Saturday, 10 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

รอง หน.ประชาธิปัตย์ ประกาศผลักดันจังหวัดหวัดชายแดนใต้ เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางอาหาร เจาะตลาดชาวมุสลิมกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.ในพื้นที่ ก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2565 ที่จ.ปัตตานี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะประกาศผลักดันจังหวัดหวัดชายแดนใต้ให้เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้ยุทธศาสตร์ เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด โดยตั้งใจจะให้ทุกจังหวัดของชายแดนใต้เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางอาหาร เพื่อการบริโภคในพื้นที่บริโภคภายในประเทศ และเป็นครัวของโลก โดยเฉพาะประชากรมุสลิมกว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลก

นายนิพนธ์ฯ กล่าวว่า จากการศึกษาและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชนในหลายพื้นที่พบว่าความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรได้ จึงต้องส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนา ผลผลิตที่สอดคล้องความต้องการของตลาด อย่างหลากหลาย รวมทั้งด้านปศุสัตว์ พร้อมทั้งการจะพลิกนาร้างให้เป็นนาข้าว ร่วมสามแสนไร่ให้เป็นนาข้าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราจะจัดระบบชลประทานให้เข้าไปถึงที่นาแห่งนี้ และสร้างผล ตอบแทนทางการเกษตรที่เรียกว่านาข้าวเลี้ยงคนในพื้นที่ได้ 

“กระทรวงเกษตรฯ.” เร่งขับเคลื่อน ”สภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.” ผนึกทุกเครือข่ายเดินหน้าเกษตรออร์กานิคดันไทยขึ้นแท่นฮับอาเซียน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นประธานพิธีเปิดและปาถกฐาพิเศษ เรื่อง “เกษตรอินทรีย์และเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.”ที่รร.อมารี ดอนเมือง ผ่านระบบออนไลน์โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ เป็นอาหารแห่งอนาคต (Future Food)ที่มีโอกาสเติบโตในตลาดโลกได้อย่างมากจึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ด้านการผลิต การแปรรูป การบริโภค การค้าสินค้า และ การบริการเกษตรอินทรีย์ ที่มีความยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลภายใต้”ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ.2560-2564” โดยมีคณะกรรมการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและคณะกรรมบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่มีดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานเป็นกลไกระดับนโยบายและมีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภายใต้3คณะทำงานได้แก่คณะกรรมการด้านเกษตรอินทรีย์ คณะทำงานด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสานและคณะทำงานด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ ได้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 2564-2565เดินหน้าจัดทำร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ 2566-2570 และร่างพรบ.เกษตรกรรมยั่งยืนพร้อมกับเห็นชอบให้มีการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติรวมทั้งการจัดทำโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Urban Farming)และโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank) ประการสำคัญคือการจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.แห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ19สิงหาคม2564 โดยมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)จัดทำหลักเกณฑ์การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS)หรือเกษตรอินทรีย์วิถีชุมชน
   วันนี้ถือเป็นวันสำคัญที่สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส.แห่งประเทศไทยได้เห็นชอบธรรมนูญของสภาฯ.และคณะกรรมการบริหารอย่างเป็นทางการชุดแรกแทนคณะกรรมการบริหารชุดเฉพาะกิจด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเครือข่ายองค์กรเกษตรอินทรีย์หลักๆเช่น มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย มูลนิธิ เกษตรกรรมยั่งยืน สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย พี จี เอส สหพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่ง ประเทศไทย ยังมีกลุ่มเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส ในเครือข่ายอื่นๆ อีกเป็นจํานวนมากที่พร้อมจะร่วมกันขับเคลื่อนสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส และแผนดําเนินงานขับเคลื่อนระบบ พี จี เอส ของประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ (1) เพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตเกษตรอินทรีย์ (2) เพิ่มการค้าและการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ (3) เพื่อให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ (4) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของสินค้าและบริการด้านเกษตรอินทรีย์ในระดับภูมิภาคอาเซียน 


   

