Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

‘เอกนัฏ’ เดินหน้าพิจารณายกเลิกเหล็ก IF ลั่น พร้อมจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญให้สิ้นซาก

‘เอกนัฏ’ สั่งเดินหน้าพิจารณาทบทวนยกเลิกการรับรองมาตรฐานเหล็ก IF ชี้เป็นเทคโนโลยีที่ก่อมลภาวะ และควบคุมคุณภาพให้สม่ำเสมอทำได้ยาก ตัวอย่างเช่นเหล็กตกคุณภาพซิน เคอ หยวน สตีล (SKY) พร้อมเดินหน้าจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอื่น ๆ ให้สิ้นซาก

(21 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เรื่องเหล็กตกคุณภาพที่ผลิตโดย บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด (SKY) ซึ่งโรงงานได้ถูกปิดไปเมื่อเดือนธันวาคม 2567 พบข้อพิรุธหลายประเด็นในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่อง “ฝุ่นแดง” ซึ่งได้มีการขยายผลไปสู่การเพิกถอนสิทธิประโยชน์ BOI  และการสืบสวนร่วมกับดีเอสไอ โดยขอหมายศาลเข้าเก็บหลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 

ส่วนอีกประเด็นที่มีความสำคัญต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็ก คือการทบทวนให้ยกเลิกการรับรองมาตรฐานเหล็กที่ผลิตโดยกระบวนการใช้เตาอินดักชั่น Induction Furnace (IF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ดึงสิ่งสกปรกออกจากน้ำเหล็กได้ยาก รวมทั้งเป็นเตาแบบระบบเปิด สร้างมลภาวะฝุ่นและก๊าซพิษจากการผลิตเหล็กที่มากกว่า ถึงแม้ในทางทฤษฎีจะสามารถผลิตเหล็กที่มีคุณภาพได้ แต่ในกระบวนการผลิตจริง การควบคุมคุณภาพให้สม่ำเสมอนั้นทำได้ยาก ผู้ประกอบการจะต้องใส่ใจและเข้มงวดในการใช้วัตถุดิบคุณภาพดี มีกระบวนการปรับปรุงควบคุมคุณภาพอย่างละเอียด 

นายเอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยออก มาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก.เหล็กข้ออ้อย มารับรอง IF ตั้งแต่ปี 2559 ผู้ผลิตอย่าง SKY ได้รับ มอก.ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งนับตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีฯ ได้ให้นโยบายชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอย นำโดยนางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบ ระงับการผลิตและจำหน่าย รวมทั้งอายัดเหล็กจากหลายบริษัทที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งทั้งหมดพบว่าเป็นเหล็ก IF รวมถึงทาง SKY ด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการที่ผลิตเหล็กจากเตา IF ไม่สามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบให้มีคุณภาพที่ดีได้ โดยปัจจุบันเทคโนโลยีที่ผลิตเหล็กด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า Electric Arc Furnace (EAF) ที่ใช้ไฟฟ้าในการหลอมเหล็ก จะสามารถดึงสิ่งสกปรกออกจากน้ำเหล็กได้ดีกว่าเตา IF และเป็นเตาแบบระบบปิด สร้างมลภาวะฝุ่นและก๊าซพิษน้อยกว่า ควบคุมคุณภาพได้ง่ายและสมํ่าเสมอกว่า 

สำหรับการหารือกับสมาคมผู้ผลิตเหล็กและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทราบว่าปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีกำลังการผลิตเหล็กด้วย EAF ถึง 4.3 ล้านตัน เพียงพอต่อความต้องการเหล็กเส้นในประเทศ 2.8 ล้านตัน จึงเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะพิจารณายกเลิกเหล็กที่ผลิตแบบ IF ซึ่งตามกฎหมาย พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หากมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือระบบเศรษฐกิจ คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) สามารถพิจารณาและมีมติ ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมสามารถออกประกาศกระทรวงปรับแก้ไขยกเลิกการรับรองมาตรฐานเหล็ก IF ได้ โดยดำเนินการตามกรอบกฎหมายต่อไป 

