Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

ภูฏานประดับพระบรมฉายาลักษณ์-ธงชาติไทยทั่วเมือง เตรียมต้อนรับเสด็จฯ ในหลวง–พระราชินี เยือนอย่างเป็นทางการ 25–28 เม.ย.นี้

(24 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก 'โบราณนานมา' โพสต์ภาพพร้อมข้อความเผยว่า ราชอาณาจักรภูฏานได้ประดับพระบรมฉายาลักษณ์และธงชาติไทยในพื้นที่ต่าง ๆ เตรียมความพร้อมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

ทั้งสองพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25–28 เมษายน 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งในหลวงทรงรับคำเชิญด้วยความปีติยินดียิ่ง

การเสด็จฯ เยือนในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างสองราชอาณาจักร ที่มีมิตรภาพอันยาวนาน สืบเนื่องจากมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในพระพุทธศาสนา และสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และประชาชนของทั้งสองประเทศ

สำนักงานมวยฯ เร่งสอบกรณี ‘มวยตลก’ บนเวทีดัง ชี้ย่ำยีศักดิ์ศรีมวยไทย ‘ฝ้าย เมฆะ’ – ‘แป้งฝุ่น’ โร่ขอโทษแล้ว

(24 เม.ย. 68) กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล หลังมีการเผยแพร่คลิป “มวยตลก” บนเวทีมวยจังหวัดอุดรธานี ซึ่งผู้ขึ้นชกแต่งกายไม่เหมาะสมและแสดงพฤติกรรมล้อเลียนการชกมวย ทำให้คนในวงการมวยไทยวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการย่ำยีเวทีอันศักดิ์สิทธิ์ และละเมิดขนบธรรมเนียมที่มีครูบาอาจารย์

นายณัฐพล อันตระเสน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้สั่งการให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จังหวัด ตรวจสอบว่าเวทีดังกล่าวได้รับอนุญาตจัดการแข่งขันอย่างถูกต้องหรือไม่ พร้อมย้ำว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเวทีมวยต้องได้รับการปกป้อง ไม่ใช่ถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างคอนเทนต์โดยขาดความเคารพ

ด้าน “ฝ้าย เมฆะ” และ “แป้งฝุ่น” สองอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ออกมาขอโทษต่อสาธารณะและวงการมวยไทย ยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิด และให้คำมั่นว่าจะไม่ทำพฤติกรรมในลักษณะนี้อีก พร้อมขอใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญในการเคารพศิลปะแม่ไม้มวยไทยต่อไป

นราธิวาส-คณะตัวแทนรัฐ 3 ฝ่าย ห่วงใยร่วมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บเหตุระเบิด – 2 เยาวชนยังอาการน่าห่วง นักเรียนหญิงหวั่นกระทบการสมัครเรียน

ที่บรรยากาศที่ตึกกัญญารัตน์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส เต็มไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่น เมื่อคณะตัวแทนจากภาครัฐ 3 ฝ่าย ร่วมลงพื้นที่เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุลอบวางระเบิดบริเวณหลังสถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาสในวันที่20 เมษายน ที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในครั้งนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนในพื้นที่ใกล้เคียงเพราะเป็นชุมชนที่หนาแน่นและประชาชนได้มาจับจ่ายใช้สอยเนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุเส้นทางไปตลาดนัดบ้านทอนซึ่งตรงกับทุกวันอาทิตย์ของสัปดาห์ เหตุการณ์ดังกล่าว หลายหน่วยงานรีบเข้าเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว การเข้าเยี่ยมครั้งนี้นำโดย นายซาฟีอี เจ้ะเลาะ ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส, นางซารีนา เจ้ะเลาะ พร้อมกับนายอับดุลอาซิซ เจ้ะมามะ ในนามที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ฝ่ายสตรีนางประนอม คำจุ่นประธานโฆษกชาวบ้านนางปารีดะ อารีซู รองประธานศูนย์สภาพัฒนาการเมืองพลเมืองพระปกเกล้าจังหวัดนราธิวาส , พร้อมด้วย พ.ท.ปรีชา รุ่งเมือง และ นายสุกรี มะดากะกุล กรรมการกองอำนวยการตัวแทนคณะขับเคลื่อนสันติสุขชายแดนใต้ และคณะกว่า10 ท่านต่างพร้อมใจเข้าพบครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บ ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ยังมีเยาวชน 2 รายที่แพทย์ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด คือ ด.ช.อัสมิน ดือเระ ชาว ต.ลุโบะสาวอ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งได้รับบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบริเวณกรามและคอ และ นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15  ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใต้ราวนมขวา บาดแผลลึกและยังอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง 

นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15 กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกเสียใจมากและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็ยังอยู่ในความหวาดผวาอยู่ ขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจและอีกเรื่องหนึ่งคือตนอยู่ระหว่างจะไปสมัครสอบเข้าเรียนชั้นม 4 ด้วยแต่ยังไม่ทันได้เข้าสมัครกังวลว่าจะได้เข้าโรงเรียนต่อหรือไม่ถึงฝากผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องช่วยดำเนินการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

เหตุการณ์ลอบวางระเบิด ยังคงเกิดเหตุ อย่างต่อเนื่องกันทุกวันหลายฯหน่วยงานเกิดความวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้าน และหลายๆฝ่ายออกมาเรียกร้องขอให้ยุติความรุนแรงโดยเร็วที่สุด เพราะมีผลประทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยมาก ขณะที่ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมทั้งเดินหน้าดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ยังคงเผชิญความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง

‘กองทัพอากาศ’ ยกระดับความพร้อมเต็มขีดความสามารถ ดูแลถวายความปลอดภัย ‘ในหลวง-พระราชินี’ เตรียมเสด็จฯ เยือนภูฏาน

(24 เม.ย. 68) กองทัพอากาศดำเนินการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้าย เพื่อสนับสนุนและถวายความปลอดภัยในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 – 28 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยมีการจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างรอบด้าน เพื่อให้การเสด็จฯ เป็นไปอย่างเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 22 – 23 เมษายน พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติพาโร ประเทศภูฏาน เพื่อสำรวจพื้นที่จริง ตรวจสอบความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นด้านความปลอดภัยและการบิน

การเยือนในครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในสายสัมพันธ์ระหว่างไทยและภูฏาน กองทัพอากาศจึงให้ความสำคัญสูงสุดในการดำเนินภารกิจ ทั้งในด้านการสนับสนุนทางเทคนิคและการถวายความปลอดภัย เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและความพร้อมของกองทัพในการรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างเต็มกำลัง

หุ่นยนต์จีนบุกตลาดโลก หลังนโยบายรัฐดันบริษัท AI แห่งอนาคต ผุดกว่า 4,500 แห่งในประเทศ เปิดศึกบุกยึดฐานเทคโนโลยีระดับโลก

(24 เม.ย. 68) จีนกำลังกลายเป็นมหาอำนาจด้านหุ่นยนต์ AI อย่างรวดเร็ว โดยมีบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์มากกว่า 4,500 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของจำนวนบริษัท AI ทั่วโลก การเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย 'AI Plus' ของรัฐบาลจีนที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ในปี 2023 อุตสาหกรรม AI ของจีนมีมูลค่ารวมกว่า 578 พันล้านหยวน (ประมาณ 81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยบริษัทจีนได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ AI หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หุ่นยนต์รูปแบบมนุษย์ที่สามารถทำงานในโรงงาน ไปจนถึงหุ่นยนต์บริการในภาคการแพทย์และการขนส่ง ตัวอย่างเช่น บริษัท UBTECH Robotics ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในสายการผลิตรถยนต์ และกำลังเตรียมการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

การขยายตัวของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ AI ในจีนยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนของรัฐบาลและภาคเอกชน โดยเฉพาะในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทจีนยังได้แสดงศักยภาพในงาน CES 2025 ที่ลาสเวกัส โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ AI ที่ล้ำสมัย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทั่วโลก

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐและเอกชน จีนกำลังกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ AI และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในตลาดโลกในอนาคตอันใกล้

ไทย–จีน ความสัมพันธ์บนเส้นทางไมตรี กับตำนานใช้ลูกผูกใจของ ‘สังข์ พัธโนทัย’

(24 เม.ย. 68) ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกทั้งใบกำลังอยู่ในห้วงแห่งการสั่นสะเทือน ประเทศมหาอำนาจล้วนแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจนระหว่างโลกเสรีและกลุ่มคอมมิวนิสต์ เวลานั้นประเทศไทยภายใต้การนำของจอมพลปพิบูลสงครามได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยในเวลานั้นมีความสัมพันธ์กับจีนที่เบาบางมากเนื่องจากไม่ลงรอยกัน

