Saturday, 18 May 2024
ประเทศไทย

‘มือเศรษฐกิจจุลภาค’ มอง!! ศก.ไทยเหมือนร้านอาหาร เมนูส่วนใหญ่ ‘ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม-ไม่ปรับตัวตามเวลา’

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ (ต๊ะ) คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ทิศทางของเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 27 ม.ค.67 ระบุว่า…

ภาพรวมเศรษฐกิจโลก อาจโตแบบช้า ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยหากมองไปที่สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีการเติบโตสูงขึ้นในปี 2567 ทั้งที่ในปัจจุบันยังมีอัตราดอกเบี้ยสูง แต่อัตราการว่างงานไม่มากนัก ภาวะทางการคลังมีหนี้สูง แต่ก็เชื่อว่าจะผ่านไปได้ ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งติดต่อกัน เพื่อชะลอเงินเฟ้อไม่กระทบการเติบโตของสหรัฐฯ

ส่วนยุโรป ตอนนี้กำลังเผชิญปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ของแพง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกไม่สมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องการนำเข้าส่งออก ปัญหาสงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและอาหารฝั่งยุโรปสูงขึ้น 

ขณะที่ญี่ปุ่น ยังติดกับดักเศรษฐกิจภาวะเงินฝืดมายาวนาน ซึ่งวันนี้ราคาสินค้าต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นแพงสําหรับคนญี่ปุ่น แต่กับคนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นจะรู้สึกได้ว่าค่าครองชีพที่นั่นถูกมากในรอบหลาย 10 ปี ฉะนั้นวันที่ภาพของญี่ปุ่น จึงเป็นภาพของการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงและการส่งออกที่ดีจากค่าเงินเยนอ่อน ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามผลักดัน ภายใต้สัญญาณการสิ้นสุดการหยุดดอกเบี้ยติดได้ลบเร็ว ๆ นี้ 

ข้ามมาที่ จีน ตอนนี้อยู่ในภาวะการปรับฐานเศรษฐกิจหลังจากที่เติบโตมายาวนาน ซึ่งทางการอยากให้โตช้าลง โดยเริ่มโฟกัสไปยังภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน ด้วยการไม่อนุญาตให้ลงทุนกู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบเก็งกำไร เพื่อลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่ง เริ่มมีปัญหาในลักษณะนี้แล้ว ทางการจีนจึงมีความเข้มงวดมากขึ้น

ด้านภาพรวมของเศรษฐกิจไทย คุณพลัฏฐ์ อธิบายว่า ประเทศไทยเราเหมือนร้านอาหารเป็นร้านอาหารที่ดีแต่โต๊ะเต็มแล้ว ต้องเพิ่มช่องว่างและศักยภาพทางการตลาด โดยเปลี่ยนวิธีใหม่ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น ปรับปรุงร้านใหม่ขายอาหารแพงขึ้น เปลี่ยนเป็นร้านอาหารที่ราคาสูงมีรายได้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนจากประเทศที่ขายของถูกกลายเป็นขายของแพง หรือ ลดต้นทุน เช่น ร้านอาหารนี้เคยใช้พนักงานจำนวนมาก ขายของไม่แพงเราก็เปลี่ยนมาใช้แอปพลิเคชันในการสั่งอาหาร และปรับใช้คนน้อยลง ก็สามารถทำให้ธุรกิจไปต่อได้

เปรียบแล้ว ประเทศไทย จึงจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องมีเมนูใหม่ ๆ มาขาย ที่ผ่านมาเรามีแต่เมนูเดิม ๆ ถ้าเรานึกภาพว่าประเทศไทยส่งออกอะไรบ้างเมื่อ 20 ปีก่อน ก็ยังเหมือนกันกับ 10 ปีที่แล้ว และก็เหมือนกันมาจนถึงวันนี้ที่เราก็ยังส่งออกของเดิม ๆ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์ 30 ปีที่แล้วส่งออกแบบหนึ่ง 20 ปีที่แล้วส่งออกอีกแบบหนึ่ง 10 ปีที่แล้วกับวันนี้ก็ส่งออกอีกแบบหนึ่ง เปลี่ยนไปตลอด เพราะเขาเปลี่ยนไปตามทิศทางของโลก

เมื่อถามถึงเรื่องพลังงาน คุณพลัฏฐ์ อธิบายว่า โครงสร้างพลังงานของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการมีส่วนได้เปรียบ เช่น ซื้อพลังงานด้วยถ่านหินแก๊สธรรมชาติหรืออะไรต่าง ๆ แล้วบริหารจัดการผ่านกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีต้นทุนสูง ทำให้ราคาพลังงานสูงตามไปด้วย จนไม่เกิดการแข่งขัน แต่กลับกันถ้าโรงไฟฟ้าสามารถขายตรงสู่ผู้บริโภคได้ ก็จะเกิดการแข่งขันกันทำโปรโมชัน ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์ 

ส่วนสาเหตุทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ก็เพราะว่าเรามีไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในระบบเยอะมาก ทำให้ค่าเอฟทีแพง เพราะว่าเราต้องสำรองเรื่องนี้ แน่นอนว่าในข้อเสียก็มีข้อดีอยู่ เพราะถ้าหากเราเริ่มหนุนให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ยังคงมีเสถียรภาพของไฟฟ้าหมุนเวียนที่น้อย การมีไฟฟ้าที่เหลืออยู่ก็จะช่วยเข้ามาชดเชยตรงนี้ได้ 

