Tuesday, 10 June 2025
Hard News Team

คาดส่งออกทั้งปีโต 4% หลังเดือนก.ย.ยังบวก 17.1%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงตัวเลขการส่งออกของประเทศในเดือนก.ย. 2564 ว่า การส่งออกยังเป็นบวกอยู่ที่ 17.1% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 23,036 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งเสริม ผลักดัน และแก้ไขอุปสรรคด้านการส่งออกที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องของกระทรวงพาณิชย์ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเติบโตดี และการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้การส่งออก 9 เดือนของปีนี้ ขยายตัว 15.5% โดยประเมินว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยในปีนี้ จะอยู่ที่ 4% หรือคิดเป็นมูลค่า 240,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้

นอกจากนี้ ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้าในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ 22,426.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นบวก 30.3% โดยไทยยังได้ดุลการค้าในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ 609.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตัวเลขการนำเข้า 9 เดือนมียอดอยู่ที่ 197,980.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นบวก 30.9% ทำให้ไทยเกินดุลการค้าช่วง 9 เดือนอยู่ที่ 2,016.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

'อัษฎางค์' อธิบาย Lost in Bangkok ของ 'ลุงโครว์' หมายถึง หลงเข้ามาเที่ยวในกทม. ไม่ใช่หลงทาง

อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ อธิบายคำว่า ‘Lost in Bangkok’ ว่า ไม่ใช่หลงทาง แต่เป็นความ ‘หลงระเริง’ จนลืมวันคืน

คำว่า Lost in Bangkok ที่รัสเซล โครว์ เอามาเล่นเป็นซีรีส์ภาพถ่ายการตะลอนทัวร์ในกรุงเทพนั้น คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสามกีบ เอามาตีความหมายว่า รัสเซล โครว์ “หลงทางในกรุงเทพ” แล้วก็ละเลงสีใส่ไข่ สร้างเรื่องและวาทกรรมด้อยค่าเมืองไทยกันสนุกปาก

จริงอยู่ว่า Lost แปลว่า หลง

แต่บริบทของการใช้คำว่า “Lost in Bangkok” กับภาพความสนุกสนานเพลิดเพลินในการท่องเที่ยวไปทั่วกรุงเทพของรัสเซล โครว์...มันไม่ใช่การ “หลงทาง”

แต่มันคือการ “หลงระเริง”

หลงระเริง ที่แปลว่า “หลงในความสนุกสนาน”

เหมือนที่คนไทยเปรียบเทียบคนต่างจังหวัดที่เข้ามากรุงเทพแล้วลืมบ้านเกิดเมืองนอนว่า “หลงแสงสีในเมืองกรุง” นั้น คือ “Lost in Bangkok” หรือการที่เรียกคนที่ชอบเที่ยวกลางคืนว่า “หลงราตรี” นั่นก็คือ “Lost in Bangkok”

“Lost in Bangkok” ของ รัสเซล โครว์ จึงไม่ใช่หลงทาง แต่เป็นความ “หลงระเริง” ด้วยความสนุกสนาน

‘อมรัตน์’ ร่วมอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา หวัง!! ป้องสิทธิแสดงความเห็น ‘เยาวชน-ประชาชน’

“คุกควรขังผู้ปล้นอำนาจประชาชน ไม่ใช่ขังผู้เรียกร้องประชาธิปไตย” - ‘อมรัตน์’ ร่วมอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา ยืนยันจุดยืนปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นของเยาวชนและประชาชน

26 ต.ค. 64 ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม เขต 3 พรรคก้าวไกล และสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมทางการเมือง ร่วมกันอ่านจดหมายเปิดผนึกถึง ‘เมทินี ชโลธร’ ประธานศาลฎีกา เพื่อเรียกร้องต่อจุดยืนในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางการเมืองของเยาวชนและประชาชน 

อมรัตน์ กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล จึงออกมาแสดงจุดยืนต่อสาธารณะ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวของสื่อมวลชนตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 63 ว่า…

“ยินดีใช้ตำแหน่งผู้แทนราษฎรไปประกันตัว หากเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่ถูกรองรับไว้โดยรัฐธรรมนูญถูกพรากไปด้วยข้ออ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” พร้อมโชว์ใบรับรองเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพราะว่า หลายปีที่ผ่านมานับจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนี้ที่สืบทอดอำนาจในปัจจุบันซึ่งยาวนานใกล้เข้าปีที่ 8 แล้ว ประเทศถูกปกครอง ครอบงำด้วยความกลัว ผู้ที่รักประชาธิปไตย ให้คุณค่ากับหลักการสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม ตกอยู่ในความมืดมิดแห่งรัตติกาลอันยาวนานไม่เห็นแสงสว่าง ถูกปิดกั้นเสรีภาพในการคิด การพูด การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดในประเทศประชาธิปไตย เมื่อสิ้นสุดความอดทน เยาวชนหนุ่มสาวและประชาชนออกมาทวงคืนประชาธิปไตย ไล่นายกที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร เรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ยกเลิกอำนาจ ส.ว.(สมาชิกวุฒิสภา) ในการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้มีความเป็นสากลสอดคล้องกับยุคสมัย