'พิธา' เชิญชวนประชาชนร่วมตามหาอนาคตใหม่ให้กับพรรคก้าวไกล  ชูแคมเปญ 'ก้าวไกล NEXT' เปิดระดมความคิดเห็นเพื่อปฏิรูปพรรคทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เตรียมจัดทาวน์ฮอลล์ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า แคมเปญ 'ก้าวไกล NEXT' ถ้าให้ความหมายตรงๆ ก็คือการปฏิรูปพรรคโดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม แต่ถ้าใช้หัวใจตอบก็ต้องบอกว่า นี่คือการตามหาอนาคตใหม่ให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งในความหมายนี้มี 2 มิติ ได้แก่ 1.มิติสู่อนาคต คือ ปัญหาต่างๆ ที่ประเทศไทยเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นโควิด ภูมิรัฐศาสตร์ โลกร้อน น้ำท่วม ไฟป่า รวมถึงของแพงค่าแรงถูกที่หนักสุดในรอบ 20 ปีนี้ สิ่งที่เราเป็นอยู่อาจยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ต้องทำงานให้หนักขึ้นกว่าเดิม เป็นนักรบอยู่ห้องแอร์อย่างเดียวคิดกันเองไม่ได้ ต้องไปฟังความคิดเห็นประชาชนด้วย 2.มิติสู่อดีต ในที่นี้คือการตามหาสปิริตของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งสิ่งที่เราเคยเริ่มต้นไว้นั้นก็คือการทำพรรคการเมืองให้เป็นพรรคมวลชน เป็นพรรคของประชาชน มีฐานการเมืองที่เข้มแข็ง ไม่ได้เป็นพรรคใครคนใดคนหนึ่ง วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะกลับไปตามหาสปิริตนั้น ทำให้พรรคก้าวไกลกลับมาคึกคัก เตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง

"ในส่วนของการปฏิรูปพรรค เมื่อดูแล้วเรากำหนดคร่าวๆ 7 มิติ เพื่อให้ประชาชนได้มาร่วมกันแสดงความเห็น คือ 1.ผู้แทนที่คุณอยากเห็น 2.การสื่อสารของพรรค 3.การนำเสนอนโยบาย 4.งานในสภาและกรรมาธิการ 5.การทำงานพื้นที่ 6.งานสมาชิกและอาสาสมัคร และ 7.การระดมทุน โดยทั้งหมดนี้จะเปิดกว้างให้ประชาชนได้เข้าร่วมใน 2 รูปแบบ คือ 1.การจัดทำกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นในลักษณะของทาวน์ ฮอลล์ โดยผมและแกนนำพรรคก้าวไกลจะเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อพบปะประชาชน และ 2. ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์  https://next.moveforwardparty.org โดยกิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ มีวงคุยแรกนี้กับสื่อมวลชน จากนั้นจะตระเวนไปทุกภูมิภาค ก่อนที่จะมีเวทีใหญ่วันที่ 28 สิงหาคม และทั้งหมดที่เราระดมความเห็นนี้ ก็จะนำมาสู่การเปิดแคมเปญใหญ่ในวันที่  9 เดือน 9 ซึ่งจะเป็นก้าวต่อไปของเราที่จะก้าวไกลกว่าเดิม จริงอยู่ว่าเราต้องการ ส.ส.เข้าสภาให้มากที่สุด แต่เราก็ต้องทำงานทางความคิดด้วย ทำให้คนชื่อว่าสังคมที่ก้าวหน้าเป็นไปได้ ยังมีความหวัง ในช่วงเวลาที่ประชาชนหมดหวังมากที่สุดตลอดหลายสิบปีมานี้" พิธา กล่าว

'บิ๊กตู่' พอใจ ช่วยประชาชนไกล่เกลี่ยหนี้สำเร็จ กว่า 5.6 หมื่นราย  พร้อมชม 'สมศักดิ์' จัด มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ ได้ผล ขณะที่กระทรวงยุติธรรม เตรียมจัดต่ออีก 7 จังหวัด

