Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

บาร์บีคิวพลาซ่าปล่อยหมัดเด็ด!! เปิดตัว ‘หมูปุ้งจิ่มเปิดใจ’ จิ้มจุ่มสไตล์ใหม่ เริ่มต้นแค่ 159 บาท

ลองกันยัง? บาร์บีคิวพลาซ่าเขามีจิ้มจุ่มละนะ ชุดหมูปุ้งจิ่มเปิดใจ เริ่มต้นชุดละ 159.- ในเซตประกอบไปด้วย หมูซอสแจ่ว ชุดผัก เครื่องสมุนไพร น้ำจิ้มแจ่ว 2 ถ้วย (น้ำจิ้มเติมได้ไม่อั้น)

หลายคนเสียดายที่ชาติเรา ‘ไม่เก่งภาษาอังกฤษ’ เพราะเรา ‘ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม’ คุ้มไหม!! ต้องตกเป็น ‘ขี้ข้า’ เพื่อจะเก่งภาษาของชาติอื่น อยู่ใต้เงาของเขาตลอดไป

(19 เม.ย. 68) เพจ ‘Bangkok I Love You’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

มีคนบอกว่าเสียดายที่เราไม่เก่งอังกฤษเพราะเราไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่แอดจะบอกว่า หากประเทศไทยตกเป็นอาณานิคมตะวันตกวันนั้น วันนี้ เราคงถูกแบ่งแยกเป็นเหนือ กลาง ใต้ และอีสาน และคงไม่มีประเทศไทยที่มั่นคงเหมือนทุกวันนี้ คนที่พูดพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ ???

หากประวัติศาสตร์เดินไปในเส้นทางที่แตกต่างออกไป และประเทศไทยต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เช่น อังกฤษหรือฝรั่งเศส ผลลัพธ์ในปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล หนึ่งในผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ การแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นหลายดินแดน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในอินโดจีน พม่า หรืออินเดียในอดีต

1. นโยบาย 'แบ่งแยกและปกครอง' ของอาณานิคม
ประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมมักถูกแบ่งแยกออกเป็นเขตปกครองต่าง ๆ ตามเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หรือภูมิศาสตร์ เพื่อให้อำนาจอาณานิคมสามารถควบคุมดินแดนได้ง่ายขึ้น อังกฤษและฝรั่งเศสใช้วิธีนี้กับอินเดีย พม่า เวียดนาม และลาว ซึ่งทำให้เกิดเส้นแบ่งที่ยังคงมีผลกระทบถึงปัจจุบัน

หากไทยตกเป็นอาณานิคม ก็อาจถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน เช่น

ภาคเหนือ อาจถูกควบคุมร่วมกับพม่า หรือกลายเป็นรัฐอิสระที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ

ภาคอีสาน อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน รวมเข้ากับลาว

ภาคกลาง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ อาจกลายเป็นศูนย์กลางของการปกครองอาณานิคม

ภาคใต้ อาจถูกผนวกเข้ากับมลายูภายใต้การปกครองของอังกฤษ

2. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
หากประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็นหลายเขตปกครอง เอกลักษณ์ความเป็น 'ไทย' อาจไม่เป็นหนึ่งเดียวอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ภาษาที่ใช้ วัฒนธรรม และแม้แต่ศาสนาอาจมีความแตกต่างกันมากขึ้น บางพื้นที่อาจใช้ภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษเป็นภาษาราชการแทนภาษาไทย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในเวียดนามและมาเลเซีย

นอกจากนี้ ศิลปะ วรรณกรรม และประเพณีของไทยก็อาจถูกแทรกแซงหรือกลายเป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานกับอิทธิพลตะวันตกมากขึ้น อาจมีระบบการศึกษาแบบอังกฤษในภาคกลาง และระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสในภาคอีสาน เป็นต้น

3. ผลกระทบต่อการรวมชาติเพื่อเอกราช
หากไทยถูกแบ่งเป็นหลายดินแดน การรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องเอกราชอาจเป็นเรื่องยากขึ้น เหมือนที่เกิดขึ้นในอินเดีย ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะรวมกันเป็นประเทศเดียว หรืออย่างพม่า ที่มีชนกลุ่มน้อยแยกตัวออกมาต่อต้านรัฐบาลกลางอยู่จนถึงปัจจุบัน

ภาคเหนืออาจมีขบวนการชาตินิยมของตนเอง ภาคใต้ก็อาจได้รับอิทธิพลจากมลายู และอาจมีความพยายามแยกตัวเป็นเอกราช ภาคอีสานอาจใกล้ชิดกับลาวมากขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอินโดจีนของฝรั่งเศส เหล่านี้ล้วนเป็นไปได้ หากไทยไม่สามารถรักษาอิสรภาพของตนเองไว้ได้

นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่า การแบ่งแยกดินแดนที่เกิดขึ้นจากอาณานิคมนำไปสู่สงครามกลางเมืองในหลายประเทศ เช่น:

อินเดียและปากีสถาน ที่เกิดการแบ่งแยกประเทศหลังได้รับเอกราช ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างศาสนาและเชื้อชาติ

เวียดนาม ที่ถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ก่อนจะเกิดสงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อ

รวันดาและซูดาน ที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันเป็นผลมาจากนโยบายแบ่งแยกของอาณานิคม

พม่า ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ก่อความไม่สงบต่อรัฐบาลกลางจนถึงปัจจุบัน

4. ไทยอาจไม่มีอยู่ในแผนที่โลกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
การตกเป็นอาณานิคมอาจทำให้เส้นเขตแดนของประเทศไทยถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยอาจไม่สามารถรวมตัวเป็นประเทศเดียวได้ แต่ถูกแบ่งออกเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจต่างชาติ เส้นแบ่งแยกนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างภูมิภาคไปตลอด เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในบางประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาก่อน

การที่ไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ในอดีต ทำให้เรายังเป็นประเทศที่มีอัตลักษณ์เป็นเอกภาพ ไม่ถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายดินแดนเหมือนอินโดจีนหรือพม่า หากไทยตกเป็นอาณานิคมวันนั้น วันนี้ เราอาจไม่มีคำว่า “ประเทศไทย” อยู่บนแผนที่โลก อาจกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ หลายแห่งที่แตกต่างกันทางวัฒนธรรมและภาษา ความเป็นไทยที่เรารู้จักอาจไม่มีอยู่ หรืออาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายอัตลักษณ์ที่แยกจากกันไปตามการปกครองของอาณานิคม

5.สมบัติชาติและทรัพยากรจำนวนมหาศาลของเราจะถูกนำกลับไปยังประเทศเจ้าอาณานิคม เช่น พระแก้วมรกต อาจจะโชว์ในบริติชมิวเซียม หรือพระพุทธชินราช อาจจะถูกนำไปประดับพิพิธภัณฑ์ลูฟเป็นต้น

ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่เราเป็นอิสระ ไม่ใช่อาณานิคมของชาติตะวันตก จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ไทยสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ และยังสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้โดยไม่ต้องอยู่ใต้เงาของมหาอำนาจจากภายนอก
อ่านจบแล้วตอบอีกที พร้อมจะแลกไหม??

ปลุก!! คนไทย ให้ต่อต้าน การทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนเอาใจใส่ ‘การรัก-เลิกกัน’ ของดารา

(19 เม.ย. 68) นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ระบุว่า …

ถ้าสังคมไทย นักจัดรายการดัง ๆ ทางโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ 
สนใจ เอาใส่ใจ ช่วยกันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ของนักการเมือง ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ 

เหมือนกับการเอาใจใส่เรื่องการคบกัน หรือเลิกรักร้างรากันแล้ว ของเหล่าดารา ศิลปินทั้งหลาย ประเทศไทยต้องดีกว่า ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแน่นอน

‘ผู้สร้าง 2475’ ลั่น!! ต้องรับผิดชอบต่อคำพูด หลังศาลรับฟ้อง ‘ประชาไท’ หมิ่นประมาท

(19 เม.ย. 68) เพจ iLaw รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องคดีที่บริษัท นาคราพิวัฒน์ จำกัด ผู้ผลิตแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องเว็บไซต์ประชาไทและผู้แชร์ข่าว รวม 6 ราย ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1)

คดีดังกล่าวเกิดขึ้นจากโพสต์ของเพจประชาไท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ซึ่งระบุว่า “ผ่านไป 1 วัน ยอดวิวแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ ทะลุ 3 แสน ขณะที่เช็คผ่าน ACT AI พบเจ้าของแอนิเมชันรับโครงการทำสื่อแบบวิธีเฉพาะเจาะจง 11 สัญญา ระหว่าง 2563 ถึง 2565” โดยมีภาพประกอบสรุปประเด็นเดียวกัน

โจทย์เห็นว่าข้อความดังกล่าวอาจชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐในการผลิตโดยตรง ซึ่งไม่เป็นความจริง และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต

ภายหลัง iLaw เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับคำสั่งรับฟ้อง นาย วิวัธน์ จิโรจน์กุล เจ้าของบริษัท นาคราพิวัฒน์ จำกัด และเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทของแอนิเมชัน ได้โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า

