Sunday, 28 April 2024
Hard News Team

'อรรถวิชช์' ชู RECs 'ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด'  นวัตกรรมช่วยลดโลกร้อน เพิ่มขีดความสามารถผู้ส่งออกไทยสู้เวทีการค้าโลก

(23 เม.ย.67) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานกรรมการบริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยานในการให้ความร่วมมือกันระหว่าง ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และ นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) เพื่อช่วยองค์กรและผู้ประกอบการไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวว่า "ขณะนี้ผู้ส่งออกสินค้าไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซที่ทำให้โลกร้อนจำพวกคาร์บอน มีเทน และอื่น ๆ หากไม่มีมาตรการหักลบหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง จะโดนข้อกีดกันทางการค้าจากประเทศปลายทางหลายอย่าง เช่น ภาษีคาร์บอน หรือการถูกยกเลิกเป็นคู่ค้า"

โดย บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญในการหามาตรการช่วยลดภาวะโลกร้อน และ ต้องการเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการเข้าสู้เวทีการค้าโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด สามารถให้คำแนะนำ และมีนวัตกรรมที่สามารถจะช่วยเหลือผู้ประกอบการ ด้วยกลไก ที่เรียกว่า 'Renewable Energy Certificates : RECs' หรือ 'ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด'

"กลไกนี้ จะทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) คือ ขาหนึ่งที่สร้างมลภาวะ ขณะที่อีกขาหนึ่งช่วยให้เกิดพลังงานสะอาด ให้หักกลบลบกันไป เพื่อช่วยลดโลกร้อน และเป็นการช่วยผู้ส่งออกไทยให้สู้กับต่างประเทศได้ นี่คือกติกาการค้าใหม่ที่ผู้ส่งออกไทยต้องเจอครับ เป็นเรื่องยากที่ต้องทำให้ง่าย" ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

'นักเขียนซีไรต์' แชร์ประสบการณ์ความหนาวเข้ากระดูกในนิวยอร์ก ชวนให้นึกถึงเมษายนเมืองไทย เจอร้อนจัดๆ คงดีเหลือประมาณ

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.67) นายวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์ และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า…

วันนี้ออกไปทำธุระนอกบ้านหลายชั่วโมง ตั้งแต่ก่อนเที่ยงจนบ่าย รับพลังงานแสงอาทิตย์มาหลายกิโลวัตต์ มองดูตัวเอง คล้าย ๆ เนื้อแดดเดียว ถ้ามีข้าวเหนียวด้วยก็ลงตัว

ผมไม่ได้ฟังพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา จึงไม่รู้ว่าเราผ่านจุดร้อนสุดมาแล้วยัง แต่ไอร้อนตอนนี้มันคล้ายอยู่บนดาวซานถี่ ตอนดวงอาทิตย์ขึ้นสามดวงพร้อมกัน

คนไทยที่เจอไอร้อนระดับนี้อาจบ่นอู้ แต่หากเคยผ่านความหนาวของเมืองนอกระดับติดลบ และฮีตเตอร์ไม่ทำงาน จะต้องเปลี่ยนความคิด เห็นว่าร้อนดีกว่า

สมัยผมเรียนและทำงานที่นิวยอร์ก ผมเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่กับเพื่อนคนไทยและฝรั่งอีกคน เจ้าของตึกเป็นยิว และประพฤติตนเหมือนตัวละครไชล็อกที่เราเรียนในเรื่อง เวนิสวาณิช ทุกประการ 

ยิวแสบคนนี้ปิดฮีตเตอร์ตึกเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนนอนหลับไปแล้ว เรื่องนี้ผิดกฎหมาย แต่ไชล็อกโนสนโนแคร์ เพราะรู้ว่ารายงานไป ทางการนิวยอร์กก็ไม่ทำอะไร เพราะแต่ละวันมีคนหลายร้อยหลายพันคนโดนแบบนี้

ในเมืองร้อน หากเราไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ มันก็ร้อนเท่านั้น แต่ในเมืองหนาว ตึกที่ไม่เปิดฮีตเตอร์ก็คือ การอยู่ในช่องฟรีซเซอร์ตู้เย็น เราต้องสวมเสื้อกันหนาวเต็มยศนอน คล้ายพวกปีนเขาเอเวอเรสต์ มันหนาวเข้าในกระดูก หนาวจนป่วย

