‘ดร.เอ๋ บุณณดา’ เลือดใหม่ พปชร.โต้วงดีเบตด้วยหลักการ ตอกหงายผู้แทนพรรคอื่น ด้วยนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 66 ในรายการ THE STANDARD NOW MINI DEBATE นำโดยพิธีกรรายการ ‘อ๊อฟ ชัยนนท์’ จัดวงดีเบต 4 นักการเมืองหญิง จากทั้ง 4 พรรคการเมือง ผ่าน ‘นโยบายสะท้อนจุดยืนพรรค’ ผู้สมัครร่วมดีเบตได้แก่ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.(เขตบางพลัด-บางกอกน้อย) พรรคพลังประชารัฐ

เปิดรายการทางพิธีกรยิงคำถาม ถึงผลโพลของว่าที่นายกฯ ว่า พล.อ.ประวิตร หัวหน้า พลังประชารัฐ ยังไม่ติดอันดับ ทางด้าน ดร.เอ๋นั้นมีความหวั่นใจหรือไม่ ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จากการลงพื้นที่ กระแสค่อนข้างจะแตกต่าง เพราะประชาชนมีความสนใจในเรื่องของบัตรประชารัฐ และความชื่นชอบในตัวของลุงป้อมที่ดูเป็นกลางและก้าวข้ามความขัดแย้งได้จริง”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงนโยบายส่งเสริม เกษตรกรครอบครัวละ 30,000 บาท ทาง ดร.เอ๋ ได้ชี้แจ้งว่า “อยากจะให้มองที่ประโยชน์ของประชาชนหรือเกษตรกรที่จะได้รับมากกว่า ซึ่งวงเงิน 30,000 บาทตรงนี้ สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรไทยได้ ซึ่งถ้าหากพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล หรือ พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกฯ นโยบายนี้สามารถทำทันทีและทำได้เลย สำหรับข้อกำหนดที่จะได้เงินตัวนี้ จะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเป็นเกษตรกรเท่านั้น”

ดร.เอ๋ ยังกล่าวอีกว่า “ทุกอย่างต้องมีเวลา ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหลังจากที่ผ่านมา ทางเรารู้แล้วว่าอะไรคือปัญหาเพราะมีประสบการณ์แล้ว”

จากประเด็นมาตรา 112 ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จริง ๆ แล้วมาตรา 112 ไม่เคยทำร้ายใคร ในการพูดถึงควรที่จะตั้งคำถามอย่างไรให้สุภาพ ให้ถูกต้อง ไม่จาบจ้วงล่วงละเมิด สถาบันฯ โดยเฉพาะสถาบันฯไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมต้องแก้กฎหมายมาตรา 112 อยากจะให้ดูข้อมูลจริงยอมรับความจริง ไม่ใช่พูดแต่ข้อมูลหลอกลวง ใส่ร้ายแต่เรื่องไม่ดี”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงการชูนโยบายการก้าวข้ามความขัดแย้ง ของทางพรรคพลังประชารัฐ ว่าเป็นได้จริงหรือไม่ ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า ถ้าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของ พล.อ.ประวิตร ด้านการบริหารทั้งกองทัพและการบริหารประเทศ ท่านสามารถรวบรวมคนเก่งมารวมตัวกันได้ เจรจาไกล่เกลี่ย ประนีประนอม เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เพียงแต่ยังมีวาทกรรมที่แบ่งฝ่าย ว่าฝ่ายนี้คือเผด็จการ ฝ่ายนี้คือประชาธิปไตย อยากให้เลิกเรียกพรรคพลังประชารัฐว่า พรรคเผด็จการ เพราะถ้าไม่เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดรัฐประหาร เพราะคนทำรัฐประหารก็ไม่อยากทำเหมือนกัน”

สำหรับประเด็นที่พรรคพลังประชารัฐถูกเรียกว่า พรรคทหารจำแลง ดร.เอ๋ ได้ให้ความเห็นว่า “ครอบครัวดิฉันก็ไม่ได้เป็นทหารมาก่อน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทหาร ดิฉันยังเขามาอยู่ในพรรคได้ ตนเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงาน ในพรรคก็ไม่ได้ใช้ระบบทหารในการบริหาร ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรคทุกคนเปิดใจและให้โอกาสคนรุ่นใหมเข้ามาทำงาน”

ด้านผู้สมัคร ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้พูดถึงพรรคของตนว่า ถือเป็นพรรคที่โดนรัฐประหารมากที่สุด มีการถูกยุบพรรคมากถึง 3 ครั้ง ถึงแม้ปี 62 จะได้คะแนนเสียง ส.ส.มากที่สุด แต่ก็ต้องสูญสิ้นให้กับภายใต้อำนาจ ส.ว.ที่ถูกแต่งตั้งขึ้น และจริยธรรมทางการเมือง ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 60 ที่ก่อกำเนิดพรรคพลังประชารัฐ ด้าน ดร.เอ๋ จึงได้กล่าวชี้แจงว่า “การรัฐประหารตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ถ้าไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นนองเลือดจริง ก็ไม่มีทหารออกมาอยู่แล้ว”

สุดท้ายช่วงขาย นโยบาย 30 วินาที ช่วยพี่น้องประชาชนเรื่องค่าไฟได้อย่างไร ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “พลังประชารัฐจะปรับโครงสร้างเรื่องของพลังงานอย่างเร่งด่วนที่สุด ในส่วนของบ้านเรือนจะปรับลดลงมาเหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย ส่วนด้านอุตสหกรรมจะปรับลดเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย”