Tuesday, 14 May 2024
เหตุการณ์แห่งปี

การตายของ ‘แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์’ ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ

เหตุการณ์สุดช็อกในวงการบันเทิงของไทยในปีนี้ คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางดึกของเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 เมื่อนักแสดงสาวชื่อดัง ‘แตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์’ พลัดตกจากเรือสปีดโบ๊ทจมหายกลางแม่น้ำเจ้าพระยา

ย้อนกลับไปเมื่อกลางดึกวันที่ 24 ก.พ. 2565 แตงโมประสบอุบัติเหตุตกเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างล่องเรือถ่ายรูปบริเวณสะพานพระราม 7 หลังจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้ง จึงได้เริ่มปฏิบัติการค้นหาทันที ทั้งที่ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าแตงโมตกเรือจุดใด ท่ามกลางความสับสน เพราะคนบนเรือที่มีอีก 5 คน ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับเจ้าหน้าที่ และไม่ยอมเข้าให้ปากคำกับตำรวจภายหลังเกิดเหตุ

กระทั่งหน่วยกู้ภัยต้องใช้เวลาถึง 38 ชั่วโมงจึงพบร่างของแตงโมในวันที่ 26 ก.พ. 2565 เวลาประมาณ 13.10 น. โดยร่างของแตงโมลอยขึ้นผิวน้ำใกล้ท่าเรือพิบูลสงคราม จ.นนทบุรี จากพฤติการณ์และพฤติกรรมของคนบนเรือที่เหลือทำให้เกิดข้อสงสัยหลายอย่าง หลายคนปักใจเชื่อว่า ไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุทั่วไป ตามคำให้การของคนบนเรือ ที่ระบุว่า แตงโมไปนั่งฉี่ท้ายเรือจนเป็นเหตุให้ตกน้ำเสียชีวิต

‘ความโลภบังตา หายนะบังเกิด’ FOREX 3D สะท้อนแชร์ลูกโซ่ไม่มีวันหมด

การหากินบนความโลภของคน ผ่านรูปแบบที่เรียกว่า ‘แชร์โลกโซ่’ ยังคงเกิดขึ้นมาตลอด แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป คนมีความรู้มากขึ้น แต่ถ้ายังมีความโลภบังตา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะตกเป็นเหยื่อ

เช่นเดียวกับ ข่าวดังในรอบปี กรณีแชร์ลูกโซ่ Forex 3D ที่สร้างความเสียหายมูลค่ากว่าสามหมื่นล้านบาท ผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่าห้าหมื่นราย และมีดาราดัง คนมีชื่อเสียงเข้าไปพัวพันเป็นจำนวนมาก 

คำว่า Forex (ฟอเร็กซ์) ย่อมาจากคำว่า Foreign Exchange Market แปลให้เข้าใจง่ายคือ ‘ตลาดซื้อขายอัตราเงินตราต่างประเทศ’ เป็นการลงทุนประเภทหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอัตราแลกเปลี่ยนมีการขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่จะเล่น Forex ต้องมีความรู้สูงมาก และเข้าใจในภาวะเศรษฐกิจโลก ไม่อย่างนั้นอาจจะเงินหมดบัญชีโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่จุดเริ่มต้นของ Forex 3D เกิดจาก นายอภิรักษ์ โกฎธิ และเพื่อนได้ร่วมกันเปิดบริษัทชื่อ RMS Familia สร้างเว็บไซต์ชื่อ Forex 3D เมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยชักชวนคนที่อยากลงทุนในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือที่เรียกว่าการเทรด Forex แต่ไม่กล้าลงทุนเอง เนื่องจากอาจจะกลัวว่าจะขาดทุน สามารถมาฝากเงินไว้กับ Forex 3D ได้เลย แล้ว ทาง Forex 3D จะนำเงินไปลงทุนให้ ด้วย AI อัจฉริยะ และทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ถึง 10% ต่อเดือน

