Sunday, 13 October 2024
Hard News Team

‘The iCon Group’ ร่อนคำชี้แจง 5 เซเลปดัง!! ไม่มีหุ้น-อำนาจบริหาร

(11 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘The iCon Group’ ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงถึงกรณีศิลปิน ดารา พิธีกร ชื่อดังหลายราย ที่ได้มีส่วนร่วมกับทางบริษัท ว่า

บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ขอชี้แจงว่า คุณบอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ พรีเซ็นเตอร์ ROOM COFFEE และคุณโดม ปกรณ์ ลัม พรีเซ็นเตอร์ BOOM COLLAGEN ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจลงนาม ตามหนังสือรับรองบริษัท และไม่ได้เป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแต่อย่างใด เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์สินค้า ทำการตลาดสินค้าของบริษัท คิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จึงขอชี้แจง มาเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน

ขอแสดงความนับถือ
บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด

และ

บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ขอชี้แจงว่าคุณกันต์ กันตถาวร, คุณแซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี และคุณมิน พีชญา วัฒนามนามนตรี ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจลงนาม ตามหนังสือรับรองบริษัท และไม่ได้เป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้ช่วย ทำการตลาดสินค้าของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัดจึงขอชี้แจง มาเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน

ขอแสดงความนับถือ
บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด

คู่มือลับฉบับสายมู เปิดพิกัดศาลเจ้าลับเมืองตรัง ไหว้โก้ยเซ่งอ๋อง ช่วยหนุนการงาน-การเงิน

(11 ต.ค. 67) ที่น้ำผุดใต้ ตำบลบางรัก อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ที่แห่งนี้มีศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่อาจไม่ค่อยคุ้นหูของหลาย ๆ คนมากนัก แต่สำหรับชุมชนละแวกนี้ ‘ศาลเจ้าโก้ยเซ่งอ๋อง’ เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของชุมชนเลยทีเดียว 

เกือบ ๆ จะ 30 แล้วที่ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยความเคารพและศรัทธาของประชาชน โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ ที่เป็นกลุ่มที่ตั้งรกรากอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารมายาวนานหลายชั่วอายุคน

โก้ยเซ่งอ๋อง โก้ยเซ่งอ๋อง หรือชื่อเดิมของท่านคือ 'กั๋วหงฟู่' ในวัยเด็กท่านเป็นเพียงเด็กเลี้ยงแพะในชนบทของมณฑลฮกเกี้ยน ชีวิตของท่านเป็นแบบเรียบง่ายและใกล้ชิดกับธรรมชาติ แต่ด้วยความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ ท่านได้รับความเคารพจากชาวบ้านในชุมชนของท่านตั้งแต่วัยเยาว์ ต่อมาในชีวิตของท่าน ท่านได้รับบทบาทในการช่วยเหลือและปกป้องชาวบ้านจากอันตรายต่าง ๆ

หลังจากท่านเสียชีวิต เรื่องราวของท่านกลายเป็นตำนาน ชาวบ้านเชื่อว่าท่านยังคงมีอิทธิฤทธิ์ในการคุ้มครองและช่วยเหลือผู้คนเช่นเดิม จึงยกย่องท่านเป็นเทพเจ้า 'โก้ยเซ่งอ๋อง' และสร้างศาลเจ้าเพื่อให้ลูกหลานได้มากราบไหว้บูชาท่าน

ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าโก้ยเซ่งอ๋อง ชาวบ้านเชื่อว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์ในการช่วยเหลือในเรื่องการงาน การเรียน ธุรกิจ และสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่มาขอพรในเรื่องที่สำคัญมักจะสมหวังตามที่ขอ เช่น การขอบุตรหรือขอให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง การแก้บนด้วยสิ่งของที่สัญญาไว้อย่างไก่ หมู หมี่เหลือง หรือของแห้งต่าง ๆ เป็นการแสดงความขอบคุณต่อท่าน

หากใครได้มีโอกาสผ่านมาที่ตรังในช่วงเทศกาลกินเจ หรือช่วงอื่น ๆ ลองแวะมาสัมผัสบรรยากาศและพลังศรัทธาที่ศาลเจ้าโก้ยเซ่งอ๋อง แล้วคุณอาจจะได้พบกับสิ่งที่คุณตามหาก็เป็นได้

พิกัดสำหรับตามไปมู: https://maps.app.goo.gl/ThBKWfd3P1eytHGc6

‘วอชด็อก ไทยแลนด์’ โดดร่วมวงดรามา ‘ปางช้างดัง’ ซัดบินโดรนก่อกวนช้าง ‘ร่มแดนช้าง’ สวนทันควัน ไม่ไฮเทคพอจะบินโดรน เตรียมช่วยช้างถูกขังเดี่ยว

(11 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT’ ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า 

หยุดคุกคามเขาได้แล้ว!!

