Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง (2) เหตุใด ‘คสช.’ ไม่ใช้ ม.44 จัดการ ปม ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่แม้ไม่ได้ดึงพลังงานมาใช้ แต่รัฐก็ต้องจ่ายค่ากระแสไฟฟ้า

 

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผู้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ถูกโจมตีเรื่องค่าไฟฟ้าแพงเป็นอย่างหนัก โดยถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ในสภาวะอากาศร้อนขนาดนี้บ้านเรายังคงมีไฟฟ้าใช้อย่างไม่ขาดแคลน ด้วยเพราะมาตรการจัดการสำรองกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่งทางพลังงานไฟฟ้า ซึ่งประเด็นที่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวมากมายหลายคนมักจะหยิบยกขึ้นมาพูดคือ โรงงานไฟฟ้าสำหรับผลิตไฟฟ้าของกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้าบางโรงนั้นไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเลย แต่ก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าให้ด้วย แน่นอนสถานการณ์ที่กระแสไฟฟ้าพอใช้โรงงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้าสำรองจึงไม่ต้องเดินเครื่องทำงาน เพราะไม่มีความจำเป็น หากแต่กระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งานแล้วโรงงานเหล่านั้นถึงจะเดินเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า แต่โรงงานเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับอนุญาต มีการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าต้องจ่ายเอง ไม่ใช้เงินงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด คนที่พูดนั้นไม่ได้รับผิดชอบต้องการลงทุนมูลค่ามหาศาลเหล่านี้เลย แถมยังเจตนาจงใจที่จะไม่พูดถึงอีกด้วย 

เราท่านในฐานะเจ้าของสิทธิในการเลือกตั้งอันมีค่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนการใช้สิทธิกาบัตรลงคะแนนจึงต้องคิด ทบทวน และพิจารณาโดยใช้สติและปัญญาอย่างรอบคอบด้วยเหตุและผลที่ถูกต้องและแท้จริงประกอบ ผู้เขียนได้เคยเสนอบทความเรื่อง ‘การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง “สำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็น” วาทกรรมฮิตใช้โจมตีรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย หากสำรองไฟฟ้าไว้ไม่เพียงพอ’ https://thestatestimes.com/post/2023042021 ซึ่งผู้อ่านสามารถใช้เพื่อประกอบการพินิจพิจารณาให้รอบด้านและถูกต้องได้ 

อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกันก็คือ แล้วทำไมรัฐบาลคสช. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จึงไม่นำ ม.44 มาใช้ในกรณีนี้ หากเราท่านได้ย้อนไปดูถึงการใช้ ม.44 ของรัฐบาลคสช. นั้น ส่วนใหญ่มาก ๆ จะใช้เป็นคำสั่งในทางปกครองเพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างรวดเร็วแทนที่กระบวนการปกติซึ่งมีความล่าช้า ด้วยกระบวนการปกติมีระบบระเบียนขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย การบริหารบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความถูกต้องโปร่งใส ลดการทุจริตโกงกิน แก้ปัญหาความล่าช้าในการแก้ปัญหาอันเป็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนให้รวดเร็วขึ้น ต่างจากการใช้กฎหมายพิเศษลักษณะนี้ในอดีต อาทิ ม.17 (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร และศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์) ม. 21 และ ม.27 (พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่) ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาสังคมและอาชญากรรม เช่น ใช้ประหารชีวิตผู้กระทำผิดคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ ต่อประชาชน ฯลฯ ซึ่งการใช้ ม.44 แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงดังที่ได้กล่าวมา ด้วยไม่มีใครที่บาดเจ็บล้มตายด้วย ม.44 ของรัฐบาลคสช.เลย

การใช้ ม.44 โดยรัฐบาลคสช.ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีน้อยเรื่องน้อยรายมากในกรณีที่มีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนแกประชาชนจริง ๆ อย่างเช่นกรณีการใช้ ม.44 ในการปิดเหมืองทองคำชาตรีที่ดำเนินกิจการโดยบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ด้วยเหตุผลว่าทางเหมืองทองคำชาตรีสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบต่าง ๆ หลายด้าน แต่ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2559 ได้ถูกเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่สัมปทานเหมืองล้วนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการสร้างปัญหามลพิษปัญหาสุขภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม มีการเคลื่อนไหวคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่และหยุดกิจการเหมือง จากปัญหาร้องเรียนจากชาวบ้านซึ่งเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากมลพิษจากเหมือง ที่ให้เกิดปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสารพิษปนเปื้อนที่มากับดิน น้ำ และอากาศ รวมถึงยังมีสภาวะเครียดที่เกิดขึ้นจากเสียงของอุตสาหกรรม และกลายเป็นข้อพิพาทต่อมาอีกหลายปี

