Sunday, 8 June 2025
Hard News Team

‘ป.ป.ช.’ ยอมรับ!! ‘ทวีวัฒน์’ ลืมเงิน 12 ล้าน เป็นสามีขรก.ปปช. เร่งสอบแจง!! บัญชีทรัพย์สิน

เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย. 68) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า จากที่มีการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน กรณีการพบเงินสด 12 ล้านบาทถูกทิ้ง ที่คอนโดย่านเมืองทองธานี โดยมี นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว แสดงตนว่าเป็นเจ้าของเงิน และพบว่าชายคนดังกล่าวมีสถานะเป็นสามีของข้าราชการ ป.ป.ช.ระดับผู้อำนวยการ ซึ่งตามกฎหมายจะต้องแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน อีกทั้งยังเป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ของกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยนั้น

สำนักงาน ป.ป.ช.ขอชี้แจงว่า นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว เป็นสามีของข้าราชการท่านหนึ่งระดับผู้อำนวยการของสำนักงาน ป.ป.ช.จริง และเงินสด จำนวน 12 ล้านบาท ดังกล่าว อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นส่วนหนึ่งของรายการในบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ ในประเด็นการแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะแต่งตั้งตามความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และคุณวุฒิของบุคคลนั้นๆ ทั้งนี้หากมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมสำนักงาน ป.ป.ช.จะชี้แจงในขั้นตอนต่อไป

เทรนด์โลกออนไลน์ นักศึกษาจีนจบใหม่ ตลกร้ายที่อาจดูขำแต่น้ำตาตกใน จุดเปลี่ยนขาลง ของระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม ผลิตบัณฑิต ล้นตลาดแรงงาน

(8 มิ.ย. 68) เข้าสู่ฤดูรับปริญญาของจีน ซึ่งตรงกับช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. ของทุกปี เป็นช่วงที่จะได้เห็นคอนเทนท์รับปริญญาของนักศึกษาจบใหม่มากมายบนสื่อโซเชียล เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ บนโลก การรับปริญญาเป็นเรื่องที่น่ายินดี สำหรับตัวนักศึกษาจบใหม่เอง หรือจากคนรอบตัวที่แห่แสดงความยินดีในรูปแบบต่าง ๆ กลายเป็นเทรนด์บนโลกโซเชียลมากมายที่สะท้อนสังคมในยุคปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่นคลิปไวรัลของนักศึกษาจบใหม่ที่ทำคลิปขอบคุณ ChatGPT ที่ช่วยเขาในการทำการบ้าน ที่ถ้าหากผมเป็นนายจ้างหรือเจ้าของบริษัท ก็คงจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเด็กยุคนี้ใช้ ChatGPT จนเรียนสามารถเรียนจบได้ ถ้างั้นแทนที่เราจะจ่ายเงินจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ เราจ่ายเงินค่า subscribtion รายเดือนให้ ChatGPT ทำงานให้ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ถูกกว่า เร็วกว่า ฟังก์ชั่นกว่า เพราะหากจ้างเด็กจบใหม่ในยุคนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาก็จะใช้ ChatGPT ทำงานให้อยู่ดี

แม้จะเป็นแค่มุกตลก แต่ว่ากันว่ามุกตลกนั้นสะท้อนภาพสังคมในแต่ละยุคสมัยได้เช่นกัน 

ในกรณีที่ยกตัวอย่างตามข้างต้นนี้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสังคมยุคใหม่ และการแทนที่มนุษย์โดย AI 

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเทรนด์คอนเทนท์รับปริญญาบนโลกโซเชียล ทั้งในจีนและทั่วโลก ที่สะท้อนสภาพสังคมและปัญหาที่แก้ได้ยาก ยังมีอีกหลายเทรนด์ที่ยังเป็นไวรัลอย่างต่อเนื่องอีกมากมาย….