ล่าสุด นำโดรนไล่จี้จนพลายโฮบตกใจ วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน นี่หรือการกระทำที่อ้างว่ารักช้าง!!

Save ENP

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ‘พลายโฮบ’ คือช้างที่เมื่อช่วงปี 2561 มีข่าวทำร้ายควาญช้างจนเสียชีวิต ณ ปางช้างชื่อดังแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ 

ต่อมานายธีรภัทร ตรังปราการ นายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย ซึ่งเป็นทีมงาน ‘ร่มแดนช้าง’ พร้อมควาญช้างที่เข้าไปเคลื่อนย้ายขุนเดช และดอกแก้ว ช้าง 2 เชือกที่ตกอยู่ท่ามกลางดราม่าระหว่างหนูนา กัญจนา ศิลปอาชา และแสงเดือน ชัยเลิศ

นายธีระภัทรเปิดเผยกับ The States Times ว่า การเดินทางไปยัง ‘ศูนย์บริบาลช้าง Elephant Nature Park’ ของตนและทีมงานนั้น เป็นไปเพื่อการเจรจาและหาวิธีในการขนย้ายช้าง 2 เชือกที่ตกเป็นข่าว ขอยืนยันว่าตนและทีมงานไม่มีใครเฉียดเข้าไปใกล้กับคอกของพลายโฮบเลยแม้แต่น้อย 

และยิ่งที่มีกระแสข่าวว่าบินโดรนเข้าไปรบกวนนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ไฮเทคเกินทีมงาน ทุกวันนี้ถ่ายวิดีโอจากมือถือยังไม่ค่อยเป็นเลย 

นอกจากนี้นายธีระภัทรยังกล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้จะต้องหาแนวทางอื่น ๆ ในการช่วยเหลือพลายโฮบเพราะจากข้อมูลเท่าที่ทราบ พลายโฮบถูกขังเดี่ยวอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการปรับพฤติกรรมของช้าง

14-22 ต.ค. ‘ประเมษฐ์ จินา’ ชวนเที่ยวชมงาน ‘ชักพระ ทอดผ้าป่า แข่งเรือยาว’ สุราษฎร์ธานี

(11 ต.ค. 67) ดร.ปรเมษฐ์ จินา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขต 5 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า 

เรื่องแรกนั้นประชาชนในพื้นที่ได้แจ้งว่าต้องการให้มีการตัดถนนเชื่อมระหว่างทางหลวงสาย 4009 และทางหลวงหมายเลข 44 หรือที่เรียกอย่างติดปากว่าถนน southern ซึ่งการตัดถนนเชื่อมนี้จะช่วยย่นระยะทางในการเดินทางสัญจรของประชาชนในพื้นที่ 

สำหรับทางหลวงหมายเลข 44 ยังมีพื้นที่ว่างบริเวณเกาะกลางถนนค่อนข้างใหญ่ เพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงขอให้มีการอนุญาตให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเพื่อการสาธารณะประโยชน์เข้าใช้พื้นที่ดังกล่าวชั่วคราวด้วย

เรื่องที่ 2 ในลำดับแรกต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นราคาสินค้าทางการเกษตรโดยปัจจุบันราคาน้ำยางพาราและปาล์มน้ำมันสูงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดีทำให้มีปัญหาการลักขโมยเกิดขึ้น จึงอยากขอให้กำชับตำรวจในพื้นที่ให้ดำเนินการอย่างเข้มแข็งเพื่อบำบัดทุกข์ให้กับพี่น้องเกษตรกร 

สุดท้ายนี้ขอประชาสัมพันธ์งานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาว ประจำปี 2567 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-22 ตุลาคม 2567 โดยครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานในพิธีเปิด 

'กองทัพอากาศ' ผนึกกำลังการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ร่วมฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดเชียงใหม่ 

กองทัพอากาศผนึกกำลังกับการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ในการจัดหาเครื่องมือทำความสะอาดช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวานนี้ (10 ต.ค.67) พลอากาศเอก ชัยนาท ผลกิจ รองผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานรับมอบเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง จำนวน 10 เครื่อง จาก นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ซึ่งจะนำไปใช้ฉีด ล้าง ทำความสะอาด และล้างดินโคลน คราบน้ำ ฟื้นฟูบ้านเรือนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในห้วงที่ผ่านมา โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคณะผู้บริหารการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ร่วมในพิธี ณ ห้องรับรองบริพัตร กองบัญชาการกองทัพอากาศ

ในการนี้ รองผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้มอบเกียรติบัตร พร้อมประดับเครื่องหมายความสามารถกิจการพลเรือนและการประชาสัมพันธ์กองทัพอากาศเป็นกิตติมศักดิ์ ให้แก่นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และคณะผู้บริหารในฐานะที่ได้สนับสนุนกิจการของกองทัพอากาศในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

กองทัพอากาศมุ่งมั่นที่จะใช้ขีดความสามารถทั้งด้านกําลังพล อากาศยาน และยุทโธปกรณ์ ร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ในการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยด้วยความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์

สภาเอสเอ็มอีเข้าพบรองนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและยกระดับศักยภาพ SMEs  

เมื่อวานนี้ (10 ต.ค.67) คุณสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) พร้อมด้วย คุณชนพงษ์ รุ่งกิจวัฒนกุล รองประธานอาวุโส คุณรมนต์อร บุญเรือง เลขาธิการ และคณะกรรมการบริหาร เข้าพบท่านประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี มาหารือในการประชุมครั้งนี้ ณ ห้องประชุม 302 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

คุณสุปรีย์ นำเสนอว่าประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในปัจจุบัน เกิดจากการนิยามและการจำแนกประเภทของ SMEs ที่ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้ความช่วยเหลือที่ภาครัฐส่งลงมาช่วย SMEs ไปไม่ถึง SMEs ดังนั้น จึงเสนอให้มีการยกร่างกฎหมายให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการ SMEs ในรูปแบบ พระราชบัญญัติสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ที่เป็นกฎหมายใหม่ซึ่งสภาเอสเอ็มอีได้เตรียมร่างเอาไว้แล้ว และกำลังมีกระบวนการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยการรับฟังความเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ภาคีเครือข่ายที่เป็นตัวแทนของคลัสเตอร์ธุรกิจต่าง ๆ  ตัวแทนจังหวัด นักวิชาการ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ สภาเอสเอ็มอีปรับโครงสร้างการบริหารโดยเพิ่มด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ เข้ามาเพื่อส่งเสริมและยกระดับความสามารถของ SMEs ด้านดิจิทัลทั้งระบบนิเวศ (Digital Ecosystem) ให้สอดรับกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ซึ่งการค้าบนโลกออนไลน์นั้น การสร้างอัตลักษณ์หรือแบรนดิ้ง (Branding) ให้กับสินค้านั้นมีความจำเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นก็จะถูกลอกเลียนแบบและแทนที่ได้โดยง่าย ส่งผลให้ SMEs ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืน

จากสถานการณ์ภัยคุกคามจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติในปัจจุบัน สภาเอสเอ็มอีเสนอว่าไทยควรจะมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของประเทศ (National Platform) โดยนำ Thailand Post Mart กลับมาปรับปรุงและใช้งานให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น เนื่องจากมีจุดแข็งที่เครือข่ายของไปรษณีย์ไทยมีอยู่ในทุกอำเภอทั่วประเทศ มีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่เข้มแข็งที่สุดในประเทศ พนักงานมีความชำนาญในพื้นที่ ฯลฯ ที่มีความได้เปรียบกว่าแพลตฟอร์มข้ามชาติ สภาเอสเอ็มอีและสมาคมสายเทคโนโลยีพร้อมเข้ามาช่วยในการพัฒนาได้