"ผมได้ลงนามในหนังสือ ขอให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธาน กมอ. บรรจุวาระเพื่อพิจารณาทบทวนยกเลิก IF แล้ว และจนกว่าจะยกเลิก IF ก็คงจะต้องออกสำรวจตรวจจับ เสมือนแมวจับหนู สู้แก้ปัญหาแบบถอนราก จะได้ไปจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอื่น ๆ ให้สิ้นซากต่อไป" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว 

จดหมายจาก ‘แกรนด์ดยุกอดอล์ฟ’ แห่งลักเซมเบิร์กสู่บางกอก ร่องรอยแห่งมิตรภาพข้ามทวีปในยุคสมัย ‘รัชกาลที่ 5’

(21 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เผยแพร่เรื่องราวน่าทึ่งจากประวัติศาสตร์ซึ่งเชื่อมโยงโลกตะวันตกกับสยามในยุครัชกาลที่ 5 ผ่านจดหมายจากแกรนด์ดยุกอดอล์ฟแห่งลักเซมเบิร์กถึงกรุงเทพฯ โดยมีผู้รับคือ “F. Grahlert” ช่างอัญมณีหลวงผู้มีบทบาทสำคัญในการออกแบบและสร้างเครื่องราชูปโภคให้กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในปี ค.ศ. 1906 (พ.ศ. 2449) โปสการ์ดตอบกลับจากแกรนด์ดยุกอดอล์ฟแห่งลักเซมเบิร์ก ถูกส่งข้ามทวีปมายังชายฝั่งบางกอก โดยมีปลายทางคือบริษัท “F. Grahlert & Co.” - ช่างอัญมณีผู้ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้ดูแลเครื่องราชูปโภคของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งสยาม

โปสการ์ดดังกล่าวลงวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1906 จากเมืองลักเซมเบิร์ก และเดินทางถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 8 สิงหาคมของปีเดียวกัน นี่ไม่ใช่เพียงแค่หลักฐานทางไปรษณีย์ แต่เป็นหน้าต่างที่เปิดให้เรามองเห็นโลกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักสยามกับโลกตะวันตกผ่านเส้นทางการค้าและศิลปะ

ตามบันทึกในหนังสือ Twentieth Century Impressions of Siam (1908) โดย Arnold Wright และ Oliver T. Breakspear F. Grahlert ได้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ ประมาณปี ค.ศ. 1890 ในฐานะช่างอัญมณีหลวง ก่อนจะเปิดร้านของตนเองใกล้พระบรมมหาราชวัง ซึ่งถือเป็นร้านจำหน่ายและออกแบบเครื่องประดับแห่งแรกของกรุงเทพฯ ในสไตล์ยุโรป

Grahlert ไม่เพียงแต่รับใช้ราชสำนักเท่านั้น แต่ยังมีช่างฝีมือชาวไทยมากกว่า 50 คนในร้าน ซึ่งสามารถรังสรรค์เครื่องประดับทองและเงินด้วยศิลปะที่ประณีต ทั้งในแบบไทยดั้งเดิมและแบบตะวันตก งานของ Grahlert ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่สุดของความวิจิตรในยุคนั้น

ความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักสยามกับ Grahlert ไม่ใช่เพียงเรื่องของเครื่องประดับหรือสินค้าแฟชั่น หากแต่คือความไว้วางใจระดับสูงสุด ในการรังสรรค์สัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจ - ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎ พานทอง หรือเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ต้องใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ

วันนี้ อาคารร้าน F. Grahlert ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่โปสการ์ดจากแกรนด์ดยุกอดอล์ฟ ในนามแห่งยุโรป กลับยังเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าครั้งหนึ่ง ช่างอัญมณีจากต่างแดนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนักไทย และฝากร่องรอยศิลปะไว้ในประวัติศาสตร์แห่งรัชกาลที่ 5 อย่างงดงาม

“อัญมณีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ หากเป็นความศรัทธาที่ร้อยเรียงความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับโลก” — ปราชญ์ สามสี

‘โป๊ปฟรานซิส’ ผู้นำแห่งศรัทธา สิ้นพระชนม์อย่างสงบ ขณะมีพระชนมายุ 88 พรรษา ท่ามกลางความโศกเศร้าของคริสตชน

(21 เม.ย. 68) สำนักวาติกันออกแถลงการณ์ในช่วงค่ำของวันจันทร์ (21 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส หรือ โป๊ปฟรานซิส ประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิก ได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างสงบ ขณะมีพระชนมายุ 88 พรรษา ท่ามกลางความโศกเศร้าของคริสตชนทั่วโลก

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งมีพระนามเดิมว่า ฮอร์เก มาริโอ แบร์โกกลิโอ ประสูติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระสันตะปาปาลำดับที่ 266 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) ต่อจากสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ทรงสละตำแหน่ง ทรงเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกจากทวีปอเมริกาใต้ และองค์แรกจากภายนอกยุโรปในรอบกว่า 1,200 ปี

ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีแห่งการทรงงาน โป๊ปฟรานซิสเป็นที่จดจำในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณที่เรียบง่าย อ่อนน้อม และมุ่งมั่นในการปฏิรูปคริสตจักร ทรงยึดหลักแห่งความเมตตา การให้อภัย และความเท่าเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของมนุษย์ทุกศาสนา

หนึ่งในสาส์นที่ทรงเน้นย้ำเสมอ คือ ความห่วงใยต่อคนยากไร้และผู้ถูกกดขี่ในสังคม พระองค์ทรงเดินทางเยือนประเทศต่างๆ กว่า 50 ประเทศ รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชีย เพื่อสร้างสะพานแห่งสันติภาพและความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม

ทางสำนักวาติกันจะมีการประกาศกำหนดการพระราชพิธีฝังพระศพอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ โดยมีผู้นำระดับโลกและผู้นับถือศาสนาคริสต์คาทอลิกทั่วโลกร่วมไว้อาลัย

“เราจำพระองค์ได้ในฐานะศิษยาภิบาลแห่งประชากรของพระเจ้า ผู้ทรงรักและฟังเสียงของผู้อ่อนแอที่สุดในหมู่เรา” คำแถลงจากวาติกันระบุ

ปักกิ่งลั่น…ขอไม่ทนกับการกลั่นแกล้งจากสหรัฐฯ ที่ใช้นโยบายเลือกข้างเป็นอาวุธ หวังตัดจีนพ้นเวทีเศรษฐกิจ

(21 เม.ย. 68) กระทรวงพาณิชย์ของจีนออกแถลงการณ์เตือนประเทศคู่ค้าไม่ให้ยอมรับแรงกดดันจากสหรัฐฯ ในการจำกัดความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน เพื่อแลกกับการยกเว้นภาษีศุลกากร โดยระบุว่าจีนจะดำเนินมาตรการตอบโต้หากผลประโยชน์ของตนถูกละเมิด 

โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าวว่า จีน “คัดค้านอย่างหนักแน่น” ต่อแนวทางดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการบิดเบือนกลไกการค้าสากลและทำลายหลักการของการค้าเสรีอย่างร้ายแรง 

“การประนีประนอมไม่ได้นำมาซึ่งสันติภาพ และการประนีประนอมไม่ได้สร้างความเคารพ” โฆษกกล่าว พร้อมย้ำว่า “การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวชั่วคราวโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น เพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่าข้อยกเว้น เปรียบเสมือนการขอหนังเสือ สุดท้ายแล้วเสือจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ และจะส่งผลเสียต่อทั้งผู้อื่นและตัวเราเอง”

“จีนจะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆ ที่ไม่เคารพต่อผลประโยชน์ของจีน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดินหน้าตามแนวทางนี้ จีนพร้อมจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด”

