลับเป็นสร้างความหายนะให้กับชนบทรอบเมืองหลวงที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นแทน ในปลายปี 1973 รัฐบาล Lon Nol ก็ควบคุมได้เพียงแต่กรุงพนมเปญ ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเมืองในจังหวัดต่าง ๆ ไม่กี่แห่งเท่านั้น ระหว่างนั้นเจ้าสีหนุก็ทรงเสื่อมความสำคัญลง เมื่อสิ้นสุดปี 1973 เขมรแดงได้ครอบงำทุกองค์ประกอบของกลุ่มต่อต้านไว้หมดแล้ว แต่คงอ้างว่า เจ้าสีหนุยังทรงเป็นผู้นำเขมรแดงอยู่ ขณะนั้นระบอบการปกครองอันโดดเดี่ยวของ Lon Nol ในกรุงพนมเปญยังคงได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างมากมาย และที่สุดในเดือนเมษายน 1975 รัฐบาลของ Lon Nol ก็ล่มสลายลง กองกำลังเขมรแดงได้บุกเข้ายึดกรุงพนมเปญอย่างรวดเร็ว และสั่งให้ชาวเมืองละทิ้งเมืองไปใช้ชีวิตในพื้นที่ชนบททันที กรุงพนมเปญและเมืองเล็ก ๆ ทั่วประเทศถูกกวาดล้างในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ชาวกัมพูชาหลายพันคนเสียชีวิตระหว่างการถูกบังคับเดินทางไปยังชนบท และในเวลาต่อมา สภาพความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชาก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ในห้วงเวลานั้นมีชาวกัมพูชานับล้านคนพยายามอพยพหลบหนีออกจากกัมพูชา และในจำนวนนั้นหลายแสนคนได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในค่ายผู้อพยพในราชอาณาจักรไทย

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

ครั้งหนึ่งสหรัฐฯ เคยคิดสร้าง 'อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย' หวังโชว์เสรีภาพให้โลกเห็น แต่สุดท้ายได้เพียงภาพร่างและพิมพ์เขียว

รู้ไหมว่า… สหรัฐอเมริกาไม่เคยมี 'อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย'?

ใช่—อเมริกามีเทพีเสรีภาพ มีอนุสรณ์สถานประธานาธิบดี มีอาคารรัฐสภา และเทพีต่าง ๆ ที่ยืนถือคบเพลิงหรือคัมภีร์กฎหมาย แต่... ไม่มีอนุสาวรีย์แห่ง 'ประชาธิปไตย' โดยตรงเลยสักแห่ง

นั่นคือเหตุผลที่ในปี 1954 มีคนกลุ่มหนึ่งฝันจะสร้างมันขึ้นมาที่ซานเปโดร
ฝั่งตะวันตกของประเทศ ที่ซึ่งผืนน้ำแปซิฟิกทอดตัวยาวออกสู่เอเชีย ออสเตรเลีย และทั่วโลก

โครงการนี้มีชื่อว่า Monument to Democracy — อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

มันไม่ได้เป็นแค่โครงสร้างเหล็กและทองสัมฤทธิ์ แต่มันเป็นถ้อยแถลงของอุดมการณ์ เป็นคำตอบที่อเมริกาต้องการจะมอบให้โลก ในยุคที่กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อจิตวิญญาณของมนุษยชาติ

ผู้ผลักดันคือ John Anson Ford สมาชิกสภาเขตลอสแองเจลิส ที่เชื่อมั่นว่า

> “ประชาธิปไตยไม่ควรเป็นสิ่งสงวนของคนผิวขาว... ประชาชนจากทุกเชื้อชาติกำลังจับตามองอเมริกา ว่าจะรักษาคำมั่นแห่งเสรีภาพไว้ได้จริงหรือไม่”

รูปแบบอนุสาวรีย์ถูกออกแบบโดย Millard Sheets และ Albert Stewart อย่างวิจิตรยิ่งใหญ่ รูปปั้นสูงกว่าเทพีเสรีภาพถึงเท่าตัว ตั้งอยู่บนฐานพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์ ที่บอกเล่าเส้นทางของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการไขว่คว้าสู่เสรีภาพ

แต่... ความฝันนี้ถูกพับเก็บ
ถูกกลืนหายไปกับการเมือง งบประมาณ และความเฉยชา
สหรัฐฯ จึงยังคงไม่มี "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" จนถึงทุกวันนี้
ไม่มีสถานที่ที่บอกกับเด็ก ๆ ว่า ประชาธิปไตยคืออะไร และใครเป็นเจ้าของมัน
ไม่มีพื้นที่ที่คนผิวดำ ผิวเหลือง หรือผิวแดงจะรู้สึกว่า “ที่นี่ของฉันด้วย”

สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงภาพร่าง พิมพ์เขียว และความเศร้าลึกในใจของนักประวัติศาสตร์ ว่าอเมริกา... อาจเคยใกล้จะมีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่สุดในโลกแล้ว — แต่กลับปล่อยให้มันสูญหายไปในม่านหมอกของอดีต

สถาปัตยกรรมแห่งโรงเบียร์ Carlsberg กับคำ “จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” สะท้อนภาพทั้งไทย - เดนมาร์ก ยังต้องการคนทำงานที่รักชาติรักแผ่นดิน

กลางเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่พระราชวังหรือมหาวิทยาลัยเก่าแก่ หากแต่เป็น 'ประตูช้าง' ของโรงเบียร์ Carlsberg ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1901 รูปปั้นช้างหินทั้งสี่ตัวแบกเสาหินขนาดใหญ่ไว้บนหลัง ด้วยสายตาที่สงบนิ่งแต่ทรงพลัง เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์เงียบแห่งอุตสาหกรรมเบียร์ที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในยุโรป

บนซุ้มด้านบนของประตู มีอักษรละตินสลักไว้ว่า “Laboremus pro Patria” แปลว่า
“จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด”

คำเพียงไม่กี่คำนี้ กลายเป็นหัวใจของบทเรียนทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างสยามกับเดนมาร์กได้อย่างแนบแน่น

ย้อนกลับไปในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1934 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้เสด็จเยือน Carlsberg อย่างเป็นทางการ นับเป็นหนึ่งในหมุดหมายของความสัมพันธ์ทางการทูตและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งระหว่างสองราชวงศ์ Carlsberg ถึงกับผลิตเบียร์พิเศษที่มีชื่อว่า Royal Siam Lager พร้อมสัญลักษณ์ตราครุฑ ธงช้างเผือก และธงชาติเดนมาร์ก เพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จครั้งนั้น

สิ่งที่น่าประทับใจคือ การที่สัญลักษณ์ 'ช้าง' ปรากฏทั้งในฝั่งไทยและเดนมาร์กโดยมิได้นัดหมาย ในสยาม ช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และอำนาจอันชอบธรรม ขณะที่ในเดนมาร์ก ช้างทั้งสี่ตัวคือภาพแทนของพลัง ความมั่นคง และความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง

คำว่า “จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” ที่ถูกสลักไว้อย่างมั่นคงบนประตูแห่งนี้ มิใช่เพียงถ้อยคำปลุกใจในยุคอุตสาหกรรม หากยังเป็นหลักคิดอันทรงพลังที่ส่งผ่านมายังผู้คนในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในยุคที่โลกหมุนเร็ว ความรักชาติไม่ควรเป็นแค่คำพูด หรือสัญลักษณ์ แต่ควรเป็นการลงมือทำ—ในสิ่งเล็กที่สุดแต่เต็มไปด้วยความหมาย

ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด ศาสนาใด หรือแผ่นดินใด คำว่า “ทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” ย่อมไม่สิ้นความหมาย หากยังมีผู้ศรัทธาว่าการลงมือทำ ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่น คือการตอบแทนบ้านเกิดด้วยมือของเราเอง

บางที... ช้างหินที่นิ่งเงียบเหล่านั้น อาจไม่ได้เป็นแค่ประติมากรรมเพื่อการเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นคำเตือนใจอันมั่นคง ว่าแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่แผ่นดินยังคงต้องการคนทำงานรักชาติรักแผ่นดิน

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#2 สงครามเวียดนาม ที่สหรัฐอเมริกาเข้าร่วม

(12 เม.ย. 68) ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#2 ‘สงครามเวียดนามที่สหรัฐอเมริกาเข้าร่วม’

“ข้อตกลงเจนีวา (1954)” ได้ยุติสงครามระหว่างขบวนการเรียกร้องเอกราชในเวียตนามซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนกับกองกำลังยึดครองอาณานิคมของฝรั่งเศสได้สำเร็จ แต่ “ข้อตกลงเจนีวา (1954)” ก็แบ่งเวียดนามออกเป็นสองฝ่ายอีกครั้ง เวียตมินห์ซึ่งนำโดย ‘โฮจิมินห์’ ควบคุมเวียตนามภาคเหนือ และฝรั่งเศสควบคุมภาคใต้ โดยจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 1956 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลสำหรับทั้งประเทศ ฝรั่งเศสส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา นำโดย ‘โง ดินห์ เดียม’ ในภาคใต้ แต่ ‘เดียม’ ปฏิเสธที่จะจัดการเลือกตั้งจึงส่งผลให้เกิดสงครามอีกครั้งหนึ่ง ‘เดียม’ ซึ่งเป็นนับถือโรมันคาธอลิก ได้ออกกฎหมายเลือกปฏิบัติต่อชาวพุทธซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่มากมาย จึงทำให้เขาไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนเวียดนามใต้ส่วนใหญ่

แม้ว่าในข้อตกลงจะระบุว่า “เส้นแบ่งเขตทางทหาร (เส้นขนานที่ 17)” เป็นเพียงการใช้ชั่วคราวและไม่ใช่ขอบเขตทางการเมือง แต่ในทางปฏิบัติสหรัฐอเมริกากลับยอมรับให้เวียดนามใต้เป็นประเทศอิสระ และให้การสนับสนุนทั้งทางการทหารและการเงิน แต่แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติของเวียดนามใต้ที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์ (‘เวียดกง (VC)’ หรือที่ทหารอเมริกันเรียกว่า ‘ชาลี’) ไม่ยอมรับการบริหารของ ‘เดียม’ ซึ่งพวกเขามองว่า ‘เดียม’ เป็นหุ่นเชิดของอเมริกัน ด้วยความช่วยเหลือของกองทัพประชาชนเวียดนามเหนือ พวกเขาเริ่มการต่อสู้เพื่อรวมเวียดนามให้เป็นหนึ่งภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียตนามและต่อต้านการเข้าทาแทรกแซงด้วยกำลังทหารของสหรัฐอเมริกา

