Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

ยูเครนรับร่างทหารกลับคืน 909 ราย ต่อเดือน พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มสงครามรัสเซีย

(21 เม.ย. 68) ​ตามรายงานจากสื่อต่างประเทศหลายแห่ง ระบุว่าในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน 2568 ยูเครนได้รับร่างทหารของตนกลับคืนจากรัสเซียจำนวน 909 ร่างในแต่ละเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์

ขณะเดียวกัน จำนวนทหารรัสเซียที่เสียชีวิตที่ถูกส่งตัวไปยังสหพันธรัฐรัสเซียก็ลดลงด้วย จาก 49 นายในเดือนมกราคมเป็น 41 นาย ในเดือนเมษายน 

การแลกเปลี่ยนร่างทหารที่เสียชีวิตระหว่างสองประเทศนี้สะท้อนถึงสถานการณ์ในสนามรบที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในภูมิภาคคูร์สก์ ซึ่งกองทัพรัสเซียได้เริ่มปฏิบัติการเชิงรุกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 

โดยสามารถตัดเส้นทางลำเลียงของยูเครนในเขตซูจานได้ และในวันที่ 8 มีนาคม ได้ใช้ยุทธวิธีเคลื่อนกำลังไปตามท่อส่งก๊าซ บุกเข้าตีแนวรับของยูเครนบางส่วนในรูปแบบกึ่งวงล้อม ทำให้ยูเครนต้องถอนกำลังออกจากฐานที่มั่นขนาดใหญ่หลายแห่งอย่างฉุกละหุก

คำให้การของทหารยูเครนที่ถูกจับเป็นเชลยระบุว่า การถอนกำลังเกิดขึ้นโดยไม่มีการวางแผนใดๆ ทหารหลายคนต้องทิ้งร่างเพื่อนร่วมรบเพื่อหนีเอาตัวรอด บางส่วนติดอยู่ในพื้นที่และถูกยิงเสียชีวิตหลังจากนั้น ในขณะที่โชคดีหน่อยก็ถูกจับเป็นเชลย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมยูเครนจึงได้รับร่างทหารกลับคืนเป็นจำนวนมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการแลกเปลี่ยนร่างทหารที่เสียชีวิตนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยมีการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ

สถิติเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงจำนวนผู้เสียชีวิตในสงครามเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมในสนามรบ ซึ่งฝ่ายที่รุกคืบหน้าจะมีโอกาสเก็บกู้ร่างทหารของฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่า ในขณะที่ฝ่ายที่ล่าถอยอาจต้องทิ้งร่างทหารของตนไว้ในพื้นที่ที่ถูกยึดครอง

สถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความสูญเสียที่ยังคงดำเนินต่อไปในสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย แม้จะมีความพยายามในการเจรจาและหยุดยิงในบางช่วงเวลา แต่ความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนทั้งสองฝ่าย

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุลอบวางระเบิดและกราดยิงในพื้นที่ จ.นราธิวาส เด็กและประชาชนบาดเจ็บหลายราย

วันที่ (21 เม.ย. 68) พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุความไม่สงบในจังหวัดนราธิวาส หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณสถานีตำรวจภูธรโคกเคียน และเหตุกราดยิงในพื้นที่บ้านฆอเลาะทูวอ อำเภอแว้ง ส่งผลให้เด็กและประชาชนได้รับบาดเจ็บรวมหลายราย

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 18.45 น. คนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณริมกำแพงหลังแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส แรงระเบิดส่งผลให้เด็กและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย รวมถึงเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 3-13 ปี ซึ่งเป็นบุตรหลานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะกำลังเดินทางไปเรียนอัลกุรอ่าน เจ้าหน้าที่ได้เร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และโรงพยาบาลกัลยาณิวัฒนาการุณย์

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์พ่วงข้างประกอบระเบิดแสวงเครื่องมาวางไว้บริเวณหลังรั้วแฟลต และหลบหนีไปก่อนก่อเหตุโดยมีการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ ในพื้นที่อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ยังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดกราดยิงใส่ประชาชนที่กำลังนั่งรับประทานอาหารหน้าบ้านเลขที่ 229/11 บ้านฆอเลาะทูวอ หมู่ที่ 7 ต.แว้ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแว้งและโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก เพื่อรับการรักษา

