Tuesday, 25 March 2025
THE STATES TIMES TEAM

🔍ชวนส่อง คาดการณ์ 10 ประเทศ ที่จะมี GDP สูงที่สุดในปี 2050

เศรษฐกิจแข็งแกร่ง!! คาดการณ์ 10 ประเทศ ที่จะมี GDP สูงที่สุดในปี 2050 ‘ประเทศจีน’ นำโด่ง ติดอันดับ 1 ส่วน ‘อินเดีย’ ตามมาในอันดับ 2 และ ‘สหรัฐอเมริกา’ ติดอันดับ 3 ส่วนประเทศจะอยู่ในอันดับใดบ้างมาดูกัน!!

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว!! กำลังใจจาก 'อ้น สราวุธ' ถึง 'แน็ก-ชาลี' ดูแลคนอื่นเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมดูแล 'ตัว-หัวใจ' ตนให้มากๆ ด้วย

(9 ก.ย. 67) จากกรณีดาราหนุ่ม ‘แน็ก-ชาลี ปอทเจส’ ที่ได้ประกาศแยกย้ายกับแฟนสาวชาวเกาหลี ‘จีกามิน’ ซึ่งได้รับความสนใจและมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาในโลกโซเชียล โดยมีการแชร์คลิปทั้งมุมของแน็ก และ กามิน ออกมาอ้างแพร่สะพัด

ทว่าภายใต้มรสุมดรามาของทั้งสอง ก็ได้มีคลิปวิดีโอเก่าที่ถูกโพสต์ลงเพจเฟซบุ๊ก ‘fcชาลี กามิน’ ซึ่งเป็นคลิปที่นำมาจากบัญชีติ๊กต๊อก (TikTok) ชื่อ ‘aonsarawut929’ ซึ่งถูกโพสต์เมื่อช่วงต้นปี 67 ที่ผ่านมาของ โดยมี ‘อ้น สราวุธ มาตรทอง’ นักแสดง นายแบบ และนักร้องชื่อดังได้เคยลงคลิปวิดีโอให้กำลังใจ ‘แน็ก-ชาลี’ ไว้ มีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

แม้ตัวเอง (อ้น) จะไม่ได้มีโอกาสร่วมงานกับตัวแน็ก-ชาลี แต่ก็รู้สึกว่าเป็นคนที่น่ารักนับตั้งแต่ที่เห็นแน็กแสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘แฟนฉัน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แจ้งเกิดของแน็กชาลี อีกทั้งยังมีความเห็นว่าเป็นนักแสดงที่มีฝีมือและมีความเป็นธรรมชาติ ตลกโปกฮาและเป็นกันเอง และตัวเขาก็เฝ้าติดตามดาราหนุ่มคนนี้มาตลอด 

“แน็กฟังพี่อ้นนะ พี่อ้นดูแน็กมาตลอดแม้ไม่เคยได้ร่วมงานกับแน็กนะ เห็นแน็กมาตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘แฟนฉัน’ ยังรู้สึกว่า เด็กคนนี้น่ารักจัง แล้วก็เฝ้าติดตามดูงานมาตลอด แน็กเป็นหนึ่งในนักแสดงคนหนึ่งที่พี่อ้นว่ามีฝีมือมากทีเดียวนะ แล้วก็เป็นธรรมชาติมากด้วย มีช่วงหนึ่งที่แน็กหายไป พี่อ้นยังคิดถึงอยู่ว่าหายไปไหน เสียดาย…แต่พอสักพักหนึ่ง แน็กกลับมาในโลกออนไลน์ โลกโซเชียล และคนก็พูดถึงความตลกโปกฮา บ้าบอนู่นนี่นั่น ซึ่งพี่อ้นชื่นชมนะ มันน่ารักดี” 

หลังจากนั้นคุณอ้นยังเสริมต่ออีกว่า แน็กเป็นเหมือนพลังงานดีๆ ให้กับสังคม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งยังมีเมตตากับสัตว์เลี้ยง ซึ่งในฐานะที่ตัวคุณอ้นเองก็เลี้ยงสัตว์เช่นกัน ก็เลยมีความรู้สึกอยากให้กำลังใจแน็ก พร้อมกับให้กำลังใจพร้อมแง่คิดกับแน็กชาลีเป็นใจความสรุปว่า ก่อนที่แน็กจะให้ความสุขและช่วยเหลือผู้อื่นนั้น จะต้องดูแลตัวเองให้ดีและเข้มแข็งก่อน จึงจะไปช่วยเหลือผู้อื่นได้