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ติดตามข้อสั่งการในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ตามที่ได้ประกาศให้ปีนี้เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” โดยกระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการ “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สิน หนี้ครัวเรือน”  ผลการไกล่เกลี่ยล่าสุดข้อมูลวันที่ 6 สิงหาคม 2565 มีผู้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย รวมทั้งสิ้น 59,436 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ จำนวน 56,674 ราย คิดเป็นร้อยละ 95.35 รวมทุนทรัพย์ 11,995 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 5,114 ล้านบาท ภายในงานได้จัดนิทรรศการและบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดีให้แก่ประชาชนที่มาร่วมงาน ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้ กยศ. หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้เช่าซื้อรถยนต์ (ลิสซิ่ง) ทั่วประเทศ การจัดมหกรรมยุติธรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือนฯ ทั่วประเทศ จะเหลืออีก 7 ครั้ง  ที่จังหวัดสระแก้ว นครนายก สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ตราด จันทบุรี และชลบุรี เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม ซึ่งการจัดงานแต่ละครั้งจะมีการไกล่เกลี่ยของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่เป็นหนี้ก่อนฟ้อง และการไกล่เกลี่ยของกรมบังคับคดี ที่เป็นหนี้ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว โดยมีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และสถาบันการเงิน หลายหน่วยงาน อาทิ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์  ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน)  บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด บริษัท โตโยต้า ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมด้วย

‘อุ๊งอิ๊ง’ หาเสียงกับชาวเชียงราย ‘ทักษิณ’ กลับไทย โวลั่น!! หากได้เป็นรัฐบาล ขอแค่ 1 ปี ปัญหาใหญ่จะถูกแก้

7 ส.ค.2565 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะแกนนำพรรคเพื่อไทย และครอบครัวเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายพานทองแท้ ชินวัตร สมาชิกพรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยคณะแกนนำ คณะกรรมการบริหารพรรค ส.ส.เชียงราย และส.ส.ภาคเหนือ หลายจังหวัด เดินทางมาจังหวัดเชียงราย เพื่อจัดกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย "ระดมพลคนเจียงฮาย เพื่อไทยมาเหนือสุด" พร้อมกับเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต และระบบบัญชีรายชื่อ บางส่วน

ประกอบไปด้วยร.ต.อ. ดร.ธนรัช จงสุทธานามณี นายวิกรม เตชะธีราวัฒน์ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน นายอิทธิเดช แก้วหลวง และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช

นางสาวแพทองธาร ปราศรัยช่วงหนึ่งว่า พี่น้องชาวเชียงรายสบายดีหรือไม่ ไม่ค่อยสบายใช่หรือไม่ ทำมาหากินลำบาก หนี้สินท่วมท้นใช่หรือไม่ ไม่เป็นอะไร ขอให้พี่น้องอดทนอีกนิด ถ้าวันนี้ทุกข์ยาก พรุ่งนี้ต้องดีขึ้นแน่นอน ถ้าพรรคเพื่อไทยได้กลับมาดูแลประชาชนอีกครั้ง รู้สึกเป็นเกียรติที่มาเยี่ยมชาวเชียงราย ชาวเชียงรายไม่เคยลืมพรรคเพื่อไทย เหมือนที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยลืมชาวเชียงราย

หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า คุณพ่อกับคุณอาฝากความคิดถึงมาให้พี่น้อง เพิ่งกลับจากการไปเยี่ยม ทั้ง 2 คน ดีใจที่ตนได้มาเชียงราย ทุกท่านทราบดีว่า นายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนเชียงใหม่ แต่คนในครอบครัวทั้งพี่เขย และพี่สะใภ้ เป็นคนเชียงรายแท้ๆ

"คุณพ่อตั้งใจว่า ถ้าได้มีโอกาสกลับมาเมืองไทย อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน มีอะไรร่วมมือกันไม่ขัดแย้งกัน เพราะพี่น้องกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นคือ ให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ให้พี่น้องพ้นจากความทุกข์ยาก"

“ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร” สส.สมุทรปราการ จับมือ ”วรพร อัศวเหม”และกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า ร่วมถวายเก้าอี้ 500 ชุด ณ วัดราษฎร์บำรุง สมุทรปราการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ เขต2 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายวรพร อัศวเหม ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมกันถวายเก้าอี้ จำนวน 500 ชุด ให้กับทางวัดราษฎร์บำรุง (ตาเจี่ย)  ต.บางปู อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 

