Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

ททท. เผย ‘สงกรานต์ 2568’ นักท่องเที่ยวทะลุ 4.8 ล้านคน ปักหมุด ‘กรุงเทพฯ’ ครองใจตลอดกาล เมืองรอง ‘ชุมพร-เลย’ ฮอตไม่แพ้เมืองหลัก

(13 เม.ย. 68) เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและการกลับมารวมตัวของครอบครัวคนไทยทั่วประเทศ โดยถือเป็น 'วันขึ้นปีใหม่ไทย' ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประเพณีหนึ่ง 

โดยข้อมูลล่าสุดจาก ทราเวลโลก้า (Traveloka) เผยให้เห็นว่า กรุงเทพมหานครยังคงครองแชมป์จุดหมายปลายทางยอดนิยมตลอดกาล สำหรับนักเดินทางชาวไทยและต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเมืองหลวงในฐานะ ศูนย์กลางแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์

ขณะเดียวกัน เทรนด์การท่องเที่ยวของชาวไทยเริ่มเปลี่ยนไป โดยเริ่มให้ความสนใจกับจุดหมายปลายทาง 'นอกกระแส' มากขึ้น เช่น ชุมพร นครพนม และเลย ซึ่งกำลังกลายเป็นดาวรุ่งในหมู่นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ท้องถิ่นแท้ ๆ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่า สงกรานต์ปี 2568 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 26,564 ล้านบาท แบ่งเป็น 7,324 ล้านบาทจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 19,240 ล้านบาทจากการท่องเที่ยวในประเทศ โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวรวมกว่า 4.8 ล้านคน

Traveloka เปิดโผจุดหมายสงกรานต์ยอดนิยมในปีนี้ ได้แก่ 

1. กรุงเทพฯ เตรียมจัดงานสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ อาทิ Siam Songkran Music Festival (11-14 เม.ย.) และ Water Festival มหาสงกรานต์ มหาสนุก (12-15 เม.ย.) ใน 12 พื้นที่ทั่วเมือง 
2.เชียงใหม่ ผสานวัฒนธรรมล้านนาเข้ากับกิจกรรมสุดมัน เช่น Water War Chiang Mai (13 เม.ย.) 
3. ชลบุรี งาน 'วันไหล' ระหว่างวันที่ 6–20 เม.ย. มอบประสบการณ์สงกรานต์ยาวนาน 
4. ภูเก็ต ร่วมสาดน้ำริมชายหาด พร้อมปาร์ตี้ค่ำคืนที่บางลา และกิจกรรมทำบุญที่เมืองเก่า 
5. หาดใหญ่ สงกรานต์สุดคึกคักที่เซ็นทรัลเฟสติวัลและลีการ์เด้นส์ พลาซ่า พร้อมคอนเสิร์ต ขบวนแห่ และกิจกรรมชุ่มฉ่ำ

ส่วนจุดหมายดาวรุ่งมาแรง ที่นักเดินทางรุ่นใหม่แห่ค้นหาความสงบและวัฒนธรรม อิงข้อมูลจากทราเวลโลก้าเผยว่า การค้นหาเมืองรองอย่าง ชุมพร เพิ่มขึ้น 95% นครพนม (+68%) สกลนคร (+53%) เลย (+46%) และน่าน (+40%)

นอกจากนี้ ตัวเลือกที่พักในช่วงสงกรานต์ก็หลากหลายมากขึ้น ทั้งโรงแรมระดับพรีเมียม รีสอร์ท โฮสเทล ไปจนถึงอพาร์ตเมนต์เช่าระยะยาว เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม

ซีซาร์ อินทรา ประธานบริษัททราเวลโลก้า กล่าวถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวว่า “นักท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันมองหาประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างประเพณีและการพักผ่อนที่ยืดหยุ่น พร้อมความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

‘ทุงสะเทวี’ นางสงกรานต์ 2568 ผู้เสด็จมาบนหลังครุฑลักษณะไสยาสน์หลับเนตร พร้อมคำทำนายประจำปีนี้ทั้งด้านดีและร้าย

เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของ 'นางสงกรานต์' หรือ 'เทวีสงกรานต์' ซึ่งเป็นหนึ่งในธรรมเนียมสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาช้านาน เป็นการทำนายแนวโน้มของปีนั้น ๆ ทั้งในเรื่องของบ้านเมือง เศรษฐกิจ และสภาพอากาศ โดยอิงจากตำแหน่งของดวงดาวตามโหราศาสตร์ไทย 

ใครคือนางสงกรานต์ประจำปี 2568
นางสงกรานต์ประจำปี 2568 มีนามว่า ทุงสะเทวี (หรือทุงษเทวี) เทวีองค์นี้เป็นหนึ่งในเจ็ดนางที่ผลัดเปลี่ยนกันมาในแต่ละปี โดยตำราโบราณระบุไว้ว่าลักษณะของเทวีจะสะท้อนถึงสถานการณ์ในปีนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ ความเปลี่ยนแปลง หรือภัยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างคติความเชื่อและการดูดวงดาวอย่างลึกซึ้ง เทวีประจำปีจึงเปรียบเสมือน 'โหรหญิง' แห่งจักรวาล ที่มาบอกแนวทางชีวิตของปี 2568 นี้