“หากแน็กเดินทางบ่อยๆ แน็กจะรู้ว่าเวลาที่เราขึ้นเครื่องบินนั้น เวลาที่เครื่องบินตกหลุมอากาศ มันจะมีเครื่องให้ออกซิเจนตกลงมา วิธีในการใช้ก็คือ เขาให้เราสวมออกซิเจนให้ตัวเองก่อนแล้วค่อยสวมให้คนข้างๆ แน๊กจำคำของพี่อ้นไว้นะ เราต้องแข็งแรง ถึงจะช่วยเหลือผู้อื่นให้แข็งแรงได้ คนรอบข้างจะรอดและมีความสุขได้ เราต้องแข็งแรง การที่แน็กช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุขนั้นพี่อ้นชื่นชมมาก… แต่น้องต้องแข็งแรง รักษาตัวเองไว้ให้แข็งแรง การดูแลคนอื่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่อย่าลืมดูแลผู้ชายที่ชื่อ… ‘แน็ก ชาลี’ ด้วย อย่าลืม…"

ช่วงท้ายของคลิป คุณอ้น ยังให้แง่คิดแก่แน็กชาลีเพิ่มเติมอีกด้วยว่า "วันหนึ่งแน็กต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องแก่ตัวลงและจากไป ทุกอย่างล้วนมีช่วงเวลาในการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่แน็กสามารถทำได้คือ อยู่กับหัวใจของตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด และย้ำอีกครั้งว่า เมื่อเราแข็งแรง เราก็จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้"

"วันหนึ่งเราต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องแก่เฒ่าและจากไป แน็กรู้แล้วเรื่องนี้ ทุกอย่างจะมีช่วงเวลาในการเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนกับโฮมสเตย์ เหมือนบ้านพักชั่วคราว ขอให้แน็กอยู่กับตรงนี้ อยู่กับหัวใจของตัวแน็กเอง ดูแลหัวใจของตัวเองให้ดี เมื่อเราแข็งแรง เราก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ และทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น เพราะคนอย่างแน็กนี่แหละ รักแน็กนะ พี่มองเห็นสิ่งที่แน็กทำนะ…"

จากนั้นก็ทิ้งท้ายก่อนจบคลิปว่า แน็กชาลี คือ ที่สุดของคนที่มีแต่พลังงานบวก เพราะมันคงไม่ง่ายเลยที่จะมีคนๆ หนึ่งเอาตุ๊กแกมาเล่นตีขิมตีระนาดได้

สำหรับคลิปดังกล่าวมีการนำมาแชร์อีกครั้ง หลังจากที่แน็ก ชาลีได้ออกมาไลฟ์สดระบายความรู้สึกอัดอั้นจากดรามาครั้งล่าสุด

‘แรงงาน’ งัดแผนอุ้ม ‘แรงงาน-ผู้ประกอบการ’ อ่วมพิษเศรษฐกิจ-ปิดโรงงาน ดัน 'Expo รับตำแหน่งงานหลักแสน-ลดดอกเบี้ยเงินกู้-ภาษี' แบบเร่งด่วน

(18 ก.ค. 67) นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กำลังเร่งผลักดัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ มาตรการเยียวยาแรงงาน รวมไปถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การย้ายฐานการผลิต และการนำเข้าสินค้าจากจีน

สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงาน มีทั้งการสนับสนุนทางการเงินและสวัสดิการ เช่น จ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงาน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ครั้งละไม่เกิน 180 วันต่อปีปฏิทิน จ่ายเงินสงเคราะห์ลูกจ้างกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย

รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตนที่ผ่อนชำระค่าที่อยู่อาศัยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้สามารถใช้สิทธิลดดอกเบี้ยเงินกู้ หรือรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินอื่น รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินแก่ผู้ประกันตนตามโครงการ Micro Finance ลดหนี้ เติมทุน สร้างสุขแรงงาน และนำไปลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ 

อีกทั้งยังได้จัดตั้งสถาบันเฉพาะทางด้านเทคนิคอัจฉริยะ เช่น การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีอัตโนมัติและเทคคาทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแรงงานและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งลดหย่อนภาษีให้กับสถานประกอบการที่ดำเนินการพัฒนาทักษะลูกจ้างในองค์กรด้วย

