Monday, 9 June 2025
Hard News Team

ผบ.กองเรือยุทธการ มอบนโยบาย การเตรียมความพร้อมกำลังรบทางเรืออากาศยานหน่วยซี

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.68) พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการ กองเรือยุทธการมอบนโยบายการเตรียมความพร้อมกำลัง ระดับ พ.2 ของกองเรือยุทธการ ณ ดาดฟ้าบิน เรือหลวง ร.ล.จักรีนฤเบศร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ใจความว่า กองเรือยุทธการ เป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ เตรียมความพร้อมทั้งด้านกำลังพล เรือ อากาศนาวี และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ สามารถประกอบกำลังเป็น กองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกลป้องกันเชิงรุกตามแนวทางการใช้กำลังโดยรุกออกนอกประเทศ เป็นเครื่องมือทางทหารของรัฐบาล ที่จะก่อให้ให้เกิดการเจรจาโดยสันติ บนพื้นฐานของกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ 

กำลังทางเรือ ของกองเรือยุทธการ ได้ผ่านการฝึกภายในประเทศและฝึกร่วมกับมิตรประเทศ มีขีดความสามารถในการคุ้มครองเส้นทางคมนาคมทางทะเล เรือในทะเล สามารถโจมตี ไล่ล่า ทำลายกำลังฝ่ายตรงข้ามและส่งกำลังรบยกพลขึ้นบกของนาวิกโยธิน ทำการยุทธบรรจบกับกำลังทางบก

หน่วยกำลังรบทางเรือของกองทัพเรือ มีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

‘บิ๊กป้อม’ ลั่น อย่าอ่อนข้อบนเวทีอธิปไตย เกมการเมืองต้องเดินอย่างรู้ทัน พร้อมย้ำ แผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทยเท่านั้น

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา พร้อมสะท้อนประสบการณ์ตลอดหลายทศวรรษที่เคยปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน โดยย้ำว่าความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในเชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง

พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและเด็ดขาด ไม่ยอมให้การรุกล้ำอธิปไตยถูกมองข้าม และให้ความสำคัญกับมาตรการตอบโต้ที่สมเหตุสมผล ทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ กฎหมาย และศักยภาพทางทหาร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย

พล.อ.ประวิตรกล่าวอย่างชัดเจนว่า ไทยยึดหลักสันติวิธี ไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่หากอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจ ไม่ยอมใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ กลับปลุกปั่น ป้ายสี และยกระดับปัญหาไปสู่เวทีโลก ไทยก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือในทุกมิติ เพราะการประนีประนอมแบบไม่ลึกซึ้งจะยิ่งทำให้คู่เจรจาไม่เกรงใจและไม่เกรงกลัว

ทั้งนี้ กติกาสากลมีไว้ใช้กับ 'สุภาพบุรุษ' และเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเจรจาด้วยความจริงใจ ก็ต้องเตรียมมาตรการเชิงรุกที่สร้างแต้มต่อให้ฝ่ายไทยได้เปรียบ ไม่หลงกล ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พร้อมเรียกร้องให้มีการสื่อสารกับประชาชนและมิตรประเทศอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในเวทีระหว่างประเทศ

พล.อ.ประวิตรฯ ขอส่งสารไปถึงกำลังพลในพื้นที่ชายแดน โดยขอชื่นชมกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 และกำลังพลทุกนายที่เสียสละเฝ้าระวังภัยคุกคามต่อผืนแผ่นดิน ด้วยความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

ท้ายที่สุด พล.อ.ประวิตรเน้นย้ำว่า ประเทศไทยยึดมั่นในสันติภาพ แต่หากมีการรุกล้ำอธิปไตยแม้แต่น้อย ต้องพร้อมปกป้องด้วยชีวิต เพราะแผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทยเท่านั้นพร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่นโยบายระดับสูงจนถึงทหารด่านหน้า เพื่อปกป้องแผ่นดินด้วยหัวใจแห่งความรักชาติ

จเรตำรวจแห่งชาติได้รับรางวัล บุคคลต้นแบบ ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในงาน 'วันรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2568'

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมงาน 'วันรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2568' ภายใต้แนวคิด 'Together We Can Stop Human Trafficking' จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี โดยมี นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน

สำหรับการจัดงาน 'วันรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2568' มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้ประชาชนตระหนักว่า การค้ามนุษย์เป็นภัยใกล้ตัว คนทุกช่วงวัยอาจตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งแสดงถึงการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการต่อต้านการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป 