ในปีนี้ ทุงสะเทวี ทรงพาหนะคือ ครุฑ เสด็จโดยท่านอนหลับเนตร (นอนหลับตา) ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษในปีนี้ โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมคือ ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราค ภักษาหารคือผลมะเดื่อ (อุทุมพร) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ สื่อถึงพลังอำนาจ การปกป้อง และการรู้แจ้งในสรรพสิ่ง เสด็จมาเหนือหลังครุฑซึ่งเป็นพาหนะสำคัญที่สื่อถึงความมั่นคงและความศักดิ์สิทธิ์ในทางโหราศาสตร์

สำหรับคำทำนายนางสงกรานต์ประจำปี 2568 ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งตามตำราโบราณถือว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ที่ไร่นาเรือกสวน เผือกมัน จะไม่แพงนัก แสดงถึงภาคเกษตรกรรมที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ในวันเนา (วันจันทร์) กลับมีคำทำนายว่าเกลือจะแพง นางพระยาจะร้อนใจ และมักจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ดังนั้นภาพรวมของปีนี้อาจมีทั้งด้านที่ดีและด้านที่ต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและอารมณ์ของผู้คน

นอกจากนี้ วันพุธเป็นวันเถลิงศก ซึ่งหมายถึงวันเริ่มต้นปีใหม่ไทยอย่างแท้จริง มีคำพยากรณ์ว่า ราชบัณฑิต ปุโรหิตโหราจารย์จะมีสุขสำราญเป็นอันมาก สื่อถึงการที่ผู้รู้ ผู้มีปัญญา หรือคนในวงวิชาการจะได้รับความเคารพนับถือและมีความเจริญก้าวหน้า

และด้วยนางสงกรานต์ปีนี้ เสด็จมาบนหลังครุฑในลักษณะนอนหลับตา (ไสยาสน์หลับเนตร) ซึ่งมีนัยว่า พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี บ้านเมืองจะมั่นคง แต่อาจมีบางช่วงที่ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในอนาคต ต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือร่วมใจกันมากขึ้น

โดยคำทำนายโดยรวมของปีนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนควรเตรียมตัวรับมือ ด้วยการใช้สติ รอบรู้ และวางแผนอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนทางการเงิน การดูแลครอบครัว หรือการเตรียมสุขภาพกายใจให้พร้อมต่อสถานการณ์ไม่แน่นอน เป็นการเตือนให้เราเดินหน้าอย่างมั่นคง ใช้ความอดทนเป็นหลัก ยึดสติเป็นอาวุธ พร้อมเปิดใจเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 สงครามกลางเมือง กับ ‘ทฤษฎีโดมิโน’

(13 เม.ย. 68) ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 ‘สงคราม (ลับ) ในลาว’

สงครามกลางเมืองลาวเกิดขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ลาวและรัฐบาลลาวหลวงตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 1959 ถึง 2 ธันวาคม 1975 ราชอาณาจักรลาวเป็นพื้นที่ปฏิบัติการลับในช่วงสงครามเวียดนาม โดยทั้งสองฝ่ายได้รับการสนับสนุนจากภายนอกอย่างหนักในสงครามตัวแทนระหว่างมหาอำนาจสงครามเย็นระดับโลก การสู้รบยังเกี่ยวข้องกับกองทัพเวียตนามเหนือ เวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และไทย ทั้งโดยตรงและผ่านตัวแทนที่ไม่เปิดเผย สงครามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “สงครามลับในลาว” ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการโดย CIA

วันที่ 9 สิงหาคม 1960 รอ.กองแล วีระสาน รองผู้บัญชาการกองกำลังพลร่มที่ 2 ได้ทำการรัฐประหารในราชอาณาจักรลาว รอ.กองแล ผู้ซึ่งแทบจะไม่มีใครรู้จักแม้แต่ในลาวเอง และล้มรัฐบาลฝ่ายขวาของเจ้าสมสนิท ทำให้เจ้าสุวันพูมาได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นอกจากนั้น รัฐประหารที่เขาทำให้เกิดการเจรจาที่นำไปสู่ “ข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยลาว” ในเดือนกรกฎาคม 1963 รัฐประหารครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯและชาติอื่น ๆ ต้องประหลาดใจ และนำไปสู่ความขัดแย้งในการแย่งชิงอำนาจในลาว นอกจากนั้นแล้วการรัฐประหารในครั้งนั้นยังทำให้เกิดความกลัวอย่างต่อเนื่องตามแนวคิดทางการเมืองอเมริกันที่ว่า ประเทศใดก็ตามที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วจะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ จนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วยตาม “ทฤษฎีโดมิโน”

