Sunday, 18 May 2025
World

‘ต้าเหลียน’ เปิดเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าสู่ ‘ยุโรป’ สายใหม่ เชื่อมโยงการค้าตามแนวเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21

(9 พ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ต้าเหลียน รายงานว่า การเดินเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์สินค้าเส้นทางตรง ซึ่งเชื่อมเมืองท่าต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เข้ากับพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เริ่มต้นการดำเนินงานครั้งแรก หลังจากเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เอ็มเอสซี เคธี (MSC Katie) แล่นออกจากสถานีตู้คอนเทนเนอร์ต้าเหลียน เมื่อวันจันทร์ (8 พ.ค.) ที่ผ่านมา

เส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าเปิดใหม่นี้ ใช้เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ 11 ลำ แต่ละลำสามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน 14,000 ตู้ ซึ่งเชื่อมโยงต้าเหลียนกับท่าเรือสำคัญหลายแห่งในกลุ่มประเทศยุโรป อย่างประเทศอิตาลีและสเปน ตามแนวเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 รวมถึงแล่นผ่านกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เช่น ประเทศอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย

‘หลีเสี่ยวกวง’ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท ต้าเหลียน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล จำกัด ในเครือบริษัท เหลียวหนิง พอร์ต กรุ๊ป จำกัด เผยว่าการเปิดเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้านี้ เป็นประโยชน์ต่อการค้าระหว่างต้าเหลียนกับกลุ่มประเทศยุโรปอย่างมาก และจะส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขัน เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า, ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์, เคมีภัณฑ์, แร่ธาตุ, เครื่องมือ รวมถึงธัญพืชและอาหารแช่แข็ง

ทั้งนี้ หลีเสริมว่า ปัจจุบันท่าเรือต้าเหลียนดำเนินงานขนส่งตู้คอนเทนเนอร์สินค้า 105 เส้นทาง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเส้นทางการค้าระหว่างประเทศ 92 เส้นทาง ครอบคลุมท่าเรือมากกว่า 300 แห่งในกว่า 160 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/356664_20230509

‘ลูกขุนสหรัฐฯ’ ตัดสิน ‘ทรัมป์’ โดนอีกคดีก่อนเลือกตั้ง ปมล่วงละเมิดอดีตคอลัมนิสต์หญิง สั่งชดใช้ 5 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถูกคณะลูกขุนของศาลรัฐบาลกลางแมนฮัตตัน ตัดสินว่าต้องรับผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศ ‘อี จีน แคโรล’ อดีตคอลัมนิสต์ของนิตยสารแอลในปี 1995 หรือ 1996 และหมิ่นประมาทเธอ โดยตราหน้าว่าเธอเป็นคนโกหก โดยทรัมป์ต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้แก่แคโรลรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 168 ล้านบาท

เมื่อปีที่แล้ว แคโรล วัย 79 ปี ได้ยื่นฟ้องทรัมป์โดยอ้างว่า ทรัมป์ข่มขืนเธอในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของห้าง Bergdorf Goodman ในย่านแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก เมื่อราวปี 1995 หรือ 1996 จากนั้นก็ทำลายชื่อเสียงของเธอโดยการโพสต์ลงบน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของทรัมป์ เมื่อเดือนตุลาคม 2022 โดยบอกว่า ข้อกล่าวหาของเธอเป็นเรื่องหลอกลวงและโกหก หลังแคโรลออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชนในปี 2019

อย่างไรก็ดี คณะลูกขุนทั้ง 9 คน ปฏิเสธข้อกล่าวหาของแคโรลเรื่องเธอถูกทรัมป์ข่มขืน แต่คณะลูกขุนได้ตัดสินว่า แคโรลมีหลักฐานที่มากกว่าฝั่งของทรัมป์ ในข้อหากล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ จึงตัดสินให้ทรัมป์จ่ายเงินชดเชยแก่แคโรลเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์ ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ และจ่ายเงินเกือบ 3 ล้านดอลลาร์ในข้อหาหมิ่นประมาท

นางโรเบอร์ต้า แคปแลน ทนายความของแคโรล นำพยานเป็นผู้หญิง 2 ราย มาให้การเป็นพยานว่า ทรัมป์เคยล่วงละเมิดทางเพศเธอเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ขณะที่ทรัมป์ไม่เคยปรากฏตัวในการพิจารณาคดีที่กินเวลานาน 2 สัปดาห์เลย และทีมกฎหมายของทรัมป์ไม่ได้เรียกพยานใดๆ

การตัดสินของคณะลูกขุนในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกตัดสินว่า มีความผิดในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ด้านทรัมป์เอง ได้ออกมาวิจารณ์คำตัดสินของคณะลูกขุนผ่านทาง Truth Social ว่า “น่าอัปยศ” พร้อมกับกล่าวอีกว่า เขาไม่รู้จักแคโรลมาก่อน ขณะที่นายโจเซฟ ทาโคปินา ทนายความของทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์

ทั้งนี้ คดีความดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง ทำให้ทรัมป์รอดจากความผิดทางอาญา และจะไม่ถูกตัดสินโทษจำคุกแต่อย่างใด

แคโรลกล่าวในการพิจารณาคดีว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกอับอาย และไม่สามารถมีความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักกับใคร เพื่อนของแคโรล 2 คน ระบุว่า แคโรลเล่าถึงเรื่องการถูกทรัมป์ข่มขืนแต่ขอให้เพื่อนทั้ง 2 คนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะแคโรลกลัวว่าทรัมป์จะใช้ชื่อเสียง และเงินโจมตีเธอหากออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว

‘เชจู’ นำร่อง!! คลอด กม.ยกเลิกพื้นที่ปลอดเด็ก จูงน้องๆ กลับสู่ส่วนหนึ่งของสังคมเกาหลีใต้