ภายในงานมีการมอบรางวัลดีเด่นด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จำนวน 4 ประเภท รวมทั้งสิ้น 31 รางวัล ประกอบด้วย บุคคลต้นแบบ จำนวน 3 รางวัล , บุคคลดีเด่น จำนวน 16 รางวัล , หน่วยงานดีเด่น จำนวน 6 รางวัล และจังหวัดต้นแบบขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จำนวน 6 รางวัล 

โดย พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้รับรางวัล “บุคคลต้นแบบ ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์” ซึ่งมีผลงานสำคัญ ได้แก่
- ออกมาตรการป้องกันการหลอกลวงนำคนไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่ถูกหลอกลวงไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน 
- จัดการประชุมร่วมกับผู้แทนสถานทูตจากประเทศต่างๆ และการประชุมหน่วยเฉพาะกิจ UNODC ต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ 
- จับกุมหัวหน้าองค์กรอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติญี่ปุ่น และช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ชาวญี่ปุ่น

โอกาสนี้ ยังมีข้าราชการตำรวจที่ได้รับรางวัล ได้แก่ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้รับรางวัล “บุคคลต้นแบบ ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์” 

รางวัล “บุคคลดีเด่น ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์” จำนวน 6 คน ได้แก่ 
- พ.ต.อ.กรีธา ตันคณารัตน์ รองผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ 
- พ.ต.อ.กวินศักดิ์ พีรยศธนนนท์ รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 
- พ.ต.อ.ศิริพงศ์ ศรีทันฐ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก 
- พ.ต.ท.ชัยชนะ สุริยวงค์ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ 
- พ.ต.ท.หญิง กัลย์สุดา จุลประเสริฐ สารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเพชรบุรี 
- ร.ต.อ.ณัฏฐพร ไผ่ประดิษฐ์ รองสารวัตร (สอบสวน) กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ 

นอกจากนี้ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ยังได้รับรางวัล “หน่วยงานดีเด่น ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์” อีกด้วย

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญในภารกิจการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวลดลงและหมดไปจากสังคมไทย

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่สุไหงโก-ลก ย้ำทุกหน่วยเฝ้าระวังเข้มช่วงใกล้วันฮารีรายอ

 

พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วยผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และผู้บังคับบัญชาหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดตรวจความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส การลงพื้นที่ครั้งนี้ ครอบคลุมการตรวจเยี่ยม 3 จุดตรวจหลัก ได้แก่ ด่านตรวจบ้านน้ำตก จุดตรวจสุไหงวัสดุ (จุดตรวจที่สร้างใหม่หลังเหตุการณ์ยิงหน้าอำเภอ) และด่านตรวจบุญยลาภ พร้อมทั้งตรวจติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวรที่มีประชาชนจำนวนมากจากประเทศมาเลเซียเดินทางเข้ามายังประเทศไทย โดยบรรยากาศบริเวณด่านศุลกากรเป็นไปอย่างคึกคัก เต็มไปด้วยพี่น้องประชาชนจากฝั่งมาเลเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติ เนื่องในโอกาสใกล้เทศกาลฮารีรายออีฎิ้ลอัฎฮา เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจึงเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ตรวจสอบเอกสารการเข้าออกอย่างเข้มงวด และเน้นย้ำการปฏิบัติงานร่วมกันของทุกหน่วยในพื้นที่

แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ช่วงเทศกาลสำคัญเช่นนี้ ประชาชนจะมีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งภายในและระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการป้องกันและดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเคร่งครัด โดยได้สั่งการให้ทุกจุดตรวจใช้ความระมัดระวัง สังเกตสิ่งผิดปกติ รวมถึงเฝ้าระวังยานพาหนะและบุคคลต้องสงสัยที่อาจฉวยโอกาสกระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ยังมีการเสริมมาตรการด้านเทคโนโลยี ด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ตามเส้นทางหลัก เส้นทางรอง และด่านพรมแดน เพื่อช่วยเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง และใช้เป็นหลักฐานหากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และประชาชน คือหัวใจสำคัญในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ความสงบจะเกิดขึ้นได้จากการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง

AIS-GULF-JAS คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายไทยลีก 4 ปี มูลค่า 2 พันล้าน ‘มาดามแป้ง’ คอนเฟิร์ม!!…เพิ่มเงินสนับสนุนสโมสรครบทุกลีก