ดังนั้นประธานาธิบดี Eisenhower และประธานาธิบดี Kennedy ในเวลาต่อมา จึงได้ตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการลับในลาว เริ่มต้นจากการฝึกอบรมและติดอาวุธสมาชิกกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์จำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง และจากนั้นก็กลายเป็นการปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่สหรัฐฯจะเริ่มทิ้งระเบิด และโจมตีเส้นทางโฮจิมินห์ สงครามในลาวและเวียตนามไม่ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง มีการทับซ้อนกันในบางส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นปฏิบัติการที่แยกออกจากกัน สงครามในลาวทำให้ CIA กลายเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในวอชิงตันและกลายเป็นหน่วยงานปฏิบัติการทางทหาร แม้ว่าลาวจะถือว่ามีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลมาก นักข่าวส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงฐานของกองกำลังลาวม้งและกองกำลังของลาวหน่วยอื่น ๆ ได้ เมื่อไม่ปรากฏเป็นข่าว สภาคองเกรสจึงเต็มใจที่จะดำเนินการตามสงครามไปจนถึงปลายทศวรรษที่ 60 และต้นทศวรรษที่ 70 โดยไม่ตั้งกระทู้ถามจนมากเกินไป และประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับลาวมากนัก และในที่สุดก็มีสถานการณ์ที่ทำให้ CIA กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นและเห็นว่าลาวเป็นตั๋วสำหรับอิทธิพลนี้ในกระบวนการนโยบายต่างประเทศ 

โครงการฝึกอบรมทางทหารขนาดเล็กในลาวได้ถูกพัฒนาจนเป็นโครงการการฝึกอบรมทางทหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และในที่สุดก็เป็นกลายการปฏิบัติการเต็มรูปแบบ โดยในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 1960 เจ้าหน้าที่ CIA ได้สั่งการกองกำลังหรือปฏิบัติการเพื่อสั่งการกองกำลังซึ่งปฏิบัติการในพื้นที่ลาว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การฝึกเท่านั้น CIA และสถานทูตสหรัฐฯได้เพิ่มการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ และในที่สุดโครงการฝึกอบรมก็มีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นกองกำลังที่มีกำลังพลหลายหมื่นนาย และอาจมากกว่า 100,000 นายเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่มีคือ กลายเป็นว่า CIA และสถานทูตสหรัฐฯทำสงครามกันเป็นภารกิจหลัก ภารกิจของพวกเขาเปลี่ยนไปจากไม่เพียงแต่ทำการรวบรวมข่าวกรอง  แต่เป็นการดูแลและจัดการความขัดแย้งขนาดใหญ่ด้วย แม้จะมีการปฏิรูป CIA ในช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เคยหายไป กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มความเด่นชัดมาก

โดยที่ปฏิบัติการทหารในลาวมีความสอดคล้องกับสงครามของสหรัฐฯในเวียดนาม และการทิ้งระเบิดกัมพูชาอย่างลับ ๆ ด้วยสงครามในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์กันและเป้าหมายโดยรวมก็มีการแบ่งปันกันในวงกว้าง แต่ CIA และเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าผู้บัญชาการทหารของสหรัฐฯที่รับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารซึ่งบริหารจัดการสงครามในเวียตนามจะไม่สามารถปฏิบัติการในลาวได้ เพราะตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว Bill Sullivan และ CIA ก้าวไปในเรื่องของสงครามในลาวจนไกลมากแล้ว และที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำการในกรุงเทพฯ ไม่สามารถให้คำแนะนำที่สำคัญได้เลย เพราะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว และ CIA กันกองทัพสหรัฐฯ ออกไปจากสงครามในลาวอย่างสุดกำลัง

เมื่อสงครามเวียตนามในภาพรวมขยายตัวขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในลาวเริ่มที่จะสะท้อนให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายโดยรวมของสหรัฐฯ สิ่งที่เริ่มต้นจากการที่สหรัฐฯช่วยชาวลาวในท้องถิ่นต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในที่สุดก็เปลี่ยนไป และโดยที่ที่สุดแล้วจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯและจุดมุ่งหมายของชาวลาวในท้องถิ่นก็แตกต่างกันอย่างมากมาย และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะชาวอเมริกันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับชาวลาวที่พวกเขาให้ความช่วยเหลือ เดิมทีนักรบต่อต้านคอมมิวนิสต์ชาวลาวต้องการให้ทหารอเมริกันต่อสู้เคียงข้างพวกเขา และช่วยรักษาดินแดนของพวกเขาไว้ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สหรัฐฯ และผู้บัญชาการทหารลาวได้ส่งกองกำลังของลาวเข้าสู่การสู้รบเต็มแบบขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นการรบแบบกองโจร การรบขนาดใหญ่กับกองทัพเวียดนามเหนือซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 20 ทำให้ทหารลาวจึงถูกสังหารมากมาย และเหตุผลที่สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นเพราะเห็นว่าสงครามในลาวเป็นโอกาสที่จะสังหารทหารเวียตนามเหนือได้มากขึ้น และทำให้สถานการณ์สงครามของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ดีขึ้น จึงกลายเป็นเหตุให้ราชอาณาจักรลาวต้องพบจุดจบในที่สุด แม้ว่า สหรัฐฯและลาวซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรน้อยกว่าพลเมืองของนครลอสแองเจลิส และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในแบบที่เรียบง่ายมากในปัจจุบัน แต่ในทศวรรษที่ 1960 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจว่า ประเทศเดียวกันนี้ซึ่งขณะนั้นมีประชากรน้อยกว่าปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ ประมาณกันว่า เมื่อ 5-60 ปีก่อน CIA ใช้งบประมาณกว่าเดือนละยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 400 ล้านบาทในขณะนั้น) ซึ่งคำนวณด้วยราคาทองคำจะอยู่ที่เดือนละกว่าสี่หมื่นล้านบาทในปัจจุบันสำหรับการทำสงครามในลาว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน 2568

