Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

'พล.ต.อ.ธัชชัยฯ' จับมือ UNODC อัปเดตสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงในภูมิภาคอาเซียน พร้อมหารือวิธีการแก้ไขปัญหา

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) และหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 เวลา 19.00 น. ได้รับเชิญไปอภิปรายในงาน Expert Panel on Scam Centers and Cybercrime in the Mekong Region ซึ่งจัดโดย UNODC โดยมีผู้แทนจากสถานทูต ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ และประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมรับฟัง ณ Foreign Correspondents Club สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย อาคารมณียา ถ.เพลินจิต แขวงและเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่มักใช้พื้นที่ตามแนวชายแดนของไทยและประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานปฏิบัติการ โดยกลยุทธ์หลักที่ประเทศไทยนำมาใช้  มุ่งเน้นไปที่การทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เอื้อต่อการก่ออาชญากรรมของแก๊งเหล่านี้คือ “ยุทธการระเบิดสะพานโจร” ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 
1. ระบบสัญญาณอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ (ซิม สาย เสา) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการติดต่อสื่อสารและดำเนินการหลอกลวงผู้เสียหาย 
2. บัญชีธนาคารและบัญชีสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางในการรับโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงและดำเนินการฟอกเงิน 
3. กลุ่มมิจฉาชีพ (สแกมเมอร์) ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เป็นผู้ปฏิบัติการหลักในการหลอกลวงผู้เสียหายโดยตรง การตัดทำลายรากฐานเหล่านี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อศักยภาพในการก่ออาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้การดำเนินการหลอกลวงเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นองค์กรข้ามชาติ การทลายเครือข่ายและการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานในประเทศที่แก๊งเหล่านี้ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่

ในปีนี้ประเทศไทยได้แสดงบทบาทสำคัญในการร่วมมือและให้ความช่วยเหลือ ในกระบวนการส่งกลับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันได้ดำเนินการส่งกลับชาวต่างชาติแล้ว 7,177 ราย จาก 33 ประเทศ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขอความร่วมมือไปยังประเทศต้นทางให้ทำการสัมภาษณ์และส่งมอบข้อมูล รวมถึงพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อให้สามารถนำไปขยายผลในการปราบปรามและดำเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยังได้กล่าวถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นกับประเทศจีน , ญี่ปุ่น และกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำคัญในการจับกุมกลุ่มขบวนการ ทั้งในระดับหัวหน้าและสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นจำนวนมาก และเชื่อมั่นว่าการประสานงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติอย่างยั่งยืน

ด้าน นายเบเนดิกต์ ฮอฟแมนน์ ผู้แทนภูมิภาค UNODC เปิดเผยว่า UNODC ได้ติดตามและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวขององค์กรอาชญากรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และพบว่ามีการเติบโตอย่างรวดเร็วและขยายขอบเขตการปฏิบัติงานอย่างมาก ไม่เพียงแต่ขยายวงกว้างการหลอกลวงไปยังผู้เสียหายในหลากหลายภูมิภาคนอกเหนือทวีปเอเชีย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและจิตใจมากขึ้น และขยายพื้นที่ปฏิบัติการไปยังหลายประเทศทั่วโลกเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือองค์กรเหล่านี้ยังแตกแขนงไปก่ออาชญากรรมในรูปแบบอื่นๆ ที่มีความร้ายแรงมากยิ่งขึ้น เช่น การผลิตและค้ายาเสพติดให้กับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคอื่นๆ

ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ในประเทศไนจีเรีย ซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวจีน , ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยมีกลุ่มอาชญากรชาวจีนซึ่งเดิมตั้งฐานอยู่ในภูมิภาคอาเซียนเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง UNODC ประเมินว่าปัจจุบันมีผู้ถูกหลอกลวงให้เข้าไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 56 ประเทศทั่วโลก โดยมีแนวโน้มการขยายเป้าหมายไปยังประเทศที่ประชากรมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสได้ดี และในระยะหลังเริ่มปรากฏแนวโน้มการรับสมัครสแกมเมอร์ที่จากประเทศเกาหลีซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรที่รายได้สูง