โดยสรุปแล้วในส่วนของพลังงานไทย คุณพลัฏฐ์ มองว่า ประเทศไทยต้องก้าวตามเทรนด์พลังงานสีเขียวที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมากขึ้น และมุ่งรณรงค์ให้ใช้รถไฟฟ้าอีวีมากขึ้น ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มตามมา แต่ผลของการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ ก็จะมีผลต่อค่าเอฟทีที่จะถูกลง ขณะเดียวกันมลพิษและอากาศจะเป็นสิ่งที่หายไป ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเชื่อว่าหลายฝ่ายกำลังเดินหน้าในเรื่องนี้ ไม่ว่าเป็นเรื่องของการตั้งโรงงานต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจุดจ่ายไฟ หรือนโยบายที่จะมาสนับสนุน แต่จะมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องติดตามในรายละเอียดข้างหน้ากันต่อไป

‘ผู้แทนการค้าฯ’ ชวน ‘อาเลีย บาตต์’ ถ่ายหนังในไทยเพิ่ม หวังโชว์ ‘วัฒนธรรม-อาหาร-สถานที่เที่ยว’ สู่สายตาชาวโลก

(29 ม.ค. 67) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย กล่าวถึงการได้พบกับ Alia Bhatt (อาเลีย บาตต์) นักแสดงชาวอินเดีย ผู้รับบท ‘คังคุไบ’ จากภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Gangubai Kathaiwadi (หญิงแกร่งแห่งมุมไบ) โดยตนได้เชิญชวนให้คุณอาเลีย บาตต์ มาถ่ายภาพยนตร์ในไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการมีนางเอกดังระดับโลกมาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยนั้นจะเป็นการเสริมสร้าง Soft Power ให้แก่ประเทศไทย โดยทุกอย่างที่คุณอาเลียทำ อาหารที่รับประทาน สถานที่ที่ไปจะเป็นกระแสและจะได้รับความนิยมจากฐานผู้สนับสนุนจากทั้งในอินเดียและประเทศอื่น ๆ ในชั่วข้ามคืน 

ซึ่งคุณอาเลีย บาตต์ นิยมเดินทางมาไทย โดยก่อนการหารือนั้นก็เพิ่งเดินทางกลับจากจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ ยังชื่นชอบอาหารไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ผัดไทย และที่สำคัญคือน้ำมะพร้าวซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ต้องทานเมื่อเดินทางถึงไทย

นางนลินี เปิดเผยเพิ่มเติมว่าตนเองยังได้มีโอกาสหารือและชักชวนให้คุณ Sajid Nadiadwala เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำของอินเดีย Nadiadwala Grandson Entertainment ซึ่งผลิตภาพยนตร์ไปแล้วกว่า 200 เรื่อง และมีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เช่น Kick หรือ Highway และยังเป็นประธานสภาผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์อินเดีย 11 สมัย โดยมีบริษัทผู้ผลิตในเครือราว 400 บริษัท สนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ Bollywood ในไทยเพิ่มเติม โดยชูจุดเด่นด้าน Soft Power ของไทยทั้งในแง่ของผู้คน วัฒนธรรม อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว

นางนลินี  ระบุว่า คุณ Sajid ยืนยันว่าผู้ผลิตภาพยนตร์อินเดียนิยมที่จะใช้ไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงชื่นชมความสามารถด้านการแสดงของนักแสดงไทย โดยเฉพาะบทการต่อสู้และศิลปะแม่ไม้มวยไทย นอกจากนี้ ตนเองยังได้หารือถึงแนวการสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ของทางประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งในรูปแบบการคืนเงินและการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแนวทางการสนับสนุนและดึงดูดการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างชาติในไทยต่อไป

“การถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยจะเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทยไปสู่สังคมโลก รวมทั้งยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงเงินเข้าประเทศ รวมถึงก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกด้วย” นางนลินีฯ กล่าวทิ้งท้าย

'ดร.วชิรศักดิ์' มั่นใจ!! ไทยขึ้นแท่นมหาอำนาจในเร็ววัน ก้าวย่างอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางของอาเซียน

(29 ม.ค. 67) เพจ 'Bangkok I Love You' โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ก้าวย่างอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มหาอำนาจตัวจริง' ระบุว่า...

"คนลาว คนเวียดนาม มาเห็นถนนสาย ตจว. บ้านเราถึงกับร้อง ทำไมมันดีกว่าบ้านเขามาก อนาคตบ้านเราเก็บค่าต๋ง ค่าผ่านทางก็รวยแล้วครับ"

ประเทศไทยเป็น Corridor

Corridor คืออะไร?

ผมว่าหลายคนยังไม่ทราบ คนในวงการก่อสร้าง Infrastructure หรือ Mega project การลงทุนระหว่างประเทศจะใช้คำนี้เสมอ เราก็ไม่เข้าใจเพราะเรามองไม่ไกลขนาดนั้น ตอน Ford มาตั้งโรงงานในบ้านเรา ผมได้มีโอกาสเจอ First team ก็เลยถามตรง ๆ ว่า มาทำไมเพราะคู่แข่งแต่ละรายแกร่งยิ่งนัก เขาตอบว่า Corridor ช่วง 10 ปีแรก ขายในประเทศ อีก 20 ปี ไปขายเพื่อนบ้าน ตอนนี้เขมรขับ Ford กันแล้ว อีก 30 ปี ไปขายพม่าได้ Vision 20 ปี มันเป็นแบบนี้นี่เอง

มือถือสองค่ายแย่งกันขาย รายที่สามมาทำไม เขาตอบว่า อัตราส่วนเมื่อเทียบกับที่อื่นทั่วโลกถือว่า ตึงเต็มที่ Reserve ratio มันต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว อนาคตยอดเพิ่มแน่นอน มีตัวเลขต่างประเทศมายืนยัน มันเป็นแบบนี้นี่เองการค้าระดับโลกมันมีฐานข้อมูลอ้างอิง เรามองแค่ในบ้านเราถึงไม่เข้าใจว่าเขามาลงทุนทำไม ตัวเลขสำคัญคือจำนวนประชากรต่อ ???

เห็นสิงคโปร์ CNA ทำรายงานเรื่อง การลงทุนของญี่ปุ่นใน AEC มีภาพหนึ่ง Corridor ชัดเจนมาก ทำเลทอง EEC มันเป็นทางผ่านชัด ๆ นี่ไม่รวมรถไฟจากจีน คุณหมิง ผ่านลาว ลงมาอ่าวไทย แบบนี้เรียกว่า Center point วัยรุ่นคงเข้าใจ คนตจว. อาจจะเรียกว่าโคราช อนาคตประเทศเราจะเป็นทางผ่านแบบโคราช แปลว่า แน่นทั้งปี

ไม่แปลก...อะไรที่ถนนบ้านเราโดยเฉพาะในต่างจังหวัดพัฒนาขึ้นดีมาก คนต่างจังหวัดคงเข้าใจไม่ต้องอธิบาย Logistic ต่างชาติแห่กันมาหา Hub คนลาว คนเวียดนาม มาเห็นถนนสาย ตจว. บ้านเราถึงกับร้อง ทำไมมันดีกว่าบ้านเขามาก ถนนสายจากน่านไปออกหลวงพระบางเคยเห็นหรือยัง อนาคตบ้านเราเก็บค่าต๋ง ค่าผ่านทางก็รวยแล้วครับ

บทความจาก ดร.วชิรศักดิ์ จึงสถาพร

เอกชนญี่ปุ่น สนลงทุน BCG ใน ‘อีอีซี’ หนุนพัฒนา ‘เมืองน่าอยู่-พลังงานสะอาด’

(31 ม.ค. 67) ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยว่า ได้นำคณะจากอีอีซี เยือนเมืองนาโกย่า และเมืองโอชาก้า ประเทศญี่ปุ่น ช่วงปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ ดร.สุวิทย์ ธนณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน นายสมโภชน์ อาหุนัย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร. นลินี กาญจนามัย รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อชักจูงภาคเอกชนชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมลงทุนโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG ด้านการพัฒนาพลังงานสะอาด โดยเฉพาะไฮโดรเจนที่เป็นพลังงานใหม่แห่งอนาคตภาคขนส่ง ซึ่งจะเป็นการลงทุนสำคัญเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขับเคลื่อนให้พื้นที่อีอีซี และประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ได้พบกับ Mr. Yasuhiko Yamazaki, Executive Vice President และผู้บริหารระดับสูงจาก บริษัท DENSO Corporation ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก และได้พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดต่อเนื่อง โดยหารือถึงโอกาสการขยายลงทุนจากบริษัทฯ ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีไฮโดรเจนเพื่อรองรับการใช้พลังงานสะอาด และอีอีซี ได้นำเสนอถึงความก้าวหน้าของอีอีซี สิทธิประโยชน์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องเพื่อจูงใจการลงทุนดังกล่าวมายังประเทศไทย รวมทั้งเข้าพบผู้บริหาร บริษัท Toyota Motor Corporation เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ รูปแบบแบตเตอรี่ ไฮบริด และไฮโดรเจน ณ พิพิธภัณฑ์ Toyota Kaikan Museum พร้อมเยี่ยมชมสถานีเติมไฮโดรเจน ที่ Toyota Eco ful Town ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่นำไฮโดรเจนมาใช้เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งได้หารือถึงแนวทางการขยายผลนำไฮโดรเจนมาใช้ประโยชน์ภาคขนส่งในพื้นที่อีอีซี 

นอกจากนี้ ยังได้พบกับ Mr. Yoshihiro Miwa กงศุลใหญ่กิตติมศักดิ์ เมืองนาโกย่า และผู้บริหารระดับสูงบริษัท Kowa ซึ่งสนใจจะลงทุนผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น โดยได้หารือถึงการขยายลงทุนเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อผลิตไฮโดรเจน ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้การลงทุน BCG รวมทั้งคณะฯ ได้เข้าพบ Mr. Hideyuki Yokoyama นายกเทศมนตรีนครโอซากา โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม สร้างความร่วมมือระหว่างเมือง (City-to-City) รวมทั้งได้จัดงานสัมมนาเชิงธุรกิจ ร่วมกับเทศบาลนครโอซากา และสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมโอซากา (OCCI) เพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความก้าวหน้าของการพัฒนาโครงการอีอีซี ตลอดจนสิทธิประโยชน์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG ให้แก่กลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น รวมทั้งคณะฯ ยังได้เข้าหารือกับ Mr. Junichi Ohmori, Executive Officer และคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Daikin Industries ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศอันดับ 1 ของโลก เพื่อประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าของโครงการ สิทธิประโยชน์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้อง พร้อมหารือถึงโอกาสการขยายการลงทุนของบริษัทฯ มายังพื้นที่อีอีซีต่อไป