โดยในช่วงแรกที่จ่ายผลตอบแทนได้จริง (เงินที่จ่ายผลตอบแทนก็คือเงินของนักลงทุนเองที่เอามาลงทุน) บวกกับการทำการตลาดผ่าน ดารา นักแสดง ที่มีชื่อเสียง มีการเปิดตัวโชว์รูมรถหรู ชื่อ RKK Auto Car ขายรถหรูอย่าง ลัมบอร์กินี่, ปอร์เช่, เฟอร์รารี่ การสร้าง profile ของทีมผู้บริหารได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมากทุกคนที่มาลงทุนต่างอยากขับรถสปอร์ต อยากใช้ของแบรนด์เนม ตามภาพที่ได้เห็นจึงตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

ย้อนรอยเหตุการณ์ต้องจำ ปี 2022

ก่อนที่จะไปติดตามเหตุการณ์เด่นอันเป็นกระแสในปี 2023 ... ‘THE STATES TIMES’ ขออนุญาตพาทบทวนอดีต เหตุการณ์เด่น ที่เป็นกระแสในหน้าข่าวของปีที่แล้ว (2022) ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์น่ายินดี ภาคภูมิใจ ไปจนถึงเหตุการณ์โศกเศร้า สุดสะเทือนขวัญ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กันสักเล็กน้อย ตามไปดูกัน…

🟢‘พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.9’ ศูนย์รวมใจแห่งใหม่ที่ในหลวง ร.10 พระราชทานเพื่อปวงชน
https://thestatestimes.com/post/2023010204 

🟢‘หนึ่งคนว่าย หลายคนให้’ ปันน้ำใจ ‘พี่น้องชาวไทย’ สู่ ‘พี่น้องชาวลาว’
https://thestatestimes.com/post/2023010202 

🟢รถไฟฟ้าจีนแรงเกินต้าน สะเทือนบัลลังก์ ‘ญี่ปุ่น-ตะวันตก’
https://thestatestimes.com/post/2023010105 

🟢APEC 2022 งานประชุมระดับโลก ที่คนไทยภาคภูมิใจ
https://thestatestimes.com/post/2022123006 

🟢‘บุพเพสันนิวาส 2’ หนังไทยน้ำดี ที่มัดใจ 'ไทย-เทศ' แบบอยู่หมัด
https://thestatestimes.com/post/2022123107 

🟢คืนสัมพันธ์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ผลงานชิ้นโบแดง ‘รัฐบาลลุงตู่’
https://thestatestimes.com/post/2022123003 

🟢สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเสด็จสวรรคต
https://thestatestimes.com/post/2022123106 

🟢‘ความโลภบังตา หายนะบังเกิด’ FOREX 3D สะท้อนแชร์ลูกโซ่ไม่มีวันหมด
https://thestatestimes.com/post/2022123004

🟢รอดปม 8 ปี ‘ลุงตู่’ ได้ไปต่อ ศาลรธน. ชี้ขาด ‘ประยุทธ์’ นั่งนายกฯ เริ่มนับปี 60
https://thestatestimes.com/post/2023010104 

🟢การตายของ ‘แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์’ ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ
https://thestatestimes.com/post/2022123002 

🟢กราดยิงหนองบัวลำภู โศกนาฏกรรม ทำคนไทยหัวใจสลาย
https://thestatestimes.com/post/2023010203 

🟢ยูเครน VS รัสเซีย สงครามยืดเยื้อ ที่ยังไม่รู้วันจบ
https://thestatestimes.com/post/2022123105 

หวนสู่แผ่นดินเกิด ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับไทยในรอบ 17 ปี

เป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษที่สื่อไทยหลายสำนัก กล่าวขานชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ หรือ ‘โทนี่ วู้ดซัม’ พร้อมด้วยคำขยายว่า ‘ผู้ลี้ภัยทางการเมือง’ และบ่อยครั้งที่มีชื่อนี้ปรากฏในหน้าสื่อ มักจะมาพร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์ถึง ‘พฤติกรรม’ ในอดีต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ส่อไปในทางไม่ดี และเป็นภัยต่อประเทศไทย

เหตุของผลลัพธ์ที่กินเวลากว่า 17 ปีนี้ เกิดจาก ‘พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน’ ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ขณะทำภารกิจให้ประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

