Thursday, 25 April 2024
Hard News Team

‘เนเธอร์แลนด์’ พบ ‘ชายชราวัย 72 ปี’ ติดเชื้อ ‘โควิด’ จนตาย หลังติดยาวนาน 613 วัน หวั่น!! เป็นตัวกลายพันธุ์อันตรายชนิดใหม่

(22 เม.ย.67) ทีมวิจัยชุดหนึ่งจากเนเธอร์แลนด์ พบการติดเชื้อโควิด-19 ยาวนานเป็นพิเศษในคนชรารายหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตจากไวรัสมรณะชนิดนี้เมื่อปีที่แล้ว ด้วยวัย 72 ปี ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวขึ้นมาของตัวกลายพันธุ์โคโรนาไวรัสที่อันตรายกว่าเดิม

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยพวกนักวิจัย ระบุว่า ชายชรารายนี้ ซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว สืบเนื่องจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ก่อนหน้า เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในอัมสเตอร์ดัม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หลังมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก และไม่น่าเชื่อ ที่ผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของเขาออกมาเป็นบวกอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2023 เท่ากับเป็นการติดเชื้อยาวนาน 613 วัน

ตัวอย่างการติดเชื้อโควิด-19 เป็นเวลานานของบุคคลหนึ่งที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เคยมีรายงานมากมายก่อนหน้านี้ แต่ในการค้นพบครั้งนี้ที่นำโดย แมกดา เวอร์กัวเว จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เตรียมมีการนำเสนอต่อที่ประชุมด้านจุลชีววิทยาคลินิกและโรคติดเชื้อแห่งยุโรป ในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 27 ถึง 30 เมษายนนี้

พวกนักวิจัยชี้ว่าเคสนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมันเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่โคโรนาไวรัสจะมีการกลายพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญบ่อยครั้งระหว่างการติดเชื้อที่ยาวนาน เพราะฉะนั้นมันจึงก่อความเสี่ยงระดับสูงของการถือกำเนิดตัวกลายพันธุ์ที่มีศักยภาพหลบหลีกการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

ผลวิคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากคนไข้รายนี้ พบว่ามีการกลายพันธุ์กว่า 50 ครั้งเมื่อเทียบกับตัวกลายพันธุ์ BA.1 โอมิครอน ที่กำลังแพร่ระบาดในวงกว้าง ณ ขณะนั้น บางส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน และสิ่งที่น่ากังวลคือ แค่ 21 วันหลังจากชายรายนี้ได้รับยาต่อต้านโคโรนาไวรัสพิเศษชนิดหนึ่ง ไวรัสได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการพัฒนาการต่อต้านยาดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ไวรัสมีพัฒนาการอย่างกว้างขวางในคนไข้รายนี้ แต่ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาแพร่กระจายไวรัสตัวกลายพันธุ์ไปสู่คนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง พวกนักวิจัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดต่อวิวัฒนาการของโควิด-19 ในบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง พวกเขาเตือนถึงความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวและการแพร่ระบาดตัวกลายพันธุ์ที่อาจก่อความท้าทายแก่ระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง

'ต่อตระกูล' เปิดภาพแนวคิด ก่อสร้างตึกสูงจากกลุ่มทุนดูไบ ด้าน 'นายกฯ' เสนอ!! สร้างให้สูงที่สุดของโลกเลยได้ไหม?

(22 เม.ย. 67) นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ต่อตระกูล ยมนาคว่า "ตึกสูง ที่กลุ่ม EMAAR จาก ดูไบ จะมาลงทุนสร้าง นำบินมาเสนอนายกฯ ไทย หน้าตาเป็นแบบนี้ EMAAR Group เสนอเป็นแนวคิด ที่จะสร้างด้วยเหล็ก สเตนเลส ไร้สนิม แต่ยังไม่ใช่รูปแบบตึกที่จะสร้างให้สูงที่สุดในโลก แต่นายกฯ เศรษฐา เสนอแนะว่า จะสร้างให้สูงที่สุดในโลกเลย ได้ไหม? เขาก็รับไปศึกษาเพิ่มเติม

EMAAR Group เป็นกลุ่มผู้บริหารตึก Burj Khalifa ตัวจริง ที่ดูแลการบริหาร และจัดการตลาด ของตึกสูงสุดของโลกอยู่ในขณะนี้ เขามีความสนใจ ที่จะเสนอโครงการสร้างตึกที่สูงที่สุดในโลกที่ ประเทศไทย! ถ้าเขาอยากเอาเงินของกลุ่มเขาจากดูไบ มาลงทุนในประเทศไทยบ้าง เราก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ชาติอื่น ๆ ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น และอีกหลายชาติเขาก็ได้มาลงทุนสร้างอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเรากันมานานแล้ว ส่วนใหญ่เขาก็ประสบความสำเร็จกันดี"    