จนกระทั่งในที่สุดวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ญี่ปุ่นลงนามยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ถือเป็นการสิ้นสุดของสงครามโลกอย่างเป็นทางการ สำหรับประเทศไทย แม้จะเคยประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) แต่ภายหลังได้ประกาศว่าการประกาศสงครามนั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่ใช่เจตจำนงของประชาชนชาวไทย

ก่อนหน้านั้น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา โดยประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน

พระองค์เสด็จนิวัติพระนครครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ก่อนจะเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ ดังนั้นการตัดสินใจเข้าร่วมสงครามในปี 2485 ภายใต้การนำของจอมพลป.ถึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 8 นั่นเอง

รัชกาลที่ 8 นั้นเสด็จนิวัติอีกครั้งเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 การเสด็จกลับครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการกลับมาขององค์พระประมุขผู้ทรงบรรลุนิติภาวะ หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการฟื้นฟูศักดิ์ศรีของชาติไทยในสายตาประชาคมโลก หลังการยุติสงครามและการถูกครอบงำโดยญี่ปุ่น

แม้จะยังทรงพระเยาว์ แต่รัชกาลที่ 8 ทรงสามารถเอาชนะใจประชาชนได้อย่างรวดเร็ว พระราชกรณียกิจที่เป็นที่กล่าวถึงมากคือ การเสด็จเยือนย่านสำเพ็งเพื่อสมานรอยร้าวระหว่างชาวไทยกับชาวจีนหลังสงคราม นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงรับเสด็จ ลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบตเทน ผู้บัญชาการทหารฝ่ายสัมพันธมิตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการตรวจพลสวนสนามที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2489 โดยทรงฉลองพระองค์จอมทัพไทยอย่างสง่างาม เป็นการแสดงออกว่าประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นหรืออยู่ในสถานะพ่ายแพ้สงคราม

เหตุการณ์นี้ได้เปลี่ยนทัศนคติของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสงครามและต่อสถานะของชาติอย่างมาก นับเป็นช่วงเวลาที่รัชกาลที่ 8 ทรงมีบทบาทในเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองและการทูตระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสงคราม ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในข้อหาเป็นอาชญากรสงคราม เนื่องจากบทบาทของเขาในการนำประเทศไทยเข้าสู่สงครามเคียงข้างญี่ปุ่น เขาถูกควบคุมตัว ณ เรือนจำศาลาแดง ร่วมกับผู้ใกล้ชิดทางการเมืองคนสำคัญ — สังข์ พัธโนทัย ที่ปรึกษาและนักโฆษณาชวนเชื่อผู้ทรงอิทธิพล

ทั้งสองอยู่ในห้องขังด้วยกันราว 6 เดือน ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งปล่อยตัวในช่วงต้นปี พ.ศ. 2489 โดยเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ และคำประกาศสงครามของไทยในยุคสงครามนั้นเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ตามมาหลังสงคราม และการเสด็จกลับของรัชกาลที่ 8 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บรรยากาศของความขัดแย้งในประเทศผ่อนคลายลง

หลังจากนั้น สังข์ พัธโนทัย กลับมาทำงานด้านสื่อและกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมสัมพันธ์กับจีน เขาไม่ได้มีตำแหน่งทางการทูต แต่กลายเป็นผู้นำเสนอแนวทาง "การทูตสองหน้า" เพื่อเปิดประตูไปยังจีนโดยไม่ขัดกับท่าทีที่ไทยใกล้ชิดกับสหรัฐ

ในปี พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) สังข์ทำสิ่งที่โลกในเวลานั้นแทบไม่เข้าใจ — เขาส่ง ลูกชายและลูกสาว ไปอยู่ภายใต้การอุปการะของ โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ “มิตรภาพที่ฝากทั้งชีวิตไว้ได้”

สิรินทร์ พัธโนทัย วัย 8 ขวบในขณะนั้น เป็นหนึ่งในเด็กสองคนนั้น เธอเติบโตอยู่ในประเทศจีน 14 ปี และได้รับความรักเฉกเช่นสมาชิกในครอบครัวของโจว เธอให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า “ได้รับความรักและความเมตตาอย่างแท้จริงจากโจวเอินไหล” ปัจจุบันเธอยังพูดภาษาจีนได้คล่อง และถ่ายทอดภาษานั้นไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน

สายสัมพันธ์นี้เป็นมากกว่าการทูต — มันคือความไว้วางใจที่ลงลึกในระดับครอบครัว

ในเวลาเดียวกัน สังข์พยายามอย่างเงียบ ๆ ที่จะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างอดีตคณะราษฎรสองสาย — จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ ปรีดี พนมยงค์ ให้กลับมาจับมือกันอีกครั้ง โดยหวังว่าความร่วมมือของทั้งสองอาจเปลี่ยนอนาคตของประเทศได้