ดร.จุฬา กล่าวเพิ่มเติมว่า การเยือนประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้ อีอีซี ยังได้ร่วมกับธนาคาร Mizuho Bank จัดงานประชุมสัมมนารับฟังความเห็นของนักลงทุน (Market Sounding) สำหรับโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ณ อาคาร Mizuho Bank Marunouchi Head Office กรุงโตเกียว โดยเป็นการพบปะนักลงทุนต่างประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากโครงการฯ ได้รับความเห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงเป้าหมายการเป็นเมืองธุรกิจคู่กรุงเทพฯ (EEC Capital City) และเมืองน่าอยู่ระดับสากล รวมถึงการให้ข้อมูลกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย และสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในพื้นที่โครงการฯ โดยมีกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนของประเทศญี่ปุ่น ทั้งกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ระบบสาธารณูปโภค ธุรกิจการเงิน และเทคโนโลยี ให้ความสนใจ อาทิ Ministry of Land, Infrastructure, Transportation and Tourism (MLIT), Urban Renaissance Agency (UR), บริษัท Tokyo Electric Power Company (TEPCO) ผู้ให้บริการพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น, Tokyo Corporation และบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าร่วม รวมทั้งสิ้น 39 หน่วยงาน 

สำหรับ ภาพรวมการลงทุนของนักลงทุนประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปี 2561 – พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจในการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 โดยมีมูลค่าที่ได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่า 183,702 ล้านบาท 

ทั้งนี้ อีอีซี ได้กำหนดเป้าหมายในระยะเวลา 3 ปี (ปี 2567 - 2569) ให้เกิดมูลค่าการลงทุนจริง ในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประมาณ 4 แสนล้านบาท 

'อ.พงศ์พาณุ' ชี้!! ความขัดแย้งระหว่างนโยบายการเงินกับการคลัง กำลังก่อ 'ปัญหา-เหนี่ยวรั้ง' ความก้าวหน้าของเศรษฐกิจไทย

(1 ก.พ. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้กล่าวว่า...

ต้นปี 2567 ความขัดแย้งระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลังยังคงเป็นปัญหาเหนี่ยวรั้งความก้าวหน้าของเศรษฐกิจไทยอยู่ ในขณะที่นโยบายการคลังพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ แต่นโยบายการเงินกลับสวนทางและฉุดให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังลงเหวอย่างไร้ความรับผิดชอบ ความขัดแย้งดังกล่าวบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติเลย กระทรวงการคลังรายงานคณะรัฐมนตรีเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เติบโตเพียง 1.8% วันรุ่งขึ้นธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาบอกว่าประมาณการนี้ไม่ถูกต้อง จึงควรต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์กรที่รับผิดชอบนโยบายการเงิน

เป็นที่ยอมรับในสากลว่านโยบายการเงินมีหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพของระดับราคา ผ่านกลไกอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกรอบ Inflation Targeting และธนาคารกลางสมควรมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ภายในกรอบเงินเฟ้อที่รัฐบาลเห็นชอบ 

ในกรณีของประเทศไทย กรอบเงินเฟ้อกำหนดไว้ที่ 1-3% เมื่อปี 2565 มีแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ยล่าช้าไม่ทันการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอื่นทั่วโลก อาจด้วยเหตุผลทางการเมือง เป็นเหตุให้ภาวะเงินเฟ้อในไทยพุ่งทยานขึ้นสูงถึง 6.1% ซึ่งเป็นระดับที่เกือบจะสูงที่สุดในโลกและเกินกรอบเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาลกว่าเท่าตัว 

พอมาปี 2566 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มถดถอยและอัตราเงินเฟ้อจะหลุดกรอบล่างไปแล้ว ทำให้ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) โดยมีเงินเฟ้อติดลบ 3 เดือนติดต่อกันในไตรมาสสุดท้าย ประเทศไทยจึงอาจเป็นประเทศที่มีความผันผวนทางการเงินสูงที่สุดประเทศหนึ่ง

น่าแปลกใจที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชาย แต่กลับแก้ตัวแบบข้างๆ คูๆ ว่า ไม่ใช่เรื่องของแบงก์ชาติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย คงต้องทำใจแล้วว่าเรามีธนาคารกลางที่มีความสามารถในการโยนความผิดให้ผู้อื่น และเก่งในทุก ๆ เรื่อง ยกเว้นเรื่องนโยบายการเงิน ถ้าผู้ก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะเสียใจมิใช่น้อย

‘สว.วีระศักดิ์’ เผยเสน่ห์ท่องเที่ยวไทย คือไมตรีของคนทุกท้องถิ่น

ไม่นานมานี้ สำนักข่าว บีบีซี (ภาคภาษาเวียดนาม) ได้นำเสนอสกู๊ปพิเศษเรื่อง 'ไทย แชมป์ อาเซียนด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติ : เมื่อไหร่จะถึงคิวเวียดนามบ้าง?' โดยสืบเนื่องจากปี 2023 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเวียดนามแห่ไปเที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก และใช้จ่ายไปถึง 11,000 ล้านด่อง 