รัฐบาลเกาะเชจู (Jeju Island) ซึ่งถือเป็นจังหวัดปกครองตนเองพิเศษ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศชื่อดังของเกาหลีใต้ เตรียมออกกฎหมายห้ามผู้ประกอบการ ที่ส่วนมากเป็นร้านอาหาร และ ร้านกาแฟ กีดกันพื้นที่ให้บริการเป็น ‘เขตปลอดเด็ก’ (No-Kids Zone) เพื่อหวังให้อิสระแก่น้อง ๆ หนู ๆ เข้ามาในพื้นที่หรือโซนต่าง ๆ ได้มากขึ้น 

โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ หากผ่านการพิจารณาในวันที่ 19 พฤษภาคม 66 ที่จะถึงนี้ ก็จะทำให้เกาะเชจูกลายเป็นจังหวัดแรกของเกาหลีใต้ที่จะยกเลิกเขตปลอดเด็กทั้งเกาะ ซึ่งจะช่วยเสริมภาพลักษณ์การเป็นเมืองท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวได้อย่างแท้จริง

แม้ว่ากฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้เฉพาะเกาะเชจูเท่านั้น แต่กระแสยกเลิกพื้นที่ปลอดเด็กก็เริ่มได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวเกาหลีใต้ทั้งประเทศ และเริ่มมีการถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า ควรยกเลิกพื้นที่ปลอดเด็กในจังหวัดอื่น ๆ ด้วยหรือไม่?

ทั้งนี้หากพูดถึงบริบทของการกั้นโซนเป็นพื้นที่ปลอดเด็กแล้ว ในหมู่คนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไรนัก แต่ที่เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีหลักการเคารพสิทธิส่วนบุคคลสูง โดยเฉพาะการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก

นั่นก็เพราะชาวเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อย จะรู้สึกไม่พอใจที่มีเด็กเล็ก ๆ ส่งเสียงดังรบกวนใน ห้องสมุด, หอศิลป์, ร้านอาหาร, คาเฟ่ หรือสถานที่ที่ขายบรรยากาศความเป็นส่วนตัว โดยให้เหตุผลว่า “เพราะลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน”

จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใหญ่จำนวน 1,000 คน โดยสถาบัน Hankook Research ในเดือนพฤศจิกายนปี 2564 พบว่า 71.1% ของกลุ่มตัวอย่างเห็นว่า การกำหนดพื้นที่ให้บริการเป็นเขตปลอดเด็ก เป็นสิทธิ์ของผู้ประกอบการโดยคำนึงถึงกลุ่มลูกค้าของตนเป็นสำคัญ

ดังนั้นจึงมีสถานประกอบการมากกว่า 540 แห่งทั่วประเทศ ที่ระบุว่าเป็นเขตปลอดเด็ก ซึ่งในเกาะเชจูมีมากถึง 78 แห่ง หรือคิดเป็น 14.4% ของพื้นที่ปลอดเด็กทั้งหมด และเมื่อเทียบขนาดพื้นที่ และ ประชากรบนเกาะเชจู ก็พบว่าเกาะเชจูมีพื้นที่ซึ่งเป็นเขตปลอดเด็กสูงมาก

อย่างไรซะ ทางการท้องถิ่นของเกาะเจจู ก็มักได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางพร้อมเด็กเล็กอยู่เสมอว่าถูกปฏิเสธการให้บริการ หรือไม่ให้เข้าสถานที่หากพาเด็กเล็กมาด้วย จึงเกิดคำถามขึ้นว่า นี่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อเด็กด้วยหรือไม่ และยังเป็นการกีดกันทางสังคมต่อเด็กเล็ก

นี่จึงเป็นที่มาในการพิจารณากฎหมายใหม่ฉบับนี้ เพื่อปกป้องสิทธิเด็กในการถูกเลือกปฏิบัติ และการละเมิดสิทธิเด็ก โดยเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดี ให้เด็กรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีการยอมรับ และเอื้ออาทรต่อกัน

รัฐบาลของเกาะเชจูยังมองว่า นี่เป็นการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวแบบครอบครัว ที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่อย่างไม่ถูกกีดกั้น และแทนที่จะกีดกันเด็กออกจากพื้นที่บริการ ควรส่งเสริมให้ความรู้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ในการอบรมบุตรหลานให้สามารถใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมจะดีกว่า

ดังนั้น เชจู จึงกลายเป็นจังหวัดนำร่องในการใช้กฎหมายยกเลิกเขตปลอดเด็ก ที่กำลังเป็นประเด็นในสังคมของเกาหลีใต้ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ส.ส. หญิงอย่าง ‘ยอง ฮเย-อิน’ จากพรรค Basic Income Party ก็ได้อุ้มลูกชายวัย 2 ขวบขึ้นเวทีแถลงข่าวในวันเด็กของเกาหลีใต้ เพื่อประกาศจุดยืนต่อต้านการสงวนพื้นที่ปลอดเด็กในเกาหลีใต้ทั่วประเทศ เพื่อไม่ให้เด็กเล็ก หรือผู้ปกครองที่ต้องมีภาระเลี้ยงลูกเล็กรู้สึกเป็นส่วนเกินในพื้นที่สาธารณะในเกาหลี

ยอง ฮเย-อิน ชี้ว่า ปัจจุบันเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีมีอัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำที่สุดในโลก ในขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังรณรงค์ให้ครอบครัวชาวเกาหลีมีลูกมากขึ้น แต่กลับมีเขตปลอดเด็กอยู่หลายร้อยแห่งทั่วประเทศ หรือแม้แต่หอสมุดแห่งชาติ ยังห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าใช้บริการ ซึ่งเป็นการสร้างสังคมที่มีทัศนคติเชิงลบต่อเด็กเล็ก

ส.ส. หญิงแม่ลูกอ่อน จึงเสนอให้ยกเลิกเขตปลอดเด็ก และเปลี่ยนเกาหลีให้เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอันดับแรก หรือ 'First Kids Korea' นั่นเอง  

ก็เรียกว่าเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจที่คงต้องตามดูกันต่อไปว่า สังคมที่เคารพสิทธิส่วนบุคคลอย่างเข้มข้นอย่างเกาหลีใต้ จะเปิดพื้นที่ให้แก่เด็กเล็กที่จะเติบโตเป็นคนรุ่นใหม่ของชาติกว้างขึ้นแค่ไหน? อย่างไร? ต่อไป... 

