Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

สหรัฐฯ ขีดเส้นตาย ‘ม.ฮาร์วาร์ด’ 30 เม.ย. นี้ หากไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลวีซ่า เสี่ยงถูกตัดสิทธิ์รับนักศึกษาต่างชาติ และระงับเงินหนุน 2.7 ล้านดอลลาร์

(17 เม.ย. 68) คริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอาจถูกตัดสิทธิ์ในการรับนักศึกษาต่างชาติ หากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลผู้ถือวีซ่าบางราย ซึ่งทางการอ้างว่าเกี่ยวข้องกับ “กิจกรรมที่ผิดกฎหมายและรุนแรง”

โนเอมเปิดเผยว่าเธอได้ส่งจดหมายถึงมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยกำหนดให้ตอบกลับและยืนยันการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนภายในวันที่ 30 เมษายนนี้ มิเช่นนั้น ฮาร์วาร์ดจะเสี่ยงต่อการสูญเสีย “สิทธิพิเศษในการรับนักศึกษาต่างชาติ” ซึ่งถือเป็นมาตรการกดดันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

พร้อมกันนี้ กระทรวงฯ ยังได้ระงับเงินอุดหนุน 2 รายการที่จัดสรรให้กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 99.9 ล้านบาท)

“บางทีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดควรสูญเสียสถานะยกเว้นภาษีและถูกเรียกเก็บภาษีในฐานะหน่วยงานทางการเมือง หากยังคงสนับสนุนหรือส่งเสริมความผิดปกติทางการเมือง อุดมการณ์ และการก่อการร้าย จำไว้ว่าสถานะยกเว้นภาษีขึ้นอยู่กับการกระทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ!” ทรัมป์โพสต์บน Truth Social เมื่อวันอังคาร

ทางด้านโฆษกของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า ทางมหาวิทยาลัยได้รับจดหมายจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิแล้ว และยืนยันจุดยืนว่า ฮาร์วาร์ดจะไม่ยอมลดทอนความเป็นอิสระ หรือสละสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แม้จะเผชิญแรงกดดันทางการเมืองก็ตาม โดยจะยังคงปฏิบัติตามกฎหมายของสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด

ก่อนหน้านี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกแถลงการณ์ว่ามหาวิทยาลัยกำลังพยายามรับมือกับกระแสต่อต้านชาวยิว รวมถึงแนวคิดอคติในรูปแบบอื่น ๆ ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญกับเสรีภาพทางวิชาการและสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ

ทั้งนี้ รัฐบาลทรัมป์เคยประกาศแนวทางเข้มงวดต่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เปิดพื้นที่ให้กับการชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาที่แสดงจุดยืนสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล โดยมองว่าการประท้วงบางส่วนมีลักษณะต่อต้านชาวยิวและสนับสนุนกลุ่มฮามาส ซึ่งสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย

ขณะที่นักเคลื่อนไหวและกลุ่มผู้ชุมนุมแย้งว่า รัฐบาลกำลังพยายามผูกโยงการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์เข้ากับความรุนแรงหรือแนวคิดสุดโต่ง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการควบคุมการแสดงออกทางการเมืองในสถาบันการศึกษา

สถานการณ์ดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านของนโยบายภายใต้การนำของทรัมป์ ที่กำลังเดินหน้ากดดันมหาวิทยาลัยชั้นนำ โดยเฉพาะผู้ที่มีจุดยืนและท่าทีไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ในบริบทของตะวันออกกลาง

‘นิกิตา ครีลอฟ’ นักสู้ UFC ขอเปลี่ยนสัญชาติ จาก ‘ยูเครน’ เป็น ‘รัสเซีย’ จุดชนวนดราม่าระอุโลก MMA

(17 เม.ย. 68) นิกิตา ครีลอฟ (Nikita Krylov) นักสู้ MMA ชื่อดังชาวยูเครน ประกาศยินดีเปลี่ยนสัญชาติเป็นรัสเซีย พร้อมระบุว่าเขา “ภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนของรัสเซีย” ขึ้นชกในรายการ UFC 314 ซึ่งคำดังกล่าวกลายเป็นที่จุดชนวนความไม่พอใจและความโกรธเกรี้ยวในหมู่ชาวยูเครน และแฟนกีฬาทั่วโลกที่ติดตามความขัดแย้งระหว่างสองประเทศอย่างใกล้ชิด