“To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it.”
“เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”
— Charlie Chaplin

"毕业快乐!欢迎加入美团。"  
“ยินดีด้วยที่เรียนจบ ยินดีต้อนรับสู่เหม่ยถวน (Meituan)”

— หนึ่งในคำโปรยจากวิดีโอสั้นใน Douyin (Tiktok ของจีน) ที่ถูกแชร์นับล้านครั้ง

เนื้อหาในวิดีโอความยาวไม่ถึง 30 วินาที เป็นภาพนักศึกษาจีนหนุ่มคนหนึ่งเดินออกจากพิธีรับปริญญาในชุดครุย เขาหยุดกลางถนน ถอดชุดครุยออก ก่อนจะเผยให้เห็นเสื้อของแพลตฟอร์มส่งอาหาร “Meituan - เหม่ยถวน” อยู่ข้างใน ใส่หมวกกันน็อก หิ้วกระเป๋าส่งของ แล้วหันมายิ้มกล้องพร้อมพูดออกมาว่า “หางานได้แล้ว!”

เทรนด์ดังกล่าวถูกเรียกว่าเทรนด์ “毕业即失业 - เรียนจบแต่ตกงาน” ซึ่งมักปรากฏในรูปแบบของวิดีโอเปลี่ยนชุดครุยเป็นชุดไรเดอร์ พนักงานร้านสะดวกซื้อ หรือแรงงาน Gig economy อื่น ๆ นี่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงในจีน และจะเป็นกรณีหลักในการวิเคราะห์ของบทความนี้ 

คลิปเหล่านี้ไม่ได้แค่เป็นไวรัล แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้ชมใช้ในการระบาย เช่นคอมเมนต์ทำนองว่า “ฉันก็จบจากมหาวิทยาลัย 985 (คล้าย ๆ กับ Ivy League ในสหรัฐฯ) เหมือนกัน ตอนนี้ส่งอาหารอยู่” คอนเทนท์ในเทรนด์นี้ค่อนข้างหลากหลาย มีผู้คนนำมาดัดแปลงรูปแบบการตัดต่อ ใส่เพลง และวิธีเล่า และไม่ได้มีแค่อาชีพส่งอาหาร ยังมีอาชีพอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นส่วนหนึ่งของคอนเทนท์ในเทรนด์ ตัวอย่างเช่นกรณีหนุ่มเรียนจบมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของจีน (จากการจัดอันดับในปี 2024) แต่กลับต้องเป็นคนขายเต้าหู้เหม็น

ซึ่งจริง ๆ เทรนด์การทำคลิปประมาณนี้ก็ฮิตมาถึงที่ไทย ผมเห็นคลิปคนไทยถอดชุดครุยแล้วสวมแจ็กเก็ตแอปสั่งอาหารสีเขียว บ้างก็ขายหมูปิ้ง บ้างก็ใส่ชุดพนักงาน 7-11 แตกต่างกันไป

วิดีโอเหล่านี้ กลายเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เสียงหัวเราะเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวด และเป็นการสะท้อนปัญหาที่ฝังรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนยุคใหม่ ความตลกกลายเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความสิ้นหวัง — หรืออย่างที่นักแสดงตลกชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งอย่าง Charlie Chaplin เคยกล่าวเอาไว้ว่า “To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it. – เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”

หรืออีกหนึ่งเทรนด์ไวรัลที่เรียกว่า “孔乙己文学” (วรรณกรรมข่งอี้จี๋) ซึ่งกลายเป็นคำฮิตในโลกออนไลน์จีนในช่วงปี 2023–2024 โดยพูดถึงตัวละคร “ข่งอี้จี๋” จากเรื่องสั้นของหลู่ซิ่น ซึ่งเป็นชายมีการศึกษา แต่ยากจน ถูกสังคมเย้ยหยัน และไร้ที่ยืน เปรียบเทียบคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา แต่ไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้ 

โดยเยาวชนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นเพราะโครงสร้างสังคมไม่เปิดทางให้พวกเขา และพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองให้เป็นเรื่องตลกและนำมาทำเป็นคอนเทนท์ประชดสังคม

