Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

ครั้งหนึ่งสหรัฐฯ เคยคิดสร้าง 'อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย' หวังโชว์เสรีภาพให้โลกเห็น แต่สุดท้ายได้เพียงภาพร่างและพิมพ์เขียว

รู้ไหมว่า… สหรัฐอเมริกาไม่เคยมี 'อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย'?

ใช่—อเมริกามีเทพีเสรีภาพ มีอนุสรณ์สถานประธานาธิบดี มีอาคารรัฐสภา และเทพีต่าง ๆ ที่ยืนถือคบเพลิงหรือคัมภีร์กฎหมาย แต่... ไม่มีอนุสาวรีย์แห่ง 'ประชาธิปไตย' โดยตรงเลยสักแห่ง

นั่นคือเหตุผลที่ในปี 1954 มีคนกลุ่มหนึ่งฝันจะสร้างมันขึ้นมาที่ซานเปโดร
ฝั่งตะวันตกของประเทศ ที่ซึ่งผืนน้ำแปซิฟิกทอดตัวยาวออกสู่เอเชีย ออสเตรเลีย และทั่วโลก

โครงการนี้มีชื่อว่า Monument to Democracy — อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

มันไม่ได้เป็นแค่โครงสร้างเหล็กและทองสัมฤทธิ์ แต่มันเป็นถ้อยแถลงของอุดมการณ์ เป็นคำตอบที่อเมริกาต้องการจะมอบให้โลก ในยุคที่กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อจิตวิญญาณของมนุษยชาติ

ผู้ผลักดันคือ John Anson Ford สมาชิกสภาเขตลอสแองเจลิส ที่เชื่อมั่นว่า

> “ประชาธิปไตยไม่ควรเป็นสิ่งสงวนของคนผิวขาว... ประชาชนจากทุกเชื้อชาติกำลังจับตามองอเมริกา ว่าจะรักษาคำมั่นแห่งเสรีภาพไว้ได้จริงหรือไม่”

รูปแบบอนุสาวรีย์ถูกออกแบบโดย Millard Sheets และ Albert Stewart อย่างวิจิตรยิ่งใหญ่ รูปปั้นสูงกว่าเทพีเสรีภาพถึงเท่าตัว ตั้งอยู่บนฐานพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์ ที่บอกเล่าเส้นทางของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการไขว่คว้าสู่เสรีภาพ

แต่... ความฝันนี้ถูกพับเก็บ
ถูกกลืนหายไปกับการเมือง งบประมาณ และความเฉยชา
สหรัฐฯ จึงยังคงไม่มี "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" จนถึงทุกวันนี้
ไม่มีสถานที่ที่บอกกับเด็ก ๆ ว่า ประชาธิปไตยคืออะไร และใครเป็นเจ้าของมัน
ไม่มีพื้นที่ที่คนผิวดำ ผิวเหลือง หรือผิวแดงจะรู้สึกว่า “ที่นี่ของฉันด้วย”

สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงภาพร่าง พิมพ์เขียว และความเศร้าลึกในใจของนักประวัติศาสตร์ ว่าอเมริกา... อาจเคยใกล้จะมีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่สุดในโลกแล้ว — แต่กลับปล่อยให้มันสูญหายไปในม่านหมอกของอดีต

🌍💸 ประเทศที่ประชากรรวยที่สุดในโลก ปี 2025

อันดับ 1 คือ ลักเซมเบิร์ก ตามด้วย สวิตเซอร์แลนด์ และ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ ตัวแทนอาเซียน ติดท็อป 5 ด้วย

หลายประเทศในลิสต์นี้อาจตัวเล็ก แต่เศรษฐกิจกลับทรงพลัง เพราะโฟกัสที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ 💼📈

อ่านแล้วอยากให้ไทยโตแบบยั่งยืนบ้างเนอะ 🇹🇭✨

สถาปัตยกรรมแห่งโรงเบียร์ Carlsberg กับคำ “จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” สะท้อนภาพทั้งไทย - เดนมาร์ก ยังต้องการคนทำงานที่รักชาติรักแผ่นดิน

กลางเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่พระราชวังหรือมหาวิทยาลัยเก่าแก่ หากแต่เป็น 'ประตูช้าง' ของโรงเบียร์ Carlsberg ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1901 รูปปั้นช้างหินทั้งสี่ตัวแบกเสาหินขนาดใหญ่ไว้บนหลัง ด้วยสายตาที่สงบนิ่งแต่ทรงพลัง เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์เงียบแห่งอุตสาหกรรมเบียร์ที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในยุโรป

บนซุ้มด้านบนของประตู มีอักษรละตินสลักไว้ว่า “Laboremus pro Patria” แปลว่า
“จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด”

คำเพียงไม่กี่คำนี้ กลายเป็นหัวใจของบทเรียนทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างสยามกับเดนมาร์กได้อย่างแนบแน่น

ย้อนกลับไปในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1934 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้เสด็จเยือน Carlsberg อย่างเป็นทางการ นับเป็นหนึ่งในหมุดหมายของความสัมพันธ์ทางการทูตและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งระหว่างสองราชวงศ์ Carlsberg ถึงกับผลิตเบียร์พิเศษที่มีชื่อว่า Royal Siam Lager พร้อมสัญลักษณ์ตราครุฑ ธงช้างเผือก และธงชาติเดนมาร์ก เพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จครั้งนั้น

สิ่งที่น่าประทับใจคือ การที่สัญลักษณ์ 'ช้าง' ปรากฏทั้งในฝั่งไทยและเดนมาร์กโดยมิได้นัดหมาย ในสยาม ช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และอำนาจอันชอบธรรม ขณะที่ในเดนมาร์ก ช้างทั้งสี่ตัวคือภาพแทนของพลัง ความมั่นคง และความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง

คำว่า “จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” ที่ถูกสลักไว้อย่างมั่นคงบนประตูแห่งนี้ มิใช่เพียงถ้อยคำปลุกใจในยุคอุตสาหกรรม หากยังเป็นหลักคิดอันทรงพลังที่ส่งผ่านมายังผู้คนในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในยุคที่โลกหมุนเร็ว ความรักชาติไม่ควรเป็นแค่คำพูด หรือสัญลักษณ์ แต่ควรเป็นการลงมือทำ—ในสิ่งเล็กที่สุดแต่เต็มไปด้วยความหมาย

ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด ศาสนาใด หรือแผ่นดินใด คำว่า “ทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” ย่อมไม่สิ้นความหมาย หากยังมีผู้ศรัทธาว่าการลงมือทำ ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่น คือการตอบแทนบ้านเกิดด้วยมือของเราเอง

บางที... ช้างหินที่นิ่งเงียบเหล่านั้น อาจไม่ได้เป็นแค่ประติมากรรมเพื่อการเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นคำเตือนใจอันมั่นคง ว่าแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่แผ่นดินยังคงต้องการคนทำงานรักชาติรักแผ่นดิน

ททท. เผย ‘สงกรานต์ 2568’ นักท่องเที่ยวทะลุ 4.8 ล้านคน ปักหมุด ‘กรุงเทพฯ’ ครองใจตลอดกาล เมืองรอง ‘ชุมพร-เลย’ ฮอตไม่แพ้เมืองหลัก

(13 เม.ย. 68) เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและการกลับมารวมตัวของครอบครัวคนไทยทั่วประเทศ โดยถือเป็น 'วันขึ้นปีใหม่ไทย' ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประเพณีหนึ่ง 

โดยข้อมูลล่าสุดจาก ทราเวลโลก้า (Traveloka) เผยให้เห็นว่า กรุงเทพมหานครยังคงครองแชมป์จุดหมายปลายทางยอดนิยมตลอดกาล สำหรับนักเดินทางชาวไทยและต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเมืองหลวงในฐานะ ศูนย์กลางแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์