“แต่ไม่ว่าจะออกมาส่งเสียงมากมายแค่ไหน ข้อเรียกร้องของพวกเขาถูกตั้งใจละเลยไม่ถูกได้ยิน สิ่งที่ได้รับคือการลุแก่อำนาจปราศจากมนุษยธรรม ใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ ใช้งบประมาณมากมายปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างบ้าคลั่งราวกับพวกเขาเป็นอริราชศัตรูเพียงแค่พวกเขาคิดต่างจากผู้ทรงอำนาจบาตรใหญ่ แจกคดีความถ้วนหน้าออกหมายเรียก หมายจับ ใช้กฎหมายปิดปาก จงใจใช้และต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยข้ออ้างเรื่อง Covid-19 อย่างปราศจากความละอายต่อสายตาชาวโลก”

อมรัตน์ ย้ำว่า สำหรับตนแล้วเยาวชนผู้กล้าหาญเหล่านั้น คือ นักต่อสู้ไม่ใช่นักโทษ คือเจ้าของอนาคตประเทศนี้ พวกเขาได้ก้าวข้ามเส้นแห่งความกลัวที่คนยุคตนไม่เคยเข้าข้ามพ้นเส้นนั้นมาได้ บัดนี้มีผู้ต้องหาคดี 112, 116, 215, พ.ร.บ.คอมพ์, พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากมายถึง 1,500 คน จาก 800 กว่าคดี โดยเฉพาะคดี 112 มีถึง 150 คน และส่วนใหญ่เป็นเยาวชน

“เราต้องยอมรับกันเสียทีว่า คดีมาตรา 112 เป็นคดีทางการเมือง จะต้องถูกแก้ไขด้วยวิถีทางการเมือง แทนใช้คุก ศาล ทหาร และใช้กฎหมายปิดปาก รวมทั้งกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ เป็นประเด็นที่ประเทศไทยถูกองค์กรระหว่างประเทศ และประเทศต่าง ๆ วิพากษ์วิจารณ์ นับจากปี 54 ถึงปี 64 ถูกวิจารณ์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 22 ครั้ง ถูกเสนอแนะให้แก้ไขในเรื่องอัตราโทษที่สูงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับความผิดและไม่มีโทษขั้นต่ำ ไม่มีคำนิยามที่แน่นอนของคำว่าดูหมิ่น และกฎหมายนี้มีปัญหาการบังคับใช้ที่ถูกตีความอย่างไร้ขอบเขต รวมไปถึงไม่สอดคล้องกับหลักการสากลในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง” อมรัตน์ กล่าว 

แนะรัฐ! ดันท่องเที่ยว หวังศก.ไทยปีหน้ากลับมาโต 5% 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเร่งการส่งเสริมการลงทุน เมื่อได้เปิดประเทศ ต้องหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านคน เพื่อเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 65 ขยายตัวได้ถึง 5% ส่วนจีดีพีของกลุ่มค้าปลีก คาดว่าขยายตัว 2% เติบโตใกล้เคียงกับ จีดีพีของประเทศ โดยโมเดิร์นเทรด มีสัดส่วน 65% ของค้าปลีกทั้งระบบ 

ทั้งนี้ยังได้เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบการโมเดิร์น เทรด ไตรมาส 3ปี 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ปรับสูงขึ้นอีกครั้งในรอบ 2 ไตรมาส โดยดัชนีรวมอยู่ที่ 47.9 ดัชนีฯในปัจจุบันอยู่ที่ 47.1 และดัชนีฯในอนาคตอยู่ที่ 48.7 เนื่องจากปลายไตรมาส 3 รัฐทยอยคลายล็อกมาตรการต่างๆ และผู้ประกอบการมองว่าค้าปลีกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนียังต่ำกว่า 50% ทั้งจากองค์ประกอบการในการคำนวณดัชนี จากรายรับ กำไร ราคาขาย จ้างงาน ต้นทุน ยังอยู่ในระดับทรงตัวหรือดีเล็กน้อย ยกเว้นจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหลังคลายล็อก แต่มีมุมมองต่อไตรมาส4 ดีขึ้น เพราะมองผลดีรัฐบาลจะคลายล็อกที่เหลือ เปิดประเทศ และแรงกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐส่งท้ายปี