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนเที่ยวเกาหลีใต้ต้องระวัง เว็บไซต์-แอปพลิเคชันลงทะเบียน K-ETA ปลอม เสียทั้งเงิน เสียทั้งข้อมูล

วันนี้ ( 22 เมษายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกลวงพี่น้องประชาชนที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวที่สาธารณรัฐเกาหลี หรือประเทศเกาหลีใต้ โดยการสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันลงทะเบียน K-ETA ปลอม แล้วเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ

โดย ระบบ K-ETA หรือชื่อเต็มคือ Korea Electronic Travel Authorization เป็นระบบที่มีไว้ให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียนขออนุญาตก่อนที่จะเดินทางเข้าไปที่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อลดปัญหาการปฏิเสธนักท่องเที่ยวไม่ให้เข้าประเทศ และแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าไปทำงานผิดกฎหมาย โดยนักท่องเที่ยวจะต้องทำการลงทะเบียนล่วงหน้า ซึ่งจำเป็นจะต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ข้อมูลหนังสือเดินทาง ภาพถ่ายใบหน้า อาชีพ รายได้ต่อปี และข้อมูลที่พักอาศัยในประเทศเกาหลีใต้ อีกทั้งจำเป็นต้องชำระค่าธรรมเนียมจำนวน 10,300 วอน (ประมาณ 270 ถึง 290 บาท) ผ่านช่องทางบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต

ซึ่งถ้าหากพี่น้องประชาชนหลงเชื่อลงทะเบียนผ่านช่องทางเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน K-ETA ปลอม มิจฉาชีพก็จะได้ทั้งข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงข้อมูลบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ซึ่งสามารถนำไปใช้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเป็นจำนวนมาก เช่น อาจถูกนำข้อมูลบัตรเครดิตไปซื้อสินค้า นำข้อมูลส่วนบุคคลไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้กระทำความผิด หรืออาจถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในการหลอกลวงในอนาคต อีกทั้งเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน K-ETA ปลอมอาจมีการหลอกให้ชำระค่าธรรมเนียมที่สูงเกินจริง (ค่าธรรมเนียมปกติอยู่ที่ 10,300 วอน) เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินจากพี่น้องประชาชนอีกด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการลงทะเบียน K-ETA เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยขอให้ตรวจสอบก่อนว่าเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่ใช้ลงทะเบียน เป็นของจริงหรือไม่ ซึ่งเว็บไซต์สำหรับลงทะเบียน K-ETA ของจริงคือ www.k-eta.go.kr เท่านั้น ส่วนแอปพลิเคชันลงทะเบียน K-ETA สำหรับโทรศัพท์มือถือ สามารถดาวน์โหลดได้ผ่าน App Store และ Google Play Store ที่ https://apps.apple.com/th/app/k-eta/id1562976724 และ https://play.google.com/store/apps/details?id=kr.go.keta 

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ใหญ่คับฟ้า!! ‘เรือปืน’ นโยบายการทูตร้อยปีของสหรัฐฯ 'ขจัด-กีดกัน-กดดัน' ทุกชาติที่มีพฤติการณ์แข็งขืนมะกัน

จากการที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันศุกร์ (19 เม.ย.67) ว่าได้สั่งปรับบริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ (SCG Plastics Co) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลาสติกสัญชาติไทย เป็นเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 736 ล้านบาท ฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ มากกว่า 400 ครั้งนั้น

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นตอกย้ำทำให้ทั้งโลกได้เห็นว่า สหรัฐฯ ยังใช้นโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ (Gun Boat Diplomacy) มาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 1853 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งพลเรือจัตวา Matthew C. Perry พร้อมกับหมู่เรือรบอเมริกันเข้าไปยังอ่าวโตเกียว โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นที่ปิดประเทศมานานกว่า 200 ปี 

Perry ได้ตั้งใจที่จะใช้กำลังทหารกดดันหากญี่ปุ่นปฏิเสธการเปิดความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แต่ญี่ปุ่นเองก็ได้ตั้งใจที่จะเจรจาเพื่อเปิดความสัมพันธ์และทำสนธิสัญญาต่าง ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เกิดการปะทะระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นแต่อย่างใด 