ด้านภรรยาของ ดาบตำรวจ อนุชา ศรีสุวรรณ์ หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เปิดเผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เมื่อทราบข่าวว่าสามีของตนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์คนร้ายกราดยิง ตนตกใจและแอบกลัวว่าสามีจะเกิดอันตราย ตนและลูกจึงได้รีบเดินทางมายังโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก เพื่อติดตามอาการของสามี และเมื่อทราบว่าอาการของสามีได้พ้นขีดอันตรายก็รู้สึกโล่งใจ พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้จะยุติลงเสียที โดยอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยปรองดองกัน หยุดความรุนแรง เพราะแม้ว่าเราจะมีวิถีชีวิตหรือความเชื่อที่ต่างกัน แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะเราก็คือคนไทยด้วยกัน อยากให้รักกัน เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต”

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความรุนแรงที่สร้างความหวาดกลัวและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน แม่ทัพภาคที่ 4 จึงได้กำชับและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดและรัดกุมยิ่งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ มาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นหูเป็นตา หากพบเบาะแสหรือบุคคลต้องสงสัย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร. 061-1732999 หรือสายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โทร. 1341 รวมถึงหน่วยเฉพาะกิจใกล้บ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยและคืนความสงบสุขให้กับประชาชนทุกคน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เผย ‘#กระทรวงดีอี’ ผลึกกำลัง ‘#ไมโครซอฟท์’ เปิดโครงการ ‘THAI Academy’ ยกระดับทักษะ AI คนไทย 1 ล้านคน ขับเคลื่อนประเทศสู่ยุค AI First

วันที่ (21 เม.ย 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการเปิดตัวโครงการ ‘THAI Academy ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย’ ซึ่งรัฐบาลไทย โดยกระทรวงดีอี ได้ผนึกกำลังร่วมกับ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินการขึ้นว่า  รัฐบาลไทยโดยกระทรวงดีอี มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับทักษะด้าน AI สำหรับคนไทย จึงได้ผนึกกำลังกับไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ ‘THAI Academy ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย’ ยกระดับพันธกิจการเสริมทักษะด้าน AI  ให้ครอบคลุมคนไทยกว่า 1 ล้านคน ภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับไมโครซอฟท์และพันธมิตรจากภาครัฐและภาคเอกชนรวมกว่า 35 องค์กร ในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศสู่ยุค AI First

นายประเสริฐ กล่าวว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวเดินและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งบนเวทีโลก รัฐบาลไทยได้วางแผนแม่บท AI แห่งชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพในหลายมิติ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI ให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางและทั่วถึง การร่วมกันเปิดตัวโครงการ THAI Academy ครั้งนี้ สอดคล้องเป็นอย่างดีกับแผนงานของภาครัฐในการจับมือกับผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยเร็วที่สุด

ด้าน นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐบาลไทย ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะ AI ให้กับคนไทย ภายใต้โครงการ THAI Academy ไมโครซอฟท์ มุ่งมั่นทำงานประสานกับหลากหลายหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เปิดโอกาสการเรียนรู้ทักษะ AI ให้กับคนไทยได้อย่างกว้างขวาง ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายยกระดับทักษะคนไทยมากกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2568 นี้

AI Skills Navigator แพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้าน AI เพื่อคนไทยทุกคน โดยจะรวบรวมหลักสูตรด้าน AI จากไมโครซอฟท์และพันธมิตร รวมกว่า 200 หลักสูตร เพื่อตอบโจทย์การฝึกทักษะ ทำความเข้าใจ และใช้ประโยชน์จาก AI ในหลากหลายสถานการณ์ นับตั้งแต่ผู้เริ่มต้นใช้งาน บุคคลทั่วไป คนทำงานเฉพาะทาง ไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีหลักสูตรไฮไลท์สำหรับผู้เริ่มเรียนรู้ใน 3 ระดับ ได้แก่ “AI Basics”ปูพื้นฐานตั้งแต่ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI ประวัติศาสตร์และที่มาเบื้องหลังนวัตกรรม และพื้นฐานในการเริ่มใช้งาน , “AI Skills for Everyone” หลักสูตรรวบรัดที่เจาะพื้นฐานการใช้งานเครื่องมือ AI บนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ในสถานการณ์ประจำวันอย่างถูกต้อง แม่นยำ และได้ผลจริง และ “Azure AI: Zero to Hero” เปิดประตูให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักศึกษาก้าวสู่โลกของคลาวด์และ AI อย่างเต็มตัว กับพื้นฐานในการสรรสร้างเครื่องมือและโซลูชันพลังงาน AI เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า คนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศ หากเรายังไม่เริ่มพัฒนาทักษะด้าน AI วันนี้ เราจะเสียโอกาสและถูกทิ้งห่างอย่างรวดเร็ว การพัฒนาทักษะด้าน AI ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและความก้าวหน้าในทุกภาคส่วนของประเทศ การลงทุนในทักษะ AI วันนี้ จะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ข้อมูลจาก LinkedIn ชี้ให้เห็นว่า 70% ของทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในอนาคตจะแตกต่างไปจากปัจจุบัน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเริ่มเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองผ่าน AI Skills Navigator ได้แล้ววันนี้ที่ https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th  โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากเนื้อหาทั้ง 200 หลักสูตรที่รวบรวมไว้ในที่เดียวแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามเป้าหมายและความสนใจที่แตกต่างกันไปของผู้เรียนแต่ละคน

นอกเหนือจากแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator แล้ว โครงการ THAI Academy ยังครอบคลุมความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในหลายมิติ โดยมีตัวอย่างโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง การจับมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบรายการ (กพร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร. / DGA) เพื่อพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับข้าราชการไทยกว่า 100,000 คน พร้อมร่วมกับ สพร. ในการจัดกิจกรรม “GovAI Hackathon” ที่เปิดให้บุคลากรภาครัฐจากทุกหน่วยงานมาร่วมแชร์แนวคิดการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย โดยกิจกรรมนี้เปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 , การจับมือกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เสริมทักษะ AI ให้แรงงานไทยและผู้ที่กำลังมองหางานทั่วประเทศ รวมกว่า 100,000 คน และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ฝึกอบรมทักษะเฉพาะทางด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับบุคลากรของ สกมช. และตัวแทนจากองค์กรที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศรวมกว่า 300 คน ควบคู่ไปกับการจัดอบรมทักษะด้าน AI และความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แก่นักเรียน-นักศึกษากว่า 10,000 คน

รวมทั้งร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพัฒนาทักษะ AI แก่บุคลากรครู 4,500 คน โดยถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจต่อไปยังนักเรียนอีกกว่า 400,000 คนทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ ได้ร่วมกับ สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) บรรจุเนื้อหาจากหลักสูตรพื้นฐานด้าน AI ของไมโครซอฟท์ไว้ในหลักสูตร AI Literacy หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ตามโครงการขับเคลื่อนการสอนปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในโรงเรียน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 และร่วมสร้างทักษะ AI ให้กับนักศึกษา ผ่านกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักศึกษาในสายวิชาด้านเทคโนโลยี เพื่อปั้นนักพัฒนารุ่นใหม่ เสริมตลาดแรงงานสาย AI ในไทยด้วยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถกว่า 50,000 คน

นอกจากนี้ยังร่วมมือกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตลาดหลักทรัพย์ ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในการขับเคลื่อนการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 20,000 คน

สบส. เผยอาคารนิทรรศการไทย พร้อมแสดงศักยภาพความพร้อมไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในงาน Expo 2025

(21 เม.ย. 68) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เผยอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion)  พร้อมแสดงศักยภาพสาธารณสุข และมนต์สเน่ห์ของไทยสู่สายตาชาวโลก ตอกย้ำความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในงาน Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan

นายแพทย์กรกฤช ลิ้มสมมุติ รองอธิบดีกรม สบส. ให้สัมภาษณ์ว่า  งาน Word Expo ถือเป็นงานนิทรรศการระดับโลกซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปี ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยงานมทกรรมโลก (Bureau of Intemational Exposition: BIE) โดยในปีนี้จัดขึ้น ณ นครโอชากา ประเทศญี่ปุ่น ในชื่อ Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรม สบส. เข้าร่วมจัดงานในระหว่างวันที่ 13 เมษายน - 13 ตุลาคม 2568 เพื่อแสดงศักยภาพด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก ผ่านการแสดงอาคารนิทรรศการไทย "ภูมิพิมาน ดินแดนแห่งภูมิคุ้มกัน" นำเสนอแนวคิดหลักในการจัดแสดงของประเทศไทย คือ "THAILAND Connecting Lives for Greatest Happiness" สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ ภายในอาคารนิทรรศการซึ่งจะนำเสนอนิทรรศการ จาก 1 สู่ 1,000,000 ผ่านการออกแบบอาคารนิทรรศการไทย ด้วยแนวคิด “ภูมิพิมาน” ซึ่งเป็นการรวมอัตลักษณ์ ภูมิไทย ผสานเข้ากับแนวคิดการออกแบบนิทรรศการที่สะท้อนความเป็นไทยแบบร่วมสมัย ซึ่งการจัดเตรียมงานอาคารนิทรรศการไทย ภายใต้งบประมาณ 973.48 ล้านบาท กรม สบส. ได้คำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างสูงสุด พร้อมกันนี้ก็ได้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดขององค์กรผู้จัดงาน และเทศบาลนครโอซากาอย่างเคร่งครัด  ซึ่งชาวต่างชาติที่เข้าเยี่ยมชมอาคารนิทรรศการไทยส่วนใหญ่ก็มีกระแสตอบรับที่ดี  ซึ่งในช่วงวันที่ 13 – 15 เมษายน 2568 มียอดผู้เข้าชมรวมทั้งสิ้น 18,076 คน และคาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้เข้าชมงานตลอด 6 เดือน ได้กว่า 3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนผู้เข้าชมงาน Expo 2025 ในภาพรวม ซึ่งจะทำให้นานาประเทศได้รู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อความพร้อมในการก้าวเช้าสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติของไทย

นายแพทย์กรกฤชฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แนวคิด “ภูมิพิมาน” แล้วภายในอาคารนิทรรศการไทยยังมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น การสาธิตสาธิตนวดไทย โดยหมอนวดไทยที่มีความเชี่ยวชาญเน้นแก้ไขกลุ่มอาการ Office Syndrome เพื่อเผยแพร่คุณค่าของศาสตร์นวดไทยที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก และกิจกรรมพิเศษอื่นๆ หมุนเวียน  รวม 184 วัน โดยจะมีการจัดพิธีเปิดอาคารนิทรรศการอย่างเป็นทางการ ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2568 ซึ่งตรงกับเดือนที่เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ และมีกิจกรรมพิเศษภายในงานเพื่อเฉลิมฉลองในวันดังกล่าว กรม สบส.จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องชาวไทยได้ร่วมส่งกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และหากมีโอกาสก็ขอเชิญเข้าร่วมเยี่ยมชมการจัดแสดงอาคารนิทรรศการไทย และหากท่านใดมีข้อเสนอแนะ กรม สบส. ก็ยินดีน้อมรับข้อเสนอแนะ และพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินงาน เพื่อสร้วงประสบการณ์ที่น่าจดจำ แก้ผู้ร่วมงานที่เดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลก

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน 

กองทัพเรือ เปิดกิจกรรมพลังงานสีเขียว (Green Navy Day 2025) ประจำปีงบประมาณ 2568

ในวันที่ (21 เม.ย. 68) พลเรือตรี ศุภสิทธิ์  บูรณะโอสถ เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ เข้าร่วมกิจกรรมพลังงานสีเขียว (Green Navy Day 2025) ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมี พลเรือเอก จิรพล  ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีกิจกรรม 3 ภารกิจหลัก ประกอบด้วย
    1. พิธีเปิดกิจกรรม ณ อาคารกองบัญชาการทหารเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เวลา 07.45 – 08.00 น.
    2.การทดลองใช้รถยนต์โดยสารพลังงานไฟฟ้า (BUS EV) เดินทางไปยังโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เวลา 08.00 – 08.30 น.
     3. พิธีเปิดการใช้งานระบบ Solar Rooftop ณ อาคารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เวลา 08.30 – 09.45 น

โดยกิจกรรมนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการแสดงเจตนารมณ์ของกองทัพเรือในการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบที่ดีด้านการบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังสร้างขวัญกำลังใจ และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการขับเคลื่อน ภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม ของกองทัพเรือให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืนต่อไป

#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ
#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา
#กรมการขนส่งทหารเรือ
#กองทัพเรือ

ตำรวจ ปส. ทลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ 

(21 เม.ย. 68) สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภาว่า ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจําหน่าย เน้นการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลําเลียงยาเสพติด ปราบปรามและยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ และข้อสั่งการของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นการปราบปรามแหล่งพักยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางที่จะส่งมายังกรุงเทพมหานคร ประกอบกับนโยบาย ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ซึ่งกําชับการปราบปรามยาเสพติด อย่างเร่งด่วน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./              ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข  รอง ผบ.ตร.(ปป)/ประธานอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติด
ในพื้นที่ตอนในและสกัดกั้นยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้,  พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา  ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร.

บช.ปส. โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย  ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน 
ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 - 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนี และยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ (21 เม.ย.68)  บช.ปส. ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร, นบ.ยส.35 และ ป.ป.ส. โดย 
พลตรีฉกาจ ขันตี ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, 
นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ  รองเลขาธิการ ป.ป.ส. สำนักงาน ป.ป.ส. โดยจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. จำนวน 2 คดี ผู้ต้องหา 2 คน รถยนต์ของกลาง 2 คัน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 13,200,000 เม็ด ดังนี้

บก.ปส.3
กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่, สำนักงาน ป.ป.ส., นบ.ยส.35 เฝ้าระวังการลักลอบลำเลียงยาเสพติดพื้นที่ตามแนวชายแดนภาคเหนือ โดยมีผลปฏิบัติการสกัดกั้น และปราบปราม
ยาเสพติดรายสำคัญ ตามนโยบายรัฐบาล “Seal Stop Safe” จำนวน 2 คดี ดังนี้

(ผู้นำเสนอ : พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 ปส.3)
คดีที่ 1 (ยาบ้า 12,000,000 เม็ด)    
    เจ้าหน้าที่ นปส.เชียงใหม่ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ เพื่อนำส่งให้กับเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ จึงได้เฝ้าระวัง กระทั่งวันที่ 
7 เม.ย.68 พบความเคลื่อนไหวรถกระบะกลุ่มบุคคลในเครือข่ายอยู่บนถนนโชตินา เขตพื้นที่ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ โดยเข้าไปในพื้นที่หมู่บ้านกลุ่มชาติพันธุ์ จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์ ต่อมาวันที่ 8 เม.ย.68 รถกระบะคันดังกล่าวได้ขับออกมา ซึ่งมีการบรรทุกกะหล่ำปลีเต็มท้ายกระบะ และรถมีลักษณะน้ำหนักมากผิดปกติ  มุ่งหน้า อ.แม่แตง 
จว.เชียงใหม่ เมื่อรถกระบะมาถึงบริเวณด่านตรวจยาเสพติด แก่งปั้นเต้า ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวทำการตรวจค้น พบผู้ต้องหาจำนวน 1 คน พร้อมยาบ้าประมาณ 12,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ท้ายกระบะโดยมีกะหล่ำปลีปกปิดอำพราง จึงได้นำตัวผู้ต้องหาและของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 (ยาบ้า 1,200,000 เม็ด)    
เมื่อวันที่ 10 เม.ย.68 นปส.เชียงราย กก.2 บก.ปส.3 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 1 คน พร้อมยาบ้า 1,200,000 เม็ด ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่ากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติด บ้านผาหมี อ.แม่สาย 
จว.เชียงราย จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.แม่สาย จว.เชียงราย เพื่อนำส่งให้กับเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ จึงได้เฝ้าระวังกระทั่งพบรถกระบะของกลุ่มเครือข่ายขับออกมาจากหมู่บ้านผาหมี มุ่งหน้าไปตัว อ.แม่สาย จว.เชียงราย จึงได้ทำการติดตามกระทั่งรถกระบะคันดังกล่าวเข้าไปจอดบริเวณลานจอดรถ
ของห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาแม่สาย จว.เชียงราย
ต่อมามีชาย 2 คน ได้เดินมาที่รถกระบะและจะขับออกจากสถานที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัว
ขอตรวจค้น ชายคนขับได้เปิดประตูรถ และหลบหนีไปยังด้านหลังของห้างสรรพสินค้า จึงได้จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 คน (ผู้เยาว์) ซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ และของกลางยาบ้า 1,200,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง จึงได้นำตัวผู้ต้องหาและของกลางส่งพนักงานสอบสวนฯ บก.ปส.3 จะได้ทำการขยายผลเพื่อติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนีต่อไป

พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส. เปิดเผยว่า ปฏิบัติการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร.
ที่ได้มอบนโยบายให้ บช.ปส. ดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง การดำเนินการดังกล่าว มุ่งเน้นการกดดันและทำลายเครือข่ายยาเสพติดทั้งในระดับผู้ค้ายารายใหญ่และรายย่อย ตลอดจนเร่งรัดขยายผลไปยังกลุ่มผู้ให้การสนับสนุน รวมถึงเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้อง และจากสถิติผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึง ปัจจุบัน ทั่วประเทศสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้จำนวนทั้งสิ้น 136,189 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติดเป็นยาบ้า จำนวน 566,622,422 เม็ด, ไอซ์ 30,334.51 กิโลกรัม, เฮโรอีน 896.07 กิโลกรัม, คีตามีน 4,068.51 กิโลกรัม และยาอีจำนวน 123,087 เม็ด รวมทั้งสามารถดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดได้รวมมูลค่ากว่า 5,301,456,966 บาท

สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - ปัจจุบัน สามารถจับกุมขบวนการ
ค้ายาเสพติดทุกคดีได้ 679 คดี ผู้ต้องหา 680 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 194,410,158 เม็ด, 
ไอซ์ 12,526.44 กก., เฮโรอีน 205.01 กก., คีตามีน 710 กก. และยาอี 581 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 1,566,813,230 บาท

ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ฝ่าทุกนาทีวิกฤต รับช่วงต่อ นำ 2 หัวใจ จากอุดรธานี และสงขลา ที่เหินฟ้าฝ่าสายฝน ส่งต่อลมหายใจเข้ากรุงเทพมหานคร 

วันนี้ (19 เม.ย.68) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชมเชย พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.50 น.ได้นำทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนนำส่งหัวใจดวงที่ 123 และ 124 จากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ภายในระยะเวลาติดกันอย่างเฉียดฉิว ซึ่งถือเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยความกดดัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาและการเดินทางที่ต้องประสานงานอย่างแม่นยำ ในการส่งต่อชีวิตให้กับผู้รอคอยหัวใจ 2 ดวงนี้ได้มีชีวิตใหม่กับหัวใจที่แข็งแรง 

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญในการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรเพื่อส่งต่ออวัยวะช่วยชีวิต ยังคงเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริยึดถือและดำเนินการมาโดยตลอด และต้องชมเชยตำรวจจราจร สภ.เมืองอุดรธานี , ตำรวจจราจร สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา , นักบิน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ช่วยในภารกิจนี้ และอำนวยความสะดวกจราจรลำเลียงหัวใจจากโรงพยาบาลต้นทางนำส่งถึงสนามบินด้วยความรวดเร็วด้วยเช่นกัน

สำหรับหัวใจดวงที่ 123 ได้รับแจ้งจากสภากาชาดไทยขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริสนับสนุนการนำส่งหัวใจจากจังหวัดอุดรธานี โดยใช้ "นางฟ้าส่งหัวใจ" คุณอรวิภา นกนทีสวัสดิ์ นางสาวไทย2552 รับหน้าที่นักบินอาสานำหัวใจดวงนี้ส่งมาทางเครื่องบินส่วนตัวลงจอดที่ฝูงบิน 604 กองบิน 6 ดอนเมือง ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้การเดินทางล่าช้า ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงจึงถึงที่หมาย และเมื่อคำนวณเวลาเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีระยะทางไกลและการจราจรหนาแน่น ทีมแพทย์ระบุว่ามีเวลานำส่งเพียง 30 นาทีเท่านั้น ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริจึงเร่งเตรียมกำลังพร้อมอำนวยการจราจรทันทีที่หัวใจเดินทางถึง

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งภารกิจด่วนอีกภารกิจหนึ่ง คือการนำส่งหัวใจดวงที่ 124 ซึ่งจะเดินทางจากโรงพยาบาลหาดใหญ่มายังกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 473 ไมล์ โดยใช้เครื่องบินส่วนตัวเช่นกัน ใช้เวลาทำการบิน 2 ชั่วโมง จะลงจอดที่อาคารผู้โดยสาร MJets สนามบินดอนเมือง โดยมีกำหนดการห่างจากหัวใจดวงแรกเพียง 15 นาที และจะต้องนำส่งไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ด้วยสถานการณ์ที่หัวใจทั้งสองดวงมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันและต้องส่งไปยังคนละโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริจึงวางแผนแบ่งกำลังออกเป็นสองขบวน นำโดยหน่วยจักรยานยนต์เคลื่อนที่เร็ว พร้อมวางแผนเส้นทางล่วงหน้า และรับการสนับสนุนจากตำรวจจราจรในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถนำส่งหัวใจดวงที่ 123 ถึงโรงพยาบาลศิริราชภายในเวลา 23 นาที (เหลือเวลาให้ทีมแพทย์วิ่งสุดชีวิตนำหัวใจลงจากรถวิ่งตรงไปยังห้องผ่าตัดเพียง 7 นาที เท่านั้น) และหัวใจดวงที่ 124 ถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ภายในเวลาเพียง 11 นาที ทั้งสองภารกิจสำเร็จลุล่วงทันเวลาให้แพทย์สามารถดำเนินการปลูกถ่ายได้ทันที

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ภารกิจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจนักสู้ของเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่พร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อเปิดเส้นทางให้ลมหายใจของผู้อื่นได้เดินทางต่อ พร้อมกันนี้ขอขอบคุณผู้บริจาคอวัยวะทุกท่าน ที่เสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์แม้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน และขอชื่นชมความทุ่มเทของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ที่สามารถวางแผนและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ความกดดันสูง  หัวใจทั้ง 123 และ 124 ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์แห่งชีวิตใหม่ แต่คือภาพแทนของความเสียสละ ความร่วมมือ และหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของทุกคนที่มีส่วนในภารกิจครั้งนี้

เริ่มแล้ว!! สนุกสุดเหวี่ยง ไม่เสี่ยงภัย “ตำรวจภูธรภาค 2” เปิด 14 เซอร์วิสเลน แผนฉุกเฉิน “วันไหลพัทยา”

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ (19 เม.ย. 68) ที่ โรงเรียนเมืองพัทยา 8 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง รอง ผบช.ภ.2  พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรีพล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผบก.ทท.1 ร่วมปล่อยแถวตำรวจ และอาสาสมัคร ร่วมดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน และนักท่องเที่ยวในงานวันไหลพัทยา เทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2568 โดยมี พ.ต.อ.อำนาจ โฉมฉาย รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.อ.พาติกรณ์ ศรชัย รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี  พ.ต.อ.วสุรัชย์ ชัยธีราพัฒน์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.ชาตรี สุขศิริ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.พัฒนา รอบรู้ ผกก.สภ.นาจอมเทียน พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.อ.ทรงวุฒิ เชื้อพลากิจ ผกก.2 บก.ทท.1 ร่วมด้วย

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวทยอยเข้าพื้นที่จำนวนมาก และคาดว่าในช่วงค่ำไปจนถึงดึกจะเป็นช่วงพีกที่นักท่องเที่ยวเต็มพื้นที่หลายหมื่นคน ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์และชมคอนเสิร์ตของศิลปินจำนวนมาก โดยวันนี้ได้กำชับถึงการปฏิบัติหน้าที่เน้นการดูแลความปลอดภัย ให้บริการ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ขณะเดียวกันต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน ทุกฝ่ายที่ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อเทศกาลแห่งความสุข สร้างความประทับใจ และความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

“งานวันไหลพัทยาเป็นเทศกาลสำคัญ นักท่องเที่ยวเดินทางมาจำนวนมาก ตำรวจภูธรภาค 2 โดยตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี มีความพร้อมทั้ง คน ระบบ และเทคโนโลยี ในการดูแลความปลอดภัย โดยต้องขอบคุณเมืองพัทยาในการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ ประสาน ร่วมกันทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือสร้างความมั่นใจ สร้างความประทับใจ” ผบช.ภ.2 กล่าว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวด้วยว่า งานเทศกาลที่มีคนรวมตัวจำนวนมาก เราเตรียมแผนฉุกเฉิน พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และที่สำคัญในงานวันไหลพัทยาปีนี้ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีได้ปิดการจราจรกว่า 2 กิโลเมตร มีเซอร์วิสเลน หรือช่องทางพิเศษฉุกเฉินสำหรับการขนส่ง  14 ช่องทาง กั้นเป็นพื้นที่ว่างไว้ 1 ช่องจราจร ในถนนพัทยากลาง ถนนเลียบชายหาดซอย 7 – 13/4 ถนน พัทยาใต้ และปิดการจราจรขาลงหาด ปรับเป็นช่องทางฉุกเฉิน เพื่อเป็นช่องทางสำหรับการลำเลียงคนทางการแพทย์ หรือการเคลื่อนเข้าพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ กรณีมีเหตุฉุกเฉิน  เช่น มีผู้ป่วย หรือผู้ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นขอความร่วมมือประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวงานวันไหลพัทยา ให้เว้นพื้นที่ไว้ตามคำแนะนำ และการประชาสัมพันธ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถติดตามการจราจรโดยรอบพื้นที่พัทยา ตรวจสอบสถานการณ์ เส้นทางจราจรทางเลี่ยงทางหนาแน่น ทางเพจเฟซบุ๊ก ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี  และตรวจสอบกล้องวงจรปิดของเมืองพัทยา แบบเรียลไทม์ ที่ https://ioc.pattaya.go.th/live-cctv หรือ https://liff.line.me/1655268398-0VWZRdqz/live-cctv หากมีเหตุด่วนขอความช่วยเหลือให้แจ้งตำรวจที่อยู่ใกล้ท่าน หรือโทร. 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ทร. ส่ง ”น้องเต่าสีชัง“ (เต่าตนุ) คืนสู่ท้องทะเลไทย