มะเร็งคร่า 'พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์' หัวหน้าพรรคพลังชาติไทย เสียชีวิตอย่างสงบ

วันที่ 26 ตุลาคม 2564 นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “ส.ส.เอ๋ พระบาท” ระบุว่า “ได้ทราบข่าวในไลน์กลุ่มพรรคเล็กต่อการจากไปของ เพื่อน/พี่ ส.ส.พลตรีทรงกลด ทิพยรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชาติไทย รู้สึกใจหายอย่างมาก เพิ่งโทรคุยกันเมื่อไม่นาน ความผูกพันในกลุ่มพรรคเล็กได้แต่รู้สึกเสียใจ ขอให้ดวงวิญญาณพี่ทรงกลด สู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญฯ..ด้วยความเคารพรักและอาลัย จาก ส.ส.พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค

กราบเรียน กัลยาณมิตร พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์ทุกท่าน…บัดนี้ ท่านทรงกลดฯ ได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งท่านพยายามต่อสู้มา ระยะหนึ่ง ก่อนวาระสุดท้าย ท่านได้จัดการภาระงานในบทบาทหน้าที่ทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้สั่งกำชับครอบครัวและทุกคนที่เกี่ยวข้องว่าท่านอยากจากไปอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องบอกกล่าวใครจนกว่าจะจัดงานศพเรียบร้อย…ตอนนี้ทางครอบครัวได้ดำเนินการตามประสงค์ของท่านเรียบร้อย…จึงกราบเรียน มายังทุกท่านค่ะ…บุญญาพรฯ (ครอบครัว พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์)”

'ไบเดน' เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรก รอบ 4 ปี ร่วมประชุม 'สุดยอดอาเซียน'

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะเข้าร่วมประชุมซัมมิตทางไกลกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในวันอังคาร (26 ต.ค.) เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่วอชิงตันจะมีส่วนร่วมในระดับสูงกับอาเซียน ที่ทางอเมริกามองว่าเป็นกุญแจสำคัญในยุทธศาสตร์ตีโต้กลับจีนของพวกเขา

สถานทูตสหรัฐฯ ในบรูไน เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ไบเดนจะเป็นผู้นำคณะผู้แทนของอเมริกาสำหรับการประชุมอาเซียนซัมมิท-สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งในการประชุมหลายการประชุมของบรรดาผู้นำอาเซียนในสัปดาห์นี้

สหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วมในการประชุมระดับประธานาธิบดีมานับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมปป์ ร่วมประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ ในกรุงมะนิลาปี 2017

พวกนักวิเคราะห์มองว่าการร่วมประชุมกับอาเซียนของไบเดน สะท้อนถึงความพยายามของประธานาธิบดีรายนี้ที่ต้องการประสานเชื่อมต่อพันธมิตรและคู่หูในความพยายามตีโต้กลับจีนร่วมกัน

ขณะเดียวกันพวกเขายังคาดหมายด้วยว่า ไบเดน จะมุ่งเน้นความร่วมมือเกี่ยวกับการกระจายวัคซีนโควิด-19 ภาวะโลกร้อน ห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐาน

ทัวร์ลงยับ!! หลัง ‘เก็ตสึโนวา’ แซะ จ้าง ‘ลิซ่า’ เคาท์ดาวน์ปีใหม่ แถมระรานคนเห็นต่างเป็นไอโอ อ้างแค่อยากร่วมแจม

วงดนตรีเก็ตสึโนวา โพสต์แซะ จ้างลิซ่าเคานต์ดาวน์ปีใหม่ที่ภูเก็ต ไม่คิดจ้างตัวเองบ้างเหรอ เจอทัวร์ลง หงายการ์ดด่าคนเห็นต่าง สุดท้ายลบโพสต์ ขอโทษขอโพย อ้าง อยากกลับไปเล่นดนตรีแล้วครับ

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. จากกรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอของบประมาณ 200 ล้านบาท เชิญศิลปินมาแสดงในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อย่าง ลิซ่า ลลิสา มโนบาล หนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี แบล็กพิงก์ ที่บริเวณสะพานสารสิน จ.ภูเก็ต กับ แอนเดรีย โบเชลลิ นักร้องโอเปราชาวอิตาลี ที่ท้องสนามหลวง กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กับการนำงบประมาณจำนวนนี้ไปแก้ไขปัญหาโควิด-19 เช่น การจัดซื้อวัคซีนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพ เช่น mRNA

