Saturday, 11 May 2024
Hard News Team

‘เทพไท’ ฟาด ‘อุ๊งอิ๊ง’ ตระบัดสัตย์-หักหลังปชช. ภาคภูมิใจกับดีลลับ ‘ทักษิณ’ ยก!! ‘ชวน-อภิสิทธิ์’ เป็นตัวอย่าง ให้ความสำคัญ ‘สัจจะวาจา’ มากกว่าอำนาจ

(4 พ.ค.67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า

จงภูมิใจกับการจัดตั้งรัฐบาลแบบข้ามขั้วต่อไป

เมื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ‘อุ๊งอิ๊ง’ กล่าวในงานอีเวนต์  ‘10เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม10’ ว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจถูกตั้งรัฐบาลผสม บอกลูกพรรคอย่าสนวากรรมทำให้ เหมือนผิดคำสัญญาประชาชน นั้น ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นความพยายามของพรรคเพื่อไทย ที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐให้ได้ โดยมีการดีลลับกัน ระหว่างนายทักษิณกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม จนสมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย หรือที่เรียกกันว่า ฮั้วอำนาจทางการเมืองกันลงตัว

เมื่อต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก็เหมือนกับคุณอุ๊งอิ๊งบอกว่า ตัดสินใจถูกต้องแล้ว และไม่สนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนว่า จะไม่จับมือร่วมรัฐบาลกับพรรค2ลุง ซึ่งเป็นการประกาศบนเวทีหาเสียง จากปากคุณอุ๊งอิ๊ง นายเศรษฐา ทวีสิน  แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และน.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค เป็นการตระบัดสัตย์และหักหลังประชาชน

ถ้ามั่นใจว่าประชาชนลืมง่าย และสามารถนำผลงานมาเรียกศรัทธาคืนจากประชาชนได้ ก็ขอให้รอดูผลการเลือกตั้งในครั้งต่อไปก็แล้วกัน เพราะคำพูดของนักการเมือง มีความสำคัญเป็นสัจจะวาจาที่ให้ไว้กับประชาชน เมื่อพูดไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ประชาชนก็จะเสื่อมศรัทธาและจะลงโทษเอง อยากให้ดูการรักษาสัจจะของนักการเมืองอย่างน้อย 2 คน คือ

1.นายชวน หลีกภัย ซึ่งเคยประกาศเป็นสัญญาประชาคมในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อันดับ1 ก็จะไม่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคความหวังใหม่ 2 เสียง จากเหตุไฟฟ้าดับตอนนับคะแนนที่จังหวัดปทุมธานี นายชวนก็เปิดโอกาสให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่จัดตั้งรัฐบาล และเป็นนายกรัฐมนตรีทันที

2.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้ประกาศไว้ในการ หาเสียง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ว่า จะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ มีมติด้วยเสียงข้างมาก ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์ก็แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ลาออกจากการเป็นส.ส.ในทันที ทั้งที่สามารถหลีกเลี่ยงการขานชื่อ สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยการรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่นายอภิสิทธิ์ ยึดหลักบาป 7 ประการ ของมหาตมะ คานธี คือ
1.เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
2.หาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด
3.ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน
4.มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี
5.ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลธรรม
6.วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์
7.บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ

ขอให้พรรคเพื่อไทย จงภูมิใจกับการเป็นรัฐบาลต่อไปเถิด ถ้าคิดว่าผลงานช่วงเป็นรัฐบาล 4 ปีนี้สามารถเรียกคะแนนนิยมคืนได้ 10 เต็ม ตามที่ประกาศไว้ ถือเป็นความโชคดีไป ขอให้ยืนยันและภูมิใจในการตัดสินใจหักหลังประชาชน กระโดดข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาล ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

จะตัดสินใจถูกหรือผิดในการจัดตั้งรัฐบาลแบบข้ามขั้ม อย่าคิดเอง เออเอง รอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ในการเลือกตั้งครั้งหน้าดีกว่า

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงข่าว การจับกุมกลุ่มวัยรุ่นใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บ