ครีลอฟ ซึ่งมีพื้นเพจากเมืองคราสนีย์ลุค ในภูมิภาคดอนบาสของยูเครน และมีครอบครัวเชื้อสายรัสเซีย เคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงมอสโกมานาน เขาเคยต่อสู้ภายใต้ธงชาติรัสเซียมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่การประกาศอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ถือเป็นการยืนยันจุดยืนอย่างชัดเจน ในขณะที่รัสเซียและยูเครนยังคงอยู่ในภาวะสงคราม

“เราคุยเรื่องนี้กับ UFC แม้กระทั่งสองงานก่อนที่ได้ถามเกี่ยวกับการเลือกเมืองคิสโลวอดสค์ รัสเซียเป็นสถานที่สำหรับการต่อสู้ของผม” ครีลอฟกล่าว “ผมอาศัยอยู่ที่นั่น 2-3 ปีแล้ว และคิดว่าตอนนี้ผมได้รับเกียรติในการเป็นตัวแทนของพวกเขา”

บนโซเชียลมีเดียของยูเครน การตัดสินใจของครีลอฟถูกมองว่าเป็น “การทรยศ” อย่างรุนแรง หลายคนโจมตีว่าเขาหันหลังให้กับชาติบ้านเกิดในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตการณ์อย่างหนักจากการรุกรานของรัสเซีย บางคนถึงกับเรียกร้องให้ UFC พิจารณาถอดเขาออกจากการแข่งขัน

ครีลอฟมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับภูมิภาคดอนบาส ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยในอดีตเขาเคยแสดงออกถึงการสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในลูฮันสค์ และกล่าวว่าเขายินดีรับหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสค์ หากได้รับการรับรองในระดับสากล

สำหรับ ลูฮันสค์ (Luhansk) เป็นเมืองหลักในแคว้นลูฮันสค์ ทางตะวันออกของประเทศยูเครน ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซีย และถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมของภูมิภาค ดอนบาส (Donbas) ซึ่งรวมถึงแคว้นลูฮันสค์และโดเนตสค์

หลังเหตุการณ์การปฏิวัติยูเครนปี 2014 (Euromaidan) และการผนวกไครเมียโดยรัสเซีย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซียในลูฮันสค์และโดเนตสค์ ได้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลยูเครน ทำให้พวกเขาประกาศจัดตั้ง “สาธารณรัฐประชาชนลูฮันสค์” (Luhansk People's Republic – LPR) และแยกตัวจากยูเครน ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ทั้งนี้ นิกิตา ครีลอฟ เป็นนักสู้ MMA วัย 33 ปี เจ้าของฉายา "The Miner" มีสถิติการชกอาชีพที่น่าประทับใจ โดยมีชัยชนะ 30 ครั้ง (ชนะน็อก 12 ครั้ง, ชนะซับมิชชัน 16 ครั้ง) และแพ้ 10 ครั้ง 

เขาเคยสร้างชื่อจากการเอาชนะนักสู้ชื่อดังอย่าง อเล็กซานเดอร์ กุสตาฟส์สัน และ ไรอัน สแปน ด้วยการน็อกเอาต์และซับมิชชันในยกแรก อย่างไรก็ตาม ในไฟต์ล่าสุดที่ UFC 314 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2025 ที่ไมอามี ครีลอฟพ่ายแพ้ให้กับ โดมินิค เรเยส (Dominick Reyes) ด้วยการน็อกเอาต์ในยกแรก หลังจากถูกหมัดซ้ายตรงของเรเยสส่งลงไปนอนบนพื้นเวที

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ยังไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการจาก UFC หรือองค์กร MMA อื่นๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนสัญชาติของ นิกิตา ครีลอฟ จากยูเครนเป็นรัสเซีย เนื่องจากเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “สัญชาติในพาสปอร์ต” แต่เป็นบทสะท้อนความซับซ้อนของกีฬาในโลกที่การเมืองและอุดมการณ์ไม่อาจแยกจากกันได้อีกต่อไป

การบินไทยแจง 6 ข้อ ปมเหมาซื้อ ‘Boeing 787’ กว่า 80 ลำ ลั่นโปร่งใสตามแผนฟื้นฟู ไม่มีคอมมิชชั่นแอบแฝง พร้อมเปิดรับการตรวจสอบ