ปฏิบัติการของ Perry ในครั้งนั้นได้วางรากฐานสำหรับข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และการใช้หรือการข่มขู่กำลังทหารเพื่อผลด้านนโยบายต่างประเทศจึงกลายเป็นที่รู้จักในชื่อนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ (Gun Boat Diplomacy) 

นโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ถูก Theodore Roosevelt ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นำมาใช้อีกครั้ง ซึ่งถูกเรียกว่า ‘ไม้ตะบองใหญ่ของ Teddy Roosevelt’ (Teddy Roosevelt's 'Big Stick') ด้วยการส่งกองเรือรบ Great White (The Great White Fleet) ออกเดินทางไปเยือนเมืองท่าต่าง ๆ ทั่วโลกระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 1907 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1909 โดยชื่อกองเรือดังกล่าวมาจากการที่เรือรบในกองเรือดังกล่าวทุกลำทาสีขาวล้วน 

***หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ขึ้น...

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นไม่เคยมีการรบเกิดขึ้นในดินแดนของสหรัฐฯ เลย แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ฐานทัพเรือของสหรัฐฯ ที่อ่าว Pearl มลรัฐฮาวายถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก ดินแดนอาณานิคมของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าโจมตีและยึดครอง 

หลังจากเป็นแกนนำกองกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตร และเอาชนะฝ่ายอักษะแล้ว ได้มีการนำนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ มาปิดท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ จนทำให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปกว่าสองแสนคน (ทั้ง ๆ ที่มีชัยชนะเหนือฝ่ายอักษะในยุโรปแล้ว) จนญี่ปุ่นเองก็คงต้านทานกองกำลังสัมพันธมิตรต่อได้อีกไม่นาน และผลของการทิ้งระเบิดปรมาณู ก็ทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในทันที

มาถึง ยุคสงครามเย็น (Cold War) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่โลกแบ่งออกเป็นสองขั้วค่ายคือ ฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐฯ และฝ่ายคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต นโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ก็เข้มข้นขึ้นตามลำดับ มีการก่อตั้ง NATO ‘องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ’ (North Atlantic Treaty Organization) องค์กรความร่วมมือทางการเมืองและการทหารของประเทศค่ายเสรีประชาธิปไตย และองค์การ SEATO ที่เปรียบเสมือนองค์การ NATO แห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นไปตามลัทธิทรูแมน (Truman Doctrine) ในการสร้างแนวร่วมเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในระดับทวิภาคีและส่วนร่วมในสนธิสัญญาป้องกันระดับภูมิภาค โดยสหรัฐฯ ได้อาศัยความเป็นผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรสร้างฐานทัพบก-เรือ-อากาศ ไว้ทั่วโลกมากมายหลายร้อยแห่ง ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกองทัพสหรัฐฯ ในการขับเคลื่อนนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ไปในตัวอีกด้วย

กระทั่งสงครามเย็นจบลงด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต บริบทในการทำสงครามของสหรัฐฯ ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันทุกวันนี้จึงเปลี่ยนไปจากการรบด้วยกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์มาเป็นการรบด้วยเศรษฐกิจ, การค้า, การเงิน, การลงทุน แต่ในขณะเดียวกันยังคงนโยบายการทูตแบบ ‘เรือปืน’ ด้วยการวางกำลังทหารทั้งบก-เรือ-อากาศ อยู่ทั่วโลกซึ่งพร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง โดยมุ่งเน้นในการป้องความมั่นคงของชาติ ตลอดจนผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ เองในทุก ๆ มิติ...

....และที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามจนอาจกลายเป็นสงครามบนดินแดนของสหรัฐฯ เอง และมีการใช้วิธีการต่าง ๆ นานาในการปกป้องพิทักษ์ผลประโยชน์และนโยบายทางเมืองของสหรัฐฯ ดังเช่น รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน สหรัฐฯ จึงพยายามออกมาตรการต่าง ๆ มากมายเพื่อ กดดัน ปิดล้อม สกัดกั้น หรือคว่ำบาตร ประเทศเหล่านี้ 