ขณะเดียวกัน เทรนด์การท่องเที่ยวของชาวไทยเริ่มเปลี่ยนไป โดยเริ่มให้ความสนใจกับจุดหมายปลายทาง 'นอกกระแส' มากขึ้น เช่น ชุมพร นครพนม และเลย ซึ่งกำลังกลายเป็นดาวรุ่งในหมู่นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ท้องถิ่นแท้ ๆ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่า สงกรานต์ปี 2568 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 26,564 ล้านบาท แบ่งเป็น 7,324 ล้านบาทจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 19,240 ล้านบาทจากการท่องเที่ยวในประเทศ โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวรวมกว่า 4.8 ล้านคน

Traveloka เปิดโผจุดหมายสงกรานต์ยอดนิยมในปีนี้ ได้แก่ 

1. กรุงเทพฯ เตรียมจัดงานสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ อาทิ Siam Songkran Music Festival (11-14 เม.ย.) และ Water Festival มหาสงกรานต์ มหาสนุก (12-15 เม.ย.) ใน 12 พื้นที่ทั่วเมือง 
2.เชียงใหม่ ผสานวัฒนธรรมล้านนาเข้ากับกิจกรรมสุดมัน เช่น Water War Chiang Mai (13 เม.ย.) 
3. ชลบุรี งาน 'วันไหล' ระหว่างวันที่ 6–20 เม.ย. มอบประสบการณ์สงกรานต์ยาวนาน 
4. ภูเก็ต ร่วมสาดน้ำริมชายหาด พร้อมปาร์ตี้ค่ำคืนที่บางลา และกิจกรรมทำบุญที่เมืองเก่า 
5. หาดใหญ่ สงกรานต์สุดคึกคักที่เซ็นทรัลเฟสติวัลและลีการ์เด้นส์ พลาซ่า พร้อมคอนเสิร์ต ขบวนแห่ และกิจกรรมชุ่มฉ่ำ

ส่วนจุดหมายดาวรุ่งมาแรง ที่นักเดินทางรุ่นใหม่แห่ค้นหาความสงบและวัฒนธรรม อิงข้อมูลจากทราเวลโลก้าเผยว่า การค้นหาเมืองรองอย่าง ชุมพร เพิ่มขึ้น 95% นครพนม (+68%) สกลนคร (+53%) เลย (+46%) และน่าน (+40%)

นอกจากนี้ ตัวเลือกที่พักในช่วงสงกรานต์ก็หลากหลายมากขึ้น ทั้งโรงแรมระดับพรีเมียม รีสอร์ท โฮสเทล ไปจนถึงอพาร์ตเมนต์เช่าระยะยาว เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม

ซีซาร์ อินทรา ประธานบริษัททราเวลโลก้า กล่าวถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวว่า “นักท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันมองหาประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างประเพณีและการพักผ่อนที่ยืดหยุ่น พร้อมความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

‘ทุงสะเทวี’ นางสงกรานต์ 2568 ผู้เสด็จมาบนหลังครุฑลักษณะไสยาสน์หลับเนตร พร้อมคำทำนายประจำปีนี้ทั้งด้านดีและร้าย

เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของ 'นางสงกรานต์' หรือ 'เทวีสงกรานต์' ซึ่งเป็นหนึ่งในธรรมเนียมสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาช้านาน เป็นการทำนายแนวโน้มของปีนั้น ๆ ทั้งในเรื่องของบ้านเมือง เศรษฐกิจ และสภาพอากาศ โดยอิงจากตำแหน่งของดวงดาวตามโหราศาสตร์ไทย 