(17 เม.ย. 68) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการจำนวน 6 ประเด็นหลัก เพื่อตอบข้อสงสัยกรณีจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 787 (Boeing  787) รวมกว่า 80 ลำ ซึ่งถูกหยิบยกในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันที่ 6 เมษายน โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสม ความปลอดภัย และแรงจูงใจในการจัดซื้อ

การบินไทยระบุชัดเจนว่า การจัดซื้อเครื่องบินรุ่น Boeing 787-9 Dreamliner จำนวน 45 ลำ พร้อมสิทธิ์จัดซื้อเพิ่มเติมอีก 35 ลำ ภายในปี 2576 เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเคร่งครัด ซึ่งมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพฝูงบิน รักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และสนับสนุนการเติบโตในเส้นทางการบินระยะไกล พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีบุคลากรของบริษัทฯ คนใดได้รับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนใด ๆ จากผู้ผลิตเครื่องบิน

ในจดหมายดังกล่าว ฝ่ายสื่อสารองค์กรของการบินไทย ชี้แจงโดยละเอียดว่า

1. เครื่องบินโบอิ้ง 787-9 พร้อมเครื่องยนต์ GEnx ของ GE Aerospace ถูกเลือกจากเหตุผลด้านสมรรถนะ ความประหยัดพลังงาน และความสามารถในการบำรุงรักษา อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

2. กระบวนการจัดซื้อเป็นไปตามมาตรฐานสากล ที่สายการบินชั้นนำทั่วโลกใช้อย่างแพร่หลาย พร้อมย้ำว่าไม่มีการแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์ใด

3. เครื่องยนต์ GEnx ของ GE มีชั่วโมงบินสะสมมากกว่า 50 ล้านชั่วโมงทั่วโลก เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในอุตสาหกรรมการบิน

4. การบินไทยเลือกใช้เครื่องบินและเครื่องยนต์ที่ผ่านการรับรองจาก FAA (สหรัฐฯ), EASA (ยุโรป) และ กพท. (ไทย) รวมถึงอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

5. บริษัทเลือกใช้ Boeing 787-9 รุ่นล่าสุด ซึ่งต่างจากรุ่น 787-8 ที่เคยมีปัญหาในอดีต โดยนำบทเรียนครั้งนั้นมาใช้ในการตัดสินใจในครั้งนี้

6. ย้ำว่าการจัดซื้อครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างศักยภาพฝูงบินของประเทศ และช่วยผลักดันกรุงเทพฯ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

การบินไทยยังกล่าวขอบคุณนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นสื่อกลางสะท้อนข้อสงสัยจากสาธารณชน พร้อมเชิญชวนหากมีข้อมูลเพิ่มเติมโดยเฉพาะเรื่องคอมมิชชัน ให้แจ้งหรือเปิดเผยต่อบริษัทฯ เพื่อการตรวจสอบโดยโปร่งใส ยืนยันว่าบริษัทเปิดรับข้อมูลจากทุกฝ่าย และมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

ผบ.ตร.จวกพฤติกรรมชายซิ่ง BMW ชนกระบะ 'น่ารังเกียจ-ไร้วุฒิภาวะ' สั่งดำเนินคดีทุกข้อหา แม้เป็นลูกหลานนักการเมืองดังไม่มีละเว้น 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผย กรณีโลกโซเชียลแชร์คลิปเหตุการณ์รถยนต์ BMW ป้ายแดง ขับปาดหน้ากับรถกระบะ ก่อนรถกระบะเสียหลักพุ่งชนขอบทางบนถนนมอเตอร์เวย์ ช่วงทางออกรังสิต-นครนายก ส่งผลให้คนขับกระบะเป็นชายสูงอายุ ได้รับบาดเจ็บซี่โครงหัก ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู ขณะที่ผู้โดยสารหญิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง โดยผู้ขับ BMW มีรายงานว่าเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) และมีความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง

ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีนี้ โดยกล่าวว่า ได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลแล้ว และเห็นว่าพฤติกรรมของผู้ขับรถ BMW เป็นสิ่งที่ “น่ารังเกียจ” และไม่สมควรเกิดขึ้นในสังคม “ผมเสียใจที่ยังมีคนขับรถแบบนี้บนถนน ถ้ารถคันที่เสียหายมีเด็กเล็กอยู่ จะเกิดอะไรขึ้น? พฤติกรรมเช่นนี้อยู่ในสังคมยาก” ผบ.ตร. กล่าว