    โดยในพิธีการถวายเก้าอี้ จำนวน 500 ชุด ในครั้งนี้ มีนายสมศักดิ์ คล้ายศิริ ประธานสภาเทศบาลตำบลบางปู นายไพรัตน์ จันทร์ไชยแก้ว เลขานุการสภาเทศบาลตำบลบางปู ตลอดจนคณะสมาชิกสภาเทศบาลตำบลบางปูและทีมกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า ร่วมในพิธีมอบครั้งนี้

   โดย ได้รับความเมตตาจากท่าน พระครูสมุทรธรรมวัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์บำรุง ประธานฝ่านสงฆ์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดราษฎร์บำรุง ร่วมรับมอบเก้าอี้ จำนวน 500 ชุด เพื่อนำไปใช้เป็นสาธารณประโยชน์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา เจริญพระพุทธมนต์ พร้อมมอบเหรียญวัตถุมงคลของทางวัดให้กับทางคณะเจ้าภาพและญาติโยมที่มาร่วมกันถวายเก้าอี้ให้กับทางวัดในครั้งนี้   

นับเป็นอีกผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลที่จะช่วยคนจนที่ทำผิดกฎหมายหลายล้านคน หลังจากกฎหมายปรับเป็นพินัยได้ผ่านวาระ 3 ของรัฐสภาแบบสดๆ ร้อนๆ

เมื่อวันที่ 3 ส.ค.65 นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ปรับเป็นพินัย-กม.โบว์แดง ช่วยคนจนหลายล้าน ปล่อยคนถูกกักขังฯหลายหมื่น’ มีเนื้อหาว่า... 

ความเป็นจริง 16 ประการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. … ที่ผ่านรัฐสภาวาระ 3 เมื่อ 2 สิงหาคม 2565

1. เป็นร่างกฎหมายปฏิรูปที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุที่มีกฎหมายกำหนดโทษทางอาญามากเกินไป

2. สาระคือการเปลี่ยนโทษปรับทางอาญาสถานเดียวในกฎหมาย 204 ฉบับแยกเป็น 3 บัญชี ให้เป็น ‘โทษปรับทางพินัย’ ที่ไม่ใช่โทษทางอาญา

3. จะไม่มีการกักขังแทนค่าปรับในกฎหมาย 204 ฉบับนั้นอีกต่อไป

4. คิดค่าปรับตามฐานะทางเศรษฐกิจและภววิสัยของการทำผิด

5. ถ้าผู้ทำผิดยากจน ศาลจะกำหนดค่าปรับให้ต่ำลงมากกว่าฐานที่กำหนดไว้ในกฎหมายก็ได้ หรืองดเว้นก็ได้ รวมทั้งจะให้ทำงานเพื่อสาธารณะทดแทนก็ได้

6. ลบทะเบียนประวัติอาชญากรรมในความผิดตามกฎหมาย 204 ฉบับนั้นทั้งหมดภายใน 1 ปี

7. จะไม่มีการบันทึกทะเบียนประวัติอาชญากรรมในความผิดตามกฎหมาย 204 ฉบับนั้นอึกต่อไป

8. กำหนดขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาใหม่สำหรับความผิดทางพินัย แตกต่างจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รักษาการตามกฎหมายทั้ง 204 ฉบับนั้นมีอำนาจสั่งปรับทางพินัยได้เลย

9. เมื่อเป็นการปฏิรูปใหญ่ และเป็นการกำหนดขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาใหม่ตาม 8 จึงต้องมีการเตรียมการสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเป็นระบบ จึงกำหนดให้กฎหมายมีผลใช้บังคับหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 240 วัน และให้การเปลี่ยนโทษปรับทางอาญาในกฎหมาย 204 ฉบับนั้นมีผลภายใน 365 วัน หรือเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาประกาศกำหนด

มาสด้า จับมือ กลุ่มบริษัท กวงไถ่ ของตระกูลมหากิจศิริ ทุ่มงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท เปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแบบครบวงจร พร้อมศูนย์ซ่อมตัวถังและสี ภายใต้ชื่อ “มาสด้า กวงไถ่” บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ ริมถนนบางนา ตราด กม. 29 