ในระยะแรกของสงคราม สหรัฐอเมริกาเพียงแต่จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และที่ปรึกษาทางการทหารจำนวนหนึ่งให้กับเวียดนามใต้เท่านั้น แต่หลังจาก “เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย (Gulf of Tonkin incident)*” ในปี 1963 ลินดอน บี. จอห์นสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นได้ตัดสินใจส่ง “กองกำลังภาคพื้นดิน” จำนวนหลายพันนายไปประจำการในเวียตนามใต้ เป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ และทำให้ในช่วงสงครามระหว่างปี 1963–1975 มีทหารสหรัฐจำนวนมากกว่า 2.7 ล้านนายถูกส่งไปผลัดเปลี่ยนในการปฏิบัติการรบในเวียตนามใต้ 
*เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย เป็นเหตุการณ์ปะทะทางเรือในอ่าวตังเกี๋ย นอกชายฝั่งเวียตนามเหนือ ระหว่างวันที่ 2 ถึง 4 สิงหาคม 1964 เหตุการณ์นี้มีการรายงานต่อรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 1964 โดยระบุว่า เป็นปฏิบัติการโจมตีโดยเรือตอร์ปิโดของเวียดนามเหนือต่อเรือพิฆาตแมดด็อกซ์และเทิร์นเนอร์จอยของสหรัฐฯ 2 ครั้ง นำไปสู่การลง “มติอ่าวตังเกี๋ย” ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสันมีอำนาจจนสามารถเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมของกองทัพสหรัฐในสงครามเวียตนามได้เป็นอย่างมาก

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยกลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศที่สำคัญสำหรับปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม นอกจากไทยแล้ว ยังมี ฟิลิปปินส์ อดีตอาณานิคมของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับเอกราชในปี 1946 เป็นที่ตั้งฐานทัพสำคัญสำหรับการทำสงครามของสหรัฐฯ เช่นกัน เช่นฐานทัพเรืออ่าวซูบิก และฐานทัพอากาศคลาร์ก สำหรับพันธมิตรระดับภูมิภาคอื่น ๆ ของสหรัฐฯ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกงซึ่งในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ พื้นที่เหล่านี้ยังได้เลือกโดยกองทัพสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนและฟื้นฟูของทหารอเมริกันที่เข้าร่วมรบในสงคราม ซึ่งส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวของประเทศเหล่านี้เติบโต (เว้นออสเตรเลีย) และส่งผลให้การท่องเที่ยวด้านอบายมุขและบริการทางเพศในพื้นที่ดังกล่าวเติบโตขึ้นเช่นกัน (โดยเฉพาะไทย)

ด้วยความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ของภูมิภาคนี้ จึงทำให้เกิด “องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.) หรือ Southeast Asia Treaty Organization (SEATO)” ตั้งขึ้นในปี 1954 เป็นองค์การความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงสงครามเย็น เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทรูแมน (Truman Doctrine) ในการสร้างแนวร่วมเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในระดับทวิภาคีและส่วนร่วมในสนธิสัญญาป้องกันระดับภูมิภาค (อ่าน “ตัวตนที่เลือนลาง!! หวนรำลึก SEATO องค์การ ‘เสือกระดาษ’ แห่งภูมิภาคอาเซียน”

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 สงครามกลางเมือง กับ ‘ทฤษฎีโดมิโน’

(13 เม.ย. 68) ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 ‘สงคราม (ลับ) ในลาว’

สงครามกลางเมืองลาวเกิดขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ลาวและรัฐบาลลาวหลวงตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 1959 ถึง 2 ธันวาคม 1975 ราชอาณาจักรลาวเป็นพื้นที่ปฏิบัติการลับในช่วงสงครามเวียดนาม โดยทั้งสองฝ่ายได้รับการสนับสนุนจากภายนอกอย่างหนักในสงครามตัวแทนระหว่างมหาอำนาจสงครามเย็นระดับโลก การสู้รบยังเกี่ยวข้องกับกองทัพเวียตนามเหนือ เวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และไทย ทั้งโดยตรงและผ่านตัวแทนที่ไม่เปิดเผย สงครามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “สงครามลับในลาว” ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการโดย CIA

วันที่ 9 สิงหาคม 1960 รอ.กองแล วีระสาน รองผู้บัญชาการกองกำลังพลร่มที่ 2 ได้ทำการรัฐประหารในราชอาณาจักรลาว รอ.กองแล ผู้ซึ่งแทบจะไม่มีใครรู้จักแม้แต่ในลาวเอง และล้มรัฐบาลฝ่ายขวาของเจ้าสมสนิท ทำให้เจ้าสุวันพูมาได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นอกจากนั้น รัฐประหารที่เขาทำให้เกิดการเจรจาที่นำไปสู่ “ข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยลาว” ในเดือนกรกฎาคม 1963 รัฐประหารครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯและชาติอื่น ๆ ต้องประหลาดใจ และนำไปสู่ความขัดแย้งในการแย่งชิงอำนาจในลาว นอกจากนั้นแล้วการรัฐประหารในครั้งนั้นยังทำให้เกิดความกลัวอย่างต่อเนื่องตามแนวคิดทางการเมืองอเมริกันที่ว่า ประเทศใดก็ตามที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วจะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ จนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วยตาม “ทฤษฎีโดมิโน”

ดังนั้นประธานาธิบดี Eisenhower และประธานาธิบดี Kennedy ในเวลาต่อมา จึงได้ตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการลับในลาว เริ่มต้นจากการฝึกอบรมและติดอาวุธสมาชิกกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์จำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง และจากนั้นก็กลายเป็นการปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่สหรัฐฯจะเริ่มทิ้งระเบิด และโจมตีเส้นทางโฮจิมินห์ สงครามในลาวและเวียตนามไม่ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง มีการทับซ้อนกันในบางส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นปฏิบัติการที่แยกออกจากกัน สงครามในลาวทำให้ CIA กลายเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในวอชิงตันและกลายเป็นหน่วยงานปฏิบัติการทางทหาร แม้ว่าลาวจะถือว่ามีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลมาก นักข่าวส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงฐานของกองกำลังลาวม้งและกองกำลังของลาวหน่วยอื่น ๆ ได้ เมื่อไม่ปรากฏเป็นข่าว สภาคองเกรสจึงเต็มใจที่จะดำเนินการตามสงครามไปจนถึงปลายทศวรรษที่ 60 และต้นทศวรรษที่ 70 โดยไม่ตั้งกระทู้ถามจนมากเกินไป และประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับลาวมากนัก และในที่สุดก็มีสถานการณ์ที่ทำให้ CIA กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นและเห็นว่าลาวเป็นตั๋วสำหรับอิทธิพลนี้ในกระบวนการนโยบายต่างประเทศ 

โครงการฝึกอบรมทางทหารขนาดเล็กในลาวได้ถูกพัฒนาจนเป็นโครงการการฝึกอบรมทางทหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และในที่สุดก็เป็นกลายการปฏิบัติการเต็มรูปแบบ โดยในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 1960 เจ้าหน้าที่ CIA ได้สั่งการกองกำลังหรือปฏิบัติการเพื่อสั่งการกองกำลังซึ่งปฏิบัติการในพื้นที่ลาว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การฝึกเท่านั้น CIA และสถานทูตสหรัฐฯได้เพิ่มการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ และในที่สุดโครงการฝึกอบรมก็มีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นกองกำลังที่มีกำลังพลหลายหมื่นนาย และอาจมากกว่า 100,000 นายเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่มีคือ กลายเป็นว่า CIA และสถานทูตสหรัฐฯทำสงครามกันเป็นภารกิจหลัก ภารกิจของพวกเขาเปลี่ยนไปจากไม่เพียงแต่ทำการรวบรวมข่าวกรอง  แต่เป็นการดูแลและจัดการความขัดแย้งขนาดใหญ่ด้วย แม้จะมีการปฏิรูป CIA ในช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เคยหายไป กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มความเด่นชัดมาก

โดยที่ปฏิบัติการทหารในลาวมีความสอดคล้องกับสงครามของสหรัฐฯในเวียดนาม และการทิ้งระเบิดกัมพูชาอย่างลับ ๆ ด้วยสงครามในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์กันและเป้าหมายโดยรวมก็มีการแบ่งปันกันในวงกว้าง แต่ CIA และเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าผู้บัญชาการทหารของสหรัฐฯที่รับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารซึ่งบริหารจัดการสงครามในเวียตนามจะไม่สามารถปฏิบัติการในลาวได้ เพราะตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว Bill Sullivan และ CIA ก้าวไปในเรื่องของสงครามในลาวจนไกลมากแล้ว และที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำการในกรุงเทพฯ ไม่สามารถให้คำแนะนำที่สำคัญได้เลย เพราะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว และ CIA กันกองทัพสหรัฐฯ ออกไปจากสงครามในลาวอย่างสุดกำลัง

เมื่อสงครามเวียตนามในภาพรวมขยายตัวขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในลาวเริ่มที่จะสะท้อนให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายโดยรวมของสหรัฐฯ สิ่งที่เริ่มต้นจากการที่สหรัฐฯช่วยชาวลาวในท้องถิ่นต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในที่สุดก็เปลี่ยนไป และโดยที่ที่สุดแล้วจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯและจุดมุ่งหมายของชาวลาวในท้องถิ่นก็แตกต่างกันอย่างมากมาย และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะชาวอเมริกันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับชาวลาวที่พวกเขาให้ความช่วยเหลือ เดิมทีนักรบต่อต้านคอมมิวนิสต์ชาวลาวต้องการให้ทหารอเมริกันต่อสู้เคียงข้างพวกเขา และช่วยรักษาดินแดนของพวกเขาไว้ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สหรัฐฯ และผู้บัญชาการทหารลาวได้ส่งกองกำลังของลาวเข้าสู่การสู้รบเต็มแบบขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นการรบแบบกองโจร การรบขนาดใหญ่กับกองทัพเวียดนามเหนือซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 20 ทำให้ทหารลาวจึงถูกสังหารมากมาย และเหตุผลที่สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นเพราะเห็นว่าสงครามในลาวเป็นโอกาสที่จะสังหารทหารเวียตนามเหนือได้มากขึ้น และทำให้สถานการณ์สงครามของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ดีขึ้น จึงกลายเป็นเหตุให้ราชอาณาจักรลาวต้องพบจุดจบในที่สุด แม้ว่า สหรัฐฯและลาวซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรน้อยกว่าพลเมืองของนครลอสแองเจลิส และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในแบบที่เรียบง่ายมากในปัจจุบัน แต่ในทศวรรษที่ 1960 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจว่า ประเทศเดียวกันนี้ซึ่งขณะนั้นมีประชากรน้อยกว่าปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ ประมาณกันว่า เมื่อ 5-60 ปีก่อน CIA ใช้งบประมาณกว่าเดือนละยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 400 ล้านบาทในขณะนั้น) ซึ่งคำนวณด้วยราคาทองคำจะอยู่ที่เดือนละกว่าสี่หมื่นล้านบาทในปัจจุบันสำหรับการทำสงครามในลาว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#1 'สงครามเวียดนาม' ปฐมบทของสงครามอินโดจีนยุคใหม่