พร้อมย้ำว่า ก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตนเคยฝากประชาชนให้มีสติและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันในการใช้รถใช้ถนน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่สังคมรับไม่ได้ ต้องดำเนินคดีทุกข้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด 

ผบ.ตร. ยังกล่าวถึงผู้กระทำผิดว่า ไม่เพียงแต่ทำผิดกฎหมาย แต่ยังแสดงออกถึงความไร้จิตสำนึก โดยเฉพาะการอวดอ้างความสัมพันธ์กับนักการเมืองชื่อดังในพื้นที่ เพื่อหวังให้ตนเองดูมีอิทธิพล ผู้กระทำผิดยังไม่สำนึกผิด ยังแอบอ้างโอ้อวดไปทั่ว แสดงให้เห็นว่าไม่มีวุฒิภาวะและจิตสำนึกที่ดีเลย ถ้าเป็นลูกชายผมเอง ทำผิดผมก็ไม่ช่วย ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมาย ไม่ใช่ทำตัวใหญ่กร่างอวดอ้างไปเรื่อย พร้อมย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นธรรมและเท่าเทียม ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่มีชื่อเสียงหรือมีสายสัมพันธ์ทางการเมือง

ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานจากคลิปวิดีโอและคำให้การพยาน เพื่อเตรียมดำเนินคดีต่อผู้ขับ BMW รายนี้ในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง โดยสังคมกำลังจับตามองว่า คดีนี้จะเป็นบททดสอบความยุติธรรมและความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรมไทยอีกครั้ง

 

‘จีน-มาเลเซีย’ ประกาศจุดยืนร่วมหนุนอาเซียนเป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก ย้ำจุดยืนปาเลสไตน์-ค้านย้ายถิ่นกาซา หวังฟื้นฟูสันติภาพในเอเชียและตะวันออกกลาง

(17 เม.ย. 68) จีนและมาเลเซียออกแถลงการณ์ร่วมกัน ระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน โดยแสดงจุดยืนสนับสนุนความเป็นแกนกลางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) พร้อมยืนยันความร่วมมือระดับทวิภาคีในหลายด้าน ท่ามกลางภูมิทัศน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก

แถลงการณ์ร่วมที่เผยแพร่ในวันเดียวกันระบุว่า จีนและมาเลเซียเห็นพ้องที่จะส่งเสริมกลไกความร่วมมือที่นำโดยอาเซียน เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมระดับภูมิภาคที่เปิดกว้าง ครอบคลุม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาร่วมกัน โดยเน้นการสร้าง “บ้านที่สงบสุข ปลอดภัย เจริญรุ่งเรือง สวยงาม และเป็นมิตร”

ทั้งสองประเทศยังเน้นย้ำเป้าหมายในการยกระดับความสัมพันธ์จีน-อาเซียนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมประชาคมจีน-อาเซียนที่มีอนาคตร่วมกัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของปักกิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในแถลงการณ์ มาเลเซียยังได้ สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพของจีนในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ปี 2026 รวมถึงแสดงการสนับสนุนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของจีนในการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งถือเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากความร่วมมือด้านภูมิภาคแล้ว แถลงการณ์ร่วมยังสะท้อนจุดยืนของจีนและมาเลเซียในประเด็นระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ในฉนวนกาซา ซึ่งกำลังเผชิญวิกฤตมนุษยธรรมอย่างรุนแรง

จีนและมาเลเซียร่วมกันคัดค้านการบังคับให้ประชาชนในกาซาย้ายถิ่นฐาน และย้ำว่า “กาซาเป็นของประชาชนชาวปาเลสไตน์ และเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้จากดินแดนปาเลสไตน์” ทั้งสองประเทศยังยึดมั่นในหลักการ “ชาวปาเลสไตน์ปกครองปาเลสไตน์” ในฐานะหลักการสำคัญสำหรับการบริหารฉนวนกาซาในยุคหลังความขัดแย้ง

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังสนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบ “สองรัฐ” (Two-State Solution) ที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์อิสระซึ่งดำรงอยู่ร่วมกับรัฐอิสราเอลอย่างสันติ และสนับสนุนให้ ปาเลสไตน์ได้รับสถานะสมาชิกเต็มรูปแบบขององค์การสหประชาชาติ (UN)

การเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของจีนในการกระชับความสัมพันธ์กับมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาค และเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ

ทั้งสองประเทศได้หารือถึงความร่วมมือในหลายมิติ ตั้งแต่การค้า การลงทุน การพัฒนาที่ยั่งยืน ความมั่นคงทางพลังงาน ไปจนถึงความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการศึกษา โดยคาดว่าในอนาคตอันใกล้ ความร่วมมือต่างๆ ที่หารือกันในครั้งนี้จะได้รับการผลักดันเป็นรูปธรรมมากขึ้นภายใต้แผนยุทธศาสตร์ทวิภาคี

ผบ.ตร. สั่งเด็ดขาดคดีรถ BMW ชนลุงป้าบาดเจ็บบนทางหลวง ให้ดำเนินคดีทุกข้อหาอย่างตรงไปตรงมา ถือเป็นพฤติกรรมที่ขาดวุฒิภาวะ ขาดวินัยจราจร ขาดสำนึกความรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น ให้ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี ประสานกับตำรวจทางหลวงเร่งดำเนินการเด็ดขาด

วันนี้ (17 เม.ย.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีถึงเหตุการณ์ที่ปรากฏภาพคลิปลงในโซเชียล รถหรู BMW ปาดเบียดรถกระบะคันหนึ่งเป็นเหตุทำให้เสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลุงกับป้าที่เป็นผู้ขับและผู้โดยสารภายในรถได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น 

ตำรวจทางหลวงได้รายงานเหตุเบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 เวลา 08.32 น. บริเวณบนถนนกาญจนาภิเษก ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ช่วง กม.23+400 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงพื้นที่รับผิดชอบได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที แต่ขณะนั้นพบว่าเป็นเหตุอุบัติเหตุรถชนกันจำนวน 2 คัน เป็นรถกระบะ อีซูซุ สีดำ ทะเบียนลำปาง โดยมี นายประจักษ์ฯ อายุ 65 ปี เป็นผู้ขับขี่ และนางสาว สมศรีฯ อายุ 64 ปี เป็นผู้โดยสาร ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ และรถเก๋ง BMW สีขาว ทะเบียนป้ายแดง โดยมี นายสมิทธิพัฒน์ฯ อายุ 28 ปี เป็นผู้ขับขี่ ตำรวจได้นำส่งผู้บาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางปะกอกรังสิต 2 แล้วได้นำรถทั้งสองคันไปเก็บรักษาไว้ยังหน่วยสอบสวนตำรวจทางหลวงลำลูกกา เพื่อตรวจสภาพรถ พร้อมตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ นายสมิทธิพัฒน์ฯ ผู้ขับขี่รถ BMW ไม่พบปริมาณแอลกอฮอลล์ในกระแสเลือด ซึ่งนายสมิทธิพัฒน์ฯ ได้แจ้งว่าขับรถปาดหน้ากัน จึงสอบสวนปากคำไว้ 

ต่อมาวันนี้ตำรวจทางหลวงได้รับคลิปพยานหลักฐานเพิ่มเติมจากกล้องหน้ารถของประชาชน ทำให้ทราบว่าอาจจะไม่ได้เป็นการเฉี่ยวชนแบบธรรมดา อาจะเข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งตำรวจทางหลวงจะไม่ได้รับผิดชอบ จะรับเพียงคดีจราจรบนทางหลวงเท่านั้น ส่วนคดีอาญาทาง สภ.ลำลูกกา จะเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบรายงานแล้ว และได้ดูคลิปภาพในสื่อโซเชียลแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน ถือเป็นพฤติกรรมที่ขาดวุฒิภาวะ ขาดวินัยจราจร ขาดความสำนึก ขาดความรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่มีบุคคลทำพฤติกรรมการขับรถยนต์เช่นนี้บนถนน หากรถคันที่เสียหายมีเด็กเล็กอยู่ในรถจะเป็นอย่างไร แบบนี้อยู่ในสังคมยาก โดยการใช้รถใช้ถนนนั้น ผบ.ตร เคยพูดก่อนสงกรานต์แล้วว่า ขอให้ทุกคนมีสติและเอื้ออาทรในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน จะได้ไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นจนบานปลาย เป็นเรื่องใหญ่โต เรื่องนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทำให้สังคมรับไม่ได้ ดังนั้น ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง ผู้กระทำผิดนอกจากกระทำผิดแล้วยังไม่สำนึกผิด ยังแอบอ้างโอ้อวดไปทั่ว เช่นนี้ถือว่าเป็นผู้ไม่มีวุฒิภาวะ หรือจิตสำนึกที่ดี 

นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า “แม้หากเป็นลูกชายแท้ๆ ถ้าทำผิดอะไร ก็ต้องรับผิด จะไม่มีช่วยเหลือ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่ทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย มิใช่ทำตัวใหญ่กร่างอวดอ้างไปเรื่อยๆ เช่นนี้” 

ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุเกิดบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เบื้องต้นคดีนี้เป็นคดีจราจร ที่สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ต้องรับผิดชอบ ทำการสอบสวนก่อน และหากเป็นอาญาตำรวจพื้นที่ คือ สภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จะรับผิดชอบ ซึ่ง ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำไปทางตำรวจทางหลวงและตำรวจพื้นที่ใน จ.ปทุมธานี แล้วว่าการดำเนินคดีต้องเป็นไปตามพยานหลักฐานอย่างตรงไปตรงมา จะไม่มีการช่วยเหลือใครเด็ดขาดเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างของสังคม

นายกฯ ญี่ปุ่น เตรียมบินเยือน ‘เวียดนาม-ฟิลิปปินส์’ 27 เมษายนนี้ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง กับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(17 เม.ย. 68) ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีกำหนดเดินทางเยือน เวียดนามและฟิลิปปินส์ เป็นระยะเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายนนี้ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับชาติสมาชิกอาเซียน ท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความเข้มข้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะสำคัญที่ จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเพิ่มบทบาทและเสนอมาตรการเป็นมิตรต่อประเทศในภูมิภาค ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ เริ่มสั่นคลอนจากมาตรการภาษีที่เข้มข้นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ในเวียดนาม นายอิชิบะมีกำหนดพบกับ โท ลัม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง เพื่อหารือเรื่องการบรรจุเวียดนามเข้าสู่กรอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่น (Official Security Assistance หรือ OSA) ซึ่งครอบคลุมการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันประเทศให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่ประเทศที่มีแนวคิดสอดคล้องกัน

ญี่ปุ่นคาดหวังว่าจะสามารถร่าง บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงกับเวียดนามให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมปีหน้า อีกทั้งยังมีกำหนดเยี่ยมชม มหาวิทยาลัยเวียดนาม-ญี่ปุ่น ในกรุงฮานอย ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระดับชาติเพื่อส่งเสริมการศึกษาระหว่างสองประเทศ

ขณะเดียวกัน ในฟิลิปปินส์ อิชิบะจะหารือกับ ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับ ข้อตกลงด้านความมั่นคงทั่วไปของข้อมูลทางทหาร (GSOMIA) ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการแบ่งปันข่าวกรองทางทหารระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ คาดว่าทั้งสองประเทศจะตกลงที่จะเริ่มเจรจาเกี่ยวกับ ข้อตกลงในการซื้อกิจการและการให้บริการข้ามกัน (Acquisition and Cross-Servicing Agreement หรือ ACSA) เพื่อให้สามารถจัดหากระสุนและเชื้อเพลิงให้กันและกันในกรณีที่จำเป็น

ระหว่างการเยือนฟิลิปปินส์ อิชิบะยังจะตรวจสอบ ระบบเรดาร์เฝ้าระวังชายฝั่ง และอุปกรณ์ความมั่นคงอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่นได้จัดหาให้ภายใต้กรอบ OSA โดยมีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำความสัมพันธ์กึ่งพันธมิตรระหว่างทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ เขายังแสดงความตั้งใจที่จะพบกับกลุ่มผู้ไร้รัฐที่เป็นลูกหลานของชาวญี่ปุ่นซึ่งอพยพมายังฟิลิปปินส์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแสดงการสนับสนุนของโตเกียวในการพิจารณาให้สัญชาติญี่ปุ่นแก่บุคคลเหล่านี้

อิชิบะซึ่งมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์กับ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เคยเดินทางเยือนมาเลเซียและอินโดนีเซียแล้วเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อวางรากฐานความร่วมมือระยะยาวในภูมิภาค

นักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ “เสริมอิทธิพลผ่านความร่วมมือ” เพื่อตอบโต้การขยายบทบาทของจีนในภูมิภาค พร้อมส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของโตเกียวในการเป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจได้สำหรับประเทศในอาเซียน

สมุทรปราการ-วัดมหาวงษ์ ร่วมกับ ครอบครัวพาณิชย์พิศาล สรงน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ ร่วมสืบสานประเพณีไทย