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าว Bloomberg และ Financial Times รายงานตรงกันว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นเครื่องต่อรอง เพื่อชักจูงประเทศคู่ค้า เช่น เม็กซิโก เวียดนาม หรือชาติอาเซียน ให้ลดการนำเข้าเทคโนโลยีหรือสินค้าจากจีน รวมถึงจำกัดการลงทุนของบริษัทจีนในภาคส่วนยุทธศาสตร์

ท่าทีดังกล่าวของสหรัฐฯ ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจผ่านวิธีการ “แยกเศรษฐกิจ” (Decoupling) ซึ่งทำลายหลักความเป็นธรรมในการค้าระหว่างประเทศ และสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกในภาพรวม

สถานการณ์นี้ส่งผลให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากทั้งสองฝ่าย โดยจีนพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับภูมิภาคนี้ ขณะที่สหรัฐฯ พยายามจำกัดอิทธิพลของจีนในภูมิภาค 

ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยนักวิเคราะห์เตือนว่าความขัดแย้งที่ยืดเยื้ออาจชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก

สำหรับประเทศไทยและประเทศในอาเซียน การรักษาสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจนี้เป็นสิ่งที่ท้าทาย โดยต้องพิจารณาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในระยะยาว

‘รศ.ดร.ปิติ’ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เสนอ 10 ข้อรับมือระเบียบโลกใหม่ ท่ามกลางความขัดแย้งสหรัฐ-จีน

(21 เม.ย. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีของไทย เสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอ 10 ข้อ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก

ในจดหมายดังกล่าว รศ.ดร.ปิติชี้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ “สามห่วงโซ่มูลค่า” (Global Value Chains – GVCs) นำโดยสหรัฐฯ จีน และกลุ่มประเทศอื่นๆ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศอย่างถาวร ประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนจึงควรมีบทบาทเชิงรุกในการวางยุทธศาสตร์กับมหาอำนาจ และผลักดันผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ

10 ข้อเสนอสำคัญของ รศ.ดร.ปิติ ประกอบด้วย

1. เปิดรับแนวคิดใหม่ (New Mindset) ต่อระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป

2. บูรณาการความรู้แบบสหสาขาวิชา โดยยึดผลประโยชน์ของชาติ

3. วางยุทธศาสตร์เชิงลึกต่อสหรัฐฯ จีน และบทบาทนำในอาเซียน

4. ใช้มิติความมั่นคง-การเมืองเป็นอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ

5. ขยายตลาดสินค้าไทยในจีน พร้อมเจรจาควบคุมสินค้านำเข้าจากจีน

6. ใช้อาเซียนเป็นกลไกเพิ่มอำนาจต่อรองในระดับภูมิภาค

7. มองหาโอกาสในขั้วโลกใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มโลกมุสลิม

8. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยยกระดับการบริโภคภายใน

9. เสริมเสถียรภาพการเงิน การคลัง และทุนสำรองของประเทศ

10. ใช้ Soft Power ทางวัฒนธรรม มนุษยธรรม และความร่วมมือพหุภาคี

นอกจากนี้ รศ.ดร.ปิติ ยังเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนากลไก “Friends of Thailand” เพื่อสร้างเครือข่ายสนับสนุนผลประโยชน์ของชาติในเวทีโลก พร้อมแนบลิงก์บทความฉบับเต็มจาก The Standard สำหรับการศึกษารายละเอียดเชิงลึกของแต่ละข้อเสนอ (https://thestandard.co/new-world-order-thailand-strategy/)

ท้ายจดหมาย รศ.ดร.ปิติ ระบุว่า เนื่องจากเป็นเพียงนักวิชาการคนหนึ่ง จึงไม่มีช่องทางสื่อสารโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี จึงขอให้ประชาชนช่วยกันแชร์เนื้อหานี้ เพื่อให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องมีโอกาสได้พิจารณา

จีนยกเลิกดีล ‘โบอิ้ง’ 179 ลำ มูลค่า 6.5 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมส่งคืนรัวๆ ยักษ์บินอเมริกันเครื่อง ‘737 MAX’