ผีร้ายทำลายชาติ
ประเทศใด ชาติใดก็ตาม
ถ้ารัฐส่งเสริมให้มีการพนัน
ไม่ว่าประเภทใด
ก็เรียกว่าเปิดประตู
แห่งความเสื่อมความเสีย
ให้เกิดขึ้นแก่คนในชาตินั้น

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

นักลงทุนผวา!! อนาคตของอเมริกา กับ ‘วิกฤตด้านความเชื่อมั่น’ การย้ายฐานการผลิตทั้งหมดกลับประเทศ ต้องใช้ทั้ง ‘เงิน-เวลา’

(12 เม.ย. 68) Stephanie Ruhle นักวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจของ NBC หนึ่งในสถานีโทรทัศน์หลักของสหรัฐอเมริกา ได้วิเคราะห์ว่า ...  

สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ผ่านไปกว่าสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่เกิดหายนะทางการค้านี้ขึ้น และฉันได้ใช้เวลาทั้งสัปดาห์นั้นในการพูดคุยกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และสิ่งที่ฉันรู้สึกว่ามากที่สุดในคืนนี้คือความกลัว

ความกลัวที่เรากำลังเผชิญอยู่คือวิกฤตด้านความเชื่อมั่น ความเชื่อมั่นในตัวเราเอง ในสหรัฐอเมริกา หรือฉันไม่ได้ยินจากใครเลยในบรรดาคนที่ฉันพูดคุยด้วย คือสิ่งที่อาจฟื้นคืนความเชื่อมั่นนั้นในสหรัฐอเมริกาได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ใช่แล้ว ตลาดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้ แต่เป็นเพราะเราสามารถหลีกเลี่ยงการนำเข้าด้วยภาษีนำเข้ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกได้เท่านั้น

แต่ความจริงได้เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว เพราะเรายังคงมีภาษีนำเข้าที่เหลือ และตลาดก็ยังคงตกต่ำ ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นฐานที่เราใช้เจรจาการค้าไม่ได้หยั่งรากลึกในความจริง และสำหรับผู้ที่เชื่อว่าประเทศต่าง ๆ กำลังดิ้นรนเพื่อทำข้อตกลงเพราะพวกเขาตื่นตระหนกมากเกี่ยวกับภาษีนำเข้าจำนวนมหาศาล และตอนนี้ภาษีนำเข้าก็ลดลงมาก

คำถามของฉันก็คือ ข้อตกลงนั้นคืออะไร คุณคิดว่าประเทศอย่างเวียดนามสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อลบล้างการขาดดุลการค้าของเรา คุณรู้ไหมว่าคำตอบคืออะไร พวกเขาทำไม่ได้ และถ้าคุณต้องการนำการผลิตทั้งหมดของเรากลับประเทศ นั่นก็จะ... หากคุณต้องการทำสิ่งนั้นตามที่ Peter Navarro พูดถึง Howard Lutnick พูดถึง คุณต้องการทำเช่นนั้นไหม? เพราะ จะต้องใช้เงินหลายล้านล้านดอลลาร์และเวลา 20 ปีในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและนำทั้งหมดกลับมาผลิตในอเมริกา

และสำหรับพันธมิตรของเราในตะวันตก ประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะร่วมมือกับเราอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่หัวเราะออกทีวีระดับประเทศ และบอกว่า พวกเขากำลังประจบประแจงฉัน (จูบก้นฉัน) เราสามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าตำแหน่งที่เราและความพิเศษเฉพาะตัวของอเมริกาเคยยึดครองไว้ แม้กระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้ลดลงอย่างแน่นอน

เรามีรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรที่บอกให้เราสร้างเล้าไก่ในสวนหลังบ้านเพราะไข่แพง เรามีรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่เผยแพร่ความลับทางทหารในกลุ่มแชท เราอาจกำลังไล่พนักงานของรัฐบาลออกหลายพันคนอย่างผิดกฎหมาย และตัดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ขณะที่ซื้อสกุลเงินดิจิทัล เราสูญเสียความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจไปเป็นจำนวนมาก

แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกลัวคือนักลงทุนทุกคนที่ฉันพูดคุยด้วย แม้แต่บางคนที่สนับสนุนประธานาธิบดีคนนี้ ต่างก็ส่งข้อความเดียวกันถึงฉันว่า หากตลาดพันธบัตรยังคงร่วงลงเรื่อย ๆ คุณก็รู้ว่ามันจะไปจบลงที่ไหน มันจะทำให้ประเทศนี้ล้มละลาย ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ รู้เรื่องนี้ดีทีเดียว