ดร.สุทัด ครองชนม์ รองประธานสภาเอสเอ็มอี และนายกสมาคมไทยไอโอที (Thai IoT) นำเสนอแนวทางการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่ง (IoT) มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะภาคการผลิต ซึ่งสามารถนำเทคโนโลยีมาลดต้นทุนในกระบวนการผลิตได้ อีกทั้งยังสามารถปรับปรุงจากโรงงาน 2.0 เป็นโรงงาน 4.0 ได้ ด้วยงบประมาณที่ไม่สูงมาก จึงอยากเสนอให้ท่านพิจารณางบประมาณโครการดังกล่าวลงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

คุณอนุสรณ์ ลัภนะก่อเกียรติ รองประธานอาวุโสสภาเอสเอ็มอี และประธานกรรมการบริหารสมาคมเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ข้อมูลว่า ในแต่ปีมีผู้ประกอบการในระบบจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 7-8 หมื่นราย ขณะที่มีการจดทะเบียนเลิกกิจการ 2 หมื่นราย สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจ SMEs นั้นขาดศักยภาพในการเติบโต สอดคล้องกับข้อมูลที่พบว่ามีผู้ประกอบการขนาดเล็ก (S) จำนวน 860,000 ราย ขณะที่มีผู้ประกอบการขนาดกลาง (M) เพียง 40,000 ราย หมายความว่า มี SMEs รายเล็กจำนวนน้อยมากที่สามารถเติบโตไปเป็นขนาดกลางได้ ทั้งนี้ ที่มาของรายได้จะประกอบไปด้วย B2G, B2B, และ B2C ซึ่งภาครัฐจะสามารถเข้ามาช่วย SMEs ได้ด้วยการให้แต้มต่อกับ SMEs จากช่องทาง B2G ผ่านโครงการ SME-GP

ในภาพรวมของผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) ถึงรายเล็ก (Small) ประกอบไปด้วย
1. Skill ให้องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เป็น Specialize ของแต่ละกิจการ
2. Tool เครื่องมือในการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจปัจจุบัน
3. Financial การเข้าถึงแหล่งเงินทุนภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน

คุณสุปรีย์ สรุปแนวทางการพัฒนายกระดับ SMEs ดังนี้
1. ให้ความช่วยเหลือเป็นองค์รวมแบบ Supplier to Business to Customer (S2B2C) ที่ประสบความสำเร็จในจีน โดยต้องมีความพร้อมและพัฒนาทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้านอีคอมเมิร์ซ ไลฟ์คอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์
2. จูงใจให้ธุรกิจนอกระบบกว่า 2 ล้านกิจการ ให้เข้ามาอยู่ในระบบ (ปัจจุบันในระบบมีอยู่ประมาณ 1 ล้านราย)

ท่านรองนายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันกำลังอยู่ในกระบวนการยกร่างกฎหมายไปรษณีย์ไทยที่มีมาแล้วเกือบ 100 ปี ทั้งนี้ เห็นด้วยกับแนวทางการนำแพลตฟอร์มของไปรษณีย์มาปรับปรุงและนำเอาสินค้า SMEs มาเสริมในแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ให้นโยบายกับ สสว. ไว้เรื่องการปรับเปลี่ยน SMEs จากอุตสาหกรรมโลกเก่าไปเป็นอุตสาหกรรมโลกใหม่ การปิดช่องว่างของซัพพลายเชน และการนำเอา Soft Power มาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ดังนั้น ท่านรองนายกได้กล่าวสรุปการหารือครั้งนี้
1. นำเรื่องที่หารือกันในวันนี้เข้าที่ประชุมบอร์ด สสว. โดยเชิญผู้บริหารไปรษณีย์ไทยและสภาเอสเอ็มอีเข้าร่วมรับฟังด้วย
2. จัดกิจกรรม Workshop โดยแบ่งวงย่อยประมาณ 3-4 กลุ่ม เพื่อหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในแต่ละหัวข้อ อาทิ ภัยคุกคามจากต่างชาติ, ปัญหาและอุปสรรค, กฎหมาย SMEs และ ระบบนิเวศ (Ecosystem)

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในโอกาสแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา 

เมื่อวันที่ (10 ต.ค.67) เวลา 13.30 นาฬิกา นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก (H.E. Mr. Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในโอกาสแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา โดยมีนายโสภณ มะโนมะยา รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ คนที่สอง นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ คนที่ห้า และนายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ รองประคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม คนที่ห้า ร่วมให้การรับรอง 

ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลา 191 ปี มีการพัฒนาที่ก้าวหน้าและมีพลวัตสูงขึ้น วุฒิสภาพร้อมที่จะร่วมมือกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาในการส่งเสริมความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือทั้งกรอบรัฐสภา สาธารณสุข และความมั่นคงเพื่อเพิ่มพูนมิตรภาพระหว่างประชาชนให้มีพลวัตต่อเนื่องและก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ สำหรับด้านเศรษฐกิจ ยินดีที่ทั้งสองประเทศผลักดันกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก และเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจไปด้วยกัน 

ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณประธานวุฒิสภาที่ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งแสดงความยินดีในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภา สหรัฐอเมริกามีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาในด้านต่าง ๆ และพร้อมจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับวุฒิสภา คณะกรรมาธิการต่าง ๆ ซึ่งจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งและความเจริญในหลายด้าน และมีความยินดีที่จะหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา ทั้งในเรื่องการพัฒนาความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนความรู้ด้านระบบรัฐสภา ด้านการบริหารราชการโดยยึดหลักธรรมาภิบาล สำหรับมิติทางด้านเศรษฐกิจ เป็นที่น่ายินดีที่บริษัทเอกชนของสหรัฐอเมริกาสนใจมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัท Google จะเข้ามาลงทุนในไทยซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ควรมีมาตรการส่งเสริมและจูงใจให้นักลงทุนสหรัฐอเมริกาเข้ามาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น 

เอกอัครราชทูตฯ กล่าวแสดงความเสียใจในนามของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ทางภาคเหนือของไทย ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกามีความยินดีที่จะแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและขยายความร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม สำหรับด้านการศึกษามีความสำคัญอย่างมากสหรัฐอเมริกาพร้อมขยายความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนการศึกษาระดับอุดมศึกษา อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาและการวิจัยให้มีการแลกเปลี่ยนกันกว่า 50 แห่ง รวมทั้งบริษัทเอกชนที่จะมาอบรมความรู้เกี่ยวกับ AI เทคโนโลยีเพื่อให้มีทักษะทางด้านวิชาชีพที่เหมาะกับความต้องการของโลกต่อไป

ประธานวุฒิสภากล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ต่อสถานการณ์น้ำท่วมของไทย ทั้งนี้ ไทยกำลังพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเกิดภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วม สึนามิ ที่สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบทั่วโลก ซึ่งขณะนี้รัฐสภาไทยกำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม รัฐสภาสู่ Net Zero นอกจากนี้ สมาชิกวุฒิสภาได้ร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นเขตการค้าเสรี FTA และ OECD รวมถึงด้านแรงงาน การพัฒนาทักษะให้กับแรงงานไทย และการส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาด้านภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนไทย

11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ‘กบฏบวรเดช’ การก่อกบฏครั้งแรกของชาติไทย ศึกชิงอำนาจ ‘ขุนนางเก่าฝ่ายอนุรักษ์ฯ กับ คณะราษฎร’

เหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2476 ถือเป็นการก่อกบฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างขุนนางเก่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายคณะราษฎรผู้ทำการอภิวัตน์การปกครองในปี 2475

โดยคณะทหารในนาม “คณะกู้บ้านกู้เมือง” นำโดย “พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช” อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม “พลตรี พระยาจินดาจักรรัตน์ (เจิม อาวุธ)” “พลตรี พระยาทรงอักษร (ชวน ลิขิกร)” และ “พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ)” ได้นำกองกำลังทหารหัวเมืองจากนครราชสีมา สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา บุกเข้ายึดดอนเมืองและพื้นที่ทางด้านเหนือของพระนคร โดยตั้งกองอำนวยการใหญ่อยู่ที่สโมสรทหารอากาศ กรมอากาศยาน ดอนเมือง ระหว่างวันที่ 11 - 25 ตุลาคม 2476

แล้วยื่นหนังสือเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐบาลลาออก โดยอ้างเหตุผลว่า คณะรัฐมนตรีปล่อยให้มีการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และไม่พอใจที่ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)” ซึ่งคณะผู้ก่อการมองว่ามีความคิดแบบคอมมิวนิสต์ กลับมาร่วมคณะรัฐบาล

“พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ตอบปฏิเสธและส่งกำลังกองผสมนำโดย “หลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป.พิบูลสงคราม)” เข้าปราบปรามจนได้ชัยชนะในวันที่ 25 ตุลาคม 2476

จากนั้น “พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช” ได้เสด็จลี้ภัยการเมืองไปยังอินโดจีนของฝรั่งเศส ต่อมารัฐบาลได้ก่อสร้าง “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” (คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ “อนุสาวรีย์หลักสี่”) ขึ้นที่บริเวณหลักสี่ เขตบางเขน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ปราบกบฏในครั้งนี้

ผู้บริหารวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขอโทษศาลรัฐธรรมนูญ ปมโพสต์ภาพแอปเปิลเน่าด้อยค่า ‘ตุลาการศาล รธน.’