> “ก็ถ้าคนอ่านข่าวเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก แสดงว่าต้นทางข่าวทำให้เข้าใจผิดไงครับ… ควรถามประชาไทดูนะครับ ว่าตอนไต่สวนมูลฟ้อง พยานให้เหตุผลอะไร ทนายไปพูดแบบไหน ศาลจึงตัดสินใจรับฟ้อง คือมันมีมูลเหตุให้ ‘ศาลรับฟ้อง’ ไง... ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของหลักฐานที่จะนำสืบกันต่อไปครับ”

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาไทเคยนำเสนอเนื้อหาในประเด็นนี้แล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม หลังศาลมีคำสั่งรับฟ้อง และล่าสุดทาง iLaw ได้นำเสนอซ้ำในลักษณะที่ใกล้เคียงเดิม

ในช่วงท้ายของโพสต์ นายวิวัธน์ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก โดยระบุข้อความเต็มว่า

> **“เสรีภาพในการแสดงออกไม่ใช่ใบอนุญาตให้ทำร้ายใครโดยไม่ต้องรับผิดชอบ
การอ้างเสรีภาพเพื่อปกป้องการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยข้อมูลบิดเบือน คำพูดชี้นำ หรือการเผยแพร่โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสิทธิขั้นพื้นฐานนี้

เสรีภาพนั้นมีคุณค่า เพราะอยู่ภายใต้กรอบของความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพราะใครอยากพูดอะไรก็พูดได้โดยไม่ต้องใส่ใจผลกระทบต่อผู้อื่น

ถึงเวลาแล้วที่สังคมควรแยกให้ออกระหว่าง ‘เสรีภาพ’ กับ ‘การละเมิด’ เพราะถ้าเราใช้สิทธิเพื่อกดทับสิทธิของคนอื่น สังคมที่ควรเปิดกว้าง ก็จะกลายเป็นพื้นที่แห่งความอยุติธรรมที่ถูกอ้างด้วยชื่อของประชาธิปไตย”**

ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาต่อไป

เมื่อความประมาทบนถนน!! กลายเป็น ‘บาดแผล’ ในใจสังคม เกิดคำถาม ถึงคนในบ้าน ต้องสร้างคนรุ่นใหม่ ให้มีวุฒิภาวะ เข้าใจการเคารพผู้อื่น ไม่ใช่แสดงอำนาจ อวดบารมี

เหตุการณ์รถยนต์ BMW ป้ายแดงขับเบียดรถกระบะบนทางด่วน จนทำให้ผู้สูงวัยสองท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นเรื่องสะเทือนใจและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม เมื่อมีการเปิดเผยภายหลังว่า ผู้ขับขี่เป็นลูกชายของนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง

ประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่อุบัติเหตุบนท้องถนนเท่านั้น หากแต่คือสิ่งที่สังคมสะท้อนกลับว่า "การกระทำของลูกคนหนึ่ง อาจส่งผลกระทบถึงศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของทั้งครอบครัวโดยเฉพาะผู้เป็นพ่อแม่"

การที่บุตรหลานของผู้มีตำแหน่งทางการเมืองมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ย่อมทำให้คนทั่วไปตั้งคำถามถึงการเลี้ยงดู และคุณธรรมที่ครอบครัวนั้นยึดถือ ถึงแม้ผู้เป็นพ่อจะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบทั้งต่อชื่อเสียงและหน้าที่การงาน

สังคมไทยยังคงให้ความสำคัญกับ 'เกียรติ' ของครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้นำชุมชนหรือผู้มีอำนาจ ดังนั้นพฤติกรรมใด ๆ ที่หลุดจากกรอบของความมีวินัย ความเคารพต่อกฎหมาย และความรับผิดชอบ ย่อมกลายเป็นประเด็นรุนแรงในสายตาสาธารณชน

ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้เตือนสติ ไม่ใช่เพื่อตำหนิหรือซ้ำเติม หากแต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า การมีลูกหลานเติบโตมาในโลกที่หมุนเร็ว มีทั้งแรงกดดันและค่านิยมมากมาย พ่อแม่ควรใส่ใจในการปลูกฝังความรับผิดชอบมากกว่าความเก่งกล้า และความถ่อมตนมากกว่าความกล้าได้กล้าเสีย

ลูกก็คือตัวแทนของครอบครัว หากเขาล้ม ก็เหมือนบ้านสะเทือน และถ้าสังคมเห็นว่าเขาไม่ยืนอยู่บนความถูกต้อง คนในบ้านก็ย่อมถูกตั้งคำถามไปด้วย — แม้จะไม่ได้ทำผิดด้วยก็ตาม