ถ้าการทำรัฐประหารแล้วกลุ่มทุนผูกขาดประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแต่กลุ่ม SM ที่ผูกขาดแทบทุกธุรกิจ การที่รัฐบาลคสช.ไม่ได้ยกเลิกสัญญาการผลิตกระแสไฟฟ้าสำรอง โดยใช้ ม.44 ถือเป็นการใช้กฎหมายพิเศษอย่างถูกต้อง เหมะสม ไม่ลุแก่อำนาจ ด้วยการใช้กระบวนการทางศาลปกติ ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตีความมานานแล้วว่า สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนในลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถยกเลิกได้ และถ้าหากรัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 กับเอกชนในทางธุรกิจ จะทำให้นานาชาติไม่ยอมรับประเทศไทย และไม่มีบริษัทต่างชาติใดเข้ามาลงทุนเลย ด้วยประเทศล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเพียงแค่รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกการทำเหมืองทองชาตรี โดย บมจ.อัคครา ชั่วคราว เพื่อให้ปรับปรุงเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็มีสารพัดกลุ่มทั้งไทยและฝรั่งร้อง คัดค้าน ต่อต้าน กันจนระงม หรือ ถ้า รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกสัมปทานขุดน้ำมันในอ่าวไทย กับเชฟรอน จากสหรัฐอเมริกา จะเกิดอะไรขึ้น นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลคสช. ไม่นำ ม.44 มาบังคับใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

คะแนนเสียงของเราท่านจะมีค่ามากที่สุดในอีกประมาณ 20 วันเท่านั้น ทุกคะแนนเสียงจะสามารถกำหนดอนาคตและความเป็นไปของชาติบ้านเมืองได้ทั้งสิ้น ใช้คะแนนของท่านสร้างประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ด้วยการเลือกพรรคการเมืองและนักการที่ดีที่สุด ไม่ทุจริตโกงกิน ไม่สร้างปัญหา ให้กับชาติบ้านเมืองในอนาคต 

 

‘จุรินทร์’ ผนึกตระกูล ‘อดิเรกสาร’ มั่นใจปักธงสระบุรี ลั่น!! ไม่ได้เป็นรัฐบาลไม่ตาย ขอทำหน้าที่สุดความสามารถ

‘จุรินทร์’ ผนึก ‘อดิเรกสาร’ มั่นใจปักธงสระบุรี ได้แน่ ลั่นถ้าประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นรัฐบาลไม่ตายหรอก ขอทำหน้าที่อย่างสุดชีวิต
.
(24 เม.ย.66) ที่ จ.สระบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นำทีมประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 เดินทางพบกับนายปองพล อดิเรกสาร อดีตนักการเมืองคนดัง ที่ส่งลูกชาย นายปรพล อดิเรกสาร ลงสมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ โดยจ.สระบุรี พรรคส่งผู้สมัครครบทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง เขต 1 นายปรพล อดิเรกสาร เบอร์ 1 เขต 2 นายสมพงษ์ ภูพานเพชร เบอร์ 2 เขต 3 น.ส.เบญจวรรณ ใสแก้ว เบอร์ 4 เขต 4 นายนันทวัชร กี่สง่า เบอร์ 5

นายจุรินทร์ กล่าวถึงการผนึกกำลังกับตระกูลอดิเรกสารว่า จะทำให้พรรคมีโอกาสปักธงได้ ซึ่งจ.สระบุรีเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว และครั้งนี้ตระกูลอดิเรกสารให้เกียรติมาร่วมงานกับเรา ยิ่งทำให้ประชาธิปัตย์สระบุรีเข้มแข็งขึ้น เป็นการรวมพลังคูณสองยกกำลังสอง ทำให้เรามีโอกาสปักธงสระบุรีเหมือนที่เคยปักธงมาแล้วหลายครั้งในอดีต

ส่วนที่นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์พร้อมเป็นทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลนั้น พรรคควรประกาศจุดยืนหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประชาธิปัตย์พร้อมเป็นทุกอย่าง เราได้พิสูจน์มาตลอดระยะเวลายาวนาน ถ้าเราเป็นรัฐบาล จะทำให้พรรคมีโอกาสนำนโยบายที่หาเสียงไว้ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นจริงได้ชัดเจน แต่ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่เป็นไร ประชาธิปัตย์ก็ไม่ตาย อย่างไรก็ยังอยู่ได้ และทำหน้าที่ได้อย่างสุดชีวิต สุดความสามารถ เลือกมาให้เยอะๆ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร เราก็ไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย มีแต่ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง

“เราจะเป็นอะไรนั้นเราก็ทำหน้าที่เต็มที่ อันนี้คือยี่ห้อประชาธิปัตย์ เป็นหลักประกันที่คนไทยทั้งประเทศไว้วางใจ มั่นใจได้ ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายค้านหมดแรง เลิก ไปนอนรอว่าเมื่อไหร่เป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราพิสูจน์แล้วมายาวนาน แต่ขณะนี้เรารณรงค์ว่า ถ้าประชาชนให้เสียงเรามากพอ เราก็พร้อมจัดตั้งรัฐบาล และหัวหน้าพรรคก็พร้อมเป็นนายกฯ แต่ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่เป็นไร ประชาธิปัตย์ก็ไม่ตายหรอก ยังไงก็ยังอยู่ได้ และทำหน้าที่ได้อย่างสุดชีวิตสุดความสามารถ” นายจุรินทร์กล่าว

สำหรับในโค้งสุดท้ายของการหาเสียง จะมีแกนนำสำคัญของพรรคขึ้นเวทีปราศรัยด้วยกันหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องขึ้นเวทีเดียวกัน เราเปิด 3 ทัพ บุก 3 ทัพแบบดาวกระจาย ไม่จำเป็นต้องมากระจุกรวมอยู่ที่เดียว ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง การมากระจุก บางทีอาจเป็นจุดอ่อนก็ได้