สาเหตุของการทำรัฐประหารในครั้งนี้มีหลายประการด้วยกัน ดังนี้

1.ทักษิณ (พรรคไทยรักไทย) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบวาระ 4 ปี (เลือกตั้ง 6 มกราคม พ.ศ. 2544) โดยไม่มีเหตุขัดข้องทางการเมือง (ลาออก ยุบสภา หรือถูกรัฐประหาร) และครบวาระเมื่อ 5 มกราคม 2548

2.ในการเลือกตั้ง 2548 พรรคไทยรักไทย ได้เก้าอี้ สส. รวม 377 ที่นั่ง ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

3.เนื่องจากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว และมีปัญหาในการบริหารประเทศอยู่บ่อยครั้ง แต่ฝ่ายค้านไม่สามารถถอดถอน นายกฯ และ ครม. ชุดนี้ได้ เพราะเสียงโหวตไม่เพียงพอ

4.ด้วยความมั่นอกมั่นใจในฝีมือและฐานเสียงที่หนุนหลัง ทำให้การดำเนินงานหลายอย่างสุ่มเสี่ยง เข้าข่ายผิดกฎหมาย และขัดต่อความรู้สึกของสังคม

5.การขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น 49.595% ให้กับกองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ (ปี 2549) ซึ่งขัดต่อสถานะนายกรัฐมนตรีหลายประการ รวมถึงไม่มีการเสียภาษี จนทำให้คนไทยบางกลุ่มไม่พอใจ

ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ เมื่อผสมรวมกันแล้วก็เกิดเป็นมวลความเกลียดชังขึ้นในสังคม มีการออกมาเรียกร้องให้จ่ายภาษีตามกฎหมาย ลามไปจนถึงการตั้งกลุ่ม ‘พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย’ หรือม็อบเสื้อเหลือง เพื่อออกมาขับไล่ ต่อต้าน ‘ทักษิณ ชินวัตร’

เรื่องราวต่าง ๆ บานปลายจนถึงขั้นมีการทำรัฐประหาร และหลังจากนั้น นายทักษิณก็เดินทางกลับมาประเทศไทย (28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551) และได้สร้างภาพจำจารึกไว้ให้คนไทยด้วยการ ‘ก้มกราบแผ่นดิน’ แต่หลังจากนั้นเพียง 5 เดือนก็ขออนุญาตศาลฯ เดินทางออกนอกประเทศ และไม่กลับมายังประเทศไทยอีกเลย 

นายทักษิณใช้ชีวิตอยู่ในหลายประเทศ และเคยออกมาประกาศว่าจะกลับบ้านกว่า 20 ครั้ง ทว่าก็ไม่เคยมีครั้งไหนเกิดขึ้นจริง 

แต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 นายทักษิณ ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในรอบ 17 ปี ที่สนามบินดอนเมือง และสร้างภาพประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเข้าถวายบังคมที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ก่อนจะออกมาโบกมือทักทายคนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปยังศาลฎีกา และเข้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตามกระบวนการทางกฎหมาย

การกลับมาในครั้งนี้ เหมือนจะมี ‘นัยสำคัญ’ บางอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ นอกเสียจากคนใกล้ชิดเท่านั้น เพราะ ‘บังเอิญ’ ตรงกับวันที่ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของไทยพอดิบพอดี จนหลายคนเชื่อว่ามี ‘ดีลลับ’ เกิดขึ้นแน่นอน

จะอย่างไรก็ตาม จนถึง ณ ตอนนี้ ‘การเมืองไทย’ และ ‘คนไทย’ ก็ยังก้าวไม่พ้นชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อดีตว่าที่นายกฯ สู่ ‘ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต’ จากนิตยสารไทม์

“กาก้าวไกล…ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” วลีเด็ดของ ‘พรรคก้าวไกล’ ที่ใช้หาเสียงในศึกเลือกตั้ง 2566 และมีการเลือกตั้งไปเมื่อ 14 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า พรรคก้าวไกลกวาดเก้าอี้ สส. ทั่วประเทศได้ 151 ที่นั่ง มากเป็นอันดับหนึ่ง 

ส่วนพรรคเก่าแก่อย่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ ครองอันดับ 2 ได้ 141 ที่นั่ง ทำให้กระแสจับมือจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 2 พรรคมาแรง และเหล่าโหวตเตอร์ก็หมายมั่นในใจแล้วว่า กำลังจะได้รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อย่างแน่นอน

