Thursday, 27 March 2025
Hard News Team

”พลโท ชนินทร์“ ติวเข้มเครือข่ายเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายที่ภูเก็ต มุ่งสร้างตาสับปะรดของชุมชน

(27 มี.ค. 68) ที่จังหวัดภูเก็ต -พลโท ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการ ศปป.3 กอ.รมน. เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนการก่อการร้าย” โดยมีเจ้าหน้าที่สนามบิน ภาคประชาชน และหน่วยงานความมั่นคง เข้าร่วมอบรม

การอบรมครั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นการสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยคุกคามสมัยใหม่ ทั้งการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะสำคัญ ประกอบด้วย การจดจำใบหน้าบุคคลต้องสงสัย การเอาตัวรอดจากสถานการณ์ก่อการร้าย

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ ศปป.3 กอ.รมน. เดินหน้าเสริมพลังเครือข่ายประชาชน โดยจัดกิจกรรมอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยการก่อการร้ายที่ จ.ภูเก็ต มุ่งสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” ให้รู้เท่าทันภัยก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย และเอาตัวรอดจากเหตุร้าย ในการเสริมสร้าง เครือข่ายภาคประชาชน เพื่อเฝ้าระวังภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีทั้งสนามบินนานาชาติ ท่าเรือ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และชุมชนที่มีความหลากหลาย

ทั้งนี้ ศปป.3 มีแผนจะขยายกิจกรรมลักษณะนี้ไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศ โดยจะเน้นพื้นที่เป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น จังหวัดชายแดน พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และแหล่งท่องเที่ยวหลัก เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศมีบทบาทร่วมในการดูแลความมั่นคงร่วมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเราเชื่อว่า พลังของประชาชน คือแนวป้องกันประเทศที่เข้มแข็งที่สุด

ประธานวุฒิสภาจอร์แดน จวกประเทศตะวันตก ปฏิบัติสองมาตรฐานในเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพ

(26 มี.ค. 68) สำนักข่าวอาหรับนิวส์รายงานว่า นายไฟซอล อัลฟาเยส (Faisal Al-Fayez) ประธานวุฒิสภาของจอร์แดน ได้กล่าวระหว่างการประชุมกับสภายุโรปที่จัดขึ้น ณ เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ว่า “ประเทศตะวันตกมีการปฏิบัติสองมาตรฐานในเรื่องของประชาธิปไตยและเสรีภาพของมวลชน”

อัลฟาเยสเน้นย้ำว่า “คุณค่าแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงจังและความเสมอภาคในเรื่องสิทธิมนุษยชน” พร้อมแสดงความกังวลต่อแนวทางของบางประเทศตะวันตกที่เขามองว่ามีการใช้หลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างไม่สม่ำเสมอในบริบทที่แตกต่างกัน

“ประชาชนชาวปาเลสไตน์อดทนต่อความทุกข์ยากมากว่า 80 ปี แต่เพียงเพราะเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 พวกเขากลับถูกซ้ำเติม ถูกกำหนดให้เป็นเป้าแห่งความโหดร้ายของการรุกรานของกองทัพอิสราเอล ทั้งในเขตเวสต์แบงก์และในฉนวนกาซา” เขากล่าวว่า “ประชาชนหลายหมื่นคนต้องพลีชีพ ต้องบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสตรีและเด็ก ๆ ผู้บริสุทธิ์ ต้องเสียชีวิตจากการรุกรานในครั้งนี้” และเรียกร้องให้โลกหันมาสนใจและดำเนินการเพื่อยุติความรุนแรงต่อประชาชนเหล่านี้

นอกจากนี้ นายอัลฟาเยสยังได้กล่าวถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการบิดเบือนข้อมูลและความจริง ซึ่งได้สร้างความเกลียดชังและการแบ่งแยกระหว่างคนในสังคม โดยเน้นว่า “การบิดเบือนข้อมูลดังกล่าวทำให้ความเป็นประชาธิปไตยถูกท้าทายและถูกละเลย”