อย่างเช่น กรณีที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ สั่งปรับบริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ ของไทยเป็นเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 736 ล้านบาท) ฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ มากกว่า 400 ครั้ง แม้ เอสซีจี พลาสติกส์ จะสามารถทำการอุทธรณ์ได้ แต่โอกาสที่จะชนะนั้นยากมาก ด้วยเพราะต้องต่อสู้เป็นคดีความกับรัฐบาลที่ออกกฎหมายเอง หาก เอสซีจี พลาสติกส์ ไม่ยอมจ่ายค่าปรับดังกล่าวก็อาจจะส่งผลทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ (Black List) บริษัทในเครือเอสซีจีทั้งหมด ซึ่งย่อมสร้างผลกระทบทางลบต่อธุรกิจของเครือเอสซีจีทั้งหมดในการปฏิสัมพันธ์ทางการค้ากับลูกค้าที่เป็นบริษัทอเมริกันทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

แน่นอนว่า ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่อันดับต้น ๆ ของไทย ซึ่งรวมถึงทั้งเครือเอสซีจีด้วย เมื่อโดนมาตรการแบบนี้ เราที่เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ จึงไม่สามารถทำอะไรก็ตามที่มีลักษณะเป็นการฝ่าฝืน ต่อต้าน ขัดขืน ฯลฯ ประเทศอภิมหาอำนาจเช่นสหรัฐฯ ได้ 

แม้แต่ประเทศอภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของเอเชียอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนเองก็ยังโดนมาตรการต่าง ๆ ของสหรัฐฯ มากมายหลายครั้ง อาทิ กรณี Meng Wanzhou ลูกสาวของผู้ก่อตั้ง Huawei และมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสายการเงิน (CFO) ถูกจับกุมที่แคนาดาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2018 ตามหมายจับของสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า Huawei ทำธุรกิจในอิหร่าน ทั้ง ๆ ที่อิหร่านยังอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรทางการค้าโดยสหรัฐฯ โดยระหว่างปี 2009-2014 Huawei ได้ตั้ง Skycom บริษัทย่อยเพื่อทำธุรกิจในอิหร่าน อันเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ 

นอกจากนั้น Huawei และ Wanzhou ยังถูกกล่าวหาว่ามีความผิดในฐานปลอมแปลงข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องระหว่าง Huawei และ Skycom ที่ได้ส่งให้กับธนาคาร HSBC รวมถึงมีความพยายามในการจารกรรมข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ฯลฯ ทำให้บริษัท Huawei ถูกจัดเข้าบัญชีดำ (Black List) โดยสหรัฐฯ ในปี 2019 แต่ Wanzhou ก็ต่อสู้คดีจนกระทั่งวันที่ 24 กันยายน 2021 เกือบ 3 ปี เธอจึงได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศจีน ภายใต้ข้อตกลงที่มีร่วมกันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีน, แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เป็นอย่างมาก

เมื่อบริษัท Huawei ถูกจัดเข้าบัญชีดำ (Black List) ของสหรัฐฯ ด้วยมาตรการจำกัดการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจีนจากเหตุผลความมั่นคง ส่งผลให้ Huawei บริษัทที่ผลิตมือถือเป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ ของโลกต้องร่วงลงมาหลายอันดับ และการปิดกั้นสินค้าเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึง Chip หรือ Semiconductor สมรรถนะสูง แต่ Huawei ก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการทำการพัฒนา Chip หรือ Semiconductor สมรรถนะสูงจนประสบความสำเร็จ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถพัฒนาให้สมรรถนะดีกว่าของสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย 

หรือกรณีชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเกียงซึ่งถูกสื่อตะวันตกประโคมข่าวไปทั่วโลกว่า มีการกักขัง กดขี่ ทรมาน ชาวอุยกูร์ และมีการออกมาตรการห้ามบริษัทอเมริกันซื้อฝ้ายที่ผลิตจากพื้นที่ดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์กับชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza และเขต West Bank ดินแดนของตนเองซึ่งถูกอิสราเอลปิดล้อมแล้วมีความแตกต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหวเลยทีเดียว เพราะเมืองต่าง ๆ ในเขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเกียงมีความเจริญรุดหน้าเช่นเดียวกับเมืองต่าง ๆ ในประเทศจีนเองหรือแม้กระทั่งเมืองต่าง ๆ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่สภาพความเป็นอยู่ของชาวปาเลสไตน์นั้นไม่ได้แตกต่างไปจากการติดคุกที่มีขนาดใหญ่ ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้วยอิสราเอลได้ทำการปิดกั้นจำกัดในทุก ๆ เรื่องแม้กระทั่งสิ่งที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันเช่นน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค แต่สหรัฐฯ ก็ไม่เคยประณามอิสราเอลว่า ได้ทำการ กดขี่ ข่มเห่ง รังแก ชาวปาเลสไตน์อย่างไร้คุณธรรมแต่อย่างใดเลย