นักข่าวบีบีซีท่านนี้ที่ชื่อ Tran Vo ได้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวกับ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไทย โดยนายวีระศักดิ์ ได้กล่าวชี้ชัดสั้น ๆ ไว้ว่า “เสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทย คือความเป็นมิตรไมตรีของคนไทยในทุกท้องถิ่น และรัฐช่วยอีกแรงด้วยการผ่อนคลายด้านวีซ่า”

ก่อนหน้านี้ เหงียน วัน มาย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเวียดนามยอมรับด้วยว่า “ไทยเป็นผู้นำด้านท่องเที่ยวแม้ไม่ต้องมีนโยบายเปิดคาสิโนอย่างที่เวียดนามทำ เพราะไทยสามารถเปลี่ยน 'เรื่องพื้น ๆ' ให้เป็นเรื่องน่าเที่ยว และเมื่อบวกกับความต้อนรับขับสู้ในการให้บริการ ก็สามารถได้ความประทับใจโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากมาย”

นอกจากนี้ ยังได้เอ่ยชื่นชม ททท.ไทย ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและเติมคุณค่าให้ของพื้นบ้านต่าง ๆ เช่น น้ำหวานดอกมะพร้าวให้กลายเป็นสินค้าน่าประทับใจ พร้อมทั้งยกตัวอย่างการพาชมหิ่งห้อยอัมพวา การใช้ผลไม้ที่เผาเป็นถ่านใช้ไล่ยุงในรีสอร์ต ว่าทำได้อย่างน่าทึ่ง

นี่คือเสน่ห์ที่แม้แต่เพื่อนบ้านซึ่งเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจยังยอมรับแบบหมดใจ 

ท่องเที่ยวไทย เสน่ห์ที่ใคร ๆ ก็หลงใหล

สำหรับบทความเต็ม ติดตามอ่านต่อได้ใน >> https://www.bbc.com/vietnamese/articles/cxem54drekpo

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ชี้!! ปัญหาในตลาดหุ้นกู้-เงินเฟ้อติดลบ ความผิดพลาดเชิงนโยบายที่แบงก์ชาติไม่ควรปฏิเสธ

(8 ก.พ. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยถึง ปัญหาในตลาดหุ้นกู้ เงินเฟ้อติดลบ และความผิดพลาดเชิงนโยบายของแบงก์ชาติ ไว้ว่า...

หุ้นกู้ก็คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง ต่างจากตราสารทุน (Equity) ตรงที่มีกำหนดเวลาชำระดอกเบี้ยคงที่และชำระคืนเงินต้นที่แน่นอน ในมุมมองของผู้ลงทุนจึงดูเหมือนไม่มีความเสี่ยงหรือมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นหรือตราสารทุน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หุ้นกู้มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ ( Risk of Default) และความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ซึ่งมีอยู่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและภาวะการเงินมีความผันผวนสูงอย่างเช่นในปัจจุบัน

ขอชื่นชมผู้วางนโยบายที่กระทรวงการคลังและ ก.ล.ต.ในอดีตที่ได้ร่วมมือกันพัฒนาตลาดตราสารหนี้ ภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จนกลายเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของการระดมทุนหล่อเลี้ยงภาคเศรษฐกิจจริงในประเทศไทย อีกสองเสาหลักได้แก่ ตลาดหุ้นและเงินกู้ธนาคาร ซึ่งเสาหลักแต่ละแท่งมียอดคงค้างของการระดมทุนอยู่ที่ประมาณ 100% ของ GDP รวมทั้ง 3 เสาก็อยู่ที่ 300% ของ GDP หรือประมาณกว่า 50 ล้านล้านบาท

ปัจจุบันหลังจากที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยแบบไม่บันยะบันยังมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี และสร้างความผันผวนทางการเงินขึ้นมาด้วยน้ำมือของตัวเองอย่างไม่จำเป็น ตลาดหุ้นกู้เริ่มปรากฏร่องรอยของความปริร้าวขึ้นมา ซึ่งเป็นที่น่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากไม่สามารถหยุดการไหลของเลือด อาจลุกลามไปยังเสาหลักอีก 2 เสาได้ ผู้ออกหุ้นกู้ที่ออกมาก่อน 2 ปีที่แล้ว เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ใกล้ศูนย์ กำลังถึงกำหนดเวลาไถ่ถอนจำนวนมาก และจำเป็นต้องออกหุ้นกู้ใหม่มาเพื่อชำระคืนของเดิม (Roll over) ต้องประสบปัญหาตลาดการเงินขาดสภาพคล่อง และดอกเบี้ยสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีการปรับสูงขึ้นกว่า 5 เท่าตัว (500%) ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา

เมื่อตอนที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโควิด เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นกู้ก็ส่อเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องทำนองเดียวกัน แต่ต่างกันที่สาเหตุมาจากด้านรายได้ของธุรกิจที่เหือดหายไปจากการหยุดจับจ่ายใช้สอยของประชาชน รัฐบาลจึงยอมให้แบงก์ชาติตั้งกองทุนรักษาสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ (Bond Market Stabilization Fund-BSF) วงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยออกพระราชกำหนดให้แบงค์ชาติสามารถเข้าไปซื้อตราสารหนี้ออกใหม่ได้ในระยะสั้นๆและกระทรวงการคลังรับประกันความเสียหายจากการลงทุนของแบงก์ชาติ (น่าจะถือว่าถูกแบงก์ชาติหลอกให้เอาเงินผู้เสียภาษีมาค้ำประกัน) 

