นวัตกรรมด้านเชื้อเพลิงพลังงานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี หลังจากโลกต้องประสบกับวิกฤตการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงในทศวรรษ 1970 ในบ้านเราเอง ด้วยพระวิสัยทัศน์และพระปรีชาญาณของล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาพลังงานทดแทน การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อเพลิงชีวภาพโดยโครงการส่วนพระองค์จิตรลดา เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2528 จากพระราชดำริว่า ในอนาคตอาจเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จึงมีพระราชประสงค์ให้นำอ้อยมาผลิตแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
โครงการฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยการผลิตและกลั่นแอลกอฮอล์จากพืชผลทางเกษตรหลายอย่าง เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง อ้อย มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมา จนสามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95%หรือที่เรียกว่า 'เอทานอล' ไปกลั่นแยกน้ำ และใช้เป็นวัตถุดิบผสมน้ำมันเบนซินผลิตแก๊สโซฮอล์ โดยศึกษาทดลองสูตรการผสม และผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ใช้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการส่วนพระองค์ฯ
ต่อมา บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ได้นำผลการศึกษาของโครงการส่วนพระองค์จิตรลดามาต่อยอด ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เริ่มจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันประชาชนชาวไทยได้มีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผสม 'เอทานอล' ซึ่งสามารถผลิตได้เองในประเทศ ช่วยลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นจำนวนมาก
การค้นคว้า ศึกษา วิจัย และพัฒนา นวัตกรรมด้านพลังงานในส่วนของหน่วยราชการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไปนั้นมีมาโดยตลอดเช่นกัน หากแต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่มักจะถูกนำ ‘ขึ้นหิ้ง’ เก็บเอาไว้อันเนื่องมาจาก ต้นทุนสูง มีความยุ่งยาก และไม่คุ้มค่า ฯลฯ ทำให้นวัตกรรมด้านพลังงานเหล่านั้นไม่ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ทั้ง ๆ ที่ปัญหาด้านพลังงานยังคงเป็นปัญหาใหญ่ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่เป็นของทั้งโลกใบนี้ด้วย
จากวิธีคิด วิสัยทัศน์ ของรัฐบาลที่ผ่านมา ยังคงจมปลักอยู่กับการใช้เชื้อเพลิงพลังงานแบบเก่า ซึ่งต้องนำเข้าเกือบทั้งหมด ผลการศึกษานวัตกรรมด้านพลังงานส่วนใหญ่ที่ปรากฏเหมือนกับไฟไหม้ฟางเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นข่าวเพียงไม่นานแล้วก็เงียบหายไป แต่สำหรับ ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญและ ติดตามผลการดำเนินงานนวัตกรรมด้านพลังงานซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์โภคผลอันมากมายและมีความยั่งยืนมาสู้พี่น้องประชาชนคนไทย อยู่เสมอ
ดังเช่น นวัตกรรมด้านพลังงาน ‘ครูน้อย’ นายทวีชัย ไกรดวง (เอ็ม) อายุ 32 ปี ชาวบ้านทุ่งสวรรค์ หมู่ 13 ตำบลท่าศิลา อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ทำการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานขึ้นมาจำนวน 3 ชิ้นงาน ได้แก่ เครื่องกลั่นยางพารา และกลั่นพลาสติกเป็นน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลได้ในเครื่องเดียว ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 2 กิโลวัตต์ แบบระบบหมุนตามแสงอาทิตย์อัตโนมัติ และรถไถนาเดินตามบังคับวิทยุควบคุมระยะไกล ผ่านระบบ GPS
‘ครูน้อย’ ได้เล่าว่า ตนเรียนมาทางด้านนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ อีกทั้งครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่นาและสวนยาง แต่ตนเล็งเห็นว่า สามารถต่อยอดการเพิ่มมูลค่ายางให้สูงขึ้นด้วยการแปรรูป ประดิษฐ์เครื่องกลั่นยางพาราและกลั่นพลาสติกเป็นน้ำมันขนาดเล็ก และปัจจุบันสามารถกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ในเครื่องเดียว โดยใช้งบประมาณ 370,000 บาท สามารถกลั่นได้ 40 ลิตร/ชั่วโมง โดยได้ทดสอบการใช้น้ำมันกับเครื่องสูบน้ำรถไถนา และเครื่องมือทำการเกษตรอื่น ๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบมาตรฐานเครื่องและประสิทธิภาพของน้ำมันด้วยตนเอง โดยส่วนตัว อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้เป็นนวัตกรรมของคนไทย ขยายผล สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นในชุมชนและจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
เมื่อ ‘รองพีร์’ นำคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่ จังหวัดสกลนคร ได้เดินทางไปยังบ้านของ ‘ครูน้อย’ เพื่อเยี่ยมชมผลงานนวัตกรรมด้านพลังงานดังกล่าว ซึ่ง ‘ครูน้อย’ ได้นำเสนอแบบการสร้างหอกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันจากยางพาราและขยะพลาสติกได้ถึงชั่วโมงละ 500 ลิตร และอยากจะให้เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ประจำแต่ละอำเภอเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันให้แก่ประชาชนและเกษตรกร ซึ่ง ‘รองพีร์’ ได้ให้การสนับสนุนและมอบให้ดร.ณอคุณ สิทธิพงษ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานเป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาในเรื่องความปลอดภัยของอุปกรณ์ และคุณภาพน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น พร้อมยังมอบหมายให้นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้เกิดความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินการ
นอกจากนี้ ‘รองพีร์’ ได้มอบให้ ‘ครูน้อย’ ไปคิดประดิษฐ์แผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่จะผลิตขึ้นเองในประเทศ เพื่อทำให้ราคาระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงอีกด้วย โดย ‘รองพีร์’ เห็นว่าคนไทยจำนวนมากที่มีความสามารถด้านนวัตกรรม แต่ขาดโอกาสและการสนับสนุน หากคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง จะสามารถมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นฝีมือของคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชาวนา เกษตรกร ชาวประมง หรือประชาชนทั่วไปให้มีทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดย ‘รองพีร์’ ได้กล่าวชื่นชมนวัตกรรมด้านพลังงานของ ‘ครูน้อย’ พร้อมให้การสนับสนุนต่อยอดขยายผลนวัตกรรมไปยังชุมชนอื่น ตลอดจน การจัดทำและทดสอบมาตรฐานเครื่องและผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ นำไปพัฒนาและต่อยอดด้านอื่น ๆ ได้ รวมไปถึงผลงานนวัตกรรม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แบบระบบหมุนตามแสงอัตโนมัติ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือไม่ทั่วถึงต่อไป
ความสนใจ ใส่ใจ และสนับสนุนผลงานนวัตกรรมด้านพลังงานเช่นนี้ของ ‘รองพีร์’ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะมีส่วนอย่างสำคัญที่จะทำให้นวัตกรชาวไทยมีความหวังและเกิดพลังใจในการพัฒนานวัตกรรมในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงและยั่งยืนให้กับประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทยโดยรวมทั้งหมดทั้งมวลตลอดไป