แต่การเมืองก็คือการเมือง เหตุการณ์ที่ (ไม่) คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อการโหวตเห็นชอบในครั้งแรก ‘ไม่ผ่านมติสภาฯ’ หรือได้เสียงโหวตไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ โดยขาดเสียงสนับสนุนนายพิธาอีก 64 เสียง ส่งผลให้พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมหวังจะเสนอชื่อครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. 66

แต่ผลปรากฏว่า การเสนอชื่อนายพิธา ชิงตำแหน่งนายกฯ ครั้งที่ 2 ถูกปัดตก ด้วยเหตุผลว่า… “การเสนอชื่อ นายพิธา เป็นการเสนอญัตติซ้ำ ส่งผลให้การเสนอชื่อ นายพิธาซ้ำอีกครั้ง ไม่สามารถทำได้” เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการปิดประตูการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของนายพิธาแล้ว 

แต่เวลาต่อในวันเดียวกันนั้น ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ มีมติเอกฉันท์ รับคำร้อง กกต. ที่ขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีถูกร้องถือหุ้นสื่อ ITV พร้อมมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 คำสั่งให้ นายพิธา ในฐานะผู้ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

กลายเป็นว่า นายพิธาถูกปิดประตูใส่หน้า 2 ครั้งในวันเดียว ชวดเก้าอี้นายกฯ แถมยังไม่ได้ทำหน้าที่ สส.ในสภาฯ อีกด้วย ซึ่งนายพิธาก็ก้มหน้ารับ ยอมเดินออกจากสภาฯ แต่โดยดี

หลังจบเหตุการณ์อลหม่านไปไม่นาน วันที่ 13 ก.ย. 66 นิตยสารไทม์ (Times) เปิดเผยรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต ‘Times 100 Next’ หนึ่งในนั้นมีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในหมวดหมู่ผู้นำ (Leaders) โดยนายพิธาก็ได้แสดงความดีใจ โดยบอกว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกเป็น ‘Times 100 Next’ จากนิตยสารไทม์ ร่วมกับบุคคลระดับโลกอีกหลาย ๆ คน

และอีก 2 วันต่อมา วันที่ 15 ก.ย. 66 นายพิธา ก็ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยให้เหตุผลว่า ‘ก้าวไกล’ จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ดีได้ จำเป็นต้องมี ‘หัวหน้าฝ่ายค้าน’ จึงเปิดทางให้พรรคได้เลือกหัวหน้าคนใหม่ แต่ถึงอย่างไร ตนก็จะทำงานกับพรรคก้าวไกล ไม่ได้หนีหายไปไหน ซึ่งการลาออกในครั้งนี้ก็สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในแวดวงการเมือง

แม้นายพิธาจะชวดเก้าอี้นายกฯ แถมยังไม่ได้ทำหน้าที่ สส. อันทรงเกียรติ แต่กระแสและชื่อเสียงก็ไม่ได้หายไปจากหน้าสื่อเลย ยังคงมีเรื่องราวให้ติดตามและพูดถึงไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปนิวยอร์กโดยมีคนไปต้อนรับมากมาย การร่วมงานจตุรมิตร การไปดูงานที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้อย่าง YG Ent. หรือการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผลงาน 100 วันแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’

ทุกย่างก้าวของนายพิธา ถูกสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจับตามอง และตีแผ่ออกมาเป็นข่าวอยู่เสมอ ๆ

ล่าสุด Google ประเทศไทย ก็ได้เผยคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2566 หรือ ‘Year in Search 2023’ ที่คนไทยให้ความสนใจตลอดทั้งปี 2566 ที่ผ่านมาในหมวดต่าง ๆ ซึ่งในหมวด Trending Person บุคคลที่ถูกค้นหามากที่สุดในปี 2566 ก็คือ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ นั่นเอง

เท่านั้นยังไม่พอ ผลโพลจากสำนักต่าง ๆ ก็ยังมีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ติดอยู่เสมอ และได้ตอกย้ำว่าคนไทยยัง ‘หวัง’ ให้นายพิธานั่งเก้าอี้นายกฯ 

…แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งหากไม่มี ‘ตัวแปร’ ใดเข้ามาทำให้เส้นทางการเมืองของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หยุดลง ก็คงได้เห็นชื่อนายพิธาเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรืออาจเป็นก้าวไปสู่ ‘นายกฯ พิธา’ ก็เป็นได้

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

ดาวเทียมฝีมือคนไทย ‘THEOS-2’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ

นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ และถือเป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์ไทย หลังจากดาวเทียม ‘THEOS-2’ ทะยานขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยขึ้นสู่วงโคจรจากท่าอวกาศยานยุโรปเฟรนช์เกียนา (Guiana Space Center) เมืองกูรู รัฐเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ ท่ามกลางความตื่นเต้นและยินดีของผู้คนที่จับตามองทั่วทั้งโลก 

สำหรับดาวเทียมสำรวจโลก หรือ ดาวเทียม ‘THEOS-2’ (Thailand Earth Observation Satellite 2) เป็นโครงการของหน่วยงาน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และเป็นรุ่นพัฒนาต่อยอดมาจาก ดาวเทียม THEOS-1 หรือ ไทยโชต (Thaichote) ที่ขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การพัฒนาดาวเทียม ‘THEOS-2’ เพื่อใช้เป็นดาวเทียมทรัพยากรดวงใหม่ที่ยกระดับเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอวกาศในทุก ๆ องค์ประกอบ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

นอกจากนี้ ดาวเทียม ‘THEOS-2’ ยังเป็นเทคโนโลยีดาวเทียมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยฝีมือคนไทย และถือเป็นดาวเทียมสำรวจดวงแรกของประเทศไทยในระดับ Industrial Grade ที่วิศวกรดาวเทียมไทยได้มีส่วนสำคัญในการออกแบบและพัฒนาร่วมกับองค์กรต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ และมีชื่อเสียงระดับโลกทางด้านเทคโนโลยีอวกาศอีกด้วย

สำหรับคุณประโยชน์ของดาวเทียมดวงนี้ก็มีอยู่หลายด้านด้วยกัน ได้แก่

1. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปริมาณพื้นที่ป่าที่เคยมีและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าที่เกิดขึ้นว่ามีการลดลงหรือเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ในพื้นที่ไหนบ้าง และประเทศไทยควรมีแนวทางในการบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

2. ด้านการจัดการภัยพิบัติ เพื่อส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ ไฟป่า น้ำท่วม น้ำแล้ง และ PM 2.5 สามารถวางแผนความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้อย่างเท่าทันต่อสถานการณ์และทันท่วงที

3. ด้านการจัดการเกษตร เพื่อติดตามและคาดการณ์การปลูกพืชเศรษฐกิจ เพื่อคาดการณ์ผลผลิตและราคาพืชผล รวมถึงการวิเคราะห์ความสมบูรณ์ของพืช เพื่อการใส่ปุ๋ยที่แม่นยำ หรือการแก้ปัญหาการระบาดของแมลงและโรคพืช เป็นต้น

4. ด้านการแบ่งปันข้อมูล โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าของข้อมูล ที่แบ่งปันกันได้ทั้งในแวดวงวิชาการ แวดวงธุรกิจ และความมั่นคง ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่ภาครัฐเท่านั้นแต่ยังรวมถึงภาคเอกชนและผู้ประกอบการเทคโนโลยีอวกาศทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

5. ด้านการพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยที่สนใจในด้านวิทยาศาสตร์และอยากทำงานสายวิทยาศาสตร์ โดย GISDA ได้วางแผนระยะยาว เรื่องการส่งเสริมบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

กิจกรรม ‘แปรอักษรจตุรมิตร’ ‘ความภูมิใจ’ สู่กระแสเรียกร้องให้ ‘ยกเลิก’

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11-18 พ.ย. 2566 ได้มีการแข่งขันฟุตบอล ‘จตุรมิตรสามัคคี’ ซึ่งเป็นประเพณีการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนชายล้วนเก่าแก่ทั้ง 4 โรงเรียนของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย, โรงเรียนเทพศิรินทร์, โรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยจะจัดขึ้นประทุก 2 ปี ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ 