วันที่ (20 เม.ย.68) เวลา พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมภริยา ให้การต้อนรับ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ และ นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในโอกาสเดินทางมาปล่อย “น้องเต่าสีชัง” คืนสู่ธรรมชาติ

โดยมี คณะจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผู้บังคับบัญชา หัวหน้าหน่วยขึ้นตรง หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เข้าร่วมกิจกรรมฯ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 (ระยอง) พบ “เต่าตนุ” (น้องเต่าสีชัง) ที่บริเวณเกาะสีชัง เป็นเต่าตนุ เพศเมีย อายุประมาณ 35 - 40 ปี น้ำหนัก 101.3 กิโลกรัม ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหัว และกระดองด้านหน้ามีรอยถูกกระแทก บริเวณกระดองส่วนท้าย ถูกใบจักรเรือฟัน มีรอยแตกเป็นแผลฉกรรจ์

โดยเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 (ระยอง) ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่จาก ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ ไปรับเต่าทะเล ที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อนำมารักษา ณ โรงพยาบาลเต่าทะเล ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ

ปัจจุบัน ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ และติดไมโครชิพ หมายเลข 933071000284031 เพื่อเตรียมพร้อมที่จะปล่อยน้องเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติต่อไป โดยการรักษา “น้องเต่าสีชัง” (เต่าตนุ) ในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการร่วมมือกันระหว่าง กองทัพเรือ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการรักษา “เต่าตนุ” ให้คงอยู่คู่ท้องทะเลไทย ตลอดไป

ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ โดย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นหน่วยรับผิดชอบ ในการอนุบาลเต่าทะเล ให้แข็งแรงก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ให้คงอยู่คู่ท้องทะเลไทย 

ซึ่งทางศูนย์ มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยสำหรับอำนวยความสะดวกให้กับสัตวแพทย์ และนับเป็นโรงพยาบาลเต่าทะเลแห่งแรกในเอเชีย โดยกองทัพเรือ ได้กำหนดชื่อโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า โรงพยาบาลเต่าทะเล ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ 

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

‘กรรมการ ททท.’ ชี้!! ‘รัฐ - เอกชน’ ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น ดึงดูด!! นักท่องเที่ยว ทั้งกลุ่ม ‘ตลาดยุโรป – จีน – มาเลเซีย – เกาหลีใต้ – ญี่ปุ่น – ไต้หวัน’ โกยเงินเข้าประเทศ

(20 เม.ย. 68) นายกิตติ พรศิวะกิจ กรรมการ ททท. ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

ท่องเที่ยวไทยกับโลก 2 ใบ

โลกใบแรก 
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ึคนไทยคุ้นเคย จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ซึ่งติด Top 10 ในปีก่อนๆ 2 เดือนนี้ ติดลบ 30-50% อาการหนัก โดนทุบซ้ำๆ ทั้งจาก เรื่องความปลอดภัย แผ่นดินไหว กำแพงภาษี และคู่แข่ง

โลกใบที่สอง 
ตลาดยุโรป ทั้ง Russia UK Germany France US ตะวันออกกลาง ไปจนถึง เอเชียกลาง (คาซัคสถาน ) เอเซียใต้ ( อินเดีย ) ปีก่อนต่างก็ทำ New High + 100% เทียบกับปี 2019 และยังบวกต่อเนื่องในปีนี้

ถ้าเรามองตัวเลขนักท่องเที่ยว Weekend แรกหลังสงกรานต์ ในวันพฤหัสบดี-เสาร์ ที่ 17-19 เม.ย. 2568
17/4 82,926 คน
18/4 94,827 คน
19/4 80,996 คน

จะเห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ไวกว่าที่คาด และผลกระทบจากแผ่นดินไหว กับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Hi-Spending และ Long Hual แทบจะไม่มีผลเลย

โจทย์ที่ทั้งรัฐและเอกชนต้องช่วยกันคือ การสร้างความเชื่อมั่นและแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีใต้ ที่กำลังหันไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ทั้งจากเรื่องความปลอดภัย ค่าเงินเยน และงาน Expo 2025 ที่ Osaka ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ 13 เมษายน - 13 ตุลาคม 2025 ที่คาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมกว่า 28 ล้านคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top