
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำนวน 46 คน จนถึงประธานาธิบดี “Joe Biden” ผ่านการเป็นทหารถึง 33 คน เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 12 คน และ 8 คนร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 สังกัดกองทัพเรือ 6 นาย (John F. Kennedy, Lyndon B. Johnson, Richard Nixon, Gerald Ford, Jimmy Carter และ George H. W. Bush) และกองทัพบก 2 นาย (Dwight D. Eisenhower และ Ronald Reagan)

เรือโท “Kennedy”
ประธานาธิบดี “Kennedy” ไม่สามารถผ่านการฝึกในโรงเรียนนายทหารของกองทัพบก ด้วยปัญหาด้านสุขภาพ (จากอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง) วันที่ 24 กันยายน 1941 ด้วยความช่วยเหลือของนาวาเอก Allan Goodrich Kirk ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรอง กองทัพเรือ (the Office of Naval Intelligence : ONI) และผู้ซึ่งเป็นทูตทหารเรือในขณะที่ “Joseph Kennedy” บิดาของประธานาธิบดี “Kennedy” เป็นเอกอัครรัฐทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหราชอาณาจักร โดยแพทย์เอกชนได้รับรองสุขภาพของประธานาธิบดี “Kennedy” ว่า มีสุขภาพปกติดี จนสามารถเข้าร่วมกองกำลังสำรอง สังกัดกองทัพเรือ โดยได้รับการบรรจุเป็นเรือตรีเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1941

Inga Arvad นักข่าวสาวชาวเดนมาร์ก ผู้ที่เป็นข่าวกับประธานาธิบดี “Kennedy”
งานในกองทัพเรือของประธานาธิบดี “Kennedy” เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมปี 1941 เป็นเรือตรีทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงานข่าวกรอง กองทัพเรือ ฐานทัพเรือ Pearl Harbor และต่อมาถูกย้ายไปยัง South Carolina เดือนมกราคม 1943 เพราะข่าวความสัมพันธ์กับนักข่าวสาวชาวเดนมาร์ก Inga Arvad ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1942 เรือตรี “Kennedy” เข้ารับการฝึกที่โรงเรียนนายทหารกำลังสำรอง กองทัพเรือ ในนครชิคาโก
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกในวันที่ 27 กันยายน เรือตรี “Kennedy” เข้ารับการฝึกต่อที่ศูนย์ฝึกกองเรือยนต์ตอร์ปิโด (PT) ในเมือง Melville มลรัฐ Rhode Island ซึ่งเขาได้รับการเลื่อนยศให้เป็นเรือโท หลังจากเมื่อเดือนกันยายน 1942 “Joseph Kennedy” ผู้เป็นบิดาได้พบกับ (อย่างไม่เปิดเผย) นาวาตรี “John Bulkeley” (อดีตผบ.หมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 3 ผู้พาพลเอก Douglas MacArthur และครอบครัวออกจากเกาะ Corregidor ไปยังมินดาเนา) ผบ.กองเรือยนต์ตอร์ปิโด ที่โรงแรมพลาซ่า นครนิวยอร์ก เพื่อขอให้ช่วยเรือโท “Kennedy” ได้เป็นผบ.เรือ PT

เรือ PT