นอกจากการแข่งขันฟุตบอลแล้ว ยังมีกิจกรรมร้องเพลงเชียร์ที่ถือเป็นการเพิ่มสีสันและบรรยากาศสนุกสนานให้กับงานแข่งขันด้วย และอีกไฮไลต์สำคัญที่พลาดไม่ได้ก็คือ ‘การแปรอักษร’ ของทั้ง 4 สถาบัน ที่ถูกวางแผนและตั้งใจฝึกซ้อมกันมาอย่างดี จนออกมาเป็นภาพที่ประทับใจ 

สำหรับจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 30 ปี 2566 ก็จะมีหลากหลายภาพที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นภาพสรรเสริญในหลวงกับพระราชินี ให้กำลังใจหมอกฤตไท หรือเป็นศิลปินท่านอื่น ๆ ให้ได้ชมและยิ้มตามกัน

แต่ทว่า งานจตุรมิตรสามัคคีปี 2566 กลับกลายเป็นประเด็นดรามาร้อน หลังมีศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ เดินแปะข้อความ “เลิกบังคับแปรอักษร” ตั้งแต่หน้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ ไปจนถึงบริเวณโดยรอบสนามศุภชลาศัย ก่อนจะลุกลามเข้าไปในโลกโซเชียลและกลายเป็นดรามาเดือดถึงขั้นติดแฮชแท็ก #เลิกบังคับแปรอักษร บนโลกทวิตเตอร์ (X) ซึ่งมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก และเสียงก็แตกออกเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่านักเรียนที่ร่วมงานจตุรมิตรถูกลิดรอนสิทธิมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการห้ามไปเข้าห้องน้ำ ต้องปลดทุกข์ใส่ขวดแทน รวมถึงการแปรอักษรที่จะมีคะแนนจิตพิสัยให้อีกต่างหาก

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงมีข้อเรียกร้องต่อผู้อำนวยการโรงเรียนในเครือจตุรมิตรในฐานะผู้จัดงานเกิดขึ้นว่าควร ‘ปรับปรุง’ การจัดงาน เช่น เพิ่มเวลาพักให้ชัดเจน เพื่อให้มีเวลากินข้าว พักเข้าห้องน้ำหรือหลบแดด และการขึ้นเชียร์หรือแปรอักษรควรเป็นไปตามความสมัครใจมากกว่าการบังคับกัน

ขณะเดียวกันอีกฝ่ายที่เป็นศิษย์เก่า หรือบุคคลอื่น ๆ ที่เห็นต่าง ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นโต้แย้งไปยังกลุ่มที่ต้องการให้เลิกบังคับแปรอักษร โดยชี้ว่างาน ‘จตุรมิตร’ มาพร้อมกับกิจกรรมแปรอักษร ซึ่งถ้าไม่มีกิจกรรมดังกล่าวก็คงไม่มีงานจตุรมิตร อีกทั้ง เป็นเรื่องที่ทำกันมาจนเป็นประเพณี ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันมีความภูมิใจอย่างยิ่ง 

ทางด้าน ‘วัน อยู่บำรุง’ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย และศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ว่า..“การแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตร ‘การแปรอักษร’ คือความภาคภูมิใจของนักเรียน อาจารย์ ศิษย์เก่า และผู้ปกครอง ทั้ง 4 โรงเรียน” 

เช่นเดียวกัน ‘ดู๋ สัญญา คุณากร’ พิธีกรชื่อดัง และเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบ ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนต่อเรื่องนี้ ระบุว่า…“คุณไม่เคยรับรู้ถึงเกียรติภูมิของโรงเรียน ความอดทน ความเสียสละ การภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน ที่จะสร้างเยาวชนที่มีเกียรติ มีรากเหง้า มีกำลังสติปัญญา และมีความเป็นมนุษย์ …ทั้งหมดต้องถูกหล่อหลอมโดยหลายช่องทาง หลายกิจกรรม มีทั้งยากและง่าย เหน็ดเหนื่อยและลำบาก” กล่าว