เทรนด์นี้คือการที่เยาวชนนำเอาเรื่องราวชีวิตของตัวเองมาเขียนเล่าในแบบวรรณกรรม โดยดัดแปลงจากเรื่อง “ข่งอี้จี๋” ใช้ภาษาแบบกวี แต่เล่าให้เป็นเรื่องราวของตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นตัวละครหลัก บอกเล่าถึงการเรียนอย่างหนักตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถหางานทำได้ ชีวิตมีอุปสรรคมากมาย ทำได้แค่เกาะพ่อแม่กิน แม้ต้องทนได้ยินคำดูถูกจากป้าข้างบ้าน

บางคนเอามาอัดคลิป ลงเสียง ตัดต่อเป็นเรื่องเป็นราว แต่งเป็นเพลงแร็พแสดงความเข้าอกเข้าใจ “ข่งอี้จี่” กลายเป็นสีสันช่วงวันรับปริญญาในปีที่แล้วไป….

“We were poor, but we didn’t know it. Then I got a degree, and I was broke — now I knew it.”
“เราเคยยากจนตอนเด็ก ๆ แต่เราไม่รู้ตัว หลังจากนั้นผมก็ได้ใบปริญญา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมมันจน”
—Chris Rock

ในอดีต ใบปริญญาถือเป็น "ตั๋วทอง" สู่อนาคตที่มั่นคง โดยเฉพาะในสังคมจีนที่ให้คุณค่ากับการศึกษาอย่างสูง แต่ในยุคที่มหาวิทยาลัยขยายจำนวนรับนักศึกษาอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “การศึกษาสำหรับทุกคน” แต่ในทางกลับกัน ตลาดแรงงานไม่สามารถดูดซับผู้สำเร็จการศึกษาได้เท่าทัน ทำให้การศึกษากลายเป็นสินค้าที่ล้นตลาด

จากรายงาน 2023 China College Graduates Employment Competitiveness Report ของ Tencent Research Institute ระบุว่า ในปี 2023 จีนมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจำนวน 11.58 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนอายุ 16–24 ปีพุ่งสูงถึง 21.3% ในเดือนมิถุนายน 2023 การสำรวจยังพบว่า 64% ของนักศึกษาจีนต้องการทำงานในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ชี้ให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่สนใจอาชีพที่ให้ความมั่นคง มากกว่าอาชีพที่ให้ความมั่งคั่งแต่การแข่งขันสูง

ซึ่งหากมองให้สอดคล้องกับยุคสมัยนั้น สองตัวแปรสำคัญที่ควรนำมาตั้งคำถามเพื่อศึกษาปัญหาปัญหานี้ คือเรื่องระบบการศึกษา และกระแสความต้องการของตลาดแรงงาน

ประเด็นคน “จบปริญญา” แต่ทำงาน “รายได้ต่ำ” หรือการที่ผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนมากต้องประกอบอาชีพที่ไม่ได้สอดคล้องกับสาขาที่เรียนมา ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถ แต่เพราะตลาดแรงงานมีข้อจำกัดในการรองรับทักษะและความหลากหลายของแรงงานในยุคเปลี่ยนผ่าน ในขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาเองก็ไม่ได้ผลิตบุคคลากรที่ตรงกับความต้องการตลาดเสมอไป

รายงานของ Tencent Research Institute ระบุถึงความคาดหวังของบัณฑิตรุ่นใหม่ว่าบัณฑิตระดับปริญญา บัณฑิตระดับปริญญาตรีคาดหวังเงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ย 10,792 หยวน (ประมาณ 50,000 บาท) ต่อเดือน

ในรายงานยังระบุอีกว่า ความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาเอกเพิ่มขึ้น 202.1% และปริญญาโทเพิ่มขึ้น 142.6% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ความต้องการสำหรับบัณฑิตระดับอนุปริญญาหรือต่ำกว่าลดลงเกือบ 40% 