‘Wicrosoft’ บริษัทร่วมทุน ‘Microsoft’ ปลดพนักงานในจีน 2,000 คน สะท้อนความรุนแรง!! ‘จีน-สหรัฐฯ’ ที่สั่นสะเทือน วงการไอที

เมื่อวันที่ (7 เม.ย.68) ที่ผ่านมา มีภาพหน้าจอมือถือที่เป็นอีเมลภายในของบริษัทเวยช่วงหร่วนเจี้ยน (Wicresoft,微创软件) บริษัทร่วมทุนกับไมโครซอฟท์ (Wicrosoft) หลุดออกมาทั่วโซเชียล โดยในอีเมลระบุว่า “ไมโครซอฟท์จะปรับแผนกลยุทธ์ทั่วโลก และจะยุติการดำเนินงานในจีนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. 2025” ซึ่งหมายความว่าโครงการที่เกี่ยวข้องของไมโครซอฟท์จะถูกยุติลงพร้อมกัน แม้ว่าอีเมลดังกล่าวจะไม่ใช่ประกาศอย่างเป็นทางการจากไมโครซอฟท์ แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการไอทีในจีน

บริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 เป็นบริษัทร่วมทุนแห่งแรกที่ไมโครซอฟท์ ลงทุนในจีน ปัจจุบันประธานบริษัทคือถังจวิ้น ที่เคยดำรงตำแหน่งประธานไมโครซอฟต์จีน ซึ่งบริษัทฯ ถูกมองว่าเป็นบริษัทเอาต์ซอร์ส หรือ องค์กรภายนอกหลักของไมโครซอฟท์ในจีน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ และมีศูนย์ให้บริการ 36 แห่งทั่วโลก ครอบคลุมทั้งจีน สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น โดยให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 2,500 ราย และมีพนักงานกว่า 10,000 คน

ช่วงบ่ายของวันที่ 7 เม.ย. สื่อจีนรายงานว่าพนักงานหลายรายกล่าวว่าการเลิกจ้างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานในสำนักงานเซี่ยงไฮ้และอู๋ซีราว 2,000 คน พนักงานบางคนกล่าวว่าตอนเช้ายังสแกนบัตรเข้างานอยู่เลย ตอนเที่ยงก็โดนเลิกจ้างแล้ว ขณะที่บางคนบอกว่าไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างกะทันหัน และมีพนักงานจำนวนมากยกกล่องเอกสารออกมาจากบริษัทฯ

การเลิกจ้างในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคำสั่งผู้บริหารหมายเลข 14117 ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 เม.ย. ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ “ประเทศที่ถูกจับตามอง” เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนของชาวอเมริกัน ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมด้านกฎระเบียบข้อมูลในระดับโลก หลายคนจึงสงสัยว่าบริการสนับสนุนด้านเทคนิคของสินค้าไมโครซอฟท์จะยังคงให้บริการต่ออย่างไร 

พนักงานยกกล่องออกจากบริษัทฯ ส่วนใหญ่ได้รับค่าชดเชยตามสูตร N+1

สื่อจีนรายงานว่ามีพนักงานจำนวนมากทยอยยกกล่องเอกสารออกจากอาคาร และในจำนวนนี้มีพนักงานชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย ตรงข้ามอาคารคือสำนักงานของไมโครซอฟต์จีน สาขาหมิ่นซิ๋ง พนักงานไมโครซอฟท์คนหนึ่งยังเดินข้ามถนนมาดูสถานการณ์ พร้อมบอกว่าขณะนี้ภายในสำนักงานไมโครซอฟท์ยังไม่มีข่าวการเลิกจ้างลักษณะเดียวกันนี้

พนักงานนามสมมุติ 'หลี่เต๋อ' เปิดเผยว่าเขาเพิ่งสแกนบัตรเข้าออฟฟิศในตอนเช้า แต่กลับได้รับแจ้งเรื่องการเลิกจ้างทันที โดยทีมงานสนับสนุนด้านเทคนิคของไมโครซอฟท์ที่เขาอยู่มีพนักงานหลายร้อยคน ซึ่งเกือบทั้งหมดถูกเลิกจ้าง อีเมลภายในระบุว่าบริษัทจะจัดทำแผนการเยียวยาและเสนอการโยกย้ายไปทำงานในต่างประเทศให้พนักงานในสายงานเดิมของไมโครซอฟท์ก่อนเป็นลำดับแรก อย่างไรก็ตาม พนักงานเผยว่าขั้นตอนภายในสับสนวุ่นวาย ส่วนใหญ่ได้รับค่าชดเชยตามสูตร “N+1” เท่านั้น และมีเพียงส่วนน้อยที่อาจได้ย้ายไปต่างประเทศ

ไมโครซอฟท์จะยุติธุรกิจในจีนหรือไม่

ข่าวลือที่ว่า "ไมโครซอฟท์จะยุติการดำเนินงานในจีนตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. 2025" ทางไมโครซอฟท์ได้ออกมาปฏิเสธและชี้แจงว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง พร้อมระบุว่ากิจการของ Wicresoft ควรให้ทางบริษัทเป็นผู้ชี้แจงโดยตรง 