ขอให้เหตุการณ์นี้ไม่จบลงแค่ในห้องพิจารณาคดี แต่เป็นบทเรียนที่ขยายไปถึงทุกบ้าน เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่รู้เท่าทันตนเอง เคารพผู้อื่น และไม่ใช้ชีวิตบนท้องถนนเป็นเวทีแสดงอำนาจใด ๆ อีกต่อไป

ไทยพาวิลเลี่ยน ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ราชการ’ ชาวเน็ต ฟาด!! ผิดหวัง เทียบ ‘ชัยวุฒิ’ อดีต รมว.ดีอี ยุค ‘ลุงตู่’ ปั้นขึ้นอันดับ 4 ทะลุ 2.35 ล้านคน ที่ดูไบ

(19 เม.ย. 68) ‘World Expo’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘International Registered Exhibitions’ ถือเป็นงานเมกะอีเวนท์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ซึ่งทุกๆ ชาติจะมารวมตัวกัน และจัดแสดงความรู้ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม โดยเป็นเวทีระดับโลก ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาล บริษัท องค์กรระหว่างประเทศ และประชาชน ในการพยายามแสวงหาความรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อที่จะให้มนุษยชาติ มีการพัฒนาไปสู่ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 

งานนี้จัดขึ้นครั้งแรกที่ลอนดอน เมื่อปี 1851 และก็ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ 5 ปี ซึ่งในปี 2020 นั้น มีการจัดขึ้นที่ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยใช้ชื่องานว่า ‘World Expo 2020 Dubai’ 

งานในครั้งนั้น ‘ประเทศไทย’ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 4 รองจากซาอุดิอาระเบีย ปากีสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (จากการเก็บข้อมูลสถิติของ Google Public) มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลกันเข้ามาเยี่ยมชม ‘บูธนิทรรศการของคนไทย’ ทะลุ 2.35 ล้านคน ได้รับคำชมจากทั่วโลก รวมทั้งได้รับรางวัล Honorable Mention ประเภท Editor's Choice Award จากนิตยสาร Exhibitor Magazine ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรมการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ทั่วโลก งานในปี 2020 นั้น ได้จัดขึ้นโดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นแม่งาน ภายใต้นโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมทั้งการสนับสนุนจากหน่วยงานภาคเอกชน ในการจัดแสดงนวัตกรรมดิจิทัล เทคโนโลยีดิจิทัล สินค้าฝีมือคนไทย โดยนำเสนอศักยภาพในทุกมิติของประเทศไทย เน้นสร้างความเชื่อมั่นให้ นานาประเทศได้เห็นถึงความพร้อมด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล นวัตกรรมดิจิทัลของไทย รวมทั้งศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจดิจิทัล และผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย ในการเปลี่ยนผ่าน สู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation)

และเมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา งานนี้ก็ได้จัดขึ้นอีกครั้งในชื่อ ‘World Expo 2025 Osaka Kansai’ ที่ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ก็ได้มอบหมายให้ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบจัดงาน 

จากความสำเร็จที่ผ่านมา โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เป็นหัวเรือหลัก ย่อมส่งผลให้คนทั้งโลกคาดหวังกับประเทศไทย ในการจัดบูธนิทรรศการ 

แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ...

‘อาคารนิทรรศการไทย’ (Thailand Pavilion) ในพื้นที่ A13 โซน Connecting Lives ซึ่งปีนี้มาภายใต้ธีม ‘Thailand Empowering Lives For Greatest Happiness’ สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ ในการจัดแสดงนิทรรศการ ‘วิมานไทย (VIMANA THAI)’ นำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่น และนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากภูมิปัญญาไทยในแนวคิด ‘SMILE’

เมื่องานนิทรรศการได้เริ่มต้นขึ้น หลายคน ‘อึ้ง’

เพราะภาพที่ได้เห็น มันคืองานที่ ‘ต่ำกว่ามาตรฐาน’ หลายคนเริ่มตั้งคำถาม นี่คือ การใช้เงินงบประมาณของชาติ ‘เกือบพันล้านบาท’ แต่กลับได้เหมือนงานโอท็อป (OTOP) เป็น ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ’

โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ดร.อัญชลิน พรรณนิภา’ ประธานกรรมการบริหาร และประธานบริษัท บริษัท TQM โพสต์วิพากษ์พาวิลเลียนไทยใน Expo 2025 ว่า …

Osaka Expo & Thai Pavillion
เมื่อวานได้เขียนถึง การไปเยี่ยมชมบูธของไทย ( พร้อมความผิดหวังอย่างแรง ) กับ เพื่อน ๆ ครอบครัว และ คนไทย ( ที่มีเสียงบ่น ) อีกมากมายว่า
….ทำได้แค่นี้เองหรือ ??
…เหมือนงาน นิทรรศการโรงเรียน
… หน่วยงานใดรับผิดชอบ ใครอนุมัติงบ 900 ล้านบาท 
##มีการตรวจสอบ การใช้เงิน ว่า รั่วไหลไหม ?? อย่าปล่อยให้ผ่านไป
…Theme งาน เป็น Future world, แต่เรา เล่าเรื่องในอดีต, ธรรมชาติ, อาหาร , สาธารณสุข. แทบทั้งหมด
ผิด Theme ไหม ??