เที่ยวนี้ประชาธิปัตย์เป็นเอกภาพ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่สุด คนทั้งประเทศจะเห็นว่าสู้ยิบตา ทำหน้าที่เต็มที่ นโยบายชัดเจน และทำได้ไวทำได้จริง ตกผลึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่เป็นภาระไปขึ้นภาษี หรือไปกู้เงินมาเพื่อทำนโยบายลด แลก แจก แถม อย่างไรก็ตาม เวทีปราศรัยใหญ่วันสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งจะจัดในวันที่ 12 พ.ค.ในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดที่มีความพร้อม

จากนั้นนายจุรินทร์และคณะ พร้อมด้วยนายปองพล ได้ร่วมกันเดินพบปะประชาชนที่ตลาดในอำเภอเมือง สระบุรี โดยบรรยากาศคึกคัก ประชาชนให้การต้อนรับเต็มที่ ทั้งมอบดอกไม้ ขอลายเซ็น และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7628760

'พี่ยุทธ' ยอมใจ!! 'ชัยวุฒิ' ที่สุดแห่งตัวตึงการเมืองไทยช่วงนี้ ยก!! มือฟาดตัวจริงแห่ง พปชร. ไม่หวั่นแม้ทัวร์รอลงทุกซีน

'สรยุทธ' เอ่ยถึงตัวตึง 'ชัยวุฒิ' รองหัวหน้าพรรค (พปชร.) โพสต์คลิปสวนกระแส ชวนลูกชายกินไข่ต้ม ลั่น!! อร่อยดี มีประโยชน์ อาหารที่ไม่มีชนชั้น อยู่อย่างพอเพียง ปอกไข่ต้มกินข้าวคลุกน้ำปลา 

(24 เม.ย.66) สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าว รายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอก โชว์ปอกไข่ต้มกินข้าวคลุกน้ำปลา จากประเด็นร้อน ที่ทำเอา 'คนการเมือง-อินฟูลเอนเซอร์' ฟาดกันเดือด! จากหนังสือวิชาภาษาไทย ป.5 ให้ข้อคิดเรื่องคุณค่าชีวิต ผ่านเรื่อง 'ด.ญ.ใยบัว' กินข้าวคลุกน้ำปลา กับไข่ต้มครึ่งซีก 

โดยในระหว่างการปอกไข่ นายสรยุทธ์ได้กล่าวถึง  นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค (พปชร.) ที่ช่วงนี้สามารถหยิบประเด็นสาธารณะมาโพสต์ ได้อย่างไม่กลัวกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องโดนกระแสสังคม พร้อมกันนี้ยังได้วิเคราะห์อีกด้วยว่า นายชัยวุฒิเปรียบเหมือนตัวตึงในวงการการเมืองช่วงนี้ พร้อมยังได้เปรียบเทียบกับพรรครวมไทยสร้างชาติว่ายังไม่มีใครจัดจ้านได้เท่าชัยวุฒิช่วงนี้แล้ว ที่กล้าไม่กลัว หยิบยกประเด็นคุณค่าของจิตใจสวนกระแสดราม่าในสังคม 

นอกจากนี้ นายสรยุทธ์ ยังได้กล่าวว่าถึงประเด็นพอเพียงตามแบบการเรียนการสอน "ใจความสำคัญของคำว่าพอเพียง คือการประมาณตนอย่างพอดี อยู่ที่คุณค่าของจิตใจ" แต่ประเด็นของเรื่องไม่ใช่ความพอเพียงแต่อยู่ที่เรื่อง โภชนาการที่เด็กคนหนึ่งจะได้รับจากการกินไข่แค่ครึ่งซีกกับน้ำปลา

‘กรณ์’ ลุยหาเสียงสงขลา ยกกรณีลดค่าไฟ 2 สตางค์ ช่วยปชช. ไม่ได้ ชี้!! เลือก ‘ชพก.’ การเมืองเปลี่ยน ยัน!! ต้องยกเลิกเก็บเอฟที

สงขลาแตก พ่อค้าประชาชน แห่ต้อนรับ กรณ์- จูรี และ 4 ผู้สมัคร ส.ส. เชียร์สุดใจให้ได้เป็นผู้แทน ชื่นชมนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ต่อชีวิตคนตัวเล็ก ‘กรณ์’ สวน มติ กกพ.ลดค่าไฟ 2 สตางค์ ลดให้ประชาชนด่า ยันต้องยกเลิกเก็บเอฟที ช่วยประชาชนได้จริง 

(24 เมษายน) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา หาเสียงช่วย 2 สมัคร ส.ส. สงขลา นายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2 เบอร์ 8 และทนายอาร์ม นายพงศธร สุวรรณรักษา.เขต 9 เบอร์ 8 ในช่วงโค้งสุดท้าย ณ บริเวณใจกลางเมืองหาดใหญ่ และตลาดกิมหยง โดยได้พบกับพ่อค้าแม่ค้าและนักธุรกิจเป็นจำนวนมาก โดยประชาชนชาวหาดใหญ่มีความคาดหวังว่าจะได้ผู้แทนหน้าใหม่ ที่เข้าใจบริบทของการค้า การลงทุนและการพัฒนาเมือง เพื่อพัฒนาหาดใหญ่เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มนักธุรกิจหาดใหญ่ได้เข้ามาทักทาย นายกรณ์ และชื่นชมนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า โดยเฉพาะยกเลิกแบล็กลิสต์เพราะถือเป็นการต่อลมหายใจธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ผู้ประกอบการหลายรายขาดสภาพคล่องหนักในช่วงโควิด รวมถึงนโยบายการลดค่าไฟ และค่าน้ำมันที่นายกรณ์ ออกมาต่อสู้เพื่อประชาชนมาโดยตลอดอีกด้วย