มาคราวนี้สถานการณ์เริ่มสุกงอม แลอาจยังความจำเป็นให้ตั้งกองทุนทำนองดังกล่าวขึ้นอีก เพื่อพยุงตลาดตราสารหนี้ แต่เชื่อว่าครั้งนี้กระทรวงการคลังคงไม่ยอมให้แบงก์ชาติหลอกให้เอาเงินผู้เสียภาษีมาค้ำประกันอีก  เพราะปัญหาครั้งนี้เกิดมาจากความผิดพลาดของแบงก์ชาติเองล้วนๆ หลายฝ่ายรวมทั้งกระทรวงการคลังได้ออกมาเตือนแบงก์ชาติหลายครั้งหลายครา แต่แบงค์ชาติกลับเอาหูทวนลม ดังนั้นจึงไม่อาจงอแงปฏิเสธความรับผิดชอบเหมือนครั้งก่อน โดยเอาเงินผู้เสียภาษีมาค้ำประกันความผิดพลาดของตนเองไม่ได้อีกแล้ว

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมกราคม 2567 ติดลบเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย 

ธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว เหมือนที่ผ่านมาว่าไทยยังไม่มีภาวะเงินฝืด (Deflation) และมักจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับแบงก์ชาติและโยนความผิดให้คนอื่นว่าเป็นปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย

ในสถานการณ์เช่นนี้ แบงก์ชาติคงจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ประการแรกลดดอกเบี้ยและยอมรับความผิดพลาดของตนเองที่ทำให้เศรษฐกิจชาติเสียหาย แต่เชื่อว่าแบงก์ชาติคงจะเสียหน้าอย่างมาก และโดยธรรมชาติแล้วมักจะไม่กล้าทำ ประการที่สอง ไม่ทำอะไร คงดอกเบี้ยไว้ตามเดิม เพื่อรักษาหน้าของตัวเอง แล้วก็โยนเคราะห์กรรมให้กับคนไทยทั้งประเทศ 

แต่ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ประชุมเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์แล้ว มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ (5 ต่อ 2 เสียง) เลือกแนวทางที่ 2 คือปัดความรับผิดชอบ และโยนขี้ให้ประชาชน ตามแบบฉบับแบงก์ชาติที่สืบทอดกันมา แม้จะมีกรรมการเสียงข้างน้อยที่เริ่มยอมรับความผิดพลาดของนโยบายการเงิน 

สถานการณ์น่าเป็นห่วงครับ

‘อ.พงษ์ภาณุ’ กระตุ้นสูตรความยิ่งใหญ่กีฬาไทย อาจต้องใช้เงินภาคเอกชน ‘อุดหนุน-พาสู่ฝัน’

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'กีฬาไทย ต้องเป็นมืออาชีพและใช้เงินภาคเอกชน' เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

ปี 2567 จะเป็นปีที่วงการกีฬาโลกและกีฬาไทยมีความคึกคักเป็นพิเศษ เพราะจะมีมหกรรมกีฬาโอลิมปิค 2024 ที่กรุงปารีส (Paris Olympics) ฟุตบอลยูโร 2024 การแข่งขัน Super Bowl ครั้งที่ 58 ที่ Las Vegas อาทิตย์นี้การเข้ามามีบทบทบาทในเวทีกีฬาโลกของซาอุดีอาระเบีย

ในขณะที่วงการฟุตบอลของไทยก็ได้นายกสมาคมคนใหม่ (มาดามแป้ง) มารับภาระในการพัฒนากีฬาฟุตบอล ซึ่งกำลังตกต่ำเป็นประวัติการณ์

น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่วงการกีฬาไทยจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์และความสำเร็จของประเทศอื่น วันนี้ต้องยอมรับว่ากีฬาไทยไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรการเงิน โดยเฉพาะเงินจากภาครัฐอีกต่อไป เมื่อปี 2558 รัฐบาลได้จัดสรรเงินภาษีบาป (ภาษีสุราและยาสูบ) ปีละกว่า 4,000 ล้านบาท อย่างต่อเนื่องมาเข้ากองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ทำให้มีเงินเพียงพอที่จะสามารถจัดเงินอุดหนุนให้สมาคมกีฬาต่าง ๆ อย่างพอเพียง

แต่จนแล้วจนรอดวงการกีฬาไทยก็ยังไม่พัฒนาไปถึงไหน ผลงานนักกีฬาไทยในเวทีระดับโลกและระดับภูมิภาคยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แม้ว่ารัฐบาลจะใส่เงินลงไปค่อนข้างมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคแต่ผลงานก็ยังสู้ไม่ได้แม้แต่ประเทศเวียดนาม ซึ่งใช้งบประมาณน้อยกว่ามาก กีฬาไทยยังพึ่งงบประมาณภาครัฐเป็นหลัก และแม้ว่าจะได้รับเงินจากภาษีอากรมาค่อนข้างมาก แต่การใช้เงินขาดประสิทธิภาพ เงินงบประมาณส่วนใหญ่หมดไปกับค่าเดินทางไปต่างประเทศของนักกีฬาและบุคคลติดสอยห้อยตามเป็นจำนวนมาก การใช้เงินของสมาคมกีฬาขาดความโปร่งใสและไม่มีการตรวจสอบ กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติไม่มีประสิทธิภาพในการอนุมัติและบริหารการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งสะท้อนจากการร้องเรียนของสมาคมกีฬาเป็นระยะ ๆ

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว กีฬากลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่สามารถสร้างรายได้มหาศาล และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาภาครัฐและเป็นภาระต่อผู้เสียภาษี กีฬาอาชีพหลายชนิด อาทิเช่น ฟุตบอล อเมริกันฟุตบอล กอล์ฟ เป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าธุรกิจบันเทิงอื่น และหลังจากซาอุดีอาระเบียเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เงินจากปิโตรเลียมได้มีส่วนกระตุ้นให้ทีม/สโมสร และผู้เล่นมีรายได้และค่าตอบแทนสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งในรูปของค่าสิทธิประโยชน์ (Sponsorships) ค่าสิทธิในการถ่ายทอด (Broadcasting Rights) และค่าตัวนักกีฬา

สมาคมฟุตบอลไทยในอดีตประสบความสําเร็จเป็นอย่างสูง เรามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมพัฒนาฟุตบอลไทย คงจะไม่ยุติธรรมนักถ้าจะไม่เอ่ยชื่อคุณวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคม และบริษัทโตโยต้าประเทศไทย ฟุตบอลไทยได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างขนานใหญ่จากในอดีตที่เป็นแค่ทีมในสังกัดองค์กรมาเป็นสโมสรที่เป็นนิติบุคคล ไทยลีกได้พัฒนาเป็นลีกฟุตบอลชั้นนำของเอเชียไม่แพ้ J League ของญี่ปุ่น รายได้จากการประมูลสิทธิการถ่ายทอดเกมส์ฟุตบอลของไทยลีกมีจำนวนสูงถึงปีละกว่าพันล้านบาท การท่องเที่ยวเชิงกีฬาสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการเดินทางติดตามเชียร์ของแฟนคลับ

แทบไม่น่าเชื่อว่าความสำเร็จเหล่านี้ได้หายไปจากวงการกีฬาไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามานี้ วันนี้จำเป็นต้องสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนเพื่อสร้างกีฬาไทยให้กลับมายิ่งใหญ่ และโดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล ภายใต้นายกสมาคมคนใหม่ ที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำหลักการและบทเรียนที่ในอดีตกลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อให้ความฝันบอลไทยได้ไปบอลโลก กลายเป็นความจริงเสียที

‘รมว.พีระพันธุ์’ เปาบุ้นจิ้นพลังงานไทย ความหวังของคนไทย ในช่วงเวลาหดหู่

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อก dr.brahm_isara_inya หรือ พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา ได้โพสต์วิดีโอพร้อมระบุข้อความว่า “เข้าพบ ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน” โดยภายในวิดีโอได้พูดถึงความสิ้นหวังของคนไทยทั้งประเทศ และการเข้าพบ พูดคุยกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยระบุว่า…

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ จากที่มีความหวังว่าหลังเลือกตั้งประเทศเราจะก้าวเข้าสู่ยุคฟ้าสีทองผองอําไพ รัฐบาลใหม่จะต้องทําให้อะไร ๆ มันดีขึ้น แต่ปรากฏว่าผ่านมา 5-6 เดือนแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าอะไรมันจะดี…

“ที่บอกว่าจะแจกเงินหมื่น แต่ก็เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีกําหนด บอกว่าจะปราบหนี้นอกระบบก็ไม่เห็นมีอะไรขับเคลื่อน บอกว่าจะเพิ่มเงินเดือนคนแก่ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ทําอะไรไม่ได้เลย ซ้ำร้ายยาเสพติดยังเต็มบ้านเต็มเมือง รัฐบาลก็ยังออกกฎหมายช่วยให้การพกพายาเสพติดแต่เอาผิดไม่ได้ แทบจะพูดได้ว่าไม่สามารถสร้างผลงานอะไรได้เลย…

“ซ้ำร้ายพรรคฝ่ายค้านที่เป็นความหวังว่าจะมาคานอํานาจ มาตรวจสอบ สร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับบ้านกับเมือง ก็ปรากฏว่าจับมือฮั้วกัน นักโทษชั้น 14 ก็ไม่เคยแตะต้อง เรื่องกฎหมายยาเสพติด หรือเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยตรวจสอบ ไม่เคยแตะต้องรัฐบาล ไม่รู้ว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน หรือว่าตัวฝ่ายค้านหมดสมรรถภาพไปแล้ว…

“เห็นมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง สส.ของเขามีแต่เรื่องมีแต่ราว ทั้งขี้เมาตบตีผู้หญิง ทั้งวิ่งราวทรัพย์ ทั้งเอกสารปลอม ทั้งหนีทหาร สารพัดปัญหา จนไม่มีเวลาสนใจบ้านสนใจเมือง สู้แต่คดีฟ้องร้องกันไปมา แก้ปัญหาแต่ของตัวเอง ทำให้ประชาชนตอนนี้แทบจะไม่มีความหวัง ไม่รู้จะหวังพึ่งนักการเมืองคนไหนได้อีก หดหู่กันทั้งบ้านทั้งเมืองจริง”

พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา กล่าวต่อว่า “พวกเรารวมตัวกัน เพื่อไปตามหาว่าประเทศนี้ยังเหลือใครที่ประชาชนจะฝากความหวัง หรือพึ่งพาอาศัยได้หรือไม่…