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงาน ได้เร่งสร้างงานในประเทศ จัดมหกรรม Job Expo Thailand 2024 มียอดสมัครงานกว่า 110,000 คน จับคู่การจ้างงานผ่านแพลตฟอร์ม ‘คนทำงาน’ เพื่อรองรับผู้ถูกเลิกจ้างที่ต้องการทำงานแบบฟรีแลนซ์ จับคู่การจ้างงานผ่านแพลตฟอร์ม ‘ไทยมีงานทำ’ มีตำแหน่งงานรองรับทั่วประเทศกว่า 177,000 อัตรา และจัดตลาดนัดแรงงานทุกจังหวัด 

รวมทั้งขยายตลาดแรงงานในต่างประเทศ เช่น ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ จอร์แดน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โปรตุเกส และเปิดตลาดใหม่ในอิตาลี เพื่อส่งแรงงานไปทำงานภาคเกษตร โดยในปีนี้มีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไปต่างประเทศ 100,000 คน คาดว่าจะนำรายได้กลับสู่ประเทศ 385,617 ล้านบาท 

นายภูมิพัฒน์ กล่าวว่า รมว.แรงงาน ต้องการให้กระทรวงแรงงานมีบทบาทสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเราดูแลแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบมากกว่า 10 ล้านคน โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันมาตรการเหล่านี้ให้สำเร็จ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการก้าวข้ามผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ด้วยดีและสนองนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

‘ปปง.’ แจ้ง!! 'เหยื่อคอลเซ็นเตอร์' เริ่มยื่นคำร้องขอทรัพย์สินคืนได้ หลังยึดทรัพย์ ‘แก๊งมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน’ ได้แล้วร่วมหมื่นล้านบาท

(5 ก.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงประชาชนคนไทยโอนเงินมูลค่าเสียหายนับแสนล้านบาทนั้น ล่าสุดจากข้อมูลพบว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์เป็นของกลางแล้ว ดังนี้

- เงินสดรวมได้ประมาณ 6,000,000,000 บาท

- อสังหาริมทรัพย์อีกจำนวนหนึ่งประมาณ 4,000,000,000 บาท

- รวมกันแล้วประมาณ 10,000,000,000 บาท

สำหรับทรัพย์สินยึดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องเฉลี่ยทรัพย์คืนให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหาย หลังจาก ปปง. ยึดทรัพย์มาแล้ว โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ภายใน 90 วัน เพื่อให้ประชาชนมายื่นคําร้องขอรับการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งผู้เสียหายจะได้รับเงินชดใช้คืนเมื่อศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เสียหายได้รับเงินชดใช้คืนแทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถยื่นคําร้องขอคุ้มครองสิทธิ ผ่าน 3 ช่องทาง

1.ยื่นด้วยตนเอง ณ สํานักงาน ปปง.

2.ยื่นทางไปรษณีย์ลงทะเบียนส่งถึง สำนักงานป้องกันและปราบการฟอกเงิน เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โดยวงเล็บ 2 มุมซองด้านบนว่า “ส่งแบบคําร้องขอ คุ้มครองสิทธิรายคดี….”

3.ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง https://khumkrongsit.amlo.go.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02-219-3600 หรือ โทร 1710

นายคารม เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 มิ.ย.67 ผลการแจ้งความออนไลน์ ผ่าน https://www.thaipoliceonline.com รวม 35,379 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวม 3,437,689,020 บาท เฉลี่ย 114,589,643 บาทต่อวัน ผลการอายัดบัญชี 10,713 บัญชี ยอดขออายัด 1,404,539,300 บาท ยอดอายัดได้ 719,057,785 บาท

สำหรับประเภทคดีออนไลน์ที่มีการแจ้งความมากที่สุด 5 อันดับแรก ดังนี้

1.หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) มูลค่าความเสียหาย 160,929,368 บาท

2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 583,012,851 บาท

3.หลอกให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 145,768,931 บาท

4.หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 1,427,157,157 บาท

5.หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น มูลค่าความเสียหาย 235,952,533 บาท

ทั้งนี้ จากรายงานข้อมูลดังข้างต้น ยังมีประชาชนหลงกลตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ขอประชาชนระมัดระวังอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ ที่เชิญชวน ชักชวนโดยวิธีการต่างๆ หากถูกหลอก สามารถแจ้งความออนไลน์ที่ https://www.thaipoliceonline.com หรือสอบถามที่เบอร์ 1441 หรือ 081-866-3000