นายกรณ์ กล่าวถึงกรณี บอร์ด กกพ.ไฟเขียวลดค่าไฟ 7 สต. เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย โดยชาวบ้านได้ลดค่าไฟจากงวดแรก 2 สตางค์ ใช้ทันบิลเดือนพฤษภาคมนี้ว่า  มติในครั้งนี้เกิดจากที่พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ริเริ่มกดดันให้ลดค่าไฟ หลังทราบว่า กกพ.มีมติจะขึ้นค่าไฟในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนมาก แต่การลดค่าไฟเพียงแค่ 2 สตางค์ไม่มีผลต่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน  ตนได้เสนอไปแล้วว่าให้เว้นการเก็บค่าเอฟทีในช่วง 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงร้อนจัด ซึ่งกฟผ.เองก็สามารถแบกรับภาระตรงนี้ได้ไม่มีปัญหาอะไร รัฐบาลเองก็สามารถเข้าไปช่วยบริหารจัดการภาระหนี้สินของ กฟผ. ได้ แต่การประกาศลดค่าไฟเพียงแค่ 2 สตางค์ท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องเผชิญกับสินค้าราคาแพง ค่าครองชีพสูงขึ้น 

นายกรณ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องปรับราคาค่าไฟด้วย ทั้งการนำเข้าก๊าซ LNG ที่นำมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระไฟฟ้า ก็ลดลง ค่าเงินบาทก็มีเสถียรภาพ ทำไมถึงลดค่าไฟให้กับประชาชนมากกว่านี้ไม่ได้ ขอให้คิดตามว่า ถ้าสมมุติค่าไฟ 2,500 บาท เท่ากับใช้ไฟฟ้า 500 หน่วย ลด 2 สตางค์ เท่ากับลดราคาไป 10 บาท ถามว่าทำอะไรได้ ลดให้ถูกด่าเปล่า ถ้าเทียบกับข้อเสนอของเราว่าควรงดเก็บค่าเอฟที จะสามารถประหยัดได้ถึง 500 บาทต่อเดือนมันมีผลต่อค่าครองชีพ 

‘ธนาธร’ อ้อน!! กาก้าวไกล ได้การเมืองโปร่งใสไร้ทุจริต พร้อมพลิกความเจริญสู่ชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นมหาศาล

(24 เม.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมช่วยหาเสียงผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคก้าวไกล โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้าที่ตลาดสดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช พร้อมเปิดปราศรัยขนาดย่อมที่หน้าตลาด ช่วยหาเสียงให้กับ ปกรณ์ อารีกุล ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 (เบอร์ 3) และ พสุธน โมคคัลลา กลับนุ้ย ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 2 (เบอร์ 2)

ก่อนเดินทางต่อไปยัง อ.ปากพนัง เปิดปราศรัยขนาดย่อมที่หน้าท่าเรือข้ามฟากปากพนังฝั่งซ้าย ก่อนนั่งเรือข้ามฟากไปเดินหาเสียงแจกแผ่นพับที่ตลาดเทศบาลเมืองปากพนัง พร้อมกับ ชนิศา ชูเมือง ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 (เบอร์ 4)

หลังจากนั้น เดินทางเข้าสู่ อ.ทุ่งสง พบปะประชาชนที่ศูนย์ประสานงานพรรคก้าวไกล เขต 6 นครศรีธรรมราช ร่วมกับ ปิยวัฒน์ สิริพันธ์พงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 6 (เบอร์ 8) ก่อนขึ้นรถแห่ไปตามถนนเส้นหลักของ อ.ทุ่งสง เดินทางต่อไปยัง อ.ทุ่งใหญ่ ช่วยหาเสียงให้กับ พุฒิพงศ์ ลุ่ยจิ๋ว ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 7 (เบอร์ 5) ขึ้นรถแห่ไปตาม อ.ทุ่งใหญ่ และเปิดเวทีปราศรัยที่สนามกีฬาตำบลบางรูป

โดยระหว่างการหาเสียงวันนี้ มีประชาชนชาวนครศรีธรรมราชที่ให้ความสนใจเดินเข้ามาฟังการปราศรัยอย่างหนาแน่นในทุกจุด รวมทั้งได้เข้ามาพบปะพูดคุย ขอถ่ายภาพร่วมกัน และนำสิ่งของทั้งของฝากและของทาน เช่น สะตอ ขนมทองหยิบ-ทองหยอด ส้ม น้ำเต้าหู้ ของเล่น มาทำเป็นพวงมาลัยมอบให้จำนวนมาก

การปราศรัยวันนี้ ธนาธรได้กล่าวถึงเหตุผลที่พรรคก้าวไกลเสนอคำขวัญ ‘กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ ว่าเพราะเราต้องการตอบโจทย์ที่ประชาชนคนไทยจำนวนมากหมดหวังไปแล้ว ไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปได้ แต่เราเชื่อว่าประเทศไทยดีกว่านี้ได้ ลูกหลานควรได้รับโอกาสเติบโตมาในสังคมที่ดีกว่านี้ และวิธีการทำงานของเราแตกต่างจากคนอื่น เพราะพรรคก้าวไกลไม่เคยคิดว่าจะแก้ปัญหาแบบขอไปที การทำแบบนั้นไม่สามารถพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้ แต่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ

เช่น เรื่องของ ส.ป.ก. ซึ่งที่ตำบลบางรูปแห่งนี้ ที่ที่เรายืนอยู่ตรงนี้ เป็นที่ดิน ส.ป.ก. เช่นกัน วันนี้ ส.ป.ก. ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เป็นเมืองในปัจจุบันแล้ว แต่ ส.ป.ก. ยังคงกักขังคนให้มีทางเลือกแค่ทางเดียวคือการทำการเกษตร ไม่ให้ทำห้องพัก ร้านกาแฟ และกิจการอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และวิธีการแก้ปัญหาของพรรคก้าวไกล ซึ่งแตกต่างจากพรรคอื่น คือการทำให้ ส.ป.ก. เป็นโฉนด ทราบมาว่ามีร่างกฎหมายแล้ว พร้อมนำเสนอเข้าสู่สภาฯ ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ใน 30 วันแรกหลังเปิดสภาฯ พรรคก้าวไกลบอกว่ายื่นร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่สภาฯ แน่นอน

การแก้ปัญหายางพาราก็เช่นกัน ตั้งแต่อนาคตใหม่ถึงก้าวไกล ไม่เคยสัญญาว่าจะให้ราคายางเท่าไร แจกเงินแจกง่าย สร้างงานสร้างยาก แต่อยากให้ประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนต้องสร้างงาน ในระยะสั้นต้องอัดฉีดเงินแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ระยะยาวต้องสร้างอุตสาหกรรมยางพาราในประเทศไทยให้ได้ วันนี้มาเลเซียเลิกปลูกยางไปแล้ว ซื้อน้ำยางข้นผ่านด่านสะเดาบ้านเราเอาไปแปรรูปที่มาเลเซีย แปรรูปจนเกิดมูลค่าเพิ่มสูงกว่า ปล่อยให้คนไทยเป็นคนปลูกยาง ภูมิใจได้แค่ว่าเป็นผู้ส่งออกยางเยอะที่สุด แต่เครื่องจักรพื้นฐานที่สุดในการแปรรูปยางยังผลิตในประเทศไทยไม่ได้เลย

ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าตนมองไม่ออกเลยว่าทำไมการแก้ปัญหาราคายางพาราแบบนี้ถึงจะทำไม่ได้ จะแก้ปัญหายางพาราต้องทำแบบนี้ สร้างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการแปรรูปยางพารา เป็นรองเท้านักเรียน สนามเด็กเล่น อุปกรณ์การเรียนการสอน วัสดุกันกระแทกในอุตสาหกรรมการบิน ยานยนต์ ฯลฯ แปรรูปที่นี่ เกิดมูลค่าเพิ่มที่นี่ แล้วส่งออกไปขายต่างประเทศ นี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นตอ และเป็นวิธีการทำงานแบบพรรคก้าวไกล

แต่ขณะเดียวกัน ก็มีคนปรามาสพรรคก้าวไกลมากมายว่าเป็นพวกสุดโต่ง เร็วเกินไป ไม่มีประสบการณ์ แต่สี่ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลไม่ใช่หรือที่ทำผลงานในสภาได้โดดเด่นที่สุด ยกตัวอย่างเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว จากการอภิปรายเปิดโปงรัฐมนตรีคนหนึ่งว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน จนเกิดคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นี่คือผลงานของ ส.ส. พรรคก้าวไกลที่เปิดโปงและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนได้หลายพันล้านบาท

‘ปิยบุตร’ ช่วย ‘ภัณฑิล’ หาเสียงคลองเตย ปชช. ตอบรับดี ลั่น!! กระแส ‘ก้าวไกล’ ยังเพิ่มได้อีก มั่นใจ!! สู้บ้านใหญ่ได้

‘ปิยบุตร’ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครคลองเตย หาเสียง ลั่น กระแสก้าวไกลยังเพิ่มได้อีก มั่นใจ สู้บ้านใหญ่ได้ เมิน นักร้อง ปมครอบงำพรรค เหน็บหมดยุคขี้แพ้ชวนตี
.
(24 เม.ย.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ตลาดนัด แฟลต12 เขตคลองเตย เขตวัฒนา ช่วยนายภัณฑิล น่วมเจิม ผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เบอร์ 2 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี

นายปิยบุตร กล่าวถึงความั่นใจในเชตพื้นที่คลองเตย ว่า หากเปรียบเทียบคะแนนเมื่อปี 62 พรรคอนาคตใหม่แพ้ไปนิดเดียว ส่วนรอบนี้ที่เป็นพรรคก้าวไกล เชื่อว่ากระแสดีเบตของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแกนนำหลายคนที่ตระเวนออกเวทีดีเบตทุกเวที ผู้ช่วยหาเสียงนายธนาธร น.ส.พรรณิการ์ และตนช่วยหาเสียงแบบดาวกระจายทั่วประเทศ ทำให้มีกระแสสูงมากกว่าปี 62

การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้มีแค่นิวโหวตเตอร์ ที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ แต่มีประชาชนหลากหลายช่วงวัยสนับสนุนพรรคก้าวไกลมากขึ้น ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมีลุ้นทุกเขต สำหรับการแข่งขันในเขตวัฒนา-คลองเตย กับเจ้าของพื้นที่เดิมอย่างนางกรณิศ ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ประเมินจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ประชาชนเลือกเพราะต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเฉือนชนะไปนิดเดียว

“รอบนี้กระแสเปลี่ยน ประชาชนอยากเปลี่ยนนายกฯ เปลี่ยนขั้วรัฐบาล เปลี่ยนโครงสร้างประเทศไทยให้ยุติธรรมเสมอภาคเท่าเทียมกันเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะมีโอกาสในเขตวัฒนา-คลองเตย”