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มาสด้ามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการยกระดับการบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับเดินหน้าขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยครั้งนี้ มาสด้าได้ร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งคือ กลุ่มบริษัท กวงไถ่ ที่บริหารงานโดย คุณประทีป มหากิจศิริ ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ และอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์มาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี การเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่บนถนนบางนาตราด กม. 29 เนื่องจากเล็งเห็นว่าทำเลนี้เป็นย่านนิคมอุตสาหกรรม โรงเรียน แหล่งชุมชนที่มีลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น รวมถึงยังเป็นทำเลศักยภาพที่ในอนาคตจะมีเมกะโปรเจกต์เกิดขึ้นอีกหลายแห่ง จึงได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถยนต์มาสด้าในย่านนี้ ซึ่งจากองค์ประกอบเหล่านี้แล้ว เราเชื่อว่า โชว์รูมและศูนย์บริการแห่งนี้ จะสร้างโอกาสทางการแข่งขัน และสามารถเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในย่านนี้ได้อย่างแน่นอน

นายประทีป มหากิจศิริ ประธาน กลุ่มบริษัท กวงไถ่ กล่าวว่า กลุ่มบริษัท กวงไถ่ มีความพร้อมและได้ดำเนินธุรกิจมาอย่างมั่นคง ทำให้เรามีความพร้อมที่จะส่งมอบการบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ซึ่งครั้งนี้ เราได้เข้าร่วมเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าอย่างเป็นทางการ โดยเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแบบครบวงจร พร้อมศูนย์ซ่อมตัวถังและสี “มาสด้า กวงไถ่” ขึ้น บนถนนบางนา ตราด กม.29 โดยโชว์รูมแห่งนี้ ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัย หรูหรา พรั่งพร้อมด้วยเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน สามารถรองรับรถยนต์ที่มาใช้บริการได้สูงสุด 500 คันต่อเดือน และมีศักยภาพที่จะขยายเพิ่มเติมเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้นได้ถึง 1,000 คัน นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ซ่อมตัวถังและสี ที่สามารถรองรับรถลูกค้าที่มาเข้าซ่อมได้ถึง 300 คันต่อเดือน จึงเชื่อว่าจะสามารถส่งมอบการบริการให้กับลูกค้าได้เพียงพอต่อความต้องการ และมอบความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจรแน่นอน

 

วธ. ดึงสภาเด็กและเยาวชน กทม. – ผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ - ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ร่วมเวทีระดมความเห็นใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ร่วมสานพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น. ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ "สานพลังเด็กและเยาวชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ สร้างรายได้ เสริมคุณค่าและภูมิคุ้มกันทางสังคม" โดยมีนางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วิทยากร เยาวชนผู้เข้าอบรมฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยและสังคมโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การเกิดภาวะเงินเฟ้อ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด สิ่งต่าง ๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและค่านิยมของคนในสังคม ซึ่งตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในปี 2565 กระทรวงวัฒนธรรมได้ปรับภาพลักษณ์เป็น “กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ” ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยการใช้วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย เพื่อพลิกฟื้นงานศิลปวัฒนธรรมและพลิกโฉมประเทศไทยให้เข้มแข็ง และมั่นคงท่ามกลางความผันผวนของโลก และที่สำคัญในวาระที่ วธ. ครบรอบ 20 ปี ได้กำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนเข้าถึงศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริม  ให้ใช้ศักยภาพเพื่อการสร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมมาพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม มีความสุข มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ดร.ยุพา กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของ วธ. รวมถึงเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและค่านิยมเชิงบวกด้านเศรษฐกิจวัฒนธรรมและชุมชนคุณธรรม เสริมสร้างความเข้มแข็ง เพื่อเป็นพลังร่วมของสังคมไทยในการขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน โดยได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์สื่อสารการตลาดและนักจิตวิทยาศาสตร์ มาถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและมีการระดมความเห็นของเด็กและเยาวชน เพื่อนำมาเป็นแนวทางและนำมาต่อยอดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ วธ.จึงจัดอบรมเชิงปฏิบัติการสานพลังเด็กและเยาวชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ สร้างรายได้เสริมคุณค่าและภูมิคุ้มกันทางสังคม ระหว่างวันที่ 6 - 7 สิงหาคม 2565 โดยรูปแบบการอบรมเป็นรูปแบบผสมผสานซึ่งจัดอบรมผ่านระบบการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม และการลงพื้นที่ศึกษาดูงาน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ชุมชนกุฎีจีน เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเกาะลัดอีแท่น อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ต้นแบบชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้ แค่แก้กฎหมายเลือกตั้ง เปลี่ยนสูตรหารปาร์ตี้ลิสต์ยังไม่พอ หากอยากเห็นการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ต้องตัดอำนาจส.ว.โหวตนายก เพื่อเข้าสู่การบริหารที่ชอบธรรม