ตอนหนาวจัด ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้นั้นเอง ผมนึกถึงเดือนเมษายนในเมืองไทย ผมจินตนาการว่าถ้าได้อยู่ในเมืองไทยตอนร้อนจัด ๆ คงดีเหลือประมาณ

ดังนั้นทุกครั้งที่เจออากาศร้อนจัดในเมืองไทย ผมมักนึกถึงคืนที่สวมชุดกันหนาวนอนบนเตียงตัวเอง ในอพาร์ตเมนต์ของไอ้เวรไชล็อก

แล้วความร้อนในเมืองไทยก็คือสวรรค์ดี ๆ นี่เอง

‘บางจากฯ’ ผนึกกำลัง SME D BANK เสริมแกร่ง SME เติมทุนคู่พัฒนา สร้างโอกาสธุรกิจในปั๊มน้ำมันบางจาก

(23 เม.ย.67) นายปริญญา กิตติการุญจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจค้าปลีก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางจากรีเทล จำกัด, นายวรากร โกศลพิศิษฐ์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และรองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC, นายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ และ นายนิพนธ์ ยุทธนาระวีศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ร่วมเปิดงานสัมมนา ‘SME D Bank เสริมแกร่งเติมทุน สร้างโอกาสธุรกิจในปั๊มน้ำมันบางจาก’ เสริมความรู้ด้านธุรกิจและช่องทางแหล่งเงินทุน เสริมศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจกลางและขนาดย่อมให้แข็งแกร่ง ต่อยอดธุรกิจได้อย่างมั่นคง 

โดยงานนี้ จัดขึ้นภายใต้บริษัท บางจากฯ บริษัท บางจากศรีราชา จำกัด (มหาชน) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยมีผู้ประกอบการสถานีบริการบางจาก ผู้บริหารและวิทยากรจากทั้ง 3 หน่วยงาน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมปันสุข 1-2 สำนักงานใหญ่บริษัท บางจากฯ อาคาร M Tower เมื่อเร็ว ๆ นี้

สำหรับงานสัมมนา ‘SME D Bank เสริมแกร่งเติมทุน สร้างโอกาสธุรกิจในปั้มน้ำมันบางจาก’ จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในสถานีบริการบางจาก ผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าและ ซัพพลายเชน (Supply Chain) หรือผู้สนใจจะลงทุนเปิดร้านในสถานีบริการบางจาก ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ และคำปรึกษาเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจจาก SME D Bank เพื่อประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจเสริมในสถานีบริการ ให้สามารถตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกวัยตามแนวคิด Greenovative Destination for Intergeneration ของบางจากฯ ที่ไม่เพียงให้บริการน้ำมันคุณภาพสูง แต่ยังมีบริการเสริมที่หลากหลาย ครบครัน สามารถเติมเต็มและสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด 

ก่อนหน้านี้ บางจากฯ ได้ร่วมกับ SME D Bank ในการจับคู่คู่ค้าที่มีความสนใจเช่าพื้นที่ในสถานีบริการบางจาก ทำให้ ได้กลุ่มลูกค้า SME ที่ทำธุรกิจ แต่ยังขาดทำเลพื้นที่เช่า มาร่วมทำธุรกิจในสถานีบริการบางจากเพิ่มเติมไปบ้างแล้ว

'บิ๊กโจ๊ก' ส่งตัวแทนยื่นหนังสือ ป.ป.ช. ขอถอนคำร้องเอาผิด 'เศรษฐา'  ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีปมแต่งตั้ง 'ผบ.ตร.' 

(23 เม.ย.67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันที่ 23 เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ได้ส่งตัวแทนมายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอถอนเรื่องที่ยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เมื่อวันที่ 22 เม.ย. กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในการสกัดกั้นไม่ให้เป็น ผบ.ตร. โดยขัดต่อ พ.ร.บ.ตำรวจ โดยระบุเหตุผลว่า ไม่ติดใจจะดำเนินการเอาผิดนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนกรณีการเอาผิดพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้ยื่นถอนเรื่องแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม กรณีการยื่นให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี แม้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะไม่ติดใจดำเนินการ แต่ ป.ป.ช.ก็ยังต้องดำเนินการตรวจสอบต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เคยมายื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรีในข้อกล่าวหาทำนองเดียวกัน ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช.