ปรากฏว่าวงดนตรีที่ชื่อว่า "เก็ตสึโนวา" จากค่ายไวท์มิวสิก ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ สร้างชื่อเสียงจากเพลง "ไกลแค่ไหนคือใกล้" ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเพจของวง ระบุว่า “ภูเก็ตจ้างลิซ่า ไม่สนใจจ้าง getsunova ไปด้วยเหรอครับ” ปรากฏว่าทัวร์ลงจากแฟนคลับลิซ่า เข้ามาแสดงความไม่พอใจจำนวนมาก

ต่อมา เฟซบุ๊กของวงได้โพสต์ข้อความโจมตีกลับ ระบุว่า "#อีกไม่นานนานแค่ไหน ที่ I.O. จะใช้เฟสจริงมาคอมเมนต์ซักที" ปรากฏว่าเรียกทัวร์ลงไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แนวร่วมกลุ่มผู้สนับสนุนม็อบกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ราษฎร หรือม็อบสามนิ้ว ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มักจะใช้คำว่า ไอโอ เพื่อเหยียดคนที่เห็นต่าง เข้ามาถล่มยับ

ภายหลังได้ลบข้อความพาดพิงลิซ่า และกลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนโพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า "ทางเราขออนุญาตลบโพสต์ภูเก็ต เนื่องจากทางเราเกรงว่า อาจจะทำให้แฟนคลับน้องลิซ่าเกิดความไม่สบายใจที่อ้างอิงถึง ต้องขออภัยทุกคนมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ส่วนข้อความในโพสต์ดังกล่าว เราแค่อยากจะบอกทุกคนว่า อยากกลับไปเล่นดนตรีแล้วครับ" ท่ามกลางแฟนคลับวงเก็ตสึโนวาให้กำลังใจจำนวนมาก แต่ไม่ได้กล่าวถึงโพสต์ที่พาดพิง กลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่อย่างใด

‘โรม’ หวัง กม.ป้องกันซ้อมทรมานลุล่วง อย่าให้ซ้ำรอยรัฐทำป่าเถื่อนกับประชาชนอีก

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวเนื่องในวาระครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชนหน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 85 คน สูญหาย 7 คน และบาดเจ็บมากกว่า 1,000 คน ว่า ครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์ตากใบ โศกนาฏกรรมและความอัปยศของการทรมานและการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ผมได้เข้าประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายด้วยนั้น ก็บังเอิญว่าตรงกับวันครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส พอดี กล่าวโดยสรุป เหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มต้นจากการที่ชาวบ้านชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานีตำรวจ เนื่องจากตำรวจได้จับกุมชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปสอบสวนเป็นเวลานานกว่าสัปดาห์โดยไม่ยอมปล่อยออกมา ปรากฏว่าตำรวจกลับโต้ตอบด้วยการสลายการชุมนุม ใช้ปืนและแก๊สน้ำตาจนมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 7 คน

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ทั้งยังควบคุมตัวอีกนับพันคนขึ้นรถบรรทุกโดยให้นอนทับกัน อยู่ในสภาพหายใจแทบไม่ออก ปัสสาวะและอุจจาระราด นำตัวไปค่ายทหารที่ห่างออกไปกว่า 150 กิโลเมตร จนมีผู้เสียชีวิตระหว่างทางและที่โรงพยาบาลเพิ่มอีก 78 คน ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไรกับการที่มีคนจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

“เมื่อมองย้อนกลับไป เหตุการณ์ตากใบก็คือหนึ่งในการกระทำอันโหดร้ายที่เรากำลังพยายามขจัดมันให้สิ้นไปอยู่นี้เอง การที่เจ้าหน้าที่นำคนมานอนทับกันนานหลายชั่วโมงจนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต กระทำกับเขาด้วยการเลือกปฏิบัติเพราะเห็นว่าเป็นคนที่เข้าข้างผู้ที่ตัวเองสงสัยว่าก่อความไม่สงบ ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าเข้าข่ายการทรมาน และแม้ว่าบางคนอาจรอดชีวิตมาโดยไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงเหมือนคนอื่นๆ แต่การที่เขาต้องนอนดมกลิ่นของเสียจากร่างกายคนอื่น ถูกกระทำเหมือนเป็นสิ่งของถูกบรรทุกไว้ นี่ก็ย่อมเข้าข่ายการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