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ส่วนผลสำรวจของซูเปอร์โพล ที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเพิ่มขึ้นในฐานะนักวิเคราะห์ มองว่าคะแนนจะเพิ่มขึ้นได้อีกเรื่อยๆ สวนทางกับกระแสของแต่ละพรรคที่เริ่มหยุด กลยุทธ์พรรคก้าวไกลจะส่งผู้ช่วยหาเสียงปราศรัยในพื้นที่ต่าง ๆ โดยวันนี้นายธนาธรลงพื้นที่ภาคใต้กระแสตอบรับดีมาก ทั้งที่หลายคนเชื่อว่าพื้นที่ภาคใต้มักจะเป็นคนอนุรักษ์นิยม พรรคก้าวไกลน่าจะไม่มีคะแนน

ส่วนน.ส.พรรณิการ์ ไปภาคอีสานโดยเฉพาะจ.ขอนแก่น พรรคก้าวไกลน่าจะได้ลุ้น ทั้งเขต 1-4 ขณะที่ตนสัปดาห์นี้จะประจำพื้นที่กทม.และปริมณฑล ด้านนายพิธา และน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตระเวนดีเบต เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ พรรคก้าวไกลนิยมปราศรัยเวทีย่อย เพราะเราต้องไปหาประชาชนในพื้นที่ให้ใกล้ที่สุด ไม่รบกวนพี่น้องประชาชนให้เดินทางมาที่เวทีปราศรัย

“ส่วนการสู้กับกระสุนและบ้านใหญ่ในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะนี้กระแสพรรคก้าวไกลกระจายไปทั่ว เป็นหน้าที่ของผู้สมัครที่จะต้องเดินทางไปเก็บกระแสให้เปลี่ยนมาเป็นคะแนน เชื่อว่ากระแสจะสู้กระสุนได้ ความคิดและดุมการณ์ของพรรคก้าวไกลที่ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาจะทำให้สู้กับบ้านใหญ่ได้”

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีกระแสว่านายธนาธร และนายปิยบุตร ทำงานเกินหน้าที่เข้าข่ายครอบงำพรรค นายปิยบุตร กล่าวว่า นักร้องก็ต้องทำหน้าที่คอยร้องสกัด ตนอยากให้การเลือกตั้งแข่งขันอย่างตรงไปตรงมา ชนะก็คือชนะแพ้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ควรหมดประเพณีนิยม “เตะสกัดขัดขา”ผ่านการร้องเรียนยุบพรรคตัดสิทธิ

หากทำเช่นนี้บ่อยๆก็เหมือนกับขี้แพ้ชวนตี ต่อให้ร้องเรียนมาก็ไม่เป็นไรยืนยันว่าผม นายธนาธร และน.ส.พรรนิกา ทราบดีว่าเป็นได้แค่ผู้ช่วยหาเสียงและกองเชียร์ ไม่ใช่โค้ชไปสั่งสอน พรรคก้าวไกลจ้างมาให้ช่วยหาเสียงเท่านั้น ก่อนจะมาปราศรัยก็ต้องเปิดสมุดนโยบายหาเสียงต้องไม่เกินเลย ส่วนพรรคจะตัดสินใจวางหมากวางเกมอย่างไรก็เป็นเรื่องของพรรค หากเลือกตั้งเสร็จจะเลือกร่วมรัฐบาลหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพรรคที่ต้องคิดอ่าน


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7628822

‘กรณ์’ ขึ้นเวทีดีเบตสงขลา ลั่น!! ขอแก้ปัญหาทุนผูกขาด หากทำได้ ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์เกิด คนไทยจะลืมตาอ้าปาก

‘กรณ์’ ขึ้นเวทีดีเบตสงขลา ลั่น!! คนไทยจะลืมตาอ้าปากได้ ต้องรื้อระบบทุนผูกขาด หยุดการเมืองสกปรก แนะปรับทัศนคติผู้นำ เปลี่ยนความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ให้โอกาสประชาชนร่ำรวย เชื่อ!! ชาวสงขลาเปิดทางให้ลูกชาวบ้านเป็นผู้แทน 

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ขึ้นเวทีดีเบต ที่จังหวัดสงขลา ณ สวนสาธารณะ เมืองสงขลา โดยกล่าวว่า วันนี้ตนขอมาให้คำตอบสั้น ๆ ชัด ๆ ว่าเราจะช่วยให้พี่น้องชาวใต้และคนไทยทั้งประเทศลืมตาอ้าปากได้ ต้องรื้อระบบทุนผูกขาดที่เป็นต้นตอทำให้ประชาชนทั้งประเทศไม่สามารถที่จะแข่งขันได้ ไม่มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในชีวิต และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สินค้า ค่าครองชีพของพี่น้องสูงขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องคนไทยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และถามว่าเรื่องทุนผูกขาดเราจะแก้ได้อย่างไรจึงจะแก้ได้ เป็นโอกาสและเป็นสิทธิของพี่น้องประชาชน ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้