‘ญี่ปุ่น’ พบ!! วัยทำงาน 60% ‘ขาดแรงจูงใจ’ ช่วงหน้าฝน ทำให้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ‘การทำงาน’ ที่ลดลง

เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอาหารรายใหญ่ของญี่ปุ่น พบว่าประชาชนคนวัยทำงานในญี่ปุ่นราวร้อยละ 60 รู้สึกขาดแรงจูงใจยามประเทศเข้าสู่ช่วงฤดูฝน

การสำรวจนี้ที่มุ่งเน้นผลกระทบจากรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงต่อชีวิตความเป็นอยู่ ระบุว่าผู้คนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากความกดอากาศที่ผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะฤดูฝนที่มาช้าในหลายภูมิภาคอย่างคิวชู

เมื่อถามถึงสุขภาพในช่วงฤดูฝน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.6 ตอบว่า ‘ขาดแรงจูงใจ’ ตามด้วยปัญหาอย่าง ‘ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างไร’, ‘รู้สึกไม่สบาย’ และ ‘ประสิทธิภาพการทำงานลดลง’

นอกจากนั้น การสำรวจนี้ที่มุ่งเน้นการจัดการสุขภาพและมีผู้ตอบแบบสอบถามทางออนไลน์ อายุ 20-60 ปี จำนวน 2,000 คน ระหว่างวันที่ 26-28 เม.ย. ยังตรวจสอบผลกระทบจากการทำงานระยะไกลต่อสุขภาพด้วย

ผู้ตอบแบบสอบถามราวหนึ่งในสี่ที่ทำงานระยะไกลอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เผยว่ามีแรงจูงใจลดลงและแนวโน้มทำงานต่อไปแม้รู้สึกไม่สบายตัว โดยภาวะนี้พบมากเป็นพิเศษในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 20-29 ปี หรือคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50

ขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 71 ยอมรับว่าปกปิดปัญหาสุขภาพของตนเองและยังคงทำงานต่อไป โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 30-39 ปี ที่คิดเป็นอัตราสูงสุดถึงร้อยละ 81.2

‘จีน’ เดินหน้าสร้าง ‘ห้องปฏิบัติการ AI’ หวังงัดเทคโนโลยี ช่วยเหลือผู้พิการ

(17 พ.ค. 67) สหพันธ์คนพิการแห่งประเทศจีน และไอฟลายเทก (iFlytek) หนึ่งในบริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชั้นนำของจีน ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือในนครเหอเฝย เมืองเอกของมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน เพื่อสร้างห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป สำหรับให้ความช่วยเหลือผู้พิการ

ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการจะช่วยพัฒนาองค์ประกอบด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์-คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ช่วยเหลือการฟื้นฟูสมรรถภาพอัจฉริยะ ดำเนินการวิจัยหลายหมวดหมู่เกี่ยวกับความช่วยเหลืออัจฉริยะสำหรับผู้พิการ และสร้างสถานการณ์การใช้งานเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้พิการ

โจวฉางขุย ประธานคณะกรรมการบริหารของสหพันธ์ฯ กล่าวว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือเป็นความช่วยเหลือที่สำคัญสำหรับการสร้างชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้พิการ และส่งเสริมการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงสำหรับประชากรกลุ่มนี้

อนึ่ง วันอาทิตย์ (19 พ.ค.) ที่กำลังจะถึงนี้ ตรงกับวันคนพิการแห่งชาติจีน (National Day of Disabled Persons) ครั้งที่ 34

'ไทย สมายล์ บัส' ไล่ออก!! 'กัปตันเมล์-บัสโฮสเตส' ใช้วาจาไม่สุภาพ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อผู้โดยสาร

(8 พ.ค. 67) จากเพจ 'ไทยสมายล์บัส' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ไทย สมายล์ บัส สั่งลงโทษ 'กัปตันเมล์-บัสโฮสเตส' ใช้วาจาไม่สุภาพ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อผู้โดยสาร โดยให้พ้นสภาพการเป็นพนักงานทันที ซึ่งทางบริษัทต้องการยกระดับการให้บริการขนส่งสาธารณะ ที่สะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรกับผู้ใช้บริการทุกคน