อย่างไรก็ตามนาวาโท “Bulkeley” กล่าวว่า จะไม่เสนอเรือโท “Kennedy” ให้ได้เข้ารับการฝึกกับเรือ PT หากไม่มั่นใจว่า เรือโท “Kennedy” มีคุณสมบัติที่จะเป็นผบ. PT ในการสัมภาษณ์เรือโท “Kennedy” นาวาตรี “Bulkeley” รู้สึกประทับใจใน รูปร่าง หน้าตา ทักษะการสื่อสาร ผลการเรียนที่ Harvard และรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันเรือเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่สมาชิกทีมเรือใบของ Harvard การอ้างเกินจริงของนาวาตรี “Bulkeley” เกี่ยวกับศักยภาพของเรือ PT ในการสู้รบกับเรือขนาดใหญ่ ทำให้เขาสามารถรับสมัครผู้มีความสามารถระดับสูง และสามารถยกระดับพันธบัตรสงคราม และสร้างความมั่นใจในหมู่ผู้บัญชาการกองเรือที่ยังเห็นด้วยกับการใช้เรือ PT สู้รบกับเรือรบที่มีขนาดใหญ่กว่า
แต่ในหมู่นายทหารจำนวนมากของกองทัพเรือต่างก็รู้ความจริงที่นาวาตรี “Bulkeley” อ้างว่า เรือ PT สามารถจมเรือลาดตระเวน เรือลำเลียงพล และยิงเครื่องบินรบของญี่ปุ่นตกในฟิลิปปินส์นั้นไม่เป็นความจริง เมื่อเรือโท “Kennedy” จบการฝึกกับเรือ PT ในมลรัฐ Rhode Island วันที่ 2 ธันวาคม ด้วยคะแนนที่สูงมาก และถูกขอร้องเป็นครูฝึกเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ จากนั้นเขาได้รับคำสั่งให้ฝึกหมู่เรือตอร์ปิโดที่ 4 เพื่อบังคับการเรือ PT-101 ขนาด 78 ฟุต
มกราคม 1943 เรือ PT-101 พร้อมกับเรือ PT อีก 4 ลำ ได้รับคำสั่งให้ไปสังกัดหมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 14 (RON 14) ซึ่งได้รับมอบหมายให้ลาดตระเวนในคลองปานามา เรือ PT-101 แยกตัวออกจาก RON 14 ในเดือนกุมภาพันธ์ 1943 ในขณะที่หมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 14 กำลังประจำอยู่เมือง Jacksonville มลรัฐ Florida เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการย้ายไปยังเขตคลองปานามา ด้วยความตั้งใจของเขาเอง เรือโท “Kennedy” จึงติดต่อขอให้เพื่อน ครอบครัว และเพื่อนสนิทของ “David I. Walsh” วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐ Massachusetts ประธานคณะกรรมการกิจการทหารเรือ ช่วยจัดการเปลี่ยนคำสั่งการมอบภารกิจให้เขาจากไปปานามา เป็นส่งเขาไปประจำเรือ PT ในหมู่เกาะโซโลมอนแทน และคำขอ "เปลี่ยนคำสั่งมอบหมาย" ถูกส่งไปยังหมู่เรือในแปซิฟิกใต้ การกระทำของเรือโท “Kennedy” ขัดกับความปรารถนาของบิดาที่ต้องการให้เขาประจำการในที่ปลอดภัย แต่แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวของตัวเองของเรือโท “Kennedy” และความกล้าหาญอันเยี่ยมยอดของเขา

เรือ USS Rochambeau
เรือโท “Kennedy” ถูกย้ายเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 1943 ในฐานะนายทหารสังกัดหมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 2 ซึ่งอยู่ที่เกาะ Tulagi ในหมู่เกาะโซโลมอน ระหว่างเดินทางในมหาสมุทรแปซิฟิกบน เรือลำเลียง USS Rochambeau ก็เจอการโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรง กระทั่งผบ.