(6 มิ.ย. 68) ‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ แถลงยืนยันว่า กลุ่มบริษัท AIS, GULF และ JAS เป็นผู้คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกทุกระดับแบบ Exclusive ในประเทศ ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26-2028/29 พร้อมเงื่อนไขขยายต่ออีก 2 ปี 

ลิขสิทธิ์ครอบคลุมทั้ง ไทยลีก 1, ไทยลีก 2, ไทยลีก 3, ฟุตบอลถ้วย (เอฟเอ คัพ, รีโว่ คัพ), ลีกเยาวชน U21 และฟุตบอลหญิงลีก โดยมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ตลอด 4 ฤดูกาล แบ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฤดูกาลละ 350 ล้านบาท และค่าผลิตสัญญาณอีกไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาทต่อฤดูกาล

ขณะเดียวกัน มาดามแป้งยังเสนอเพิ่มเงินสนับสนุนแบบให้เปล่าแก่สโมสรสมาชิกในทั้ง 3 ลีก เริ่มฤดูกาล 2025/26 ได้แก่ ไทยลีก 1 ทีมละ 15 ล้านบาท, ไทยลีก 2 ทีมละ 4 ล้านบาท และไทยลีก 3 ทีมละ 1.25 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 398.5 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมพัฒนามาตรฐานและความมั่นคงของวงการฟุตบอลไทยในระยะยาว

ผบ.ตร. ย้ำแสดงจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยของชาติ จากกรณีที่ช่องบก

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง กรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ในการอ้างสิทธิเกี่ยวกับพื้นที่ และเกิดการปะทะระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทีีผ่านมา อันอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญสูงสุดในการพิทักษ์ปกป้องรักษาชาติ และคุ้มครองอธิปไตยของดินแดนไทย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ ตำรวจตระเวนชายแดนเตรียมความพร้อมกำลัง และนำเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมในการปฏิบัติและสนับสนุนอย่างเต็มที่ กรณีการปฏิบัติการ หากกำลังพลและเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์ของหน่วยปฏิบัติการไม่เพียงพอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสนับสนุนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทยอย่างเด็ดขาด

พร้อมได้สั่งการให้ตำรวจพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย สืบสวนหาข่าวในพื้นที่ จัดเตรียมความพร้อมแผนปฏิบัติการ แผนเผชิญเหตุ สนับสนุนการปฏิบัติเมื่อได้รับการสั่งการ และให้กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีติดตามเฝ้าระวัง การโจมตีทางไซเบอร์ การปล่อยข่าวปลอมทางสื่อโซเชียล ให้บังคับใช้กฎหมาย ปิดกั้นกรณีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับทางเทคโนโลยีอย่างเด็ดขาด เพื่อมิให้มีการแพร่กระจายข่าวหรือปล่อยข่าวปลอมที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย อีกทั้งได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มความเข้มในการคัดกรองคนต่างด้าวเข้าประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด โดยได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบความพร้อมทั้งด้านแผนการปฏิบัติ แผนเผชิญเหตุ กำลังพล เครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ ให้พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติกับฝ่ายทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย้ำจุดยืนในการปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติ จะไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทยอย่างเด็ดขาด พร้อมบังคับใช้กฎหมายและสนับสนุนการปฏิบัติทางยุทธการ พิทักษ์พื้นที่ชายแดนและพื้นที่ส่วนหลังอย่างเต็มกำลังความสามารถ

‘ยูเครน’ เตรียมจ่ายค่าศพทหารเสียชีวิต รายละ 11 ล้าน ครอบครัวลุ้นหนักเงินชดเชย…จะถึงมือจริงไหม??

(6 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ได้ลงนามให้จ่ายเงินชดเชยครั้งเดียวมูลค่า 15 ล้านฮรีฟยา (ราว 11.8 ล้านบาท) แก่ครอบครัวทหารยูเครนที่เสียชีวิตในหน้าที่ โดยมาตรการนี้ถูกกำหนดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2022 เพื่อเป็นการสนับสนุนขวัญกำลังใจแก่ทหารและครอบครัวท่ามกลางความขัดแย้งกับรัสเซีย

รัสเซียตกลงส่งคืนศพทหารยูเครนจำนวน 6,000 รายที่ถูกแช่แข็งภายใต้ข้อตกลงที่อิสตันบูล ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การจ่ายเงินชดเชยรวมสูงถึง 90 พันล้านฮรีฟยา (ราว 89,100 ล้านบาท) 