(17 เม.ย. 68) ณ วัดมหาวงษ์  อ.เมือง จ.สมุทรปราการ คณะสงฆ์วัดมหาวงษ์ได้ประกอบพิธีสวดมาติกาบังสุกุล และร่วมให้ประชาชนได้สรงน้ำขอพรพระภิกษุสงฆ์เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ไทย ประจำปี 2568 

โดยในปีนี้ได้รับเกียรติจาก ครอบครัวพาณิชย์พิศาล ประธานฝ่ายฆราวาส นำโดยนายอัครนันท์-นางธัญยธรณ์ และนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ครอบครัวเศรษฐีผู้ใจบุญที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือและช่วยพัฒนาวัดมหาวงษ์แห่งนี้มาโดยตลอด ตลอดจนคณะศิษย์ยานุศิษย์ คณะเจ้าหน้าที่ชมรมโฮปฯ และประชาชนชาวสมุทรปราการร่วมในพิธีครั้งนี้

โดยคณะสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่พระครูสุนทรธรรมวงศ์ อดีตเจ้าคณะตำบลปากน้ำ อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ และบรรพบุรุษ บุรพาจารย์ผู้ที่เคยสร้างคุณประโยชน์ให้แก่วัดมหาวงษ์ โดยได้รับความเมตตาจากพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จากวัดต่างๆ ร่วมประกอบพิธีและพิจารณาผ้าบังสุกุล

นอกจากนี้ ยังมีการรำถวายขอพรองค์ท้าวเวสสุวรรณเพื่อความเป็นสิริมงคล รวมถึงการถวายกุฎิสงฆ์และกุฎิสงฆ์ที่ซ่อมแซมแล้วเสร็จ โดยทางครอบครัวพาณิชย์พิศาลเป็นประธานดำเนินการ จากนั้นได้ร่วมกันถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ทั้งนี้ ทางวัดมหาวงษ์ยังได้รับความเมตตาจาก พระธรรมวชิราจารย์ รองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เจ้าอาวาสวัดสุวรรณรามราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์นำคณะสงฆ์ร่วมประกอบพิธี โดยมี พระครูปลัดจริยวัฒน์ หลวงพี่ตุ๋ย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ เป็นประธานดำเนินงาน นำพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 10 รูป เจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์ฉลองกุฏิหลังใหม่ 

จากนั้น คณะศิษย์ยานุศิษย์วัดมหาวงษ์และคณะเจ้าหน้าที่ชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา ได้ร่วมกันรดน้ำขอพรครอบครัวพาณิชย์พิศาล นำโดย ครอบครัววรัณวงศ์เจริญ นายธนิตพงษ์-นางทิพย์ประภา วรัณวงศ์เจริญ และนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮบฯ นำเจ้าหน้าที่ชมรมโฮปฯ ร่วมรดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ประจำปี 2568

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

จีนแต่งตั้ง ‘หลี่ เฉิงกัง’ อดีตทูตฯ WTO ตัวแทนเจรจาการค้าคนใหม่ แทนที่ ‘หวัง โซ่วเหวิน’ รับมือศึกภาษีเดือดกับสหรัฐฯ

(17 เม.ย. 68) รัฐบาลจีนประกาศแต่งตั้ง นายหลี่ เฉิงกัง (Li Chenggang) วัย 58 ปี ขึ้นดำรงตำแหน่ง รองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และ ตัวแทนเจรจาการค้าระหว่างประเทศคนใหม่แทนที่ นายหวัง โซ่วเหวิน (Wang Shouwen) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

การเปลี่ยนตัวผู้เจรจาเกิดขึ้นในช่วงที่ทั้งสองชาติมหาอำนาจกำลังเผชิญภาวะ “สงครามภาษี” ครั้งใหม่ โดยรัฐบาลวอชิงตันภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทยอยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจนรวมสูงถึง 145% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงสุดถึง 125%

หลี่ ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานด้านการค้าระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน และเคยดำรงตำแหน่งทูตประจำ องค์การการค้าโลก (WTO) ได้รับการมองว่าเป็นบุคคลที่มีศักยภาพในการคลี่คลายความตึงเครียด และอาจนำพาการเจรจาให้เดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถูกมองว่ามาอย่างกะทันหัน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการค้ารายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters ว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้กะทันหันมาก และอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทิศทางการเจรจา โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ตึงเครียดในปัจจุบัน” 