ทุกเคสที่ผู้โดยสารพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะของพนักงาน และได้แจ้งร้องเรียนเข้ามาทาง In-box ‘ทางบริษัทได้รับเรื่อง พร้อมทำการตรวจสอบทุกเคส’ หากพบว่ามีความผิดจริง บริษัทจะดำเนินการลงโทษพนักงานตามมาตรการต่อไปโดยไม่มีการเลือกปฎิบัติ

‘BCPG’ เผยผลงานไตรมาส 1/67 ปลื้ม!! กำไรสุทธิแตะ 441 ล้านบาท

(8 พ.ค. 67) บีซีพีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,194 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 12.9 จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว กลับมาดำเนินการเต็มไตรมาส และเริ่มรับรู้รายได้ของคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือในปีที่ผ่านมา ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 441 ล้านบาท

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,194 ล้านบาท 
มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 441 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2566 ร้อยละ 13.9 ที่มีกำไรสุทธิ 512 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 1 ปี 2566 มีการบันทึกการกลับรายการจากการด้อยค่าทรัพย์สิน 267 ล้านบาท  
ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ  ซึ่งไม่รวมการกลับรายการจากการด้อยค่าทรัพย์สิน และรายการพิเศษอื่นๆ 343 ล้านบาท เติบโตกว่าร้อยละ 114.7 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 160 ล้านบาท 

"กำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติในไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการกลับมาเปิดดำเนินการของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว และเริ่มขายไฟฟ้าไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว ประกอบกับการเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากโครงการหลัก ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากกำลังลมที่พัดผ่านโครงการเพิ่มขึ้น และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและมีการบริหารจัดการส่วนต่างของราคาขายไฟฟ้าและต้นทุนค่าเชื้อเพลิงได้ดี

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 บริษัทฯ ได้บรรลุเงื่อนไขบังคับภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย กำลังการผลิตรวม 7.95 เมกะวัตต์ และจะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมในทันที” นายนิวัติกล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นผู้ประกอบการและลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และก๊าซธรรมชาติ ในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสหรัฐอเมริกา มีกำลังการผลิตรวม 2,049 เมกะวัตต์ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มการทำการตลาดกับผู้บริโภครายย่อยโดยตรงมากขึ้น เน้นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงให้บริการการจัดการ ด้านพลังงานหรือ energy as a service และนำเทคโนโลยีล้ำสมัยระดับโลกมาใช้ ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเองและประหยัดค่าใช้จ่าย

15 เมษายน 2567 วันสำคัญที่ควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์พลังงานไทย ครั้งแรกที่ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุน 'นำเข้า-ส่งออก' ต่อจากนี้ทุกเดือน

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย!! กับนโยบายกำกับควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาจำหน่ายเป็นไปตามต้นทุนจริงและให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนคนไทย ภายหลัง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 

โดยประกาศกระทรวงพลังงานฉบับนี้ได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ต้องรายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายในวันที่ 15 ของเดือน ถัดจากเดือนที่มีการบันทึกบัญชีรายวัน โดยราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพลังงานฉบับดังกล่าวเมื่อ 13 มีนาคม 2567 และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

หมายความว่า ต่อจากนี้ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ต้องแจ้งราคาต้นทุนเฉลี่ยและหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกไตรมาส และในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันมีการปรับปรุงการบันทึกบัญชี หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะต้องแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายใน 7 วัน โดยข้อมูลที่ได้รับมาจะถือเป็นข้อมูลลับของทางราชการและจะมีการเก็บรักษาเป็นความลับอย่างที่สุด

สำหรับต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งถือเป็นข้อมูลที่จำเป็นในการกำหนดนโยบายด้านการพลังงานที่เหมาะสมนั้น ประกอบด้วย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหมายความรวมถึงน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ, ก๊าซปิโตรเลียมเหลว, น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล และต้นทุนอื่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ค่าขนส่ง, ค่าประกันภัย, ค่าตอบแทนนายหน้า, ค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนและโอนเงิน, ค่าภาษี, อากร หรือค่าธรรมเนียมอื่นใด ซึ่งผู้ประกอบการได้บันทึกบัญชีและมีหน้าที่ต้องชำระ โดยคำนวณเฉลี่ยเป็นหน่วยต่อลิตรในแต่ละรายไตรมาสของปีบัญชี