(21 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกคำสั่ง “ล้มโต๊ะ” ข้อตกลงซื้อเครื่องบินจากบริษัทโบอิ้ง (Boeing) ของสหรัฐฯ ที่มูลค่าพุ่งสูงถึง 6.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 24 ล้านล้านบาทไทย) โดยในวันนี้ มีรายงานว่า เครื่องบิน ‘โบอิ้ง 737 MAX’ อย่างน้อย 2 ลำ ได้ถูกส่งคืนให้แก่โบอิ้งอย่างเป็นทางการแล้ว

ดีลนี้ถือเป็นหนึ่งในคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การบินพาณิชย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือเชิงเศรษฐกิจระหว่างสองชาติมหาอำนาจ ทว่าการยกเลิกในครั้งนี้กำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมการบินโลก

แหล่งข่าวจากรัฐบาลจีนระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 145% ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% ซึ่งรวมถึงเครื่องบินโบอิ้งด้วย

ล่าสุด แรงสะเทือนจากสถานการณ์ดังกล่าวยังลุกลามไปยังสายการบินอื่นๆ นอกเหนือจากจีน โดย ไมเคิล โอเลียรี (Michael O'Leary) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของสายการบินต้นทุนต่ำชื่อดัง Ryanair กล่าวกับ Financial Times ว่า บริษัทของเขาอาจ เลื่อนการรับมอบเครื่องบินจาก Boeing หากราคายังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เราอาจจะเลื่อนการรับมอบออกไป และหวังว่าสามัญสำนึกจะเข้ามาแทนที่” O'Leary ระบุ พร้อมชี้ว่า Ryanair มีกำหนดรับเครื่องบินอีก 25 ลำตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ แต่ยังไม่จำเป็นต้องใช้งานจนกว่าจะถึงเดือนมีนาคมหรือเมษายน 2026

การระงับการรับมอบเครื่องบินและการส่งคืนเครื่องบินที่ผลิตเสร็จแล้วกลับสู่สหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโบอิ้ง ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงินและการแข่งขันจากผู้ผลิตเครื่องบินรายอื่น เช่น แอร์บัส (Airbus) และ โคแม็ค (COMAC) ของจีน

ขณะเดียวกัน จีนมีแนวโน้มจะหันไปหนุน COMAC (ผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติจีน) อย่างเต็มตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า เครื่องบินรุ่น C919 จะเข้ามาทดแทนการนำเข้าเครื่องจากตะวันตกในอนาคตอันใกล้ 787
.
ด้าน Airbus คู่แข่งจากฝั่งยุโรปก็ไม่ได้รอดพ้นจากแรงกระแทกของห่วงโซ่อุปทานที่สั่นคลอน โดย กิลเลียม โฟรี (Guillaume Faury) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Airbus กล่าวกับผู้ถือหุ้นเมื่อวันอังคารว่า บริษัทกำลังเผชิญปัญหาในการรับชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์สัญชาติอเมริกันอย่าง Spirit AeroSystems ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการผลิตเครื่องบินรุ่น A350 และ A220

“เรากำลังจับตาดูสถานการณ์ภาษีและความผันผวนทางการค้าอย่างใกล้ชิด” โฟรีระบุ

ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่า การยกเลิกคำสั่งซื้อครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อยอดขายของโบอิ้ง แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงแรงกระเพื่อมในความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่นับวันยิ่งห่างไกลจากคำว่า “พันธมิตร” มากขึ้นทุกที

วิเคราะห์เชิงตัวเลข ศึกชิง สส.เขต 8 นครศรีฯ นับถอยหลังโค้งสุดท้ายใครจะเข้าวิน อีก 7 วันรู้ผล

(21 เม.ย. 68) ศึกชิงเก้าอี้ สส.เขต 8 นครศรีฯเกิดจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” สส.เขต 8 นครศรีฯ พรรคภูมิใจไทย ตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พูดง่ายๆคือให้ใบแดงนั้นเอง