‘จีน’ คุมเข้ม ‘มลพิษ’ จากยานยนต์ ดีเดย์ 1 ก.ค.นี้ เตือน!! ผู้ผลิต-ผู้นำเข้ารถยนต์ ไม่ผ่านเกณฑ์ เจอดี!!

(10 พ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน รายงานว่าจีนจะบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษของยานยนต์ทั่วประเทศที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป

รายงานระบุว่าจีนจะห้ามการผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายยานยนต์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานฉบับปรับปรุงข้างต้น ซึ่งมีการบังคับใช้ครอบคลุมยานยนต์บรรทุกเบาและยานยนต์ดีเซลบรรทุกหนักด้วย

ด้านผู้ผลิตและผู้นำเข้ายานยนต์จะต้องเปิดเผยผลทดสอบการปล่อยมลพิษและข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีควบคุมมลพิษเพื่อรับรองการปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่

อนึ่ง มาตรฐานฉบับปรับปรุงใหม่นี้ประกาศโดยกระทรวงฯ และหน่วยงานทางการอีก 4 แห่ง

วิกฤตใหญ่รอบนี้อาจไม่ใช่สหรัฐฯ  แต่อาจเป็นประเทศตลาดเกิดใหม่

(11 พ.ค. 66) แน่นอนว่าหากใครติดตามข่าวสารการเงินโลกอยู่ตอนนี้ ก็คงเห็นข่าวถล่มสหรัฐฯ กันทุกวี่ทุกวันจากฝั่งคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะข่าวที่ว่าดอลลาร์จะเสื่อมค่าหนักกลายเป็นแบงก์กงเต็กที่ไม่มีใครเอา ไม่มีใครต้องการ แต่ในความเป็นจริงแล้วระเบิดลูกใหญ่อาจซ่อนอยู่ในประเทศที่ดูดีเวอร์ ๆ และดูไม่มีความเสี่ยง มากกว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เสียอีก !

World Maker ย้ำมาตลอดหลายบทความแล้วว่าท่านควรจะระวังอะไรบ้าง ซึ่งเราไม่ได้การันตีว่าจะเกิดขึ้นแบบ 100% เนื่องจากผู้เขียนเองก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะถ้าเกิดแล้วจะสร้างความเสียหายแก่คนจำนวนมากที่กำลังประมาท “สู้ให้ผู้เขียนเป็นผู้ผิดเสียเองจะดีกว่า” แต่ถึงกระนั้นก็อยากบรรยายถึงความเสี่ยงเอาไว้ให้ท่านไม่ประมาทเกินไป โดยจะสรุปให้เป็นข้อ ๆ อีกครั้งเพื่อความชัดเจนดังนี้ (ถ้าผมผิดและมันไม่เกิดขึ้นจริงตามนี้ก็ดีแล้ว ให้ผมผิดไปเลย ผมไม่กลัวความผิด แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงคนที่เดือดร้อนไม่ใช่ผมแต่จะเป็นคนส่วนใหญ่)

1. ตลาดทองคำและ Crypto ตอนนี้กำลังมีข่าวจากผู้ที่ยกตนเป็นกูรูการเงินโลก ออกมาเชียร์ให้คนซื้อทองคำและทิ้งเงินดอลลาร์-พันธบัตรอเมริกา ขณะที่หลายปีมานี้ทองคำถูกดันราคาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันเทรดอยู่ที่ระดับสูงกว่า 2,030 $/Oz และมีแรงเชียร์ซื้อมากมายจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่พยายามล้มดอลลาร์ ซึ่งแม้ว่าตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมาทองคำจะมีประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างดูดีและสามารถรักษามูลค่ามาได้ตลอด แต่การจะบอกว่ามันคือสินทรัพย์อมตะที่จะล้มเงินดอลลาร์และราคาพุ่งทะลุเพดานนั้น ไม่แน่ด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ? โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ทองคำแทบไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อะไรในทางเศรษฐกิจจริง นอกจากการเก็งกำไร และการซื้อเพราะหวังว่าจะสามารถขายต่อได้ที่ในราคาแพงกว่าเดิม

ส่วน Crypto นั้นก่อนหน้านี้เป็นกระแสข่าวหนักว่าจะล้มดอลลาร์และทองคำ แต่สุดท้ายก็พังไปก่อนเพื่อน และตอนนี้กำลังถูกหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ-ตะวันตกตรวจสอบอย่างหนัก สวนทางกับที่จีน-รัสเซียกลับลำเปิดหน้าหันมาดันอย่างชัดเจน โดยฮ่องกงตั้งเป้าตัวเองเป็นศูนย์กลางคริปโตโลก ขณะที่รัสเซียเริ่มเชื่อม Ethereum และ Metamask เข้ากับ Sberbank ที่เป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศ แต่ Crypto เป็น 1 สินทรัพย์ที่ปู่ Warren Buffett ออกมาประจานชัดเจนว่าเป็นเหรียญเก็งกำไรไม่มีมูลค่าแท้จริงและจะพบจุดจบไม่สวยงาม (ปู่เคยกล่าวอีกว่าทองคำก็เอามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้นอกจากเก็งกำไรเป็นหลัก)

2. อสังหาฯ-ที่ดินใน Emerging Market และอีกหลายประเทศ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมามีกลุ่มที่กว้านซื้อหวังเก็งกำไรจนดันให้ราคาสูงเกินมูลค่าที่ควรจะเป็นไปอย่างมาก และคนทั่วไปส่วนใหญ่แทบจะเอื้อมกันไม่ถึงแล้ว ซึ่งพอมาถึงสภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้กลุ่มที่ดันราคามาตลอดหาผู้ซื้อใหม่แทบจะไม่ได้ สุดท้ายหากขาดแคลนสภาพคล่องขึ้นมา จะต้องนำอสังหาฯ-ที่ดินเหล่านี้มาขายทอดตลาดในราคา Discount อย่างมาก