ส่วนความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาตรีในตำแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ้นจาก 28.8% ในปี 2021 เป็น 42.9% ในปี 2023 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มที่ตลาดแรงงานยังคงให้ความสำคัญกับบัณฑิตระดับปริญญาตรี

หากเป็นยุคสมัยก่อน สาขาอย่างเช่น วรรณกรรม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การจัดการ ภาษาศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นสาย Social/Humanities ผู้ที่จบสาขาเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นปัญญาชน หารายได้ได้มากกว่าชนชั้นแรงงาน แต่ในปัจจุบัน คนที่เรียนจบจากสายสังคม แม้จะมีความรู้รอบด้าน มีทักษะการสื่อสารที่แข็งแรง แต่ขาดทักษะและความเชี่ยวชาญในการสร้างหรือผลิตสินค้าตลาดใหม่หรือและบริการด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงในปัจจุบัน

เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลในตลาดแรงงานของจีน จะพบว่าสาขาที่มีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่องคือสาย STEAM ได้แก่ Science, Technology, Engineering, Arts และ Mathematics โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech), วิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Automation)

จากรายงานของ Tencent ยังมีการระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เสนอเงินเดือนระดับเริ่มต้นให้กับนักศึกษาจบใหม่ในสาย Data Science สูงถึง 20,000 หยวนต่อเดือน ในขณะที่สาย Humanities ได้เริ่มต้นเฉลี่ยเพียง 6,000–8,000 หยวน แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของตลาดแรงงาน โดยมีความต้องการสูงในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะที่สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีความต้องการลดลง

ผลกระทบของความไม่สมหวังทางวิชาชีพของเหล่าเด็กจบใหม่ กลายเป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่เริ่มลดแรงจูงใจในการแสวงหาความก้าวหน้า และเข้าสู่โหมด "躺平" (นอนราบ) หมายถึง การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หลีกเลี่ยงการแข่งขัน ไม่พยายามไล่ตามมาตรฐานความสำเร็จตามระบบ เช่น ไม่ซื้อบ้าน ไม่แต่งงาน ไม่ทำงานหนัก หรือโหมด "摆烂" (ปล่อยให้พัง) ซึ่งเป็นการยอมแพ้แบบประชดตัวเอง คือแม้รู้ว่าทุกอย่างกำลังแย่ ก็ไม่พยายามจะแก้ไขอีกแล้ว คล้าย ๆ กับการ “ปล่อยวางแบบขมขื่น”

"They say follow your dreams. So I went back to bed."
"เขาบอกให้ทำตามความฝัน… งั้นฉันก็เลยกลับไปนอนต่อ"
— Some viral Internet meme

ในทางทฤษฎี คำถามสำหรับตลาดแรงงานในวันนี้คือ : เป็นเพราะ “เศรษฐกิจไม่ดี” หรือ “เทคโนโลยีแย่งงาน” ที่ทำให้ความต้องการนักศึกษาจบใหม่ในตลาดแรงงานลดลง ?

คำตอบคือ : ทั้งสองอย่างผสมกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

แน่นอนว่าปัญหาในภาพรวมเกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว และความล้ำหน้าของเทคโนโลยีที่สามารถแทนที่แรงงานบางประเภทได้แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องของโครงสร้างตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วมากในปัจจุบัน เราอาจอาจเลือกเรียนในคณะหรือสาขาที่คิดว่ามีความสำคัญและหาเงินได้ แต่ภายใน 4 ปีที่เรียนนั้น เกิดนวัตกรรมใหม่ที่ส่งผลต่อตลาด ทำให้คณะหรือสาขาที่เลือกเรียนไปมีความสำคัญน้อยลง ความรู้จากการเรียน 4 ปีที่ผ่านมาอาจไม่สำคัญอีกต่อไป ในจุดนี้ เป็นสิ่งที่ต้องนำไปตั้งคำถามต่อกับระบบการศึกษาที่ผลิตบุคคลากรป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน

อีกหนึ่งคำถามสำคัญ : “เรียนจบแล้วหางานไม่ได้” – แล้วการระบบศึกษายังสำคัญอยู่หรือไม่ ?