ทั้งนี้ ด้วยเพราะน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของภาคธุรกิจในการประกอบกิจการ หากน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายภายในประเทศนั้น มีการค้ากำไรเกินสมควร มีปริมาณการจัดจำหน่ายที่ไม่เพียงพอ หรือไม่ได้คุณภาพแล้ว ย่อมจะส่งผลกระทบในทางลบและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งต่อประชาชน และระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม 

ดังนั้นประกาศกระทรวงพลังงานฉบับนี้ จึงมีความจำเป็นต่อการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ภาครัฐโดยกระทรวงพลังงานมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับกำหนดนโยบายด้านพลังงานให้เกิดความถูกต้องเหมาะสม อันจะทำให้ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศนั้นมีความยุติธรรม ด้วยมีการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นการคุ้มครองไม่ให้มีการค้ากำไรเกินสมควรในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อมิให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรม เป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภทและทุกระดับให้มีขีดความสามารถอย่างเท่าเทียมสำหรับการแข่งขันทางการค้าในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ดังนั้น ในวันนี้ 15 เมษายน 2567 จึงเป็นวันแรกและครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ต้องแจ้งข้อมูลต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทุกเดือน โดยประกาศฉบับนี้จะช่วยดำเนินการจัดการให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของราคาจำหน่ายของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องอิงกับราคาตลาดโลก 

เพราะทุกครั้งเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นราคา ผู้ค้าน้ำมันทุกราย ก็จะประกาศขึ้นราคาตามราคาตลาดโลกทันที ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันในประเทศควรเป็นไปตามราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลานั้นๆ 

งานนี้ ก็คงต้องขอบคุณตรงๆ ไปยัง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ออกประกาศกระทรวงพลังงานฉบับดังกล่าว ซึ่งนี่แหละที่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนคนไทยและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมได้รับประโยชน์เต็มๆ จากประกาศฉบับนี้ ผ่าน...ราคาพลังงานที่เป็นธรรม!!

15 เมษา ถึงเวลา 'ปลดแอก' คนไทยจากราคาพลังงานแบบเดิมๆ เสียที...

‘GAC AION’ ขนทัพรถยนต์ไฟฟ้าหลากรุ่น ร่วมงาน ‘Motor Show 2024’ พร้อมเปิดตัว Hyper HT เอสยูวีไฟฟ้าลักชัวรี่ระดับไฮเอนด์อย่างเป็นทางการ

GAC AION ขนทัพรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus และ AION ES เข้าร่วมงาน Motor Show 2024 พร้อมเปิดตัว Hyper HT เอสยูวีไฟฟ้าลักชัวรี่ระดับไฮเอนด์อย่างเป็นทางการ นำเสนอทางเลือกที่เหนือกว่าสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ด้วยความหรูหราระดับพรีเมียม ดีไซน์ล้ำสมัย พร้อมเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะ

(27 มี.ค.67) นายโอเชี่ยน หม่า (Ocean Ma) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า GAC AION ถือเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์รายแรก ๆ ในโลกที่ประสบความสำเร็จในการวิจัยเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าและระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และยานยนต์เชื่อมต่ออัจฉริยะ (Intelligent Connected Vehicles: ICV) อย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันเป็นที่ทราบกันดีว่า GAC AION สามารถคิดค้น วิจัยและผลิตชิ้นส่วนที่เป็นหัวใจหลักของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ทั้ง 3 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่, มอเตอร์, แผงควบคุมระบบไฟฟ้า หรือ ECU ทำให้ GAC AION กลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ของโลก

สำหรับประเทศไทย GAC AION ได้นำ AION Y Plus เข้ามาทำตลาดเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีของชาวไทยมาโดยตลอด สะท้อนจากยอดจองรถยนต์เป็นจำนวนทั้งสิ้น 4,568 คัน และมียอดจองรถยนต์เป็นอันดับ 4 จากแบรนด์รถยนต์ที่เข้าร่วมงานทั้งหมด และยังมียอดจองเป็นอันดับที่ 2 ในแบรนด์รถไฟฟ้าภายในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในการทำตลาดในประเทศไทยของ GAC AION