3. พันธบัตร-ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ ต้องระวังเอาไว้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของสภาพคล่อง เพราะพันธบัตรเหล่านี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีการออกกู้กันเยอะมากโดยพวกที่โลภและคิดจะหาเงินแบบ Easy Money แต่กลับไม่มีความสามารถในการทำกำไรมาจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ ดังนั้นหากโดนกดดันจากสภาพแวดล้อมในตอนนี้ต่อไปอีกจนถึงทางตันขึ้นมา เราอาจได้เห็นการ Default เกิดขึ้นหนักกว่าในสหรัฐฯ หลายเท่า

4. ธนาคารในหลายประเทศ จะต้องจับตามองเอาไว้ โดยเฉพาะธนาคารที่มีผู้บริหารไม่ได้เรื่อง โลภมาก ใช้จ่ายเงินอย่างประมาท อย่างที่ปู่ Warren Buffett ออกมากล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่ากลุ่มธนาคารนั้นมีความล่อใจอย่างมากให้คนทำชั่วและตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง แม้แต่สหรัฐฯ ที่มีการตรวจสอบโดยรวมเข้มงวดก็ยังเกิดวิกฤตเช่นนี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นในหลายประเทศที่ไม่มีการตรวจสอบเหมือนสหรัฐฯ อาจมีวิกฤตใหญ่กว่าที่ซ่อนอยู่

5. ค่าเงินของประเทศที่พยายามทำให้ดูดี เพราะแม้ว่าปัจจุบันจะมีข่าวกระหน่ำโจมตีค่าเงินดอลลาร์อย่างหนัก ทำให้ดูเหมือนดอลลาร์จะมีความเสี่ยงมากที่สุด แต่จริง ๆ แล้วประเทศที่มีปัญหาใหญ่เรื่องเศรษฐกิจ-ค่าเงินอาจกำลังปิดข่าวเงียบ ซึ่งหากใครตามข่าวสารดูดี ๆ จะเห็นว่าค่าเงินหลายประเทศกำลังเปราะบางอย่างมาก บางประเทศคิดอะไรไม่ออกก็ต้องหันไปหาทองคำเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงการเสื่อมค่าของสกุลเงินเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอจริง ๆ คือระบบบริหารและระบบสืบทอดอำนาจจากผู้ที่ไม่มีความรู้อย่างถ่องแท้ในการดำเนินเศรษฐศาสตร์-การเงินของประเทศ (และถ้าทองคำไม่ใช่คำตอบอีกก็จะยิ่งเสียหายหนัก)

📌 ตอนนี้สหรัฐฯ กำลังหารือเกี่ยวกับเพดานหนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด Joe Biden ระบุว่ามีความคืบหน้าเล็กน้อยในการเจรจาเมื่อวันอังคาร ซึ่งเรื่องของเพดานหนี้สหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างมาก เพราะแม้แต่ขุนคลัง Janet Yellen ก็ออกมากล่าวชัดเจนว่าหากสหรัฐฯ ผิดชำระหนี้ขึ้นมา มันจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ-การเงินโลกเป็นอย่างมาก รวมถึงทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ อย่างสาหัส

และขณะเดียวกันก็จะทำให้กลุ่มคอมมิวนิสต์โหมกระหน่ำถล่มสหรัฐฯ หนักขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในแง่ของข้อมูลข่าวสาร นั่นหมายถึงการสั่นคลอนเงินดอลลาร์มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าสหรัฐฯ จะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่ ?

แต่ในทางกลับกัน วันนี้ตัวเลข CPI เทียบรายปีของสหรัฐฯ ประจำเดือนเมษายนประกาศออกมาที่ 4.9% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 5% แม้ว่า Core CPI ที่ไม่นับรวมอาหารและพลังงานจะอยู่ที่ 5.5% นั่นทำให้ FED อาจมีช่องว่างมากขึ้นในการดำเนินนโยบายทางการเงิน และบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นหายนะเกินควบคุมเหมือนที่สื่อฝั่งคอมมิวนิสต์กำลังโจมตี

นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารในสหรัฐฯ ทำกำไรได้มากถึง 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 (เพิ่มขึ้น +33% จากไตรมาส 1 ปี 2022) สวนทางอย่างสิ้นเชิงจากการกระหน่ำข่าวที่ว่าสหรัฐฯ กำลังจะเกิดวิกฤตเหมือนในปี 2008 จนพังทลายลงไป

จากธนาคารเกือบ 4,400 แห่งของสหรัฐฯ พบว่ามีเพียง 197 แห่งหรือน้อยกว่า 5% ที่ขาดทุนในไตรมาสแรก ตามข้อมูลของ BankRegData ซึ่งทำให้น่าจับตามองว่าที่กูรูฝั่งคอมมิวนิสต์กำลังพยายามโจมตีว่าสหรัฐฯ จะล่มสลายนี้ เป็นเรื่องจริงหรือแค่เรื่องแต่งขึ้นมาหวังทุบดอลลาร์แล้วครองโลกเอง ?

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐฯ อาจไม่ได้น่าเป็นห่วงเหมือนระเบิดที่ซ่อนอยู่ในประเทศอื่น ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะประมาทได้ เพราะปู่ Warren Buffett และคู่หูอย่างปู่ Charlie Munger ก็กล่าวเองชัดเจนว่ายังมีธนาคารอีกหลายแห่งที่ต้องได้รับบทเรียนจากการบริหารเงินอย่างไม่ได้เรื่อง ในขณะที่สหรัฐฯ จะยกเลิกการผ่อนคลายกฎหมายที่เกิดขึ้นในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ (ซึ่งเป็นรัฐบาลที่สัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย) ที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็ก-กลางไม่ต้องโดนตรวจสอบความปลอดภัยด้านการเงินโดยการเข้ารับ Stress Test เหมือนบริษัทใหญ่ ๆ

นั่นหมายความว่านับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ผลประกอบการของธุรกิจหลายแห่งในสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลง หรือในบางแห่งที่มีปัญหาก็อาจจะเริ่มทรุดตัวอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นแม้ว่าโดยภาพรวมจะไม่ใช่จุดที่เป็นความเสียหายครั้งใหญ่เหมือนในปี 2008 แต่ผู้ที่ลงทุนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับภาคการเงินของสหรัฐฯ ก็จะต้องรัดเข็มขัดเอาไว้อย่างไม่ประมาท