คำตอบคือ : ยังสำคัญอยู่ แต่ไม่ใช่ในแบบเดิม 

กล่าวคือ ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” แต่ต้องเรียนเพื่อ “พัฒนาทักษะ + ความสามารถที่ตลาดต้องการ”

แม้ระบบการเรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” ซึ่งเน้นวิชาการ ท่องจำ และการวัดผลตามระบบ จะเคยตอบโจทย์ในอดีต เพราะด้วยโครงสร้างทางสังคม จำนวนคนเรียนสูงยังไม่มาก คนมีปริญญาจึง “มีค่าหายาก” ในจังหวะที่ เศรษฐกิจขยายตัว สร้างตำแหน่งงานใหม่ ต้องการคนมีความรู้จำนวนมาก

แต่ในปัจจุบัน เกิด “academic inflation” การมีใบปริญญากลายเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ เขาก็มีกัน ในขณะที่เศรษฐกิจก็ชะลอตัว ตำแหน่งงานลดลง เทคโนโลยีก้าวหน้า แต่การแข่งขันก็ยังสูง ทำให้ตลาดต้องการคนที่ “ทำได้จริง” ไม่ใช่แค่ “สอบได้ดี”

สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ “คุณค่าของความรู้” แต่คือ “วิธีเรียนรู้” และ “สิ่งที่ต้องรู้” ที่จะต้องเน้นภาคปฏิบัติมากขึ้น ที่สำคัญ คือต้องไม่สอนให้เด็กเป็น “เครื่องมือของระบบเดิม”

ในส่วนนี้ รัฐบาลจีนพยายามใช้นโยบายปฏิรูปการศึกษาด้วยแนวคิด Key Competencies-Based Education Reform และ TVET Reform สนับสนุนให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในสนามจริง ทั้งยังส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะข้ามสาย เพื่อรับมือกับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงความต้องการทางทักษะอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ให้เด็กมีความสามารถในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ พร้อมปรับตัวกับอาชีพที่ยังไม่เคยมีในโลกวันนี้

อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญคือ ประเทศไทยสามารถถอดบทเรียนจากเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง ? เพราะจริง ๆ แล้วทั่วโลก รวมถึงเราเองก็เผชิญกับปัญหาในลักษณะที่คล้ายกัน อาจต่างกันในเชิงบริบท แต่ในเมื่อใจความสำคัญของระบบการศึกษาคือการสร้างบุคคลากรที่มี “ทักษะ” (skill) แล้วทักษะไหนสำคัญที่สุด ระหว่าง “ทักษะแข็ง” (hard skills) ที่เน้นความสามารถเชิงเทคนิค หรือ “ทักษะอ่อน” (soft skills) ที่เน้นความสามารถทางสังคมและการสื่อสาร ?

ส่วนตัวผม ไม่ว่าจะทักษะไหนก็สำคัญทั้งนั้น แต่ในวันนี้ มีอีกหนึ่งทักษะที่ต้องบรรจุเพิ่มเข้าไปใน capacity ของคนรุ่นใหม่ นั่นก็คือ “ทักษะระดับเหนือ” หรือ “ทักษะกรอบใหญ่” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Meta Skills” ซึ่งนอกจากจะเน้นเรื่องการเรียนรู้ด้วยตนเอง ยังต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความล้มเหลว การรู้จักตัวเอง การรู้จุดแข็ง จุดอ่อน สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ ความสามารถและเจตจำนงในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life long learning) และความเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ (Lifelong Learning)

โดยสรุป แม้ว่าวิดีโอแนวไวรัลที่เปลี่ยนจากชุดครุยเป็นเสื้อไรเดอร์จะดูขบขันในแวบแรก แต่มันสะท้อนเสียงเงียบของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ความหวังที่เคยผูกไว้กับการเรียนสูงเริ่มสั่นคลอน กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จีนเองก็จำเป็นต้องปฏิรูปหลักสูตร ส่งเสริมความยืดหยุ่นในการแนะแนวอาชีพ 