หลิวหรุน อดีตผู้บริหารไมโครซอฟท์ ออกมายืนยันว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้จะยุติการดำเนินงานหรือหยุดโครงการเอาต์ซอร์สในจีน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการย้ายงานเอาต์ซอร์สที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลผู้ใช้ในต่างประเทศไปยังภูมิภาคอื่น อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังไมโครซอฟท์ได้ปรับลดขนาดธุรกิจในจีนหลายครั้ง สะท้อนถึงการปรับยุทธศาสตร์ในภูมิภาค

แม้ไมโครซอฟท์จะปฏิเสธการเลิกจ้างครั้งใหญ่ แต่การที่ทีมสนับสนุนของ Wicresoft ซึ่งมีพนักงานเกือบ 2,000 คนถูกเลิกจ้าง ก็ทำให้ผู้ใช้งานหลายฝ่ายแสดงความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการ Wicresoft ถือเป็นพันธมิตรเอาต์ซอร์สรายใหญ่ที่สุดของไมโครซอฟท์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และรับผิดชอบงานสนับสนุนด้านเทคนิคทั้งก่อนและหลังการขาย 

พนักงานกังวลหางานใหม่ไม่ทัน

ในมุมมองของจ้าวหู ผู้บริหารระดับสูงในบริษัทไมโครซอฟท์ในจีน กล่าวว่าแม้ว่าการเลิกจ้างครั้งนี้ดูเหมือนเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนด้านธุรกิจระหว่างไมโครซอฟท์กับบริษัทเอาต์ซอร์ส แต่ในความเป็นจริงแล้วสะท้อนถึงแนวโน้มเชิงลึกยิ่งกว่า นั่นคือการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรง และการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวดขึ้น 

ทั้งยังส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติเริ่มทบทวนกลยุทธ์การจ้างงานและกลไกการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านข้อมูลในจีน การเลิกจ้างพนักงานเกือบ 2,000 คนในครั้งเดียวถือว่าเกิดขึ้นไม่บ่อยในแวดวงอุตสาหกรรม และทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจลุกลามไปถึงพนักงานประจำของไมโครซอฟท์ หรือแม้แต่กระทบต่อแนวทางด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัทต่างชาติในจีนโดยรวม

สำหรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ความท้าทายที่ต้องเผชิญคือ ตลาดแรงงานจีนในระยะสั้นไม่สามารถรองรับบุคลากรสายสนับสนุนด้านเทคนิคจำนวนมากเช่นนี้ได้ จ้าวหูกล่าวว่านี่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนเส้นทางอาชีพ เสริมทักษะเชิงลึก และเพิ่มความยืดหยุ่นทั้งในด้านเทคโนโลยีและพื้นที่การทำงาน

ททท. ชวนเที่ยวไทยผ่านแคมเปญ “สุขทันที ที่เที่ยวไทย”

เมื่อน้ำสงกรานต์…คือสายน้ำแห่งมิตรภาพระหว่างประเทศ

The Diplomat Splash 2025 โดย Nomad Media คืองานสงกรานต์ที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่สะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศ

เหล่าทูตานุทูตจากหลายประเทศทั่วโลก พร้อมครอบครัวและเพื่อนๆ มาร่วมเปิดประสบการณ์สงกรานต์ไทยแบบจัดเต็ม

ชุ่มฉ่ำทั้งกาย อบอุ่นทั้งใจ ในเทศกาลแห่งการเริ่มต้นใหม่ที่งดงาม

‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ ส่งหนังสือถึง ‘รมว.คลัง’ หลังเงินเฟ้อ หลุดกรอบ เผย!! มาจากเหตุปัจจัย ด้าน ‘อุปทานพลังงาน-อาหารสด’

(12 เม.ย. 68) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีข้อตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2568 รวมถึงระบุให้ กนง. มีจดหมายเปิดผนึกหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย นั้น

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์ของเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ 1.3% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ถึงเดือนมกราคม 2568) อยู่ที่ 0.6% ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน ดังนั้น กนง. จึงขอเรียนชี้แจงรายละเอียด ดังนี้ 1.การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น2.สาเหตุที่เงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายและแนวโน้มในระยะข้างหน้า และ 3.นัยของอัตราเงินเฟ้อต่ำกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ

1.การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเพื่อแบบยืดหยุ่น

การดำเนินนโยบายการเงินมีพันธกิจหลักในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน (macro-financial stability) ผ่านการรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพ โดยเสถียรภาพราคา หมายถึง ภาวะที่เงินเฟ้อต่ำและไม่ผันผวน ซึ่งไม่สร้างอุปสรรคหรือเป็นภาระต่อการวางแผนบริโภคและลงทุนของประชาชนโดยที่เงินเพื่อระยะปานกลางยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย

ทั้งนี้ การดูแลเสถียรภาพด้านราคา ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexble Inflation Targeting: FIT) โดยมีกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบช่วง (range target) ที่ 1-3% หมายความว่านโยบายการเงินจะมุ่งดูแลให้อัตราเงินเฟ้อไประยะปานกลางเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายและไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ค่าใดค่าหนึ่งตลอดเวลา โดยอัตราเงินเฟ้ออาจผันผวนออกนอกกรอบในระยะสั้นได้

กรอบเป้าหมายเงินเพื่อแบบยืดหยุ่นเหมาะสมกับการดูเสถียรภาพราคาในบริบทเศรษฐกิจไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิด พึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และมีสัดส่วนของการบริโภคอาหารที่สูง ทำให้เงินเฟ้อไทยมักผันผวนทั้งจากปัจจัยต่างประเทศและปัจจัยด้านอุปทานในประเทศ อาทิ ราคาน้ำมันโลกหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ นโยบายการเงินจะมีบทบาทจำกัดในการตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทาน (supply shock) โดยนโยบายการเงินจะมีบทบาทมากกว่าในการดูแลเงินเฟ้อที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในวงกว้างที่สะท้อนอุปสงค์ที่สูงหรือต่ำกว่าศักยภาพเศรษฐกิจ (demand shock) หรือการคาดการณ์เงินเฟ้อที่หลุดลอยและอาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อที่สูงหรือต่ำยืดเยื้อจนกระทบเสถียรภาพด้านราคาได้

ทั้งนี้ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยืดหยุ่นแบบ range target และกำหนดเป้าหมายเป็นเงินเฟ้อระยะปานกลาง เอื้อให้นโยบายการเงินสามารถมองข้ามความผันผวนระยะสั้น และไม่จำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายบ่อยหรือแรงเกินไป ซึ่งอาจสร้างความผันผวนและส่งผลลบต่อเศรษฐกิจและระบบการเงิน

กรอบ FIT มีความยืดหยุ่นส่งผลให้นโยบายการเงินสามารถดูแลเสถียรภาพด้านราคาควบดูไปกับการรักษา macro-financial stability การที่นโยบายการเงินสามารถรักษาเงินเฟ้อในระยะปานกลางให้อยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน ทำให้การกำหนดกลยุทธ์นโยบายการเงินสามารถหันมาดูแลเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดรับกับแนวนโยบายแห่งรัฐที่ต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน รวมถึงดูแลความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่กันไปได้ด้วย

ทั้งนี้ ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จำเป็นต้องคำนึงถึงและชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านต่างๆ ต่อ macro-financial stability ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยล่าสุดนโยบายการเงินให้น้ำหนักกับการดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ โดยในการประชุม กนง.เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากประเมินว่า

1.แนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และมีความเสี่ยงสูงขึ้น 2.ความเสี่ยงเสถียรภาพระบบการเงินปรับลดลง สะท้อนจากการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ที่ดำเนินต่อเนื่อง ขณะที่ภาวะการเงินมีแนวโน้มตึงตัวขึ้น และสินเชื่อชะลอตัวลง และ 3.เสถียรภาพด้านราคาที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยแนวโน้มเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมาย ในขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะยาวยังยึดเหนี่ยวได้ดี

การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือเชิงนโยบายอื่น (integrated policy) เข้ามาช่วยตอบโจทย์อย่างตรงจุดจะช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิผลและไม่สร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ กนง. ตระหนักว่าในภาวะปัจจุบันบางภาคส่วนของเศรษฐกิจยังมีปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข โดยภาคครัวเรือนมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง และธุรกิจ SMEs มีปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อจากความเสี่ยงด้านเครดิต กนง.จึงสนับสนุนการดูแลกลุ่มเปราะบางและการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ เพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

อาทิ การสนับสนุนนโยบายของ ธปท. ที่ผลักดันให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงมาตรการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง ตลอดจนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และ ธปท. เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs

2.สาเหตุที่อัตราเงินเฟ้อใน 12 เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย และแนวโน้มในระยะข้างหน้า

อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทานในหมวดพลังงานและอาหารสด โดยในหมวดพลังงานเป็นผลจากการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ประกอบกับมาตรการดูแลค่าครองชีพของภาครัฐที่มีต่อเนื่อง อาทิ มาตรการลดราคาน้ำมันผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการลดภาษีสรรพสามิต รวมทั้งมาตรการลดค่าไฟฟ้า ทำให้ราคาหมวดพลังงานขยายตัวเพียง 1.0%

อย่างไรก็ดี หากไม่รวมผลของมาตรการดังกล่าว ราคาหมวดพลังงานจะขยายตัว 4.9% และทำให้ค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.1% สำหรับราคาหมวดอาหารสดขยายตัวในระดับต่ำที่ 0.4% โดยเป็นผลจากปริมาณสุกรที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาผักที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ แรงกดดันด้านต้นทุนที่ขยายตัวต่ำนี้ทำให้การส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการอื่นๆ อยู่ในระดับต่ำด้วย ทำให้ค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.6%