ทั้งนี้ อย่างที่บอกว่าเราที่ควรกังวลจริง ๆ อาจยังไม่เป็นข่าวในตอนนี้และไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ แต่เป็นกลุ่มประเทศที่คนปลอยปะละเลยไม่สนใจ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจระดับมหภาคจะมีความตึงเครียดสูงขึ้นอย่างเงียบ ๆ แต่เป็นแบบทวีคูณ โดยเฉพาะเรื่องของฟองสบู่สินทรัพย์ที่ถูกเก็งกำไรดันราคาโดยกลุ่มคนโลภในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้

ตลาดอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ถือว่าน่าจับตามองในช่วงต่อจากนี้ โดยเริ่มจากในสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ราคาบ้านในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ ได้ลดลงแล้ว -14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมกับยอดขายที่ลดลง แม้ว่าในหลายพื้นที่ราคาจะยังเพิ่มขึ้นสวนทางปัจจัยพื้นฐาน แต่ที่สำคัญคือภาพที่อาจตามมาในประเทศอื่น ๆ หลังจากนี้ ซึ่งภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะเป็นแรงกดดันต่ออสังหาฯ มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกเก็งกำไรดันราคาขึ้นไปจนเวอร์สูงลิ่วในหลาย 10 ปีที่ผ่านมา หากไปจนถึงจุดที่สูงเกินไป สุดท้ายจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกและต้องปรับฐานลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยสรุปก็คือ สิ่งที่ World Maker สรุปมา 5 ข้อรวมถึงเรื่องเพดานหนี้และอสังหาฯ นี้ อยากให้จับตามองเอาไว้ให้ดีและระมัดระวังเอาไว้อย่างไม่ประมาท ใครจะทุ่มเงินซื้อบ้าน ซื้อทอง ซื้อรถ ก็อย่าพึ่งมั่นใจนัก อย่าพึ่งรีบร้อนเกินไปกับราคาในปัจจุบัน อย่ามั่นใจ 100% ว่าราคาจะพุ่งทะลุเพดานไปอีกหลาย % ในเร็ว ๆ นี้

ซึ่งแม้ว่าผู้เขียนจะไม่สามารถการันตีได้ 100% ว่าจะเกิดขึ้นจริง และจะอยากให้ตัวเองผิดเสียด้วยซ้ำไป แต่ถ้าผู้เขียนเกิดถูกขึ้นมา คนเสียหายก็คือคนที่โลภมากในก่อนหน้านี้ (ซึ่งกลุ่มนี้ควรได้รับบทเรียนอยู่แล้ว) แต่คนที่ไม่ได้มีเป้าประสงค์ไม่ดี เพียงแต่ว่าขาดความรู้ทางการเงินในการบริหารความเสี่ยง อาจตัดสินใจผิดได้และเสียหายหนักไม่ต่างกัน หากไม่ได้รับรู้ข้อมูลตรงนี้


เรื่อง: World Maker

‘ธนาคารกลางทั่วโลก’ ตุนทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 176% เครื่องชี้วัดความกลัวเศรษฐกิจถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

‘สภาทองคำโลก’ ระบุไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มปริมาณทองคำสำรองขึ้น 176% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วน ‘จีน’ เพิ่มทองคำสำรองติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ด้านกูรู ชี้ทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ปั่นป่วน

หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ‘ราคาทองคำ’ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,082.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลงมาเล็กน้อย โดยเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่ตอบสนองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อีก 0.25% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ส่งผลให้ ‘ดอกเบี้ยนโยบายของเฟด’ ขยับขึ้นแตะ 5-5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ก่อนวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ 

ทั้งนี้เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเสื่อมมูลค่าของเงินดอลลาร์ อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศที่ยังอยู่ในขาขึ้น ความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งวิกฤติในภาคธนาคารของสหรัฐฯ ทั้งหมดจึงส่งผลให้รัฐบาลกลางของหลายประเทศ เดินหน้าสะสมสินทรัพย์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น

ด้านสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า จีน, สิงคโปร์ และตุรกี เป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก โดยสภาทองคำโลก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 228.4 ตัน หรือประมาณ 176% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ส่วนสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ก็ได้รายงานเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 66 ว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBOC) เพิ่มปริมาณทองคำสำรองในประเทศเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนพ.ย. ปีที่แล้ว โดยล่าสุดในเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้น 8.09 ตัน ส่งผลให้ปริมาณทองคำสำรองในคลังทั้งหมดของจีนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,076 ตัน

สอดคล้องกับข้อมูลซึ่งรวบรวมโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนในเดือนเม.ย. เพิ่มจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 2.09 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 6.897 แสนล้านบาท) มาอยู่ที่ประมาณ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 105.6 ล้านล้านบาท) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่เสื่อมลง สวนทางกลับราคาสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลกที่ปรับตัวสดใสมากขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อยู่ในเกณฑ์ดีหลังจากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid)

ขณะที่บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวโกลบอล ไทม์ส (Global Times) ของทางการจีน กล่าวว่า “ทองคำยังคงเป็นเหมือนหลุมหลบภัยที่มีประสิทธิภาพ สำหรับเงินทุนระหว่างประเทศโดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก อัตราเงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงอื่น ๆ มากมาย”

ฟาก ตง เติ้งซิน (Dong Dengxin) ผู้อํานวยการสถาบันการเงิน และหลักทรัพย์ของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อู่ฮั่น ประเทศจีน กล่าวว่า ท่าทีของบรรดาธนาคารกลางของหลายประเทศครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนทั่วโลกสูญเสียความไว้วางใจในการถือครองสินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เหล่านี้ และเข้าซื้อทองคำอย่างร้อนแรง

“ที่สำคัญ ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการส่งออกที่เฟื่องฟู และการไหลเข้าของการลงทุนจากต่างประเทศ” ตง ระบุ

ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ประเทศไทย กล่าวว่า ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตอบรับข่าวการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งยังสะท้อนว่านักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับภาคการเงินของสหรัฐฯ และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยหากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐยังไม่คลี่คลาย และมีข่าวร้ายเพิ่มเติมอีก ราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ จากความต้องการที่สูงขึ้น ดันราคาทองไปยืนใกล้ระดับ 2,000 ต่อออนซ์อีกครั้ง และเพิ่มสูงขึ้นราว 11% นับจากต้นปี และเพิ่มขึ้น 24% จากระดับต่ำสุดในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์ทองคำมองว่า ราคาทองจะยังอยู่ระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ส่วนการคงอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐฯ จะมีส่วนกดดันให้ภาคธนาคารยังอ่อนแอต่อไป

ที่มา: บลูมเบิร์ก / กองทุนบัวหลวง

‘YG’ คอนเฟิร์ม!! ‘Baby Monster’ เตรียมเดบิวต์ 7 คน แถมสมาชิกในวงยังมี ‘ภริตา-แคนนี่’ ที่เป็นเด็กไทยทั้งคู่

(12 พ.ค. 66) ทำเอาใจตุ้มๆต่อมๆกันเป็นแถวพร้อมกับลุ้นว่าเด็ก 2 คนทั้ง ‘ชิกิต้า’ หรือ ‘แคนนี่ ริรชา พรเดชาพิพัฒ’ และ ‘แพร ภริตา ชายคง’ จะได้เป็นหนึ่งในสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปน้องใหม่ ‘Baby Monster’ หรือไม่ หลังต้องฝาฟันทำภารกิจมายาวนาน ล่าสุด (11 พ.ค. 66) ได้มีการประกาศรายชื่อคนที่จะได้เดบิวต์ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ยางฮยอนซอก จากค่าย YG Entertainment ได้เปิดเผยรายชื่อสมาชิกวง Baby Monster ที่เขาเลือกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย พร้อมทำการอัปโหลดวิดีโอที่ชื่อว่า ‘Debut Member Announcement’ ลงใน YouTube ที่แฟนๆตั้งตารอคอยประกาศมายาวนานหลายสัปดาห์

โดย ยางฮยอนซอก ได้เปิดเผย 5 รายชื่อจาก 7 รายชื่อที่เขาและทีมโปรดิวเซอร์ของค่าย YG Ent. ได้คัดเลือกเอาไว้ซึ่งมีทั้ง อายอน, รุกะ, ชิกิต้า, ฮารัม และ ภริตา ซึ่งสมาชิกชาวไทยได้เดบิวต์ทั้งคู่

แต่เนื่องจากแฟนๆที่เรียกร้องเข้ามาอย่างแรงกล้าว่า Baby Monster ควรจะได้เดบิวต์ครบทั้ง 7 คนถึงจะดีที่สุด โดยทั้ง โรร่า และ อาสะ ต้องอยู่ในวงด้วย

ยางฮยอนซอก จึงประกาศปิดท้ายว่า โรร่า และ อาสะ คือบุคคลที่แฟนๆเลือก ซึ่งถือเป็นสมาชิกของ YG Family ด้วย

จึงสรุปได้ว่า Baby Monster จะเดบิวต์ครบทั้ง 7 คน โดยสาวๆจะได้เดบิวต์ในช่วง ฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 นี้

ไขข้อสงสัย ทำไมหลายประเทศถึงหันมาใช้ ‘เงินหยวน’ ของ ‘จีน’ ในวันที่ ‘เงินดอลลาร์’ ของสหรัฐฯ กำลังเริ่มเสื่อมความนิยม

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 ได้มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘thailaotogether’ ได้ออกมาอธิบาย กรณีที่ สปป.ลาว ได้มีการอนุมัติใช้เงินหยวนของประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้จ่ายทางการค้าระหว่างประเทศ โดยได้ระบุว่า…

เงินหยวน จะมาแทนที่เงินกีบ? จีนจะมากลืนลาว ลาวจะกลายเป็นมณฑลส่วนหนึ่งของจีน? ทำไมประเด็นต่างๆ เหล่านี้ถึงได้กำลังกลายเป็นกระแสดรามาที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในโลกโซเชียล ชุดความคิดนี้มีที่มาอย่างไร? และทำไมประเทศในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ‘อาเซียน’ ถึงเปลี่ยนมาใช้สกุลเงินหยวนกัน

โดยประเด็นนี้เริ่มจากการที่ ผู้ว่าการแบงค์ชาติ นายบุนเหลือ สินไซวอละวง ผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว และ นายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน ได้ลงนามแต่งตั้งสกุลเงินหยวน เพื่อการชำระบัญชีเงินระหว่างกันของทั้ง 2 ประเทศ มีการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างกัน โดยไม่ต้องอ้างอิงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

การอ้างอิงหมายความว่าอย่างไร? ตรงนี้สืบเนื่องจากการที่ สปป.ลาว ใช้สกุลเงินกีบในการค้าขายภายในประเทศ แต่ในบางพื้นที่ที่อยู่ใกล้ชิดติดกับประเทศไทย ในบางครั้งก็อาจจะมีการใช้สกุลเงินบาทกันได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น สินค้าทั่วไปใน สปป.ลาว มีการซื้อขายกันโดยใช้สกุลเงินกีบ แต่ถ้าหากเป็นรถยนต์ หรือบ้าน จะใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตัวอ้างอิง เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสากล

การอ้างอิงของเงินตราระหว่างประเทศที่เป็นสากล คือ ‘เงินดอลลาร์สหรัฐฯ’ ที่มีความครอบคลุมเกือบทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วย

แต่ในขณะเดียวกัน ในตอนนี้ ประเทศจีนมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ต่างชาติมีการชำระเงิน และเกิดการค้าขายกันโดยใช้สกุลเงินหยวนมากขึ้น จนสามารถแซงหน้าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยสัดส่วนที่สูงถึง 48% จนทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 2 ด้วยสัดส่วนที่เหลือเพียง 46%