ด้าน อิหร่านซึ่งถูกมาตรการของสหรัฐฯ ต่าง ๆ นานานับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามเมื่อกว่า 40 ปีก่อน อิหร่านมีเครื่องบินรบและเครื่องบินพาณิชย์ที่ผลิตจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากแต่ไม่มีอะไหล่ ที่สุดแล้วอิหร่านก็สามารถพึ่งพาตนเองด้วยการผลิตอะไหล่เครื่องบินเหล่านั้นได้เอง จนปัจจุบันกว่า 40 ปีแล้วที่อิหร่านไม่ได้สามารถซื้อหาอะไหล่จากสหรัฐฯ แต่เครื่องบินเหล่านั้นยังคงใช้งานได้ 

อย่างไรก็ตาม นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ กำหนดขึ้น เพื่อกดดันประเทศต่าง ๆ ที่ถูกมองว่า มีพฤติการณ์และพฤติกรรมที่สหรัฐฯ ไม่พึ่งประสงค์นั้นกำลังจะย้อนกลับมาสร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ในอนาคต อาทิ การที่ประเทศขั้วตรงข้ามของสหรัฐฯ รวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS : BRASIL-RUSSIA-IRAN-CHINA-SOUTHAFRICA) ด้วยคาดหวังว่า จะกลายเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของโลกเพิ่มมากขึ้น และจะเป็นการลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก ปัจจุบันมีสมาชิก 9 ประเทศ อยู่ระหว่างการสมัครอีก 15 ประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) 

ด้วยความที่ไทยเราเป็นประเทศเล็กแต่มีที่ตั้งอยู่ในจุดภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความสำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้ จึงจำเป็นต้องรักษาความเป็นกลางอย่างสมดุลให้มีความเหมาะสมพอดีที่สุด จากประสบการณ์ที่เคยเลือกข้างเลือกฝั่งในอดีต จนทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรุนแรงมาแล้ว

ดังนั้น คนไทยทั้งหมดทั้งมวลควรจะช่วยกันจดจำเรื่องราวตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ที่ประเทศต่าง ๆ ได้เคยทำไว้กับไทยเรา ทั้งในเชิงบวกและลบ เพื่อสรุปเป็นบทเรียนในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ กับประเทศนั้น ๆ ในเวทีโลกอย่างเหมาะสม ไม่เอาเปรียบประเทศใด ๆ แต่ก็ต้องไม่ยอมให้ประเทศใด ๆ ก็ตามที่มาเอาเปรียบได้ ด้วยการยึดถือเอาประโยชน์สูงสุดของชาติบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นที่ตั้ง โดยถือเป็นความสำคัญและจำเป็นสูงสุด

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบาย ตม.จว.นครพนม

ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงได้กำหนดมาตรการดูแลอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมือง เพื่อบริการให้รวดเร็วประหยัดเวลา ลดความแออัด โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่มีผู้โดยสารหนาแน่น ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสะดวกเรียบร้อยในทุกพื้นที่ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล 

วันนี้ (22 เม.ย.2567)  เวลา 9.00 น. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติราชการ ณ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครพนม อ.เมืองนครพนม จว.นครพนม  พร้อมทั้งมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครพนม ครั้งนี้ พล.ต.ต.ปิยะอนันต์ โตสกุลวงศ์ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4 กำหนดให้ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครพนม นำโดย พ.ต.อ.ภัทรพงศ์ อินวรรณา ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครพนม รายงานผลการปฏิบัติงานและการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองตามนโยบายของผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในห้วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 

จากนั้น พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้เดินทางต่อไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) โดยได้ตรวจดูความเรียบร้อยในการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมือง และ พบปะประชาชนที่มารับบริการ ณ จุดผ่านแดน ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครพนม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4

‘จีน’ นำตัวผู้ต้องสงสัยเอี่ยว ‘การพนัน-ฉ้อโกง’ จากกัมพูชากลับประเทศ ชี้ ครบหมด!! 680 คน หลังเดินหน้าภารกิจปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้

(22 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่าตำรวจจีนนำตัวผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันและการฉ้อโกง จากกัมพูชาจำนวนกว่า 680 ราย กลับจีนครบทั้งหมดแล้ว หลังมีการเริ่มส่งตัวผู้ต้องสงสัยช่วงก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายนโดยแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ

เที่ยวบินเช่าเหมาลำสองเที่ยวนำผู้ต้องสงสัยกลุ่มสุดท้าย จำนวน 135 คน กลับถึงนครอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีนในวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ถือเป็นการเสร็จสิ้นการส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับจีนในปีนี้ หลังจากตำรวจจีนและกัมพูชาออกปฏิบัติการร่วมเพื่อปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันและการฉ้อโกง

ซึ่งตำรวจจีนได้กระชับความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับอาชญากรรมต่าง ๆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาทิ การพนันข้ามพรมแดน และการหลอกลวงทางโทรคมนาคม โดยกระทรวงฯ ให้คำมั่นว่าจะจัดการอาชญากรรมประเภทนี้อย่างเข้มงวดต่อไป พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้างต้นจำนวนหลายหมื่นคนจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลับไปยังจีนในปีนี้

‘กรมควบคุมโรค’ ห่วง!! สถานการณ์ ‘โควิด-19’ ระบาดเพิ่มหลังสงกรานต์ สัปดาห์เดียวป่วยเข้า รพ. 1 พันราย ลุยกำชับทุกหน่วยดูแล ปชช.ให้ทั่วถึง

(22 เม.ย.67) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. มีความห่วงใยสถานการณ์โควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ แต่ยังไม่มีรายงานการระบาดรุนแรง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจได้สั่งการทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง

นพ.ธงชัย กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 14-20 เมษายน 2567 มีรายงานพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกรายเป็นกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีโรคเรื้อรัง (608)

“คาดสาเหตุที่ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยมีอาการเหมือนไข้หวัด ทำให้ไม่ระวัง ป้องกันตนเอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเฝ้าระวังสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในประเทศไทย ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่ายังคงเป็นสายพันธุ์รุ่นลูกของเชื้อโอมิครอน โดยผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการคล้ายหวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ มีน้ำมูก โดยยังไม่พบว่ามีระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์โอมิครอนเดิมในปีที่ผ่านมา” นพ.ธงชัยกล่าว

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวถึงโรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้มีลักษณะเหมือนโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่จะมีจำนวนมากหรือน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา โดยขณะนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั่วไป อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด เป็นต้น ทั้งนี้ โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร เตียงรองรับผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี

‘จักรภพ’ พร้อมลุยรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด รับทราบข้อกล่าวหาคดีอาวุธสงครามใน จ.ฉะเชิงเทรา

(22 เม.ย.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair’ โดยระบุว่า…

“วันนี้ (22 เม.ย.) ในเวลา 09.00 น. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะไปรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาวุธสงครามที่พบในจังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อหลายปีก่อน ส่วนในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ในเวลา 10.00 น. จะเดินทางไปในภารกิจเดียวกันที่สำนักงานอัยการสูงสุด จ. พระนครศรีอยุธยา”

ยูทูบเบอร์กัมพูชา ลอกคอนเทนต์ ‘หมอตังค์ เวรชันสูตร’ ตัดต่อคลิป-หน้าปก ไปลงช่องตน โดยไม่ให้เครดิต

(22 เม.ย.67) กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจทันที หลังจากที่มีผู้ใช้ (X) รายหนึ่ง โพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามว่า มียูทูบเบอร์ชาวกัมพูชา ลอกคลิปของ หมอตังค์ ยูทูบเบอร์ดังของไทย ไปตัดต่อลงช่องของตัวเอง โดยไม่ให้เครดิต

สำหรับ หมอตังค์ มรรคพร ขัติยะทองคำ แพทย์หนุ่ม เจ้าของยูทูบเบอร์ช่องดัง ‘เวรชันสูตร’ หรือ Tang Makkaporn ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.05 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญหมอตังค์ จะทำคอนเทนต์เรื่องราวเกี่ยวกับ คดีลึกลับ ฆาตกรรม

ทั้งนี้ ชาวเน็ต พบว่า ยูทูบเบอร์ชาวกัมพูชา ไม่ได้แค่ลอกเนื้อหา แต่ยังทำคลิปวิดีโอที่ตัดต่อแล้วไปลงช่องอีกด้วย อีกทั้งยังมีการตัดต่อปกแบบเดิม เพิ่มรูปตัวเองใส่เข้าไปทับรูปของเจ้าของผลงานตัวจริง

ยูทูบเบอร์ชาวกัมพูชารายนี้มีคนติดตามกว่า 8 แสนคน และทำคอนเทนต์หลากหลาย ทั้งคลิปเล่าข่าว รีมิกซ์เพลง สปอยหนัง ทำรีแอคชั่นวิดีโอ ร้องเพลง และเล่าเรื่องคดี