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นายฮอฟมันน์ฯ ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนผู้ที่สมัครใจ ที่จะเข้าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจที่ซับซ้อน นอกจากนี้ องค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ยังเริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการหลอกลวงในรูปแบบที่ซับซ้อนและแนบเนียนยิ่งขึ้น เช่น การสร้างภาพและเสียงปลอมแปลง (Deepfake) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของกลุ่มอาชญากรเหล่านี้อย่างน่ากังวล

ผู้แทนภูมิภาค UNODC กล่าวว่า องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้มีความซับซ้อนและมีขนาดใหญ่มาก ส่งผลให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งในการปราบปรามและดำเนินคดี อีกทั้งความพยายามในการกวาดล้างของรัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในแต่ละประเทศ ยังนำไปสู่การปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบการกระทำความผิด การฟอกเงิน และการสรรหาแสกมเมอร์ ซึ่งอาจทำให้การปราบปรามยากลำบากยิ่งขึ้น

ด้าน นายจอห์น วอยชิค นักวิเคราะห์ประจำภูมิภาคของ UNODC ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอาชญากรรม กล่าวถึงการปรากฏตัวของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่ทำหน้าที่ในการฟอกเงินโดยเฉพาะ ซึ่งเปรียบเสมือน "สถาบันการเงินเถื่อน" ที่ให้บริการทางการเงินแก่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคอาเซียน แต่ปัจจุบันได้ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังภาคส่วนอาชญากรรมอื่นๆ เช่น การค้ายาเสพติด, กลุ่มแฮกเกอร์, กลุ่มค้าสื่อลามกอนาจารเด็ก และกลุ่มการค้ามนุษย์ ในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายอาชญากรรมที่เชื่อมโยงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

นายวอยชิค ยังได้กล่าวถึงกรณีของ HuiOne Guarantee ซึ่งเป็นตลาดมืดออนไลน์ที่ซื้อขายสินค้าและบริการผิดกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์และบริการครบวงจรสำหรับการจัดตั้งและบริหารแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการขายข้อมูลส่วนบุคคล, ซอฟต์แวร์ และระบบที่ใช้ในการหลอกลวง นอกจากนี้ เพื่อป้องกันการถูกอายัดทรัพย์สินและหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย ยังมีการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตนเองชื่อ HuiOne Blockchain และ USDH เพื่อใช้เป็นช่องทางในการชำระเงินภายในแพลตฟอร์มอีกด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะการฟอกเงินในรูปแบบบริการ (Laundering as a Service) และอาชญากรรมในรูปแบบบริการ (Crime as a Service) นั้น เป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมให้เหล่าอาชญากรสามารถกระทำความผิดได้ง่ายขึ้น ในวงกว้างมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ทั้งนี้ นายฮอฟแมนน์ กล่าวเสริมย้ำถึงความรุนแรงของปัญหาว่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วในแง่ของเงินทุน, โอกาสในการทำงานที่ล่อลวง, การเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการก่ออาชญากรรม และการพัฒนาระบบเครือข่ายที่เข้มแข็งมากขึ้น เป็นสิ่งที่ภูมิภาคอาเซียนไม่เคยเผชิญมาก่อน รัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจึงจำเป็นต้องมีแนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหารูปแบบใหม่ ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถติดตามและจัดการกับอาชญากรเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที และปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามที่ซับซ้อนและขยายวงกว้างนี้

ด้าน นางสาวเจนนิเฟอร์ โซห์ หัวหน้าฝ่ายการสืบสวนคดีอาชญากรรมไซเบอร์ บริษัท Group-IB ซึ่งประกอบธุรกิจด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดเผยถึงกลโกง ภัยคุกคามไซเบอร์รูปแบบใหม่: "Android Malware Scam" ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่น่าจับตามอง และมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการก่ออาชญากรรมที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยกลโกงดังกล่าวเริ่มต้นจากการหลอกลวงให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมลงบนโทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยแอปพลิเคชันปลอมเหล่านี้อาจเลียนแบบแอปพลิเคชันของหน่วยงานรัฐหรือบริษัทเอกชนต่างๆ ที่ผู้เสียหายคุ้นเคย เมื่อผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมแล้ว อาชญากรไซเบอร์จะสามารถเข้าควบคุมโทรศัพท์มือถือจากระยะไกล และทำการดูดข้อมูลสำคัญที่อยู่ในเครื่องของผู้เสียหายได้ สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ภายในแอปพลิเคชันปลอมเหล่านี้ อาจมีการหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งภาพวิดีโอใบหน้าของตนเอง โดยอ้างเหตุผลต่างๆ ซึ่งอาชญากรไซเบอร์จะนำภาพวิดีโอดังกล่าวไปใช้ในการ bypass ระบบสแกนใบหน้า (facial recognition) ของแอปพลิเคชันธนาคาร

ทางด้าน Group-IB พบว่า อาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีการ Camera Injection Tool ในการนำภาพวิดีโอใบหน้าที่ถ่ายไว้ล่วงหน้าของเจ้าของบัญชีธนาคาร อัปโหลดเข้าสู่ระบบการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าของธนาคาร ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย และทำการโจรกรรมเงินได้อย่างง่ายดาย ภัยคุกคามนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของอาชญากรไซเบอร์ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อโจมตีระบบความปลอดภัยทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือโดยตรง ผู้ใช้งานจึงควรตระหนักถึงความเสี่ยงและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือมากยิ่งขึ้น

ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ ประจำปีการศึกษา 2567

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.68) เวลา 14.30 น. พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า (นรจ.) และนักเรียนดุริยางค์ (นดย.) ที่สำเร็จการศึกษาประจำปี 2567 จากโรงเรียนชุมพลทหารเรือ โรงเรียนสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงเรียนทหารนาวิกโยธิน โรงเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนพลาธิการ โรงเรียนนาวิกเวชกิจ โรงเรียนการขนส่งทหารเรือ และโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 

ทั้งนี้มีผู้เข้ารับการประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตร จำนวน 923 นาย ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนจ่าจำนวน 909 นาย และนักเรียนดุริยางค์จำนวน 14 นาย

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือได้มอบโอวาทแก่ นักเรียนจ่าและนักเรียนดุริยางค์ทุกนาย โดยมีใจความสำคัญว่า 

"การสำเร็จการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ทหารเรือ และได้รับการประดับเครื่องหมายยศเป็น จ่าตรี ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่ควรค่าแก่การชื่นชม ความสำเร็จของทุกท่านในครั้งนี้ ล้วนเกิดจากความมุ่งมั่นวิริยะอุตสาหะ และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ขอให้มีความพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญของกองทัพเรือ ได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ สำนึกในความเป็นทหารเรือ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย มีคุณธรรม และจริยธรรม และจะต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของท่าน และกองทัพเรือสืบไป"

สำหรับการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ มีการศึกษาในรูปแบบภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยนักเรียนจ่าจะใช้ระยะในการศึกษาเป็นเวลา 2 ปี และนักเรียนดุริยางค์จะใช้เวลา 3 ปี ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย จะได้รับการประดับยศเป็น “จ่าตรี” และจะได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามสาขาวิชาการที่ได้ศึกษาในหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดตามรายละเอียดการสมัครของนักเรียนจ่าได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “นักเรียนจ่าทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานนักเรียนจ่าทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3663 ในส่วนของ รายละเอียดการสมัครของนักเรียนดุริยางค์สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ ธุรการโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3054

ความจริงก็คือความจริง!! พล.ต.อ.สมยศ เปิดใจหลังศาลยกฟ้อง ‘ไม่เคยโกรธแม้ถูกมองในแง่ลบ’ ขอบคุณกำลังใจทุกฝ่าย พร้อมทำตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ (22 เม.ย. 68) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบในคดีที่มีการเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานเพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหาคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยมี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และนายเนตร นาคสุข อดีตอัยการสูงสุด รวมทั้งพวกอีก 6 คนเป็นจำเลย

ศาลพิพากษาจำคุกนายเนตร นายเนตร นาคสุข (อดีตรองอัยการสูงสุด) 2 ปี และนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม (อดีตอัยการอาวุโส) 3 ปี ส่วนจำเลยคนอื่นยกฟ้อง โดยหลังจากศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาท จำเลยทั้งหมดยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวกับสื่อหลังการพิจารณาคดีว่า รู้สึกโล่งใจที่ตนพ้นมลทิน และขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรม ยืนยันว่าเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยและจะปฏิบัติตามคำสั่งศาล

ทั้งนี้ ศาลได้กำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งจำเลยทั้งหมดยังคงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

ละครสั้นจีนบนโลกออนไลน์ฮอตฮิตในไทย พล็อตเข้มข้น-ความยาวกระชับ ผสานกลยุทธ์การตลาดสุดแยบยล ตอบโจทย์คนดูยุคใหม่ ‘ดูไว จ่ายคล่อง’

(23 เม.ย. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระแสละครสั้นจีนได้รับความนิยมในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเติบโตของแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ด้วยจุดเด่นด้านการเล่าเรื่องกระชับ ความยาวเพียง 3-5 นาที บวกกับเนื้อหาดราม่าเข้มข้น เช่น ความขัดแย้งในครอบครัว หรือการแย่งชิงอำนาจ

ระบบอัลกอริทึมช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมดูต่อเนื่อง ทำให้หลายคนยอมจ่ายเงินเพื่อรับชมจนจบ ส่งผลให้โมเดล “ดูเป็นตอน+จ่ายต่อเนื่อง” กลายเป็นเทรนด์ใหม่ เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคคอนเทนต์ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แพลตฟอร์มอย่าง iQIYI และ Tencent Video รุกตลาดด้วยกลยุทธ์ “ละครสั้น+ละครยาว” ดึงดูดผู้ชมทั้งสายดูไวและดูยาว พร้อมเสริมด้วยต้นทุนผลิตต่ำ เรื่องราวหลากหลาย และระยะเวลาทำงานที่รวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังเผชิญความท้าทายจากเนื้อหาที่ซ้ำซาก ผู้ชมเรียกร้องแนวใหม่ๆ เช่น สืบสวน วิทยาศาสตร์ หรือชีวิตจริง ขณะที่ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ผลิต คัดเลือกเนื้อหา ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ชม

ทั้งนี้ จีนเผย ปี 2024 มีผู้ชมละครสั้นออนไลน์ถึง 662 ล้านราย คาดมูลค่าตลาดอาจแตะ 1 แสนล้านหยวนในปี 2027 โดยไทยยังคงเป็นตลาดหลักของภูมิภาคนี้ ด้วยวัฒนธรรมที่เปิดรับและความนิยมในคอนเทนต์หลากหลายจากจีน

จันทบุรี หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี จัดพิธีรำลึกโอกาสครบรอบ 40 ปีการสถาปนา

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.68) ที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พลเรือตรี ชรัมม์ภากร พรหมภากร รองผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เป็นประธานในงานวันครบรอบจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินปีที่ 40 โดยมีพิธีสงฆ์ ทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ พร้อมรำลึกถึงวีรกรรมของทหารกล้า ในโอกาสครบรอบ 40 ปีแห่งการสถาปนา โดยมีนายธวัชชัย นามสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พลตำรวจตรีผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี นาวาเอก นพโรจน์ สิริปริยพงศ์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี รวมทั้งอดีตผู้บังคับบัญชา,ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา(จันทบุรี) พร้อมผู้แทนสมาคมสื่อมวลชนและเครือข่ายจันทบุรี,หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และแขกผู้มีเกียรติร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

การจัดพิธีในครั้งนี้นอกจากเป็นการรำลึกถึงความเสียสละของกำลังพลในอดีตแล้ว ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพลในปัจจุบัน รวมถึงเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่หน่วยและครอบครัวของผู้ปฏิบัติหน้าที่

ทั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี เป็นหน่วยขึ้นตรงต่อกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เริ่มมีบทบาทมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2483–2484 ระหว่างเหตุการณ์พิพาทอินโดจีน โดยกองทัพเรือได้สนธิกำลังในนาม “กองพลจันทบุรี” เข้าปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 และ พ.ศ. 2519 ได้รับมอบหมายให้ดูแลแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงสถานการณ์ความตึงเครียด

กระทั่งวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2528 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อแบ่งเบาภารกิจด้านการควบคุมและป้องกันชายแดนที่มีความยาวและซับซ้อน โดยเน้นรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ขณะที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราดรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดตราด ตลอดระยะเวลา 40 ปี หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีได้ปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง พร้อมยึดมั่นในอุดมการณ์ ปกป้องผืนแผ่นดินไทย และจะยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่อนาคตต่อไป

เชียงใหม่-คณะพยาบาลศาสตร์ มช. เปิดตัวคณบดีและแถลงแผนมุ่งสู่ 50 อันดับแรกของโลก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภารัตน์ วังศรีคูณ คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธานกล่าวเปิดและเป็นวิทยากรในกิจกรรมการถ่ายทอดและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแผนพัฒนาการศึกษาของคณะฯ ระยะที่ 13 (2566-2570) ฉบับปรับปรุง ประจำปีงบประมาณ 2568 'Together We Rise: Building on Our Pride, Shaping Our Future' โดยมี คณะผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรเข้าร่วมรับฟัง 

ภายในงานคณบดีแถลงวิสัยทัศน์ใหม่ ได้แก่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถาบันการศึกษาพยาบาลชั้นนำระดับสากล เพื่อสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืน รวมทั้งชี้แจงเกี่ยวกับกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนองค์กร เป้าหมายที่สำคัญ ประกอบด้วย เข้าสู่ 50 อันดับแรกของโลกในการจัดอันดับของ QS Ranking by subject , Socio-economic impact 300 ล้านบาท 

และ การได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ ในระดับ Thailand Quality Class Plus : TQC Plus จากสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จและน่ายินดีที่เกิดขึ้นภายในคณะฯ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตลอดจนร่วมพูดคุยแบบเป็นกันเองในการรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมกัน 

ช่วงท้ายแนะนำเพลงใหม่ประจำคณะฯ ใช้สำหรับการสร้างความรักความผูกพันและเป็นตัวแทนสื่อถึงวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง บ้านสีแสด ร่วมแรงร่วมใจ ก่อนถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกันเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่ ณ ห้องเอ็มเพรสแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันอังคารที่ 22 เมษายน 2568

23 เมษายน พ.ศ. 2159 ‘วิลเลียม เชกสเปียร์’ เกิดและจากไปในวันเดียวกัน ราวกับบทละคร วันแห่งการระลึกถึงผู้ฝากผลงานอันเป็นนิรันดร์ ‘โรมิโอและจูเลียต’

วันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 (พ.ศ. 2159) ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกวรรณกรรม เนื่องจากเป็นวันที่ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) นักเขียนบทละครและกวีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ ได้เสียชีวิตลง ณ เมืองสแตรตฟอร์ด ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาเอง โดยมีอายุ 52 ปี แม้สาเหตุการเสียชีวิตจะไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีบันทึกระบุว่าเขาถูกฝังในวันที่ 25 เมษายน ณ โบสถ์ โฮลี ทรินิตี้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเดียวกัน

ทั้งนี้ วิลเลียม เชกสเปียร์ เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1564 หมายความว่าเขาเกิดและเสียชีวิตในวันเดียวกัน โดยเชกสเปียร์ในตอนที่ยังมีชีวิตเป็นนักเขียนที่มีผลงานที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในวงการวรรณกรรมโลก ผลงานสุดยอดของเขาได้แก่การประพันธ์ บทละคร (plays) บทกวี (poems) และ โคลง (sonnets) ที่ได้รับการแปลและแสดงในทั่วโลก ซึ่งผลงานของเชกสเปียร์ยังคงมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมสมัยใหม่และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวงการละครและการแสดง

สำหรับผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเชกสเปียร์คือ “โรมิโอและจูเลียต” (Romeo and Juliet), “แฮมเลต” (Hamlet), “แม็คเบธ” (Macbeth) และ “มคธ” (Macbeth) ที่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งและการพัฒนาอักขระในผลงานของเขาได้สะท้อนถึงชีวิตและสังคมมนุษย์ในยุคของเขาได้อย่างมีเสน่ห์ ซึ่งยังคงเป็นที่รู้จักและถูกแสดงจนถึงปัจจุบัน 

การจากไปของวิลเลียม เชกสเปียร์ในวันที่ 23 เมษายน สร้างความโศกเศร้าให้กับวงการวรรณกรรมโลก ถึงแม้ว่าจะมีความไม่แน่ชัดเกี่ยวกับเหตุผลที่แท้จริงของการเสียชีวิต แต่การจากไปของเขาในวันเดียวกับ ‘มิเกล เด เซร์บันเตส’ นักเขียนชาวสเปน นับเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในวงการวรรณกรรมโลก ทั้งสองคนถือเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีผลกระทบอย่างมากในวงการวรรณกรรมของแต่ละประเทศ

'สงกรานต์มาเลย์' ปะทะเดือดกลางห้างฯ ดัง เก้าอี้ลอยว่อน นักท่องเที่ยวเมียนมาทะเลาะวิวาทกับเจ้าถิ่น

(22 เม.ย. 68) หลังเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นในลานจอดรถกลางแจ้งของศูนย์การค้า 1 อุตามา (1 Utama) ระหว่างการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์มาเลเซีย ในวันสุดท้าย เมื่อคืนวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังมีคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่และแชร์ต่อกันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์มาเลเซีย

เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองสงกรานต์ ประจำปี 2568 จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียของมาเลเซีย หลังมีผู้บันทึกภาพวิดีโอการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่งในพื้นที่ลานจอดรถของศูนย์การค้าอุตามา 

อย่างไรก็ตาม เมื่อติดต่อสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ นายชาห์รุลนิซาม จาฟาร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจเมืองเปอตาลิงจายา เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยื่นรายงานจากตำรวจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” โดยยืนยันว่าตำรวจยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์และพิจารณาข้อเท็จจริงจากคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่

ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นมาเลเซียรายงานว่า ต้นเหตุมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและเมียนมา ทะเลาะวิวาทกันเนื่องจากมีปัญหาเรื่องเติมน้ำและการใช้ปืนฉีดน้ำ จนนำมาสู่เหตุการณ์บานปลายในท้ายที่สุด

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวไทยและได้รับความนิยมในหมู่ประชาคมไทยในมาเลเซีย ที่มักจัดกิจกรรมอย่างสนุกสนานและมีน้ำใจ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อความปลอดภัย และภาพลักษณ์ของงานที่ควรจะเป็นการเฉลิมฉลองอย่างสันติ

สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จาก 4 ประเทศในอาเซียน

(22 เม.ย. 68) บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จาก 4 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และไทย ในอัตราใหม่ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 21 เม.ย. 68 โดยกัมพูชาสูงถึง 3,521%  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top