แต่ดูเหมือนว่า กระแสเรียกร้อง ‘ยกเลิกแปรอักษร’ จะเป็นเพียงอีเวนต์เล็ก ๆ ชั่วคราวของคนเพียงแค่ไม่กี่คน เพราะเมื่อการแข่งขันฟุตบอล ‘จตุรมิตรสามัคคี’ ครั้งที่ 30 จบลง เสียงเรียกร้องก็เงียบหายไป ตรงข้ามกับความภาคภูมิใจของ ‘ชาวจตุรมิตร’ ที่ยังคงอยู่ และจะอยู่ตลอดไปตลอดกาล

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘สงกรานต์’ เทศกาลระดับโลก มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

ย้อนกลับไปวันที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นข่าวดีส่งท้ายปีสำหรับคนไทย เมื่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก พิจารณาประกาศขึ้นทะเบียน ‘สงกรานต์ในประเทศไทย’ (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival) ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ที่เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา

สำหรับคำว่า ‘สงกรานต์’ มาจากภาษาสันสกฤต ที่มีความหมายว่า ‘การเปลี่ยนผ่านของดวงดาว’ หรือ ‘การเปลี่ยนแปลง’ โดยเชื่อว่าในวันสงกรานต์ เป็นช่วงเวลาการเคลื่อนย้ายของจักรราศี อีกนัยหนึ่งก็คือการเคลื่อนสู่ปีใหม่ ทำให้คนไทยยึดถือวันสงกรานต์เป็น ‘วันขึ้นปีใหม่ไทย’ มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะในอดีตประเทศสยามใช้วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ทางการจนกระทั่ง พ.ศ. 2431 ประกาศให้วันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายน จากนั้นใน พ.ศ. 2484 จึงเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคมมาจนถึงทุกวันนี้

เทศกาลสงกรานต์เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่มีความสวยงามและเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความสนุกสนาน และความอบอุ่น จากกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การเล่นน้ำ ประแป้ง รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ ยิ่งใครที่อยู่ห่างไกลครอบครัว ก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเฉลิมฉลองและกล่าวคำอวยพรให้แก่กัน ดังนั้น ปัจจุบันปฏิทินไทยจะกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ

สำหรับคนที่เกิดและเติบโตในไทย ก็คงคุ้นเคยกับเทศกาลนี้เป็นอย่างดี โดยแต่ละวันก็มีความหมายแตกต่างกันดังนี้

วันที่ 13 เรียกว่า ‘วันมหาสงกรานต์’ หมายถึง วันที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอีกครั้ง หลังจากผ่านเข้าสู่ราศีอื่น ๆ จนครบ 12 เดือน อีกทั้ง รัฐบาลได้กำหนดให้เป็น ‘วันผู้สูงอายุแห่งชาติ’

วันที่ 14 เรียกว่า ‘วันเนา’ แปลว่า วันอยู่ หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอันเป็นราศีตั้งต้นปีเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว และรัฐบาลได้กำหนดให้เป็น ‘วันครอบครัว’

วันที่ 15 เรียกว่า ‘วันเถลิงศก’ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ถือเป็นวันเริ่มศกใหม่ การกำหนดให้อยู่วันนี้ ก็เพื่อให้แน่ใจว่าดวงอาทิตย์โคจรขาดจากราศีมีนมาสู่ราศีเมษแล้วอย่างน้อย 1 องศา

นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ นับเป็นเทศกาลที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดย ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ได้กำหนดแผนงานซอฟต์พาวเวอร์ ปี 2567 เล็งผลักดันการเล่นน้ำสงกรานต์ตลอดทั้งเดือนเมษายน หวังทำให้ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศสุดยอดเฟสติวัลโลก

นอกจากเล่นน้ำในวันสงกรานต์ 13-15 เมษายนแล้ว ยังมี ‘วันไหล’ ที่มักจะจัดหลังวันสงกรานต์ประมาณ 5-6 วัน โดยสถานที่เด่น ๆ ที่เรามักจะเห็นกันก็คือ วันไหลบางแสน, วันไหลพัทยา, วันไหลพระประแดง, วันไหลระยอง และวันไหลชลบุรี

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top