อัลฟาเยสทิ้งท้ายเรียกร้องให้ทุกประเทศมี “ความมุ่งมั่นในการช่วยปกป้ององค์กรและสถาบันระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่ธำรงความยุติธรรม” โดยเน้นว่าไม่ควรแทรกแซงการทำงานขององค์กรเหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง

สำหรับการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นท่ามกลางบริบทของความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และการถกเถียงเกี่ยวกับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกนำไปใช้ในระดับสากล โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งหลายประเทศมองว่าตะวันตกมีแนวโน้มใช้มาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันเมื่อต้องตัดสินนโยบายของรัฐอื่นๆ

การวิพากษ์วิจารณ์ของอัลฟาเยสได้รับความสนใจจากผู้แทนสภายุโรปและนักวิเคราะห์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งมองว่าเป็นสัญญาณของความไม่พอใจที่หลายประเทศในภูมิภาคอาหรับมีต่อนโยบายของชาติตะวันตกในปัจจุบัน

Huawei สานต่อพันธกิจ ‘TECH4ALL’ ปลดล็อกโอกาสการศึกษา ขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้โรงเรียนประถมในเคนยา 21 แห่ง

(26 มี.ค. 68) หัวเหวย (Huawei) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากจีน ประกาศความสำเร็จของโครงการ “เชื่อมต่อดิจิทัลระยะที่สอง” ในโรงเรียนประถมศึกษาของเคนยาจำนวน 21 แห่ง ซึ่งเป็นความร่วมมือกับรัฐบาลเคนยาและองค์การยูเนสโก (UNESCO) เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนริเริ่มระยะยาว “TECH4ALL” ของหัวเหวย ซึ่งมุ่งเน้นการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล โดย สตีเวน จาง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกิจการสาธารณะของหัวเหวยในเคนยา กล่าวว่า “การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่เพียงช่วยพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน แต่ยังเปิดโอกาสให้ครูและผู้บริหารสามารถเข้าถึงระบบการจัดการออนไลน์ได้ง่ายขึ้น”

ก่อนหน้านี้ หัวเหวยได้ดำเนินโครงการดิจิสคูล (DigiSchool) ในระยะที่หนึ่ง โดยเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้กับ 13 โรงเรียน ส่งผลให้นักเรียนและครู กว่า 6,000 คน ได้รับประโยชน์ โดยมีการสำรวจพบว่า 98% ของนักเรียนเห็นว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตช่วยตอบสนองความต้องการทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในระยะที่สองนี้ โครงการ “เคนยา ดิจิสคูล คอนเน็กต์วิตี้” (Kenya DigiSchool Connectivity) ได้ขยายการเชื่อมต่อไปยัง 6 โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการลดช่องว่างทางดิจิทัลของประเทศ

“ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนคือหัวใจสำคัญของการขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในโรงเรียน เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน” หลุยส์ แฮ็กซ์เฮาเซน ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกของยูเนสโก กล่าว

'ผู้ดำเนินรายการ THE STATES TIMES ยามเช้า' รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ประเภทบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ มอบรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) โดยมี นางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมฯ พร้อมคณะกรรมการบริหาร ร่วมในพิธี

โดยรางวัลเทพทอง จัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับองค์กรและบุคคลต่าง ๆ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และบุคลากรด้านสื่อวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดประโยชน์ เป็นแบบอย่างที่ดี

ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งสิ้น 72 รางวัล ประกอบด้วย 
-องค์กรดีเด่น 26 รางวัล อาทิ โรงเรียนชอย เทควันโด้ อะคาเดมี่ โดยนายชัชชัย เช หรือโค้ชเช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เป็นผู้รับ และสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

-บุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ 16 รางวัล อาทิ นายสุวิกรม อัมระนันทน์ รายการเปอร์-สเปกทิฟ (Perspective) / นายวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN World Today / และนางรัสรินทร์ ปริยไชยพงศ์ หรือชื่อในวงการ 'ปิยมาศ โมนยะกุล' ศิลปิน นักแสดง ฉายานางเอกตลกร้อยล้าน

-บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง 11 รางวัล ซึ่งมอบให้กับนักจัดรายการวิทยุ ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง อาทิ นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์เดอะสเต็ทส์ไทม์ (THE STATES TIMES) ผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า ทาง FM 103.5 และรายงานข่าวต้นชั่วโมง TST News Flash สถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย FM 101
-และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานเทพทองครั้งนี้รับโล่เกียรติยศ จำนวน 19 รางวัล 

บรรณาธิการ และผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ มอบรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับองค์กรและบุคคลต่าง ๆ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และบุคลากรด้านสื่อวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดประโยชน์ เป็นแบบอย่างที่ดี

ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งสิ้น 72 รางวัล ประกอบด้วย องค์กรดีเด่น 26 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ 16 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง 11 รางวัล และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานเทพทองครั้งนี้รับโล่เกียรติยศ จำนวน 19 รางวัล

ทั้งนี้ในประเภทบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง ซึ่งมอบให้กับนักจัดรายการวิทยุ ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ในปีนี้ นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์เดอะสเต็ทส์ไทม์ (THE STATES TIMES) ผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า ทาง FM 103.5 และรายงานข่าวต้นชั่วโมง TST News Flash สถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย FM 101 เป็น 1 ในผู้ได้รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ด้วย

‘น้องพั้นรักแมว’ สอบคณิตฯ O-NET คว้าคะแนนเกือบเต็ม 100 พร้อมทั้งสอบติดแพทย์ มข. สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนยุคใหม่

(26 มี.ค. 68) ถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ เมื่อ ‘น้องพั้น’ พันธิตา บุญชวน หรือ “น้องพั้นรักแมว” นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ทำให้หลายคนตะลึงเมื่อเธอสามารถสอบ O-NET วิชาคณิตศาสตร์ได้ถึง 96.25 คะแนน (เต็ม 100)

นอกจากนี้ น้องพั้นยังสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นการพิสูจน์ความสามารถทั้งในด้านการเรียนและงานอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำอย่างเต็มที่

แม้จะมีการทำงานหนักในโลกออนไลน์เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับความนิยม แต่ “น้องพั้นรักแมว” ก็ยังสามารถบริหารเวลาได้ดี จนประสบความสำเร็จทั้งด้านการศึกษาและการงาน ซึ่งล่าสุด โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคมก็ได้โพสต์แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของเธอ

โดยแฟนคลับจำนวนมากต่างแห่ชื่นชมในความสวยและความสามารถ พร้อมยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการมีวินัยในการเรียนและการทำงาน ทั้งในด้านการศึกษาที่มุ่งมั่นและการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าในโลกออนไลน์ ซึ่งทุกคนต่างเห็นตรงกันว่า น้องพั้นรักแมวเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่เต็มไปด้วยอนาคตที่สดใสและน่าจับตามองในทุกๆ ด้าน

“ยินดีด้วยนะคะน้องพั้น! สุดยอดจริงๆ” เป็นเสียงส่วนหนึ่งจากแฟนคลับที่แสดงความยินดีในโพสต์ล่าสุดของเธอ พร้อมกับให้กำลังใจในทุกการเดินทางของเธอที่จะยังคงเติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคต

กกพ. ประกาศตรึงค่าเอฟที 36.72 สตางค์/หน่วย ส่งผลค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 68 อยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 12/2568 (ครั้งที่ 954) วันที่ 26 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 คงเดิมที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งสอดคล้องกับอัตราที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอมา เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน

ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. ได้เปิดรับฟังความเห็นผลการคำนวณค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 - 24 มีนาคม 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นจำนวนทั้งสิ้น 33 ความเห็น แบ่งเป็นการแสดงความเห็นต่อค่าเอฟทีตามกรณีศึกษาที่ กกพ. เสนอรวมทั้งสิ้น 29 ความเห็น แสดงความเห็นโดยเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีศึกษารวม 3 ความเห็น และความเห็นในลักษณะข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟทีจำนวน 1 ความเห็น 

โดยสามารถสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นเป็นสัดส่วนร้อยละได้ ดังนี้
สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568 ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. 
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 1 (ค่าเอฟที 137.39 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 21%
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 2 (ค่าเอฟที 116.37 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 18%
- เห็นด้วยกับกรณีศึกษาที่ 3 (ค่าเอฟที 36.72 สตางค์ต่อหน่วย) จำนวน 49%
- ข้อเสนอค่าเอฟทีอื่นๆ นอกเหนือกรณีศึกษา จำนวน 9%
- ข้อซักถามหรือคำถามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับค่าเอฟที จำนวน 3%
รวมทั้งสิ้น (33 ความเห็น) เป็น 100%

ในปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ้นสุด กลางเดือนพฤษภาคม สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิก ใช้งาน ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย

‘IO’ ไม่ได้เลวร้าย หากใช้เพื่อความมั่นคง ชี้! ภัยคุกคามประเทศยุคใหม่มาได้ทุกรูปแบบ

(26 มี.ค. 68) ในยุคที่ "กระสุน" ไม่ได้มีแค่เหล็กกล้า แต่อาจมาในรูปของ “ข้อมูลปลอม ความเข้าใจผิด และกระแสบนโซเชียลมีเดีย” กองทัพในโลกยุคใหม่จึงต้องมีอาวุธชนิดใหม่ที่เรียกว่า IO หรือ Information Operation หรือ “ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร”

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “ทำไมทหารต้องทำ IO?”
คำตอบนั้นง่ายพอๆ กับคำถามว่า “ทำไมทหารต้องมีปืน?”

เพราะโลกปัจจุบัน ภัยคุกคามไม่ได้มาแค่จากระเบิดหรือการรุกรานทางกายภาพ แต่มาในรูปของการบิดเบือนข้อมูล การสร้างความแตกแยกในสังคม และการโจมตีความชอบธรรมขององค์กรรัฐผ่านสื่อสาธารณะ — สิ่งเหล่านี้คือ “อาวุธยุคใหม่” ที่สามารถโค่นล้มรัฐบาล ล้มชาติ หรือทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธาในสถาบันหลักได้ โดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว

IO คืออะไร?
IO หรือ “Information Operation” คือการวางแผน การควบคุม และการใช้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น
ปกป้องความมั่นคงของชาติ
ลดอิทธิพลของข้อมูลปลอม (Fake News)
สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในหมู่ประชาชน
ขัดขวางการปลุกปั่นของกลุ่มที่ต้องการโค่นล้มรัฐ
IO ไม่ได้แปลว่า “ล้างสมอง” หรือ “ปั่นกระแส” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มันคือการ ปกป้องความจริง และทำให้สังคมอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

แล้วทำไมต้องเป็นทหาร?
เพราะหน้าที่ของทหารไม่ใช่แค่การรบในสนาม แต่คือ การรักษาความมั่นคงของประเทศในทุกมิติ — ทั้งทางบก น้ำ อากาศ และ...ข้อมูล

และนี่ไม่ใช่สิ่งที่คิดขึ้นมาเอง แต่เป็น “อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 52 อยู่ในหมวด 5 ว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ ซึ่งระบุว่า:
> "รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ" 

และกองทัพมีอำนาจหน้าที่ชัดเจนใน พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ที่ให้อำนาจ กองทัพในการดำเนินการใดๆ เพื่อคุ้มครองอธิปไตย ความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังทางกายภาพหรือ “ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร”
พูดง่ายๆ คือ กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าทหารต้องทำ ไม่ใช่แค่ทำได้
เพราะถ้าไม่ใช่ทหาร... แล้วใครจะทำ?