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติเจ้าอาณานิคมตะวันตกต่างพากันกลับมายังดินแดนอาณานิคมของตนซึ่งถูกคู่สงครามยึดครองในระหว่างสงครามฯ เพื่อกลับมากอบโกยทรัพยากรของดินแดนอาณานิคมเหล่านั้นกลับไปยังประเทศของตนอีกครั้งหนึ่ง และ 'ฝรั่งเศส' ก็เป็นประเทศหนึ่งที่เป็นเจ้าอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสในอินโดจีนประกอบด้วย 3 รัฐ ได้แก่ เวียตนาม ลาว และกัมพูชา 

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสทั้ง 3 รัฐนั้น ถูกยึดครองโดย กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และดินแดนส่วนหนึ่งในกัมพูชาและลาวถูกไทยซึ่งเคยครอบครองดินแดนส่วนนั้นยึดคืน แต่ได้รับคืนภายหลังสงครามฯ ฝรั่งเศสก็ได้รับดินแดนดังกล่าวคืนจากไทย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะซึ่งประกอบด้วย 3 ชาติหลักคือ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ จีน และฝรั่งเศส 

แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองขั้วค่ายที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันคือ ฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร และค่ายคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต และชาติร่วมอุดมการณ์ ตลอดจนประเทศบริวารอีกจำนวนหนึ่ง เป็นสงครามที่มีเพียงการเผชิญหน้าหรือที่เรียกว่า 'สงครามเย็น (Cold war)' และเกิดสงครามที่มีลักษณะตัวแทน (Proxy war) ของสองฟากฝ่ายในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก อาทิ สงครามระหว่างสองเกาหลี สงครามในตะวันออกกลาง ฯลฯ และสงครามอินโดจีนก็เป็นหนึ่งในสงครามที่มีลักษณะดังกล่าว

สงครามอินโดจีนแบ่งออกเป็นสองระยะ ระยะแรกตั้งแต่ปี 1946 ถึง 1954 เป็นสงครามที่ขบวนการเรียกร้องเอกราชในเวียตนามซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถทำการรบเอาชนะกองกำลังยึดครองอาณานิคมของฝรั่งเศสได้ และระยะที่ที่ 2 คือ สงครามเวียตนามหรือสงครามอเมริการะหว่างปี 1955-1975 ซึ่งเวียดนามเหนือและเวียตกงซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและจีนสามารถเอาชนะและผนวกเวียดนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรส่วนหนึ่งได้สำเร็จในวันที่ 30 เมษายน 1975

สงครามในอินโดจีนเป็นสงครามที่มีการทำลายล้างอย่างรุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นยังคงมีอยู่และรู้สึกได้จนถึงทุกวันนี้ เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของปริมาณลูกระเบิดที่ถูกทิ้งจากเครื่องบินรบแล้ว กองทัพอเมริกันทิ้งระเบิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าปริมาณระเบิดทั้งหมดที่ทุกฝ่ายทิ้งในพื้นที่ทั้งหมดของสงครามโลกครั้งที่สองรวมกัน โดยเฉพาะในลาวซึ่งกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก ทุ่นระเบิดหรือสนามกับระเบิดยังถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในสงครามครั้งนี้ และส่งผลทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านในเวียดนาม ลาว กัมพูชา และในระดับที่น้อยกว่าคือ ไทย ยังคง บาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิตจากกับระเบิดและระเบิดนานาชนิดที่ยังคงตกค้างอยู่ในปริมาณมหาศาลเป็นประจำ

สงครามอินโดจีนเริ่มต้นขึ้นจากสงครามเพื่ออิสรภาพของชาวเวียตนามเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่งสงครามดังกล่าวกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น อันเป็นการต่อสู้ระหว่างพันธมิตรตะวันตกของสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตและจีน นอกจากนี้แล้วยังเป็นสงครามแห่งความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิคอมมิวนิสต์กับลัทธิทุนนิยมอีกด้วย ฝ่ายคอมมิวนิสต์ถูกแบ่งออกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนโดยโซเวียตและฝ่ายที่สนับสนุนโดยจีนในปี 1961 ซึ่งจุดแตกหักก็คือสงครามในปี 1969ระหว่าง 'โซเวียต' กับ 'จีน' ซึ่งเคยเป็นประเทศ 'พี่น้อง' ร่วมอุดมการณ์ในอดีต

ภูมิหลังและสงครามอินโดจีนครั้งแรก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทและกลายเป็นเจ้าอาณานิคมแทนที่จีนและสยาม (ไทย) ในฐานะเจ้าอาณานิคมในภูมิภาคในขณะนั้นคือเวียตนาม ลาว และกัมพูชา ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ยึดครองพื้นที่ทั้งหมด เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสได้ตั้งเป้าที่จะยึดเอาดินแดนอาณานิคมคืน แต่ถูกพันธมิตรโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา คัดค้าน ลาวและกัมพูชาจึงได้รับเอกราช แต่ไม่นานรัฐบาลของทั้งสองประเทศก็เผชิญกับกองกำลังกบฏคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตและจีน

สำหรับเวียตนามแล้ว สถานการณ์ภายในมีความซับซ้อนกว่าขึ้นมาก เดิมฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตกลงกันว่า จะมอบดินแดนตอนเหนือของเวียตนามจะมอบให้จีนคณะชาติดูแล และมอบให้อังกฤษดูแลดินแดนตอนใต้จนกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลเวียตนามสำเร็จ แต่ในเวลานั้นทั้งสองประเทศต่างก็ประสบปัญหาต่าง ๆ เช่นกัน ได้แก่ สงครามกลางเมืองในจีน และการก่อความไม่สงบของคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ในมาลายา ดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ ดังนั้นทั้ง 2 ประเทศจึงไม่สามารถทำหน้าที่ดังกว่าในเวียตนามได้ “เวียตมินห์” ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรต่อต้านอาณานิคมฝักใฝ่คอมมิวนิสต์และได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต จึงได้ประกาศเอกราชในดินแดนตอนเหนือ (เหนือเส้นขนานที่ 17) ในขณะที่ฝรั่งเศสกลับมามีบทบาทอำนาจอีกครั้งในเวียตนามตอนใต้ ในปี 1947 ฝรั่งเศสและเวียตนามเหนือก็เปิดฉากสงครามระหว่างกัน หลังปี 1949 รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนได้ให้การสนับสนุนเวียตมินห์ (เวียตนามเหนือ) อย่างเต็มที่ โดย สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนฝรั่งเศส แต่ ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธที่จะส่งกำลังทหารอเมริกันไปสนับสนุนฝรั่งเศสในเวียตนาม และภายหลังจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยินในสมรภูมิเดียนเบียนฟู ทำให้เกิดข้อตกลงเจนีวาในปี 1954 ซึ่งยุติสงครามในครั้งนั้นลง

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า 'เวียตนาม' ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น 'เวียดนาม' สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

‘ร้านอาหารจีน’ ขึ้นป้ายเก็บ ‘ค่าบริการ 104%’ ลูกค้าอเมริกัน ลั่น หากมีปัญหากรุณากลับไปถามสถานทูตสหรัฐฯ

ร้านเด็ดแดนมังกรขึ้นป้ายสุดปั่น! เก็บ 'ค่าบริการ 104%' สำหรับลูกค้าอเมริกัน — งงให้ไปถามสถานทูตเอง

งานนี้เรียกว่าเผ็ดไม่แพ้หมาล่า เมื่อร้านอาหารแห่งหนึ่งในจีนติดป้ายประกาศกลางร้านแบบไม่แคร์ลุงแซมว่า “ตั้งแต่วันนี้ ทางร้านจะคิดค่าบริการ 104% สำหรับลูกค้าสัญชาติอเมริกัน หากมีข้อสงสัย กรุณาสอบถามสถานทูตสหรัฐฯ”

แค่เห็นตัวเลขก็สะดุ้งแล้ว ค่าบริการแรงกว่าราคากับข้าว! ชาวเน็ตจีนพากันแชร์ภาพนี้รัว ๆ บ้างก็แซวว่า “ถ้าเป็นอเมริกันจริงๆ คงต้องพกนักการทูตมาด้วย” ขณะที่ฝั่งต่างชาติบางคนถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถามว่า “นี่ล้อเล่นหรือจริง?”

ถึงแม้จะยังไม่ชัวร์ว่าร้านนี้อยู่เมืองไหน แต่ดูจากสไตล์ร้านแล้วน่าจะเป็นร้านหม้อไฟหรือร้านแนวสตรีทฟู้ดยอดนิยมในเมืองใหญ่ของจีน แถมการตั้งราคานี้ก็สะท้อนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับบรรยากาศทางการเมืองระหว่างสองประเทศได้แบบแสบ ๆ คัน ๆ

ใครจะกินก็คิดดี ๆ ล่ะครับ ถ้าเกิดถือพาสปอร์ตอเมริกันขึ้นมา อาจจะได้กินหม้อไฟหมื่นหยวนไม่รู้ตัว

แกะรอยอคติจากปลายปากกา ผู้ต้องหาตามมาตรา 112 เรื่องเล่าจากบทความปี 2009 ของ ‘Paul Chambers’

(10 เม.ย. 68) ในโลกของนักวิชาการต่างชาติที่เขียนถึงประเทศไทย มีไม่กี่คนที่ข้าพเจ้าจำชื่อได้แม่นเท่า Paul Chambers ไม่ใช่เพราะลุ่มหลงในภูมิปัญญาของเขา แต่เพราะเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ใช้คำว่า “เครือข่ายวัง” (network monarchy) อย่างสม่ำเสมอราวกับเป็นสูตรสำเร็จของทุกปัญหาไทย

ไม่ว่าจะรัฐประหารปีไหน หรือใครขึ้นเป็นนายกฯ ใหม่ สุดท้ายเขาก็จะพาเรื่องวกกลับไปสรุปว่าสถาบันฯ คือผู้เล่นเบื้องหลัง เป็น “ตัวแปรหลัก” ของทุกการเมืองไทย และกองทัพก็เป็นเพียง “หุ่นเชิดในระบบอุปถัมภ์”

ข้าพเจ้าเคยคิดว่าอาจเป็นเพียงความบังเอิญของคนมองไทยจากภายนอก แต่เมื่อได้อ่านบทความของเขาที่ลงใน New Mandala เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2009 ชื่อว่า
"Thailand’s military: perpetually political, forever factionalized, again ascendant"
ความสงสัยของข้าพเจ้ากลับกลายเป็นความมั่นใจ—ว่างานเขียนของเขาไม่ได้ต้องการ “เข้าใจไทย” หากแต่เป็นการ “ตั้งธง” เพื่อชี้นำผู้อ่านให้มองสถาบันกับกองทัพไทยในแง่ลบโดยมีเป้าหมายบางอย่างแอบแฝงอยู่