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567 เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมกลุ่มวัยรุ่นใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บในพื้นที่ สภ.แม่โจ้ อ.สันทรายจ.เชียงใหม่ และ การจับกุมกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุร่วมกันทำร้ายร่างกายและลักทรัพย์ผู้อื่นโดยใช้อาวุธมีด/วัตถุระเบิด ในพื้นที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 , พ.ต.อ.กฤษดา พันธุ์เกษม รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ , พ.ต.อ.วีร์กวิน เสริมศรีธนชัย ผกก.สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ , พ.ต.อ.นฤบาล จิตทยานันท์ ผกก.สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ต่อสื่อมวลชน ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 

กรณีการจับกุมกลุ่มวัยรุ่นใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บในพื้นที่ สภ.แม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ และการจับกุมกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุร่วมกันทำร้ายร่างกายและลักทรัพย์ผู้อื่นโดยใช้อาวุธมีด/วัตถุระเบิด ในพื้นที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยมีรายละเอียดของคดีดังนี้

- คดีของ สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 03.00 น.ถึงเวลาประมาณ 03.17 น. สถานที่ ถนนสายซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง ตั้งแต่สี่แยกข่วงสิงห์ ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ ต่อเนื่อง ถนนในหมู่บ้านหนองไคร้หลวง (ข้างสถานีวิทยุเสียงสามยอด) ม.8 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จว.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหา 4 ราย ก่อเหตุร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยใช้อาวุธมีดทำร้าย นายเดชา อายุ 19 ปี เสียชีวิต และ นายวิชัย อายุ 18 ปี ได้รับบาดเจ็บ  
1. เยาวชนชาย อายุ 17 ปี ที่อยู่ ม.4 ต.แม่อาย อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ ทะเบียน จฉว 582 เชียงใหม่
2. เยาวชนชาย อายุ 16 ปี ที่อยู่ ม.7 ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จว.เชียงใหม่ ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ ทะเบียน จฉว 582 เชียงใหม่
3. นายแดง อายุ 18 ปีเศษ ที่อยู่ ม.4 ต.ห้วยทราย อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ 
ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซุปเปอร์คัพ  สีแดงขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน
4. นายสมชาย  อายุ 18 ปี ที่อยู่ ม.8 ต.ปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จว.แม่ฮ่องสอน ซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซุปเปอร์คัพ  สีแดงขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

คดี/ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” และ “พาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร”
โดยมีพฤติการณ์  ผู้ต้องหา 4 คน ขี่รถจักรยานยนต์ถืออาวุธมีดขับขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย 2 คน ตั้งแต่ถนนหน้า รพ.ลานนา ไล่มาจนถึงที่ก่อเหตุ ใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ

2. คดีของ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ วันที่ 24 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 04.50 น. ถึงเวลาประมาณ 05.10 น.สถานที่  ข้างร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขา สตาร์เอเวนิว 5 หมู่ที่ 5 ต.สันผักหวาน อ.หางดง จว.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหา 11 ราย
1.นายอนุเดช  อายุ 18 ปี ที่อยู่ ซอย7(ถนนลำพูน) ต.วัดเกต อ.เมืองเชียงใหม่ จว.ชม.
2.เยาวชนชายอายุ 16 ปี ที่อยู่ ม.5 ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่
3.เยาวชนชาย อายุ 16 ปี ที่อยู่ ม.5 ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จว.เชียงใหม่
4.นายพีรย์ดน อายุ 19 ปี ที่อยู่ ม.7 ต.ทรายมูล อ.สันกำแพง จว.เชียงใหม่
5.เยาวชนชาย อายุ 17 ปี ที่อยู่ ม.4 ต.แม่เหี๊ยะ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
6.นายศิลาเสก อายุ 18 ปี ที่อยู่ ม.8 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่
7.เยาวชนชาย อายุ 17 ปี ที่อยู่  ม.5 ต.แม่ลาหลวง อ.แม่ลาน้อย จว.แม่ฮ่องสอน
8.เยาวชนชาย อายุ 17 ปี ที่อยู่ ม.1 ต.ยางเนิ้ง อ.สารภี จว.เชียงใหม่
9.เยาวชนชาย อายุ 16 ปี ที่อยู่  ม.2 ต.สะเมิงเหนือ อ.สะเมิง จว.เชียงใหม่
10. เยาวชนชาย อายุ 14 ปี ที่อยู่ ม.4 ต.ยางเนิ้ง อ.สารภี จว.เชียงใหม่
11.เยาวชนชาย อายุ 17 ปี ที่อยู่ ม.3 ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จว.เชียงใหม่