ศาลรัฐธรรมนูญ แจงผู้บริหารบริษัทวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขออภัยต่อคณะตุลาการแล้ว กรณีเผยแพร่รูปภาพตัดต่อและถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม กระทบต่อตุลาการศาล รธน.จะนำเหตุการณ์เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจไม่ให้เกิดขึ้นอีก

(10 ต.ค.67) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ ระบุว่า ผู้แทนบริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าพบเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีเผยแพร่ภาพและข้อความที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตามที่ปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 เพจเฟซบุ๊ก Warner Music Thailand ซึ่งเป็นบัญชีโซเชียลทางการของบริษัทดังกล่าวได้โพสต์รูปของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ดัดแปลงตัดต่อโดยใช้ผลแอปเปิลเน่าสีเขียวแทนใบหน้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และมีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมประกอบภาพ ต่อมาในวันที่ 11 สิงหาคม เพจ ดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งได้ลบภาพกับข้อความข้างต้นออก

ซึ่งบริษัทได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้น และแสดงความเสียใจ และขออภัยในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. โดยมี นายคาล นิทัศน์ คงขำ กรรมการ ผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าวพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าพบนายสุทธิรักษ์ ทรงวิไล เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและผู้บริหารของสำนักงาน เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางบริษัทระบุว่าจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

ไทย ได้เป็นสมาชิก ‘คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน UN’ คว้าคะแนนสูงสุดในกลุ่มประเทศเอเชีย – แปซิฟิก

(10 ต.ค.67) ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี 2568-2570 จากการลงคะแนนเลือกตั้งในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ด้วยคะแนนสูงสุดถึง 177 คะแนน ในกลุ่มประเทศเอเชีย – แปซิฟิก ซึ่งถือเป็นคะแนนสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภูมิภาค

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิก UNHRC ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 โดยจะมีวาระ 3 ปี ร่วมกับประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับเลือก รวมทั้งสิ้น 18 ประเทศ ได้แก่ ไทย เบนิน โบลิเวีย โคลอมเบีย ไซปรัสเช็ก คองโก เอธิโอเปีย แกมเบีย ไอซ์แลนด์ เคนย่า หมู่เกาะมาร์แชลล์ เม็กซิโก มาเซโดเนียเหนือ กาตาร์ สเปน เกาหลีใต้ และสวิตเซอร์แลนด์

“รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการมีส่วนร่วมในฐานะสมาชิก UNHRC จะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ พร้อมเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยการได้รับเลือกครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเด็นสิทธิมนุษยชนในเวทีโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน ร่วมกันต่อไป” นายจิรายุ กล่าว

ในอดีตประเทศไทยเคยดำรงตำแหน่งสมาชิก UNHRC ระหว่างปี 2553 -2556 โดยประเทศไทย ได้ดำรงตำแหน่งประธาน UNHRC ระหว่างเดือนมิถุนายน 2553 ถึงเดือนมิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการทบทวนสถานะ และการทำงานของ UNHRC ซึ่งประเทศไทย ในฐานะประธานฯ ได้นำการหารือ และเจรจาจนสามารถบรรลุฉันทามติในเรื่องดังกล่าวได้

นอกจากนั้น ประเทศไทยในฐานะสมาชิก UNHRC เมื่อปี 2554 ยังได้ริเริ่มการเสนอข้อมติรายปีหลายเรื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการ และการเพิ่มขีดความสามารถในด้านสิทธิมนุษยชน (Enhancement of Technical Cooperation and Capacity Building in the Field of Human Rights) ในกรอบ HRC ซึ่งไทยยังคงเป็นผู้ยกร่าง (penholder) ของข้อมติดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top