นอกจากนี้ ก็ยังมีความคิดเห็นอื่นๆ อีก อาทิเช่น ในฐานะคนไทย รู้สึก เสียใจ และเสียดาย โอกาสอย่างมาก เพราะ งาน Expo เป็นงานระดับโลก มีคนจากทั่วโลก หลายสิบล้านมาเยี่ยมชม เป็นงานโชว์ศักยภาพของประเทศนั้นๆ ต่อหน้าชาวโลก นั่นหมายถึงว่า ถ้าทำได้ดี ทำถึง ( งบ 900 ล้านบาท ) คุ้มค่าเงินที่ลงไป จะเป็นหน้าตาของประเทศอย่างดียิ่ง เป็นการประชาสัมพันธ์ ดึงนักท่องเที่ยว นักลงทุน … เข้าประเทศ นำเงินเข้าประเทศ ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้

แม้แต่ประเทศเล็ก ใน Africa, South America ..ที่ไม่มีงบ มีพื้นที่ ไม่กี่ ตารางเมตร แต่โชว์ความน่าสนใจ น่าไปเที่ยว มีคนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย

เดินออกจากงานอย่างท้อแท้ ผิดหวัง ก่อนทางออก เห็น ต้นกล้วยเหี่ยว ๆ ที่นำมาโชว์ ได้แต่ ถอนหายใจ

อย่าล็อคสเปค เพื่อผลประโยชน์!!

เขาจะจดจำ ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ไปอีกนาน

ทางด้าน นายธนา เธียรอัจฉริยะ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ Thana Thienachariya รีวิวงาน EXPO 2025 โอซาก้า แบบชาวบ้าน โดยใช้วลีเด็ดที่กำลังเป็นไวรัลในโซเชียลอยู่ในขณะนี้ คือ ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ’ โดยได้ระบุว่า …

ในพาวิลเลียนมีความสนุกและหลากหลายแบบไทย ๆ ที่มีมันตั้งแต่นวดไทย อาหารไทย ขายของไทย กางเกงช้าง ในตีม wellness ซึ่งเข้าใจว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ ผมชอบว่ามันมั่ว ๆ หลากสีสันแบบไทยดี ดูมีชีวิตชีวา ที่ต้องชมคือน้องๆสตาฟที่ active และ friendly มาก ๆ เป็นตัวแทน hospitality แบบไทยได้ดีมากเลย

แต่ที่ให้คะแนน 2 เต็ม 10 คือห้องโถงหลักที่หลอกล่อผู้ชมชาวต่างชาติมาสักพักให้เข้ามาใจจดใจจ่อรอดูไฮไลต์ vdo presentation บนจอขนาดไม่ใหญ่นัก มีความ immersive ปนอยู่หน่อย ยืนรอดูกันหลายสิบคน

แต่สิ่งที่ฉายคืออีเหละเขละขละมาก ปนกันมั่วตั้งแต่หาดทราย wellness ภาพเก่ามั่ง ใหม่มั่ง เหมือนโหลดจากอินเทอร์เน็ต ไม่มีความสม่ำเสมอใดๆ เหมือนงานเกรด C ส่งคุณครูในคลาสทำ vdo 101 ปนๆไปกับเพลงคนไทยไม่เป็นไร สบายๆ และอะไรอีกไม่รู้จนจับใจความไม่ได้เลยว่าจะเล่าว่าอะไร อันนี้คือเสียดายเป็นที่สุด อุตส่าห์หลอกล่อผู้คนมาตั้งใจฟังได้เต็มห้อง

ที่ให้สองคะแนนคือมีน้อง ๆ สามคนออกมารำเซิ้งสนุก ๆ พยายามบิ๊วอารมณ์คนดูแบบสู้ตาย เห็นแล้วได้แต่เอาใจช่วยจริง ๆ

พอเดาได้ว่าคนอนุมัติ vdo ชุดนี้น่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงที่มีแต่อำนาจแต่ไม่ได้เข้าใจ storytelling หรือบริบทใด ๆ ของงาน แต่เป็นคนเคาะว่าเอาแบบนี้แหละ มันครบดี มีอะไรใส่มันให้หมด ไม่ได้มีศิลปะ มีเทสต์อะไรใด ๆ เลย นึกถึงการที่ทำเอาเสร็จไม่ได้สำเร็จเหมือนกับชุดนักกีฬาโอลิมปิคไทยยังไงก็ไม่รู้