ผู้เชี่ยวชาญรายดังกล่าวยังระบุเพิ่มเติมว่า นายหวัง โซ่วเหวิน มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับสหรัฐฯ มาตั้งแต่ยุคทรัมป์ชุดแรก และการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีน

อัลเฟรโด มอนตูฟาร์-เฮลู ที่ปรึกษาอาวุโสจากศูนย์จีนของ Conference Board วิเคราะห์ว่า “อาจเป็นไปได้ว่าในมุมมองของผู้นำระดับสูงของจีน เนื่องจากความตึงเครียดที่ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต้องการคนอื่นมาคลี่คลายความขัดแย้ง... และเริ่มการเจรจาในที่สุด”

ขณะที่นักวิเคราะห์อีกคนหนึ่งให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่ได้มีนัยทางการเมืองมากนัก โดยมองว่า “อาจเป็นเพียงการเลื่อนตำแหน่งแบบปกติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเป็นพิเศษ”

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีเหอ หลี่เฟิง ยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะเจรจาการค้าระดับสูงของจีน และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ด้าน ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ระบุว่าสหรัฐฯ “พร้อมเจรจาข้อตกลงการค้า” กับจีน แต่ต้องการให้ 'ปักกิ่งเป็นฝ่ายเริ่มก่อน' ท่ามกลางแรงกดดันจากภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่ต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศึกเงาของ ‘ทรัมป์’ ปะทะ ‘โซรอส’ เกมอำนาจเบื้องหลังเลือกตั้งแอลเบเนีย นักวิเคราะห์ชี้เป็นสนามประลองอุดมการณ์ระดับโลก กลางสมรภูมิการเมืองยุโรป

(17 เม.ย. 68) แอลเบเนียกำลังเผชิญการเลือกตั้งที่ร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ เมื่อการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองว่าไม่ใช่แค่การแย่งชิงเก้าอี้รัฐสภา แต่คือสงครามตัวแทนของสองขั้วอุดมการณ์ระดับโลก ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” กับ “จอร์จ โซรอส”

อดีตเอกอัครราชทูตแอลเบเนียประจำสหรัฐฯ นายอากิม เนโช เผยว่า การเลือกตั้งในวันที่ 11 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ เป็นมากกว่าการแข่งขันทางการเมืองภายในประเทศ หากแต่สะท้อนการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอก กับฝ่ายเสรีนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรีเอดี รามา ผู้นำพรรคสังคมนิยม ที่ครองอำนาจต่อเนื่องมากว่า 12 ปี ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนหัวก้าวหน้า อาทิ อเล็กซ์ ซอรอส บุตรชายของจอร์จ ซอรอส ตลอดจนโครงการของ USAID และมูลนิธิ Open Society Foundations (OSF) ซึ่งฝ่ายค้านกล่าวหาว่าเป็นกลไกแทรกแซงการเมืองแอลเบเนีย

ด้านฝ่ายค้านนำโดยนายซาลี เบริชา อดีตผู้นำประเทศและหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยฝ่ายขวา ได้รับการหนุนหลังจากนายคริส ลาซีวิตา อดีตผู้จัดการหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมออกแถลงการณ์โจมตีว่า รัฐบาลรามาคือ “หุ่นเชิดของโซรอส” และให้คำมั่นจะนำแอลเบเนียกลับสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ ในแบบที่เคยมีในยุคทรัมป์

สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อเบริชาถูกตัดสิทธิทางกฎหมายในประเทศ และเผชิญคดีทุจริตตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มอิทธิพลต่างชาติ

ไม่เพียงเท่านั้น นายอิลีร์ เมตา อดีตประธานาธิบดีและผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตยสายกลาง ก็ถูกจับกุมในข้อหาทุจริตเช่นกัน ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อระบบตุลาการของประเทศที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่า “ถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง”

รายงานจาก European Center for Law & Justice ชี้ว่า Open Society Foundations ได้ลงทุนในแอลเบเนียมากกว่า 131 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1992 โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปตุลาการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นช่องทางการควบคุมอำนาจจากภายนอก

เนโช สรุปว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นอีกครั้งที่ประชาชนแอลเบเนียต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรม พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเร่งผลักดันการเลือกตั้งที่โปร่งใส หรือพิจารณาเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป จนกว่าจะมีหลักประกันในกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top