เบื้องหลังบทความวิชาการ: เมื่อพอล แชมเบอร์สสวมเสื้อคลุมนักวิชาการเพื่อจ้องรื้อโครงสร้างของสถาบัน

ในโลกวิชาการที่ควรตั้งอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงและความเป็นกลาง งานเขียนของ พอล แชมเบอร์ส ใน New Mandala กลับเป็นตัวอย่างชัดเจนของการ บิดเบือนบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และแทรกความคิดเชิงครอบงำของตะวันตกเข้ามาในบริบทที่เขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

จุดตั้งต้นของการเหมารวม: สถาบันคือปัญหา

แชมเบอร์สพยายามผูกโยง สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ากับเครือข่ายอำนาจทางทหารโดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นศูนย์กลาง ซึ่งในทางรูปแบบเหมือนจะเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างอำนาจ แต่ในทางเนื้อหา กลับสอดแทรกอคติในลักษณะ “ลดทอนบทบาทของสถาบันให้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง”

เขาเขียนด้วยภาษาชี้นำเต็มเปี่ยม เช่น “palace-backed generals” หรือ “monarchical network,” วางน้ำหนักทุกบรรทัดเพื่อพาไปสู่บทสรุปเดียวว่า—สถาบันคือแกนกลางของโครงสร้างที่ขัดขวางประชาธิปไตย

แต่ข้าพเจ้ากลับพบสิ่งที่น่าสงสัยมากกว่านั้น:

เขาไม่พูดถึงบริบทความไม่มั่นคงของประเทศในช่วงหลังสงครามเย็น

เขาไม่แตะเลยถึงปัญหาคอร์รัปชันของนักการเมืองที่ทำให้ทหารต้องเข้ามา

เขามองข้ามการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างชาติที่มีบทบาทในหลายวิกฤตการเมืองไทย

ทุกอย่างถูกโยนเข้ากองเดียวกัน—ว่าสถาบันฯ หนุนหลัง และกองทัพคือเครื่องมือ

นักวิชาการหรือนักปลุกปั่นแฝงตัว?

สิ่งที่น่าสังเกตคือ แชมเบอร์สไม่ได้ตั้งคำถามกับความชอบธรรมของการเลือกตั้ง หรือกลุ่มทุนผูกขาดที่แทรกซึมการเมืองไทย หากแต่เลือกโจมตีเฉพาะ “ความใกล้ชิดระหว่างกองทัพกับสถาบันพระมหากษัตริย์” ราวกับว่า สถาบันเป็นต้นเหตุของความล้าหลังและไม่เป็นประชาธิปไตย

นี่ไม่ใช่เพียงความเข้าใจผิด แต่คือเจตนาแทรกแซงในระดับโครงสร้าง

การพยายามแปะป้ายว่าสถาบันเป็น “ศูนย์กลางอำนาจที่ครอบงำการเมือง” คือความพยายาม เปลี่ยนสถานะของสถาบันจาก “สัญลักษณ์แห่งชาติ” ให้กลายเป็น “ฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้ง” ซึ่งถือเป็นการจงใจสร้างภาพเท็จและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

บทความเดียวที่กลายเป็นพิมพ์เขียวของทุกงานหลังจากนั้น

สิ่งที่ข้าพเจ้าพบคือ: บทความในปี 2009 นี้ กลายเป็นพิมพ์เขียวของทุกสิ่งที่ Paul Chambers จะเขียนในทศวรรษถัดมา ไม่ว่าจะกรณีรัฐประหารปี 2557 การเมืองหลังการเลือกตั้ง 2562 หรือการเปลี่ยนแปลงผู้นำกองทัพ เขายังคงลากสถาบันเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ว่าจะมีหลักฐานชัดเจนหรือไม่ก็ตาม

การเชื่อมโยงแบบข้ามขั้นตอน (shortcut reasoning) ที่เขาใช้ เป็นกลยุทธ์การสร้างวาทกรรมมากกว่างานวิเคราะห์—พูดง่าย ๆ คือเขา “วางหมากไว้ก่อน แล้วเขียนให้เข้าหา”

อคติที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของภาษา

เมื่อข้าพเจ้าพิจารณาบทความปี 2009 ให้ลึกลงไป สิ่งที่สะดุดใจที่สุดไม่ใช่เพียงเนื้อหา แต่คือภาษาที่เขาเลือกใช้:

เขาใช้คำที่พาให้ผู้อ่าน “คล้อยตาม” โดยไม่ได้ตั้งคำถาม เช่น “again ascendant,” “factionalized by royal patrons”

เขาไม่เคยเปิดพื้นที่ให้อธิบายสถาบันในมิติที่เป็น ศูนย์รวมใจ หรือ หลักประกันของเสถียรภาพรัฐ

เขาไม่ให้เครดิตกับบทบาทการประสานและคลี่คลายความขัดแย้งที่สถาบันเคยทำมา

ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า - Chambers ไม่ได้เขียนเพื่ออธิบาย แต่เขียนเพื่อ “เจาะความชอบธรรม” ของสถาบันในสายตานานาชาติ

การเมืองเชิงวาทกรรม: กับดักของภาษาและความเป็นอาณานิคม

แชมเบอร์สใช้กลวิธีแบบ “วาทกรรมวิพากษ์” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมในวงการรัฐศาสตร์สายตะวันตก เช่นการใช้คำว่า “networks of palace-backed military elites” หรือ “network monarchy” ที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักทางวิชาการ แต่ เป็นการสร้างภาพว่าไทยถูกครอบงำโดยกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่ไม่ผ่านประชาธิปไตย

คำถามคือ ทำไมนักวิชาการฝรั่งเหล่านี้ไม่ตั้งคำถามกับ ประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจผ่านกองทัพในลาตินอเมริกา หรือราชวงศ์ตะวันออกกลางที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ?

คำตอบชัดเจน—พวกเขาไม่ได้ต้องการความยุติธรรมทางวิชาการ แต่ต้องการ เปลี่ยนสมการอำนาจของโลกให้เป็นไปตามค่านิยมตะวันตกเท่านั้น

ความเข้าใจผิดที่จงใจสร้าง: สถาบันมิได้สั่งการ แต่ดำรงอยู่เพื่อรักษาสมดุล

แม้ในหลายช่วงเวลา สถาบันจะมีความสัมพันธ์กับกองทัพในฐานะองค์อุปถัมภ์ แต่การเหมารวมว่าสถาบัน “ควบคุม” หรือ “กำหนดการเมืองไทย” คือการบิดเบือนที่ร้ายแรง

ในรัฐธรรมนูญไทย สถาบันเป็นกลางทางการเมืองและมิได้มีอำนาจบริหารใด ๆ การที่กองทัพจะอ้างความจงรักภักดีนั้น เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์การวางตนทางการเมืองของกองทัพเอง มิใช่เจตนาของสถาบัน
การวิเคราะห์โดยเหมารวมว่าสถาบัน “เอื้อ” หรือ “หนุน” รัฐประหารทุกครั้ง จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็น ความพยายามสร้างตราบาปให้สถาบันผ่านงานวิชาการ

เรื่องนี้สำคัญอย่างไร?

ข้าพเจ้ามองว่านี่ไม่ใช่เพียง “บทความหนึ่งชิ้นในอดีต” แต่คือ รากฐานของวาทกรรมที่ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผ่านเวทีสื่อตะวันตก สื่อภาษาอังกฤษ และแม้กระทั่งนักศึกษาบางกลุ่มในประเทศไทย

เมื่อกรอบคิดที่มีอคติถูกเผยแพร่โดยนักวิชาการต่างชาติที่ได้รับเครดิตในเวทีโลก งานของเขาจึงไม่ใช่แค่ “ข้อคิดเห็น” แต่กลายเป็น เครื่องมือแทรกแซงความเข้าใจของสังคมไทย

และทั้งหมดนี้… เริ่มจากบทความปี 2009 ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทันได้ระวัง

ปัจฉิมบท: ความเป็นวิชาการมิใช่เกราะกำบังอคติ

งานเขียนของ Paul Chambers ทำให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า ความเป็นนักวิชาการมิใช่ข้อยกเว้นจากความลำเอียง

เพราะหากเราไม่ตั้งคำถามกับ “ความรู้ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น” เราก็อาจยอมให้คนภายนอกเป็นผู้กำหนดอนาคตของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว

> และเพราะเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องเริ่มต้นที่บทความเล็ก ๆ ในปี 2009เพื่อเปิดโปงอคติที่แฝงอยู่หลังถ้อยคำที่ดูเหมือนเป็นกลาง แต่แท้จริงแล้ว—ไม่เป็นกลางเลยแม้แต่น้อย.

แล้วข้าพเจ้าเชื่อว่างานเขียนหลังจากนี้ จะมีหลายๆงานเขียนที่เข้าล่วงไปถึง บ้านเมืองไม่น้อยเลยทีเดียว

‘สเตฟาน บันเดรา’ กับกระแสนีโอนาซีในยูเครน ผู้ถูกกล่าวมีส่วนสังหารหมู่ชาวโปแลนด์และยิวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

สเตฟาน บันเดรา (Stepan Bandera, 1909–1959) เป็นผู้นำของขบวนการชาตินิยมยูเครน (OUN – Organization of Ukrainian Nationalists) มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องเอกราชของยูเครนจากสหภาพ โซเวียต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้ร่วมมือกับฝ่ายอักษะ กลุ่มของเขา (OUN-B) ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงและการสังหารหมู่ชาวโปแลนด์และชาวยิวในโวลฮีเนีย (Volhynia) และกาลิเซีย (Galicia) ในช่วงปีค.ศ. 1943–1944

หลังการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 ความพยายามสร้างรัฐชาติยูเครนเริ่มต้นขึ้น แต่ถูกรัฐโซเวียตควบรวมเข้าเป็นหนึ่งในสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1922 การเรียกร้องเอกราชของยูเครนทำให้ยูเครนกลายเป็นกระแสต้านอำนาจของรัฐรัสเซีย-โซเวียต ในทศวรรษ 1930 การปราบปรามทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมโดยเฉพาะยุทธการกวาดล้างทางชนชั้นและความอดอยากครั้งใหญ่ (Holodomor) ได้ส่งผลต่อการตื่นตัวของแนวคิดชาตินิยมยูเครน

บันเดราได้เข้าร่วมกับองค์การชาตินิยมยูเครน (OUN) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลดปล่อยยูเครนจากการปกครองของทั้งโปแลนด์และโซเวียต โดยเน้นความรุนแรง การลอบสังหาร และการก่อกบฏในรูปแบบกองโจร ในปี ค.ศ. 1934 เขาถูกจับในโปแลนด์หลังการลอบสังหารรัฐมนตรีมหาดไทยของโปแลนด์แม้จะถูกจำคุกแต่เขายังคงได้รับความเคารพในหมู่ชาตินิยมยูเครน ในปีค.ศ. 1940 ขบวนการ OUN แบ่งออกเป็นสองฝ่าย: OUN-M นำโดยอันเดรย์ เมลนิก (Andriy Melnyk) และ OUN-B นำโดยสเตฟาน บันเดรา