ในปี 2023 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ GAC AION เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 480,000 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 77% ครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 2 ของประเทศจีน และ อันดับที่ 3 ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของโลก และในวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา GAC AION สร้างสถิติผลิตและขายรถยนต์ได้ครบ 1 ล้านคันเร็วที่สุดในโลกเป็นประวัติการณ์ โดยใช้เวลาเพียง 4 ปี 8 เดือน การันตีถึงความสามารถและความเหนือชั้นของ GAC AION ทั้งในแง่ของกระบวนการผลิต คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการตลาดอันแข็งแกร่ง ปัจจุบัน GAC AION มีแบรนด์รถยนต์ภายในเครือทั้งหมด 2 แบรนด์ ได้แก่ AION แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมกับความคุ้มค่า ดีไซน์ภายนอกและภายในที่ทันสมัย พร้อมด้วยเทคโนโลยีและฟีเจอร์อัจฉริยะ และ Hyper แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ (Hi-End) ที่มาพร้อมกับความหรูหรา และเทคโนโลยีขั้นสูงสุด

ในปี 2024 นี้ GAC AION กำลังสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในช่วงเดือนสิงหาคมของปีนี้ ในขณะเดียวกันยังมีการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศไทยอีกด้วย คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนปีนี้เช่นกัน

เพื่อสานต่อความสำเร็จ และนำเสนอทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า ให้กับผู้บริโภคชาวไทย ล่าสุด GAC AION ได้เข้าร่วมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 หรือ Motor Show 2024 ที่จัดขึ้นในวันพุธที่ 27 มี.ค. - วันอาทิตย์ที่ 7 เม.ย. 2567 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี โดยความพิเศษภายในงาน ได้มีการแนะนำแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ Hyper อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัว Hyper HT รถยนต์เอสยูวีไฟฟ้าลักชัวรี่ระดับไฮเอนด์ที่หลายคนรอคอย

Hyper (ไฮเปอร์) เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ (Hi-End) ของ GAC AION ที่ตอบสนองความต้องการในกลุ่มลูกค้าผู้หลงใหลความเป็นที่สุด ทั้งความหรูหรา เทคโนโลยี และสมรรถนะขั้นสูง สะท้อนภาพลักษณ์ และรสนิยมอย่างเหนือชั้น โดยได้คิดค้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เพื่อนำมาใช้ในรถยนต์หลากหลายรุ่นของ Hyper โลโก้ของแบรนด์สื่อถึงธนู AI ARROW เพื่อแสดงถึงศักยภาพในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยแนวคิดในการพัฒนาหลัก 4 ประการ คือ ‘ก้าวล้ำ (ADVANCE) ทันสมัย (TRENDY) สนุกสนาน (FUN) และ คุณภาพสูง (HIGH-GRADE)’ ซึ่งสร้างความสมบูรณ์แบบ ทั้งนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ ผสมผสานในการผลิตรถยนต์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าผู้ใช้งานได้รับ ‘ประสิทธิภาพสูงสุดที่มาพร้อมประสบการณ์ความหรูหรา และการบริการในระดับท็อปคลาส’

ในปัจจุบันแบรนด์ Hyper ของ GAC AION มีรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ทั้งหมด 3 รุ่นดังนี้

- Hyper HT รถเอสยูวีไฟฟ้าระดับพรีเมียม มอบความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตัวรถมีขนาดใหญ่นั่งสบาย พร้อมฟังก์ชันและฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์ โดดเด่นด้วยประตูแบบปีกนก หรือ Gullwing Doors เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
- Hyper GT รถสปอร์ตซีดานไฟฟ้า มาพร้อมดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยว พร้อมการตกแต่งภายในที่ดูหรูหรา โดดเด่นด้วยประตูแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly Doors) และออปชันระดับไฮเอนด์
-  Hyper SSR ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกในประเทศไทย มาพร้อมตัวถังแบบคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว (หน้า 1 หลัง 2) ให้พละกำลังรวมสูงสุด 1,224 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วสูงสุดภายใน 1.9 วินาที และมีแรงกระชากในระดับ 1.7G