ทั้งสองเริ่มติดต่อกันผ่านรหัสลับ พูดถึงการกลับมาดื่มไวน์ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เหมือนเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่ปารีส

แต่...วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) จอมพล ป. เสียชีวิตกะทันหันด้วยโรคหัวใจ สะพานที่สังข์ปูไว้จึงจบลงก่อนที่ใครจะทันข้าม

ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ความพยายามเหล่านั้นได้ออกดอกผล เมื่อ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการ และจีน...คือฝ่ายที่จำได้ดีว่า คนไทยคนแรกที่กล้าไว้ใจเขาคือใคร

สังข์ พัธโนทัย ไม่ได้มีชื่ออยู่ในรายนามเอกอัครราชทูต หรือรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่ชื่อของเขา คือไม้แผ่นแรกของสะพานที่ทุกคนเดินตามในภายหลัง

ภาชนะใครขนาดใหญ่สุดดดดดดด!!!! รับรางวัล Swensen’s Voucher มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท

ภาชนะใครขนาดใหญ่สุดดดดดดด!!!! รับรางวัล Swensen’s Voucher มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท
- เลือกภาชนะคู่ใจที่จะมาใส่ไอศกรีม
- เลือกสั่งไอศกรีมรสที่ชอบ (สามารถเลือกได้ทุกรสชาติ) เริ่มต้น 10 สกู๊ป เพียง 199.- / 20 สกู๊ป เพียง 398.- / 30 สกู๊ป เพียง 597.- / 40 สกู๊ป เพียง 796.- / 50 สกู๊ป เพียง 995.- / 100 สกู๊ป เพียง 1,990.- เท่านั้น 
- วัดขนาดภาชนะคู่ใจ* ที่พกมาใส่ไอศกรีม ถ่ายรูปภาชนะคู่กับป้ายกิจกรรม Earth Day หน้าร้านและคอมเมนต์ภาพพร้อมระบุรายละเอียดขนาดของปากภาชนะใต้โพสต์กิจกรรมนี้
* สามารถให้พนักงานที่หน้าสาขาวัดปากภาชนะให้เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมได้เลย!!

รางวัลผู้สร้างสถิติ Swensen’s Love The Earth World Records ด้วยภาชนะขนาดใหญ่ที่สุดจะได้รับรางวัลทั้งหมด 3 อันดับ เป็น...
รางวัลที่ 1 Swensen’s Voucher มูลค่า 30,000 บาท
รางวัลที่ 2 Swensen’s Voucher มูลค่า 20,000 บาท
รางวัลที่ 3 Swensen’s Voucher มูลค่า 10,000 บาท

ระยะเวลาร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. 68 เวลา 00:00 น. - 23:59 น.
ประกาศผู้โชคดีวันที่ 24 เม.ย. 68 เวลา 18:00 น. ที่ใต้โพสต์ เพจ We Love Swensen's

นักเรียนจีนแห่เปลี่ยนเส้นทาง เริ่มเบนเป้าออกจากสหรัฐฯ หลังทรัมป์คุมเข้มนโยบายการศึกษาและวีซ่า

(24 เม.ย. 68) นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง กำลังสั่นคลอนความนิยมของสหรัฐฯ ในหมู่นักเรียนจีนอย่างหนัก ทั้งการตัดงบมหาวิทยาลัย เข้มงวดเรื่องวีซ่า และตั้งข้อกล่าวหาด้านความมั่นคง ส่งผลให้จำนวนผู้สมัครเรียนต่อในอเมริกาลดลงต่อเนื่อง กระทบภาพฝัน “American Dream” ที่เคยเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักศึกษาจีนมายาวนานกว่า 15 ปี

นักเรียนจำนวนมากเริ่มหันไปมองทางเลือกใหม่ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยชั้นนำในจีนเองที่กำลังไต่อันดับโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยคุณภาพงานวิจัยและโอกาสทำงานหลังเรียนจบที่ดึงดูดใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ทำให้หลายครอบครัวเริ่มลังเลต่อการลงทุนด้านการศึกษาข้ามทวีป

ข้อมูลจาก Open Doors ระบุว่า จำนวนนักเรียนจีนในสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 277,398 คนในปีการศึกษา 2023/24 ลดลง 4.2% จากปีก่อนหน้า และลดลงถึง 25.5% จากจุดสูงสุดในปี 2019/20 โดยนักเรียนจีนสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กว่า 14,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ทว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจทำให้เม็ดเงินจำนวนนี้ไหลออกไปยังประเทศอื่นแทน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในเวทีการศึกษาระดับโลก

นักศึกษาจำนวนหนึ่งยังเลือกกลับมาเรียนและทำงานในฮ่องกงหรือจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะในสาขาที่มีโอกาสทำงานหลังเรียนจบและได้รับทุนวิจัยมากขึ้น รายงานจาก China Daily ระบุว่า ในปี 2023 มีนักเรียนจีนระดับปริญญาเอกกลับประเทศถึง 21,574 คน เพิ่มขึ้น 51% จากปี 2020 โดยมากกว่าครึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเอเชีย

แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียนต่างชาติ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายที่เข้มงวดขึ้น อาจทำให้ประเทศสูญเสียบทบาทผู้นำด้านการศึกษาและนวัตกรรมในระยะยาว ขณะที่ประเทศอื่นๆ กำลังเปิดรับและช่วงชิงโอกาสนี้อย่างเต็มที่

กลับมาแล้ว!! ใบหยกบุฟเฟต์ ทุเรียนฟีเว่อร์

โปรบุฟเฟต์แห่งปี หนึ่งปีมีครั้งเดียว ใบหยกยืนหนึ่ง จัดอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 9 รวม 2 บุฟเฟต์ยอดนิยม บุฟเฟต์ทุเรียน + บุฟเฟต์ทะเลยกชั้น ในราคาเพียง 1,290 บาทเน็ท/ท่าน*

(โปรจำนวนจำกัด เมื่อจองและชำระเงินล่วงหน้า) จากราคาปกติ 1,490 บาทเน็ท/ท่าน

ครั้งหนึ่ง ‘โรเจอร์ เฟเดอเรอร์’ ตำนานนักเทนนิส เคยปฏิเสธดีล Nike ก่อนกลายเป็นหุ้นส่วน On Running สร้างทรัพย์สินระดับพันล้าน

(23 เม.ย. 68) ผศ.ดร.หฤษฎ์ อินน์ทะกนก อาจารย์ผู้สอนด้านกลยุทธ์ธุรกิจ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Dr Harit แชร์เรื่องราวของ สุดยอดนักหวดลูกสักหลาดระดับตำนานชาวสวิสฯ อย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยตัดสินใจปฏิเสธสัญญากับทาง Nike ซึ่งเป็นบริษัทรองเท้ากีฬาและเครื่องแต่งกายสัญชาติอเมริกันชื่อดังของโลก

ในปี 2018, Nike เสนอการต่อสัญญาใหม่ให้ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในมูลค่าเพียง 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เป็นข้อเสนอที่ต่ำกว่าความคาดหวังของเขามาก เฟเดอเรอร์ จึงตัดสินไม่ต่อสัญญา

หลังจากนั้น Uniqlo ก็เข้ามาเซ็นสัญญากับเขา ด้วยมูลค่าสูงถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ (เฉพาะเรื่องเสื้อผ้า) แต่ 'สิทธิ์ในการสวมรองเท้า' ยังคงเปิดอยู่

และนั่นเอง คือช่วงเวลาที่แบรนด์สัญชาติสวิสเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า On Running ตัดสินใจก้าวเข้ามา

ในตอนนั้น On Running เป็นบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังห่างไกลจากขนาดของ Nike หรือ Adidas แทนที่จะให้เฟเดอเรอร์เป็นแค่พรีเซนเตอร์ พวกเขาเสนอสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น คือการเป็นเจ้าของร่วม

เฟเดอเรอร์ ตัดสินใจลงทุนใน On Running กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น และยังทำงานร่วมกับทีมพัฒนาสินค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเปิดตัวไลน์รองเท้าของตัวเอง ที่ชื่อว่า 
'The Roger'

ผลลัพธ์คือ On Running เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2021 ด้วยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นที่เฟเดอเรอร์ถือไว้ตั้งแต่ต้น ทำให้เขามีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยล้านเหรียญ มากกว่าที่เขาจะได้จากการเซ็นสัญญาพรีเซนเตอร์ทั่วไปเสียอีก

บทเรียน: การเดินออกจาก 'เงินก้อนสั้น ๆ' ในวันนี้ อาจเป็นการเปิดประตูสู่ 'ความมั่งคั่งระยะยาว' ในอนาคต

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ไม่ได้เป็นแค่คนใส่รองเท้าแบรนด์นี้ แต่เขา กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างมันขึ้นมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top