แม้กฎหมายกำหนดเงินชดเชยทหารเสียชีวิตอย่างชัดเจน แต่ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า “ขาดความโปร่งใส” และมีคำกล่าวหาว่าเซเลนสกีและผู้ใกล้ชิดอาจรับผลประโยชน์โดยไม่ถูกตรวจสอบ เนื่องจากผู้สนับสนุนต่างชาติยังคงให้การสนับสนุนยูเครนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เซเลนสกี ยังถูกตั้งคำถามว่า ครอบครัวของทหารที่ได้รับศพคืนทั้งหมดจะได้รับเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ แหล่งข่าวบางแห่งระบุว่าขั้นตอนการรับรองศพยังล่าช้า และเกณฑ์การจ่ายเงินยังมีเงื่อนไขอีกมาก อนาคตการจ่ายเงินที่ยาวนานและกระบวนการเชิงราชการอาจทำให้ครอบครัวหลายรายไม่ได้รับสิทธิทันที

โออาร์ เติมเต็มรอยยิ้มให้เกษตรกรไทย แจกฟรี! มะม่วงแฟนซี กว่า 400,000 กิโลกรัม เมื่อเติมน้ำมันที่ พีทีที สเตชั่น ระหว่างวันที่ 6 – 8 มิถุนายน 2568 เฉพาะสถานีฯ ใน 4 จังหวัด

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน และ นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน พร้อมด้วย นายสถิตพงษ์ เงางาม ผู้จัดการฝ่ายบริหารสถานีบริการส่วนกลาง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมสานต่อโครงการ 'เติมเต็มรอยยิ้มให้เกษตรกรไทย เติมน้ำมันรับฟรี มะม่วงแฟนซี' ณ พีทีที สเตชั่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานี รวม 360 สถานี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทยในช่วงที่ผลผลิตล้นตลาด พร้อมส่งต่อผลไม้คุณภาพจากแหล่งผลิตโดยตรงสู่มือผู้บริโภค โดย โออาร์ ได้รับซื้อมะม่วงแฟนซีหลากหลายสายพันธุ์จากเกษตรกรในภาคเหนือ เพื่อส่งมอบเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณให้กับลูกค้าที่เติมน้ำมันครบ 300 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับฟรี! มะม่วงแฟนซี 1 ถุง (จำกัด 1 ถุง/ใบเสร็จ) โดยรวมแล้วมีการจัดสรรผลผลิตกว่า 400,000 กิโลกรัม เพื่อกระจายให้กับลูกค้าในสถานีบริการที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 6 – 8 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

นายสถิตพงษ์ เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ไทยตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในความตั้งใจของ พีทีที สเตชั่น ที่จะสนับสนุนเกษตรกรไทยให้สามารถระบายผลผลิตได้อย่างเหมาะสม และช่วยลดผลกระทบจากภาวะราคาตกต่ำ พร้อมเติมเต็มความสุขให้กับผู้ใช้บริการ พีทีที สเตชั่น ผ่านผลไม้คุณภาพจากพี่น้องเกษตรกรไทย โดย โออาร์ ร่วมกับกรมการค้าภายในรับซื้อมะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ รวมจำนวน 400,000 กิโลกรัม เพื่อนำมากระจายสู่ผู้ใช้บริการ พีทีที สเตชั่น ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการแบ่งเบาภาระของพี่น้องเกษตรกร แต่ยังตอกย้ำว่า พีทีที สเตชั่น เป็นศูนย์กลางของชุมชนตามแนวคิด Living Community รวมถึงได้ร่วมเติมเต็มรอยยิ้มให้ชุมชน และส่งต่อความสุขให้กับผู้คนที่มาใช้บริการ โดย โออาร์ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคม พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่ถือเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ

‘นาโต้’ ส่งสัญญาณชัดประกาศลั่น ทะเลดำ–บอลติก อย่าแตะ!!..ใครล้ำเจอดี

(6 มิ.ย. 68) นายกฯ มาร์ค รุตเต้ (Mark Rutte) เลขาธิการนาโต้ แถลงเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนว่า นาโต้ยกระดับเขต ทะเลดำและทะเลบอลติก ให้เป็น 'เขตความรับผิดชอบเชิงยุทธศาสตร์' ขององค์กร เพื่อเสริมความพร้อมตอบโต้ภัยคุกคาม พร้อมทั้งย้ำว่านาโต้จะส่งเสริมการป้องกันพื้นทะเลและโครงสร้างพื้นฐานใต้น้ำของภูมิภาค