โลโก้ของแบรนด์ Hyper เป็นสัญลักษณ์ ลูกศร AI สื่อถึงภูมิปัญญาและความรัก ที่สุดแห่งเทคโนโลยีและความโรแมนติก มุ่งเน้นอัจฉริยภาพ ความหรูหรา ศิลปะ และรสนิยม รังสรรค์ศิลปกรรมทางเทคโนโลยี ปัจจุบัน บริษัทได้พัฒนาขีดความสามารถก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับโลกใน 6 มิติ ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การผลิตอัจฉริยะ ห่วงโซ่อุตสาหกรรม การบริการด้านการตลาด วัฒนธรรมองค์กร และความเป็นสากล โดยวันนี้ เราได้นำรถรุ่นใหม่ล่าสุดภายใต้แบรนด์ Hyper ที่พร้อมผลิตเพื่อส่งมอบสู่ตลาด ‘Hyper HT’ นายโอเชี่ยน หม่า (Ocean Ma) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Hyper HT ถือเป็นรถเอสยูวีไฟฟ้าที่มาพร้อมกับความหรูหราและเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก เหนือระดับด้วยดีไซน์ภายนอกแบบโค้งมนที่เป็นเอกลักษณ์ (Liquid curved body) โดดเด่นด้วยประตูคู่หลังแบบปีกนก (Gullwing Doors) พร้อมเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ สะกดทุกสายตาที่ได้พบเห็น ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุระดับพรีเมียมที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพิ่มความหรูหราระดับพรีเมียม รวมถึงฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น เบาะนวดไฟฟ้า ปรับระดับการนวดได้หลายรูปแบบ, เบาะหนังคุณภาพสูงให้สัมผัสการนั่งที่ดีเยี่ยมพร้อมฟังก์ชันระบายอากาศและอุ่นเบาะ เพิ่มความผ่อนคลายตลอดการเดินทาง เบาะที่นั่งด้านหลังสามารถปรับเอนได้ถึง 143 องศา มากที่สุดในรถเอสยูวีระดับเดียวกัน, ระบบเครื่องเสียงคุณภาพสูง และฟีเจอร์อื่นๆมากมาย

จุดเด่นอันเหนือระดับของ Hyper HT มาพร้อมกับที่พักเท้าด้านหลังแบบพับได้ เพิ่มพื้นที่ยืดขาโอ่อ่าขั้นสูงสุด และ โต๊ะวางของอเนกประสงค์ สำหรับวางสิ่งของต่าง ๆ ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลาย เพิ่มความเป็นส่วนตัวด้วยกระจกกันเสียงแบบลามิเนต 2 ชั้น และพื้นที่สัมภาระขนาดใหญ่พิเศษ ความจุขนาด 670 ลิตรและเมื่อพับเบาะสามารถใช้พื้นที่ได้ถึง 1,802 ลิตร สามารถเก็บถุงกอล์ฟใบใหญ่ 2 ใบได้สบาย ๆ

ทั้งนี้ Hyper HT ถูกพัฒนาด้วยแนวคิดหลัก 4 ประการได้แก่

1. Hyper Design - ที่สุดแห่งการออกแบบเหนือระดับ เปรียบเสมือนงานศิลปะแห่งโลกยานยนต์ สะกดทุกสายตาด้วยประตูแบบปีกนก (Gullwing Doors), ไฟหน้าแบบ Diamond Cut และไฟท้ายแบบ Horizon

2. Hyper Space - มอบความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่มากกว่า ด้วยพื้นที่ภายในสุดหรูหรา ตกแต่งด้วยวัสดุระดับพรีเมียม มอบประสบการณ์ในการขับขี่และการโดยสารระดับ ‘เฟิร์สคลาส’ ด้วยฟังก์ชันเบาะนวด 10 จุด และเบาะโดยสารด้านหลังที่สามารถปรับเอนได้ถึง 143 องศา

3. Hyper Energy - ไปได้ไกลและรวดเร็วยิ่งกว่า ด้วยเทคโนโลยี Magazine Battery เจเนอเรชั่นที่ 2 พร้อมระบบ Fast Charge ชาร์จเพียง 15 นาที ก็สามารถวิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร และหากชาร์จเต็มจะสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 600 กิโลเมตร

4. Hyper Network - โครงข่ายสถานีชาร์จ Hyper Premium Charging Network เอกสิทธิ์เฉพาะลูกค้า Hyper โดยในปี 2024 จะมีการสร้างสถานีชาร์จจำนวน 15 แห่ง ครอบคลุมรัศมี 15 กิโลเมตรในกรุงเทพมหานคร และในปี 2028 จะมีการขยายโครงข่ายสถานีชาร์จเป็น 100 แห่งทั่วประเทศ

ขอเชิญชวนทุกท่านเข้ามาสัมผัส Hyper HT ยนตรกรรมแห่งความเหนือระดับ ที่จะเปิดประสบการณ์การเดินทางไปสู่โลกอนาคตครั้งใหม่ ที่บูท GAC AION (A20) ในงาน Motor Show 2024 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม - 7 เมษายน 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top