ซึ่งสิ่งนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกิดการตั้งข้อสังเกตในโซเชียลกันว่า ประเทศจีนจะมากลืนกิน สปป.ลาว แต่อย่างใด และในขณะเดียวกัน ประเทศจีนเองก็สนับสนุนให้นานาประเทศใช้สกุลเงินท้องถิ่นเป็นหลัก แต่ให้ใช้เงินหยวนในลักษณะของการอ้างอิงและชำระเงินในการค้าขายระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่มากขึ้น และทำให้ภูมิภาคอาเซียนมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่ได้มีการหันมาใช้สกุลเงินหยวนนั้น เริ่มมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่น ประเทศบราซิล ได้มีการทำข้อตกลงการค้าขายระหว่างกันกับประเทศจีน และได้มีการชำระเงินระหว่างกันโดยใช้สกุลเงินหยวนแทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ประเทศต่อมาคือ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่กำลังมีการพิจารณาการซื้อขายน้ำมันกันอยู่ โดยก่อนหน้านี้ ทั้ง 2 ประเทศนี้ จะใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินกลางในการค้าขายระหว่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศกำลังพิจารณาอนุมัติการใช้สกุลเงินหยวน เพื่อใช้ในการค้าขายระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากประเทศซาอุดีอาระเบีย ไปทำการค้าขายน้ำมันกับอีกทางภูมิภาคหนึ่ง หรือประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะมีการทำข้อตกลงในการใช้สกุลเงินอื่นระหว่างกัน หรืออาจใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะมีความเป็นสากลมากที่สุด และขณะเดียวกัน หากประเทศซาอุดีอาระเบีย มาทำการค้าขายกับประเทศไทย ก็คงมีการทำข้อตกลงร่วมกันในการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรืออาจะเป็นสกุลเงินอื่นๆ ก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าสกุลเงินใดให้ประโยชน์สูงสุดกับทั้ง 2 ประเทศ

ล่าสุด ประเทศอาร์เจนตินา เพิ่งได้มีการทำข้อตกลงกับประเทศจีนในการใช้สกุลเงินหยวนในการค้าขายระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศจีนได้มีการทำสัญญากับประเทศอาร์เจนตินา ว่าหากประเทศอาร์เจนตินาใช้สกุลเงินหยวน และได้ทำการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีน ประเทศจีนจะอนุมัติการขนส่งสินค้าภายใน 90 วัน ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาในการอนุมัตินานถึง 180 วัน ทำให้สิ่งนี้จึงกลายเป็นผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีประเทศฝรั่งเศสที่ได้ทำข้อตกลงร่วมกันกับประเทศจีน ในการซื้อขายน้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ โดยใช้สกุลเงินหยวนในการชำระทางการค้า

นี่คือสิ่งที่ประเทศจีนพยายามจะทำให้ต่างประเทศหันมาใช้สกุลเงินหยวน ซึ่งการทำข้อตกลงในการใช้เงินหยวนเพื่อการค้าขายนี้ ทำให้ประเทศจีนประสบผลสำเร็จ จนสามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในการทำการค้าขายกับต่างประเทศในที่สุด

และหากลองมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย จะเห็นว่าประเทศไทยเองก็ได้มีการทำสัญญาหรือข้อตกลงร่วมกันกับประเทศจีน ในการใช้สกุลเงินหยวน ซึ่ง ณ ขณะนั้น มี 3 ประเทศที่มีการทำข้อตกลงร่วมกัน คือ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย อีกทั้งประเทศจีนเองก็มีความต้องการให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนหันมาใช้สกุลเงินหยวน ทำให้ในตอนนี้ ประเทศในแถบเอเชีย และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งประกอบไปด้วย ประเทศไทย ลาว เมียนมา และกัมพูชา มีการทำข้อตกลงที่จะใช้เงินหยวนในการค้าขายระหว่างกัน

นอกจากนี้ ประเทศจีนยังได้สร้างระบบในการชำระ เรียกว่า ‘ระบบให้บริการชำระเงินและเคลียริ่งข้ามพรมแดน สำหรับสถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ’ หรือที่เรียกว่า ‘CIPT’ ขึ้นมา เป็นระบบกลางที่ช่วยให้สามารถชำระเงินระหว่างประเทศกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ซึ่งก่อนหน้านี้ ทั่วโลกชำระเงินในการค้าขายระหว่างกันด้วยระบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งขึ้นตรงกับมหานครนครนิวยอร์ก ในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มีการหักค่าธรรมเนียมในการให้บริการสูงมาก เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้ประเทศจีนมีความต้องการที่จะทำให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการซื้อขายภายในประเทศเป็นหลัก และใช้สกุลเงินหยวนในการอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ในการค้าขายระหว่างประเทศ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่า การที่ สปป.ลาวใช้สกุลเงินหยวน จะทำให้สกุลเงินกีบนั้นหายไป และ สปป.ลาวจะถูกกลืนกินชาติ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนแต่อย่างใด หากมองให้ลึกลงไป ในบางประเทศที่มีการอนุมัติใช้สกุลเงินหยวนในการอ้างอิงการซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนกันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับแต่ละประเทศ ส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยกันทั้งสิ้น

นอกจากนี้ สาเหตุที่ทำให้สกุลเงินกีบของ สปป.ลาว อ่อนค่าลงนั้น สืบเนื่องมาจากหลายๆ ประเทศได้หันมาใช้สกุลเงินหยวนกัน เนื่อกจากมีความกลัวว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะไม่มีเสถียรภาพ เพราะการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลออกนอกประเทศ อาจส่งผลให้สกุลเงินต่างๆ ที่มีการทำการค้าขายกันนั้นอ่อนค่าลงนั้นเอง

อีกทั้งขณะเดียวกัน ประเทศสหรัฐฯ ยังได้มีการคว่ำบาตรประเทศรัสเซีย รวมถึงประเทศคู่ค้าที่เป็นพันธมิตรกับประเทศรัสเซีย นั่นคือ ประเทศจีน และ สปป.ลาว นอกจากนี้ ประเทศไทยเองก็ยังได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เพราะทุกวันนี้ ค่าเงินบาทของไทยนั้นอ่อนค่าลงเล็กน้อย ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่าเมื่อเทียบ สปป.ลาว ที่สกุลเงินกีบนั้นอ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัด

เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งในมาตรการของ สปป.ลาว ที่คิดจะใช้สกุลเงินหยวนเข้ามาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่มากขึ้น เกิดเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการทำให้มีเงินหลั่งไหลเข้าไปในประเทศมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เรื่องนี้นับได้ว่า เป็นทั้งเรื่องที่ไกลตัว และใกล้ตัว เพราะเมื่อใดก็ตามที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรามีความแข็งแรง ประเทศของเราก็มีความแข็งแรงมากขึ้นเช่นกัน จึงสามารถมองได้ว่า วิธีการนี้คือ หลักการคิดของประเทศจีน ที่ต้องการให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียน สามารถพึ่งพาตัวเองและพึ่งพากันเองได้ ก่อนที่จะไปพึ่งพาประเทศในภูมิภาคอื่นๆ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศจีนถึงอยากให้แต่ละประเทศในอาเซียนนั้นหันมาใช้เงินหยวน

เขตการศึกษาในสหรัฐฯ สั่งแบน ‘กระเป๋าเป๋’ หลังเจอเด็กพกปืน ชี้!! เพื่อป้องกันความรุนแรง-โศกนาฏกรรมในอนาคต

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักข่าวเอพีรายงานเขตพื้นที่การศึกษาโรงเรียนรัฐบาลแกรนด์ ราปิดส์ ในรัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ออกคำสั่งห้ามใช้กระเป๋าเป้ในบริเวณโรงเรียน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเหตุความรุนแรงจากปืน ซึ่งนับเป็นเขตพื้นที่การศึกษาแห่งที่สองที่ออกคำสั่งดังกล่าว หลังจากมีรายงานพบนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พกปืนบรรจุกระสุน

แถลงการณ์จากเขตฯ ระบุว่าอาวุธปืนถูกพบที่โรงเรียนประถมศึกษาสต็อกกิง ซึ่งเป็นครั้งที่สี่ในปีนี้ที่พบนักเรียนพร้อมปืนพก โดยปืนในจำนวนนี้ 3 กระบอกถูกพบในกระเป๋าเป้

เมื่อวันพุธที่ 10 พ.ค. 2566 ลีเดรียน โรบี ผู้กำกับการเขตฯ แถลงข่าวว่าคำสั่งห้ามใช้กระเป๋าเป้นั้นเป็น “มาตรการรุนแรง” ที่จำเป็น ขณะ แลร์รี จอห์นสัน ผู้อำนวยการบริหารด้านความปลอดภัยสาธารณะและความปลอดภัยในโรงเรียน กล่าวว่าเขตฯ สามารถป้องกันโศกนาฏกรรมอย่างน้อย 2 ครั้ง ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และไม่ต้องการเผชิญเหตุเช่นนี้อีกครั้ง

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เขตพื้นที่การศึกษาโรงเรียนฟลินต์ คอมมูนิตี ออกคำสั่งห้ามใช้กระเป๋าเป้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. สืบเนื่องจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐฯ กรณีพฤติกรรมคุกคามและการนำสิ่งของต้องห้ามซึ่งรวมถึงอาวุธต่างๆ เข้ามาในโรงเรียนทุกระดับชั้น

‘ยูทูบเบอร์ดัง’ ทำคลิป ‘เครื่องบินตก’ หวังเรียกยอดวิว ล่าสุดยอมรับสารภาพ เสี่ยงติดคุก 20 ปี!!

เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 66 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เผยว่า ยูทูบเบอร์ที่กระโดดร่มชูชีพออกจากเครื่องบินกลางอากาศ แล้วจงใจปล่อยให้เครื่องบินตกเพื่อเรียกยอดวิวในช่องยูทูบของเขา อาจถูกจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นว่า นายเทรเวอร์ เจคอบ วัย 29 ปี รับสารภาพว่า จงใจขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง จากการทำลายซากเครื่องบินแล้วนำไปทิ้งตามถังขยะทั้งในและรอบท่าอากาศลอมพอกซิตี้ ทั้งที่ทางการสั่งให้เก็บซากเอาไว้ แต่เขาให้การก่อนหน้านี้ว่า ไม่ทราบจุดที่เครื่องบินตก เขารับสารภาพว่า ทำคลิปเพื่อหวังหารายได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง และรับสารภาพว่า โกหกเจ้าหน้าที่สอบสวนของรัฐบาลกลาง จากการยื่นรายงานเท็จว่า เครื่องยนต์ดับหลังจากเครื่องบินทะยานขึ้นไปแล้วประมาณ 35 นาที เขาไม่รู้วิธีที่จะลงจอดอย่างปลอดภัย จึงตัดสินใจกระโดดร่มชูชีพออกมาจากเครื่องบิน

แถลงการณ์ของกระทรวงยุติธรรมระบุว่า นายเจคอบตกลงที่จะรับสารภาพว่า มีความผิดในข้อหาทำลายและปกปิด โดยมีเจตนาขัดขวางการสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เป็นความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกสูงสุดตามกฎหมาย 20 ปี ในเรือนจำของรัฐบาลกลาง คาดว่าเขาจะยื่นคำรับสารภาพอย่างเป็นทางการที่นครลอสแอนเจลิสในอีกไม่กี่สัปดาห์ และจะมีการตัดสินโทษหลังจากนั้น

นายเจคอบอัดคลิปชื่อ ‘ผมทำเครื่องบินตก’ (I crashed my airplane) เป็นเหตุการณ์ที่ดูเหมือนว่า เครื่องบินของเขาที่มีเครื่องยนต์เดียว มีปัญหาขณะบินอยู่เหนือทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 เขาจึงดีดตัวออกจากบินและกระโดดร่มชูชีพลงไปยังป่าสงวนแห่งชาติลอส พาเดรส โดยถือไม้เซลฟีบันทึกภาพตัวเองไว้ตลอดเวลา ส่วนกล้องที่ติดไว้ทั่วเครื่องบินเห็นภาพเครื่องบินร่วงลงอย่างไร้การควบคุม และตกกระแทกพื้นในที่สุด คลิปนี้มีคนดูร่วม 3 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินจำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่า เขาไม่สตาร์ทเครื่องใหม่ในช่วงที่เครื่องยนต์ดูเหมือนมีปัญหา และสวมร่มชูชีพในการบินเครื่องบินเล็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top