ใครคือนางสงกรานต์ประจำปี 2568
นางสงกรานต์ประจำปี 2568 มีนามว่า ทุงสะเทวี (หรือทุงษเทวี) เทวีองค์นี้เป็นหนึ่งในเจ็ดนางที่ผลัดเปลี่ยนกันมาในแต่ละปี โดยตำราโบราณระบุไว้ว่าลักษณะของเทวีจะสะท้อนถึงสถานการณ์ในปีนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ ความเปลี่ยนแปลง หรือภัยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างคติความเชื่อและการดูดวงดาวอย่างลึกซึ้ง เทวีประจำปีจึงเปรียบเสมือน 'โหรหญิง' แห่งจักรวาล ที่มาบอกแนวทางชีวิตของปี 2568 นี้

ในปีนี้ ทุงสะเทวี ทรงพาหนะคือ ครุฑ เสด็จโดยท่านอนหลับเนตร (นอนหลับตา) ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษในปีนี้ โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมคือ ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราค ภักษาหารคือผลมะเดื่อ (อุทุมพร) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ สื่อถึงพลังอำนาจ การปกป้อง และการรู้แจ้งในสรรพสิ่ง เสด็จมาเหนือหลังครุฑซึ่งเป็นพาหนะสำคัญที่สื่อถึงความมั่นคงและความศักดิ์สิทธิ์ในทางโหราศาสตร์

สำหรับคำทำนายนางสงกรานต์ประจำปี 2568 ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งตามตำราโบราณถือว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ที่ไร่นาเรือกสวน เผือกมัน จะไม่แพงนัก แสดงถึงภาคเกษตรกรรมที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ในวันเนา (วันจันทร์) กลับมีคำทำนายว่าเกลือจะแพง นางพระยาจะร้อนใจ และมักจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ดังนั้นภาพรวมของปีนี้อาจมีทั้งด้านที่ดีและด้านที่ต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและอารมณ์ของผู้คน

นอกจากนี้ วันพุธเป็นวันเถลิงศก ซึ่งหมายถึงวันเริ่มต้นปีใหม่ไทยอย่างแท้จริง มีคำพยากรณ์ว่า ราชบัณฑิต ปุโรหิตโหราจารย์จะมีสุขสำราญเป็นอันมาก สื่อถึงการที่ผู้รู้ ผู้มีปัญญา หรือคนในวงวิชาการจะได้รับความเคารพนับถือและมีความเจริญก้าวหน้า

และด้วยนางสงกรานต์ปีนี้ เสด็จมาบนหลังครุฑในลักษณะนอนหลับตา (ไสยาสน์หลับเนตร) ซึ่งมีนัยว่า พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี บ้านเมืองจะมั่นคง แต่อาจมีบางช่วงที่ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในอนาคต ต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือร่วมใจกันมากขึ้น

โดยคำทำนายโดยรวมของปีนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนควรเตรียมตัวรับมือ ด้วยการใช้สติ รอบรู้ และวางแผนอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนทางการเงิน การดูแลครอบครัว หรือการเตรียมสุขภาพกายใจให้พร้อมต่อสถานการณ์ไม่แน่นอน เป็นการเตือนให้เราเดินหน้าอย่างมั่นคง ใช้ความอดทนเป็นหลัก ยึดสติเป็นอาวุธ พร้อมเปิดใจเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 สงครามกลางเมือง กับ ‘ทฤษฎีโดมิโน’

(13 เม.ย. 68) ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 ‘สงคราม (ลับ) ในลาว’

สงครามกลางเมืองลาวเกิดขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ลาวและรัฐบาลลาวหลวงตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 1959 ถึง 2 ธันวาคม 1975 ราชอาณาจักรลาวเป็นพื้นที่ปฏิบัติการลับในช่วงสงครามเวียดนาม โดยทั้งสองฝ่ายได้รับการสนับสนุนจากภายนอกอย่างหนักในสงครามตัวแทนระหว่างมหาอำนาจสงครามเย็นระดับโลก การสู้รบยังเกี่ยวข้องกับกองทัพเวียตนามเหนือ เวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และไทย ทั้งโดยตรงและผ่านตัวแทนที่ไม่เปิดเผย สงครามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “สงครามลับในลาว” ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการโดย CIA