‘ช่อ’ นำทีม ‘ผู้สมัครก้าวไกล’ บุกหาเสียงโคราช แจง!! แก้ 112 เพื่อไม่ให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่หาเสียงกับผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา 4 เขต เริ่มจากตลาดเช้าปักธงชัย กับนายชรินทร์ ทำดี ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 12 (เบอร์ 7) ต่อด้วยการเดินหาเสียงกับข้าราชการท้องถิ่นสำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา กับนายฉัตร สุภัทรวณิชย์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 (เบอร์ 3) ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดี มีข้าราชการมาขอถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก โดย น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า นโยบายของพรรคก้าวไกล คือการเพิ่มงบประมาณ และอำนาจให้กับท้องถิ่น เพื่อให้แต่ละพื้นที่ดูแลบำบัดแก้ไขปัญหาของประชาชนได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอราชการส่วนกลาง เทศบาลก็จะสามารถทำงานได้คล่องตัวขึ้น

หลังจากนั้น น.ส.พรรณิการ์ ได้เดินตลาดสระครก ตลาดไนท์บ้านเกาะ ตลาด RN yard ต่อด้วยตลาดเซฟวัน กับนายศุภชาติ รุจิพรวศิน ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 2 (เบอร์ 1) และนายศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 3 (เบอร์ 11) ซึ่งตลาดเซฟวันเป็นตลาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองโคราช ตลอดการเดินมีประชาชนเข้ามาขอถ่ายรูปทักทายอย่างคึกคัก ส่วนใหญ่ระบุว่า พร้อมกาให้ก้าวไกลทั้งบ้าน

‘ดร.เอ๋ บุณณดา’ เลือดใหม่ พปชร.โต้วงดีเบตด้วยหลักการ ตอกหงายผู้แทนพรรคอื่น ด้วยนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 66 ในรายการ THE STANDARD NOW MINI DEBATE นำโดยพิธีกรรายการ ‘อ๊อฟ ชัยนนท์’ จัดวงดีเบต 4 นักการเมืองหญิง จากทั้ง 4 พรรคการเมือง ผ่าน ‘นโยบายสะท้อนจุดยืนพรรค’ ผู้สมัครร่วมดีเบตได้แก่ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.(เขตบางพลัด-บางกอกน้อย) พรรคพลังประชารัฐ

เปิดรายการทางพิธีกรยิงคำถาม ถึงผลโพลของว่าที่นายกฯ ว่า พล.อ.ประวิตร หัวหน้า พลังประชารัฐ ยังไม่ติดอันดับ ทางด้าน ดร.เอ๋นั้นมีความหวั่นใจหรือไม่ ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จากการลงพื้นที่ กระแสค่อนข้างจะแตกต่าง เพราะประชาชนมีความสนใจในเรื่องของบัตรประชารัฐ และความชื่นชอบในตัวของลุงป้อมที่ดูเป็นกลางและก้าวข้ามความขัดแย้งได้จริง”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงนโยบายส่งเสริม เกษตรกรครอบครัวละ 30,000 บาท ทาง ดร.เอ๋ ได้ชี้แจ้งว่า “อยากจะให้มองที่ประโยชน์ของประชาชนหรือเกษตรกรที่จะได้รับมากกว่า ซึ่งวงเงิน 30,000 บาทตรงนี้ สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรไทยได้ ซึ่งถ้าหากพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล หรือ พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกฯ นโยบายนี้สามารถทำทันทีและทำได้เลย สำหรับข้อกำหนดที่จะได้เงินตัวนี้ จะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเป็นเกษตรกรเท่านั้น”

ดร.เอ๋ ยังกล่าวอีกว่า “ทุกอย่างต้องมีเวลา ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหลังจากที่ผ่านมา ทางเรารู้แล้วว่าอะไรคือปัญหาเพราะมีประสบการณ์แล้ว”

จากประเด็นมาตรา 112 ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จริง ๆ แล้วมาตรา 112 ไม่เคยทำร้ายใคร ในการพูดถึงควรที่จะตั้งคำถามอย่างไรให้สุภาพ ให้ถูกต้อง ไม่จาบจ้วงล่วงละเมิด สถาบันฯ โดยเฉพาะสถาบันฯไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมต้องแก้กฎหมายมาตรา 112 อยากจะให้ดูข้อมูลจริงยอมรับความจริง ไม่ใช่พูดแต่ข้อมูลหลอกลวง ใส่ร้ายแต่เรื่องไม่ดี”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงการชูนโยบายการก้าวข้ามความขัดแย้ง ของทางพรรคพลังประชารัฐ ว่าเป็นได้จริงหรือไม่ ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า ถ้าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของ พล.อ.ประวิตร ด้านการบริหารทั้งกองทัพและการบริหารประเทศ ท่านสามารถรวบรวมคนเก่งมารวมตัวกันได้ เจรจาไกล่เกลี่ย ประนีประนอม เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เพียงแต่ยังมีวาทกรรมที่แบ่งฝ่าย ว่าฝ่ายนี้คือเผด็จการ ฝ่ายนี้คือประชาธิปไตย อยากให้เลิกเรียกพรรคพลังประชารัฐว่า พรรคเผด็จการ เพราะถ้าไม่เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดรัฐประหาร เพราะคนทำรัฐประหารก็ไม่อยากทำเหมือนกัน”

‘นิพนธ์’ ขึ้นเวทีดีเบต ชู อัดฉีดเงิน 1 ล้านล้าน แก้วิกฤต ศก. มั่นใจ!! ‘ปชป.’ คว้าเก้าอี้ภาคใต้ไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่งแน่นอน