รุตเต้ ได้ยืนยันด้วยว่าหากเกิดการโจมตีใดๆ ในทะเลบอลติก นาโต้จะตอบโต้ด้วย 'การตอบสนองที่รุนแรง' ซึ่งครอบคลุมการป้องกันขีปนาวุธ ระบบสื่อสาร และขีปนาวุธระยะไกล โดยเฉพาะในบริเวณโครงสร้างพื้นฐานใต้น้ำที่ได้รับผลกระทบ

การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเพิ่มบทบาทของนาโต้ในทะเลบอลติก เช่น การซ้อมรบทางทะเลระยะยาวที่มีเรือรบจากหลายชาติออกจากท่าเรือในเยอรมนี และการเสริมความเข้มแข็งด้านการลาดตระเวนทางอากาศและเรือดำน้ำ

นอกจากนี้ รุตเต้ยังเชื่อมโยงแนวทางนี้กับเป้าหมายด้านงบประมาณกลาโหมของนาโต้ ที่กำหนดเป้าวางงบในระดับกลาโหมอย่างน้อย 5% ของ GDP (3.5% ภาระหลัก และ 1.5% เพื่อโครงสร้างพื้นฐาน) เพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้กำลังที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

'รังสิมันต์' เสนอไทยใช้สันติ-เศรษฐกิจ แทนอาวุธ แก้ปมชายแดนกัมพูชาอย่างยั่งยืน

(6 มิ.ย. 68) จากประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังร้อนระอุในขณะนี้ รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ถึงแนวทางที่รัฐบาลไทยควรใช้เพื่อตอบโต้กดดันทางการกัมพูชา ให้ยอมหันหน้าเข้าโต๊ะเจรจาอย่างสันติ โดยที่ไม่ให้ไทยต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

โดยนายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า ประเทศไทยไม่ควรเลือกใช้เส้นทางสงครามทางทหาร ในการแก้ไขปัญหาชายแดน เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างทราบดีว่าการบุกรุกยึดครองกันนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง และหากเกิดการปะทะด้วยอาวุธ ก็จะนำมาซึ่งความสูญเสียและสร้างบาดแผลที่ยากจะเยียวยาในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่บริเวณชายแดน

ในฐานะที่ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่ากัมพูชาอย่างมาก และมีประวัติศาสตร์ที่มีชั้นเชิงในการเจรจา จึงไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นการรบ แต่ควรเอาชนะความขัดแย้งนี้ด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการบีบคั้นทางเศรษฐกิจ มุ่งเป้าไปที่ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย และมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มฐานอำนาจของกัมพูชา โดยเฉพาะ 'ออกญา' ซึ่งเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะไปตั้งฐานในพื้นที่เหล่านี้ และเชื่อว่าออกญามีรายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายนี้

นายรังสิมันต์ ชี้ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย และ ไฟฟ้าในพื้นที่ปอยเปตก็มาจากฝั่งไทย หากประเทศไทยสามารถตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าในพื้นที่ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ได้ จะเป็นการ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว” เพราะเป็นการหยุดรายได้มหาศาลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา และเป็นการแก้ปัญหาภายในประเทศของเราเองด้วย

นอกจากนี้นายรังสิมันต์ยังได้ระบุด้วยว่าไม่ทราบว่ามี 'ออกญา' คนใดที่เกี่ยวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้าง แต่ทราบว่าบางคนมีสัญชาติไทย ดังนั้นทางการไทยสามารถใช้กลไกกฎหมายในประเทศเข้าจัดการได้เลย

ทั้งนี้นายรังสิมันต์มองว่าจะยังไม่ควรไปถึงข้อเสนอเรื่องปิดด่าน เพราะพื้นที่ซื้อขายในด่านชายแดนเป็นฝั่งไทยที่ได้ดุลการค้า แต่ก็ควรมีมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยข้ามไปเล่นคาสิโนในกัมพูชา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไปเล่นคาสิโนมาจากฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของกัมพูชา

นายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า กัมพูชากำลังพยายามสร้างแต้มต่อให้มากที่สุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และการทหาร เพื่อให้ตนเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบในการเจรจา ดังนั้น ประเทศไทยก็ต้องแก้โจทย์นี้ โดยต้องสร้างความชอบธรรมในเวทีนานาประเทศ ทำให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายรังแกกัมพูชาก่อน เพื่อให้ทุกประเทศเห็นว่าการเจรจาทวิภาคีเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั้งนี้นายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่า หลายประเทศรอบบ้านไม่ได้ 'เห็นหัว' ประเทศไทยเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องทบทวนตัวเองในระยะยาว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top