อีกทั้งยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า ยูทูบเบอร์รายนี้เคยมีประเด็นดรามามาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากชอบลงคลิปเคลมไทย ให้ข้อมูลผิด ๆ เมื่อมีคนเข้าไปแย้งก็ไล่บล็อกและลบคอมเมนต์ ทั้งยังบล็อก IP ที่มาจากประเทศไทยอีกด้วย

จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์จำนวนมาก พร้อมกับรวมตัวรีพอร์ตช่องยูทูบเบอร์ชาวกัมพูชาวคนดังกล่าวด้วย

ล่าสุด หมอตังค์ โพสต์ถึงประเด็นดรามาดังกล่าวผ่านเพจ ‘Tang Makkaporn’ ระบุว่า เพื่อน ๆ ค้าบตังค์เองนะค้าบ ตังค์และน้อง ๆ ทีมงานได้ทราบเรื่องราวที่กำลังเป็นประเด็นเรียบร้อยแล้วนะครับ ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ส่งข่าวและให้กำลังใจอย่างมากมายเลย เบื้องต้นตังค์ก็ให้ทีมตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ แล้วครับพบว่า

1 เรื่องเนื้อหา ตังค์และทีมไม่ทราบว่าจะมีความเหมือนกันขนาดไหนเพราะเป็นเรื่องของความแตกต่างทางด้านภาษา

2 ภาพและวีดีโอประกอบคดีอันนี้มีความคล้ายในบางคดีครับ อาจเป็นภาพจากแหล่งข้อมูลคดีจริงที่เป็นทั้งข้อมูลสาธารณะหรือเป็นภาพ/คลิปจากสารคดีที่สร้างจากเคสนั้น ๆ ซึ่งสามารถหาได้ทางอินเตอร์เน็ต

3 หน้าปกคลิป หลังจากการตรวจสอบแล้ว ตังค์ว่าก็มีบางตอนที่คล้ายและบางตอนที่แตกต่างครับ แต่พอกลับไปดูล่าสุดก็เหมือนมีการเปลี่ยนหน้าปกคลิปที่คล้ายไปแล้ว

สรุปแล้วตังค์ว่าเรื่องนี้ ตังค์ขอโฟกัสในฐานะคนทำ true crime content ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่ช่องของตังค์แต่ยังมีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ในวงการนี้อีกหลายคน ที่คอย support กันและกันเสมอ ทุกช่องทุกคนก็จะมีสไตล์ที่แตกต่างกันไป แต่ตังค์เชื่อเลยว่าทุก ๆ คนจริงใจและพยายามจะแบ่งปันเรื่องราวที่เป็นทั้งกรณีศึกษา เป็นอุทาหรณ์ถ่ายทอดไปเพื่อส่งความห่วงใยถึงเพื่อน ๆ คุณผู้ชม สำหรับตัวตังค์คิดว่าหากการทำคอนเทนต์ของเรามีเจตนาดี ยิ่งมีการเผยแพร่มากก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้นไปอีก ตังค์เองก็ไม่ได้เป็นเจ้าของสิทธิ์ในเรื่องราวต่าง ๆ ครับ เพราะก็หาข่าวหาข้อมูลมาเล่าจากแหล่งข้อมูลต่างๆในอินเตอร์เน็ต

สำหรับช่องที่เป็นประเด็นตังค์ว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทางเขาและทีมคงได้ตรวจสอบ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามแนวทางของช่อง

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว มันทำให้ตังค์ได้เห็นความรักความหวังดีของเพื่อน ๆ ทุกคนที่ส่งมาให้ นี่ยิ่งตอกย้ำตัวตังค์และทีมว่าสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่เรามาถูกทางแล้ว นอกจากนั้นความรักจากทุกคนจะยังเป็นแรงผลักดันให้ตังค์และทีมยกมาตรฐานทั้งคุณภาพคลิป เนื้อหา การนำเสนอและภาพประกอบ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนดูมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้นะค้าบ