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกลุ่ม OUN-B (องค์การชาตินิยมยูเครน - ฝ่ายบันเดรา) ได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธของตนเองคือ กองทัพกบฏยูเครน «Українська повстанська армія, UPA» ขึ้นในปี ค.ศ. 1942 – 1943 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรัฐยูเครนอิสระภายใต้แนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง หนึ่งในเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของ UPA คือการขจัด 'ศัตรูภายใน' ได้แก่ ชาวโปแลนด์ ชาวยิวและชาวรัสเซียซึ่งถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการก่อตั้งรัฐชาติยูเครนที่ 'บริสุทธิ์ทางชาติพันธุ์' โดยชาวยิวถูกตราหน้าว่าเป็น 'ส่วนหนึ่งของคอมมิวนิสต์โซเวียต' และถูกกำจัดในฐานะศัตรูของรัฐยูเครนใหม่ ในช่วงเริ่มต้นของการยึดครองโดยนาซี (1941) สมาชิก OUN บางส่วนให้ความร่วมมือกับหน่วยสังหารของนาซี (Einsatzgruppen) ในการระบุตัวและข่มเหงชาวยิว ในช่วงปี ค.ศ. 1943 – 1944 กองกำลัง UPA ถูกกล่าวหาว่าดำเนินการ “การกวาดล้างชาติพันธุ์” (ethnic cleansing) ต่อชาวโปแลนด์ในภูมิภาคโวลฮีเนียและกาลิเซียซึ่งอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมนีในเวลานั้น มีการจู่โจมหมู่บ้านชาวโปแลนด์กว่า 1,000 แห่ง รายงานจากทั้งฝั่งโปแลนด์และนักประวัติศาสตร์สากลระบุว่ามีชาวโปแลนด์เสียชีวิตราว 40,000 – 100,000 คน เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในโวลฮีเนีย” (Volhynian Genocide) โดยในปี ค.ศ. 2016 รัฐสภาโปแลนด์ลงมติประกาศว่าเหตุการณ์ในโวลฮีเนียเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเจตนา

เมื่อเยอรมนีรุกรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1941 บันเดราและ OUN-B ประกาศเอกราชของยูเครนในเมืองลวีฟ (Lviv) โดยหวังว่าเยอรมนีจะสนับสนุนรัฐยูเครนอิสระ แต่เมื่อฝ่ายนาซีไม่ยอมรับความเป็นเอกราชของยูเครนจึงทำให้บันเดราถูกจับโดยเกสตาโปและส่งไปยังค่ายกักกันซัคเซนเฮาเซน (Sachsenhausen) จนถึงปี ค.ศ.1944 แม้จะถูกกักขังแต่การกระทำของเขาถูกจดจำว่าเป็นก้าวที่กล้าหาญทางการเมืองในการประกาศเอกราชยูเครนอย่างเปิดเผย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามโลก

บันเดรานำเสนอแนวคิด “ยูเครนสำหรับชาวยูเครน” «Україна для українців» โดยเน้นการสร้างชาติผ่านการปลดปล่อยจากอำนาจโซเวียตและรัสเซีย การกำจัดอิทธิพลจากชาวยิวและโปแลนด์ การต่อสู้ด้วยกองกำลังกึ่งทหารและกองโจรในชนบทตะวันตก หลังถูกสังหารโดย KGB ในเยอรมนีตะวันตกในปี ค.ศ. 1959 ชื่อของสเตฟาน บันเดราได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต้านโซเวียต โดยเฉพาะในยูเครนตะวันตก ซึ่งถือว่าเขาเป็น “นักสู้เพื่อเสรีภาพ” ขณะที่รัสเซียยังคงมองว่าเขาคือ “ผู้ทรยศและนาซี”

หลังเหตุการณ์ 'การปฏิวัติสีส้ม' (Orange Revolution) ในปีค.ศ. 2004–2005 ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในยูเครน ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกซึ่งมีจุดยืนในความเป็นชาตินิยมและความใกล้ชิดกับตะวันตกอย่างชัดเจน เขาได้ผลักดันแนวทางการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ยูเครนผ่านมุมมองของชาตินิยมตะวันตก หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือการรื้อฟื้นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ต่อต้านจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียตให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาติยูเครน ในมุมมองของประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกบันเดราเป็น “นักสู้ผู้กล้าหาญเพื่ออิสรภาพของยูเครน” โดยไม่ให้ความสำคัญกับข้อครหาทางด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับนาซีหรือการใช้ความรุนแรงของ OUN-B

ในวันที่ 22 มกราคม ปีค.ศ. 2010 ซึ่งเป็นวันแห่งความสามัคคีของชาวยูเครน ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกได้ลงนามใน คำสั่งประธานาธิบดีที่ 46/2010 «Указ Президента України № 46/2010» ยกย่องบันเดราเป็นวีรบุรุษแห่งยูเครน «Герой України» ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดที่มอบให้กับพลเมืองที่ทำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประเทศ

การประกาศยกย่องให้สเตฟาน บันเดราเป็นวีรบุรุษของชาติยูเครนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศกับรัสเซีย ในยูเครนตะวันตกโดยเฉพาะแคว้นลวิฟและอิวาโน-ฟรานคิฟส์ค ยกย่องบันเดราเป็น 'วีรบุรุษทางจิตวิญญาณ' เป็น 'วีรบุรุษ' แห่งการต่อสู้เพื่อเอกราช มีการตั้งอนุสรณ์สถาน รูปปั้น ถนน และโรงเรียนในชื่อของเขา ในทางตรงกันข้ามในยูเครนตะวันออกและใต้ซึ่งมีประชากรรัสเซียจำนวนมากตอบโต้ด้วยความไม่พอใจเห็นว่าเป็นการให้เกียรติแก่ 'ผู้ร่วมมือกับนาซี' ในขณะที่ชนกลุ่มน้อยชาวยิวและโปแลนด์ประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรง โดยกล่าวถึงบทบาทของ OUN-B ในการสังหารหมู่พลเรือนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐสภายุโรปออกมาแสดงความ “เสียใจอย่างสุดซึ้ง” (deep regret) ต่อการยกย่องบันเดราของรัฐบาลยูเครน เนื่องจากอาจบั่นทอนกระบวนการสมานฉันท์และการยอมรับคุณค่าร่วมของยุโรป รัฐบาลรัสเซียออกมาประณามคำสั่งของยูเชนโกทันที โดยระบุว่าเป็น “การฟื้นฟูแนวคิดฟาสซิสต์ในยุโรปตะวันออก”ความขัดแย้งนี้กลายเป็น 'สนามรบทางประวัติศาสตร์' (memory war) ระหว่างยูเครนและรัสเซีย

หลังจากประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยูชเชนโกพ่ายแพ้การเลือกตั้งและวิกเตอร์ ยานูโควิช ซึ่งมีจุดยืนฝักใฝ่รัสเซียขึ้นเป็นประธานาธิบดี คำสั่งที่ยกย่องบันเดราถูกศาลปกครองในเมืองโดเนตสค์ถูกเพิกถอนในปี ค.ศ. 2011 โดยระบุว่า “บันเดราไม่ใช่พลเมืองของยูเครน” (ตามกฎหมายว่าด้วยสถานะพลเมืองปี ค.ศ. 1991) จึงไม่มีสิทธิได้รับเกียรตินี้ อย่างไรก็ตามการยกย่องดังกล่าวยังคงมีผลในเชิงสัญลักษณ์ในหมู่ชาตินิยมยูเครนและยังเป็นหัวข้อสำคัญในการต่อสู้ทางความทรงจำ (memory politics) โดยกลุ่มขวาจัดหรือนีโอนาซีบางกลุ่มในยูเครน เช่น Azov Battalion หรือกลุ่ม Right Sector อ้างอิงและเชิดชูบันเดราในเชิงอุดมการณ์

การเชื่อมโยงทั้งหมดของรัฐยูเครนกับบันเดรานั้นเป็นการขยายผลเชิงโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย โดยรัสเซียกล่าวหาว่ายูเครนเป็น 'รัฐนาซี' ทั้งที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีนั้นเป็นชาวยิว รัสเซียใช้ บันเดราเป็นภาพแทนของ 'ความสุดโต่งของยูเครน' เพื่อให้การบุกยูเครนเป็น 'ภารกิจการต่อต้านนาซี' «денацификация Украины» สื่อรัสเซียอย่าง RT และ Sputnik รวมถึงนักคิดฝ่ายสนับสนุนรัฐ อย่างเช่น อเล็กซานเดอร์ ดูกิน (Aleksandr Dugin) ได้ใช้ภาพของบันเดราเป็นสัญลักษณ์ของ 'ภัยคุกคามฟาสซิสต์' โดยในสายตาของโปแลนด์ รัสเซีย และยิว บันเดราถูกมองว่าเป็น “พวกหัวรุนแรงทางชาติพันธุ์” ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัสเซียใช้คำว่า “บันเดรอฟซึ่ย” «бандеровцы» เป็นวาทกรรมหลักในการวาดภาพลักษณ์ของผู้นำและกองกำลังยูเครนว่าเป็นพวก “ฟาสซิสต์-นีโอนาซี”เป้าหมายคือ ลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาลยูเครน โดยโยงกับประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายของ OUN-B เห็นได้จากคำปราศรัยของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2024 ที่กล่าวว่า เราจะทำการดีนาซิฟิเคชันยูเครน «денацификация Украины»... เพื่อปกป้องผู้คนจากบันเดรอฟซี่และพวกนีโอนาซี...” สัญลักษณ์ของบันเดราถูกใช้เป็นข้ออ้างเชิงอุดมการณ์ว่า “ยูเครนไม่ใช่รัฐประชาธิปไตยแต่เป็นรัฐหัวรุนแรงที่เคารพบูชาผู้ร่วมมือกับนาซี”

​ในรัสเซียชื่อของ สเตฟาน บันเดรา (Stepan Bandera) ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความสุดโต่งและนีโอนาซีในยูเครนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการชี้นำและควบคุมความรับรู้ของประชาชนภายในประเทศ โดยเน้นไปที่ผู้สูงอายุที่มีความทรงจำเกี่ยวกับ "สงครามผู้รักชาติ" (Great Patriotic War) กับนาซีเยอรมนี​