คดี/ข้อหา  “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน , โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น ปลอมหน้าหรือทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้ , โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม, ร่วมกันทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น , ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ , ร่วมกันมีและใช้ซึ่งวัตถุระเบิด , ร่วมกันพาอาวุธ(มีด,วัตถุระเบิด) ไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือไม่มีเหตุอันสมควร , ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และซ่องโจร”

รายละเอียด พฤติการณ์แห่งคดี
กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หางดง ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายเป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน  แจ้งว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย.67 เวลากลางคืน ผู้เสียหายใช้รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน เดินทางไปเที่ยวในเขตพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่ ต่อมาเวลาประมาณ 04.50 น.ของวันเดียวกัน  ผู้เสียหายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อกลับที่พัก ก่อนถึงที่พัก ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปจอดที่บริเวณที่จอดรถ ข้างร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขา สตาร์เอเวนิว 5 หมู่ที่ 5 ต.สันผักหวาน อ.หางดง จว.เชียงใหม่ เพื่อซื้อของภายในร้าน ต่อมาเวลาประมาณ 05.10 น.ของวันเดียวกัน ขณะที่ผู้เสียหายยืนอยู่บริเวณลานหญ้าหน้าร้านสะดวกซื้อที่เกิดเหตุ มีกลุ่มวัยรุ่น ใช้รถจักรยานยนต์หลายคันเป็นพาหนะ ขับตรงเข้ามาหา กลุ่มผู้เสียหายกลัวจะถูกทำร้ายจึงวิ่งหลบหนี ต่อมากลุ่มวัยรุ่นได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงได้รับบาดเจ็บ  มีวัยรุ่นส่วนหนึ่งลักเอาของภายในรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย  โดยทรัพย์สินที่ถูกลักเอาไป คือ กระเป๋าสตางค์ มีเงินจำนวน 100 บาท , สายชาร์จไอโฟน จำนวน 1 เส้น ราคา 790 บาท , กุญแจรถจักรยานยนต์จำนวน 1 ดอก ราคา 300 บาท  และลำโพง ราคาประมาณ 300 บาท  และวัยรุ่นส่วนหนึ่งก็ได้เข้ามาทุบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น PCX สีเทา ของผู้เสียหายอีกคันหนึ่ง ได้รับความเสียหาย และอีกส่วนหนึ่งได้โยนระเบิดประดิษฐ์ เป็นถุงพลาสติกภายในมีน้ำมันและระเบิดประดิษฐ์เองแบบกระแทก ขึ้นไปยังบริเวณชั้น 2 ของร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้เสียหายได้วิ่งหนีไปหลบซ่อน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จากนั้นกลุ่มวัยรุ่นได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป จากการตรวจสอบต่อมาพบว่า มีระเบิดแบบประดิษฐ์เองจำนวน 1 ลูก พันด้วยเทปสีดำ ตกอยู่บริเวณข้างรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย

การสืบสวน-ติดตามจับกุม
จากการสืบสวนข้อมูลจากภาพกล้องวงจรปิด การข่าวจากกลุ่มแก๊งวัยรุ่นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ข้อมูลจากสื่อออนไลน์ต่างๆ  จนกระทั่งสามารถทราบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุคือกลุ่มผู้ต้องหา จึงได้เชิญตัวมาซักถามปากคำ ที่ สภ.หางดง 
    
ผู้ต้องหารับสารภาพ
ผู้ต้องหาทั้งหมดยืนยันว่าตนคือบุคคลตามภาพถ่ายกล้องวงจรปิดและได้ร่วมไปก่อเหตุตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวจริง สาเหตุทำไปเพราะความคึกคะนอง

ทั้งนี้จากการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดพบว่า ในกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีผู้ต้องหารายหนึ่งมีอาวุธปืนในการก่อเหตุดังกล่าวด้วย โดยได้ยอมรับว่าตนเป็นบุคคลดังกล่าวตามภาพกล้องวงจรปิดจริง 

‘โซลาร์เซลล์’ ทนแดดไม่ไหว ไฟลุกพรึบ กลางหมู่บ้าน ชาวเน็ตวิเคราะห์ ‘ตัวชาร์จแบตเตอรี่ไม่ตัด-ความร้อนเกินมาตรฐาน’

(4 พ.ค.67) โซลาร์เซลล์ ทนแดดไม่ไหว ไฟลุกพรึบกลางหมู่บ้าน ชาวเน็ตหวั่นของไม่ได้มาตรฐาน

ผู้ใช้ TikTok ‘seephumeegarage’ โพสต์คลิปวิดีโอความยาวกว่า 30 วินาที ในคลิป เป็นภาพขณะที่ เสาโซลาร์เซลล์ที่ตั้งอยู่กลางแดด แต่แล้วมีควันลอยขึ้นมาจนเกิดไฟไหม้ และท้ายสุดโซลาร์เซลล์ ก็หักและหล่นลงพื้น

ผู้โพสต์คลิป ระบุข้อความว่า “ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับอากาศร้อนเปล่า อยู่ดี ๆ โซลาร์เซลล์ก็ไฟไหม้เอง”

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น และตั้งคำถามจำนวนมาก ว่า เหตุใดโซลาร์เซลล์ ที่ควรจะต้องทนความร้อน ถึงสามารถไฟลุกได้ 

หรือจะมาจากส่วนอื่นที่ไม่ใช่ 'โซลาร์เซลล์' เช่นแบต หรือตัวเชื่อมแผงวงจรอื่นๆ กันแน่

อย่างไรก็ตาม คนก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เช่น

“แล้วที่ติดตั้งตามหลังคาบ้านล่ะ ไม่อยากจะคิดเลย”

“1 ร้อนเกิน 2 ชาร์จเกิน ไม่แน่ใจว่ามีBMSไหมน่ะครับ”

“ความคิดส่วนตัวผมว่าการรับแสงเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน ยิ่งแดดแรงๆ วัสดุต้องรับความร้อนเป็นอย่างมาก วัสดุจึงทนความร้อนไม่ไหวจึงทำให้ติดไฟ มั่วเอาครับ”

“ไหม้อยู่แล้วเพราะแผงโซลาเซลล์ บนตัวรับแสงมีเนื้อกระจกบางๆ เพราะรับความร้อนเกินมาตรฐานที่กำหนด”

“แบตเตอรี่ไม่ตัดชาร์จตลอดเต็มก็ไม่ตัด”

“แบตลิเธียม ทนความร้อนไม่ไหว”

“แดดดีจัดชาร์ทเต็มอัตราจนแบตบอกไม่ไหวแล้วน้องพลีชีพเลย”

'เชียงราย' ตม.เชียงราย ตรวจเข้มปัองกันกลุ่มจีนเทาแฝงในพื้นที่

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม2567 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย โดยสั่งการของพ.ต.อ.สุรศักดิ์เทียนทองผู้กำกับตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย นำโดย พ.ต.ท. มนตรี อินเปรี้ยว รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย ,พ.ต.ท.กฤษณ์ สมณาศักดิ์ สว.ตม.จังหวัดเชียงรายพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.เชียงราย เข้าตรวจสอบบริเวณที่พักภายในหมู่บ้านเทอดไท ต.แม่สลองใน อ.แม่สลอง จ.เชียงราย  ซึ่งเป็นชุมชนที่มีผู้คนเชื้อชาติจีนพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกลุ่มต่างชาติอาจจะใช้เป็นที่หลบซ่อนตัว หรือเป็นฐานที่มั่นเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางออนไลน์  จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางกลุ่มต่างด้าวดังกล่าวพบเป็นบุคคลสัญชาติจีนจำนวนหนึ่ง เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรถูกต้องสอบถามให้การว่าเข้ามาเพื่อการท่องเที่ยวและมาพบเพื่อนในหมู่บ้านเทอดไท แต่พบว่าบางคนไม่มีการแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าว จึงทำการเปรียบเทียบปรับเจ้าของรีสอร์ทและได้แนะนำดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งที่ผ่านมา ตม.จว.เชียงราย ได้เพิ่มความเข้มงวดในการสืบสวน หาข่าวและลงพื้นที่ตรวจสอบบุคคลต่างด้าวทุกสัญชาติ ไม่ให้มากระทำความผิดกฎหมายในพื้นที่ และจะได้สืบสวน ติดตาม ตรวจสอบพฤติกรรมของชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) แถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงินประจำไตรมาส 1 ปี 2567

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมโคราช 2 โรงแรมเซ็นทารา จังหวัดนครราชสีมา ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) ได้จัดงานแถลงข่าวเศรษฐกิจภาคอีสาน ประจำไตรมาส 1 ปี 2567 หัวข้อ เหลียวหลัง...แลหน้า...เศรษฐกิจการเงินอีสาน โดยเป็นการแถลงข่าวสัญจรครั้งแรก สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ บทบาทหน้าที่ของ ธปท. ภาคอีสาน ได้แก่ 

1) จับชีพจรเศรษฐกิจการเงินในพื้นที่ รับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 
2) สร้างองค์ความรู้วิชาการเพื่อตอบโจทย์ในพื้นที่ 3) ผลักดันนโยบาย ธปท. ให้กับพื้นที่ 4) เป็นตัวกลางความร่วมมือกับทุกภาคส่วน 5) สนับสนุนให้คนอีสานมีความรู้ทางด้านการเงินและเท่าทันภัยการเงิน โครงสร้างเศรษฐกิจภาคอีสาน 1) ภาคเกษตรเป็นเส้นเลือดหลักของคนอีสาน มีแรงงานในภาคนี้ถึงร้อยละ 53 ของผู้มีงานทำในภาคอีสาน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีแรงงานเพียงร้อยละ 7 2) ภาคเกษตรส่วนใหญ่พึ่งฟ้าพึ่งฝน และความสามารถในการทำเกษตรลดลง 3) รายได้ไม่เพียงพอรายจ่ายในภาคครัวเรือน นำไปสู่ปัญหาหนี้ จากโครงสร้างดังกล่าวจึงทำให้เศรษฐกิจภาคอีสานต่างจากประเทศ 

ปี 2566 เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวจากการบริโภคและท่องเที่ยว ขณะที่เศรษฐกิจภาคอีสานหดตัว ตามการบริโภคจากรายได้ที่ลดลงทั้งในและนอกภาคเกษตร หมดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ และค่าครองชีพยังอยู่ในระดับสูง แม้การท่องเที่ยวฟื้นตัวแต่ช่วยสนับสนุนได้น้อยเพราะมีเพียงไม่เกินร้อยละ 3 ของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจภาคอีสาน โดยภาพรวมเศรษฐกิจ ไตรมาส 1 ปี 2567 อ่อนแรงต่อเนื่องจากปี 2566 จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐลดลง ค่าครองชีพในสินค้าหมวดอุปโภคบริโภคยังอยู่ในระดับสูง และตลาดแรงงานอ่อนแอลงจากผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรลดลง นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณเปราะบางต่อเนื่องจากปี 2566 และกำลังซื้อมีความเปราะบางมากขึ้น ในหมวดสินค้าคงทนโดยเฉพาะรถกระบะหดตัวสูง และยอดขายบ้านในระดับกลางและล่างลดลงต่อเนื่อง จากรายได้ที่ลดลง 

รวมทั้งความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี มีปัจจัยช่วยพยุงการบริโภคได้บ้างจากผลของราคาผลผลิตเกษตรที่ดี และการท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2566 ระยะถัดไป เศรษฐกิจภาคอีสานคาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัว จากงบประมาณภาครัฐปี 2567 ที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งคาดว่าจะเริ่มเบิกจ่ายได้หลังไตรมาส 2 ทำให้ภาคการค้า การก่อสร้างตามการลงทุนของรัฐเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 รายได้เกษตรกระจายตัวมากขึ้นจากผลดีของภัยแล้งที่คลี่คลายในช่วงหลังของปี 2567 คาดว่าจะส่งผลดีต่อผลผลิตข้าว การผลิตเพื่อการส่งออกในหมวดอาหารแปรรูปและเครื่องแต่งกายมีแนวโน้มฟื้นตัวดี และการท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามากระจายหลายจังหวัดเพิ่มมากขึ้น 

📊เอกสารประกอบการแถลงข่าวเศรษฐกิจอีสาน ไตรมาส 1 ปี 2567  https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/thai-economy/regional-economy/northeastern/quarterly-press/2567/2567_NE_Q01_Slide.pdf

'รัดเกล้า' เผย!! รัฐบาลมุ่งยกระดับอาชีวไทย-พัฒนาทั้งครูและเด็ก เชื่อ!! เป็นทักษะสำคัญในโลกยุคใหม่ที่ตลาดแรงงานโลกต้องการ

(4 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา เสนอรายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง อาชีวศึกษา: คุณภาพ มาตรฐาน และแรงจูงใจ โดยมีข้อเสนอแนะทั้งในด้านคุณภาพและมาตรฐาน และด้านแรงจูงใจผู้เรียนอาชีวศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพของอาชีวศึกษาให้มีความทันสมัยและทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างแรงจูงใจให้มีผู้สนใจเข้าเรียนสายอาชีวศึกษาเพิ่มมากขึ้น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะให้พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา อาทิ พัฒนาสมรรถนะที่ขาดหายไป ด้วยการ Up-Skill, Re-Skill หรือ New-Skill เพื่อให้ครูมีสมรรถนะในการสอน พัฒนาหลักสูตรให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับกลุ่มอาชีพใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และให้ความสำคัญกับการฝึกปฏิบัติวิชาชีพจริงในสถานประกอบการที่ตรงกับสาขาอาชีพของผู้เรียน

ส่วนข้อเสนอแนะด้านแรงจูงใจผู้เรียนอาชีวศึกษา เช่น การสร้างค่านิยมต่อการเรียนอาชีวศึกษาว่าการเรียนทางด้านอาชีวศึกษาจะทำให้ผู้เรียนมีงานทำทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษาในแต่ละระดับ การพัฒนากระบวนการแนะแนว นำเสนอความสำเร็จของผู้เรียนอาชีวศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพให้แพร่หลายผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ และสร้างระบบการเรียนร่วมกับการทำงานและมีรายได้ระหว่างเรียน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ซึ่งผู้เรียนจะได้มีประสบการณ์จริงและทักษะในการประกอบอาชีพระหว่างที่เรียนด้วย

“การยกระดับระบบอาชีวศึกษาไทย โดยเฉพาะการเสริมทักษะขั้นสูงและเฉพาะทาง ถือเป็นหนึ่งนโยบายที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และสร้างแรงงานทักษะให้ตรงกับความต้องการในตลาดแรงงานโลก ซึ่งหากข้อเสนอแนะดังกล่าวจะเป็นแนวทางให้นักศึกษาและแรงงานอาชีวะไทยได้รับการสนับสนุนเพิ่มทักษะความรู้ ก็จะทำให้กลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอีกทางหนึ่งด้วย” รองโฆษกฯ กล่าว

เชียงใหม่-มหาวิทยาลัยแม่โจ้ MOU กระทรวงเกษตรและปศุสัตว์ ราชอาณาจักรภูฏาน การพัฒนาวิชาชีพด้านการเกษตร

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 มหาวิทยาลัยแม่โจ้  โดยวิทยาลัยนานาชาติ มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ(MOU) ระหว่างมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ กระทรวงเกษตรและปศุสัตว์ ราชอาณาจักรภูฏาน  โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา  รก.อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้  และ นาย Dasho Thinley Namgyel  ปลัดกระทรวงเกษตรและปศุสัตว์ ราชอาณาจักรภูฏาน เป็นผู้แทนลงนาม  ณ  ห้องอินทนิล สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 

การลงนามในครั้งนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือ ในการเพิ่มพูนความรู้ทางด้านการเกษตร สัตวศาสตร์ การประมง รวมถึงพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี  ให้กับ บุคลากร ข้าราชการ กระทรวงเกษตรและปศุสัตว์ ราชอาณาจักรภูฏาน  ผ่านการจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้น ด้วยองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้  ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการทุนการศึกษาด้านการเกษตรและการพัฒนาวิชาชีพ โดยรัฐบาลของราชอาณาจักรภูฏาน  

ERDI-CMU ประสบความสำเร็จระดับโลก เดินหน้าต่อเนื่อง นำเสนอโครงการ 3 Significant Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Demand Response และ Saving Energy 9% ต่อ ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน กระทรวงพลังงาน และหัวหน้ากลุ่มมาตรฐานประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงาน

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและผู้แทนพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มงาน smart energy & innovation และ นักวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำเสนอโครงการ "Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Demand Response และ Saving Energy" ต่อ คุณมัณลิกา สมพรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านพลังงาน และดร. ศุภชัย สำเภา หัวหน้ากลุ่มมาตรฐานประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงาน  ณ กระทรวงพลังงาน ในวันพุธที่ 24 เมษายน 25567

ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย      หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Demand Response และ Saving Energy” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา 2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon เป็นหม้อแปลงบริหารระบบจัดการพลังงานที่บริหารจัดการการสิ้นเปลืองให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเสถียรภาพกับการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงและยั่งยืน ทำให้โรงงานอุตสาหกรรม, อาคาร สถานประกอบการ ลดค่าไฟฟ้า 5-20% (Energy Saving) ลดคาร์บอน 5-20% (Low Carbon) มากกว่า 100 ล้านตัน ลดมลพิษ (Low Emission) ทำให้อุปกรณ์อายุการใช้งานยาวนานขึ้น (Long Life Equipment) เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม สถานประกอบการ เจ้าของอาคาร ตามนโยบายของรัฐบาลในการลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน และลดอุณหภูมิโลก    

‘เพจดัง’ แฉปม ‘ท่อไร้ฝา ที่ลาดพร้าว’ เผย!! ปชช. เคยร้องเรียนแล้ว แต่ ‘กทม.’ แก้ปัญหามักง่าย แค่นำไม้ มาวางพาดปากหลุม

(4 พ.ค.67) จากเหตุการณ์มีผู้พลัดตกบ่อพักท่อร้อยสายไฟฟ้าที่บริเวณเกาะกลางถนนใกล้ตอม่อทางเดินรถไฟฟ้า ซึ่งมีต้นไม้ปลูกเป็นแนวไว้ ปากซอยลาดพร้าว 49 เสียชีวิตนั้น

ทางเพจ Drama-addict ได้ออกมาโพสต์ ภาพจากลูกเพจ หลังเคยร้องเรียนกับ กทม. ผ่านทราฟฟี่ฟองดูว์ ในกรณีหลุมไม่มีฝาท่อย่านลาดพร้าว หวั่นจะเกิดอันตรายกับประชาชนถึงชีวิตได้ ซึ่งทางกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการแก้ปัญหาด้วยการนำไม้มาวางพาดปากหลุม

ทั้งนี้ ทางเพจได้ระบุข้อความว่า

"ลูกเพจฝากมา เขาว่ากรณีหลุมไม่มีฝาท่อแถวนั้น ยังมีอีกเพียบ เรียงเป็นตับเลย และแจ้งไปก่อนหน้านี้แล้ว เขาว่า "แก้ไขเสร็จสิ้น" ตามแบบในภาพ"

อย่างไรก็ตาม โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก และมีผู้เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก เช่น ทำงานได้หัว ค มากครับ, ให้คนทำเดินไป เดินมา สัก 1ชม., ว้าว การแก้ไข แบบนี้ ไม่มีใครคิดได้เลย นอกจาก…, แก้ปัญหาได้ห่วยแตกมาก คุณภาพชีวิตเรียกร้องได้จากไหน, ต้องรอให้ญาติ ๆ ผรม.ตกลงไปในท่อก่อนหรือครับ

เชียงใหม่- ตำรวจภูธรภาค 5 จัดการฝึกอบรมหัวข้อ 'การป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม' ให้กับข้าราชการตำรวจฝ่ายอำนวยการในสังกัด ภ.5 ส่วนกลาง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 เวลา 15.00 -16.30 น. พล.ต.ต.ไพศาล  ลือสมบูรณ์  รอง ผบช.ภ.5 เป็นประธานในการกล่าวให้โอวาทแก่ข้าราชการตำรวจฝ่ายอำนวยการในสังกัดกองบังคับการอำนวยการ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภูธรภาค 5 รวมจำนวน 100 นาย ในการฝึกปฎิบัติและรับฟังการบรรยายในหัวข้อ "การป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม" โดย กภ. ธีรภัทร์ ทัศนศรีวรการ นักกายภาพบำบัด ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากร 

ในการนี้ พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์  รอง ผบช.ภ.5 รอง ผบช.ภ.5 ได้กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร กภ. ธีรภัทร์ ทัศนศรีวรการ นักกายภาพบำบัด ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งการบรรยายในครั้งนี้ได้รับคำชื่นชมจากข้าราชการตำรวจผู้เข้ารับการฝึกอบรมดังกล่าว โดยสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันในการป้องกันและรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมได้จริง ตลอดจนเป็นการเพิ่มพูนความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลรักษาสุขภาพของข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงานฝ่ายอำนวยการ โดยได้มีการฝึกปฏิบัติประกอบการรับฟังบรรยายด้วย ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมีตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top