อันที่จริงตัวตังค์เองเป็นคนที่ไม่อยากสร้างปัญหาหรือมีปัญหากับใครเลย แถมการที่เราได้มาทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับความตายเป็นประจำ ยิ่งทำให้ได้รู้ว่าชีวิตของคนเรามันไม่แน่นอนเลยครับ มีขึ้นมีลง มีผิดมีถูก มีรู้มีไม่รู้ มีเกิดและดับไป ดังนั้นสำหรับตังค์ ตังค์แค่อยากมีความสุขอย่างสม่ำเสมอและไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร ตังค์ก็พอใจแล้วค้าบบ แถมตอนนี้รู้แล้วด้วยว่าตังค์ไม่ได้อยู่แบบโดดเดี่ยว แต่มีเพื่อนๆครอบครัวเวรชันสูตรที่คอยอยู่ support ตังค์เสมอ แค่นี้ก็แฮปปี้สุด ๆ ละค้าบ

สภาสหรัฐฯ โหวตท่วมท้น 'แบนติ๊กต็อก' ไม่สนเสียงคัดค้าน-ปิดกั้นเสรีภาพผู้ใช้

เมื่อวานนี้ (21 เม.ย. 67) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โหวตรับรองร่างกฎหมายบังคับให้ไบต์แดนซ์ขายติ๊กต็อก หรือปล่อยให้แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมนี้ถูกแบนจากตลาดอเมริกา ด้านติ๊กต็อกออกแถลงการณ์ร้องเรียนทันควันชี้เป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่อเมริกาและตะวันตกกังวลว่า ความนิยมในติ๊กต็อกในหมู่หนุ่มสาวจะเปิดโอกาสให้จีนสอดแนมข้อมูลผู้ใช้ เฉพาะอเมริกามีผู้ใช้แอปนี้ถึง 170 ล้านราย

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังกล่าวหาว่า ติ๊กต็อกอยู่ใต้อำนาจของปักกิ่ง และเป็นช่องทางเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีน ซึ่งทั้งรัฐบาลจีนและติ๊กต็อกต่างปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้

ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ให้ความเห็นชอบด้วยคะแนนท่วมท้น 360 ต่อ 58 เสียงเมื่อวันเสาร์ (20 เม.ย.) ซึ่งอาจนำไปสู่ขั้นตอนที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในการกีดกันไม่ให้บริษัทเอกชนทำธุรกิจในอเมริกานั้น จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในสัปดาห์นี้

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุว่า จะลงนามรับรองร่างกฎหมายนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ย้ำความกังวลเกี่ยวกับติ๊กต็อกระหว่างหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเมื่อต้นเดือน

การยื่นคำขาดต่อติ๊กต็อกครั้งนี้รวมอยู่ในร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือยูเครน อิสราเอล และไต้หวัน

ทางด้านติ๊กต็อกร้องเรียนทันควันโดยออกแถลงการณ์ ระบุว่า น่าเสียดายที่สภาล่างสหรัฐฯ อาศัยร่างกฎหมายความช่วยเหลือต่างประเทศและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อเร่งรัดร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อก ซึ่งจะเป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ไบต์แดนซ์ บริษัทไฮเทคสัญชาติจีน ต้องเลือกระหว่างขายกิจการติ๊กต็อกในอเมริกาภายใน 1 ปี หรือติ๊กต็อกถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของแอปเปิลและกูเกิลในอเมริกา

เดือนที่แล้ว สภาล่างสหรัฐฯ อนุมัติร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อกที่กำหนดให้ไบต์แดนซ์ต้องขายหุ้นติ๊กต็อกให้บริษัทสัญชาติอเมริกันภายใน 6 เดือน หรือถูกแบนในอเมริกา ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายนี้อยู่ในการพิจารณาของสภาสูง

สตีเวน มนูชิน อดีตรัฐมนตรีคลังในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความสนใจซื้อกิจการติ๊กต็อก และขณะนี้กำลังรวบรวมกลุ่มนักลงทุน

ติ๊กต็อกตกเป็นเป้าหมายการเพ่งเล็งของทางการสหรัฐฯ มานานหลายปี ภายใต้ข้อกล่าวหาว่า แพลตฟอร์มยอดฮิตนี้ช่วยให้ปักกิ่งสอดแนมผู้ใช้ในอเมริกา

อย่างไรก็ตาม กฎหมายแบนติ๊กต็อกอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง โดยกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุแอปพลิเคชันที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ หากแอปดังกล่าวควบคุมโดยประเทศที่ถือเป็นศัตรูของอเมริกา

วันศุกร์ที่ผ่านมา (19 เม.ย.) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเอ็กซ์ หรือทวิตเตอร์ในอดีต ออกมาต่อต้านการแบนติ๊กต็อกโดยระบุว่า แม้การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลดีต่อเอ็กซ์ แต่เป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้คน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top