ทำให้เพื่อนผมทุกคนที่มางานสองวันแรกผิดหวังไปตามๆกัน เพราะคอนเท้นท์ชุดนี้แหละ แถมเดินออกมาซ้ำเติมด้วยบอร์ดเล่าเรื่องระดับงานมัธยมที่ไม่ได้มีอะไรเป็น story ที่ร้อยเรียงได้เลย เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ภรรยาผมสรุปได้ในประโยคเดียวบน FB ว่า “ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ”

ตัดภาพมาที่ ทีมงานชาวไทย กระทั่งแม้แต่ น้อง Staff เจ้าหน้าที่ ก็ยังเอ่ยปาก ด้วยน้ำเสียงเบาๆ อายๆ เลยว่า “ผมก็ถูกหลอก ให้มาทำงานนี้ครับ”

งานนี้ ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง ที่จะนำมาโจมตีกันโดยไร้เหตุผล แต่เป็น ‘การติ เพื่อก่อ’ ตำหนิด้วยความรักประเทศไทยของเรา งานนี้ต้องจัดยาวไปถึงเดือนตุลาคม ‘ยังพอมีเวลา ให้ปรับปรุงแก้ไข’ 

อย่าให้อาย อย่าให้ขายหน้า!! ต้องสร้างความประทับใจ ให้คนชอบ ให้สมกับ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ตามนโยบายของ ‘รัฐบาลแพทองธาร’

เยือน!! ดินแดนอารยธรรม ‘ลุ่มน้ำสินธุ’ ที่มีประชากร 250 ล้านคน สนทนา!! กับ ‘ประธานาธิบดี’ พร้อมอาหารมื้อค่ำ เรื่องการพาณิชย์

(19 เม.ย. 68) นายจิรวัฒน์ เดชาเสถียร ผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย การตลาดและการจัดการค้าปลีกค้าส่งในภูมิภาคอาเซียน โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า …

อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุที่ปากีสถาน

ปากี ...ไม่มีอะไรครับ เพียงแต่ …

มีคน 250 ล้าน  เบอร์ 6 ของโลก 

No 4  เรื่องการปลูกมะม่วง อ้อย และฝรั่ง  ผลไม้ที่นี่จึงส่งออกไปหลายประเทศ  ชอบใจอ้อยควั่น  บรรจุขายในกล่องกระดาษ  บ้านเราไม่มีตัวนี้

No 5 การทำcotton หรือฝ้าย งานผ้าจึงดีมาก textileเช่นผ้าปูเตียงดีมาก ขึ้นชื่อระดับโลก  นอนแล้วเด้งดึ๋ง

No 6 ในการผลิตหอม ใบยาสูบ เรื่องหอมนี่ชอบมากเป็นพิเศษ มาคุยกันได้ 

No7 ในเรื่องถั่วลูกไก่ chickpea คนไทยไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ระดับโลก  ทานกันมาก ที่พม่ายังมีทำบรรจุกระป๋องขายเลย

No 8 ข้าวสาลี ออกนอกเมือง ปลูกกันเป็นทุ่งกว้าง

No 9 ในการปลูกข้าว ข้าวที่นี่มีเม็ดยาว ข้าวเราเม็ดสั้น ของเขาเป็นข้าวที่ไม่มียาง หุงแล้วเมล็ดข้าวไม่ติดกัน

No 13 เรื่องการปลูกมันฝรั่ง...ที่นี่ Pepsi ขายดี Lays ก็ขายดีไปด้วย  ระลึกความหลังกันหน่อย

มาเที่ยวนี้มีโอกาสพบ ฯพณฯ หลายท่าน และเมื่อวาน ทางรัฐบาลก็ทำการจัดเลี้ยงอาหารเย็น ก่อนงานพิธีก็จะมีการสวดให้พรตามวิถีมุสลิมก่อน  ถ่ายภาพมาไม่ได้เพราะเขาเข้มงวดเรื่องโทรศัพท์ เนื่องจากท่านประธานาธิบดีมาร่วมในงานนี้ด้วยตนเอง

ไปรอบนี้โชคดี มีคุณFaisal ตัวแทนการค้าการพาณิชย์ของกระทรวงพาณิชย์ไทยเราคอยดูแล  ไทยเราโชคดีที่ค้นพบคุณFaisal อดีตวิศวกรที่จบจาก MIT  มาช่วยก่อนVietnam เชิญไป

ผมยังได้พบ Dr.Suraimi จากสิงคโปร์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากสิงคโปร์  เราได้นัดหมายกันต่อในกรุงเทพ เพื่อเตรียมงานร่วมกันต่อในการนำสินค้าไทยไปเปิดตลาดเอเชียกลาง และ ตะวันออกกลางด้วยกัน