กมธ.อุตฯ หวั่น!! พฤติกรรมลอกเลียนเผาทำลายกากอุตสาหกรรม จี้!! ‘ก.อุตฯ’ เคลียร์ระบบจัดเก็บกาก-ตรวจสอบใหม่ทั้งประเทศ

(23 เม.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมที่จังหวัดระยองว่า ไฟไหม้ลักษณะนี้ถือเป็นปัญหาที่ซ้ำซากมาก สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเป็นอุบัติเหตุจริง กรมโรงงานอุตสาหกรรมต้องหามาตรการป้องกันให้ได้ผล แต่ที่ผ่านมามักจะมีการเผาทำลายหลักฐานกากอุตสาหกรรม แต่การดูแลควบคุมทำไม่ได้ปล่อยให้เกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ

นายอัครเดช กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแล จะต้องเข้าไปตรวจสอบและป้องกันการก่อเหตุให้ได้ผล ที่ผ่านมากลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ทั้งที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมาเกิดที่จังหวัดระยอง ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรม ไม่เข้ามาดำเนินการอย่างจริงจัง จะเกิดการเผาทำลายหลักฐานเช่นนี้ขึ้นอีก เหตุการณ์ไฟไหม้โรงเก็บกากอุตสาหกรรมในหลายจังหวัดมีหลักฐานชัดเจน แต่ก็ไม่มีการชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบว่า การดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการไปถึงไหน มีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) บ้างหรือไม่

“ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องจัดการปัญหานี้ใหม่อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง ต้องมีการสังคายนาระบบการจัดเก็บกากอุตสาหกรรมใหม่ทั่วประเทศ เพราะเหตุไฟไหม้ที่ผ่านมาส่วนมากเกิดจากการเผาทำลายหลักฐาน ในเมื่อกำจัดกากอุตสาหกรรมไม่ได้และใช้งบประมาณดำเนินการมากก็เลยใช้วิธีเผาทำลายโดยความตั้งใจ ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบเกิดขึ้นซ้ำซาก ดังนั้นกรณีนี้และหลายกรณีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสอบสวนอย่างจริงจังว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือจงใจเผาทำลาย ถ้าพบการเผาทำลาย ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเนื่องจากส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งกมธ.อุตสาหกรรมเคยตั้งคำถามไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีแต่ยังเกิดเหตุซ้ำซากขึ้นอีก ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังเสียทีนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว” ประธานกมธ.อุตสาหกรรมกล่าว

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า กมธ.คงจะต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาติดตามเหตุไฟไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมอีกครั้ง ทั้งที่ จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดระยองว่า ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำซาก ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ก็จะกลายเป็นแฟชั่นเผาเพื่อทำลายหลักฐาน

‘ฮ.กองทัพเรือมาเลเซีย’ 2 ลำ ชนกันกลางอากาศ สลด!! ทหาร 10 นายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

(23 เม.ย.67) กองทัพเรือมาเลเซีย รายงานว่า เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการทางทะเลเอชโอเอ็ม (HOM) และเฮลิคอปเตอร์เฟนเน็กชนกันกลางอากาศเหนือฐานทัพในเมืองลูมุต รัฐเประ ประเทศมาเลเซีย เมื่อเวลา 9.32 น. ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ทหารบนเฮลิคอปเตอร์เอชโอเอ็ม 7 นาย และบนเฟนเน็กอีก 3 นายเสียชีวิต

รายงานที่สำนักข่าวแชนแนลนิวส์เอเชีย ระบุว่า เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำบินขึ้นเมื่อเวลา 9.03 น. หลังจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองชนกัน เอชโอเอ็มตกไปที่บันไดของสนาม ขณะที่เฟนเน็กตกไปในสระน้ำ ส่งผลให้ทหารทั้ง 10 นายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนร่างของเหยื่อถูกนำส่งโรงพยาบาลกองทัพเรือลูมุต เพื่อระบุอัตลักษณ์ต่อไป

ทั้งนี้ การฝึกบินดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการซ้อมเดินขบวนสวนสนามเนื่องในวันครบรอบกองทัพเรือ 90 ปี