กกต.กำหนดให้เลือกตั้งวันที่ 27 เมษายน 2568 มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 6 คน จาก 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย
หมายเลข 1 : ไสว เลื่องสีนิล จากพรรคภูมิใจไทย สามีของมุกดาวรรณนั้นเอง
หมายเลข 2 : ชินวรณ์ บุณยเกียรติ จากพรรคประชาธิปัตย์ อดีต สส.เขตนี้ 9 สมัย
หมายเลข 3 : ณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง จากพรรคประชาชน
หมายเลข 4 : ว่าที่พันตรี กวี ไกรทอง จากพรรคพร้อม
หมายเลข 5 : ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ลูกเขยของชินวรณ์
หมายเลข 6 : พิษณุ รสมาลี จากพรรคทางเลือกใหม่

อาจกล่าวได้ว่า สนามเลือกตั้งนี้ สูสีกันมาก ไม่มีใครกล้าฟันธงว่า ใครจะเข้าวิน มีแต่พูดกันในแวดวง หรือโต๊ะกาแฟ แต่ภาพกว้างๆ คือ มีผู้สมัครจากพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ กล้าธรรม และภูมิใจไทย และซีกฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชน ส่วนพรรคพร้อม และพรรคทางเลือกใหม่ ยังไม่มี สส.ในสภา บางคนอาจจะมองว่า พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคแย่งคะแนนกันเอง อาจจะกอดคอกันแพ้ และทำให้ตาอยู่อย่างพรรคประชาชนคว้าพุงปลามันไปกิน แต่ในทางการเมืองไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า คนใต้ยังไม่ให้โอกาสกับพรรคประชาชนในทุกสนามเลือกตั้ง ยังติดภาพของ ม.112 และการหาเสียงครั้งนี้การพยายามสร้างกระแสนั้น กระแสยังไม่ขึ้น ไม่เหมือนครั้งการเลือกตั้งที่ราชบุรี หรือพิษณุโลก

ส่วนพรรคซีกรัฐบาล 3 พรรค น่าจะคนละฐานเสียงกัน ต่างพรรคต่างคนต่างก็มีฐานของตัวเอง งานนี้ใครจัดตั้งได้ดี มีเครือข่ายเหนียวแน่นจึงมีโอกาสชนะ ผมคงไม่วิเคราะห์ในเชิงของการใช้ปัจจัยชี้นำ

ขออนุญาตที่จะวิเคราะห์ในเชิงตัวเลข โดยภาพรวมประชากร 150,000 คน จะมี สส.ได้ 1 คน กล่าวสำหรับเขต 8 นครศรีฯ อันประกอบด้วย ฉวาง ช้างกลาง นาบอน และพิปูน และฐานใหญ่อยู่ที่ฉวาง

อ.ฉวาง ถิ่นของชินวรณ์ และก้องเกียรติ มีประชากร 64,749 คน อ.ช้างกลาง ถิ่นของไสว มีประชากร 28133 คน พิปูน ถิ่นของณัฐกิตติ์ มีประชากร 28808 และนาบอน มีประชากร 26046 คน โดยรวมแล้วมีประชากร 147,735 คน น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ 2265 คน

ประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เอาตัวเลขกลมๆ ประมาณ 120,000 คน สมมุติว่า มาใช้สิทธิ์ 60% ก็น่าจะมีตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ 72,000 กว่าคน ประมาณการณ์ได้ว่า ผู้สมัครคนใดทำคะแนนได้เกิน 20,000 ต้นๆ ก็จะมีสิทธิ์คว้าชัยชนะ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” ที่เคยชนะก็มีคะแนน 20,000 ต้นๆ ตามด้วย สุนทร รักษ์รงค์ จากพรรคพลังประชารัฐ เกือบ 18.000 คะแนน

ชินวรณ์ ก้องเกียรติ และไสว มีโอกาสที่จะทำคะแนนถึง 20.000 ใกล้เคียงกัน ส่วนฐานเดิมของพรรคประชาชน ก็อยู่ในหลักหมื่นต้นๆ ด้วยชินวรณ์เคยเป็น สส.เขตนี้มายาวนานโครงสร้างเครือข่ายยังมีอยู่ แต่ประมาทไสวไม่ได้กับการเป็น สส.มาสองปีของภรรยา และยังเคยเป็น ส.อบจ.มาก่อนด้วย ย่อมจะสร้างเครือข่าย สร้างฐานมวลชนไว้ไม่น้อย ประกอบกับไสวเคยเป็นครูในย่านนี้ลูกศิษย์ลูกหามีอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกันกับก้องเกียรติ ที่เคยเป็น ส.อบจ.ฉวางมาก่อน ย่อมจะมีเครือข่าย ฐานมวลชนอยู่ในมือเป็นกอบเป็นกรรม เพียงแต่ว่าช่วง 20 กว่าวันของการหาเสียงกับอีก 7 วันสุดท้าย ใครจะทำอะไรได้มากกว่ากัน มากกว่าการที่ใจถึงควักจ่ายมากกว่ากัน

พรรคภูมิใจไทยอย่าได้คิดว่า จะเอาคะแนนของมุกดาวรรณ กับคะแนนของสุนทรมารวมกันแล้ว มีคะแนนเกือบ 40,000 แล้วจะชนะ เพราะไม่ควรลืมว่า คราวนี้สุนทรไม่ได้ลงสมัครเอง คะแนนเดิมของสุนทรอาจจะแกว่งไปไหนก็ได้ เช่นกันคะแนนที่เคยเลือกมุกดาวรรณ อาจจะแปลเปลี่ยนไปเลือกใครก็ไม่รู้ กับบาดแผล “ใบแดง” หรือว่าใบแดงอาจจะแปรเป็นคะแนนสงสารก็ได้

โค้งสุดท้ายแล้ว หรือมวยยกสุดท้าย สำหรับศึกเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ เขาจึงได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคลงไปเต็มพื้นที่แล้ว 27 เมษายน วันพิพากษาของประชาชน ใครจะเดินเข้าวิน กองเชียร์ระทึกครับ

โค้งสุดท้ายก่อนปิดรับสมัคร ‘DAD NIDA’ รุ่นที่ 10 สุดยอดหลักสูตรพัฒนาผู้นำยุคดิจิทัลตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคใหม่

(21 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘DAD NIDA’ เพจประชาสัมพันธ์หลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนสมัครเรียนโครงการ DAD NIDA รุ่นที่ 10 ระบุว่า…

ถ้าคุณกำลังมองหาหลักสูตรผู้บริหารที่ช่วยยกระดับศักยภาพและเครือข่าย DAD NIDA รุ่นที่ 10 คือคำตอบ พบกับวิทยากรชั้นนำจากหลายวงการ
เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ การันตีคุณภาพโดย NIDA

✨ Key Highlights ที่คุณไม่ควรพลาด ✨
🔹 เนื้อหาปรับปรุงใหม่ตอบโจทย์โลกอนาคต
✅ Speed Networking – ขยายคอนเนคชันทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว
✅ DAD Executive Networking Night – สร้างเครือข่ายกับผู้บริหารระดับแนวหน้า
✅ DAD Site Visit – เรียนรู้จากองค์กรชั้นนำผ่านการเยี่ยมชมสถานที่จริง
🔹 New Curriculum
📌 องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาผู้นำยุคใหม่
📌 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมต่างๆ
📌 อัปเดตเทรนด์ดิจิทัลสำคัญ
📌 พัฒนา soft skill ด้านภาวะผู้นำในยุคดิจิทัล

🔹 หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร
✅ ภาคเอกชน – ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ
✅ ข้าราชการและองค์กรภาครัฐ – ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการทูต ข้าราชการตำรวจ นายทหาร และผู้บริหารในองค์กรภาครัฐ
✅ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสื่อและสังคม – สื่อมวลชน ศิลปิน ดารา พิธีกร ผู้บริหารภาคประชาสังคม มูลนิธิ ngos สมาคม

ก้าวสู่การเป็นผู้นำยุคดิจิทัลกับหลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาผู้บริหารและผู้นำแห่งอนาคต 🕊️
📅 สมัครได้แล้ววันนี้ - 30 เมษายน 2568
📌 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.dadnida.com
👉 ลงทะเบียน https://forms.gle/roAqiV7U1p4oCdSa9
📞 สอบถามเพิ่มเติม โทร. 092-728-6722

‘ครูเดวิด’ ฟาดฝรั่งพูดหนีห่าวเหยียด ‘ทราย สก๊อต’ ชี้ดูถูกคนไทยมากไปแล้ว!

(21 เม.ย. 68) หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงในสังคมออนไลน์ จากกรณี “ทราย สก๊อต” นักอนุรักษ์ทะเลชื่อดัง เจ้าของฉายา “มนุษย์เงือก” หรือ “อควาแมนเมืองไทย” โพสต์คลิปเหตุการณ์ขณะเกิดการปะทะคารมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรายหนึ่งที่แสดงพฤติกรรมเชิงเหยียดเชื้อชาติ ด้วยการทักทายว่า ‘หนีห่าว’

ในคลิปดังกล่าว ทรายสก๊อตได้ตักเตือนนักท่องเที่ยวรายนั้นถึงความไม่เหมาะสมของคำพูด ซึ่งสะท้อนการเหมารวมและเหยียดชาวเอเชียอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ได้รับคำขอโทษหรือท่าทีสำนึกใด ๆ จากอีกฝ่าย จึงตัดสินใจสั่งให้เรือเดินทางกลับฝั่ง พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่า การเหยียดคนไทยหรือชาติพันธุ์ใด ๆ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในแผ่นดินไทย

ต่อมา “ครูเดวิด วิลเลี่ยม” (David William) ติ๊กต็อกเกอร์ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และมีผู้ติดตามกว่า 3 ล้านคน ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนต่อเหตุการณ์นี้ผ่านช่องทางโซเชียลของเขา โดยระบุว่า

“ฝรั่งเขาดูถูกคนไทย แล้วพี่รับไม่ได้… คุณมาเที่ยวประเทศที่โคตรสวยงาม การรับผิดชอบเบื้องต้น ไม่เอาขยะทิ้งลงทะเล ไม่ใช่เรื่องยาก มันเป็นสิ่งที่ควรทำ... แต่บางคนกลับมองว่า เมืองไทยคือที่ที่อยากทำอะไรก็ได้ เพราะมีเงิน และไม่ต้องให้เกียรติคนท้องถิ่น...”

เขายังเสริมอย่างตรงไปตรงมาว่า คำว่า ‘หนีห่าว’ กลายเป็นคำพูดที่ฝรั่งใช้ในเชิงเหมารวมคนเอเชียว่าเป็นคนจีน ทั้งที่ผู้รับคำพูดนั้นไม่ใช่ และถือเป็นการดูถูกที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมที่เปิดกว้างเช่นนี้

“ทำไมฝรั่งมาประเทศไทยแล้วรู้สึกว่าทำอะไรก็ได้? เป็นเพราะเขาดูถูกพวกเรา… ความใจดีของคนไทย อ่อนน้อม เกรงใจ เป็นสิ่งที่สวยงาม แต่บางที… ความน่ารักของเราก็ต้องมีขอบเขต”

เขาทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นว่า หากชาวต่างชาติไม่เคารพกฎหมายหรือวัฒนธรรมไทย ก็ควร “กลับบ้านไปเลย” พร้อมเสนอแนวคิดว่า คนไทยควร “เกรงใจฝรั่งให้น้อยลง” เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางวัฒนธรรม และไม่เปิดช่องให้ใครมาหยามศักดิ์ศรีคนไทยบนผืนแผ่นดินตัวเอง

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตหลายคนร่วมแสดงความเห็นสนับสนุนทั้งทรายและครูเดวิด โดยเฉพาะในประเด็นความเท่าเทียม การเคารพซึ่งกันและกัน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมของทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top