เมื่อวานไปเยือน Carrefour นึกถึงเมื่อครั้งมี Carrefourในไทย  เสียดาย!! ไม่เจอสินค้าไทยเลยทั้งที่โอกาสมากโข

รอห้างไทยสีเขียวมาเปิดอยู่นะครับ 

วันนี้จะลงใต้ไปที่การาจี เมืองเศรษฐกิจ ติดทะเล กันต่อไป …

‘GWM’ ดัน!! ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก วางแผนเติบโต ในระยะยาว เพิ่มกำลังการผลิต!! ขยายตลาด เร่งส่งออก ‘อาเซียน – ลาตินอเมริกา - ออสเตรเลีย’

(19 เม.ย. 68) GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” 

ล่าสุด เดินหน้าขับเคลื่อนแผนการผลิตรถยนต์หลากหลายรุ่นครอบคลุมทุกประเภทพลังงานจากโรงงานอัจฉริยะ (GWM Smart Factory) ในจังหวัดระยอง เพื่อขยายการส่งออกสู่ตลาดโลก โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 นี้ GWM (Thailand) เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศต่าง ๆ ทั้งในอาเซียน ออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา โดยจะส่งรถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม GWM TANK 500 HEV ไปยังประเทศมาเลเซีย ในขณะที่จะยังคงส่งออกรถยนต์ GWM TANK 300 HEV สู่ประเทศอินโดนีเซีย และ GWM HAVAL H6 HEV รวมถึงเจ้าสิงโตอารมณ์ดี GWM HAVAL JOLION HEV ไปรุกตลาดในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง 

ยิ่งไปกว่านั้น ในเดือนเมษายนนี้ GWM (Thailand) เตรียมส่งออกเจ้าเหมียวไฟฟ้า NEW GWM ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศไทยสู่ตลาดโลกเป็นครั้งแรก โดยจะส่งออกไปยังประเทศบราซิล ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์อีกด้วย ก่อนหน้านี้ GWM (Thailand) ได้มีการส่งออกรถยนต์เอสยูวีไปยังประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามมาแล้ว โดยได้ส่งออกรถยนต์รุ่น GWM TANK 300 HEV, GWM TANK 500 HEV และ GWM HAVAL H6 HEV ไปยังประเทศอินโดนีเซีย ในขณะที่ประเทศเวียดนาม ได้ส่งออกรถยนต์ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ GWM HAVAL H6 HEV และ GWM HAVAL JOLION HEV ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากประเทศดังกล่าว ทั้งหมดนี้ คือ การสะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ GWM (Thailand) ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานสู่ตลาดโลก สร้างงาน สร้างรายได้ และนำความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย ด้วยการผลิตรถยนต์คุณภาพที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่ผลิตในประเทศไทย โดยคนไทย สู่การมอบประสบการณ์เพื่อการเดินทางที่ 'เหนือกว่า' ให้แก่ผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ผ่านกลยุทธ์ 'GWM Go With More'

เจมส์ หยาง รองประธาน GWM ตลาดต่างประเทศ กล่าวว่า “GWM และทีมงานชาวไทยทุกคนล้วนภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมสร้างการเติบโตให้แก่เศรษฐกิจประเทศไทยด้วยการผลิตและส่งออกรถยนต์ GWM หลากหลายรุ่น ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานสู่ผู้ใช้งานทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตประจำภูมิภาคอาเซียน โดยการส่งออกรถยนต์ GWM ในไตรมาส 2/2568 นี้ สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการผลิตและมาตรฐานระดับโลกของโรงงานของเราที่จังหวัดระยอง โดยผลิตภัณฑ์ภายใต้ GWM TANK ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคในประเทศอินโดนีเซีย ส่วน GWM HAVAL ก็ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากประเทศเวียดนาม ที่สำคัญในปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะส่งออก NEW GWM ORA Good Cat ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจจากโรงงานผลิตขนาดใหญ่ของเรา โดยโรงงานที่จังหวัดระยองถือเป็นโรงงานการผลิตเต็มรูปแบบแห่งที่ 2 ของ GWM นอกประเทศจีน (ถัดจากประเทศรัสเซีย) ทั้งนี้ GWM จะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ระดับโลกของ GWM เราพร้อมเติบโตไปในระยะยาวกับลูกค้ารวมถึงพาร์ทเนอร์ชาวไทย และสังคมไทยอย่างยั่งยืน”