การสร้างภาพศัตรูผ่านบันเดราของรัสเซีย โดยรัฐบาลและสื่อที่ควบคุมโดยรัฐได้ใช้ชื่อของบันเดราเพื่อเชื่อมโยงขบวนการชาตินิยมยูเครนกับนาซีเยอรมนี โดยเรียกผู้สนับสนุนยูเครนว่า "บันเดรอฟซี่" (Banderites) เพื่อสร้างความหวาดกลัวและความไม่ไว้วางใจต่อยูเครนในหมู่ประชาชนรัสเซีย ​โดยเน้นความทรงจำในสงครามโลกครั้งที่สองสำหรับผู้สูงอายุที่มีความทรงจำเกี่ยวกับสงครามกับนาซีเยอรมนี รัสเซียยังได้ใช้การเปรียบเทียบระหว่างบันเดรากับนาซีเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและความภาคภูมิใจในชัยชนะของสหภาพโซเวียตในสงครามครั้งนั้น ​รวมถึงการควบคุมสื่อและการเผยแพร่ข้อมูลโดยนำเสนอเนื้อหาที่เชื่อมโยงยูเครนกับนาซีและบันเดราอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ​

นอกจากนี้รัสเซียยังเชื่อมโยงยูเครนกับนาซีผ่านบันเดราเพื่อสร้างความชอบธรรมในการดำเนินการทางทหารของรัสเซียในยูเครน โดยอ้างว่ารัสเซียกำลังต่อสู้กับนีโอนาซีเพื่อปกป้องประชาชนช่วยกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของรัสเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความทรงจำเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง

สรุป สเตฟาน บันเดรายังคงเป็นบุคคลที่มีภาพลักษณ์หลากหลายและเต็มไปด้วยความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ยูเครนสมัยใหม่ สำหรับชาวยูเครนบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มชาตินิยม บันเดราคือวีรบุรุษผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชจากสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม ในสายตาของชาวรัสเซียและประชาคมนานาชาติบางกลุ่มเขาถูกมองว่าเป็นผู้นำขบวนการหัวรุนแรงที่มีบทบาทในการร่วมมือกับนาซีและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รัสเซียใช้ชื่อของบันเดราเป็นสัญลักษณ์ของ "นีโอนาซีในยูเครน" เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการแทรกแซงทางทหาร โดยเฉพาะในการอ้างว่าการ "ลดทอนลัทธินาซี" «денацификация» เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของปฏิบัติการทางทหารในยูเครน กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนยุทธศาสตร์ด้านข้อมูลของเครมลินเท่านั้น หากแต่ยังชี้ให้เห็นถึงการใช้ประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์-การเมืองเพื่อควบคุมการรับรู้ของประชาชนทั้งในและนอกประเทศ ในบริบทของสงครามรัสเซีย–ยูเครนการถกเถียงเกี่ยวกับตัวตนและบทบาทของบันเดราจึงไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น หากแต่กลายเป็นสงครามแห่งการเล่าเรื่อง (narrative war) ที่มีเดิมพันคือความชอบธรรมของรัฐชาติ และการกำหนดภาพลักษณ์ของศัตรูในสายตาสาธารณะ

‘ไฮโซเก๊’ เกมลวงที่ฝังรากจากเครือข่ายเด็กปั้นสายเสรีนิยม จากประชาธิปไตยพันธุ์ปลอมสู่ความเสียหายระดับสถาบัน

ข่าวใหญ่ที่ทำให้สังคมหันมามองไม่ใช่แค่เพราะดาราสาว คะน้า ริญญารัตน์ ถูกชายหนุ่มหลอกให้แต่งงานด้วย 'ทองปลอม แหวนเพชรปลอม และคำพูดปลอม' หากแต่เบื้องหลังของชายคนนี้ซับซ้อนกว่าที่คิด — ไม่ใช่แค่ 'นักต้มตุ๋น' ธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนของ 'ระบบเครือข่าย' ที่ปลูกฝังมาเป็นสิบปีในนามของประชาธิปไตย เสรีภาพ และความยุติธรรม

ชายผู้หลอกดาราสาวคนนั้นมีชื่อว่า ธนายุทธ สิงหเสนี  ซึ่งความจริงแล้ว นามสกุล 'สิงหเสนี' ที่ใช้ก็เป็นของปลอม — ถูกสร้างขึ้นเพื่อแอบอ้างความเชื่อมโยงกับตระกูลเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับคดีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย 

อัปเดตชื่อทั้งหมดที่เคยใช้เท่าที่มีการรวบรวมไว้คือ
ชื่อที่ใช้ประกอบไปด้วย
นายธนายุทธ สิงหเสนี
นายธนายุทธ พึ่งพิบูลย์

ล่าสุดดูเหมือนว่าจะมีชื่อปลอมเพิ่มขึ้นคือ
นายธัญเทพ พึ่งพิบูลย์
นายธัญเทพ ศิริทรัพย์เดชากุล
ดร. ธัญเทพ ศิริทรัพย์เดชากุล ชื่อเล่น ฮอท (ใช้แอบอ้างในปัจจุบัน)

ข้าพเจ้าขอเรียกบุคคลคนนี้ชื่อว่านายธนายุทธละกันนะครับเพื่อความสะดวก....

แต่เรื่องของธนายุทธไม่เริ่มต้นจากคดีหลอกแต่งงาน หากย้อนกลับไปในอดีต เขาคือหนึ่งในบุคคลสำคัญในเครือข่ายเยาวชนที่ชื่อว่า 'สถาบันยุวชนสยาม' ก่อตั้งเมื่อปี 2557 ซึ่งมีที่ปรึกษาคือ ส. ศิวรักษ์ ,คุณดุษฎี พนมยงค์ ,ชาญวิทย์ เกษตรศิริและ ก็ยังมีอีกหลายคน โดยกลุ่มนี้เป็นแหล่งบ่มเพาะนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นรวมถึงบุคคลที่วันนี้เรารู้จักดีในฐานะ 'นักเคลื่อนไหวสิทธิเสรีภาพ' อย่าง เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์

ธนายุทธปั้นตัวเองในเครือข่ายนี้โดยอ้างว่าเป็นทายาทของ 'ตระกูลสิงหเสนี' ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่ 8 พร้อมประกาศตนเป็น “ผู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับนายชิตสิงหเสนี” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดรับรอง แต่กลับใช้เรื่องเจ้า เรื่องแผ่นดิน และเรื่องบาดแผลในประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง

ในช่วงระหว่างปี 2553–2556 ซึ่งเป็นยุคที่รัฐเปิดพื้นที่ให้กับภาคเยาวชน ภายหลังรัฐประหาร 2549 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม จึงเกิดเวทีอย่าง 'สภาเด็กและเยาวชน' ซึ่งกลายเป็นเวทีบ่มเพาะนักกิจกรรมรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง บางคนโตไปเป็นนักพัฒนา บางคนเป็นนักการเมือง แต่บางคน...กลับใช้เวทีนี้เป็นเครื่องมือสร้างตัวตนและเครือข่ายเพื่อวาระส่วนตัว

ธนายุทธ สิงหเสนี (ชื่อที่แอบอ้าง) คือหนึ่งในเยาวชนที่เข้ามาแทรกตัวอยู่ในเวทีดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกับบุคคลที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในระดับสากลอย่าง ต้า วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ — นักเคลื่อนไหวสายประชาธิปไตย ของพรรคเพื่อไทยในเวลานั้น ซึ่งภายหลังลี้ภัยการเมืองและหายตัวไปในประเทศกัมพูชา

ธนายุทธเคลื่อนไหวควบคู่กับวันเฉลิมและคนรุ่นเดียวกัน ผ่านบทบาทใน สภาเด็กและเยาวชนระดับกรุงเทพมหานคร รวมถึงองค์กรที่มีแนวโน้มผลักดันวาทกรรมเชิงเสรีนิยมและประชาธิปไตยแบบตะวันตก โดยใช้ภาษาของ 'สิทธิเด็ก' 'สิทธิเสรีภาพ' 'ประชาธิปไตย' และ 'ความเท่าเทียม' เป็นฉากหน้า

ซึ่งทำให้เขารู้จักกับพวกกลุ่ม ยุวทัศน์กรุงเทพฯในช่วงนั้น

และเขาก็เคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับเยาวชนในกลุ่มหัวฝ่ายซ้ายมาโดยตลอดในช่วงเวลานี้ในฐานะคนที่มีนามสกุลสิงหเสนี

เขาอ้างนามสกุล 'สิงหเสนี' เพื่อสร้างภาพลักษณ์ความเกี่ยวพันกับชนชั้นนำในประวัติศาสตร์ไทย แสดงบทบาท 'ผู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตระกูลสิงหเสนีย์' ผ่านกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับคดีลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่ 8

จนกระทั่งเขาสามารถก่อตั้ง สถาบันยุวชนสยาม ได้ในปี 2557 นั้นเอง ซึ่งช่วงนั้นก็จะมีกิจกรรม offline ร่วมกับองค์กรที่ชื่อว่า 'กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท'

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2559 — ธนายุทธถูกจับในคดี 'ฉ้อโกงที่ดิน' คดีอาญาเต็มรูปแบบ ที่ทำให้เครือข่ายเดิมอย่าง ยุวทัศน์กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้นำคือ “สองพี่น้องตระกูลประจวบลาภ” ต้องรีบออกมาประกาศ “ปัดความเกี่ยวข้อง” และตัดชื่อธนายุทธออกจากทุกบทบาท โดยระบุชัดว่าเขา “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจทางการเมืองของเครือข่าย”
การถูกจับกุมในคดีนั้นส่งผลทำให้แนวทางของการเคลื่อนไหวของกลุ่มยุวชนสยาม ต้องยุติบทบาทลงไป...

ส่วน อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ เนี่ยเคยถูกจับกุมครั้งหนึ่งในข้อหาการชูป้ายประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร ปี2557 ร่วมกับ เนติวิทย์ ซึ่งในเวลาออกมาได้ถูกปล่อยตัว ....แล้วเข้ารับราชการ เกี่ยวข้องกับการตรวจการแผ่นดิน

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ... ใครกันที่มาประกันตัวให้เขาในคดีนั้น?
คำตอบคือ 'ธนายุทธ' บุคคลจากเครือข่ายเดียวกัน ที่ร่วมกิจกรรมกับ "อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์" มาตั้งแต่ยุวชนสยาม รวมไปถึงนิติราษฎร์มีความสนิทสนมกับอาจารย์อย่างเช่นนิธิเอี่ยวศรีวงศ์และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล  ทำกิจกรรมต่อต้านมาตรา 112 มาโดยตลอด

โดยในเวลาต่อมา 'อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์' ได้เติบโตขึ้นไปทำงานใน “วงการยุติธรรม” และล่าสุดได้มีบทบาทเป็นหนึ่งใน คณะกรรมการ Amnesty International ประเทศไทย รุ่นเดียวกับเนติวิทย์ แล้วทำกิจกรรมตามหา ต้า วันเฉลิม ที่หายสาบสูญในกัมพูชา โดยโจมตีว่าเป็นการกระทำของฝ่ายรัฐไทย  ....