บางคนอาจบอกว่า “ในเมื่อทหารได้เงินเดือนจากภาษีประชาชน ก็ไม่ควรใช้ IO กับประชาชน” — แต่ลืมไปหรือไม่ว่า ภัยคุกคามความมั่นคงจำนวนมากมาจาก “ประชาชน” บางกลุ่ม ที่มีวาระซ่อนเร้น ต้องการล้มรัฐ ล้มเจ้า หรือเปลี่ยนโครงสร้างประเทศโดยไม่ผ่านกลไกประชาธิปไตย

เช่นเดียวกับตำรวจที่มีหน้าที่จับโจร ซึ่งก็เป็น “ประชาชน”
เช่นเดียวกับศาลที่มีหน้าที่ตัดสินจำเลย ซึ่งก็เป็น “ประชาชน”
ทหารก็มีหน้าที่ป้องกันชาติ จากภัยคุกคาม — ไม่ว่าจะมาในคราบของ “ประชาชน” หรือ “นักการเมือง” ก็ตาม

การอภิปรายไม่ไว้วางใจ: IO หรือแค่ข้อกล่าวหาเพื่อปกป้องใครบางคน

จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวานนี้ ฝ่ายค้านพยายามชี้เป้าว่าทหารใช้ IO เพื่อ “เล่นงานประชาชน” แต่ถ้าตามดูให้ลึกลงไปในเนื้อหา จะเห็นว่าสไลด์ที่ปรากฏนั้น ไม่ได้กล่าวหาประชาชนทั่วไป แต่เจาะจงไปที่กลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในพื้นที่อ่อนไหว โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมแนวร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวจากภายนอกประเทศ

นี่ไม่ใช่แค่การกล่าวหาในสไลด์ แต่คือ กลุ่มคนหน้าเดิม ๆ ที่ปรากฏในหน้าข่าวมาอย่างต่อเนื่อง คนที่เคยถูกพูดถึงว่าเดินทางไปต่างประเทศเพื่อนำแนวคิด “ลดทอนชาตินิยม” หรือแม้แต่แนวทาง “ปลดแอกจากความเป็นรัฐชาติ” เข้ามาปรับใช้ในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งความมั่นคงยังเปราะบางและต้องการความร่วมมือ ไม่ใช่ความแตกแยก

การที่ชื่อเหล่านี้ปรากฏในเอกสารข่าวกรอง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พวกเขาคือบุคคลที่เคลื่อนไหวอยู่ในวงจรเดิม ใช้วาทกรรมประชาธิปไตยบังหน้า แต่นำเอาแนวคิดจากโลกตะวันตกเข้ามาปะทะกับโครงสร้างชาติแบบไทย

บางคนถึงขั้นเสนอให้รื้อโครงสร้างกฎหมายความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยไม่เคยแตะประเด็นเรื่องการก่อการร้ายเลยสักครั้ง

และนี่คือสาเหตุที่กองทัพต้องจับตามอง ไม่ใช่เพราะ "กลัวความคิด" แต่เพราะ หน้าที่ของกองทัพคือการป้องกันไม่ให้แนวคิดอันเป็นภัยคุกคามต่อชาติแทรกซึมเข้ามาทำลายความมั่นคงจากภายใน

ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นการ "เปิดโปง" อะไรใหม่
แต่กลับเป็นการ “เปิดหน้า” ว่าใครกำลังยืนอยู่ข้างกลุ่มใด
ใครกำลังปกป้องกลุ่มที่ทำให้ความมั่นคงของชาติเปราะบาง
และใครกำลังใช้อภิสิทธิ์ในสภาเพื่อป้ายสีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย
จะว่าไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจยืนยันได้ว่าเอกสารที่เอามาใช้นั้นถูกต้อง 100%
แต่ก็ต้องย้ำให้ชัดว่า เอกสารพวกนี้ ใครๆ ก็เขียนขึ้นมาได้
และหากใช้เพียงเพื่อ “ป้ายสี” ว่าทหาร — ผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ — กลายเป็นผู้ร้าย
นั่นก็ไม่ต่างจากการใช้ IO แบบกลับหัวกลับหางใส่ทหารเอง

IO ไม่ได้เลวร้าย หากใช้เพื่อความมั่นคง
สิ่งที่ควรถามไม่ใช่ว่า “ทหารทำ IO หรือไม่”
แต่ควรถามว่า “ทำ IO เพื่อใคร? เพื่อประโยชน์ใคร?”
ถ้า IO ถูกใช้เพื่อปกป้องประเทศจากการล่มสลายทางข้อมูล
จากการปลุกปั่นให้เกลียดชังกันเอง
จากการบิดเบือนอดีตเพื่อทำลายอนาคต
IO ก็คือ “เกราะป้องกันชาติ” ที่เราควรมี ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกห้าม