วันที่ 9 สิงหาคม 1960 รอ.กองแล วีระสาน รองผู้บัญชาการกองกำลังพลร่มที่ 2 ได้ทำการรัฐประหารในราชอาณาจักรลาว รอ.กองแล ผู้ซึ่งแทบจะไม่มีใครรู้จักแม้แต่ในลาวเอง และล้มรัฐบาลฝ่ายขวาของเจ้าสมสนิท ทำให้เจ้าสุวันพูมาได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นอกจากนั้น รัฐประหารที่เขาทำให้เกิดการเจรจาที่นำไปสู่ “ข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยลาว” ในเดือนกรกฎาคม 1963 รัฐประหารครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯและชาติอื่น ๆ ต้องประหลาดใจ และนำไปสู่ความขัดแย้งในการแย่งชิงอำนาจในลาว นอกจากนั้นแล้วการรัฐประหารในครั้งนั้นยังทำให้เกิดความกลัวอย่างต่อเนื่องตามแนวคิดทางการเมืองอเมริกันที่ว่า ประเทศใดก็ตามที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วจะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ จนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วยตาม “ทฤษฎีโดมิโน”

ดังนั้นประธานาธิบดี Eisenhower และประธานาธิบดี Kennedy ในเวลาต่อมา จึงได้ตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการลับในลาว เริ่มต้นจากการฝึกอบรมและติดอาวุธสมาชิกกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์จำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง และจากนั้นก็กลายเป็นการปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่สหรัฐฯจะเริ่มทิ้งระเบิด และโจมตีเส้นทางโฮจิมินห์ สงครามในลาวและเวียตนามไม่ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง มีการทับซ้อนกันในบางส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นปฏิบัติการที่แยกออกจากกัน สงครามในลาวทำให้ CIA กลายเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในวอชิงตันและกลายเป็นหน่วยงานปฏิบัติการทางทหาร แม้ว่าลาวจะถือว่ามีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลมาก นักข่าวส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงฐานของกองกำลังลาวม้งและกองกำลังของลาวหน่วยอื่น ๆ ได้ เมื่อไม่ปรากฏเป็นข่าว สภาคองเกรสจึงเต็มใจที่จะดำเนินการตามสงครามไปจนถึงปลายทศวรรษที่ 60 และต้นทศวรรษที่ 70 โดยไม่ตั้งกระทู้ถามจนมากเกินไป และประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับลาวมากนัก และในที่สุดก็มีสถานการณ์ที่ทำให้ CIA กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นและเห็นว่าลาวเป็นตั๋วสำหรับอิทธิพลนี้ในกระบวนการนโยบายต่างประเทศ 

โครงการฝึกอบรมทางทหารขนาดเล็กในลาวได้ถูกพัฒนาจนเป็นโครงการการฝึกอบรมทางทหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และในที่สุดก็เป็นกลายการปฏิบัติการเต็มรูปแบบ โดยในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 1960 เจ้าหน้าที่ CIA ได้สั่งการกองกำลังหรือปฏิบัติการเพื่อสั่งการกองกำลังซึ่งปฏิบัติการในพื้นที่ลาว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การฝึกเท่านั้น CIA และสถานทูตสหรัฐฯได้เพิ่มการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ และในที่สุดโครงการฝึกอบรมก็มีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นกองกำลังที่มีกำลังพลหลายหมื่นนาย และอาจมากกว่า 100,000 นายเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่มีคือ กลายเป็นว่า CIA และสถานทูตสหรัฐฯทำสงครามกันเป็นภารกิจหลัก ภารกิจของพวกเขาเปลี่ยนไปจากไม่เพียงแต่ทำการรวบรวมข่าวกรอง  แต่เป็นการดูแลและจัดการความขัดแย้งขนาดใหญ่ด้วย แม้จะมีการปฏิรูป CIA ในช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เคยหายไป กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มความเด่นชัดมาก