เรือ USS Rochambeau และเรือโท “Kennedy” ต้องช่วยส่งกระสุนปืนให้กับปืนใหญ่ประจำเรือ อันเป็นประสบการณ์การรบครั้งแรกของเขา ถึงเกาะ Tulagi ในวันที่ 14 เมษายน และบังคับการเรือ PT-109 เมื่อ 23 เมษายน จำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุงเรืออย่างหนัก และเรือโท “Kennedy” สั่งการให้ลูกเรือซ่อมเรือให้ใช้การได้ 30 พฤษภาคม หมู่เรือ PT รวมทั้งเรือ PT-109 ได้รับคำสั่งให้ไปยังหมู่เกาะ Russel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบุกเขต New Georgia-Rendova
หลังจากเข้ายึดเกาะ Rendova แล้ว หมู่เรือ PT ก็ถูกย้ายให้ขึ้นไปทางเหนือ ไปประจำยังสถานีเรือ Rendova ในวันที่ 16 มิถุนายน สถานีเรือ Rendova ที่จัดตั้งขึ้นเต็มไปด้วยโรคภัยที่ไม่พึงประสงค์ เช่น มาลาเรีย, โรคไข้เลือดออก, โรคบิด และโรคเท้าช้าง ทหารเรือประจำการอยู่ที่นั่นยังบ่นในเรื่อง แมลงสาบ, หนู, โรคเกี่ยวกับเท้า, เชื้อราในหู และการขาดสารอาหารที่ไม่รุนแรงจากการทานอาหารซ้ำซากจำเจ และอาหารกระป๋องจากบันทึกกองทัพเรือของเรือโท “Kennedy” หลังจากกลับไปยังสหรัฐฯ เรือโท “Kennedy” ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมาลาเรีย, ลำไส้ใหญ่, และอาการปวดหลังเรื้อรังทั้งหมดที่เกิดระหว่างประสบการณ์รบของเขา หรือกำเริบในระหว่างประจำการอยู่ที่สถานีเรือ Rendova
จากสถานีเรือ Rendova อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะ Rendova บนพื้นที่เล็ก ๆ ที่รู้จักกันในชื่อ Lumbari เรือ PT ปฏิบัติการอย่างกล้าหาญ และเสี่ยงอันตรายทุกค่ำคืน ทั้งการรบกวนการแล่นไปมาของเรือรบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ส่งกำลังบำรุงให้แก่ญี่ปุ่นในเขต New Georgia-Rendova และลาดตระเวนในช่องแคบ Ferguson และ Blackett เพื่อตรวจการณ์ และแจ้งเตือนเมื่อเรือรบ Tokyo Express (ฉายาของเรือส่งกำลังบำรุงญี่ปุ่นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้ง) ของญี่ปุ่น ที่เข้ามาในช่องแคบ เพื่อส่งกำลังบำรุงกองทัพญี่ปุ่นในเขต New Georgia-Rendova
1 สิงหาคม เครื่องบินทิ้งระเบิดญี่ปุ่น 18 ลำ ได้เข้าโจมตีสถานีเรือ Rendova ทำลายเรือ PT-117 และ PT-164 จนจมลง ตอร์ปิโดสองลูกยิงออกเองจากเรือ PT-164 และวิ่งไปรอบ ๆ อ่าวจนกระทั่งพุ่งขึ้นฝั่งบนชายหาดโดยไม่ระเบิดแต่อย่างใด

ลูกเรือของเรือ PT-109
ลูกเรือในภารกิจสุดท้ายของเรือ PT-109 ได้แก่ ผบ.เรือ เรือโท “John F. Kennedy”, ต้นเรือ เรือตรี “Leonard J. Thom”, ต้นหน เรือตรี George H. R. "Barney" Ross, พลปืน พลฯ ระดับสอง Raymond Albert, พลปืน พลฯ ระดับสาม Charles A. "Bucky" Harris, ผู้ช่วยช่างเครื่อง พลฯ ระดับสอง William Johnston, พลปืน พลฯ ระดับสอง ผู้ช่วยพลตอร์ปิโด “Andrew Jackson Kirksey” (เสียชีวิตระหว่างชน), พลวิทยุ พลฯ ระดับสอง John E. Maguire, ผู้ช่วยช่างเครื่อง พลฯ ระดับสอง Harold William Marney (เสียชีวิตระหว่างชน), ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่พลาธิการ/จุมโพ่ พลฯ ระดับสาม Edman Edgar Mauer, ช่างเครื่อง พลฯ ระดับหนึ่ง Patrick H. "Pappy" McMahon, ผู้ช่วยพลตอร์ปิโด พลฯ ระดับสอง Ray L. Starkey และ ผู้ช่วยช่างเครื่อง พลฯ ระดับหนึ่ง Gerard E. Zinser, (ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของเรือ PT-109 เสียชีวิตเมื่อปี 2001)
ปลายเดือนกรกฎาคม 1943 รายงานข่าวกรองได้รับและถอดรหัสโดยเจ้าหน้าที่ทหารเรือที่สถานีเรือ Rendova ของเกาะ Tulagi ได้ความว่า เรือรบญี่ปุ่น 5 ลำมีแผนจะปฏิบัติการในคืนวันที่ 1-2 สิงหาคม โดยเรือพิฆาตญี่ปุ่นจะแล่นจากเกาะ Bougainville ของโซโลมอนผ่านช่องแคบ Blackett เพื่อนำส่งเสบียงและทหารไปที่กองทหารญี่ปุ่นในพื้นที่เพาะปลูก Vila บนปลายส่วนใต้ของเกาะ เกาะ Kolombangara การถอดรหัสที่ซับซ้อนของกองทัพเรือญี่ปุ่นช่วยให้สัมพันธมิตรได้รับชัยชนะในการรบที่ Midway เมื่อ 10 เดือนก่อน และเทคโนโลยีเดียวกันนี้ถูกใช้เพื่อถอดรหัส และรายงานเรื่องเรือพิฆาตญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 1-2 สิงหาคม แม้จะสูญเสียเรือ 2 ลำและลูกเรือ 2 นายจากการโจมตีทางอากาศของญี่ปุ่น แต่ผบ.เรือ PT-109 และเรือลำอื่น ๆ อีก 14 ลำ ได้หารือกับนาวาโท Thomas G. Warfield เกี่ยวกับรายละเอียดของภารกิจ Ferguson Passage การรบที่เกิดขึ้นจะเป็นการรบด้วยเรือ PT ครั้งใหญ่ที่สุดในสงคราม และผลลัพธ์จะทำให้การใช้ PT ไม่เหมาะกับการรบกับเรือพิฆาตญี่ปุ่นในอนาคต
ความล้มเหลวในการยิงตอร์ปิโดจากเรือ PT วันที่ 1 สิงหาคม เรือ PT 15 ลำ ออกจากสถานีเรือ Rendova เวลาประมาณ 18.30 น. ตามคำสั่งที่เคร่งครัดของนาวาโท Thomas Warfield แบ่งเรือ PT เป็น 4 ชุด ชุดละ 4 ลำ ชุด "B" ประกอบด้วยเรือ PT-109, PT-162, PT-159 และ PT-157 ถูกส่งไปประจำด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสถานี ระยะทางเกือบครึ่งทางไปชายฝั่งตะวันตกของเกาะ Kolombongara และประมาณ 6 ไมล์ (9.7 กม.) ทางทิศตะวันตก เรือส่วนใหญ่มาถึงสถานีในเวลา 20.30 น. เรือ PT 15 ลำ แต่ละลำติดท่อตอร์ปิโด 4 ท่อ ตอร์ปิโดแบบ Mark 8 รวม 60 ลูก ราวครึ่งหนึ่งถูกยิงใส่เรือพิฆาตญี่ปุ่นซึ่งมีเครื่องบินทะเลคุ้มกัน รายงานอย่างเป็นทางการของกองทัพเรือระบุถึงการระเบิดของตอร์ปิโด 5-6 ลูกเมื่อกระทบเป้าคือเรือพิฆาต แต่ในความเป็นจริงไม่มีตอร์ปิโดทำงานเลย ตอร์ปิโด 24 ลูกถูกยิงจากเรือ PT 8 ลำ ไม่มีลูกไหนเลยที่ระเบิดเมื่อกระทบเรือพิฆาต แม้ว่าเรือ PT แต่ละลำจะได้รับมอบหมายให้ประจำตำแหน่งที่น่าจะสกัดเรือพิฆาตได้ แต่หลายลำไม่มีเรดาร์แล่นไปในหมอกและความมืดอย่างไร้จุดหมาย โดยไม่สามารถระบุตำแหน่งเรือรบข้าศึกได้เลย