“ประยุทธ์” เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 39 ย้ำอาเซียนต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อร่วมสร้างความเข้มแข็งให้ภูมิภาค “ลั่น” ไทยต้องการเห็นสันติภาพและเสถียรภาพในเมียนมา

ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 39 ผ่านระบบการประชุมทางไกล พร้อมผู้นำและผู้แทนสมาชิกอาเซียน ซึ่ง
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 39 นี้ ที่ประชุมมีประเด็นหลักที่หยิบยกขึ้นหารือหลักๆ ได้แก่ พัฒนาการความสัมพันธ์และความร่วมมือกับหุ้นส่วนภายนอกภูมิภาค 

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมว่า ทุกประเทศต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ สมาชิกอาเซียนต้องรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเป็นแกนกลางของอาเซียนเพื่อเอาชนะกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบที่โลกกำลังเผชิญ ทั้งโควิด-19 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความท้าทายต่อภูมิรัฐศาสตร์ในโลกและในภูมิภาค อาเซียนจะต้องมีความร่วมมือที่สร้างสรรค์กับภายนอกภูมิภาค และรักษาความสงบสุขในภูมิภาค เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้ก้าวหน้าต่อไป 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเสนอ 3 แนวทางโดยให้ดำเนินการควบคู่กันไป ว่า 1. อาเซียนควรเพิ่มพูนความสัมพันธ์กับภาคีภายนอกให้มากยิ่งขึ้น รักษาความเป็นเอกภาพ มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนข้อริเริ่มต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสและสร้างพลังของอาเซียนในการดำเนินความสัมพันธ์ภายนอก และเห็นว่าอาเซียนควรใช้โอกาสจากความเป็นหุ้นส่วนเหล่านี้ในการผลักดันวาระต่าง ๆ ที่เป็นผลประโยชน์ของอาเซียนและส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนในภูมิภาคต่อไป

2.อาเซียนต้องร่วมกันส่งเสียงที่ชัดเจนและสอดคล้องกันเกี่ยวกับความเป็นแกนกลางของอาเซียนในสถาปัตยกรรมในภูมิภาค เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกต่าง ๆ ที่อาเซียนมีบทบาทนำ โดยใช้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (AOIP) เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนให้มหาอำนาจมีปฏิสัมพันธ์กันในภูมิภาคของเราอย่างสร้างสรรค์ เพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค  3. อาเซียนควรมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยอาจพิจารณาใช้แนวทางใหม่ ๆ ในการปฏิสัมพันธ์กับทั้งสองประเทศ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแสวงจุดร่วมในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาคได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น  

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ในเมียนมา ถือเป็นบททดสอบความสามารถของอาเซียนในการจัดการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาค อาเซียนควรมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในเมียนมาเพื่อความน่าเชื่อถือของอาเซียนในประชาคมระหว่างประเทศ โดยไทยต้องการที่จะเห็นสันติภาพและเสถียรภาพในเมียนมาและพร้อมฉันทามติ 5 ข้อ ทั้งนี้ ผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียนจะมีบทบาทช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและบรรยากาศสำหรับการหารือที่สร้างสรรค์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ได้ การยุติความรุนแรง และการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีโดยการพูดคุยและหารือระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ควรจะยังคงดำเนินต่อไปและกระจายไปสู่ทุกฝ่ายอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว 

ด่วน “บิ๊กตู่” สั่งตั้งคกก.ตรวจสอบส่งออกถุงมือยางใช้แล้ว 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งออกถุงมือยางที่ใช้งานแล้วจากประเทศไทยไปต่างประเทศ ซึ่งมีปลัดหลายกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมกันตรวจสอบ ซึ่งจะนัดประชุมนัดแรกวันที่ 27 ต.ค.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเริ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงกรณีนี้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รวมทั้งการดำเนินการในช่วงต่อไป เบื้องต้นนายกฯ ไม่ได้ระบุกรอบเวลา แต่จะต้องเร่งสรุปให้เร็วที่สุด  

ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่ามีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้นับหนึ่ง จึงขอให้รอผลการหารือในวันที่ 27 ต.ค.ออกมาก่อน แต่ก็เข้าใจว่า กรณีนี้เป็นการกระทำผิดกฎหมายของผู้ที่เอาสิ่งที่ผิดกฎหมายออกไปนอกประเทศ คือถุงมือยางที่เป็นเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ใช้แล้วส่งออกไปนอกประเทศถือว่ามีความผิด อย่างไรก็ตามรายละเอียดทั้งหมดนั้นตอนนี้ยังไม่อยากพูดมากเพราะต้องให้ทางกรรมการที่มาจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลทั้งหมดก่อน  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top