โดยที่ปฏิบัติการทหารในลาวมีความสอดคล้องกับสงครามของสหรัฐฯในเวียดนาม และการทิ้งระเบิดกัมพูชาอย่างลับ ๆ ด้วยสงครามในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์กันและเป้าหมายโดยรวมก็มีการแบ่งปันกันในวงกว้าง แต่ CIA และเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าผู้บัญชาการทหารของสหรัฐฯที่รับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารซึ่งบริหารจัดการสงครามในเวียตนามจะไม่สามารถปฏิบัติการในลาวได้ เพราะตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว Bill Sullivan และ CIA ก้าวไปในเรื่องของสงครามในลาวจนไกลมากแล้ว และที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำการในกรุงเทพฯ ไม่สามารถให้คำแนะนำที่สำคัญได้เลย เพราะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว และ CIA กันกองทัพสหรัฐฯ ออกไปจากสงครามในลาวอย่างสุดกำลัง

เมื่อสงครามเวียตนามในภาพรวมขยายตัวขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในลาวเริ่มที่จะสะท้อนให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายโดยรวมของสหรัฐฯ สิ่งที่เริ่มต้นจากการที่สหรัฐฯช่วยชาวลาวในท้องถิ่นต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในที่สุดก็เปลี่ยนไป และโดยที่ที่สุดแล้วจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯและจุดมุ่งหมายของชาวลาวในท้องถิ่นก็แตกต่างกันอย่างมากมาย และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะชาวอเมริกันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับชาวลาวที่พวกเขาให้ความช่วยเหลือ เดิมทีนักรบต่อต้านคอมมิวนิสต์ชาวลาวต้องการให้ทหารอเมริกันต่อสู้เคียงข้างพวกเขา และช่วยรักษาดินแดนของพวกเขาไว้ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สหรัฐฯ และผู้บัญชาการทหารลาวได้ส่งกองกำลังของลาวเข้าสู่การสู้รบเต็มแบบขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นการรบแบบกองโจร การรบขนาดใหญ่กับกองทัพเวียดนามเหนือซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 20 ทำให้ทหารลาวจึงถูกสังหารมากมาย และเหตุผลที่สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นเพราะเห็นว่าสงครามในลาวเป็นโอกาสที่จะสังหารทหารเวียตนามเหนือได้มากขึ้น และทำให้สถานการณ์สงครามของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ดีขึ้น จึงกลายเป็นเหตุให้ราชอาณาจักรลาวต้องพบจุดจบในที่สุด แม้ว่า สหรัฐฯและลาวซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรน้อยกว่าพลเมืองของนครลอสแองเจลิส และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในแบบที่เรียบง่ายมากในปัจจุบัน แต่ในทศวรรษที่ 1960 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจว่า ประเทศเดียวกันนี้ซึ่งขณะนั้นมีประชากรน้อยกว่าปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ ประมาณกันว่า เมื่อ 5-60 ปีก่อน CIA ใช้งบประมาณกว่าเดือนละยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 400 ล้านบาทในขณะนั้น) ซึ่งคำนวณด้วยราคาทองคำจะอยู่ที่เดือนละกว่าสี่หมื่นล้านบาทในปัจจุบันสำหรับการทำสงครามในลาว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน 2568

ผีร้ายทำลายชาติ
ประเทศใด ชาติใดก็ตาม
ถ้ารัฐส่งเสริมให้มีการพนัน
ไม่ว่าประเภทใด
ก็เรียกว่าเปิดประตู
แห่งความเสื่อมความเสีย
ให้เกิดขึ้นแก่คนในชาตินั้น

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

นักลงทุนผวา!! อนาคตของอเมริกา กับ ‘วิกฤตด้านความเชื่อมั่น’ การย้ายฐานการผลิตทั้งหมดกลับประเทศ ต้องใช้ทั้ง ‘เงิน-เวลา’

(12 เม.ย. 68) Stephanie Ruhle นักวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจของ NBC หนึ่งในสถานีโทรทัศน์หลักของสหรัฐอเมริกา ได้วิเคราะห์ว่า ...  

สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ผ่านไปกว่าสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่เกิดหายนะทางการค้านี้ขึ้น และฉันได้ใช้เวลาทั้งสัปดาห์นั้นในการพูดคุยกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และสิ่งที่ฉันรู้สึกว่ามากที่สุดในคืนนี้คือความกลัว

ความกลัวที่เรากำลังเผชิญอยู่คือวิกฤตด้านความเชื่อมั่น ความเชื่อมั่นในตัวเราเอง ในสหรัฐอเมริกา หรือฉันไม่ได้ยินจากใครเลยในบรรดาคนที่ฉันพูดคุยด้วย คือสิ่งที่อาจฟื้นคืนความเชื่อมั่นนั้นในสหรัฐอเมริกาได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ใช่แล้ว ตลาดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้ แต่เป็นเพราะเราสามารถหลีกเลี่ยงการนำเข้าด้วยภาษีนำเข้ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกได้เท่านั้น

แต่ความจริงได้เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว เพราะเรายังคงมีภาษีนำเข้าที่เหลือ และตลาดก็ยังคงตกต่ำ ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นฐานที่เราใช้เจรจาการค้าไม่ได้หยั่งรากลึกในความจริง และสำหรับผู้ที่เชื่อว่าประเทศต่าง ๆ กำลังดิ้นรนเพื่อทำข้อตกลงเพราะพวกเขาตื่นตระหนกมากเกี่ยวกับภาษีนำเข้าจำนวนมหาศาล และตอนนี้ภาษีนำเข้าก็ลดลงมาก

คำถามของฉันก็คือ ข้อตกลงนั้นคืออะไร คุณคิดว่าประเทศอย่างเวียดนามสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อลบล้างการขาดดุลการค้าของเรา คุณรู้ไหมว่าคำตอบคืออะไร พวกเขาทำไม่ได้ และถ้าคุณต้องการนำการผลิตทั้งหมดของเรากลับประเทศ นั่นก็จะ... หากคุณต้องการทำสิ่งนั้นตามที่ Peter Navarro พูดถึง Howard Lutnick พูดถึง คุณต้องการทำเช่นนั้นไหม? เพราะ จะต้องใช้เงินหลายล้านล้านดอลลาร์และเวลา 20 ปีในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและนำทั้งหมดกลับมาผลิตในอเมริกา

และสำหรับพันธมิตรของเราในตะวันตก ประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะร่วมมือกับเราอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่หัวเราะออกทีวีระดับประเทศ และบอกว่า พวกเขากำลังประจบประแจงฉัน (จูบก้นฉัน) เราสามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าตำแหน่งที่เราและความพิเศษเฉพาะตัวของอเมริกาเคยยึดครองไว้ แม้กระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้ลดลงอย่างแน่นอน

เรามีรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรที่บอกให้เราสร้างเล้าไก่ในสวนหลังบ้านเพราะไข่แพง เรามีรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่เผยแพร่ความลับทางทหารในกลุ่มแชท เราอาจกำลังไล่พนักงานของรัฐบาลออกหลายพันคนอย่างผิดกฎหมาย และตัดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ขณะที่ซื้อสกุลเงินดิจิทัล เราสูญเสียความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจไปเป็นจำนวนมาก

แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกลัวคือนักลงทุนทุกคนที่ฉันพูดคุยด้วย แม้แต่บางคนที่สนับสนุนประธานาธิบดีคนนี้ ต่างก็ส่งข้อความเดียวกันถึงฉันว่า หากตลาดพันธบัตรยังคงร่วงลงเรื่อย ๆ คุณก็รู้ว่ามันจะไปจบลงที่ไหน มันจะทำให้ประเทศนี้ล้มละลาย ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ รู้เรื่องนี้ดีทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top