ที่สำคัญ คือต้องสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม โดยลดทัศนคติแบบ “มีปริญญา = ประสบความสำเร็จ” และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในสนามจริงที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบัน

"The only thing that interferes with my learning is my education."
"สิ่งเดียวที่ขัดขวางการเรียนรู้ของฉันคือการศึกษา"
— Albert Einstein

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568

ม้าศึกต้องฝึกอยู่เสมอ
ขุนศึกขี้คร้านเท่ากับ
เอาหัวไปให้ศัตรูตัดเล่นเท่านั้นเอง
เราไม่รู้ว่าจะเกิดสงครามเวลาใด
ความตายมาถึงเมื่อไรเราไม่รู้
มารู้ก็ตอนแย่แล้ว

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

ด่านชายแดนจันทบุรีงดนักท่องเที่ยวชั่วคราว เปิดทางเฉพาะแรงงาน หวั่นสถานการณ์ไม่ปลอดภัย

(7 มิ.ย. 68) หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีออกหนังสือแจ้งไปยังตรวจคนเข้าเมืองจันทบุรี ขอให้ระงับการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและกัมพูชาผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลมและบ้านผักกาดชั่วคราว โดยอนุโลมให้เฉพาะแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในไทยสามารถผ่านเข้าออกได้ตามปกติ

คำสั่งดังกล่าวอ้างอิงจากประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่บางอำเภอของจันทบุรี และอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ มาตรา 5 เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หลังมีสถานการณ์ที่อาจเป็นภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อป้องกันผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

พลเรือเอก นพโรจน์ สิริปริยพงศ์ ผู้บังคับหน่วยฯ ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าไม่ได้มีการ “ปิดด่าน” อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นการประกาศเพื่อเตือนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางมาเล่นกาสิโนหรือท่องเที่ยวในแนวชายแดน ให้เพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากอาจไม่ทราบสถานการณ์พื้นที่

ขณะที่การค้าแรงงานและรถขนส่งสินค้ายังคงดำเนินการได้ตามปกติ ด่านถาวรและจุดผ่อนปรนในเขตจังหวัดจันทบุรียังเปิดบริการตามปกติ พร้อมขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนช่วยชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง และไม่ตื่นตระหนกจากข่าวที่อาจสื่อสารไม่ครบถ้วน

สหรัฐฯ ส่งทีมตรวจสอบบัญชีถึงเคียฟ ตรวจการใช้งบช่วย ‘ยูเครน’ ทุกดอลลาร์

(7 มิ.ย. 68) ทีมผู้ตรวจสอบบัญชีจากสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เพื่อดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินช่วยเหลือด้านการทหารและมนุษยธรรมที่สหรัฐฯ มอบให้ยูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยพวกเขาวางแผนจะพักอยู่ในเคียฟจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้

การตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบว่าการใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ สำนักงานผู้ตรวจการทั่วไปของ USAID ได้ดำเนินการตรวจสอบและให้คำแนะนำเกี่ยวกับความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ต่อยูเครน

นอกจากนี้ สำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ (GAO) ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำกับดูแลความช่วยเหลือที่มอบให้ยูเครน โดยระบุว่าจำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด

การดำเนินการตรวจสอบดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการรับรองว่าความช่วยเหลือที่มอบให้ยูเครนถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เพื่อสนับสนุนความพยายามของยูเครนในการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน

สอน. ลงพื้นที่กำแพงเพชร เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ดันอุตฯ อ้อยไทยสู่ความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

(7 มิ.ย. 68) สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เริ่มกิจกรรมภาคสนามภายใต้โครงการ “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลให้เติบโตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากการเผาอ้อย พร้อมผลักดันเกษตรกรเข้าสู่แนวทางการผลิตแบบยั่งยืน

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการ สอน. ระบุว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและโลก จึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางการค้าสากล โดยเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในตลาดโลก

ข้อมูลฤดูหีบอ้อยปี 2567/68 พบว่า อ้อยสดเข้าหีบสูงถึง 85.14% และอ้อยเผาอยู่ที่ 14.86% ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ ถือเป็นความร่วมมือที่ดีจากเกษตรกรและโรงงานในการลดมลพิษจากการเผาอ้อย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่

สำหรับโครงการนี้จะดำเนินใน 3 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร สระแก้ว และอุดรธานี โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องผลกระทบของการเผาอ้อยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพผลผลิต

นอกจากนี้ สอน. ยังเตรียมเผยแพร่ข้อมูลวิชาการและผลวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแหล่งกำเนิด PM 2.5 เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม พร้อมหนุนภาครัฐและเอกชนร่วมแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ลดอุปสรรคทางการค้า และขับเคลื่อนการผลิตอ้อยอย่างยั่งยืนในระยะยาว

‘พิชัย’ ขอบคุณทูตจีนหนุนสินค้าเกษตรต่อเนื่อง ช่วยไทยส่งออกข้าวไปจีน 4 เดือน 2 แสนตัน พุ่ง 77.6%

(7 มิ.ย. 68) กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกข้าวไปจีนกว่า 2 แสนตัน เพิ่มขึ้น 77.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 3,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.3% พร้อมกับส่งออกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า แสดงให้เห็นความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้จัดเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เนื่องในโอกาสครบวาระการดำรงตำแหน่ง โดยขอบคุณทูตจีนที่ให้การสนับสนุนและร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรของไทย เช่น ข้าว ทุเรียน และมันสำปะหลัง

นายพิชัยเน้นย้ำว่าความร่วมมือระหว่างไทย-จีนไม่เพียงแต่ช่วยเปิดตลาดสินค้าเกษตร แต่ยังรวมถึงการอำนวยความสะดวกทางพิธีการศุลกากร และผลักดันการลงทุน พร้อมเตรียมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศในปี 2569 เพื่อยกระดับความร่วมมือในทุกมิติ

เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง กล่าวแสดงความตั้งใจสนับสนุนการส่งเสริมการค้าและการลงทุน รวมถึงการเปิดตลาดโคมีชีวิตในจีนในเร็วๆ นี้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในหมู่นักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มใหญ่ พร้อมยืนยันการทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงพาณิชย์ในการส่งออกผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียนให้เป็นไปอย่างราบรื่น

สำหรับข้อมูลการค้าระหว่างไทยและจีนในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าจีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย มูลค่าการค้ารวมเพิ่มขึ้นกว่า 10% โดยสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สด ยางพารา และมันสำปะหลัง ขณะที่สินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเหล็ก เหล็กกล้า ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่องระหว่างสองประเทศ.

‘หมอหม่อง’ ชวนรัก ‘ชาติ’ แบบมีสติไม่สุดโต่ง สะกิดสังคมใช้พลังให้ถูกจุด ชี้ปัญหาแท้จริงคือทุนผูกขาด

(7 มิ.ย. 68) ‘หมอหม่อง’ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงกระแสรักชาติในตอนนี้

ที่จะพูดต่อไปนี้ เสี่ยงโดนด่ามากเลย เพราะคนจะเข้าใจผิด

ในกระแส รักชาติ ตอนนี้ ผมรักประเทศไทย ภูมิใจหลายๆ อย่างความเป็นไทย (แบบที่ไม่ perfect แบบนี้) เชียร์ทีมวอลเลย์บอลไทย ฯลฯ และพยายามทำให้ประเทศดีขึ้นในมุมเล็กๆของผม

แต่เอาจริงๆ เรื่องชาตินิยม นี่ ถ้าอ่านหนังสือ Sapiens ของ Yuval Noah ผมเห็นด้วยกับที่เขาอธิบายว่า ทำไม

Homo sapiens มันทำอะไร หลายอย่างที่ ลิงอื่นทำไม่ได้ นั่นคือ การสร้าง ความจริงสมมติ หรือ Imaginary truth