นิพนธ์ ชู นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ อัดฉีดเงินเข้าระบบฯ ทันที 1 ล้านล้านบาท ยกช่วงวิกฤตโควิด จุรินทร์ นั่งพาณิชย์ฯ โชว์ฝีมือเร่งส่งออกกว่า 10 ล้านล้านบาท ชี้ ปัญหาชายแดนใต้ต้องจบที่การพูดคุยเจรจา ย้ำ นโยบายสวัสดิการปัจจุบันล้วนมาจากประชาธิปัตย์

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 บนเวที BIG DEBATE ซึ่งจัดโดยช่อง 7HD และเทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ในรายการ วันเลือกตั้ง 66 #วาระคนไทย BIG DEBATE ตามติดสนามเลือกตั้งภาคใต้

นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับผู้สมัคร ส.ส.ภาคใต้ จาก 8 พรรคการเมือง ที่มาประชันวิสัยทัศน์ แสดงจุดยืนและนำนโยบายมาประชันกัน ณ สวนสาธารณะเมืองสงขลา โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวในเวที BIG DEBATE ว่า วันนี้ประชาธิปัตย์มีนโยบายเติมเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่เกิดวิกฤตโควิดมา 3 ปี สิ่งที่ประชาธิปัตย์ประกาศสร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยการสร้างเงินนั่นคือ การที่ประชาธิปัตย์จะอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านบาท เข้าระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยอัดฉีดเงินเข้าในหมู่บ้าน ชุมชนละ 2 ล้านบาท

ตามด้วยนโยบายประกันรายได้ให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ปาล์ม ข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพด ถ้าไม่มีนโยบายประกันรายได้ ถ้าราคายางลงมาเหลือ 30 บาท เกษตรกรก็จะได้เพียง 30 บาทเท่านั้น แต่ถ้ามีการประกันรายได้ เวลาน้ำยางเหลือ 30 บาท พี่น้องจะได้ส่วนต่างอีก 27 บาท รวมเป็น 57 บาท และราคาปาล์มก็เช่นกัน นี่คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ 

ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา อย่างอื่นเสียหายหมด เครื่องจักรทุกตัวเสียหายหมด เหลืออยู่อย่างเดียวนั่นคือ การส่งออก ปี 2565 เรามีการส่งออกประมาณ 10 ล้านล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ดูแลโดยท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สร้างเงินให้ทั้งประเทศ รวมถึงอัดฉีดให้มีเงินกองทุน เอสเอ็มอี ถ้ามีแต้มต่อ เราจะอัดฉีดเงินให้แก่ SME อีก 300,000 ล้านบาท นี่คือการเติมเงิน เติมเลือดเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น เรื่องสร้างเงินให้ประชาชนและประเทศ ประชาธิปัตย์ได้เตรียมไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งการไปเจรจา FTA กับต่างประเทศ ซึ่งไม่เคยมีมาหลายสิบปี ประชาธิปัตย์ไปเปิดเวที ไปเปิดการเจรจากัน และเราจะเชื่อมโยงกับต่างประเทศอีก ราว 27-30 ประเทศ และจะสามารถขยายการส่งออกสินค้าอีกมาก เพราะฉะนั้น นี่คือการสร้างเงินให้กับประเทศ และหากส่งออกมากเท่าไหร่ เราก็จะเก็บภาษีคืนมาได้มากเท่านั้น ประชาธิปัตย์จึงคิดนโยบายเรื่องของการเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจขึ้น

นายนิพนธ์ ยังกล่าวอีกว่า ซึ่งทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา จะทำหาดใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินในระดับนานาชาติ และเราจะมีกฏหมายพิเศษที่จะเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินมาอยู่ที่หาดใหญ่ ทำเหมือนกับสิงคโปร์ ฮ่องกง และลาบวนของมาเลเซีย

สำหรับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ประชาธิปัตย์ประกาศชัดเจนว่า ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องทำสันติภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อนำไปสู่สันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ คำว่า ‘สันติภาพ’ คือ บัดนี้เราต้องเลิกราฆ่าฟันกัน หยุดเหตุการณ์ที่จะทำให้ถึงแก่ชีวิต เราสูญเสียชีวิตไปแล้ว 7,000 กว่าราย บาดเจ็บนับหมื่น งบประมาณจากปี 47 ที่มีการปล้นปืน จนถึงปัจจุบัน 500,000 กว่าล้านแล้ว เราถมไปเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เพราะปัญหาคือ เราต้องทำให้เกิดสันติภาพก่อน ถ้าเกิดสันติภาพ สันติสุขก็จะเกิด ประชาธิปัตย์จึงมีความมั่นใจว่า การพูดคุยกับกลุ่มคนที่เห็นต่างมันมีความจำเป็น ไม่มีสงครามไหนจะเอาชนะกันได้ด้วยอาวุธ

นอกจากการพูดคุยการเจรจากัน เพื่อหนทางสู่สันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว เรามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง นั่นคือ การแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ ประชาธิปัตย์คิดเรื่องนี้มาอย่างเป็นระบบ เราจัดการเรื่องการศึกษา เราใช้เวลาช่วงนี้จัดการศึกษา จนทุกจังหวัดในพื้นที่ชายแดนให้มีมหาวิทยาลัยหมดแล้ว บัดนี้ ปัญหาคือทำอย่างไร ให้ผู้ที่จบการศึกษา สามารถทำงานที่นี่ มีงานทำที่นี่ได้ โดยไม่ต้องทิ้งบ้านทิ้งเมือง หรือทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง ดังนั้น จึงต้องสร้างงานให้เขาทำ นี่คือสิ่งที่ประชาธิปัตย์จะเดินหน้าสร้างอาชีพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top