เรือเอก Brantingham ผบ.เรือ PT-159 หัวหน้าชุด "B" และแล่นอยู่ใกล้เรือ PT-109 เห็นเรดาร์ระบุว่า เรือพิฆาตญี่ปุ่นมุ่งไปทางใต้ เมื่อมาถึงที่จุดดังกล่าวได้ยิงตอร์ปิโดในระยะราวหนึ่งไมล์ ในขณะที่อยู่ในตำแหน่งนำ แต่ไม่ได้วิทยุแจ้งเรือ PT-109 ที่แล่นตาม ปล่อยให้เรือ PT-109 แล่นต่อในความมืด ซ้ำตอร์ปิโดที่ยิงจากเรือ PT-109 ของเรือเอก Brantingham ทุกลูกพลาดเป้า และตัวท่อตอร์ปิโดเกิดไฟไหม้ขนาดเล็ก ซึ่งเรือโท Liebenow ในชุดเดียวกันต้องนำเรือ PT-157 สลับตำแหน่งด้านหน้าบังแสงไฟไหม้ของเรือ PT-159 เรือ PT-157 ยิงตอร์ปิโดอีกสองลูกซึ่งก็พลาดเป้าหมายเช่นกัน จากนั้นเรือทั้งสองก็ปล่อยควันจากเครื่องกำเนิดควันและแล่นแบบซิกแซ็กเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากเรือพิฆาต เมื่อพบการปรากฏของเรือพิฆาตญี่ปุ่น และสัญญาณวิทยุจากเรือ PT-109 หรือเรือลำอื่นในชุดปฏิบัติการก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกไปยังเกาะกิโซและห่างออกไปจากทั้งเรือพิฆาตญี่ปุ่นและเรือ PT-109 ของเรือโท “Kennedy”
ตอร์ปิโดแบบ Mark 8 ส่วนมากระเบิดก่อนกระทบเป้า หรือวิ่งในระดับความลึกที่ไม่ถูกต้อง อัตราที่ตอร์ปิโด Mark 8 จะสามารถระเบิดทำลายเรือพิฆาตน้อยกว่า 50% เนื่องจากการปรับเทียบที่ผิดพลาดของชนวนกระทบของตอร์ปิโดแบบ Mark 8 ซึ่งเป็นปัญหาที่กองทัพเรือสหรัฐฯ ไม่รู้ และไม่ได้รับการแก้ไขจนกระทั่งสงครามจบ เรือ PT อื่น ๆ อีก 2-3 ลำ รวมถึงหัวหน้าชุด "A" ทางใต้ของเรือ PT-109 ได้ตรวจพบเรือพิฆาตที่อยู่ทางใต้ใกล้กับ เกาะ Kolombangara แต่เรือทุกลำที่เหลือได้รับวิทยุจากนาวาโท Warfield ให้กลับเมื่อยิงตอร์ปิโดแล้ว แต่เรือทั้งสี่ลำที่ที่มีเรดาร์ยิงตอร์ปิโดก่อน และได้รับคำสั่งให้กลับฐาน แนวคิดของนาวาโท Warfield ในการออกคำสั่งไปยังเรือ PT ท่ามกลางความมืดทางวิทยุจากสถานีเรือ ซึ่งออกไป 40 ไมล์โดยที่ไม่เห็นการรบนั้นไม่มีประสิทธิภาพเลย เรดาร์ของเรือทั้ง 4 ลำเก่า และบางครั้งก็ทำงานผิดพลาด เมื่อเรือ 4 ลำซึ่งมีเรดาร์ออกจากพื้นที่การรบ เรือที่เหลือรวมถึงเรือ PT-109 ก็ถูกลิดรอนความสามารถในการระบุตำแหน่ง หรือการเคลื่อนที่ของเรือพิฆาตญี่ปุ่นที่กำลังแล่นมา และไม่ได้รับแจ้งเตือนว่าเรือลำอื่นได้ตรวจพบหรือปะทะกับศัตรูแล้ว
ในช่วงดึกเรือ PT-109 และเรือ PT ที่แล่นตามมาพร้อมกันอีก 2 ลำ กลายเป็นชุดสุดท้ายที่เห็นเรือพิฆาตญี่ปุ่นแล่นกลับมาที่เส้นทางเหนือมุ่งไป Rabaul, New Britain, New Guinea หลังจากเสร็จสิ้นการส่งเสบียงและกำลังทหารเมื่อเวลา 01.45 น. ทางส่วนปลายของ เกาะ Kolombangara บันทึกเหตุการณ์อย่างเป็นทางการของกองทัพเรือระบุว่า การสื่อสารทางวิทยุนั้นยังเป็นปกติ แต่ผู้บังคับการเรือ PT ได้รับการบอกให้รักษาความเงียบทางวิทยุจนกระทั่งได้รับแจ้งจากการพบเห็นข้าศึก ทำให้ผู้บังคับการหลายคนปิดวิทยุหรือไม่ติดตามการสื่อสารทางวิทยุอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเรือโท “Kennedy” ด้วย
เวลา 14.00 น. ของวันที่ 2 สิงหาคม 1943 เมื่อใกล้จะสิ้นสุดภารกิจ เรือ PT-109, PT-162, และ PT-169 ได้รับคำสั่งให้ลาดตระเวนในพื้นที่ต่อไปตามคำสั่งก่อนหน้านี้ ซึ่งได้รับคำสั่งทางวิทยุจากนาวาโท Warfield คืนนั้นมีเมฆมาก และไร้แสงจันทร์และอยู่ท่ามกลางหมอก เรือ PT-109 ทำงานด้วยเครื่องยนต์เดียวเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ การเห็นแสงฟลูออเรสเซนซ์โดยเครื่องบินญี่ปุ่น เมื่อลูกเรือตระหนักว่าพวกเขาอยู่ในเส้นทางของเรือพิฆาตญี่ปุ่น Amagiri ซึ่งมุ่งหน้าไปทางเหนือยัง Rabaul จากพื้นที่เพาะปลูก Vila, เกาะ Kolombangara เพื่อส่งเสบียงและทหาร 902 นาย
บันทึกเหตุการณ์ไม่สามารถสรุปได้ว่า สาเหตุของการชนกันคือ การเดินเครื่องยนต์รอบต่ำของเรือ PT-109 เรือโท “Kennedy” เชื่อว่าการยิงที่เขาได้ยินมาจากกองทหารบนฝั่ง เกาะ Kolombangara ไม่ใช่เรือพิฆาต และหลีกเลี่ยงการตรวจจับโดยการเดินเครื่องยนต์รอบต่ำ และลดความเสี่ยงต่อการตรวจพบ

ภาพวาดขณะเรือพิฆาต Amagiri ชนเรือ PT-109
เรือโท “Kennedy” บอกว่า เขาพยายามที่จะเลี้ยวเรือ PT-109 เพื่อยิงตอร์ปิโด และให้เรือตรี Ross ยิงปืนต่อสู้รถถังขนาด 37 มม. ที่พึ่งติดตั้งใหม่ไปยังเรือพิฆาต Amagiri ที่กำลังแล่นจะมาถึง เรือตรี Ross ถือกระสุน แต่ยังไม่ทันได้บรรจุกระสุน เรือโท “Kennedy” หวังว่า อาจสกัดเรือ Amagiri ที่แล่นด้วยความเร็วค่อนข้างสูงระหว่าง 23 ถึง 40 Knott (43-74 กม. / ชม. หรือ 26-46 ไมล์ต่อชั่วโมง) เพื่อกลับไปยังท่าเรือ ด้วยเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วเครื่องบินลาดตระเวนของสัมพันธมิตรอาจจะตรวจพบได้
เรือโท “Kennedy” และลูกเรือมีเวลาน้อยกว่าสิบวินาทีที่จะเร่งเครื่องยนต์เพื่อหลบหลีกเรือพิฆาตที่กำลังจะมาถึงแล่นโดยพรางไฟ เมื่อเรือ PT แล่นมาถึงก็ถูกชนจนแตกเป็น 2 ส่วน ที่พิกัดจุดระหว่างเกาะ เกาะ Kolombangara และเกาะ Ghizo ใกล้ 8 ° 3′S 156 ° 56'E ถ้อยแถลงที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้นว่า เรือพิฆาตเห็นและตั้งใจชนเรือ PT-109 หรือไม่ ผู้เขียนส่วนใหญ่เขียนว่า ผบ.เรือ Amagiri ตั้งใจแล่นชนกับเรือพิฆาต Amagiri ซึ่งผบ.เรือพิฆาต Amagiri นาวาตรี Kohei Hanami ยอมรับเองในภายหลัง และระบุด้วยว่า เห็นเรือ PT-109 กำลังแล่นพุ่งมายังเรือพิฆาต Amagiri
เรือ PT-109 ถูกชนเป็นสองส่วน เวลาประมาณ 02.27 น. ลูกไฟจากการระเบิดของเชื้อเพลิงพุ่งสูงกว่า 100 ฟุต พื้นที่การชน และทะเลรอบ ๆ ซากเรือลุกเป็นไฟ พลทหาร Kirksey และ Marney เสียชีวิตทันที และสมาชิกอีกสองคนของเรือถูกไฟคลอกและได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อพวกเขาตกลงไปในทะเลเพลิงที่ล้อมรอบเรือ สำหรับการชนที่รุนแรง การระเบิด และไฟไหม้ การสูญเสียของลูกเรือเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือ PT อื่น ๆ ที่ถูกยิงด้วยปืนแล้ว นับว่า เรือ PT-109 สูญเสียกำลังพลน้อยกว่า