ด้านกองทัพเรือมาเลเซียเตรียมสอบสวนเพื่อหาสาเหตุของอุบัติเหตุดังกล่าวต่อไป และขอให้สาธารณชนหยุดแชร์วิดีโออุบัติเหตุดังกล่าว เพื่อรักษาความรู้สึกอ่อนไหวของครอบครัวผู้สูญเสีย และเพื่อกระบวนการสอบสวน

ภาพอุบัติเหตุที่แชร์ในโซเชียลมีเดีย เผยให้เห็นเฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ บินขึ้นเหนือฐานทัพแบบสะเปะสะปะ จากนั้นกล้องก็จับภาพไปยังเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำทางขวามือ แล้วทั้งสองลำก็ชนกันจนเกิดเพลิงไหม้ และควันโขมง ก่อนตกลงสู่พื้น

‘รมว.ปุ้ย’ ยก!! ความสัมพันธ์ ‘ไทย-จีน’ มั่งคง เหตุผลสำคัญผลักดันเศรษฐกิจระหว่างกัน

(23 เม.ย.67) น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนา ‘Nanning City Investment Environment Promotion and Economic and Trade Cooperation Exchange Event (Thailand)’ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์, นายหนง เซิงเหวิน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ประจำนครหนานหนิง, นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน, นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมมงคล ประธานหอการค้าไทย-จีน และนายจาง เซียว-เซียว ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมงาน ณ หอประชุมกวางหวาถัง หอการค้าไทย-จีน ชั้น 9 อาคารไทย ซีซี ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ

น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า จีนและไทยเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน ที่ผ่านมาไทยกับจีนพัฒนาความสัมพันธ์ให้มีความก้าวหน้าอย่างเด่นชัด สู่การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ‘นโยบายจีนเดียว’ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันต่อสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน จีนถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย เป็นเวลา 12 ปี ติดต่อกัน

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้วางนโยบายการพัฒนาเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงได้ผลักดันนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งได้ขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมการใช้และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปี 66 ไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคที่มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสูงสุด และมีผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมยังให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ รวมทั้งอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีศักยภาพสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ อาทิ อุตสาหกรรมฮาลาล รวมถึงยา เครื่องสำอาง และสปาฮาลาล ตลอดจนการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมตามนโยบาย รัฐบาลดิจิทัล และการกำกับดูแลการประกอบอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามหลักธรรมภิบาล รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพให้สามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น

“ดิฉันเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น นำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต การสัมมนาในวันนี้เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือของไทยและจีน กระชับความร่วมมือกับนครหนานหนิง ซึ่งได้วางเป้าหมายให้เป็นเมืองหลวงของโลจิสติกส์ ศูนย์กลางการกระจายสินค้าและเป็นประตูการค้าของจีนสู่อาเซียนรวมถึงประเทศไทย อีกทั้งนครหนานหนิงยังเร่งดำเนินนโยบายการยกระดับศักยภาพการสร้างสรรค์นวัตกรรม และให้ความสำคัญกับสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างความเข้มแข็งและเติบโตผ่านโครงการบ่มเพาะ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ และอาจมีความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมไทยต่อไป” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

รฟท. เคาะ!! สร้างรถไฟความเร็วสูง เฟส 2 'นครราชสีมา-หนองคาย' ระยะทาง 357 กม. คาดเริ่มก่อสร้างปี 68 เปิดบริการปี 74

(23 เม.ย.67) นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท.จะเสนอโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ระยะทาง 357.12 กม. รวมมูลค่าลงทุน 341,351.42 ล้านบาท หลังคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ได้มีมติอนุมัติเมื่อสัปดาห์ก่อน ให้กระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติภายในปี 2567 คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างงานโยธา 48 เดือน (หรือ 4 ปี) ก่อสร้างงานระบบรถไฟฟ้า 66 เดือน (หรือ 5 ปีครึ่ง) กำหนดเปิดให้บริการปี 2574

ปัจจุบัน โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 ช่วง นครราชสีมา-หนองคาย มีการออกแบบงานโยธาเสร็จเรียบร้อย โดยรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เตรียมเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) อนุมัติ

สำหรับ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 ช่วง นครราชสีมา-หนองคาย แบ่งงานเป็น 2 ส่วน คือ