“วันนี้พวกเรามากันที่บ้านพิบูลธรรม กระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นสํานักงานของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สําหรับตัวท่านพีระพันธุ์นี้ พี่น้องประชาชนก็คงทราบข่าวมาตลอด ในเรื่องฝีไม้ลายมือ เรื่องความรู้ ความสามารถ และหลายอย่างที่ท่านทําให้ประเทศไทย แต่พวกเราก็ไม่กล้ายืนยัน เพราะนั่นอาจจะเป็นแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เป็นข่าวจริงแค่ไหนก็ไม่รู้ จึงพากันมาดู มาคุย มาถามให้รู้ มาดูให้เห็นกับตา…

“ซึ่งจากที่คุยกันใช้เวลานานพอสมควร บอกได้เลยว่าท่านพีระพันธุ์กําลังทํางานใหญ่ ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้โครงสร้างพลังงานของประเทศไทย คุณป้าอยุธยาที่มาด้วยกันถึงขั้นกระซิบผมเลย บอกว่า “เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านจังเลย ถ้าท่านจะทํางานใหญ่ขนาดนี้”...

“สิ่งที่ท่านกำลังจะทำ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลให้เรื่องธุรกิจพลังงานของประเทศไทย ไม่ใช่แค่พวกเราจะได้ใช้พลังงานราคาถูก แต่มันมีงานใหญ่ระดับโลกที่จะเกิดขึ้น เกี่ยวกับพลังงาน เกี่ยวกับน้ำมันที่ประเทศไทยที่ท่านเตรียมเอาไว้แล้ว”

พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา กล่าวต่อว่า “พอได้ฟังแผนการ ฟังการคิดวิเคราะห์ของท่านแล้วก็บอกได้เลยว่าเป็นคนที่คิดเป็นระบบ มีตรรกะ มีกลยุทธ์ มียุทธศาสตร์ ไม่แปลกใจเลยทําไมก่อนหน้านี้ กรณีโฮปเวลล์ กรณีเหมืองทองอัครา ถึงทําได้หลายโปรเจกต์ และชนะตลอด…

“จากที่นั่งคุยกันต้องยอมรับว่าท่านพีระพันธุ์ เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ท่านไม่ได้ถือตัว ท่านสบายๆ เป็นกันเอง และจริงใจเปิดเผย ถามอะไรก็ตอบหมด หลายเรื่องเล่าได้ฟังยังตกใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านของเมืองจริง และท่านก็กล้าหาญจริง ๆ ที่จะสู้กับเรื่องพวกนี้ โดยที่ท่านก็ย้ำตลอดว่าท่านไม่เคยหวังตําแหน่ง แต่เพราะความบังเอิญ เพราะตกกระไดพลอยโจน มาช่วยเหลือกัน มาช่วยกันทํางานให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าพี่น้องประชาชนคนธรรมดารากหญ้าได้สัมผัส ได้พูดคุยกับท่านก็จะประทับใจ หลงรักท่านได้เลย”

“พวกเราก็เหมือนประชาชนคนไทยทั่วไป ที่รู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าจะฝากความหวังไว้กับใคร แต่วันนี้ดีใจที่ประเทศนี้ยังไม่ได้สิ้นคนดี ยังเหลือพี่ตุ๋ย พีระพันธุ์ กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดีแน่นอน” พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา ทิ้งท้าย

‘เอ็ด ชีแรน’ ทำคอนเทนต์รีวิวขนมถุงเมืองไทย ยกให้ ‘ไดโนเสาร์-เยลลี่’ ขึ้นแท่นขนมถูกใจที่สุด

(15 ก.พ.67) กลายเป็นซอฟท์พาวเวอร์อีกหนึ่งอย่างของเมืองไทยไปแล้วสำหรับขนมถุงอบกรอบยี่ห้อต่างๆ ที่นับได้ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนมถุงวางจำหน่ายหลากหลายมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แม้แต่ ‘เอ็ด ชีแรน’ ศิลปินชื่อดังที่เพิ่งมาเปิดคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย ก็ขอทำคอนเทนต์ลองชิมขนมถุงกับเขาบ้าง

โดย เอ็ด ชีแรน ที่ขอลองซอฟท์พาวเวอร์ชื่อดังของไทยทั้งบุกไปกินร้านอาหารสตรีทฟู้ดระดับมิชลินหนึ่งดาวของเจ๊ไฝ หรือแม้กระทั่งไปสักยันต์เมตตามหานิยมกับ อ. เหน่ง เอาไว้ที่ต้นขา ล่าสุดก็ได้โพสต์คลิปลงใน TikTok ขณะยืนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เพื่อไปซื้อขนมถุงพร้อมระบุว่า “ผมอยู่ที่เซเว่นฯ ได้ยินมาว่าที่นี่มีขนมน่าสนใจ”

ซึ่งเจ้าตัวก็หยิบขนมมาลองมากมายทั้ง เยลลี่, ขนมไดโนเสาร์, ขนมมะเขือเทศ, สาหร่ายอบกรอบ, ชาข้าว, ขนมรสปลาหมึก ฯลฯ ก่อนจะกลับที่พักเพื่อไปลองขนมดังกล่าว

ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ระบุว่าชอบขนมเยลลี่กับขนมไดโนเสาร์ งานนี้แฟนเพลงชาวต่างชาติหลายคนแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่านักร้องดังจะทำตัวเรียบง่ายและกลายเป็นนักรีวิวในโลกโซเชียลไปเสียแล้ว พร้อมกับขอให้เขาเดินทางไปเที่ยวยังประเทศอื่นๆ และลองขนมหรืออาหารของประเทศนั้นๆ พร้อมกับรีวิวแบบนี้บ้าง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top