การที่ มีการเปิดเผยว่า **ธนายุทธ เป็นคนยื่นประกันตัว อภิชาติ... ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันสะท้อน “สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น” ที่โยงกันมาตั้งแต่ยุคเด็ก — กลุ่มเดียวกัน โตมาด้วยกัน จับมือกันเคลื่อนไหว ...

ชื่อของเนติวิทย์ อภิชาติ และธนายุทธ จึงวนกลับมาอยู่ในกรอบเครือข่ายเดียวกัน — เครือข่ายที่เติบโตจากอุดมการณ์ แต่ค่อย ๆ บิดเบี้ยวจนบางคนใช้สิทธิเสรีภาพเป็นฉากหน้า และใช้ "เรื่องเจ้า" เป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง

ปล. ที่ไฮโซเก๊คนนี้เข้าถึงผู้ใหญ่ คนใหญ่คนโตได้ระดับคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะว่าคนรอบข้างที่ไฮโซเก๊ ฝังตัวอยู่นั้นก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่สนิทสนมกันดีกับครอบครัวชินวัตร ทั้งคุณ ทักษิณ คุณ ยิ่งลักษณ์หรือแม้แต่คุณอุ๊งอิ๊ง คนเหล่านี้ก็สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นคนเหล่านี้ทำงานให้กับพรรคเพื่อไทยกันมานาน โดยไม่รู้ว่าบางคนใช้ชื่อเสียงนำไปสู่การก้าวล่วงสถาบันฯ เกินกว่าเหตุ

‘Mr. S - Miss W’ นร.นอกที่จบจากตะวันตก ปั่นกระแส ทำลายความสัมพันธ์ ‘ไทย - จีน’ ใส่ร้าย!! สร้างวาทกรรม ‘จีนเทา’ ทั้งที่จริงนักลงทุนจีน 99% ดำเนินกิจการ อย่างโปร่งใส

(7 เม.ย. 68) มองให้ลึก ก่อนเหมารวม : เมื่อความเงียบกลายเป็นพลังบ่อนทำลาย

ช่วงนี้ในแวดวงความคิดเห็นและการเมืองระหว่างประเทศ เริ่มมีกระแสบางอย่างที่น่าสนใจและควรค่าแก่การจับตา

มีกระแสหนึ่งที่กำลังค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างเงียบเชียบ มีทิศทางชัดเจน และใช้กลวิธีที่แนบเนียน

เบื้องหลังของกระแสดังกล่าว มีบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ โดยเฉพาะสองคนที่รู้จักกันในวงในชื่อย่อว่า Mr. S และ Miss W สองนักเรียนนอกจากโลกตะวันตก ผู้ร่วมกันผลักดันวาทกรรมในเชิง “ป้ายสีจีน” ด้วยการหยิบยกข้อมูลบางด้าน และใช้เทคนิคทางภาษาเพื่อชี้นำสังคมให้เข้าใจผิด เหมารวมว่านักลงทุนจีนทั้งหมดเป็น “ทุนสีเทา”

หลายฝ่ายในวงการเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจไม่ใช่แค่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นการ “ปั้นกระแส” อย่างมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

สิ่งที่สังคมไทยควรตั้งสติและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนคือ—เราไม่ควรเหมารวมบริษัทจีนทั้งหมดว่าเป็นกลุ่มทุนสีเทา

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนจีนกว่า 99% ที่เข้ามาในประเทศไทย ล้วนเป็นบริษัทระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส และสร้างงานให้กับคนไทยอย่างจริงจัง อาทิ :
 • GWM
 • Haier
 • Midea
 • Hisense
 • BYD
 • GAC AION
 • Longi
 • MG
 • ChangAn
 • CATL
 • SVOLT

บริษัทเหล่านี้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ

แม้จะไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเบื้องหลังของกระแสนี้คืออะไรแน่ แต่ในโลกของการทูต “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

ทุกกระแสที่ถูกจุดขึ้น ล้วนมีที่มา

และทุกความเคลื่อนไหว ย่อมมี “ราคา” ที่ตามมาเสมอ

‘โอเดสซา’ เป้าหมายสำคัญ!! ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อพลังอำนาจ คุมเมืองนี้ได้!! หมายถึง การปิดล้อมยูเครน จากทะเลโดยสมบูรณ์

(7 เม.ย. 68) เมืองโอเดสซา (Odesa) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยูเครนริมฝั่งทะเลดำ เป็นหนึ่งในเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เนื่องจากบทบาททั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า หากโอเดสซาถูกยึดครองโดยรัสเซีย ความมั่นคงของยูเครนและโครงสร้างพลังงาน-การค้าของยุโรปจะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง

เราสามารถเห็นตลอดสงครามที่ผ่านมาโอเดสซาเป็นเป้าหมายสำคัญของการการโจมตีของฝั่งรัสเซียมาโดยตลอด เมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าโอเดสซามีความสำคัญ 5 ด้านด้วยกัน

1) โอเดสซาเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลและการค้าโลก
โอเดสซา (Odessa หรือ Odesa) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลดำในตอนใต้ของยูเครน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก ทำเลของโอเดสซาเอื้อให้เมืองนี้ทำหน้าที่เป็น “ประตู” สำคัญของยูเครนในการเชื่อมต่อกับภูมิภาคอื่นๆ ได้แก่ ยุโรปตอนใต้ (ผ่านช่องแคบบอสฟอรัส) ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (ผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) รวมถึงเครือรัฐเอกราช (CIS) และตลาดยูเรเซียน ในแง่นี้ โอเดสซาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และ จุดผ่านส่งออกสินค้าเกษตร พลังงาน และสินค้าอุตสาหกรรมของยูเครน โดยเฉพาะธัญพืช เช่น ข้าวโพดและข้าวสาลี ซึ่งยูเครนถือเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก

ท่าเรือโอเดสซา (Odesa Port) เป็นหนึ่งในท่าเรือเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของทะเลดำ โดยมีโครงสร้างพื้นฐานครบครันทั้งสำหรับการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ สินค้าเหลว สินค้าเทกอง และเรือโดยสารรองรับการขนส่งมากกว่า 40 ล้านตันต่อปี เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายรางและถนนที่เชื่อมต่อกับยุโรปตะวันออก มีเขตปลอดภาษีและเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ เมื่อเทียบกับท่าเรืออื่น ๆ เช่น มิโคลาอีฟ(Mykolaiv) หรือ โครโนมอรสก์ Chornomorsk โอเดสซามีบทบาทสำคัญกว่าทั้งในแง่ของขนาด ความสามารถในการรองรับเรือขนาดใหญ่และการเป็นศูนย์ควบคุมด้านการค้า

โอเดสซาจึงเป็นท่าเรือใหญ่ที่สุดของยูเครนและมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ เป็นท่าเรือส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด และน้ำมันพืช ไปยังตลาดโลก โดยเฉพาะในแอฟริกาและตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบทบาทสำคัญใน "ข้อตกลงธัญพืช" (Black Sea Grain Initiative) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างยูเครน–ตุรกี–สหประชาชาติ–รัสเซีย เพื่อให้การส่งออกผ่านทะเลดำดำเนินต่อไปได้แม้ในช่วงสงคราม หากโอเดสซาถูกปิดล้อมหรือยึดโดยรัสเซียจะทำให้ระบบส่งออกของยูเครนล่มสลาย และตลาดอาหารโลกเกิดความปั่นป่วน แสดงให้เห็นว่าโอเดสซาไม่ได้มีความสำคัญเพียงสำหรับยูเครนหรือรัสเซียเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ เสถียรภาพทางอาหารของโลกโดยตรงอีกด้วย

2) โอเดสซาเป็นจุดเชื่อมสำคัญของ NATO และตะวันตก
โอเดสซาอยู่ใกล้พรมแดนมอลโดวาและอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มประเทศ NATO ในยุโรปตะวันออก เช่น โรมาเนียและบัลแกเรีย ดังนั้นโอเดสซาจึงมีบทบาทเป็นแนวหน้าในการต้านการขยายอิทธิพลของรัสเซียทางทะเล การควบคุมโอเดสซาจะทำให้รัสเซียสามารถคุกคามน่านน้ำของ NATO ได้มากขึ้น และอาจกลายเป็นจุดตัดเส้นทางการขนส่งยุทโธปกรณ์และความช่วยเหลือจากตะวันตกผ่านทะเลดำ

3) การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ "Land Bridge" สู่ทรานส์นิสเตรีย
ทรานส์นีสเตรีย (หรือ “ПМР” – Приднестровская Молдавская Республика) เป็นดินแดนที่ประกาศเอกราชจากมอลโดวาในช่วงหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย และยังคงมีทหารรัสเซียประจำการอยู่ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ทรานส์นิสเตรียมีประชากรเชื้อสายรัสเซียและยูเครนจำนวนมาก มีรัฐบาลเฉพาะกิจและนโยบายที่ใกล้ชิดกับเครมลิน มีกองกำลังรัสเซียจำนวน1,500 นายประจำการในนาม “กองกำลังรักษาสันติภาพ” ดังนั้น ทรานส์นีสเตรียจึงเป็น “ด่านหน้าของรัสเซีย” ในยุโรปตะวันออก และอาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการขยายอิทธิพลไปยังมอลโดวาและคาบสมุทรบอลข่าน

ในบริบทของสงครามรัสเซีย–ยูเครน แนวคิด “Land Bridge” หมายถึงการสร้างแนวต่อเนื่องของพื้นที่ควบคุมทางบกของรัสเซียจากดอนบาส ผ่านแคว้นเคอร์ซอน–ซาปอริซเซีย–ไครเมีย และลงมาทางโอเดสซา จนไปถึง ทรานส์นีสเตรีย (Transnistria) — ดินแดนที่รัสเซียให้การสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการในมอลโดวาตะวันออก หากรัสเซียสามารถควบคุมดินแดนนี้ได้ทั้งหมด จะทำให้เกิด “โค้งอิทธิพล” เชิงพื้นที่ที่เชื่อมรัสเซียกับดินแดนมอลโดวาตะวันออกโดยไม่ขาดตอน สามารถเสริมเส้นทางส่งกำลังทหาร/ข่าวกรอง/ทรัพยากร ระหว่างรัสเซีย–ไครเมีย–ทรานส์นีสเตรีย โดยไม่พึ่งทางอากาศหรือทะเลที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ซึ่งถือเป็นชัยชนะเชิงภูมิรัฐศาสตร์สำคัญ สามารถเชื่อมอิทธิพลทางทหารจากทะเลดำเข้าสู่ยุโรปตะวันออกตอนล่างและปิดกั้นทางออกทะเลของยูเครนอย่างสมบูรณ์ นี่จึงเป็นหนึ่งใน “Grand Strategy” ของรัสเซีย ที่ไม่ได้หยุดแค่ดอนบาสหรือไครเมีย แต่ครอบคลุมถึงการสร้าง “แนวต่อเนื่องแห่งอิทธิพล” บนแผ่นดินยุโรปตะวันออก

ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำกล่าวของ พลโทรุสตัม มินเนคาเยฟ (Rustam Minnekayev) รองผู้บัญชาการกองทัพภาคกลางของรัสเซีย ที่กล่าวต่อสาธารณะในปี 2022 ว่า “เป้าหมายประการหนึ่งของปฏิบัติการทางทหารพิเศษคือการสร้างการควบคุมอย่างเต็มรูปแบบเหนือพื้นที่ทางใต้ของยูเครน ซึ่งจะช่วยให้มีทางออกอื่นสำหรับทรานส์นีสเตรีย” แสดงให้เห็นว่า "Land Bridge" ไม่ใช่แนวคิดสมมุติ แต่เป็น เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่อยู่ในการพิจารณาของกองทัพรัสเซีย

4) ความหมายเชิงประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์
โอเดสซาเป็นเมืองที่มีความสำคัญในสมัยจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียต มีประชากรรัสเซียจำนวนมากในอดีต แม้ว่ายูเครนจะเป็นรัฐอธิปไตยตั้งแต่ปี 1991 แต่โอเดสซายังคงมีประชากรจำนวนมากที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นหลัก และมีประวัติของการสนับสนุนแนวคิดนิยมรัสเซียในบางช่วงเวลา หลังการปฏิวัติยูโรไมดานในปี 2014 และการผนวกไครเมียโดยรัสเซีย มีความตึงเครียดในโอเดสซาระหว่างกลุ่มสนับสนุนยูเครนกับกลุ่มนิยมรัสเซีย เช่นเหตุการณ์ไฟไหม้อาคารสหภาพแรงงานในเดือนพฤษภาคม 2014 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 ราย เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่รัสเซียใช้เพื่อชี้ถึงการ “ปราบปรามชาวรัสเซีย” ในยูเครน

นอกจากนี้เป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม การค้า และการทหารที่เคยเป็นของจักรวรรดิรัสเซียตั้งแต่ศตวรรษที่ 18  โอเดสซาก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1794 โดยคำสั่งของจักรพรรดินีแคเธอรีนมหาราชา หลังจากรัสเซียได้ดินแดนจากอาณาจักรออตโตมันผ่านสงคราม ในช่วงศตวรรษที่ 19 เมืองนี้กลายเป็นท่าเรือสำคัญและเมืองพหุวัฒนธรรมภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย มีบทบาทโดดเด่นในระบบเศรษฐกิจของจักรวรรดิและในเวลาต่อมาของสหภาพโซเวียต โดยมีประชากรพูดภาษารัสเซียจำนวนมาก สถาปัตยกรรม วรรณกรรม และชีวิตทางวัฒนธรรมของโอเดสซาสะท้อนอัตลักษณ์รัสเซียอย่างลึกซึ้ง โอเดสซายังเป็นบ้านของนักเขียนชื่อดัง เช่น อิสฮัก บาเบล (Isaac Babel) ซึ่งสะท้อนภาพเมืองในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของรัสเซียทางตอนใต้

ดังนั้นโอเดสซาจึงเป็นเป้าหมายสำคัญใน “นโยบายรวมชาติชาวรัสเซีย” (русский мир) หรือ “Russian World” ของเครมลินซึ่งเป็นแนวคิดเชิงภูมิรัฐศาสตร์-วัฒนธรรมที่กลายมาเป็นรากฐานสำคัญของนโยบายต่างประเทศของรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 2000 เป็นต้นมา แนวคิดนี้เสนอว่ารัสเซียมีหน้าที่และสิทธิในการปกป้อง “โลกของชาวรัสเซีย” ซึ่งหมายถึงประชาชนเชื้อสายรัสเซีย ชาวสลาฟอีสเทิร์น-ออร์โธดอกซ์ และผู้ใช้ภาษารัสเซียในประเทศอื่น ๆ ของอดีตสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะในยูเครน เบลารุส คาซัคสถาน และประเทศในคอเคซัสและบอลติก ภายใต้นโยบาย (русский мир) โอเดสซาไม่ได้ถูกมองเพียงในมิติภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นการ “กู้คืน” เมืองประวัติศาสตร์ที่ถูก “แยก” ออกจากโลกของรัสเซียโดยความผิดพลาดของประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในมุมมองของผู้นำรัสเซียซึ่งเชื่อว่าการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็น “โศกนาฏกรรม” ทางภูมิรัฐศาสตร์ ในปี 2021 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้เขียนบทความชื่อว่า “On the Historical Unity of Russians and Ukrainians” ซึ่งกล่าวถึงยูเครนว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “โลกเดียวกัน” กับรัสเซีย เมืองอย่างโอเดสซาจึงถูกตีความว่าเป็น “เมืองรัสเซียโดยธรรมชาติ” ที่ควรกลับคืนสู่โลกของรัสเซีย

5) สถานการณ์ทางทหารและการโจมตี
ตั้งแต่เริ่มสงครามในปี 2022 โอเดสซาเป็นเป้าหมายของขีปนาวุธจากรัสเซียซ้ำแล้วซ้ำเล่า โครงสร้างพื้นฐานพลังงานและท่าเรือถูกโจมตีหลายครั้งมีความพยายามในการใช้โดรนโจมตีท่าเรือและโกดังธัญพืชอย่างต่อเนื่องเป็นจุดที่ยูเครนพยายามตั้งระบบป้องกันทางอากาศอย่างเข้มข้น 

โดยเหตุการณ์การโจมตีที่สำคัญมีดังนี้

6 มีนาคม 2024: ขีปนาวุธของรัสเซียระเบิดใกล้กับสถานที่ที่ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี และนายกรัฐมนตรีกรีซ คีเรียกอส มิตโซตากิส กำลังประชุมกันในโอเดสซา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน

17 พฤศจิกายน 2024: รัสเซียเปิดฉากการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024 โดยยิงขีปนาวุธประมาณ 120 ลูกและโดรน 90 ลำ ไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วยูเครน รวมถึงโอเดสซา การโจมตีครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนในโอเดสซา และตัดการจ่ายน้ำและไฟฟ้าในเมือง 

18 พฤศจิกายน 2024: ขีปนาวุธของรัสเซียโจมตีโอเดสซา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บ 44 คน โดยผู้เสียชีวิตรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นาย เจ้าหน้าที่การแพทย์ 1 คน และพลเรือน 2 คน 

31 มกราคม 2025: รัสเซียยิงขีปนาวุธใส่ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของโอเดสซา ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลกของยูเนสโก ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 7 คน และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่ออาคารประวัติศาสตร์ 

11 มีนาคม 2025: การโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียทำให้เรือบรรทุกสินค้าธัญพืชในท่าเรือโอเดสซาได้รับความเสียหาย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน 

21 มีนาคม 2025: รัสเซียเปิดฉากการโจมตีด้วยโดรนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งต่อโอเดสซา ทำให้เกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่และมีผู้บาดเจ็บ 3 คน
การโจมตีต่อเมืองนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัสเซียในการควบคุมเส้นทางการค้าและตัดยูเครนออกจากการเข้าถึงทางทะเล

สรุป โอเดสซาไม่ได้เป็นเพียงเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของยูเครนเท่านั้น แต่คือ "จุดยุทธศาสตร์" ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อโครงสร้างพลังอำนาจในทะเลดำและยูเรเซีย เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อทั้ง การทหาร เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง ในสงครามรัสเซีย–ยูเครน การควบคุมเมืองนี้จะทำให้รัสเซียได้เปรียบเชิงโครงสร้างทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ การยึดครองโอเดสซาอาจหมายถึงการปิดล้อมยูเครนจากทะเลโดยสมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสมดุลอำนาจระหว่างรัสเซียกับตะวันตก ขณะที่สำหรับยูเครน การรักษาโอเดสซาไว้ได้ คือการคงไว้ซึ่งเส้นทางสู่ทะเลดำและความอยู่รอดในระดับชาติ

กลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทย ยังดำเนินต่อไป เปลี่ยนคนพูด แต่ไม่เปลี่ยนคนเขียนบท อ้าง!! กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ความเป็นจริง เต็มไปด้วย ถ้อยคำ ‘ปลุกใจเสือป่า’

(7 เม.ย. 68) ข้าพเจ้าเคยพูดไว้แล้วเรื่องนโยบายของพรรคเป็นธรรม—ไม่ว่าจะเป็นการเสนอถอนทหาร ยกเลิกกฎหมายพิเศษ หรือผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ปกครองตนเอง ทั้งหมดล้วนเป็นกลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทยอย่างเป็นระบบ ภายใต้ฉากหน้าคำว่า "สิทธิมนุษยชน" และ "สันติภาพ"

ล่าสุด ขบวนการนี้ยังไม่หยุดพัก เมื่อมีการจัดงาน Green Melayu 2025 โดยอ้างว่าเป็น “กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม” แต่ในความเป็นจริง เวทีนี้กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำปลุกใจเสือป่าในนาม “ราชอาณาจักรปาตานี” พูดถึงอัตลักษณ์ มรดกแผ่นดิน และอำนาจที่ “ต้องทวงคืน”

ผู้ปราศรัยอย่าง มูฮัมหมัดอาราดี เด็งนิ และ ฮาซัน ยามาดีบุ แม้จะถูกมองว่าเป็น “หน้าใหม่” ในสายตาคนนอก แต่ความจริงแล้ว พวกเขาคือ “คนกันเอง” ในเครือข่ายเดียวกับ รอมฎอน ปันจอ และ กัณวีร์ สืบแสง ตัวละครชุดเดิมที่แค่เปลี่ยนเวที เปลี่ยนฉากหน้า

จะเป็นพรรคประชาชนที่ล่มไป หรือพรรคเป็นธรรมที่ยังวิ่งอยู่
จะเป็นเวทีสิทธิมนุษยชน หรือเวทีสิ่งแวดล้อม
จะเป็นงานวิชาการ หรือกิจกรรมวัฒนธรรม

ทั้งหมดล้วนเป็นมุกเก่าในบทใหม่
ทั้งหมดล้วนเป็นคนกันเองที่เปลี่ยนหน้ากากตามสถานการณ์

และเป้าหมายก็ยังไม่เปลี่ยน—ท้าทายอำนาจรัฐไทย และแยกดินแดนในทางอุดมการณ์โดยไม่ต้องใช้ปืนแม้แต่นัดเดียว

พวกเขาอาจเรียกมันว่า “กิจกรรมของคนรุ่นใหม่”

แต่ข้าพเจ้าเห็นชัดว่า มันคือยุทธศาสตร์เดิม ที่เปลี่ยนแค่คนพูด ไม่เคยเปลี่ยนคนเขียนบท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top