1.งานรถไฟความเร็วสูง วงเงินลงทุน 335,665.21 ล้านบาท ได้แก่ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สิน วงเงิน 10,310.10 ล้านบาท, ค่าก่อสร้างงานโยธา วงเงิน235,129.40 ล้านบาท, ค่าลงทุนระบบราง วงเงิน 30,663.75 ล้านบาท, ค่าระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล วงเงิน 29,007.08 ล้านบาท, ค่าจัดหาขบวนรถไฟ วงเงิน 17,874.35 ล้านบาท ค่าจัดหาขบวนรถซ่อมบำรุงทาง วงเงิน 2,620.43 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา วงเงิน 6,466.06 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาบริหารโครงการและที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานระบบรถไฟ วงเงิน 2,792.38 ล้านบาท และค่าที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ วงเงิน 801.66 ล้านบาท

2.งานศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา วงเงินลงทุน 5,686.21 ล้านบาท ได้แก่ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สิน วงเงิน 2,108.51 ล้านบาท ,ค่าก่อสร้างงานโยธา วงเงิน 2,325.46 ล้านบาท ,ค่าลงทุนระบบราง วงเงิน 418.76 ล้านบาทค่าระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล วงเงิน 89.44 ล้านบาท, ค่าเครื่องมือ/อุปกรณ์ยกขนในศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าฯ 429.24 ล้านบาท, ค่าจัดหารถจักรในศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าฯ 210.00 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา วงเงิน 63.95 ล้านบาท, ค่าที่ปรึกษาบริหารโครงการและที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานระบบรถไฟ วงเงิน 29.38 ล้านบาท และค่าที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ วงเงิน 11.47 ล้านบาท

โครงการรถไฟไทย-จีน เฟส 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย แบ่งเป็นทางวิ่งยกระดับ (Elevated Structure) ระยะทาง 202.48 กม. ทางวิ่งระดับดิน 154.64 กม. (แบบคันทาง 138.93 กม. เป็นสะพานรถไฟ 15.71 กม.) มี 5 สถานี ได้แก่ สถานีบัวใหญ่,สถานีบ้านไผ่, สถานีขอนแก่น, สถานีอุดรธานี, สถานีหนองคายมีหน่วยซ่อมบำรุงทาง 4 แห่ง ได้แก่ หน่วยซ่อมบำรุงบ้านมะค่า , หน่วยซ่อมบำรุงหนองเม็ก, หน่วยซ่อมบำรุงโนนสะอาด , หน่วยซ่อมบำรุงนาทา มีศูนย์ซ่อมบำรุง 2 แห่ง คือ ศูนย์ซ่อมบำรุงนาทา และศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย และมีย่านกองเก็บตู้สินค้าและย่านเปลี่ยนถ่ายสินค้า 1 แห่ง ที่นาทา

นายนิรุฒ กล่าวว่า เบื้องต้นการก่อสร้างงานโยธาทั้งโครงการมูลค่าการลงทุน 341,351.42 ล้านบาท จะแบ่งงานออกเป็น 13 สัญญา โดยในส่วนของการก่อสร้างแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. วงเงิน 235,129.40 ล้านบาท แบ่งงานโยธาเป็น 11 สัญญา เฉลี่ยมูลค่าสัญญาละประมาณ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผู้รับจ้างก่อสร้างที่มีคุณภาพ และการเข้าร่วมประมูลไม่มากราย หรือไม่น้อยรายจนเกินไป นอกจากนี้ ยังมีงาน ศูนย์ซ่อมบำรุงนาทา 1 สัญญา และศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย 1 สัญญา โดยจะใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e - bidding) ตามระเบียบกรมบัญชีกลาง

นอกจากนี้ บอร์ดรฟท.ยังเห็นชอบผลการศึกษาโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าและย่านกองเก็บตู้สินค้าเพื่อรองรับการขนส่งทางราง จังหวัดหนองคาย (ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าฯนาทา) ตามมาตรา 22 แห่งพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ซึ่งเห็นว่าควรแยกการลงทุนออกมาดำเนินการในรูปแบบ PPP โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโครงการที่ช่วยขยายขีดความสามารถทางการขนส่งของจังหวัดหนองคาย ให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทย-ลาว-จีน