น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา Bow Nuttaa Mahattana) ระบุว่า

“ไม่ว่าจะ หาร 100 หรือ 500 ก็จะดีกว่าเดิม แต่ …”

เห็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับสูตรการเลือกตั้งมากมาย พร้อมเกมในสภาที่ขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น ไม่ใช่ระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล แต่กลับเป็นระหว่างพรรคใหญ่กับพรรคเล็ก นำมาสู่เหตุการณ์สภาล่ม และการตั้งคำถามของคนในสังคมว่า “ประชาชนได้อะไร?”

ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ก็อยากขอร่วมตอบว่า อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าที่สุดบทสรุปจะไปจบที่สูตรหาร 100 หรือ 500 ประชาชนก็จะได้กติกาการเลือกตั้งที่ “ดีกว่าเดิม” แน่นอน 

อย่าลืมว่า กติกาการเลือกตั้งเดิมจากรัฐธรรมนูญ 60 ที่ใช้กันมาในการเลือกตั้งปี 62 นั้น เป็นการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว ประชาชนถูกมัดมือชกให้ต้องเลือกทั้งส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ในกากบาทเดียว พรรคไหนไม่มีกำลังจะส่งคนไปลงหลายๆเขต โอกาสจะได้เก็บคะแนนมารวมเพื่อคำนวณเป็นสัดส่วนส.ส.พึงมีก็น้อยลง เพราะในเขตที่ไม่มีการส่งผู้สมัคร ก็จะไม่มีช่องลงคะแนนของพรรคตนให้ประชาชนได้เลือกกากบาท จึงไม่ได้เป็นการเปิดโอกาสให้พรรคเล็กทุนน้อยจริงๆดังที่อ้าง ทุกอย่างลักลั่นผิดฝาผิดตัวไปหมด ถึงเวลาคำนวณด้วยสูตรพิสดารออกมา ก็เกิดส.ส.ปัดเศษเต็มสภา นำสู่รัฐบาลผสมถึง 19 พรรค และพรรคการเมืองในสภารวมกว่า 25 พรรค ซึ่งเป็นจำนวนที่เกินกว่าประเทศประชาธิปไตยที่มั่นคงโดยปกติจะมีกัน นำสู่ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล กับสภาที่เต็มไปด้วยงูเห่ากับสวนกล้วยอย่างที่เห็น 

สิ่งที่เกิดขึ้นจึงนำมาสู่บทเรียน และข้อสรุปของทุกพรรคการเมืองว่า “เราต้องแก้รัฐธรรมนูญ และปรับปรุงกติกาการเลือกตั้ง” จึงเป็นที่มาของทางเลือกสูตรหาร 100 หรือ 500 พร้อมบัตรเลือกตั้งสองใบอย่างที่เห็น

ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร ประชาชนน่าจะได้กติกาของการเข้าสู่อำนาจ หรือ “กฎหมายเลือกตั้ง” ที่ดีกว่าเดิมแน่นอน 

บัตรเลือกตั้งสองใบในทั้งสองสูตร จะให้พื้นที่กับพรรคเล็กพรรคน้อย ได้มีโอกาสเก็บคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ แม้จะไม่มีกำลังส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต มากมาย ประชาชนมีทางเลือก กากบาท “คนที่ชอบ” และ “พรรคที่ใช่” แยกกันได้ตามต้องการ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top