รัสเซียย้ำชัด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ‘ซาปอริซเซีย’ เป็นของมอสโก ยูเครน-ชาติตะวันตก ไม่สามารถอ้างสิทธิ์ได้อีกต่อไป

(26 มี.ค. 68) กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศเมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) ว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia Nuclear Power Plant - ZNPP) ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของรัสเซียโดยสมบูรณ์ และย้ำชัดว่า เป็นไปไม่ได้ที่ยูเครนหรือประเทศอื่นๆ จะเข้ามาควบคุมโรงไฟฟ้าแห่งนี้

“โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียเป็นของสหพันธรัฐรัสเซีย การโอนความเป็นเจ้าของหรือให้ชาติอื่นเข้ามาควบคุมนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้” กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุในแถลงการณ์

สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน และถูกกองทัพรัสเซียเข้าควบคุมตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

อย่างไรก็ตาม บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ยูเครน (Energoatom) ยังคงอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ และเน้นย้ำว่ารัสเซียไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าควบคุม

ด้านสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ เนื่องจากอยู่ในเขตสู้รบ และมีรายงานเหตุการณ์โจมตีใกล้กับโรงไฟฟ้าหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนในเดือนนี้ โดยมีรายงานว่า ทรัมป์ได้เสนอแนวคิดให้สหรัฐฯ เข้าควบคุม หรือแม้กระทั่ง “ครอบครอง” โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดในยูเครน เพื่อเป็นหลักประกันในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย

แต่เซเลนสกีได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด “เป็นของชาวยูเครน” และย้ำว่ายูเครนจะไม่ยอมให้ประเทศอื่นเข้ามาครอบครองหรือควบคุมโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญของประเทศ

รายงานระบุว่า ผู้นำยูเครนได้หารือกับทรัมป์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเข้ามาร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (ZNPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย

การพูดคุยระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สถานการณ์ด้านความมั่นคงพลังงานของยูเครนยังคงเผชิญแรงกดดันจากรัสเซีย ซึ่งยึดครองโรงไฟฟ้าซาปอริซเซียมาตั้งแต่ปี 2022 ขณะที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกกำลังมองหาหนทางในการช่วยเหลือยูเครนทั้งในด้านการทหารและเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียได้ลงนามออก กฤษฎีกาประกาศให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย เป็นทรัพย์สินของรัสเซียอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำการควบคุมของมอสโกเหนือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ท่ามกลางข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าแห่งนี้

มติ ป.ป.ช. 3:3 ตีตกคำร้องเอาผิดจริยธรม กรณี ‘มงคลกิตติ์-พีระวิทย์-ณัฐชา’ ร่วมชุมนุมม็อบ ชู 3 นิ้ว

เมื่อวันที่ (24 มี.ค. 68) ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ตีตกข้อกล่าวหา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทรักธรรม และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคก้าวไกล กระทำการอันเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธธรรมนูญและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กรณีเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 -20 กันยายน 2563 ที่บริเวณท้องสนามหลวง และได้แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว อันเป็นการสนับสนุนข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีวัตถุประสงค์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

รายงานข่าวแจ้งว่า คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 3 ต่อ 3 เสียง เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม และผิดจริยธรรมเท่ากัน โดยกรรมการ 3 เสียง ที่เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม คือ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง , นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์

ส่วนกรรมการ อีก 3 เสียง ที่เห็นว่า ผิดจริยธรรม คือ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. , นายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนายประภาศ คงเอียด ขณะที่ นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ  ลาการประชุม

ขณะที่ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ข้อ 19 ระบุว่า การลงมติของที่ประชุมเพื่อมีความเห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

เมื่อคะแนนเสียงเท่ากันถือว่าข้อกล่าวหาตกไป

กล่าวสำหรับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ก่อนหน้านี้ ถูก ป.ป.ช.ไต่สวนคดี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จำนวน 2 กรณี คือ

1. กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม จากการลาประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปชมภาพยนต์เรื่อง “4 KINGS อาชีวะ ยุค 90” เมื่อปี 2564

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงส่วนใหญ่เห็นว่า พฤติการณ์ของนายมงคลกิตติ์ เข้าข่ายไม่เหมาะสมผิดจริยธรรมแต่ไม่ร้ายแรง ขณะที่ปัจจุบัน นายมงคลกิตติ์ พ้นจากตำแหน่ง สส.ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามข้อบังคับของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก

2.กรณีใช้เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี “มงคลกิดดิ์ สุขสินธารานนท์” โพสต์รูปภาพและข้อความโดยเจตนาใส่ร้ายผู้กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวและเป็นหญิงให้ความบันเทิงแก่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้บุคคลทั่วไปเชื่อว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อและเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2009 (COVID-19) ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้กล่าวหาและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้รับความเสียหาย

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นว่า นายมงคลกิตติ์ มีความผิด ป.ป.ช.จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาโดยตรงต่อไป

ขณะที่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น สส.กทม. พรรคประชาชน

ส่วน นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เป็นอดีต สส. และหัวหน้าพรรคไทรักธรรม เคยปรากฏข่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี เนื่องจากจูงใจชาวบ้านให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคและตั้งสาขาพรรคในทางที่มิชอบตามกฎหมาย

มุกดาหาร สนพท. เลือก วิลาสินี เจริญสุข สื่อ และนักธุรกิจเก่ง เป็น นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย

สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย โดยนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ณ โรงแรมโกลเด้นซิตี้ จังหวัดระยอง โดยนายไตรภพ วงษ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ร่วมเป็นประธาน ซึ่งเป็นสมัยครบวาระเลือกตั้งนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ปี 2568-2570 มีสมาชิกของสมาคมฯ จากทั่วประเทศร่วมประชุมหนาแน่นเข้าร่วมกิจกรรม ด้านวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การมอบทุนการศึกษาแก่บุตรธิดาสมาชิก สมาคมฯ สนพท. พร้อมคัดเลือกนายกฯ และกรรมการบริหารชุดใหม่ 

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายก สนพท. และคณะกรรมการประกาศสิ้นสุดการทำหน้าที่ พร้อมเสนอชื่อสมาชิกอาวุโสขึ้นเป็นประธานชั่วคราว เพื่อดำเนินการประชุมในการเลือกตั้งตำแหน่งนายก สนพท. คนใหม่ มีสมาชิกเสนอชื่อ นางวิลาสินี เจริญสุข สมาชิกตลอดชีพชาวจังหวัดมุกดาหาร ขึ้นเป็นนายก สนพท. ในที่ประชุมไม่มีผู้ใดเสนอชื่อผู้อื่นเป็นคู่ชิง มติที่ประชุมมีความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์เลือกให้นางวิลาสินี เจริญสุข ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ พร้อมดำเนินการเลือกคณะกรรมการจนครบตามระเบียบของสมาคมฯ 

นางวิลาสินี เจริญสุข เป็นนักธุรกิจที่ประชาชนชาวมุกดาหารรู้จักกันดี เป็นอุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมุกดาหาร เป็นกรรมการหอการค้าจังหวัดมุกดาหาร และเป็นนายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดมุกดาหาร กระทั่งล่าสุด ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท.) และเป็นนายกหญิงคนแรกของสมาคมที่ก่อตั้งมากว่า 53 ปี 

นางวิลาสินี เจริญสุข กล่าวยืนยันพร้อมที่จะทำงานบริหารสมาคมฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่สืบทอดต่อกันมา โดยยึดหลักเพื่อสมาชิกทุกคน หลังการประชุมนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล อดีต นายกฯ และนายบรรหาร บุญเขต ที่ปรึกษาสมาคมฯ นายอำนาจ จงยศยิ่ง พร้อมคณะร่วมกันแสดงความยินดีกับนางวิลาสินี  เจริญสุข นายกฯ สื่อและ นักธุรกิจหญิงจากจังหวัดมุกดาหาร ได้รับตำแหน่งในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top