โดยหลังจาก บอร์ดรฟท. ให้ความเห็นชอบ จะนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ก่อนเสนอคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (บอร์ด PPP) เห็นชอบหลักการและเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติเพื่อดำเนินการคัดลือกเอกชนร่วมลงทุน ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2571

สำหรับโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา และย่านกองเก็บตู้สินค้า เพื่อรองรับการขนส่งทางราง จ.หนองคาย ขนาดเนื้อที่ ใช้รูปแบบ PPP Net Cost มูลค่าการร่วมลงทุน 7,211.94 ล้านบาท (การรถไฟฯลงทุน 6,560.03 ล้านบาท หรือ 90.96% เอกชนลงทุน 651.91 ล้านบาท หรือ 9.04%) ระยะเวลาร่วมลงทุน 20 ปี ประเมินค่าสัมปทานที่การรถไฟฯ ได้รับตลอดอายุโครงการ ที่4,457.07 ล้านบาท โดย การรถไฟฯ มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 5.87% เอกชน 15.09% มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) รฟท. ที่ 941 ล้านบาท เอกชน 32 ล้านบาท

‘จีน’ เดินหน้าแผนริเริ่ม ‘ภูเขา-แม่น้ำ’ ลุย ‘ฟื้นฟูที่ดิน’ ราว 42 ล้านไร่

(23 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีนเปิดเผยว่า จีนได้ฟื้นฟูที่ดินมากกว่า 100 ล้านหมู่ (ราว 42 ล้านไร่) ระหว่างดำเนินการฟื้นฟูทางนิเวศวิทยาขนานใหญ่หรือที่เรียกว่าแผนริเริ่มซาน-สุ่ย (Shan-Shui Initiative) เมื่อวันจันทร์ (22 เม.ย.) ซึ่งตรงกับวันคุ้มครองโลก (World Earth Day)

ทั้งนี้จากรายงานระบุว่า แผนริเริ่มซาน-สุ่ย หรือแผนริเริ่มภูเขา-แม่น้ำ ถือเป็นความมุมานะพยายามของจีนในการฟื้นฟูพื้นที่ธรรมชาติอันครอบคลุมภูเขา ป่าไม้ ทุ่งหญ้า และทางน้ำใน 29 ภูมิภาคระดับมณฑลของประเทศ คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมด 10 ล้านเฮกตาร์ (ราว 62 ล้านไร่) ภายในปี 2030

ซึ่งแผนริเริ่มซาน-สุ่ย ประกอบด้วยโครงการเกี่ยวกับการคุ้มครองแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลือง 31 โครงการ โครงการเกี่ยวกับการคุ้มครองที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต 7 โครงการ และโครงการผืนป่าแนวกันลมสามเหนือ 21 โครงการ

ขณะเดียวกันโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาภาคตะวันตกของจีน 22 โครงการ การฟื้นฟูภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน 4 โครงการ การพัฒนาเชิงบูรณาการของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี 4 โครงการ และการพัฒนาเชิงประสานของภูมิภาคปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย 4 โครงการ

ชาร์ลส์ การรังวา หัวหน้าฝ่ายการแก้ไขปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (NbS) ระดับโลกขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมวันคุ้มครองโลกในเมืองหลินอี๋ มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน กล่าวชื่นชมความพยายามและความสำเร็จของจีนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ

'เทพโจ๊ก' หน้ามืด!! ดับเครื่องชน สู้เททุกเดิมพัน หวังแสงสุดท้าย 'จันทร์ส่องหล้า' พากลับผงาด


ทบทวนไทม์ไลน์เมื่อไม่กี่วันก่อนสักนิด...

18 เม.ย.67 นายกฯ ส่งตัว พล.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล 'บิ๊กโจ๊ก' กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร.ลงนามตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน

ที่นายกฯ ต้องส่งบิ๊กโจ๊กกลับ สตช.ก็เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นปฏิบัติการตามกฎหมายลงนาม

19 เม.ย.67 พนักงานสอบสวนนำสำนวนคดีเว็บพนัน BNK MASTER ที่บิ๊กโจ๊กถูกออกหมายจับข้อหาฟอกเงินไปให้ ป.ป.ช. ตามขั้นตอน-กระบวนการ

22 เม.ย.67 บิ๊กโจ๊กในฐานะอดีต ผบ.ตร.แต่งชุดพลเรือนไปแถลงข่าวและร้องเรียนแบบจัดชุดใหญ่ที่หน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ประเด็นสำคัญการร้องเรียนตามที่ 'บิ๊กโจ๊ก' แถลงคือ...