อย่างไรก็ดี ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.ผลของฐานราคาพลังงานในปีก่อนที่อยู่ระดับต่ำตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ และ 2.แรงกดดันด้านอุปทานที่ทำให้ราคาหมวดอาหารสดอยู่ในระดับต่ำมีแนวโน้มคลี่คลาย ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย

ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมายและมีโอกาสที่จะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในบางช่วง โดยอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำนั้นมาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก รวมถึงปัจจัยเฉพาะ อาทิ การแข่งขันจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน

3.นัยของอัตราเงินเฟ้อต่ำกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ

กนง.ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อไทยที่ต่ำในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงแนวโน้มในระยะข้างหน้าไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก

1.อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคา โดยอัตราเงินเฟ้อถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ อาทิ ราคาน้ำมันโลกและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อปัจจุบันได้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายแล้ว

ขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ใน 5 ปีข้างหน้าทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจของ Asia Pacific Consensus Economics ณ เดือนตุลาคม 2567 และข้อมูลตลาดการเงิน ณ เดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ 1.8% ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นว่านโยบายการเงินจะดูแลเสถียรภาพราคาในระยะปานกลางได้ดี

2.อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำไม่ได้เป็นสัญญาณของภาวะเงินฝืด เนื่องจากราคาสินค้าและบริการไม่ได้ปรับลดลงในวงกว้าง โดยราคาสินค้าและบริการกว่า 3 ใน 4 ของตะกร้าเงินเฟ้อยังเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมายังขยายตัวได้ที่ 4.4% ในปี 2567 จึงไม่ได้สะท้อนปัญหาด้านอุปสงค์

3.อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและการลงทุน โดยปัจจัยที่ทำให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำไม่ได้มาจากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ แต่มาจากการที่ภาคเอกชนขาดแรงจูงใจให้ขยายกำลังการผลิต โดยภาคการผลิตถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและการแข่งขันสินค้าจากสินค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ปิโตรเคมี ยางและพลาสติก และรถยนต์ EVเป็นต้น

ในขณะเดียวกันแนวโน้มเงินเฟ้อที่ต่ำและไม่ผันผวนมีส่วนช่วยให้ต้นทุนการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ของทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่ในระดับต่ำ และช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการผ่านต้นทุนการผลิตที่ไม่เร่งสูงขึ้นและผ่านอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง (real exchange rate)

นอกจากนี้ เงินเฟ้อที่ต่ำในช่วงที่ผ่านมายังมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนหลังจากที่ราคาสินค้าหลายรายการเพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด โดยราคาพลังงานและอาหารที่จำเป็นต่อการครองชีพของประชาชน อาทิ เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง ยังอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิดถึงประมาณ 20%

ในระยะต่อไป กนง. จะประเมินนัยของเงินเฟ้อต่อเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อไม่สูงหรือต่ำจนเกินไปจนกระทบต่อเศรษฐกิจและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการแข่งขันและลงทุน โดยจะติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ ได้แก่ แนวโน้มราคาพลังงานที่อาจต่ำลงจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวต่ำกว่าราคา และความผันผวนของสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาอาหารสด

ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 หากใน 6 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า ยังคงเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง เพื่อเป็นการสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาให้แก่สาธารณชนเป็นการทั่วไป

‘โอ๋ สุดซอย’ นำ!! ‘DSI – ตำรวจสอบสวนกลาง - คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า’ บุกทลายโกดัง ‘ซินเคอหยวน’ ค้นยึด เอกสาร เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ กล้องวงจรปิด

(12 เม.ย. 68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ‘หัวหน้าทีมสุดซอย’ ได้โพสต์ข้อความ ถึงกรณี ‘ซินเคอหยวน’ โดยมีใจความว่า ...

ร่วมภารกิจสุดซอย ตรวจค้นและยึดเอกสาร คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ - กล้องวงจรปิดของ SKY และตรวจสอบเพิ่มเติมในส่วนของโกดังที่อยู่ด้านหลังที่ปิดตาย ยังพบฝุ่นแดงที่ซ่อนไว้อีกกว่า 13,000 ตัน หากรวมกับของเดิมที่พบก่อนหน้า 43,000 ตัน ก็เท่ากับว่ามีฝุ่นแดงที่พบทั้งหมด 56,000 ตัน…ยิ่งตรวจยิ่งเจอ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องขยายผลตรวจสอบต่อไป

ขอขอบคุณความร่วมมือในการปฏิบัติภารกิจจาก DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ตำรวจสอบสวนกลาง (บก.ปทส.) คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) และสื่อมวลชนทุกท่าน ที่ร่วมภารกิจสุดซอยในครั้งนี้ และยังมีอีกหลายภารกิจร่วมกันต่อจากนี้

และที่สำคัญขอขอบคุณ #ทีมสุดซอย สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่ทำงานกันอย่างหนักตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งเตรียมข้อมูล สืบค้น ตรวจหน้างานเพื่อหาหลักฐานบนข้อเท็จจริง

หลังจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะส่งข้อมูล เอกสาร เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์-กล้องวงจรปิดทั้งหมด ให้กับ DSI เพื่อตรวจสอบและขยายผลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top