ชาติ มันคือ นิทาน ความจริงสมมติ ที่สังคมกำหนดขึ้นเพื่อ สร้างความร่วมมือของกลุ่ม ของเผ่า
เพื่อความอยู่รอด และ ช่วยปกป้อง ผลประโยชน์บางอย่างร่วมกัน มันไม่ใช่ความจริงที่แท้

หากเรากลัวเสียดินแดน เพราะกลัวคนอื่นมาแย่งทรัพยากร มาตักตวงผลประโยชน์ไปจากเรา

ผมว่าเรามารบกับทุนผูกขาด รบกับโครงสร้างสังคมที่เหลื่อมล้ำ ผลประโยชน์เส้นสายกันดีกว่านะครับ

กัมพูชาโต้ชัด ปัดละเมิดอธิปไตยไทย ย้ำแก้ปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี

(7 มิ.ย. 68) นายชุม สอนทรีย์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ากองกำลังชายแดนกัมพูชาได้ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย โดยยืนยันว่ากองกำลังของตนปฏิบัติหน้าที่ภายในเขตแดนของกัมพูชาเอง

โฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงว่า เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลาประมาณ 05.30 น. นั้น เกิดขึ้นเมื่อกองกำลังไทยเปิดฉากยิงใส่ฐานทัพของกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชโมโรโกต อำเภอโจมคสัน จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กัมพูชาควบคุมมาโดยตลอด ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย

กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาระบุว่า การกระทำดังกล่าวของฝ่ายไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา และฝ่าฝืนบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2543 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพตามแนวชายแดน

กัมพูชาย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเคารพอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน และตั้งใจที่จะเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนให้เป็นเขตแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา โดยยืนยันว่าพร้อมที่จะแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สำหรับการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นหน้าสถานทูตกัมพูชาในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2568 นั้น เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย นายฮุน ซาโรอุน ได้ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตทุกคนปลอดภัยดีและยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ การประท้วงดำเนินไปอย่างสงบและเป็นระเบียบ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด 

ฝรั่งหัวทองเมินช่วยไทย ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ต่างจากเพื่อนเอเชีย ยื่นมือพยุงเศรษฐกิจไทย

(7 มิ.ย. 68) ย้อนกลับไปในวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ประเทศไทยต้องเผชิญภาวะเงินทุนไหลออก ค่าเงินบาทพังทลาย ธนาคารล้มหลายแห่ง รัฐบาลไทยในขณะนั้นต้องกู้เงินกว่า 17.2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพยุงเศรษฐกิจ

เงินช่วยเหลือนั้นส่วนใหญ่มาจาก IMF (4 พันล้านดอลลาร์), ญี่ปุ่น (4 พันล้าน), จีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, และประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน รวมถึงธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย โดยเป็นเงินที่ไทยมีสิทธิเข้าถึงในฐานะประเทศสมาชิก แต่สิ่งที่หลายคนยังจำฝังใจคือ สหรัฐอเมริกาและยุโรป ไม่ได้ช่วยเหลือไทยเลยแม้แต่สลึงเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาบริษัทการเงินจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะกองทุนเฮดจ์ฟันด์และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GE Capital กลับรีบเข้ามาซื้อกิจการไทยในราคาต่ำเหมือน "แร้งลง" ช่วงวิกฤต บางรายทำกำไรมหาศาลจากการเข้าซื้อหนี้เสียและหุ้นในตลาดทุนไทย ขณะที่ประชาชนและธุรกิจไทยจำนวนมากล้มละลาย

อีกหนึ่งจุดที่ถูกวิจารณ์หนักคือ การเก็งกำไรโจมตีค่าเงินบาทของกลุ่มทุนต่างชาติ โดยเฉพาะ “จอร์จ โซรอส” ที่ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังการถล่มค่าเงินบาท สร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และจุดชนวนให้เกิดวิกฤตในเอเชียเป็นลูกโซ่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top