- ให้ประธาน ป.ป.ช.ตรวจสอบ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.และออกคำสั่งมิชอบให้ตนกลับ สตช.ก่อนถูกสั่งให้ออกจากราชการ
- ขอให้ตรวจสอบการทำกระทำของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนชุดที่ทำคดีเว็บพนันออนไลน์มีอำนาจหน้าที่โดยชอบหรือไม่

ส่วนประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ 'บิ๊กโจ๊ก' ยังไม่แถลงก็คือ กรณีที่เขาทำหนังสือร้องต่อประธาน ป.ป.ช.ให้สอบสวนพฤติกรรมของกรรมการ ป.ป.ช.ชื่อ 'สุชาติ ตระกูลเกษมสุข' ที่บิ๊กโจ๊กกล่าวหาว่า ‘มิชอบ’ และเป็นคู่กัดกับตน เกรงว่าต่อไปตนจะถูกกลั่นแกล้ง...

กรณีให้สอบกรรมการ ป.ป.ช.นี่น่าสนใจ เพราะตามเอกสารที่ว่อนโซเชียลในขณะนี้นั้น 'เทพโจ๊ก' ได้อ้างพยานบุคคลที่ชื่อ 'บิ๊กป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้วย ทำเอา 'ลุงป้อม' สะดุ้งโหยงปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับนายสุชาติที่เทพโจ๊กอ้างว่าได้พาไปพบลุงป้อมขอให้ช่วยดันเป็นกรรมการ ป.ป.ช.

รวมความนาทีนี้ 'บิ๊กโจ๊ก' ชกสุดหมัดลุยสุดตัวแบบเทเดิมพัน พร้อมประกาศว่าเขาจะกลับมาชิง ผบ.ตร.ได้อย่างแน่นอน...

ผู้สันทัดกรณีแทบทุกรายดูแล้ว…เห็นพ้องกันว่าปีนี้ประตูชิง ผบ.ตร.ของเทพโจ๊กปิดสนิทแล้ว เพราะอย่างไรเสียการสอบวินัยร้ายแรงจะยังไม่แล้วเสร็จ  อย่าว่าแต่ปีนี้เลย อนาคตปีต่อ ๆ ไป ก็มืดมน ...

ประเด็นสำคัญ เรื่องราวของ 'บิ๊กโจ๊ก' ใน พ.ศ.นี้ เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ถูกเด้งดึ๋งขาดจากตำแหน่งเดิม (ผบช.สตม.) ไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษ สำนักนายกฯ  ซึ่งบิ๊กโจ๊กต่อสู้ทำหนังสือร้องเรียนในหลายกระบวนท่า จน 'บิ๊กตู่' ต้องส่งตัวกลับ สตช. ในปี 2564 และ สตช.เปิดอัตราที่ปรึกษาพิเศษเทียบเท่า ผช.ผบ.ตร.ให้นั้น...

เพราะบารมี 'บิ๊กป้อม' ที่ลุงตู่เกรงใจ...แต่วันนี้ไม่ใช่วันนั้น...

การดับเครื่องชนตั้งแต่ นายกฯ ยัน สตช. และ ป.ป.ช.หนนี้ เดิมพันอนาคตสูงยิ่ง...เสี่ยงที่จะดับวูบเอาง่าย ๆ...ไม่มีหลักประกันใด ยกเว้นกรณีเดียวคือแสงสว่างจาก 'จันทร์ส่องหล้า' ที่อาจพระพริบ ๆ ให้เทพโจ๊กกล้าลุย...

แต่ก็นั่นแหละนาทีนี้...จันทร์ส่องหล้าเองก็มีปัญหาของตัวเองให้แก้ให้ขบคิดเยอะอยู่แล้ว ไม่น่าจะลากเอาคนสีกากีที่พัวพันคดีสีเทาเว็บพนันมาทำให้ยุ่งเป็นฝอยขัดหม้ออีก..!?


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top