ปัจจุบัน โรงงานอัจฉริยะของ GWM ในจังหวัดระยองสามารถรองรับกำลังการผลิตสูงสุดถึง 80,000 คันต่อปี โดย GWM (Thailand) ได้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับการจำหน่ายในประเทศและการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยรถยนต์ทุกรุ่นและทุกคันที่จำหน่ายในประเทศไทยล้วนผลิตจากโรงงานในประเทศไทยโดยฝีมือคนไทยทั้งสิ้น (ยกเว้นรุ่น GWM ORA 07 ที่นำเข้าจากประเทศจีน) โดยล่าสุด ALL NEW GWM HAVAL H6 ทั้งรุ่นไฮบริด และปลั๊กอิน-ไฮบริด และ NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่เพิ่งเปิดตัวที่งานมอเตอร์โชว์ 2025 เมื่อปลายเดือนมีนาคม ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ ชาวไทยและเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าชาวไทยไปแล้วนั้น ก็ผลิตจากสายการผลิตที่โรงงาน GWM จังหวัดระยองเช่นเดียวกัน โดยมีพนักงานผู้มีความเชี่ยวชาญกว่า 1,100 คน ซึ่งปฏิบัติงานภายใต้มาตรฐานการผลิตระดับสากล พร้อมทั้งใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) ในสัดส่วนประมาณ 45 – 50% 

ซึ่งในอนาคต GWM (Thailand) ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการบริหารจัดการซัพพลายเชน รวมถึงการบริหารจัดการอะไหล่สำหรับการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าทั่วทุกมุมโลกได้สามารถเข้าถึงยนตรกรรมอัจฉริยะในทุกรูปแบบพลังงานของ GWM ได้ง่ายขึ้น คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น พร้อมรับประสบการณ์การเดินทางที่เหนือกว่าในทุกด้านอย่างแท้จริง GWM (Thailand) เดินหน้าอย่างมั่นคงและต่อเนื่องในการผลิตรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานในหลากหลายเซกเมนต์จากหลากหลายตระกูล ครอบคลุม GWM TANK, GWM HAVAL และ GWM ORA เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกสู่ตลาดโลก และจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านดีไซน์ สมรรถนะ และระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลก และส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่เวทีระดับโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

'ทนายเดชา' เผย 'ฎีกา' ชี้ เปลี่ยนเลนกระชั้นชิด ผู้ชนท้ายไม่ผิด

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 68) ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์ไว้ในเพจ ‘ทนายคลายทุกข์’ โดยมีใจความว่า

ขับรถเปลี่ยนช่องทางกระชั้นชิด รถคันหลังขับมาชน ผู้ขับชนไม่มีความผิด 
อ้างอิงจาก ฎีกาที่ 3088/2527 พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 52 วรรคแรก และมาตรา 36

เชียงราย- 'ตม.เชียงราย' รับคนไทยจากท่าขี้เหล็ก เมียนมา กลับบ้าน สุดท้ายพบมีหมายจับสองคดีสำคัญ 2 ราย

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.68) ที่ผ่านมาโดยการอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.สราวุธ คนใหญ่ ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5  มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.หญิง ธาราทิพย์ จำรัส รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.ตุลย์วรรษ ณรงค์ศักดิ์,พ.ต.ท.วิชัย ปันนา,พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ ชูชื่น สว.ตม.จว.เชียงราย ร่วมกันรับตัวบุคคลสัญชาติไทย พ้นโทษตามคำพิพากษาศาลประเทศเมียนมา จากเจ้าหน้าที่ ตม.จว.ท่าขี้เหล็ก จำนวน 3 ราย โดยจากการตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLIS) ระบบสารสนเทศสถานีตำรวจ(CRIMES) และระบบศูนย์ข้อมูลอาชญากรรม(PDC) ทราบชื่อ

1. นายธีรายุทธ (นามสมมุติ) อายุ 28 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีและใช้มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควรโดยไม่ได้รับอนุญาต ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านหรือชุมชน

2. นายณัฐนนท์ (นามสมมุติ) อายุ 26 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ในความผิดฐาน โดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร, พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม, กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

3.นาย นพดล (นามสมมุติ)อายุ 26 ปี สัญชาติไทย ไม่มีหมายจับแต่อย่างใด จากนั้น เจ้าหน้าที่งานสืบสวนปราบปราม และงานตรวจบุคคลและพาหนะ ตม.จว.เชียงราย ได้ร่วมกันนำตัวบุคคลสัญชาติไทยทั้ง 3 ราย เข้าสู่ขั้นตอนพิธีการคนเข้าเมือง ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อ.แม่สาย จว.เชียงราย  

จากนั้นเจ้าหน้าที่งานสืบสวนจึงได้นำตัวบุคคลที่มีหมายจับมาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top